1

 

 

 


                                                                
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1051-1100

1100.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

ผมมีคำถามที่ขอกราบเรียนถามท่านดังนี้ครับ
1. เคยได้ยินมาว่าการตักบาตรพระที่ออกจากนิโรธกรรมนั้นเป็นบุญใหญ่ แต่จะได้บุญใหญ่นั้นก็แต่เฉพาะผู้ที่ใส่บาตรเป็นคนแรกเท่านั้น ผมเลยไม่แน่ใจว่า ถ้ามีผู้ไปต่อคิวใส่บาตรพระท่านเป็นร้อยๆคนจะได้อานิสงค์บุญใหญ่เท่ากับคนที่ใส่คนแรกหรือไม่ครับ และถ้าเราไม่ว่างจะเดินทางไปที่วัดที่เชียงใหม่ จะบริจาคโดยโอนเงินเป็นเจ้าภาพโรงเจในงานตักบาตรพระที่ออกจากนิโรธกรรมร่วมกับชมรมกัณยาณธรรม จะได้อนิสงค์เท่ากับเราไปร่วมตักบาตรเองหรือไม่ครับ

2. การเก็บกระดูกของคุณแม่ไว้บูชา จะทำให้วิญญานท่านยังวนเวียนอยู่กับกระดูกหรือไม่ครับ บางท่านก็แนะนำว่าควรจะนำกระดูกคุณแม่ใส่ไว้ใต้ฐานพระพุทธรูป (พระพุทธชินราช) แล้วถวายให้วัด บางท่านก็แนะนำให้ลอยอังคารในแม่น้ำไปทั้งหมดเลย ส่วนพระพุทธรูปก็ถวายวัดไปโดยไม่ต้องใส่กระดูก ไม่ทราบว่าอย่างไหนจะเป็นผลดีกับคุณแม่และลูกๆมากกว่ากันครับ

3. การใส่บาตรให้กับคุณแม่ซึ่งพึ่งเสียชีวิตไป มีบางท่านบอกว่าคุณแม่อาจจะไม่ได้รับเพราะท่านอาจจะอยู่ในที่ๆรับไม่ได้ การใส่บาตรจะมีผู้ที่ได้รับก็ต่อเมื่อให้กับเปรตบางประเภทเท่านั้น ไม่ทราบว่าเป็นความจริงเพียงใดครับ เพราะเวลาผมใส่บาตรก็จะอุทิศให้กับคุณแม่อยู่เสมอครับ

ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ

คำตอบ
  (๑) คนแรกที่ใส่บาตรได้บุญมากที่สุด คนที่ใส่บาตรถัดๆไปได้บุญรองลงมา ส่วนคนร่วมบริจาคทั้งโรงทาน จะได้อานิสงส์แห่งทานมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความศรัทธาก่อนบริจาค ขณะบริจาคตั้งใจ บริจาคแล้วสบายใจ หากสามปัจจัยมีกำลังมาก บุญที่เกิดจากการบริจาคฯ ย่อมมีมาก หากสามปัจจัยของผู้บริจาคมีกำลังน้อย ผู้บริจาคย่อมได้บุญน้อย

  (๒) คนหลงเอาจิตไปเป็นทาสของวัตถุ (กระดูก) จึงหลงว่ากระดูกเป็นของตัว เมื่อถึงวาระที่ต้องทิ้งขันธ์ลาโลก จิตวิญญาณจะวนเวียนเฝ้าอยู่แต่กระดูกของตัว โคจรไปไหนได้ไม่ไกลด้วยยังมีจิตผูกพันอยู่กับกระดูก ตรงกันข้ามผู้เห็นถูก เห็นว่าสรรพสิ่งมีเกิดขึ้นแล้วดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสรรพสิ่งหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา สรรพสิ่งจึงไม่ใช่ตัวตน จิตที่เห็นถูกจึงปล่อยวางสรรพสิ่ง แล้วจิตมีอิสระต่อสรรพสิ่งรวมถึงกระดูก ซึ่งเป็นวัตถุของธรรมชาติที่ต้องคืนกลับสู่ธรรมชาติดั้งเดิม ฉะนั้นปัญหาของผู้เป็นลูกจึงอยู่ที่ว่า เป็นผู้มีความเห็นถูกหรือเห็นผิด ถ้าเห็นถูกก็นำกระดูกส่งคืนกลับสู่ธรรมชาติ ถ้าเห็นผิดก็นำกระดูกไปใส่ไว้ใต้ฐานของพระพุทธรูป ส่วนผู้เป็นแม่ที่ล่วงลับต้องเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวของท่านเอง ไม่มีใครเลือกแทนใครได้

  (๓) ถูกของผู้ที่พูด แต่ผู้มีประสบการณ์รู้ว่า จิตวิญญาณที่โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพภูมิที่สามารถสื่อถึงกันได้ เมื่อรับรู้ว่ามีผู้อุทิศบุญให้ แล้วตัวเองมาอนุโมทนาบุญ ผู้ที่ตายไปเป็นสัตว์เดรัจฉานยังสามารถมารับอาหารเป็นทาน (บุญ) ได้ ผู้ที่ตายไปเป็นสัมภเวสียังสามารถรับบุญได้ พุทธมารดาที่ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ยังลงมารับธรรมทาน (บุญ) จากพระพุทธะที่ขึ้นไปโปรดอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ฯลฯ
  

1099.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ดร. สนองที่เคารพอย่างสูง

   ดิฉันมีปัญหาคือ เรื่องของการนอน คือ นอนไม่หลับ มีปัญหาตั้งแต่ช่วงตอนอายุ 35 ปัจจุบันอายุ 54 บางทีนอนตี3-4 กว่าจะหลับ ลึกๆนั่งๆอยู่อย่างนั้น และก็เดินไปเดินมา ทรมานเหลือเกิน จะทำอย่างไรดี
 
มีคำถามอยากจะถามคือ
1.ต้องทำบุญอะไรถึงจะช่วยได้ และหาย
2.สาเหตุที่นอนไม่หลับมาจากอะไรค่ะ กรรมเก่าที่ทำอะไรเอาไว้หรือเปล่า และจะแก้ไขอย่างไรดี
3.ดิฉันค้าขาย ควรทำบุญอย่างไรการค้าจึงจะดี ให้มีลูกค้าเยอะ
ขอบคุณ ดร.สนองมากค่ะ

คำตอบ
   (๑) ต้องทำบุญใหญ่ คือ จิตตภาวนาแล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ ปัญหาจึงจะหมดไปได้

   (๒) เหตุตรงที่ทำให้นอนไม่หลับคือ การขาดสติ เมื่อใดพัฒนาจิตตามวิธีสมถภาวนา จนจิตมีสติคุม อาการนอนไม่หลับจึงจะหายไปได้

   (๓) ต้องประพฤติตนให้มีศีล ๕ คุมใจ หรือทำดวงให้ดีด้วยการประพฤติทาน ศีล ภาวนาอยู่เสมอ แล้วจะทำให้การค้าขายดี มีลูกค้ามาก
  

1098.
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง.
  
ผมเริ่มรู้จักกลุ่มกัลยาณธรรมเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง(2552)
รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากและเป็นปีที่พิเศษมากๆ
โดยส่วนตัวสนใจเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมมาโดยตลอดตั้งแต่ได้บวชเรียนเมื่อตอนเป็นพระ (2544)
แต่ในขณะนั้นได้แต่เรียนธรรมไม่ได้ปฏิบัติ อาศัยว่าอ่านพระไตรปิฎกที่อยู่ในตู้เอาเอง
และลองนั่งสมาธิดู

ผมขอรบกวนสอบถามเกี่ยวกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในการนั่งทำสมาธิครับ
   1.ในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้นจิดได้จดจ่ออยู่กับการพอง-ยุบของหน้าทองโดยตลอด
ระยะเวลาที่ใช้ในการนั่งสมาธินั้นก็ประมาณตั้งแต่ครี่งชั่วโมงถึงหนึ่งชัวโมง ในหนึ่งวันก็จะนั่ง 2-3 ครั้ง ช่วง 4-5 ทุ่ม และ ตี 4-5 ของทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเห็นนิมิตใดๆ เพราะกลัวว่าจิตจะพิจารณาออกนอกกาย ก็เลยจดจอที่หน้าท้องตลอด อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติได้อย่างถูกต้องไหมครับ

   2.ในช่วงเวลาปลายๆของการนั่งสมาธิจะเกิดทุกข์เวทนามาก คือ
จะปวดที่บริเวณก้นอันเนื่องมาจากการกดทับเป็นเวลานานๆ แต่อาการปวดจะเกิดเป็นจังหวะ คือ
ปวดบ้างไม่ปวดบ้าง ถามอาจารย์ว่าจะพิจารณาอาการปวดดี หรือกำหนดยุบหนอ พองหนอดีครับ


   3.ในการนั่งสมาธินั้นไม่ว่าจะครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง
อารมณ์จะสึกโล่งเฉยๆไม่เคยเห็นนิมิตโดๆเลย แต่มีอยู่คืนหนึ่ง
ก่อนนอนผมพิจารณาสังขารโดยดูที่มือเห็นว่าไม่สวยไม่งามนั่งพิจารณาอยู่ประมาณ 2-3 นาทีแล้วก็
นอน เวลานอนก็ใช้จิดดูอาการเคลื่อนไหวของร่างกายและก็กำหนดยุบหนอพองหนอ
ในช่วงเวลาคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น มีอาการคล้ายกับจิตหล่นวูบอยู่ในสภาวะควบคุมไม่ได้
แล้วก็เห็นดวงไฟกลมสีขาวดวงหนึ่งลอยอยู่ด้านหน้า หลังจากนั้นก็มีอาการเหมือนตัวลอยขึ้น
แต่ตั้งใจไม่ลืมตาแล้วกำหนดอารมณ์ว่าเห็นหนอๆ อยู่ประมาณครึ่งนาที
อาการตัวลอยก็หมดไปดวงไฟสีขาวก็ไม่มี
มารู้สึกตัวอีกครั้งก็จับอาการยุบพองของหน้าทองได้ก็เลยพิจารณาอาการยุบพองต่อ
ขอถามอาจารย์ว่าความรู้สึกดังกล่าวเป็นเพราะเหตุผลใด ทำไมไม่เกิดตอนนั่งสมาธิบ้าง


ขอรบกวนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ในการไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยครับ
ด้วยความเคารพและครัธทาอย่างสูง

จตุรงค์

คำตอบ
    (๑) ผู้ใดไม่ส่งจิตออกนอกกาย แต่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับอาการพอง-ยุบของผนังหน้าท้อง เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกทาง เมื่อจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วนำพลังสมาธิไปพัฒนาให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ การประพฤติเช่นนี้เรียกว่า ปฏิบัติถูกตรงตามธรรม

   (๒) อาการปวดที่ก้น เป็นเวทนาที่เกิดขึ้นจากการกดทับ ต้องกำหนดว่า ปวดหนอๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนอาการปวดที่ก้นหายไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม ประพฤติเช่นนี้เป็นเหตุทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น

   (๓) จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ มิได้เกิดจากการนั่งภาวนาเพียงอย่างเดียว อิริยาบถอื่นที่เป็นปัจจุบัน ยังทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ อาการจิตหล่นวูบ เป็นดวงไฟสีขาวลอยอยู่ข้างหน้า อาการตัวลอย ฯลฯ เหล่านี้เป็นวิปัสนูปกิเลส เป็นสิ่งขัดขวางการเกิดของปัญญาเห็นแจ้ง ผู้รู้จึงกำจัดกิเลสด้วยการกำหนดว่า วูบหนอๆๆๆ กำหนดว่า เห็นหนอๆๆๆ กำหนดว่า ลอยหนอๆๆๆ จนอาการดังกล่าวหายไป แล้วให้ดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม แล้วโอกาสพัฒนาจิตไปสู่การเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมเกิดขึ้นได้
    

