หลงเปลือกลืมแก่น

ดรสนอง  วรอุไร

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

23.24  ตุลาคม  2527

            วิทยาศาสตร์คืออะไร  ?   วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีเหตุมีผล  เป็นศาสตร์แห่งความจริงที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้  สามารถกำหนดวิธีการทดลองเป็นขั้นตอน  ซึ่งเมื่อผู้อื่นนำไปปฏิบัติตามแล้ว  ได้ผลปรากฏออกมาดังที่ได้ค้นพบและรายงานไว้เป็นหลักฐาน  ผู้มีทักษะและยึดอาชีพครูวิทยาศาสตร์ไม่ว่าแขนงใด  ท่านเคยให้นักเรียนทำการทดลองในห้องปฏิบัติการตามวิธีการที่กำหนดให้  และเคยพบไหมว่า  ผลการทดลองที่ถูกต้องมิได้เกิดกับผู้ทำการทดลองทุกคน  ทั้ง ๆ  ที่ใช้อุปกรณ์  วิธีการ  สถานที่เหมือนกัน  ช่วงเวลาเดียวกัน  บางคนทดลองแล้วได้ผลต่างไปจากที่ควรเป็น  นั่นหมายความว่า  มีการทำผิดพลาดเกิดขึ้น  ต้องค้นหาข้อผิดพลาด  ถ้าพบเหตุแล้วปรับแก้ไขทดลองใหม่ได้ผลถูกต้อง  นั่นเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พึงกระทำ  การทดลองผิดพลาดเกิดขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์อยู่เสมอ  ทดลองเรื่องง่าย  แก้ไขให้ถูกต้องได้ง่าย  ทดลองเรื่องยาก  แก้ไขให้ถูกต้องได้ยาก  การทดลองผิดทดลองถูกมีเกิดมาทุกยุคสมัย  เป็นสัจธรรมเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์

            ชีววิทยาคืออะไร  ?  ชีวหมายถึง  ชีวิต  ชีวิตเกิดขึ้นเฉพาะในสิ่งมีชีวิต  วิทยาหมายถึงวิชาหรือความรู้  ชีววิทยาจึงเป็นวิชาที่ว่าด้วยชีวิต  หรือความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต  ซึ่งได้แก่  พืช  สัตว์  และจุลินทรีย์  ดูเฉพาะสองกลุ่มใหญ่ที่เป็นพืชและสัตว์  มีบางสิ่งบางอย่างแตกต่างกันเห็นได้ชัด  พืชเดินไปไหนมาไหนไม่ได้  เวลาขาดน้ำจะแสดงอาการเหี่ยวแต่เดินไปดื่มน้ำเองไม่ได้  จะขอน้ำดื่มก็พูดไม่ได้  เอาไม้ไปตี เอามีดไปริดกิ่ง  ตัดต้น ไม่รู้สึกเจ็บปวด  ส่วนกลุ่มที่เป็นสัตว์  อันมีมนุษย์รวมอยู่ด้วยนั้น  เดินได้ พูดได้ ร้องได้  รู้ร้อน รู้หนาว รู้เจ็บปวด  เมื่อสัมผัสกับสิ่งไม่พึงปรารถนา  สามารถเคลื่อนหนีออกไปให้ห่างไกลได้

            ถามว่า  อะไรเป็นเหตุให้เกิดความแตกต่างระหว่างพืชและสัตว์  ?  นักวิทยาศาสตร์ต้องสามารถย้อนรอยจากผลไปสู่ต้นเหตุได้  พิจารณาดูสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว  เช่น  นกตกจากต้นไม้ลงมาตายต่อหน้าเรา  ไม่ไหวติง  ไม่ตกใจบินหนี  ไม่ร้องกลัวหรือแสดงอาการโต้ตอบใด ๆ  มีแต่รอเวลาเน่าเปื่อยผุพังและสลายไปในที่สุด  อาการที่เป็นอย่างนี้คงมีอะไรสักอย่างหายไป  และสิ่งที่หายไปนั่นแหละทำให้นกตาย  ต่างจากนกเป็น  ดูที่ขน  ขา  นิ้ว  หัว  ตัว  คอ  ตา  จมูก  ปาก  อยู่ครบเหมือนเมื่อตอนก่อนตาย  ดังนั้นสิ่งที่หายไปจึงเป็นเหตุให้เกิดความแตกต่างดังกล่าว

