ความหมายของสติปัฏฐาน บทนำ ท่านอาจารย์อู บัณฑิตา มักจะกล่าวถึงความหมายของสติปัฏฐานอยู่เสมอ โดยอาศัยหลักนิรุกติศาสตร์ (การศึกษาว่าด้วยกำเนิดและความหมายของคำ) ในการอธิบายวิธีที่ถูกต้องในการกำหนด และเฝ้าดูอารมณ์ทางกายและทางจิตที่เกิดขึ้นในระหว่างการเจริญกรรมฐาน การขยายความของคำว่า สติปัฏฐาน โดยละเอียด พิสดาร และสามารถนำมาปฏิบัติได้จริงนี้ นับเป็นคุณูปการของท่านอาจารย์อย่างแท้จริง เป็นสูตรสำเร็จสำหรับการปฏิบัติธรรมให้ได้ผล และหากนำมาปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแล้ว ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมอย่างรวดเร็ว ประโยชน์ ๗ ประการของการเจริญสติ การเจริญสติปัฏฐานเป็นการ ปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์ หมดจดของจิต เพื่อระงับความเศร้าโศก พิไรรำพัน เพื่อดับทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจลงอย่างสิ้นเชิง เพื่อดำเนินเข้าสู่อริยมรรค และเพื่อรู้แจ้งพระนิพพาน ความหมายของคำว่า สติปัฏฐาน สติปัฏฐาน เป็นคำภาษาบาลีที่มักจะแปลกันโดยทั่วไปว่าฐาน (ที่ตั้ง) ของสติทั้ง ๔ ฐาน อย่างไรก็ตามเราอาจทำความเข้าใจความหมายที่สมบูรณ์ของคำว่า สติปัฏฐาน ได้โดยการแยกคำสมาสนี้ออกเป็นส่วน ๆ แล้วพิจารณาองค์ประกอบของคำสมาสนี้ทีละคำ และพิจารณาความหมายโดยรวมอีกครั้ง
สติ + ปฏฺฐาน หรือ สติ + ป + (ฏ) ฐาน คำว่า สติ มีรากศัพท์มาจากคำว่า สํสรติ ซึ่งแปลว่า การจำ แต่เมื่อกล่าวโดยนัยของสติเจตสติ สติ จะหมายถึงการระลึกได้ในอารมณ์ การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ การระลึกรู้ความตื่นตัวทั่วพร้อม และความใส่ใจไม่ประมาท มากกว่าการจดจำเรื่องในอดีต ปฏฺฐาน หมายถึง การสร้างขึ้น การนำมาใช้ การทำให้ปรากฏขึ้นและตั้งอยู่อย่างแนบแน่นและมั่นคง เมื่อนำคำทั้งสองมารวมเข้าด้วยกัน คำว่า สติปัฏฐาน จึงหมายถึง การทำให้สติเกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างแน่นแฟ้น มั่นคง และแนบสนิทกับอารมณ์ที่กำลังกำหนดรู้อยู่ การระลึกรู้เช่นนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สุปฺปติฏฺฐิต สติ หรือ สติที่ตั้งมั่นด้วยดี ฐานทั้งสี่ของสติ การดำรงสติไว้ที่ฐานทั้งสี่มีสาระสำคัญเหมือนกันเพียงประการเดียวก็คือ การน้อมจิตมาระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างมีสติ ฐานทั้งสี่นี้จำแนกออกตามอารมณ์หรือสิ่งที่จิตไปกำหนดรู้ ๔ อย่าง คือ ๑. ร่างกาย (กาย) ๒. ความรู้สึก (เวทนา) ๓. สภาวะการระลึกรู้ของจิต (จิต) และ ๔. อารมณ์ที่จิตเข้าไประลึกรู้ (ธรรม) ประการหลังนี้หมายรวมถึงสภาพธรรมต่าง ๆ เช่น นิวรณ์ทั้งห้า ขันธ์ห้า อายตนะภายในทั้งหก อายตนะภายนอกทั้งหก