1097.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

    ดิฉันพยายามปฏิบัติสมาธิเพื่อความสิ้นไปแห่งภพทั้งหลาย แต่ดิฉันรู้ตัวว่าเป็นคนบุญน้อย การทำสมาธิไม่ค่อยคืบหน้า แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดดิฉันจะไม่ท้อถอยชาตินี้ถ้าทำไม่ทันก็จะตั้งใจทำไปอีกทุกชาติไป ดิฉ้นมีคำถามที่เกิดจากการนั่งสมาธิรบกวนถามอาจารย์เพื่อเป็นความรู้ประดับปัญญาตัวเองเพียง 1 ข้อ ดังนี้

   ในระหว่างที่ดิฉันนั่งทำสมาธิอยู่ดิฉันเพ่งความรู้สึกไปที่บริเวณข้อมือตั้งใจจะวิจัยลงไปถึงอวัยวะภายในในบริเวณนั้น เพราะดิฉันมีอาการปวดข้อมือเป็นประจำอยู่แล้ว คิดว่าถ้ารู้จักสิ่งที่เรียกกว่า
" ข้อมือ" ดีแล้ว คงไม่สนใจกับอาการปวดอีก สักพักโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากที่ถอนความสนใจออกมาจากตรงนั้นแล้ว กำหนดรู้ทั่วไปเป็นปกติอยู่ มีความรู้สึกว่ามีความร้อนพุ่งออกมาจากฝ่ามือ เป็นความรู้สึกชัดมากจนรู้สึกได้ รู้สึกร้อนกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ ดิฉันทราบว่าสิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในการบรรลุธรรม แต่ด้วยความอยากรู้จึงขอรบกวนเรียนถามท่านอาจารย์เพื่อประดับความรู้ ดิฉันคิดว่าความร้อนอันนี้เกิดจากการที่ดิฉัน " เพ่ง" พิจารณาร่างกายมากไปหรือเปล่าคะ เกินความพอดี กลัวว่าตัวเองจะทำอะไรผิดไป เพราะสิ่งนี้ไม่เคยเกิดกับดิฉันมาก่อน เลยรีบเรียนปรึกษาดิฉันไม่อยากเสียเวลาเวียนทำสิ่งผิดซ้ำไปมาโดยไม่รู้ตัวค่ะ

ขอกราบขอพระคุณอาจารย์ที่สละเวลา ขออนุโมทนาค่ะ

คำตอบ
    ผู้มีความเห็นผิดย่อมคิดว่า ตัวเองเป็นผู้มีบุญน้อย ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่า การประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ ผู้ใดประพฤติย่อมมีบุญเก็บสั่งสมอยู่ในจิต บุญสามารถเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่จิตระลึกได้ในบุญกิริยาวัตถุที่ตนประพฤติแล้ว

อนึ่งความร้อนที่เกิดจากการเพ่งร่างกายส่วนที่เป็นข้อมือ แล้วมีความร้อนถูกปล่อยออกจากฝ่ามือ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังของสมาธิไปในทางที่ถูกทางโลก แต่เป็นการใช้พลังสมาธิที่ผิดไปจากธรรมที่นำสู่การเกิดของปัญญาเห็นแจ้ง ที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์
   

1096.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ดร. สนองที่เคารพอย่างสูง

แม่ของผมมีคำถามที่อยากจะถามดร.สนอง ครับ
คือว่าแม่ผมจะซื้อบ้านมือ2 เป็นทาวเฮ้าว์ ซึ้งอยู่ตรงข้ามบ้านของผมเลย บ้านเลขที่ 32 แม่กับพ่ออยากได้ เลยเอาบ้านเลขที่ไปถามพระ,หมอดู
แล้วเค้าบอกว่าบ้านเลขที่นี้ไม่ดี ถ้าซื้อแล้วไปอยู๋ที่บ้านนี้ คนในบ้านจะทะเลาะกัน เป็นบ้านอมทุกข์ (แต่คนครอบครัวok)

และมีอีกหนึ่งหลังเป็นทาวเฮ้าว์บ้านเลขที่ 36 ไปถามหมอดู เค้าบอกว่าดี แต่พ่อกับแม่ก็ชอบ (แต่พวกน้องๆ ไม่ชอบ)

อยากถามอาจารย์ดร.สนองว่า
1.บ้านเลขที่มันมีผลต่อวิถีชีวิตคนหรือไม่(ว่าถ้าอยู๋บ้านเลขที่นี้แล้วจะ รวย ,จน,ไม่ดี)(ถ้าคนในบ้านไม่ได้มีสติกล้าแข็ง) หรือควรเลือกบ้านที่ทุกคนชอบดีกว่า และถ้าเป็นอาจารย์จะเลือกอันไหนครับ ช่วยเลือกให้หน่อยครับ

2.แม่ทำธุรกิจตกแต่งภายใน ผ้าม่าน วอล์เปเปอร์ มู่ลี่ แม่อยากถามว่า ควรจะทำบุญอะไรให้มีงาน มีลูกค้าเข้าเยอะๆ และทำบุญอะไรให้เรารวย

3.พ่อป่วย ควรทำบุญอะไร ถึงจะทำให้มีสุขภาพดี (ถวายจะรักษาโรค ได้มั้ย)

4.การบริจาคทรัพย์เป็นทาน คือการเอาเงินสดไปบริจาคใช่มั้ยครับ (และเมื่อบุญส่งผลเราก็จะมีเงินสดบ้าง)

ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยสละเวลามาช่วยเหลือครับ

คำตอบ
    (๑) ชาวพุทธที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ย่อมเชื่อในพุทธวจนะว่า คนจะดีหรือชั่ว มิได้เป็นไปตามคำพูดที่ออกจากปากของคน แต่การกระทำของบุคคลนั่นแหละที่เป็นเหตุทำให้เป็นคนดีหรือเป็นคนชั่วได้ ดังนั้นคนจะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี มีสุขหรือมีทุกข์ มิได้อยู่ที่บ้านเลขที่ แต่อยู่ที่การกระทำของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้น ผู้ใดใช้สติสัมปชัญญะส่องนำทางให้กับชีวิต พฤติกรรมที่แสดงออกย่อมดีงาม ผู้ใดมีเมตตาจะไม่ทะเลาะกับคนอื่น ผู้ใดมีศีลคุมใจ และแสวงหาความสุขจากจิตสงบ แสวงหาความสุขจากจิตเป็นอิสระ ฯลฯ ผู้มีคุณลักษณะดังนี้ จะเข้าอยู่อาศัยในบ้านหลังใด ย่อมมีแต่ความสุขความเจริญฝ่ายเดียว

   (๒) ผู้ใดมีศีลคุมใจและหมั่นให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมมีโภคทรัพย์ไม่ขาดมือ และหากประสงค์ให้มีงานทำอยู่เสมอ มีผู้มาใช้บริการในธุรกิจที่ทำอยู่เสมอ ต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้มีดวงดี ด้วยการรักษาศีล ๕ ประพฤติตนเป็นผู้ให้วัตถุเป็นทานอยู่เสมอ อาทิให้โลงบรรจุศพเป็นทานอยู่เสมอ ให้การติดตั้งผ้าม่าน วอล์เปเปอร์ มูลี่ กับอาคารหรือศาลาของวัดที่มีผู้มาใช้บริการ และสุดท้ายบำเพ็ญจิตตภาวนาด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วต่อด้วยเจริญอานาปานสติ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ การประพฤติเช่นนี้เป็นเหตุทำให้ผู้ประพฤติมีดวงดี (ชะตาดี) ผู้มีบุญผู้มีดวงดีย่อมสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา

   (๓) เหตุที่ทำให้เจ็บป่วยมีอยู่สี่อย่างคือ ออกกำลังไม่สม่ำเสมอ เพียรมากเกินไป ฤดูกาลเปลี่ยน และโรคกรรมที่เกิดจากการประพฤติเบียดเบียน สามเหตุแรกรักษาได้ง่าย ด้วยการใช้ความรู้ทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน ส่วนโรคที่เกิดจากการประพฤติเบียดเบียน จะรักษาให้หายได้ต้องบริหารจัดการหนี้เวรกรรม ตามคำแนะนำที่กล่าวไว้ใน web site ข้อ 728 หรือ ในสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘

   (๔) ผู้ใดปรารถนามีทรัพย์ ต้องให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ เมื่อใดบุญให้ผล การเป็นผู้มีทรัพย์ย่อมเกิดขึ้นได้   
   

1095.
กราบเรียนอาจารย์

ขอเรียนถามอาจารย์ 2 ข้อ ดังนี้
1. ถ้าหนูสวดมนต์ตอนเช้า - เย็น ในขณะนั่งรถไปทำงานหรือกลับบ้านจะเหมาะสมหรือไม่ และ ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเวลาจำกัด

2. แต่ก่อนนี้หนูเคยปฏิบัติธรรมโดยการบวชชีพราหมณ์ 2 ครั้งเท่านั้น เมื่อกลับมาอยู่ทางโลกก็ไม่ได้ปฏิบัติจริงจังอะไร แต่ตอนนี้หนูกลับเริ่มคิดจะปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังแล้ว แต่ทราบว่าขั้นแรกต้องรักษาศีล 5 ให้ได้ก่อน ซึ่งก็จะเริ่มที่จะบังคับใจให้อยู่ในศีลบ้างแล้ว หนูมาทางที่ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ (แต่ก็มีศีลขาดบ้าง ก็ตรงที่การพูดจาเพ้อเจ้อ พูดเรื่องคนอื่น)

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (๑) เป็นผู้นั่งรถ (ไม่เป็นผู้ขับรถ) สามารถสวดมนต์ได้ แต่ต้องมีใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ และหากรู้ความหมายของบทสวดมนต์นั้นได้ อานิสงค์จากการสวดมนต์จะยิ่งมีมากขึ้น

   (๒) แม้ศีลจะขาดไปก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงมรรคผลแห่งการปฏิบัติ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกทาง ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคือ สิ่งใดให้งดเว้นต้องไม่ประพฤติ สิ่งใดให้ปฏิบัติต้องทำ สิ่งใดให้ทำก่อนต้องปฏิบัติให้เกิดผลได้ก่อน สิ่งใดให้ทำทีหลังต้องปฏิบัติทีหลัง ด้วยเหตุนี้ ศีลจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ศีล ๕ ต้องไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ศีลที่ปฏิบัติได้เช่นนี้ จึงเป็นศีลที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต ดังนั้นพึงแก้ไขวาจาเพ้อเจ้อด้วยการพูดเดรัจฉานกถา เช่น พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจรขโมย เรื่องกองทัพ เรื่องการรบพุ่ง เรื่องการรุมทำร้าย เรื่องความดำรงตำแหน่งที่ไม่สง่างาม เรื่องการใส่เสื้อมีสีแดงในวันตรุษจีน ใส่เสื้อดำในงานเผาศพ เรื่องกล่าวผรุสวาจาให้ร้ายผู้อื่น ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ ผู้ใดประพฤติแล้วด้วยวาจาย่อมปฏิบัติธรรมได้แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ ด้วยเหตุมีจิตฟุ้ง มีบาปสั่งสมอยู่ในจิต ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกด้วย
  

1094.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ดร. สนองที่เคารพอย่างสูง

หากดิฉันทำงานที่ต้องมีการบริการเครื่องดื่ม(แอลกอฮอร์)ให้ตามที่ลูกค้าขอ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ (ประมาณพนักงานเสริฟ) อยากเรียนถามท่านอาจารย์ค่ะว่า

1. จะเกิดวิบากกรรมอะไรบ้างจากผลของกรรมนี้

2. ถือว่าผิดศีลห้ามั้ย? ...คือหนูตั้งใจว่าจะรักษาศีลห้าค่ะ

3. หากเป็นอกุศลกรรมและมีวิบากไม่ดี...
    มีวิธีไหน/ควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดหรือลดวิบากกรรมนี้ได้
อยากขอทราบวิธีแก้ไขและหลีกเลี่ยงจากอกุศลกรรมที่อาจจะเกิดนี้อย่างละเอียดค่ะ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (๑) อกุศลวิบากที่จะเกิดขึ้นกับผู้ให้บริการเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์คือ ทำให้เป็นผู้ขาดสติสัมปชัญญะ เมื่อใดที่บาปให้ผล อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ และหากบาปให้ผลในขณะจิตหลุดจากร่างคือตาย พลังของบาปย่อมผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิได้