            ลองสังเกตอีกตัวอย่างหนึ่ง  คือ  ขณะที่เพื่อนของท่านนอนหลับสนิท  ท่านลองบอกให้เขาคิดโจทย์เลข  สองบวกสองเป็นเท่าไร  แล้วดูว่าเขาแสดงอาการอะไรให้ปรากฏบ้าง  เมื่อเขาตื่นขึ้นมาถามเขาดูว่า  ได้ยินที่ฉันพูดกับเธอขณะหลับหรือเปล่า  เขาจะไม่รู้อะไรเลย  ขณะหลับเขายังคงมีหู  แต่ทำไมเขาไม่ได้ยิน  สมองของเขายังมีอยู่  แต่ทำไมเขาไม่คิดโจทย์เลขที่เราบอกให้  อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนนอนหลับกับคนตื่น  สิ่งที่หายไปในขณะหลับนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดความแตกต่าง  สิ่งที่หายไปในสองกรณีที่ยกเป็นตัวอย่างนั้นคือ  จิต  นกตายเพราะจิตออกหรือหายไปจากตัวนก  คนหลับเพราะจิตตกภวังค์หรือจิตพักการทำงาน  ร่างกายจึงไม่รับรู้สิ่งที่ทดลองนั้น  ในขณะที่จิตยังอยู่กับร่างกายและยังไม่หยุดทำงาน  ทั้งนกและคนต่างเคลื่อนที่ได้  ร้องได้  ตกใจได้  ในทางวิทยาศาสตร์  การเคลื่อนที่  การเคลื่อนไหว  การทำให้เกิดเสียงใด ๆ  เกิดขึ้นได้เพราะมีพลังงานเช่นเดียวกัน  จิตเป็นกลุ่มพลังงานชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ  เป็นพลังงานที่อยู่นอกเหนือการดักจับ หรือวัดได้ด้วยเครื่องมือ วัตถุใด ๆ  ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์ขึ้นใช้ในปัจจุบัน

            การเปิดสวิทซ์ให้กระแสไฟฟ้าเข้ามอเตอร์ทำให้พัดลมหมุนได้  เมื่อปิดสวิทซ์พัดลมหยุดหมุน  ปิดนานห้านาทีก็หยุดหมุนห้านาที  ปิดนานหนึ่งวันก็หยุดหมุนหนึ่งวัน  เช่นเดียวกันเมื่อสวิทซ์ของพลังงานจิตถูกเปิด  นกและคนร้องได้  เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้  เมื่อปิดสวิทซ์ นกและคนร้องไม่ได้  เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนไม่ได้และไม่แสดงอาการโต้ตอบใด ๆ  ในสภาพนี้เรียกว่าจิตอยู่ในภวังค์ พลังงานจิตไม่ทำงาน  ร่างกายจะอยู่ในอาการหลับ  เช่น  การหลับเป็นชั่วโมงเป็นวันของคน  หรือการหลับนานหลายเดือนของตัวแมมมอธในฤดูหนาว