โพชฌงค์เจ็ด และอริยสัจสี่ด้วย สติ คำว่า mindfulness (ความรู้ตัวทั่วพร้อม) ได้กลายมาเป็นคำแปลภาษาอังกฤษของ สติ ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป อย่างไรก็ตามคำแปลนี้ยังไม่สมบูรณ์ทีเดียว ความจริง พลังในการเฝ้าสังเกต (observing power) น่าจะเป็นคำแปลที่เพียงพอและเหมาะสมกว่า ความหมายที่ครบถ้วนสมบูรณ์ของคำๆ นี้อาจอธิบายได้ด้วยการพิจารณาลักษณาการต่าง ๆ ของสติ เช่น ลักษณะ หน้าที่ ผล เหตุใกล้ และคุณสมบัติที่สำคัญอื่น ๆ ของสติ
ความไม่ผิวเผินฉาบฉวย ลักษณะของสติ คือ ความไม่ซัดส่ายไปมา หรือการระลึกได้ในอารมณ์อยู่เนือง ๆ กล่าวคือ ไม่ล่องลอยไปจากอารมณ์กรรมฐาน (อปิลาปนลกฺขณา) พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวเปรียบเทียบว่าเหมือนกับลูกฟักทองที่คว้านเอาไส้ในออกจนกลวง ตากแห้งแล้วโยนลงไปในน้ำ ลูกฟักทองแห้งย่อมลอยขึ้นลงอยู่บนผิวน้ำนั้น ในทำนองเดียวกัน จิตที่เฝ้าสังเกตและกำหนดรู้อารมณ์ก็ไม่ควรที่จะรับรู้อารมณ์อย่างผ่านเลย ฉาบฉวย ตรงกันข้าม จิตควรที่จะดิ่งหรือจมลึกลงไปในอารมณ์ที่กำหนดรู้ นั้น เช่นเดียวกับการขว้างก้อนหินลงไปในน้ำ ก้อนหินนั้นก็จะจมหรือดิ่งลงไปสู่ก้นบึ้งของท้องน้ำ สมมติว่าผู้ปฏิบัติกำลังเฝ้าดูท้อง (พอง ยุบ) เป็นอารมณ์ในการเจริญสติปัฏฐานอยู่ ผู้ปฏิบัติจะต้องพยายามรวมพลังในการระลึกรู้ให้จรดอยู่ที่อารมณ์หลักนี้อย่างมั่นคงแนบแน่น เพื่อไม่ให้จิตซัดส่ายออกไป จิตจะดิ่งลึกลงไปแนบแน่นอยู่กับกระบวนการพองยุบ และเมื่อจิตเข้าไปประจักษ์แจ้งธรรมชาติ ของกระบวนการนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติก็ สามารถเข้าใจถึงลักษณะที่แท้จริง ของกระบวนการดังกล่าว ทั้งความเคร่งตึง ความกดดัน ความเคลื่อนไหว ฯลฯ
ไม่พลาดจากการระลึกรู้อารมณ์ หน้าที่หรือกิจของสติก็คือการ ทำให้ปราศจากความสับสน หรือหลงลืม (อสมฺโมสรสา) กล่าวคือการกำหนดรู้ของจิตนี้จะต้องมีความต่อเนื่องอย่างยิ่ง ไม่เคลื่อนคลาดหลงลืมหรือปล่อยให้อารมณ์กรรมฐานหายไปจากการระลึกรู้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หน้าที่ของสติคือการประคับประคองให้อารมณ์กรรมฐานปรากฏชัดอยู่ในความระลึกรู้ของผู้ปฏิบัติตลอดเวลา เช่นเดียวกับนักฟุตบอลที่ไม่เคยปล่อยให้ลูกบอลหลุดรอดไปจากสายตา หรือนักกีฬาแบดมินตันกับลูกขนไก่ หรือนักมวยกับความเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ เช่นเดียวกันผู้ปฏิบัติจะไม่ปล่อยอารมณ์กรรมฐานให้คลาดไปจากการกำหนดรู้ได้เลย