   (๒) เป็นจำเลยบาปที่สองของการประพฤติทุศีลข้อห้า

   (๓) หากยังจำเป็นต้องประกอบอาชีพนี้ ต้องบริหารจัดการหนี้เวรกรรม ตาม web site ข้อ 728 หรือตามหนังสือสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘
  

1093.
เรียน อาจารย์ สนอง

   ผมมีคำถามเกี่ยวกับตัวเองครับ ซึ่งติดกับผมมาตั้งแต่เด็ก ผมเป็นคนไม่ชอบการห้อยพระใดๆ ทั้งสิน ยิ่งมีหลายๆ องค์ ยิ่งไม่ชอบ ไม่อยากเข้าใกล้
พอโตขึ้นมา ยังอะลุ้มอล่วยได้บ้าง และกับบางคนที่ห้อยพระ ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจหรืออยากหนีห่างแต่ประการใด จนนึกว่าอาการหายไปแล้ว
แต่อาการก็กลับมา เมื่อไม่สัปดาห์ก่อน ผมต้องอยู่ร่วมห้องกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งห้อยพระหลายองค์    และมีสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระแต่ผมไม่ทราบว่าคืออะไรอยู่บนสร้อย พอผมเห็น ผมรู้สึกไม่ชอบมากๆ และถึงกับสะอิดสะเอียนทนไม่ได้ ต้องย้ายห้องออกมา และถ้าเลี่ยงได้ ก็จะไม่ไปพบเจอพี่คนดังกล่าวเลย ทั้งที่เท่าที่พบเจอ พี่เขาเป็นคนนิสัยดี แต่ผมกลับยิ่งไม่อยากเจอมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่ต้องอยู่ร่วมห้องเดียวกันก็ตาม ก่อนหน้าที่จะย้ายออกมาผมได้พยายามกำหนดให้ตัวเองรู้ตัวว่าไม่ชอบ รังเกียจ กำหนดความอยากย้ายออก และทุกสิ่งเท่าที่จะนึกออก แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้ ต้องออกมา ในทางกลับกัน ต่อหน้าพระพุทธรูป ผมกลับชอบนั่งหน้าพระพุทธรูป รู้สึกจิตใจสงบมาก ไม่รู้สึกเหมือนพระเครื่องแต่ประการใด

   ผมไม่ทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ผมควรแก้ไขอย่างไร หากความรู้สึกลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกควรทำอย่างไร และเป็นความผิดปกติมากหรือไม่

ขอบคุณครับ

คำตอบ
    เรื่องที่บอกเล่าไปเกิดขึ้นเพราะ ความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้มีปัญญาเห็นถูกกับผู้มีปัญญาเห็นผิด เมื่อโคจรมาอยู่ด้วยกันจึงเข้ากันไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีสภาวะของจิตเป็นเช่นนี้ จากมุมมองของคนที่รู้ไม่จริง ย่อมเห็นว่าเป็นความผิดปกติ แต่คนรู้จริงมองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเป็นเช่นนั้น ในครั้งพุทธกาลพระพุทธะได้ตรัสกับภิกษุที่อยู่แวดล้อมว่า “ ภิกษุเธอจงดูนั่น ผู้ที่ชอบเล่นฤทธิ์ย่อมรวมกับกลุ่มของพระมหาโมคคัลลานะ ผู้ที่ชอบทางวินัยย่อมรวมอยู่ในกลุ่มของพระอุบาลี ผู้ที่ชอบในทางปัญญาย่อมรวมอยู่ในกลุ่มของพระสารีบุตร ”

ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติที่น้ำและน้ำมันเข้ากันได้ชั่วคราว ในที่สุดต้องแยกกันอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องแก้อย่างใด ขอเพียงแต่พัฒนาปัญญาเห็นถูกให้เกิดขึ้นได้ในทุกเรื่อง นั่นแหละดีที่สุด
  

1092.
กราบเท้าท่านอาจารย์สนอง วรอุไร

   ขอขอบพระคุณที่ท่านสละเวลาตอบปัญหาและชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ถูกตรง หนูขอกราบขออภัยท่านอาจารย์เนื่องด้วยบางคำตอบของท่านอาจารย์ที่กล่าวถึงสิ่งถูกต้อง แต่หนูรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อทบทวนและวิเคราะห์ก็รู้ว่าตัวเองไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่รู้สึกเช่นนั้น ซึ่งตอนนี้รู้สึกละอายใจและมีความผิดมากที่คิดเช่นนั้น จึงใคร่ขออภัยท่านอาจารย์ โปรดให้อภัยหนูด้วยค่ะ และจะปฏิบัติตามที่ท่านอาจารย์ได้ชี้แนะชี้นำ ตอนนี้จิตใจหนูผ่องใสขึ้น เวลาเห็นใครทำไม่ดีต่อหนู หนูก็มองเขาด้วยความเข้าใจในความเป็นคนเช่นเรา ไม่คิดโกรธกลับแล้วค่ะ หนูมีเรื่องใคร่รบกวนท่านอาจารย์ดังนี้

   1. คุณพ่อหนูป่วยมานาน เราก็พยายามดูแลท่านอย่างดีที่สุด ระยะหลังดูท่านเหนื่อยมากขึ้น ซึมๆกว่าเดิม หนูก็ยังดูแลท่านเหมือนเดิม ถ้าหนูสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมให้เป็นประจำทุกวันเท่าที่ทำได้ แล้วอุทิศให้พ่อหนู และอธิฐานให้ท่านแข็งแรงขี้น หรือถ้าถึงเวลาที่ท่านจะจากไปขอให้ท่านไปอย่างสงบและไปสู่สุคติ หนูสามารถทำได้ไหมค่ะ


   2. ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี มีโจรเพิ่มมากขี้น หนูระวังตัวมากขึ้นและปฏิบัติธรรมดูกายดูใจเท่าที่ไม่เผลอไม่หลงในแต่ละวัน ให้ทานเช่น ส่งเงินไปให้ผู้ที่เคยทำคุณประโยชน์ให้ปวงชน และ บุคคลที่ยากไร้ โดยส่งตามกำลังที่หนูทำได้ จะส่งผลให้หนูปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายบ้างไหมค่ะ

   3. หนูพยายามหาเวลาเข้าปฏิบัติธรรมเช่น เข้าวิปัสนากรรมฐานของคุณแม่สิริ กรินชัย และ หาเวลาหาทางเข้าปฏิบัติธรรมในช่วงที่ว่างจากการงานและว่างจากดูแลพ่อ ทุกๆปี เท่าที่โอกาสอำนวย หนูจะสะสมบารมี สะสมความตั้งใจเข้าไปดวงจิต และนำไปสู่ภพหน้าได้หรือไม่ หนูอธิษฐานถ้าหนูต้องไปอยู่ภพใดๆหรือมีบุญเกิดเป็นคนอีก ขอให้หนูระลึกและมีความตั้งใจปฏิบัติธรรมอีกตั้งแต่อายุยังน้อยๆ และได้เกิดเป็นผู้ชาย บวช เรียนศึกษาธรรมมะไปตลอดชีวิต ทำอย่างไรให้หนูได้เป็นเช่นที่ตั้งใจไว้ค่ะ

   4. หนูคบกับผู้ชายคนหนึ่งค่ะก่อนที่จะเข้าสนใจในการปฏิบัติธรรม และได้สัญญาว่าจะแต่งงานกับเขา มาตอนนี้หนูศึกษาธรรม รู้สึกว่าการมีครอบครัวเป็นการมีบ่วงมากขึ้น หนูได้บอกเขา เขาก็ยินดีที่หนูสนใจธรรมะทั้งที่เขานับถือคนละศาสนากับหนู เขามีลูกชายติดมา 1 คน แต่เขาบอกว่าถึงแม้แต่งงานกันก็ยังปฏิบัติธรรมได้และเขาสนับสนุนที่หนูจะเข้าปฏิบัติธรรมทุกๆครั้งที่หนูมีโอกาส หนูรู้ว่าเป็นชีวิตที่หนูต้องตัดสินเลือกแนวทางของตัวเอง แต่ใคร่ขอคำแนะนำท่านอาจารย์ค่ะ

    ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาค่ะ

คำตอบ
    อโหสิทุกเรื่อง ทุกภพชาติที่เคยมีเวรต่อกัน นับแต่นี้ไป ไม่มีเวรกรรมใดที่จะถ่วงความก้าวหน้าของชีวิตอีกต่อไป

   (๑) ตามที่บอกเล่าไปสามารถประพฤติได้ และจะดียิ่งขึ้นหลังจากปฏิบัติธรรมแล้วควรบอกให้ท่านรับรู้ว่า ลูกได้อุทิศบุญใหญ่ให้พ่อและอธิษฐานให้พ่อแข็งแรง หากท่านอนุโมทนาในสิ่งที่ลูกอุทิศให้ ท่านจึงจะได้รับอานิสงค์แห่งบุญนั้น และดีที่สุดหากลูกหาเทปหรือซีดีธรรมะ บทสวดมนต์ ไปเปิดให้ท่านฟังเบาๆ พอได้ยิน เมื่อจิตจดจ่ออยู่กับธรรมะอยู่กับเสียงสวดมนต์และหลุดออกจากร่างไป จิตจะโคจรไปได้ร่างอยู่อาศัยใหม่ในสุคติภพ

   (๒) ผู้ใดมีบุญคุ้มรักษา ผู้นั้นย่อมปลอดจากภัยอันเกิดจากโจรผู้ร้าย การให้ทานเป็นบุญ หลังให้ทานแล้วควรอธิษฐานให้ตนเองแคล้วคลาดจากภัยที่เกิดจากโจรผู้ร้าย และดียิ่งขึ้นก่อนนอนสวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัย แล้วสวดต่อด้วยบทมนต์โมรปริตร สวดก่อนนอนและหลังจากตื่นนอนทุกวัน แล้วภัยอันเนื่องมาจากผู้คิดร้ายก็จะไม่เกิดขึ้นกับผู้สวดมนต์

   (๓) การปฏิบัติกรรมฐานเป็นบุญใหญ่สุด เพราะส่งผลถึงพระนิพพานได้ นอกจากนี้บุญยังเป็นทรัพย์ภายในที่ติดตามข้ามภพชาติได้ และคนมีบุญจะเกิดอยู่ในสุคติภพเท่านั้น พลังของศีลผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรมาเกิดเป็นมนุษย์ นอกจากอธิษฐานเกิดเป็นเพศชายแล้ว ยังต้องอธิษฐานให้มีความสมบูรณ์ในเพศ (ไม่เป็นกระเทย) ได้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย และต้องไม่ลืมอธิษฐานด้วยว่าให้บรรลุธรรมที่ปฏิบัตินั้นด้วย

   (๔) ก่อนจะตัดสินใจอย่างไร ควรมีข้อมูลพื้นฐานด้วยการพิจารณาถึงพุทธวจนะที่ว่า สามีหรือภรรยาเป็นบ่วงผูกมือ ลูกเป็นบ่วงผูกคอ ทรัพย์เป็นบ่วงผูกขา การไม่มีบ่วงผูกมัด ย่อมมีอิสระในการปฏิบัติธรรม และเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่ามีเครื่องผูกมัด เมื่อรู้ดั่งนี้แล้ว ผู้ถามปัญหาจะหาสามีมาเป็นบ่วงผูกมือ จะเอาลูกเลี้ยงมาเป็นบ่วงผูกคอ หรือไม่เอาบ่วงใดๆมาผูกมัดตนเองให้ขาดอิสรภาพ ย่อมเลือกได้ดังใจปรารถนา
  

1091.
กราบเรียนท่านอ.สนอง

    ข้าพเจ้าเป็นผู้ส่งคำถามข้อ 958, 981 ข้าพเจ้าน้อมรับคำสอนของท่านอ.มาใส่ตนพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองและพยามยามแก้ปัญหาธรรมอยู่ภายในเรื่อยมา ข้าพเจ้าเป็นคนเขลานัก ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือธรรมมะหรือเรียนธรรมะใด ๆ แต่ไม่รู้เป็นอะไรขอบฟังวิทยุธรรมะถ้ามีโอกาส หากท่านอ.เมตตาขอเรียนถามท่านอ.โปรดเมตตาชีแนะต่อไปด้วย

    เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนไปวัดข้าพเจ้าฝันว่าพบภิกษุรูปหนึ่งไม่เห็นหน้า แต่ใจนึกรู้ว่าคือหลวงพ่อลีวัดอโศการาม ถือหนังสือมาสองเล่มเป็นเล่มบาง ๆ ไม่หนา แล้วเอาหนังสือเล่มหนึ่งมอบให้ข้าพเจ้า

    ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปวัดอโศการามครั้งแรก โดยบังเอิญพบหลวงพ่อทองสอนสมาธิให้กับลูกศิษย์ มีผู้พาข้าพเจ้าไปนั่งสมาธิ ข้าพเจ้าใช้สูดลมหายใจประมาณสี่ถึงห้าครั้งจิตก็เริ่มเข้าสู่สมาธิ จากนั้นก็เริ่มพิจารณาจิตตามที่หลวงพ่อทองกำลังสอนพิจารณาอสุภะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ถนัด และไม่เคยได้เรื่องกับเขาเลย เพียงแต่เมื่อพิจารณาตามแล้วจิตจะดิ่งเป็นสมาธิแน่นขึ้นนิ่งขึ้นแข็งขึ้น เมื่อจิตนิ่งได้เรื่องแล้ว ทุกข์เวทนาเบื้องต้นดับลง จากนันข้าพเจ้าเห็นจิตตามดูจิตข้าพเจ้าจึงไม่ฝืน ปล่อยพิจารณาตามสภาวะธรรมเห็นหัวหรือแก่นสภาวะธรรมของตัวคิด ตัวกิเลสโดยเฉพาะฝ่ายลบฝ่ายไม่ดีฝ่ายทุกข์อย่างชัดเจนแล้วดับเอง ส่วนสภาวะธรรมฝ่ายดีเห็นกิเสล ปรุงแต่งแล้วพยายามยึดไว้ แต่จิตก็พยายามที่จะไม่ยึด ก็ยิ่งยึดทำไม่ได้ จากนั้นมองเห็นทุกข์เวทนาเป็นเพียงสภาวะธรรมหนึ่งแล้วดับไปเกิดติดต่อแล้วดับ แต่เมื่อดับแล้วกิเลสตัวสุขเข้าแทรกกลางจิตยึดไว้ จิตจึงเริ่มถอนจากการพิจารณาสภาวะธรรมทุกข์เวทนา ข้างในมันรู้(ไม่ใช่รู้โดยสมมุติ) ว่านีคือทุกข์แต่แฝงมาในรูปสุขล่อลวงจิตให้ไปยึด แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาโจทก้ข้อนี้ได้สักที ขณะนั้นหลวงพ่อทองได้พูดขึ้นมาว่ามันคือตัณหา จิตของข้าพเจ้าวิ่งลงไปพิจารณาเองทันทีและเห็นสภาวะธรรมที่ภาษาโลกเรียกว่าตัณหา แล้วพิจารณาเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นมาจากที่นี้นี่เอง แต่มองเท่าใดก็เห็นเพียงมันตั้งสว่างอยู่ ไม่เห็นมันเกิดดับเหมือนสภาวะธรรมอื่นเลยและก็ยังคงอยู่อย่างนั้น และเห็นมันนี่เองที่เป็นตัวต้นตอการปรุงแต่งทุกอย่าง และมันเป็นสิ่งที่ละเอียดกว่าอันอื่นที่พบมา เห็นมันปรุงแต่งเป็นชอบและยึด เห็นมันปรุงแต่งเป็นทุกข์ไม่ชอบยึดเจ็บปวด เมื่อดูสภาวะมันไปเรื่อยๆ ก็เห็นสภาวะธรรมฝ่ายดีเช่นสุขชอบเป็นเพียงสภาวะธรรมแล้วดับเหมือนกับฝ่ายไม่ดีเลย เห็นการสืบต่อสลับกันจนตามดูสภาวะธรรมไม่ทัน ขาดสติ แล้วมันก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามายีดปรุงแต่งทีละน้อยโดยอาศัยการขาดสติทุกขณะจิตและเริ่มยึดไว้เหมือนเดิม จึงพยายามสู้สุดกำลัง ขณะนั้นหลวงพ่อทองบอกว่าอย่าไปอยากทั้งอยากดีและอยากไม่ดี จิตวิ่งดิ่งลงเองไปพิจารณาเห็นสภาวะธรรมของตัณหา เห็นหัวมันไม่ไปยึดทั้งสภาวะธรรมที่จะนำไปปรุงแต่งเป็นดีและไม่ดี ขณะกำลังพิจารณาหัวมันอยู่น้น อีกส่วนหนึ่งทีขาดสติและความสงสัยในสภาวะธรรมที่ปรุงเป็นเวทนาก็ค่อยๆฟูขึ้นมากลายเป็นกิเสล เป็นเวทนาแรงกล้า พยายามช่วยนายของมัน เราจึงตั้งใจว่าให้มันตายไปเลยให้มันตายตรงนี้ไปเลย เอาชีวิตเป็นพุทธบูชา นั่งฟัดกับมันอยู่อย่างนั้น แต่คำสอนของหลวงพ่อทองรู้สึกเลยว่ามีพลังมาก เหมือนดาบคม ๆ เสริมกำลังให้เราวิ่งเข้าไปจะตัดตัณหาให้ได้ รู้สึกข้างในเหมือนจะขาดจะขาดแล้ว แต่พอดีเราไม่เคยไปนังรู้สึกว่าเขาเลิกนั่งกันหมดแล้ว เกรงจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของหลวงพ่อ จึงตัดใจออกจากสมาธิ

    สงสัยเลยเล่าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกข้าพเจ้าว่าวันหลังให้ตั้งถามมันไปว่ามันคืออะไรอย่างไรแล้วพิจารณา แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพิจารณาอยู่คือรูปนามสิ่งที่ไม่มีตัวตน จึงว่าให้พิจารณาอสุภะ เมื่อเห็นอสุภะแล้วมันจะจึงมาบรรจบกันกับกับสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นรู้อยู่นี้จึงจะดับตัณหาความอยากได้ ข้าพเจ้าจึงเร่งพิจารณาเช่นนั้น แต่จิตเคยพิจารณาดูไปถึงตัวกิเลสเลยมันตั้งท่าแต่จะดับลูกเดียว พิจารณาอยู่นานจึงค่อยๆเป็นสมาธิล้วน ๆ จิตนิ่งแล้วดับลงเหมือนตกภวังค์แต่ก็ละเอียดขึ้น หลวงพ่อจึงบอกให้ดูความละเอียดของมันกว้างยาวลึก เราเลยใช้อุบายนี้ไปพิจารณาดูหัวตัณหาและอยากด้วย ได้แค่นันกลับมาใช้ชิวิตทางโลกก็แทบไม่ได้ทำ แต่โดยเหตุพิจรณาเพียงสมาธิเหมือนหินทับหญ้าจริง ๆ พอประสบกระทบกับวิบากคนที่ไม่ดีทางโลกมาก ๆ กิเลสทางโลกมันจึงฟุ้งถึงขนาดคิดจะหาปืนเอาไปยิงคน จึงเร่งเดินจงกรมและพยายามข่มดับ ประมาณสองวัน หัวรุ่งวันที่สองฝันเห็นนิมิต จึงเดินจงกรมขณะเดินได้มีสิ่งผุดขึ้นในใจว่าเรารับเพียงวิบากความเสียหายเกียติศักดิ์ศรีชื่อเสียงซึ่งอย่างมากแค่ตาย แต่ค่ามันเทียบไม่ได้เลยหากเราไปก่อกรรมทำร้ายผู้อื่นให้เขาต้องประสบเคราะห์กรรม ทนเอาจนกว่าวิบากจะผ่านพ้น

   หลังจากนั้นพิจารณาไปเรื่อยๆตามโอกาสขณะทำงาน บางครั้งขึ้เกียจทำงานก็จะตั้งจิตแล้วให้ผู้รู้ทำงานแทนโดยมีสติตามบ้างไม่มีสติตามบ้าง เมื่อใช้สติตามดูผู้รู้มาก ๆ รู้สึกกายกับจิตมันแยกจากกันทำงาน กายก็สักแต่ว่ากาย ทำการงานสักแต่ว่าทำไม่มีตัวจิตมาปรุงเมือมีอะไรสมควรคิดทำขณะนั้น จิตก็จะผุดขึนมาเองแล้วก็ดับ ส่วนใจมันก็เป็นอยู่ของมันตามปกติตามดูเห็นเป็นเพียงสภาวะธรรมที่ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ผสมปรุงแต่งเป็นกิเสลบ้าง ซึ่งมันเหมือนมีกล่องหรือห้องขังมันเอาไว้ เห็นมันดิ้นดิ้นดิ้นอยู่ในกล่องหรือห้องขังนั้น ใช้ผู้รู้ดูมันเฉย ๆ กัดฟันฟัดกับมันไม่ยอมเปิดประตูให้มันโดยใช้ผู้รู้ตามดูแต่หัว ๆ รู้สึกสะใจมากแต่ต้องใจเด็ด แต่มันก็วิ่งขึ้น ๆ ลงๆ หากธรรมมะอ่อนข้างในก็จะวิ่งออกมารวมกับกายเป็นปุถุชนปกติ ทุกข์มากทุกข์มันทั้งสุขทุกขเลย

   ขอเรียนถามท่านอ.ดังนี้

1 สิ่งที่ข้าพเจ้าประสบถูกทางหรือไม่ และตอนนี้ข้าพเจ้าใช้ตัวผู้รู้ทำงานแทนทั้งกายและใจ โดยใช้สติตามดูตัวผู้รู้อีกต่อหนึ่ง จะเห็นเพียงหัวๆ เพียงแค่นั้นถูกต้องไหม ทำไมผู้รู้ตามพร้อมกันทีเดียวได้ด้วยทั้งกายและใจ และต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตข้าพเจ้าอีก อีกไกลแค่ไหน

2 ทำไมข้าพเจ้าถึงรู้สึกเป็นปัจจังตังว่าตนอยู่ตรงไหนแล้ว ถูกหรือหรือผิดทาง และกำลังจะไปถึงตรงไหน สิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือเท็จกันแน่ และเราจะตรวจสอบตัวเองได้อย่างไรว่าถูกต้องแล้ว

3 ทำไมสภาวะจิตที่ตอนสมาธิล้วน ๆ อย่างเดียวมันถึงได้ร้ายกาจขนาดนั้น จิตตกเป็นปุถุชนทุกข์มากเต็มด้วยรักโกรธหลง คิดทำร้ายแก้แค้นผู้อื่น

4 ทำไมข้าพเจ้าตอนสมาธิสติปัญญาขึ้น จะเห็นชัดว่าขณะแม้เดินยืนนั่งหยิบคิดพูดมองสัมผัสมองเห็นว่าเกิดกิเลสตัวใด และเห็นต้นตอว่าสร้างมาจากตัณหาซึ่งก็มาจากความอยาก

5 ถ้าภาวนาพุทโธพิจารณาอสุภะข้าพเจ้าจะมีโอกาสได้อสุภะหรือกสินไหม อีกไกลแค่ไหน

7 เมื่อสมาธิปัญญาอ่อนลงทำไมมันจิตกับกายวิ่งจับไปผสมกันอีกขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่อย่างนี้

8 หากตัณหาดับเสียแล้วผู้รู้จะดับด้วยหรือไม่ หากดับตามข้าพเจ้าคงแย่ และจะใช้ผู้รู้ทำงานทางโลกที่ต้องใช้ความคิดความทรงจำที่เรียนที่ทำงานในอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสมองมาก ๆ ได้หรือไม่ จะกลายเป็นคนโง่ คนขี้ลืม เอ๋อ หรือถ้าทำงานเป็นผู้รักษากฏหมายต้องลาออกจากราชการหรือไม่

9 หากถ้าตัณหาดับคงอยู่แต่อวิชชาจะให้อวิชชาทรงตัวอยู่อย่างนั้นไปก่อนหรือไม่

10 หากสมมุติว่าขณะนี้ข้าพเจ้ามีคนรัก จึงอยากเรียนถามว่าระหว่างความสุขในความรักทางโลกกับความสุขสงบจากตัณหาที่ดับลงแล้วมันต่างกันอย่างไร หากเทียบอัตราส่วนกันแล้วต่างกันมากแค่ไหน

11 เรียนท่านอ.ตามตรงข้าพเจ้ารู้สึกงงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าทั้งหมดทุกอย่างเลย ขอถามท่านอ.ตรง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของข้าพเจ้า ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจ แสวงหา หรืออยากได้อะไรทางนี้ถึงอย่างนี้เลย เหมือนเส้นทางนี้ถูกบังคับเลย และขอถามอย่างเพ้อเจ้อว่า มันเกี่ยวกับความฝันของมารดาของข้าพเจ้าตอนตั้งท้องข้าพเจ้า หรือไม่ว่าฝันเห็นพระศรีอริยเมตไตรย์ มีอุณาโลมที่สวยงามมาก มารดาข้าพเจ้าจึงปืนขึ้นไปหยิบลงมา อุณาโลมก็กลายเป็นเหมือนรูปกิ่งก้านสาขาของต้นโพธิ์ คล้ายกับสัญญลักษณ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ แต่มารดาบอกว่าสวนงามกว่ามาก

ข้าพเจ้าขอกราบขออภัย ที่ถามยาวมากเป็นภาระกับท่านเป็นอย่างยิ่ง ขอท่านอ.ช่วยตอบชี้แนะศิษย์ด้วย เพราะหมดทั้งชีวิตศิษย์แล้ว และอาจจะหมดคำถามถามท่านอ.ต่อไปแล้ว ศิษย์ขอกราบระลึกถึงคุณท่านเสมอ

คำตอบ
    (๑) ประสบการณ์ที่บอกเล่าไปถูกทางแล้ว แต่ยังแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ตัวที่ทำให้เป็นปัญหาคือ ตัณหาหรือคือตัวอยากรู้ หากไม่เอาตัณหามาพิจารณากฎไตรลักษณ์ ปัญหาอันเนื่องมาจากตัณหาก็ไม่สามารถแก้ไขให้หมดไปได้

   (๒) ผู้ใดปฏิบัติธรรมถูกทาง ย่อมเห็นทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตเป็นอนัตตา ทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน จิตที่เห็นแจ้งจึงปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน แล้วจิตจึงจะเป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบได้ การปฏิบัติธรรมที่ถูกทางจึงมีความอิสระของจิตเป็นเครื่องชี้วัด

   (๓) เป็นเรื่องปกติธรรมดาของจิตที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส จึงเกิดการปรุงแต่งอารมณ์ติดลบ (อารมณ์ขยะ) ให้เกิดขึ้น

   (๔) เห็นกิเลสแต่ดับกิเลสไม่ลง เพราะจิตมีความเห็นผิด จึงคิดผิดว่า ต้นตอของปัญหาเกิดมาจากตัณหา แท้จริงแล้วผู้เห็นถูกจึงคิดถูกว่า ต้นตอของการเกิดขึ้นของกิเลสทั้งปวง มาจากอวิชชานั่นเอง

   (๕) การภาวนาพุท-โธ เป็นการเอาหนึ่งในอนุสติ ๑๐ มาเป็นองค์บริกรรม หรือจูงจิตให้เป็นสมาธิ
      การพิจารณาอสุภะ เป็นการเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในอสุภะ ๑๐ มาเป็นองค์บริกรรมฯ
     การพิจารณากสิณ เป็นการเอาวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณ ๑๐ มาเป็นองค์บริกรรมฯ

   ฉะนั้นผู้เลือกบริกรรมอย่างใด แล้วทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ การเอากรรมฐานเช่นนั้นมาเป็นองค์บริกรรมย่อมถูกต้อง และหากป้องกันตัณหา (อีกไกลแค่ไหน) ไม่ให้เข้ามามีอำนาจเหนือใจได้ ความสำเร็จในการพัฒนาจิตจึงจะเกิดขึ้นได้

   (๖) ไม่มี จึงไม่ต้องตอบ

   (๗) คำว่า “ สมาธิ ” หมายถึง ความตั้งมั่นของจิต คำว่า “ ปัญญา ” หมายถึง ความรู้เข้าใจชัดเจน ดังนั้นคำทั้งสองจึงไม่เหมือนกัน และเมื่อสติมีกำลังอ่อน ปัญญามีกำลังอ่อน ความชุลมุนพัลวันระหว่างจิตกับกาย จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

   (๘) ตัณหาดับไม่ทำให้ผู้รู้ดับ แม้อวิชชาดับแต่กายยังคงอยู่ ผู้รู้ก็มิได้ดับตามไปด้วย ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลาออกจากราชการ เว้นไว้แต่ว่าร่างกายเสื่อมจนจิตใช้งานไม่ได้ หรือจำเป็นต้องออกจากงานตามกติกาที่สังคมได้กำหนดไว้

   (๙) หากผู้ถามปัญหายังมีความอยากที่จะเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ต้องรักษาอวิชชาให้คงอยู่ไว้กับจิต ตรงกันข้ามประสงค์นำพาชีวิตให้พ้นไปจากความทุกข์ ต้องกำจัดอวิชชาให้หมดไปและเมื่อใดที่รูปดับ นามดับ ความทุกข์ ย่อมหมดไปแน่นอน

   (๑๐) “ ความสุข ” หมายถึง ความสบาย ความสำราญ ความปราศจากโรค ดังนั้นความรักทางโลกเกือบทั้งหมดมีตัณหาเป็นกำลังสนับสนุน จึงเป็นความรักที่มีสุข-ทุกข์ระคนกัน หากตัณหามีกำลังมาก ความทุกข์ย่อมมีมากกว่าความสุข หากตัณหามีกำลังน้อย ความสุขย่อมมีมากกว่าความทุกข์ หากตัณหาหมดไปความสุขย่อมมีมาก ความทุกข์ที่เกิดจากตัณหาเป็นต้นเหตุย่อมไม่มี แต่ความทุกข์ที่เกิดจาก ชาติ-ชรา-พยาธิ-มรณะ ยังคงมีอยู่หากชีวิตยังเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่กับโลก

   (๑๑) ผู้ใดพัฒนาเฉพาะปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) จนถึงระดับสูงสุดแล้ว จะยังไม่เข้าถึงความจริง (เหตุผล) ในระดับที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสได้ ความคิดไม่ออกเพราะยุ่งยากซับซ้อน (งง) ความสงสัย ความไม่แน่ใจ (ฉงน) จึงได้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่หากผู้ใดพัฒนาปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) ให้เกิดขึ้นกับจิตตัวเองได้แล้ว ผู้นั้นย่อมรู้ เห็น เข้าใจ สิ่งต่างๆถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) แล้วความงง ความฉงน จะไม่เกิดขึ้น
   

1090.
กราบเรียน อ.ดร.สนองที่เคารพ

    ขณะนี้หนูอายุ 24 ปีค่ะ กำลังจะจบปริญญาตรี(ทันตะ) หนูเป็นคนกรุงเทพ และครอบครัวค่อนข้างอบอุ่นมาก ไม่มีปัญหาอะไรในชีวิตเลยค่ะ หนูเป็นคนที่ค่อนข้างสนใจเรื่องปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อยู่มัธยมปลายเพราะเคยไปเข้าคอสของยุวพุทธิกสมาคม แล้วก็ไปฝึกแนวยุบหนอพองหนอที่วัดที่ต่างจังหวัดบ้างบ้างช่วงปิดเทอม และพยายามฝึกการดูจิตตามแบบพระอาจารย์ปราโมทย์บ้างค่ะ แต่การปฏิบัติของหนูไม่ค่อยก้าวหน้ามากนักอาจเป็นเพราะหนูปฏิบัติไม่ค่อยต่อเนื่องพอกลับมาบ้านไม่ค่อยได้ปฏิบัติตาม หนูติดทางโลกมาก ชอบเล่นอินเตอร์เนต ชอบทำเบเกอรี ชอบดูทีวี หนูมีคำถามอยากอาจารย์ดังนี้ค่ะ

   1. หนูเป็นคนที่วิตกจริตและก็ขี้เหงามากเลยค่ะ อย่างเช่นตอนนี้ที่หนูไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดกับเพื่อนหนูรู้สึกเบื่อและคิดถึงบ้านมากๆ เหมือนมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา หนูก็พยายามที่จะรู้ความรู้สึก เช่น เบื่อ เหงา อยากกลับบ้าน คิดถึงครอบครัว ไปตลอดค่ะ ซึ่งมันเหมือนกับตอนที่หนูไปปฏิบัติที่วัดค่ะ เวลาไปประมาณ 7 วันหนูจะรู้สึกทุรนทุราย อยากกลับบ้าน แต่หนูก็จะชอบไปค่ะ(อยากจะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงค่ะ) อยากทราบหนูจะแก้นิสัยตัวเองอย่างไรดีคะ เนื่องจากว่าเดือนเมษายนนี้หนูต้องออกไปใช้ทุนต่างจังหวัดคนเดียว หนูกลัวจิตใจตัวเองว่าจะต้องทุกข์ใจมากค่ะ


   2. หนูมักจะชอบอ่านหนังสือธรรมะ และหนังสือมักจะสอนถึงการพลัดพลาก เราต้องฝึกใจให้ได้ ทำให้บางเวลาหนูจะรู้สึกกลัวถ้าเกิดพ่อแม่เป็นอะไรไปหนูจะต้องเสียใจขนาดไหน หนูจะรู้สึกเครียดมากเลยค่ะ ซึ่งตัวหนูไม่ค่อยชอบสังสรรค์หรือออกไปเที่ยวไหนกับเพื่อน ไม่มีแฟน กลัวว่าตอนแก่จะทำยังงัยดี หนูเลยกลัวจะเป็นโรคประสาทค่ะ หนูควรทำอย่างไรดีคะ ถ้าหากหนูจะหางานอดิเรกทำจะถึอว่าหนูหนีความจริงที่รึเปล่าคะอาจารย์(หนูมักรู้สึกว่าเราต้องฝึกคิดแบบนี้บ้างเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก)

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (๑) ผู้ถามปัญหาเป็นทุกข์ เพราะเอาจิตไปผูกติดอยู่กับตาที่เห็น หูที่ได้ยิน ลิ้นที่สัมผัสรส ฯลฯ หรือคือกามสุข - กามทุกข์ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ หากประสงค์จะพ้นไปจากความเบื่อ ความเหงา ความเศร้า ความอยากกลับบ้าน ฯลฯ ต้องดับที่ต้นเหตุ แล้วดูสิว่าความทุกข์หายไปจริงไหม หยุดเล่นอินเตอร์เนต หยุดทำเบเกอรี่ หยุดดูละครดูเกมโชว์ทางทีวี แล้วหันไปเล่นกีฬาที่ตนถนัด สวดมนต์ก่อนนอน เจริญอานาปานสติหลังสวดมนต์ แล้วปัญหาที่ถามจะหมดไปแน่นอน .... จะพิสูจน์ไหมล่ะ

   (๒) การเอาใจไปติดอยู่กับกาลเวลาข้างหน้าหรือกาลเวลาที่ผ่านไปแล้ว เป็นเหตุนำสู่ความวิตกกังวล ความกลัว ความเป็นโรคจิต โรคประสาท ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีกำลังของสติอ่อนเช่นนั้น ตรงกันข้ามผู้ใดเอาจิตติดอยู่กับเรื่องที่เป็นปัจจุบัน ปรากฏการณ์ทางลบดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับผู้มีสติเช่นนี้ ฉะนั้นเมื่อผู้ถามปัญหาประสงค์ไม่ให้พฤติกรรมติดลบเกิดขึ้น ต้องสวดมนต์ก่อนนอน แล้วเจริญอานาปานสติหลังสวดมนต์อยู่เสมอ
  

1089.
กราบเรียนอาจารย์สนอง

คำว่า "ทัศ", "อสงไขย", "กัป", "มหากัป" แต่ละคำนี้ มีระยะเวลาเท่ากับกี่ปีมนุษย์

คำตอบ
   คำว่า ทัศ หมายถึง ครบ หรือ ถ้วน

   คำว่า อสงไขย หมายถึง มากจนนับไม่ถ้วน หรือเท่ากับ ๑๐ ล้านยกกำลัง ๒๐

   คำว่า กัป หรือ มหากัป มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน หมายถึง หน่วยของเวลาที่ยาวนาน นับจำนวนไม่ถ้วน