            พลังงานแวดล้อมเมื่อกระทบพลังงานจิต  จะมีการจับ-ปล่อยซึ่งกันและกัน  การจับ-ปล่อย  มีช่วงเวลาสั่นเป็นเสี้ยววินาที  หรือยาวนานจนไม่สามารถวัดได้  พลังงานแวดล้อมมีผลกระทบต่อคุณภาพของพลังงานจิต  เมื่อพลังงานจิตทำงานจะกระทบต่อเนื่องไปถึงพฤติกรรมของคนและสัตว์ที่สามารถวัดได้  เช่น  ทดลองนำสัตว์เลือดอุ่นที่มีพฤติกรรมหลับนานในฤดูหนาว  มาปลุกให้ตื่น  โดยใส่ไว้ในตู้ทดลองที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น  สัตว์ดังกล่าวจะไม่สามารถหลับได้อีกต่อไป  ต้องออกมาดำรงชีวิตตามปกติ  ทั้งนี้  เพราะพลังงานแวดล้อมในตู้ปรับอุณหภูมิไปกระทบพลังงานร่างกาย  และสุดท้ายที่พลังงานจิต  ทำให้คุณภาพของพลังงานจิตเปลี่ยนไป  ในธรรมชาติพลังงานแวดล้อมมีการผันแปรอยู่ตลอดเวลา  เพื่อปรับพลังงานเข้าสู่สมดุล  เดือนมืด-เดือนสว่าง  ข้างขึ้น-ข้างแรม  น้ำขึ้น-น้ำลง  เกิดได้เพราะพลังงานปรับสมดุล ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงพลังงานจิตของคนและสัตว์  ทำให้พลังงานจิตเปลี่ยนไปมีคุณภาพแบบต่าง ๆ  ตามช่วงเวลาของการปรับสมดุลของพลังงานธรรมชาติ  พลังงานจิตที่มีคุณภาพแบบต่าง ๆ  นี้  ทำให้เกิดพฤติกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ที่วัดได้ตามมา  ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์บางคน  สามารถรวบรวมข้อมูลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพลังงานธรรมชาติแล้วไปมีผลกระทบถึงพฤติกรรมของคนและสัตว์  จัดทำเป็นสถิติขึ้นใช้พยากรณ์  ที่หมอดูพูดว่าชีวิตมนุษย์เป็นไปตามดวง  ชีวิตสัตว์ก็เป็นไปตามดวงเช่นกัน  ทั้งนี้เพราะคนและสัตว์ต่างมีจิตเป็นตัวคุมพฤติกรรมด้วยกัน

            ดวงคืออะไร  ?  ดวงเป็นผลรวมเบ็ดเสร็จของพฤติกรรม  การเปลี่ยนคุณภาพของพลังงานจิตในช่วงเวลาต่าง ๆ  กันมีผลกระทบถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน  ผลรวมเบ็ดเสร็จของพฤติกรรม  จึงถูกกำหนดขึ้นเป็นไดอะแกรมที่เรียกว่า  “ดวง” พรานป่า  พรานทะเล  รวมทั้งหมอดูต่างเป็นผู้รู้ดวงของสิ่งมีชีวิตที่ตนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น  คนหรือสัตว์ที่มีพลังงานจิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ  หมอดูหรือนายพรานสามารถทำนายพฤติกรรมได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่  พวกที่มีพลังงานจิตอยู่นอกเกณฑ์ปกติ  หมอดูหรือนายพรานทำนายพฤติกรรมให้ถูกต้องได้ยาก

            เมื่อพูดถึงหมอดู  นักวิทยาศาสตร์สามารถเป็นหมอดูได้  แต่ดูในเรื่องต่างกัน  เช่น  นักอุตุนิยม  ดูเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ  นักเกษตร  ดูเกี่ยวกับการออกดอกผลของต้นพืช  การระบาดของโรคและแมลง  นักธรณีวิทยาดูเกี่ยวกับทรัพยากรใต้ดินใต้น้ำ  ผู้ใดมีข้อมูลมาก  มีข้อมูลละเอียด  มีความสามารถในการแปลผลได้ดี  ก็สามารถทำนายได้ถูกต้องมาก

            การทำงานของพลังงานจิต  นอกจากผลที่แสดงออกในทางพฤติกรรมแล้ว  พลังงานจิตยังมีผลกระทบร่างกายในด้านอื่น ๆ  ที่สามารถวัดได้  เช่น  การเปลี่ยนคุณภาพของพลังงานจิตของคนโดยทั่วไป  ซึ่งตามปกติแล้วทำให้ร่างกายมีอัตราการเต้นของชีพจรประมาณ ๗๔ ครั้งต่อนาที  หายใจประมาณ ๑๘ ครั้งต่อนาที  ความดันเลือดประมาณ ๑๑๐ ต่อ ๗๐ มิลลิเมตรปรอท  ถ้าได้มีการควบคุมพลังงานจิตให้ถูกกระทบจากพลังงานแวดล้อมให้น้อยที่สุด  จนถึงระดับหนึ่ง  ดังเช่นผู้ที่ทำจิตนิ่งในระดับปฐมฌาน  จะทำให้อัตราการเต้นของชีพจรช้าลงกว่าเดิมมาก  หายใจช้าลงกว่าเดิม  ความดันเลือดลดลง  และนอกจากนี้ยังทำให้การใช้ออกซิเจนของร่างกายลดลง  ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ลดลง  สารคอเลสเตอรอล  และสารอื่น ๆ  ในเลือดลดลง  ในทางตรงกันข้าม  ถ้าให้พลังงานแวดล้อมกระทบพลังงานจิตเพิ่มขึ้น  จะทำให้การใช้ออกซิเจนของร่างกาย  ปฏิกริยาเคมีในเซลล์  สารคอเลสเตอรอล  สารคอร์ดิโซน  และสารอื่น ๆ  ในเลือดเพิ่มมากขึ้น  ต่าง ๆ  เหล่านี้สามารถกำหนดการทดลองเป็นขั้นตอน  และวัดได้ด้วยเครื่องมือวัตถุที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันได้