การเผชิญหน้าหรือจดจ่อต่ออารมณ์และการคุ้มครองป้องกันจิต สติก่อให้เกิดผล ๒ อย่าง คือ การจดจ่อต่ออารมณ์กรรมฐาน และการอารักขาป้องกันจิต การจดจ่อต่ออารมณ์ ผลของการมีสติจะเห็นได้ชัดจากสภาพการเผชิญหน้าหรือจดจ่อต่ออารมณ์ กล่าวคือ สติทำให้จิตเข้าไปเผชิญหรือประจันหน้ากับอารมณ์ตรง ๆ (วิสยาภิมุขภาวปจฺจุปฏฺฐานา) โดยสติจะปรากฏเป็นสภาวะของจิต (ภาวะ) ที่กำลังเผชิญหน้าโดยตรง (อภิมุข) หรือจดจ่ออยู่กับอารมณ์ที่กำหนดรู้อยู่ (วิสย) กล่าวกันว่าใบหน้านั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงลักษณะนิสัย ดังนั้นหากเราประสงค์จะรู้ลักษณะและนิสัยใจคอของใครสักคนหนึ่ง เราก็ต้องเผชิญหน้ากับคนผู้นั้นโดยตรง แล้วตรวจสอบดูหน้าตาของเขาอย่างถี่ถ้วน ด้วยวิธีนี้การตัดสินใจของเราจึงจะมีความถูกต้อง แต่หากเรายืนอยู่ในมุมเฉียง อยู่ข้างหลัง หรืออยู่ห่างจากตัวบุคคลนั้น เราก็คงไม่สามารถแยกแยะลักษณะที่โดดเด่นในใบหน้าของบุคคลผู้นั้นได้ ในทำนองเดียวกัน ในขณะที่ผู้ปฏิบัติกำลังเฝ้าดูอาการพองของท้องอยู่นั้น หากจิตของผู้ปฏิบัติเข้าไปเผชิญหน้าหรือจดจ่ออยู่กับอาการพองโดยตรงแล้ว ผู้ปฏิบัติก็จะ สังเกตเห็นความรู้สึกหลายอย่างที่แตกต่างกันในอาการพองนั้น เช่น ความเคร่งตึง ความกดดัน ความร้อน ความเย็น หรืออาการเคลื่อนไหว
ความคุ้มครองรักษาจิต หากจิตที่ตามระลึกรู้อารมณ์อยู่นั้นสามารถประคับประคองความจดจ่อต่ออารมณ์ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ผู้ปฏิบัติก็จะพบว่าจิตมีความบริสุทธิ์อย่างยิ่งซึ่งเป็นผลของการที่จิตปราศจากกิเลส (เครื่องเศร้าหมอง) ความบริสุทธิ์นี้เป็นผลประการที่สองของสติ กล่าวคือการปกป้องคุ้มครองจิตจากการจู่โจมของกิเลส (อารกฺขปจฺจุปฏฺฐานา) ตราบที่มีสติคุ้มครองอยู่ กิเลสจะไม่มีโอกาสล่วงล้ำเข้าสู่กระแสการรับรู้อารมณ์ได้เลย
สติอาจเปรียบได้กับยามเฝ้าประตูที่ทำหน้าที่ดูแลอายตนะทั้งหก ยามเฝ้าประตูจะไม่ยอมให้คนร้ายหรือผู้ที่ไม่ปรารถนาดีผ่านประตูเข้ามาได้ แต่จะยอมให้คนที่ดีมีประโยชน์ผ่านเข้ามาเท่านั้น สติก็เช่นกันจะไม่ยอมให้อกุศลเข้ามาทางอายตนะทั้งหลาย แต่ยินยอมให้กุศลผ่านเข้ามาได้เท่านั้น โดยการกีดกันอกุศลไม่ให้กล้ำกรายเข้ามา จิตจึงได้รับการอารักขาคุ้มครอง
เหตุใกล้ของสติ ปัจจัยอันเป็นเหตุใกล้ที่ช่วยให้สติเจริญขึ้น ก็คือการกำหนดหมายหรือจำได้หมายรู้อย่างมั่นคง (ถิรสญฺญา ปทฏฺฐานา) และสติปัฏฐาน ๔ (กายาทิสติปฏฺฐาน ปทฏฺฐานา)
ความจำได้หมายรู้ที่มั่นคง เพื่อให้สติระลึกรู้อยู่กับอารมณ์ ความจำได้หมายรู้ที่หนักแน่น และมั่นคง (ถิร) เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งการกำหนดหมายหรือจำได้หมายรู้ (สัญญา) มีความหนักแน่นมั่นคงและแน่วแน่มากเท่าใด สติก็จะยิ่งมีความหนักแน่นมั่นคง และแน่วแน่มากขึ้นเท่านั้น ความจำได้หมายรู้นั้นมีหน้าที่อยู่สองประการคือ การบันทึก และการระลึกรู้สภาพธรรมที่มีการปรุงแต่งขึ้นทั้งหลาย (สังขาร) โดยไม่จำกัดว่าสิ่งนั้นจะเป็นกุศลหรืออกุศล สัญญา อาจเปรียบได้กับการอัดเทปคำพูดลงในเทปวิทยุหรือเทปวีดีโอ การบันทึกเทปนั้นเกิดขึ้น โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหา หรือคุณภาพของเสียงพูดนั้น แต่การบันทึกที่มีความชัดเจน คุณภาพสูง เช่นการอัดเสียงคอนเสิร์ตเพลงคลาสสิค หรือโอเปร่าลงบนแผ่นซีดีด้วยระบบดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุด ย่อมทำให้เสียงที่ออกมาภายหลัง (เปรียบได้กับสติ) มีความแจ่มชัด หนักแน่น ไพเราะน่าประทับใจ ยามที่นำแผ่นซีดีนั้นกลับมาเปิดใหม่ ในทำนองเดียวกัน ความจำได้หมายรู้อารมณ์กรรมฐานอย่างมั่นคง แจ่มชัด (โดยการกำหนดรู้ธรรมดา หรือการกำหนดรู้โดยใช้คำพูดในใจประกอบ) จะเป็นปัจจัยสนับสนุนอย่างดียิ่งให้เกิดสติที่เข้มแข็ง แจ่มชัด และแนบแน่น
สติปัฏฐานสี่ เหตุใกล้อีกประการหนึ่งของสติได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ (กายาทิสติปฏฺฐานปทฏฺฐานา) กล่าวคือ สตินั่นเองเป็นสาเหตุให้สติเจริญยิ่งขึ้น ความจริงสติที่เจริญขึ้นก็เป็นผลจากการสั่งสมพลังสติแต่ละขณะอย่างต่อเนื่อง สติในขณะจิตหนึ่งก่อให้เกิดสติในขณะจิตต่อ ๆ ไป กระบวนการนี้เทียบได้กับกระบวนการสั่งสมความรู้ (การศึกษา) หากว่านักเรียนเป็นคนที่ตั้งอกตั้งใจ และทำการบ้านด้วยความเคารพและใส่ใจ แล้ว ความรู้ที่เขาได้รับจากบทเรียนเบื้องต้น ก็จะทำให้เขาเข้าใจบทเรียนในขั้นสูง ๆ ขึ้นไปได้ การศึกษาชั้นประถมก็เป็นเหตุให้สามารถศึกษาในระดับมัธยมได้ และความรู้ในชั้นมัธยมก็เป็นพื้นฐานสำหรับระดับวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยต่อไป โดยสรุปก็คือ สตินั่นเองเป็นสาเหตุให้สติเจริญและมั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้น
เท่าทันปัจจุบัน การระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ควรมีอะไรมาแบ่งกั้นระหว่างอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและการกำหนดรู้ของจิต อารมณ์ที่เกิดขึ้นและจิตที่กำหนด ไม่ควรเกิดขึ้นโดยมีระหว่างคั่น การกำหนดรู้อารมณ์ที่ปรากฏขึ้น ควรเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีไม่มีความล่าช้าแม้แต่น้อย ทันทีที่อารมณ์เกิดขึ้นผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรู้และเฝ้าสังเกตทันที หากการกำหนดรู้ของผู้ปฏิบัติเคลื่อนคลาดออกไป การปรากฏของสภาพธรรมก็จะผ่านพ้นไปก่อนที่ผู้ปฏิบัติจะน้อมจิตไประลึกรู้อารมณ์นั้น ผู้ปฏิบัติย่อมไม่สามารถรับรู้อารมณ์ที่เป็นอดีต หรืออนาคตได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง และหากผู้ปฏิบัติไม่ได้ใส่ใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบันอารมณ์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็เรียกได้ว่าผู้ปฏิบัติมิได้เจริญวิปัสสนาและมิได้อยู่กับความเป็นจริงอีกต่อไป การเกิดขึ้นพร้อมกัน การเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันของการกำหนดรู้ และอารมณ์กรรมฐานนั้นเป็นลักษณะที่สำคัญของสติ ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น จิตก็จะน้อมระลึกรู้อารมณ์นั้น ๆ พร้อม ๆ กับที่อารมณ์ปรากฏขึ้นอย่างประสานสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สติที่พิเศษเหนือธรรมดา พยางค์ ปะ ในคำว่า สติ - ป - (ฏ) ฐาน บ่งชี้ว่าสตินั้นจะต้องพิเศษหรือธรรมดา หรือมีความโดดเด่น (วิสิฏฺฐ) มากล้น เข้มข้น จดจ่อ และต่อเนื่อง (ภุสตฺถ) ยิ่งกว่าสติโดยทั่วไป การมีสติตามปรกติธรรมนั้น ไม่เพียงพอ เลยในการเจริญสติปัฏฐานภาวนาอย่างจริงจังเข้มข้น จากนี้เราจะศึกษาลักษณะข้างต้น ตลอดจนความหมายของพยางค์ ปะ ในเชิงการปฏิบัติภาวนาต่อไป
การแล่นออกไปโดยเร็ว (ปกฺขนฺทิตฺวา ปวตฺตติ) พยางค์ ปะ ในคำว่า สติ - ป - (ฏ) ฐาน อาจตีความได้ว่ามาจากคำว่า ปกฺขนฺทน กล่าวคือ ความเร่งรีบ กระโจนหรือพุ่งเข้าไป ทันทีที่สภาพธรรมซึ่งเป็นอารมณ์กรรมฐานเกิดขึ้น จิตจะต้องพุ่งทะยานออกไปและจมลึกลงไปในอารมณ์กรรมฐานนั้นอย่างมีพลังแรงกล้า และกล้าหาญ จิตจะถาโถมเข้าใส่อารมณ์นั้นอย่าง ไม่ลังเล ไม่ยั้งคิด ใคร่ครวญ วิเคราะห์ จิตนาการ สงสัย ไตร่ตรอง คาดเดา หรือเพ้อฝันใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นอาการ แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว นี้จึงประกอบด้วย ลักษณะหลาย ๆ อย่างด้วยกันคือ การเคลื่อนไหวที่ รวดเร็ว ฉับไวทันทีทันใด พร้อมด้วยความรุนแรง หรือด้วยพละกำลังความเข้มแข็ง และความกระฉับกระเฉงอย่างยิ่งยวด อุปมา : เหมือนการเร่งรีบส่งผู้ป่วยในโรงพยาบาล การจู่โจมเข้ายึด ตะครุบ หรือจับกุม อย่างเฉียบพลัน การโจมตีอย่างฉับไว การประจัญบาน อุปมา : เหมือนกองทหารเข้ายึดและพิฆาตกองกำลังของศัตรู ด้วยการโจมตีที่รุนแรง แบบเบ็ดเสร็จรวดเดียว อาการที่ฝูงชนแห่กันไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดพร้อม ๆ กัน อุปมา : เหมือนฝูงคนเบียดเสียดกันเข้าประตูสนามแข่งขันฟุตบอลก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น การทำอะไรด้วยความเร่งด่วน รวดเร็วและเร่งรีบเกินธรรมดา อุปมา : เหมือนคนที่กำลังยุ่งอยู่กับงานที่อาจกล่าวว่า ผมกำลังรีบสุดขีดเลย หรือ เหมือนคำกล่าวที่ว่า จงตีเหล็กเมื่อยังร้อน ผู้ปฏิบัติก็เช่นกันต้องกำหนดรู้และสังเกตดูอารมณ์ทันทีเมื่ออารมณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้น สด ๆ ร้อน ๆ ผู้ปฏิบัติไม่ควรกำหนดรู้แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ การระลึกรู้จะต้องไม่หย่อนยาน อืดอาด ไม่ใส่ใจ และไม่ล่าช้าหรือจับจ้องเกินไปจนไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ จิตที่กำหนดรู้จะต้องไม่ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย ไม่มีเวลาสำหรับความนึกคิดใด ๆ ผู้ปฏิบัติไม่ควรตามระลึกรู้อารมณ์แบบสบาย ๆ เกินไปหรือละล้าละลัง แต่ต้อง ถาโถมเข้าใส่ปัจจุบันอารมณ์อย่างถูกตรง สม่ำเสมอ
การเข้าไปรับรู้อารมณ์อย่างแนบแน่นมั่นคง (อุปคฺคณฺหิตฺวา ปวตฺตติ) ในขณะที่ชาวนาเกี่ยวข้าว มือข้างหนึ่งของเขาจะต้องจับรวงข้าวอย่างมั่นคง เขาจึงจะใช้เคียวเกี่ยวข้าวได้สำเร็จ ในทำนองเดียวกัน ผู้ปฏิบัติจะต้องจับ (กำหนดรู้) อารมณ์กรรมฐานได้อย่างแนบแน่นมั่นคง เพื่อมิให้จิตเลื่อนไหลหลุดลอยไปหรือเคลื่อนคลาดไปจากการระลึกรู้ปัจจุบันอารมณ์ เมื่อสติมีความมั่นคงมากขึ้น ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถจับหรือเข้าไประลึกรู้อารมณ์หยาบ ๆ ได้อย่างแนบแน่นมากขึ้น และเมื่อฝึกปฏิบัติต่อไป จิตก็สามารถกำหนดรู้ และตั้งอยู่กับอารมณ์ที่ละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้น และในที่สุดแม้แต่อารมณ์ที่สุขุมลุ่มลึกมาก ๆ ก็สามารถกำหนดรู้ได้อย่างมั่นคง ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงควร พยายามเข้าไปรับรู้อารมณ์ทางกายให้ได้ชัดเจนก่อนที่จะพยายามกำหนดอารมณ์ทางจิตที่สุขุมลุ่มลึกมากขึ้น เช่นเจตนาความคิดต่าง ๆ ฯลฯ
กำหนดรู้อารมณ์อย่างถ้วนทั่ว ( ปตฺถริตฺวา ปวตฺตติ ) การกำหนดรู้ของจิตนั้นต้องครอบคลุมอารมณ์นั้น ๆ โดยถ้วนทั่ว แผ่ออกไป โอบล้อมห่อหุ้มอารมณ์นั้นทั้งหมด มิใช่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง และกำหนดรู้ตั้งแต่ต้นตลอดท่ามกลาง และสิ้นสุด
ความต่อเนื่องไม่ขาดสาย ( ปวตฺตติ ) ในทางปฏิบัติการกำหนดรู้อารมณ์ในลักษณะนี้ หมายความว่า จิตที่กำหนดรู้ และสังเกตดูอารมณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นจะต้องมีความต่อเนื่อง กล่าวคือ การเจริญสติขณะหนึ่งจะต้องเชื่อมต่อกับการเจริญสติในอีกขณะหนึ่ง ทุก ๆ ขณะ ต่อเนื่องกันไป สติที่เกิดขึ้นในขณะแรกจะต้องต่อเนื่องกับสติในขณะถัดไปโดยไม่มีช่องว่าง กล่าวโดยย่อก็คือผู้ปฏิบัติควรจะประคองสติให้ดำรงอยู่เสมอ