   ถามว่า : คำเหล่านี้มีระยะเวลาเท่ากับกี่ปีมนุษย์

   ตอบว่า : มีบารมีครบ เช่น ครบ ๓๐ ทัศ คือ บารมี ๑๐ + อุปบารมี ๑๐ + ปรมัตถบารมี ๑๐ รวมเท่ากับ ๓๐ ทัศ

   ส่วนคำว่า อสงไขย หมายถึง ตั้งตัวเลข ๑ ไว้หน้าแล้วตามด้วยเลข ๐ อีกหนึ่งร้อยสี่สิบตัว เรียกจำนวนเช่นนี้ว่า หนึ่งอสงไขยปี และทุกหนึ่งร้อยปี ลดลงไปหนึ่งปี ลดลงไปเรื่อยๆ จนถึงต่ำสุดสิบปี แล้วทุกหนึ่งร้อยปี เพิ่มขึ้นหนึ่งปี เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงหนึ่งอสงไขย หนึ่งรอบการลดและการเพิ่ม เรียกว่า หนึ่งอันตรกัป หนึ่งอสงไขยกัปมีอยู่ ๖๔ อันตรกัป หนึ่งกัปมี ๔ อสงไขยกัป ฉะนั้น ๑ กัปเท่ากับ ๖๔ อันตรกัป คูณด้วย ๔ อสงไขย หรือเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัปนั่นเอง ..... กี่ปีมนุษย์ล่ะ
   

1088.
กราบท่านอาจารย์ค่ะ

หนูอยากเรียนถามพอ.เกี่ยวกับปัญหาในชีวิตประจำวันค่ะ คือหนูมีเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านหนูนิสัยแย่มากค่ะ

1. เค้าชอบปาขยะลงมาแถวหน้าบ้านหนู เช่น พวกมวนบุหรี่ คอตต้อนบัทใช้แล้ว เศษกระดาษ หนูเคยแกล้งโยนกลับไปบ้านเค้าตอนหัวค่ำ พอรุ่งเช้า เค้ายิ่งโยนบุหรี่ลงมาเพิ่มอีก 5 มวนเหมือนจะแกล้งเลยค่ะ

2. ชอบเปิดเพลงเสียงดังมาก ขนาดหนูปิดประตูบ้านหมดแล้ว ก็ยังได้ยิน และเปิดตั้งแต่ 5 โมงยัน 3 ทุ่ม แล้วก็มาเปิดอีกทีตอนเช้า บ้านแถวนี้ก็ไม่มีใครว่าเค้านะคะ ไม่รู้เพราะกลัวกันหรือเปล่า

3. เวลาหนูไปกวาดขยะหน้าบ้าน ชอบเปิดหน้าต่างออกมาดูแถมสูบบุหรี่มองมาแบบไม่เกรงใจ น่ากลัวมากค่ะ
เราควรทำอย่างไรคะ แก้ปัญหาอย่างไรดีค่ะ เพราะหนูเพิ่งย้ายมา เพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ แต่อยู่แบบนี้ก็อึดอัดน่ะค่ะ

กราบขอบคุณท่านอาจารย์มากค่ะ และขออนุโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายที่ท่านอาจารย์ได้ทำมานะคะ

คำตอบ
   จากคำที่บอกเล่าไปในข้อ (๑),(๒),(๓) นับว่าเป็นโชคดีของผู้ถามปัญหา ที่จะได้มีโอกาสชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดสิ้นไปในชาติปัจจุบัน ดูวิธีบริหารหนี้เวรกรรมใน web site ข้อ 728 หรือในหนังสือสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘

   อนึ่ง ผู้ใดเห็นถูกย่อมเห็นว่า คนที่ขว้างปาขยะมาลงที่หน้าบ้าน เขาเป็นครูสอนเราว่า อย่าได้ประพฤติแบบเขา เพราะเป็นการสร้างหนี้เวรกรรมกับผู้อื่น มองให้ออกว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ ที่ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี ทำให้เราได้สร้างเมตตาบารมี (ให้อภัยเขา) ทำให้เราได้สร้างปัญญาบารมี (เห็นถูกตามธรรม) ฯลฯ หากเข้าใจและเข้าถึงคำแนะนำที่บอกมานี้ได้ จะรู้ซึ้งในบุญคุณของเขา พร้อมจะยกมือไหว้เขาได้อย่างสนิทใจ
  

1087.
กราบอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

เพื่อนหนูคนหนึ่งเขามีลูกชายสองคน เขาบอกว่ากลางปีนี้จะให้ลูกชายทั้งสองคนบวชพร้อมกัน อยู่วัดเดียวกัน แต่มีคนทักว่าพี่น้องบวชอยู่ด้วยกันสองคนไม่ได้ บวชนั่งคู่ติดกัน ไม่ได้ ต้องหาอีกคนมาบวชนั่งคั่นอยู่ตรงกลาง และเวลาแห่นาค ก็ต้องให้มีนาคคนอื่นมาคั่นกลาง พี่น้องเดินเรียงกันไม่ได้

หนูอยากทราบว่าเพราะเหตุใด เพื่อนหนูอยู่เพชรบุรีค่ะ เขาจะบวชลูกชายที่วัดเขาตระเครา เพชรบุรี เขาบอกว่าประเพณีเป็นอย่างนั้น

รบกวนอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณมากค่ะ

ด้วยความเคารพและศรัทธาเป็นอย่างสูง

คำตอบ
    สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นความเห็นถูกของคนที่ทักท้วงว่า พี่น้องบวชอยู่ด้วยกันสองคนไม่ได้ บวชนั่งคู่ติดกันสองคนไม่ได้ พี่น้องเดินเรียงกันไม่ได้ ฯลฯ แต่เป็นความเห็นผิดของผู้เข้าถึงความจริงในพุทธศาสนาว่า ศาสนาพุทธมิได้สอนให้บุคคลเอาจิตไปผูกติดกับพิธีกรรม แต่ให้เอาจิตไปผูกติดกับกุศลกรรมที่ทำให้เป็นฆราวาสที่ดี ทำให้เป็นนักบวชที่ดีมีความประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย ทำให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร คือกำจัดสังโยชน์ทั้งสิบให้หมดไปจากใจ ดังนั้นคำทักท้วงดังกล่าวข้างต้น จึงมีต้นเหตุมาจากความไม่รู้จริง (อวิชชา) ของผู้ที่พูดทักท้วง
    

1086.
กราบอาจารย์ดร.สนองที่เคารพรักและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

หนูมีเรื่องอยากเรียนถามอาจารย์ค่ะ คือเมื่อปลายปีที่แล้ว มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าสามีหนูปีนี้ชะตาไม่ดีมากๆ อาจถึงขั้นหมดอายุขัย ให้สร้างพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ยืนสูง เท่าคนจริงไว้ในวัดให้คนกราบไหว้บูชา จะช่วยต่ออายุขัยได้ 5-10 ปี และเหตุที่ให้สร้างพระโพธิสัตว์กวนอิม อาจารย์ท่านนั้นบอกว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมยังเมตตาโปรดสัตว์อยู่ใน โลกมนุษย์ ขอพรอะไรก็จะได้ผลดีกว่า ส่วนพระพุทธเจ้านั้นได้เสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว ท่านปล่อยวางหมดแล้ว ขอพรอะไรก็คงไม่ได้ผล

อาจารย์มีความคิดเห็นเป็นเช่นไรคะ และถ้าคนไม่มีปัจจัยเพียงพอจะทำอย่างไร การสร้างพระองค์ใหญ่ๆจะช่วยสะเดาะเคราะห์และต่ออายุขัยได้จริงหรือ สมควรทำตามหรือไม่คะ

อีกอย่างค่ะ คืออาจารย์ท่านนี้บอกว่าหนูไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้สำเร็จ เพราะอดีตชาติ ไม่ได้ทำมา ไปฝึกกรรมฐานที่ไหนก็ไม่ได้ แต่หนูชอบฟังธรรมะมากค่ะโดยเฉพาะกับอาจารย์ ดร.สนอง และหนูไม่เคยพลาดงานแสดงธรรมของชมรมกัลยาณธรรมเลย

หนูขอรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ ช่วยให้ความสว่างแก่ผู้ด้อยปัญญาคนนี้ด้วย หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่ได้ตอบคำถามหนูทุกครั้ง

กราบมาด้วยความเคารพรักและศรัทธาเป็นอย่างสูง

คำตอบ
    คำพูดที่ออกจากปากของอาจารย์ท่านนั้น พูดถูกตามความเห็นของท่าน แต่เป็นการพูดผิดไปจากความจริงในพุทธศาสนา ว่าการขอพรนั้น พระพุทธโคดมมิได้สอนให้พุทธบริษัทประพฤติตนเป็นผู้ขอ แต่สอนพุทธบริษัททำเหตุให้ถูกตรงกับความปรารถนาที่ตั้งไว้ เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัว สิ่งที่ปรารถนาย่อมปรากฏเป็นจริงได้ ตามกฎแห่งกรรมนั่นไง

   ผู้ถามปัญหาประสงค์จะสะเดาะเคราะห์ ต้องทำเหตุให้ถูกตรงดังที่เหลี่ยวฝานได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ตามหนังสือเรื่อง “ วิธีอยู่เหนือดวง ” ที่ชมรมกัลยาณธรรมได้จัดพิมพ์ขึ้นเผยแพร่

   เช่นเดียวกัน การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จหรือไม่ มิได้เกิดขึ้นจากคำพูดที่ออกจากปากของคนอื่น แต่อยู่ที่การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ที่ตนเองประพฤติอยู่นั่นแหละเป็นต้นเหตุ ที่จะทำให้เข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้


  

1085.
สวัสดีครับ ท่าน อ.สนอง ที่เคารพ

ผมมีปัญหาที่สงสัยอยู่ในเรื่องของศีลข้อ 2 คือการลักทรัพย์

เรื่องมีอยู่ว่าปัจจุบันนี้ผมได้ทำงานเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ครับ สำหรับในประเทศไทยนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามี แผ่นก๊อปปี้ ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่มากมาย เพราะโปรแกรมตัวแท้ ๆ นั้นแพงมาก ประมาณ 99 % ลูกค้าส่วนใหญ่ของผมจะใช้โปรแกรมที่ก๊อปปี้กันทั้งนั้น และตรงนี้แหละครับที่ผมสงสัยคือ ผมเองเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ก็ต้องไปหาซื้อโปรแกรมที่เขาก๊อปมาวางขายตามตลาดบ้างเป็นบางครั้งบางทีก็ดาวน์โหลดเอาจาก internet บ้างเพราะเขาเปิดให้โหลดกันฟรี แต่เป็นของผิดลิขสิทธิ์อยากทราบว่ามันผิดศีลข้อ 2 หรือปล่าวครับผมไม่ค่อยแน่ใจ ผมเคยนั่งลองคิดดูไม่ได้คิดแบบเข้าข้างตัวองเป็นความคิดแบบโง่ ๆ ของผมคือผมคิดว่าผมว่ามันน่าจะเหมือนกับศีลข้อ 1 น่ะครับคือเขาหามาตั้งแผงขายให้เราแล้วเราก็ซื้อเหมือนเนื้อสัตว์น่ะครับ

ทุกวันนี้ผมก็พยายามไม่ซื้อแผ่นโปรแกรมก็อปปี้เลยถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ส่วนแผ่นหนังแผ่นเพลงนั้นผมเช่าดูแล้วก็ยืมเขาบ้าง ซื้อบ้าง ครับ ยกเว้นแผ่นโปรแกรมนี่แหละครับที่ต้องใช้ของก๊อปปี้อยู่เพราะมันแพงมาก

ผมเกรงว่าจะคิดผิดไปจึงส่งคำถามนี้มาถาม อ.สนองน่ะครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
   เมื่อใดที่เจ้าของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บอกอนุญาตหรือเขียนอนุญาตให้ก๊อปปี้ได้ ผู้ที่ก๊อปปี้โปรแกรมฯ ไม่ถือว่าประพฤติทุศีลข้อสอง แต่หากเจ้าของโปรแกรมมิได้แสดงหลักฐานการอนุญาต แล้วไปก๊อปปี้โปรแกรมฯ มาแจกหรือขาย ถือว่าประพฤติผิดกฎหมายลิขสิทธิ์และผิดศีลข้อสองด้วย
  