            โรคไม่มีตัวหลายชนิด  เช่นโรคปวดหัว  โรคกระเพาะ  โรคประสาท  โรคบ้า  เกิดขึ้นเพราะพลังงานจิตถูกกระทบในลักษณะต่าง ๆ  กันตลอดเวลา  คิดมาก  วิตกมาก  กังวลมาก  ทำให้พลังงานจิตมีคุณภาพเป็นรูปแบบหนึ่ง  ซึ่งเมื่อมีการทำงาน  พลังงานจิตไปกระตุ้นให้มีการขับน้ำย่อยลงสู่กระเพาะอาหาร  ถ้าพลังงานจิตถูกกระทบตลอดเวลา  น้ำย่อยจะถูกขับออกมาตลอดเวลา  ทำให้ปริมาณน้ำย่อยในกระเพาะมีมาก  อาหารจะถูกย่อยหมดไปโดยเร็ว  เมื่อไม่มีอาหารให้ย่อย  น้ำย่อยจะย่อยผนังกระเพาะ  ย่อยจนถึงระบบประสาท  ทำให้เกิดการเจ็บปวด  และย่อยต่อไปจนผนังกระเพาะทะลุอาจถึงตายได้

            การคิดมากคิดเรื่องต่าง ๆ  คิดซ้ำซาก  คิดไม่หยุด  ทำให้พลังงานจิตมีคุณภาพเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง  ซึ่งเมื่อทำงานจะไปยับยั้งระบบประสาทที่ควบคุมการหลับ จึงเกิดโรคนอนไม่หลับขึ้น  ถ้าพลังงานจิตถูกกระทบแบบต่อเนื่องจะนอนไม่หลับแบบต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย  พลังงานเคมี  พลังงานไฟฟ้าของร่างกายเข้ากระทบพลังงานจิตน้อยลง ๆ  ทำให้พลังงานจิตมีคุณภาพเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถรับสัมผัสกับพลังงานที่อยู่ในมิติอื่นได้แล้ว  เกิดเป็นภาพหลอนขึ้น  ซึ่งบางอย่างทำให้เกิดความตระหนกหวาดกลัว  ถ้าพลังงานจิตถูกกระทบอย่างแรงแล้วไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้  อาจทำให้เสียสติเป็นบ้าดังที่ปรากฏอยู่ในโรงพยาบาลโรคประสาททั้งหลาย  เมื่อใดที่เราสามารถเปลี่ยนพลังงานจิตของคนบ้าให้มาเป็นพลังงานจิตที่มีรูปแบบอยู่ในเกณฑ์ปกติได้  คนบ้าจะหายบ้า  การกินอิ่ม  การนอนหลับ  การออกกำลังกาย  เหล่านี้มีผลทำให้พลังงานเคมี  พลังงานไฟฟ้าของร่างกายเพิ่มขึ้น  ซึ่งจะไปกระทบพลังงานจิตมากขึ้น  และอาจกลับเข้าสู่เกณฑ์ปกติได้  ในรายที่บ้ามาก ๆ  เพียงพลังงานร่างกายเท่านั้นไม่พอ อาจต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเข้าช่วยกระตุ้น  จึงจะทำให้พลังงานจิตเปลี่ยนกลับมาอยู่ในรูปแบบปกติ  และหายบ้าได้