อุปมา : หากมีช่องว่างระหว่างแผ่นกระดานปูพื้นสองแผ่น ฝุ่นและทรายก็อาจแทรกเข้าไปได้ หากสติไม่มี ความต่อเนื่องและมีช่องว่างอยู่ กิเลสก็อาจแทรกซึมเข้ามาได้ ในสมัยก่อนคนจุดไฟด้วยการนำท่อนไม้สองท่อนมาถูกัน หากผู้จุดไฟไม่ขัดสีไม้อย่างต่อเนื่อง แต่ทำไปหยุดไปแล้ว ไฟก็ไม่อาจติดขึ้นได้เลย ในทำนองเดียวกัน หากสติไม่มีความต่อเนื่อง ผู้ปฏิบัติย่อมไม่อาจจุดประกายไฟแห่งปัญญาขึ้นได้เลย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในการกำหนดรู้หรือการเจริญสติอยู่กับอารมณ์ใด ๆ ผู้ปฏิบัติไม่ควรปล่อยให้มีช่องว่าง แต่ต้องรักษาความต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ควรเป็นไปในลักษณะทำ ๆ หยุด ๆ ผู้ที่ปฏิบัติแบบทำไปหยุดไปเพื่อพักผ่อนเป็นช่วง ๆ และเริ่มใหม่ มีสติประเดี๋ยวประด๋าว และหยุดเพื่อฟุ้งฝันเป็นช่วง ๆ นั้น ได้ชื่อว่า โยคีกิ้งก่า (คือ ทำ ๆ หยุด ๆ ไม่เอาจริงเอาจัง - ผู้แปล)
ไม่บังคับกะเกณฑ์ กระบวนการกำหนดรู้และสังเกตดูอารมณ์ที่ปรากฏทางกายและทางใจนี้ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของสามัญลักษณะ แห่งความไม่มีตัวตนที่จะบังคับบัญชาได้ (อนัตตา) กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความระมัดระวังอย่างใหญ่หลวงในการเฝ้าดูอารมณ์ต่าง ๆ โดยไม่เข้าไปบังคับกะเกณฑ์ ควบคุมหรือบงการใด ๆ ผู้ปฏิบัติควรจะเพียงแต่ดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ มิใช่มองหาสิ่งที่คาดหวัง หรือปรารถนาให้เกิดขึ้น
มาถึงตรงนี้ เราจะกล่าวว่า สติปัฏฐานคืออะไรกันเล่า สติปัฏฐานก็คือ การดำรงสติอยู่กับอารมณ์ใด ๆ โดยแล่นเข้าไประลึกรู้อารมณ์อย่างรวดเร็ว ถูกตรง ลุ่มลึก และครอบคลุม โดยถ้วนทั่ว เพื่อให้สติตั้งอยู่กับอารมณ์อย่างแนบแน่นมั่นคง เมื่อกำหนดว่า พองหนอ จิตก็จะเข้าไปรับรู้อารมณ์ที่กำหนดรู้อยู่ กล่าวคือ อาการพองของท้อง ความระลึกรู้ของจิตจะแล่นเข้าใส่อารมณ์อย่างรวดเร็วแล้วแผ่ขยายออกครอบคลุมอารมณ์นั้น จนจิตแนบแน่นอยู่กับอารมณ์ หรือสภาพธรรมดังกล่าว กระบวนการเช่นนี้จะดำเนินต่อไป ขณะที่กำหนดรู้อาการยุบ รวมตลอดถึงอารมณ์อื่น ๆ ที่ปรากฏขึ้นทางกายและทางจิต ดังนั้นโดยสรุป สติต้องมีพลังรอบด้าน เข้าประชิดจดจ่อกับอารมณ์ตรง ๆ สติจะต้องถาโถมเข้าใส่อารมณ์ ห่อคลุมอารมณ์โดยถ้วนทั่วบริบูรณ์ ทะลุทะลวงเข้าไปในอารมณ์ และไม่พลาดแม้เศษเสี้ยวของอารมณ์ที่กำหนดรู้อยู่เลย หากสติของผู้ปฏิบัติมีคุณสมบัติเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติย่อมเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว และเมื่อการปฏิบัติมีความสมบูรณ์เต็มรอบแล้ว ย่อมเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างแน่นอน
สติปัฏฐาน โดยย่อ ดำรงสติอย่างแนบแน่นมั่นคง ไม่ผิวเผินฉาบฉวย ไม่พลาดจากการระลึกรู้อารมณ์ จดจ่อต่ออารมณ์ ปกป้องจิตจากการจู่โจมของกิเลส การจำได้หมายรู้ที่ชัดเจนมีพลัง สติเหนี่ยวนำให้สติเจริญขึ้น เร่งรีบและดิ่งลึกลงไป จับอารมณ์ให้มั่น ครอบคลุมอารมณ์โดยถ้วนทั่ว ทันทีทันใด ต่อเนื่องไม่ขาดสาย เท่าทันปัจจุบัน ไม่บังคับกะเกณฑ์
|