1084.
เรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพเป็นอย่างสูง
ขอเรียนถามท่านอาจารย์สนองเรื่องการปฏิบัติต่อไปนี้ครับ

1.ในช่วงนี้ผมได้พยายามปฎิบัติสมถกรรมฐานโดยการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อย่างเช่นพุท-โธ โดยตั้งฐานของสมาธิไว้ที่อาการพอง-ยุบของหน้าท้อง
เพราะมีความรู้สึกว่าตามลมได้ง่ายกว่า แต่พอทำไปได้ซักระยะมีความรู้สึกว่าการจับลมที่หน้าท้องละเอียดและเบาลง เหลือแต่คำภาวนาที่จับได้ชัดเจนและรู้สึกว่าจิตสงบยิ่งขึ้น จึงอยากถามท่านอาจารย์ว่าการที่เราระลึกรู้คำภาวนาได้ชัดเจนโดยที่รู้สึกถึงลมเข้า-ออกที่หน้าท้องเบาลงมากๆนั้นถูกต้องหรือไม่ครับ อาการอย่างนี้เรียกว่าอะไร และหากไม่ใช่อาการที่ถูกจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรจึงจะผ่านจุดนี้ไปเพื่อปฎิบัติต่อไปให้ก้าวหน้าได้ครับ

2.การภาวนาโดยใช้การนับเลขกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เช่น 1-10 หรือ พุท-โธ 1-10 ไปเรื่อยๆนั้นจะสามารถทำให้เกิดฌานได้หรือไม่ครับ การที่เราจดจำว่าเรานับถึงเลขที่เท่าไรถือเป็นสัญญาหรือไม่ ซึ่งความจำนี้จะเป็นอุปสรรคทำให้เราเข้าถึงอัปปนาสมาธิได้มั้ยครับ

3.การทำจิตให้นิ่งโดยไม่คิดอะไรเลยนอกจากรู้ลมเข้า-ออกนั้น จัดเป็นสมาธิหรือไม่ครับเพราะไม่มีคำภาวนากำกับ

4.การทำสมาธิโดยระลึกถึงคำภาวนาโดยไม่มีฐานของลมหายใจหรือไม่กำหนดลมหายใจเข้า-ออกนั้น หากทำไปเรื่อยๆจนใจไม่วอกแวก อยู่แต่กับคำภาวนานั้นๆ จะทำให้ผู้ปฎิบัติสามารถเข้าถึงสมาธิสูงสุดได้หรือไม่ครับ

    ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์สนองเป็นอย่างสูงนะครับ อาจารย์ถือเป็นกัลญาณมิตรที่ผมเคารพเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผมเองก็ติดตามงานหนังสือและฟังบรรยายของอาจารย์อยู่ตลอด ทำให้เกิดปัญญา กำลังใจ และศรัทธาที่จะเป็นคนดีประพฤติดีเป็นอย่างมาก ผมจะตั้งใจปฎิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์และถืออาจารย์เป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นต่อไปนะครับ ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นกัลญาณมิตรของพวกเรานานๆนะครับ ขออนุโมทนา สาธุครับ

   ชัยรัตน์

คำตอบ
    (๑) เป็นการปฏิบัติสมถภาวนาที่ถูกต้องครับ อาการที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)

   (๒) ทั้งสองวิธีที่บอกเล่าไป หากทำให้ถึงที่สุดแล้ว จิตจะปล่อยวางวิธีการที่เป็นสัญญา แล้วเข้าถึงสมาธิสูงสุด (อัปปนาสมาธิ) หรือเรียกว่าสมาธิในฌานได้

   (๓) หากจิตจอจ่อหรือระลึกอยู่กับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก เรียกจิตที่มีสภาวะเช่นนี้ว่า จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ โดยไม่มีคำภาวนามากำกับ

   (๔) หากจิตระลึกถึงคำภาวนาอย่างอื่น ที่มิได้เนื่องมาจากลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก เช่นภาวนาคำว่า มรณํๆๆๆ คือระลึกถึงความตายเป็น มรณัสสติ ภาวนาคำว่า อัฏฐกะๆๆๆ คือระลึกถึงโครงกระดูกเป็น อสุภะกรรมฐาน ภาวนาคำว่า โลหิตํๆๆๆ คือระลึกถึงสีแดงเป็น กสิณกรรมฐาน ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เป็นเหตุทำให้จิตของผู้ภาวนา เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุดได้
     

1083.
เรียน อาจารย์ที่เคารพ

ปีนี้ไม่ทราบว่าที่วัดศรีดอนมูล ครูบาท่านเข้านิโรธสมาบัติหรือไม่ ในช่วงเวลาเดิมหรือเปล่า อยากร่วมทำบุญค่ะ

ดิฉันมีปัญหาในการเลื่อนตำแหน่ง ผู้บริหารระดับกรมลงมาเป็นประธานในการสอบเอง บางคนก็ผ่านโดยง่ายดาย และไม่ได้พิจารณาที่ผลงานด้วยซ้ำ ดิฉันมานั่งเขียนผลงานเพื่อส่งเข้าไปใหม่ เรื่องแบบนี้เป็นวิบากกรรม หรือเป็นเรื่องธรรมดาๆ ของคนทำงานคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองอาจารย์ อยู่เป็นที่พึ่งและชี้นำทางให้เพื่อนมนุษย์ผู้ยังวนเวียนอยู่ในทุกข์ได้เห็นแสงสว่าง

คำตอบ
    พระสงฆ์ที่เข้านิโรธสมาบัติที่วัดศรีดอนมูล มีกำหนดออกจากนิโรธฯ วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และเรื่องที่ต้องกลับมาเขียนผลงานเพื่อเสนอเข้าพิจารณาใหม่นั้น เป็นผลเนื่องมาจากกรรมที่ให้ผลเป็นวิบากที่ผู้ถามปัญหาต้องยอมรับ
   

คำถามที่เหลือจากโรงพยาบาล นครปฐม 6 ข้อ
บรรยายเมื่อ 13 มกราคม 2552 เรื่องมหัศจรรย์แห่งจิต

ข้อ ๑. ให้อธิบาย นิโรธสมาบัติ

คำตอบ
   นิโรธสมาบัติ หมายถึงการพัฒนาจิตของพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ให้เข้าถึงภาวะปลอดทุกข์ ด้วยการเจริญสมถภาวนา จนเข้าถึงรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔แล้วต่อด้วยการพัฒจิตให้มีกำลังสติเพิ่มมากยิ่งขึ้น แล้วจิตจะเข้าถึงภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ สภาวะเช่นนี้ จิตปลอดจากสัญญาและปลอดจากเวทนาให้เป็นเครื่องบ่งชี้ได้


ข้อ ๒.
อาจารย์คะ ปฏิบัติธรรมแนววิปัสสนากรรมฐาน (ไม่ใช่สมถกรรมฐาน) จะไม่มีโอกาสได้ทิพพจักขุหรือทิพพโสต สิคะ ดูเหมือนคนละทางกัน

คำตอบ
   ผู้ใดพัฒนาจิตตามแนวของวิปัสสนากรรมฐาน จะไม่สามารถเข้าถึงอภิญญา ๕ เช่น ทิพพโสต ทิพพจักขุ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ฯลฯ ได้


ข้อ ๓.
การที่อยากไปเกิดอยู่ภพภูมิชั้นบน (สุคติภพ) ไม่ถือว่าเป็นความโลภหรือคะ

คำตอบ
   ถือว่าเป็นความโลภได้


ข้อ ๔.
(๑) ที่ว่าพลังจิตมหัศจรรย์มีประโยชน์หลายอย่าง ถ้าคนที่มีพลังจิตแผ่ให้คนอื่นหรือคนไม่สบายได้ เข้าใจถูกมั๊ยคะ เป็นการแผ่หรือ protect หรือ transfer
         (๒) หนทางก่อหรือฝึกให้เกิดพลังจิต คำตอบคือภาวนาสมาธิหรือวิปัสสนาภาวนาหรือเปล่าคะ ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
   (๑) ได้ทั้งแผ่ เช่น แผ่เมตตาให้กับสัตว์ที่ปองร้าย หรืออุทิศบุญให้กับสัตว์ที่ต้องการบุญ หรือปกป้องคุ้มครองภัยเช่น การสวดพระปริตร ส่วนคำว่า transfer หากหมายถึงถ่ายหรือโอน หากผู้รับการถ่าย,โอน สามารถรับได้ ก็สามารถแก้ปัญหาความเจ็บป่วยได้
  (๒) การสร้างพลังให้กับจิต ทำได้ทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพลังที่ประสงค์จะพัฒนาให้เกิดขึ้น


ข้อ ๕.
การที่เห็นคนใส่ชุดขาวเดินเข้าบ้าน (บ้านข้างๆ) ทั้งที่ประตูบ้านไม่ได้เปิด ที่ปรากฏให้เราเห็นหมายความว่าอย่างไร

คำตอบ
   หมายความว่า คนที่ถูกเห็นเป็นอมนุษย์

 

ข้อ ๖. (๑) กรณีที่เป็นโรคหลายอย่าง แต่หาสาเหตุไม่พบ ต้องไปพบหมอจนท้อสุดๆ จะปฏิบัติอย่างไรกับความทุกข์นั้น
         (๒) เจอมรสุมชีวิตโดนกลั่นแกล้งทางวาจา จากการกระทำแรงๆจากคนรอบข้าง จะทำอย่างไรให้ไม่คิดโต้ตอบ
         (๓) ขอเสนอสถานที่ปฏิบัติธรรม ชื่อ “ ธรรมโมธยะ ” สายของเจ้าคุณโชดก

คำตอบ
   
(๑) โรคที่เกิดจากกรรมเป็นต้นเหตุ หมอไม่สามารถตรวจหาสาเหตุให้พบได้ จึงรักษาโรคประเภทนี้ไม่หาย ฉะนั้นประสงค์จะไม่ทุกข์ด้วยความเจ็บป่วย ต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูความทุกข์ที่เกิดขึ้นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดความทุกข์เข้าสู่อนัตตา จิตจึงจะเห็นแจ้งว่า ความทุกข์ไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางความทุกข์ แล้วจะไม่ทุกข์กับโรคที่เกิดขึ้น

   (๒) ต้องให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีเหตุทำให้ขัดใจต้องทำจิตนิ่ง แล้วให้อภัยกับผู้ที่ทำเหตุขัดใจ ให้อภัยไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นเมตตา และถูกเก็บสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในจิตใจ แล้วจะไม่ทุกข์ใจจากคนรอบข้างอีกเลย

   (๓) ผู้ถามปัญหาเสนอสถานปฏิบัติธรรมชื่อ “ ธรรมโมธยะ ” สายของเจ้าคุณโชดก ... สาธุ
  

1082.
กราบเรียน อ.สนอง

หากเราเพียงแค่ร่วมบริจาคเงินเพียงเล็กน้อยที่เรามี ในการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารแก่พระภิกษุ และหมู่โยคี ที่เข้าร่วมปฏิบัติธรรมตาม คอร์สที่กำหนดไว้ประมาณ 7 วัน
1. อานิสงฆ์ของเงินเล็กน้อยของเราจะเรียกได้ว่าเป็น "มหาทาน" หรือไม่ หรือจะต้องเป็นเจ้าภาพใหญ่เท่านั้น

2. หากเรามิได้ไปที่สถานที่ที่จัดปฏิบัติธรรมนั้นๆ (เพราะเป็นการโอนเงินไปร่วมทำบุญ) เราจะอนุโมทนาบุญ รวมถึงอธิษฐานในวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม ได้หรือไม่

คำตอบ
    (๑) การเอาเงินเพียงเล็กน้อยไปให้ทานกับผู้มีคุณธรรมสูง (อริยบุคคล) ให้กับหมู่สงฆ์ ให้กับคนหมู่มาก หรือให้ทานกับผู้ที่ออกจากนิโรธสมาบัติเป็นคนแรก ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ แม้จะเป็นทานเพียงเล็กน้อย ย่อมมีอานิสงค์เกิดขึ้นมาก การกระทำเช่นนี้เรียกว่า มหาทานได้