            โรคลมปัจจุบันเช่นเดียวกัน  บางคนตื่นเต้นเป็นลม  ฟังเรื่องหวาดเสียวเป็นลม  เสียใจเป็นลม  เห็นเลือดเป็นลม  ต่าง ๆ  เหล่านี้เกิดเพราะพลังงานจิตถูกกระทบทั้งสิ้น  ซึ่งมีผลทำให้เลือดเข้าไปเลี้ยงสมองไม่พอ  สมองขาดออกซิเจนจึงเกิดเป็นลมหมดสติได้  นอกจากที่กล่าวแล้ว  พลังงานจิตยังมีผลกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมน  การสร้างและทำลายสารเคมีในเซลล์  การเกิดโรคแบบมีตัวและไม่มีตัวอีกหลายชนิด  ซึ่งสรุปแล้วจะเห็นได้ว่าพลังงานจิตเป็นพลังงานสำคัญที่บ่งชี้การมีหรือไม่มีชีวิตของคนและสัตว์  เป็นพลังงานที่มีผลกระทบต่อระบบสรีระของร่างกาย  เป็นพลังงานที่กระทบต่อการเกิดโรคหลายชนิด  กระทบถึงการแสดงออกทางพฤติกรรม  และที่สุดตัวของพลังงานจิตเองที่ทำให้คนเกิดเป็นโรคประสาทชนิดต่าง ๆ  ขึ้นได้  จากจุดนี้เองจึงทำให้สัตว์ต่างจากพืช  คือ  พืชไม่มีพลังงานจิตอยู่ในต้น  สัตว์มีพลังงานจิตอยู่ในตัว  จึงแสดงอาการต่าง ๆ  ได้แตกต่างไปจากพืช

            ต้นพืชและร่างกายสัตว์เป็นก้อนพลังงานที่ประกอบด้วยพลังงานเคมี  พลังงานไฟฟ้า  พลังงานความร้อนและพลังงานอื่น ๆ  ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของร่างกายของสิ่งมีชีวิต  ปฏิกริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในลำต้นภายในร่างกายมีทั้งการสร้างและการทำลายอณูของสาร  สร้างอณูใหม่  ทำลายอณูเก่า  เกิดได้เพราะมีพลังงาน  เมื่อใดพลังงานหยุดการเคลื่อนไหว   หยุดการถ่ายทอดเปลี่ยนแปร  เมื่อนั้นลำต้นพืชหรือร่างกายสัตว์ไม่สามารถคงรูปอยู่ในสภาพที่มีชีวิตได้  ต้นพืชจะตาย  พลังงานจิตจะหลุดออกไปจากร่างกายของสัตว์แล้วสัตว์จะตาย  ก้อนพลังงานที่ก่อรูปเป็นต้นพืช เป็นตัวสัตว์ จะถูกสลายเป็นอณูย่อยแยกย้ายกลับเข้าสู่ธรรมชาติ  เพื่อปรับพลังงานให้อยู่ในสภาพสมดุลต่อไป

            ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นพืชจึงต่างจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ ตรงที่ร่างกายของพืชคือต้นพืชประกอบขึ้นเฉพาะพลังงานร่างกายเท่านั้นก็สามารถมีชีวิตได้  ซึ่งเมื่อใดพลังงานร่างกายของต้นพืชยังไม่หยุดการเปลี่ยนแปรถ่ายทอด  ต้นพืชสามารถคงชีวิตอยู่ได้  ส่วนร่างกายของสัตว์ประกอบขึ้นด้วยพลังงานร่างกายกับพลังงานจิต  ซึ่งทั้งสองกลุ่มของพลังงานทำงานสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น  จะด้วยเหตุใดก็ตามที่พลังงานจิตหลุดออกไปนอกร่างกาย  และพลังงานร่างกายยังคงมีการเปลี่ยนแปรถ่ายทอดอยู่ในระดับของเซลล์  ยังไม่ถือว่าร่างกายนั้นได้ตายไป  จากจุดนี้เคยมีตัวอย่างปรากฏที่คนตายเกิดฟื้นขึ้นหลังจากนำไปบรรจุลงในโลงศพ  หรือกำลังอยู่ในระหว่างพิธีสวด หรือเผา  การวัดการเต้นของชีพจร  การวัดลมหายใจเข้าออกแม้ว่าจะระบุเป็นศูนย์ในเครื่องมือวัดแต่ในระดับเซลล์  ยังอาจมีการหายใจใช้ออกซิเจนอยู่  ยังอาจมีการเปลี่ยนแปรถ่ายทอดพลังงานอยู่  ตัวอาจเย็น  เพราะพลังงานความร้อนที่ถูกแปรจากพลังงานเคมีมีน้อย  อย่างนี้ยังไม่ถือว่าตายแท้จริง  โอกาสอาจมีน้อย  แต่ก็ยังมีโอกาสที่พลังงานจิตสามารถกลับมาสัมพันธ์กับพลังงานร่างกายได้อีก  แล้วทำให้ร่างกายคงมีชีวิตดังเดิมได้

            มีหลายตัวอย่างที่พลังงานจิตมิได้ออกไปนอกร่างกาย  แต่พลังงานจิตถูกพลังงานแวดล้อมกระทบแล้วทำให้สวิทซ์ของพลังงานจิตปิดนานเป็นชั่วโมง  วัน  หลายวัน  ในกรณีดังนี้จะทำให้หมดสติและสลบไปไม่ถือว่าตาย  เพราะพลังงานจิตยังคงสัมพันธ์กับพลังงานร่างกายอยู่  เพียงแต่สวิทซ์ของพลังงานจิตถูกปิดร่างกายจึงไม่รับรู้อะไร  ดังที่ได้ทดลองบอกคนนอนหลับให้คิดโจทย์เลข  คนที่เป็นลม  คนที่ประสบอุบัติเหตุสลบไปเป็นวัน  หรือคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าหญิงนิทรา  จะไม่รับรู้สิ่งกระทบใดทั้งสิ้น

            หากพลังงานจิตหลุดออกไปนอกร่างกายและไม่กลับมาสัมพันธ์กับพลังงานร่างกายอีก  พลังงานร่างกายจะหยุดการเปลี่ยนแปรถ่ายทอด  เมื่อนั้นร่างกายไม่สามารถคงชีวิตอยู่ได้  ก้อนพลังงานที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย  จะถูกย่อยสลายเป็นอณูย่อยและแยกย้ายกลับสู่ธรรมชาติ  เพื่อปรับสมดุลเหมือนที่เกิดกับการแยกย้ายของอณูต้นพืชเช่นกัน

            เมื่อเป็นเช่นนี้โปรดหยุดสักนิด  และคิดดูว่าชีววิทยาอันเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตมีการเรียนการสอนการให้แผ่นกระดาษรับรองความเป็นผู้รู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต  แท้จริงเราเป็นผู้รู้จริงหรือ  ผู้รู้จริงเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตยังต้องประสบปัญหาอันเนื่องมาจากการมีชีวิต  อันเนื่องมาจากสิ่งมีชีวิตอีกหรือ  พืช  เราศึกษาได้ตรงจุด  ส่วนกลุ่มที่เป็นสัตว์เราศึกษาเพียงครึ่งเดียวที่เป็นส่วนเปลือก  คือร่างกาย  พลังงานจิตซึ่งเป็นแก่นสำคัญในการบ่งความมีชีวิต  และทำงานสัมพันธ์แนบแน่นกับร่างกาย  เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ร่างกายปกติ  มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง  อายุยืนยาว  ในทางตรงข้าม  เป็นตัวการทำให้ร่างกายผิดปกติ  ทำให้ร่างกายอ่อนแอ  เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ  ตามมา  ซึ่งกระทบถึงความปกติสุขในการดำรงชีวิต  และการตายในวัยอันไม่สมควรได้  นอกจากนี้จิตยังเป็นตัวการสำคัญที่คุมพฤติกรรมของคนและสัตว์  ซึ่งนับวันจะมีแนวโน้มไปในทางลบเพิ่มขึ้นอีกด้วย 

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว  ทำไมเรามิได้นำจิตมาศึกษาควบคู่ไปกับร่างกาย  เราศึกษาเพียงแค่เปลือกของสิ่งมีชีวิต  แล้วอ้างว่าตนเองเป็นผู้รู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนั้นถูกต้องแล้วหรือ  ลองถอดสิ่งห่อหุ้มออก  แล้วลงให้ลึกศึกษาให้ถึงแก่น  ท่านนั่นแหละจะพบแกนของสิ่งมีชีวิตด้วยตัวท่านเอง  เมื่อเวลานั้นมาถึง  ท่านจะไม่หลงป่าเห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้าอีกต่อไป  ท่านจะหลุดออกมานอกป่า  ได้เห็นป่าที่แท้จริง  แล้วจะเห็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์