   (๒) ได้ครับ ก่อนโอนเงินหากมีศรัทธามาก ขณะโอนเงินมีความตั้งใจมาก เมื่อโอนเงินแล้วเกิดเป็นความอิ่มใจสุขใจอย่างมาก ผลบุญจะเกิดขึ้นมากกับผู้กระทำเช่นนี้
   

1081.
กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ

ดิฉันสงสัยคำว่า "ตามดูจิต" หมายความว่าอย่างไร การตามดูจิตทำอย่างไร เป็นอย่างไร และ การพิจารณาให้เห็น "การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป" เป็นอย่างไร ทำอย่างไร ขอยกตัวอย่าง เช่น หากกำลังทำสมาธิอยู่ แล้วไปคิดถึงสถานที่หนึ่ง จะตามดูจิตอย่างไร พิจารณาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป อย่างไร ได้โปรดอธิบายด้วยค่ะ เพราะไม่เข้าใจ

   ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
   คำว่า “ ตามดูจิต ” หมายถึงการใช้จิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ตามดูสิ่งที่เข้ากระทบจิต (ผัสสะ) ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อผัสสะเข้าสู่อนัตตา ผัสสะไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน จิตเป็นอิสระแล้วว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับเกิดปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะ

   ส่วนตัวอย่างที่ยกถามไป การที่จิตไปคิดถึงสถานที่หนึ่ง นั่นแสดงว่า จิตรับกระทบแล้วปรุงเป็นอารมณ์ (คิดถึงสถานที่) ได้เกิดขึ้นแล้ว เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังของสติอ่อน อารมณ์จึงได้เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ต้องกำหนดว่า “ คิดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าความคิดถึงสถานที่จะดับไป ผู้ที่ยังไม่มีความชำนาญในการพัฒนาจิตต้องกำหนดตามที่แนะนำมา แต่ผู้ที่มีความชำนาญแล้วจึงจะใช้จิตที่ตั้งมั่นระดับขณิกสมาธิไปตามดูความคิดถึงสถานที่ตามกฎไตรลักษณ์ได้
   

1080.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพเป็นอย่างสูง

ในกรณีที่ข้าพเจ้าประกอบอาชีพ ตำรวจ ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา ด้วยสุจริตซื่อสัตย์ ถูกกฏหมายทุกประการในบ้างครั้งจะทำให้ ท่านอื่นทนมาน เพราะท่านเหล่านั้นทำผิดตามกฏหมาย ข้าพเจ้าทำตามกฏหมาย จะต้องรับผลอย่างไรบ้าง ก่อนตาย และหลังตาย ในกรณีดังกล่าวส่งผล และมีวิธีแก้ไขอย่างไรที่จะไม่ต้องรับผลดังกล่าว(เนื่องจากอ่านเรื่องพระเตมีย์ใบ้ทำให้ข้าพเจ้าสงสัย)

ด้วยความเครารพอย่างสูง

คำตอบ
   อาชีพเสี่ยงต่อความผิดพลาดสี่อาชีพที่ถามไป หากผู้ถามปัญหาประพฤติได้ถูกตรงตามกฎ กติกาของบ้านเมือง ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกตรงและเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ตามกฎหมาย สังคมถือว่าผู้นั้นประพฤติสุจริต แต่การกระทำยังมีส่วนเข้าไปร่วมในกระบวนกรรมของผู้อื่น คือได้บุญการช่วยคนไม่ผิด และได้บาปจากผู้ถูกลงโทษหากเขาจองเวรเอาไว้

   กรรมร่วมแบบนี้ หากตามให้ผลทันในชาติปัจจุบันหรือชาติถัดไป การดำเนินชีวิตและการปฏิบัติงาน ติดขัด ล่าช้า ไม่เป็นอิสระ และมีปัญหาเกิดขึ้นให้ต้องแก้ไข ดังนั้นวิธีป้องกันมิให้เวรกรรมตามทัน

   ๑. ต้องทำตนให้มีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น พัฒนาจิตให้มีสติคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น เพราะศีลและสติ เป็นเครื่องคุ้มครองชีวิตมิให้ต้องได้รับความวิบัติใดๆ

   หรือ ๒. ต้องพัฒนาจิตเป็นผู้มีดวงดีอยู่เสมอ ด้วยการประพฤติทาน ศีล และภาวนาตลอดชีวิต ตราบใดที่ยังต้องทำงานอยู่กับอาชีพเสี่ยงข้างต้น

   หรือ ๓. ปิดอบายภูมิด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ อย่างน้อยกำจัดกิเลสสามตัวแรก คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด ความเป็นอริยบุคคลขั้นต้น (โสดาบัน) จะเกิดขึ้น การทำงานเสี่ยงอันตรายต่ออาชีพทั้งสี่ย่อมปลอดภัย เพราะอริยบุคคลไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิใดอีกต่อไป

   ส่วนการแก้ไขกรรมที่ทำผิดพลาดไปแล้ว ต้องบริหารจัดการหนี้เวรกรรม ตามวิธีการ ๔ อย่างดังนี้
           ๑.  เมื่อหนี้เวรกรรมตามทัน ต้องรับความจริงและยอมชดใช้หนี้กรรมจนกว่าจะหมดสิ้น
          ๒.  ทำบุญใหญ่แลกหนี้ บุญใหญ่ที่ว่านี้คือ ปฏิบัติกรรมฐาน (สมถกรรมฐานและวิปัสนนากรรมฐาน) แล้วอุทิศบุญที่เกิดขึ้นชดใช้หนี้เวรกรรมที่ตามทัน
          ๓.  ทำดีหนีหนี้ คือ คิดดี พูดดี ทำดีทุกขณะตื่น คำว่าดี ในที่นี้หมายถึง คิด พูด ทำ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม
          ๔.  หนีเข้านิพพาน คือ พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอวิชชาให้หมดไปจากใจ เมื่อใดที่อายุขัยเวียนบรรจบ จำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลก ดับรูปดับนามเข้าสู่นิพพาน หนี้เวรกรมที่เหลือเป็นอันยกเลิก ไม่ต้องชดใช้(อโหสิกรรม) เหตุเพราะไม่มีรูปนามมาปรากฏในวัฏสงสารอีกต่อไป

   

1079.
เรียน อาจารย์สนอง

   พ่อของหนูอายุ 62 ปี ป่วยเป็นโรคตามาหลายปี (ปลายประสาทตาเสื่อม มองไม่ค่อยเห็น) ต้องออกจากงาน และส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา เช่น ปวดหลัง ปวดขา เพราะเดินไม่ค่อยสะดวก กลัวว่าจะชนโน่นชนนี่ ทุกวันนี้หนูก็ต้องทำงานไม่ค่อยมีเวลาดูแลพ่อเท่าไหร่นัก มีก็เพียงพาไปหาหมอ หาข้าวให้กินหรือพากินข้าวนอกบ้านตามโอกาส แต่ก็มีแม่ที่ช่วยดูแลบ้าง และก็ต้องทำงานบ้านด้วย

   หนูเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดจากผลกรรมที่ส่งผลมาทั้งสิ้น แต่จะมีหนทางใดช่วยพ่อให้บรรเทาทุกข์เรื่องสุขภาพบ้าง และหนูต้องทำอย่างไร

กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
    เมื่อใดที่กรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ความรู้ทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาให้หายได้ ผู้ทำกรรมจึงต้องรับวิบากด้วยตัวเอง ดูวิธีบริหารหนี้เวรกรรมจาก web site ข้อ 728 หรือจากหนังสือสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘

อนึ่งอาการปวดหลัง ปวดขา สามารถบำบัดได้ชั่วคราว อาทิ พัฒนาจิตตนเองให้เข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) หรือที่เรียกว่า สมาธิในระดับฌาน ตราบใดที่จิตทรงอยู่ในฌาน อาการปวดหลังปวดขาจะไม่เกิดขึ้น ผู้ใดพัฒนาจิตจนรู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริงว่า กายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน แล้วกันจิตให้เป็นอิสระจากกาย อาการปวดหลังปวดขาจะไม่เกิดขึ้น หรือผู้ใดมีสภาวะของจิตเป็นอริยบุคคล นับแต่พระอนาคามีขึ้นไป แล้วพัฒนาจิตให้เข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ ได้ อาการปวดหลังปวดขาจะไม่เกิดขึ้น กับจิตที่เข้าสู่สภาวะเช่นนี้ ฯลฯ
  

1078.
กราบสวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

หนูเคยถามปัญหาในข้อ 992 ซึ่งอาจารย์ตอบว่าหนูติดวิปัสนูกิเลสตัวปิติ หนูขอขอบคุณอาจารย์ค่ะ ถ้า
อาจารย์ไม่บอก หนูคงยังชื่นชมต่อไปอีก

1 ช่วงเข้าพรรษาหนูตั้งใจเดินจงกรม และนั่งสมาธิภาวนาพุท-โธ อย่างละ1/2ชม.ทุกวัน ขาดบ้างไม่น่า
เกิน 7 วัน ปกติเวลาเริ่มนั่ง ก็เหมือนกับดำนำ พอใกล้เวลา 1/2 ชม. ก็จะเหมือนกับคนจะโผล่พ้นผิวน้ำ
-ระหว่างเข้าพรรษา มีการนั่งสมาธิครั้งหนึ่งที่หนูดูตรงสีข้างลำตัวด้านซ้าย รู้สึกว่ามีกายซ้อนกายห่างประมาณ
หนึ่งนิ้ว1/2 ถึง 2 นิ้ว กายหนึ่งหายใจตามปกติ อีกขอบของกายหนึ่งไม่ได้ขยับหายใจตามกายแรก ดูสักพัก ประมาณ5-10 วินาทีก็หาย
ถาม อาการที่เกิดเรียกว่าอะไร เกี่ยวกับสมาธิหรือไม่

-ต่อมาเช้าวันหนึ่งหนูขับรถ ตาก็เห็นทุกอย่างเห็นถนน เห็นอาคาร เห็นรถเป็นปกติ แต่เกิดความรู้สึกว่าว่าง ไม่มีโลก ไม่มีหนู ไม่รู้ว่าหนูเป็นใคร เพียง 3-4 วินาที มีสติรู้ แต่เกิดขณะขับรถ เลยต้องกลับมาคิดว่าตัวเองเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่ โชคดีที่เช้านั้นรถไม่มาก
ถาม อาการนี้เกิดขึ้นใช่เหมือนกับผู้ถามในข้อ 958 และ 1014 หรือเปล่า เกี่ยวกับสมาธิหรือไม่
-หนูนั่งสมาธิก่อนนอน ตอนนอนก็ภาวนาพุท-โธ วางฐานจิตที่สะดือ และคิดจะหยุดเพื่อหลับไป ตามปกติ
พอหนูหยุดภาวนา แต่กลับยังมีการภาวนาพุท-โธ อยู่ และยังวางฐานจิตที่เดิม ทำให้หนูเหมือนจะนอน
ไม่หลับ มันตื่นตลอด แต่รุ่งขึ้นต้องทำงานเลยเปลี่ยนอริยาบถเพื่อให้เสียงนั้นหยุดไป สักพักก็หยุดเป็นปกติ
ถาม ที่เกิดขึ้นคืออะไร หนูต้องทำอย่างไร

2 หลังออกพรรษานั่งสมาธิอยู่แต่ไม่ทุกวัน เดือนธันวาคมนั่งแทบทุกวัน หนูนั่งสมาธิก่อนนอนได้นานขึ้นเป็น 1 ชม.
ถึง 1 ชม.ครึ่ง หลังๆ วันละ 2-3 ครั้ง จนเมื่อต้นเดือนมกราคม 52 อาการเวทนาเจ็บขายังมีอยู่แต่ระหว่างเวทนา
กับความรู้สึกเหมือนมีม่านกั้นอยู่ คือมันยังเจ็บอยู่แต่มันห่างจากใจ และมีอาการเวทนาที่อื่นคือกระตุกนิดๆ บางทีคันยิบๆ
บางทีมีอาการเหมือนเข็มจิ้ม บางทีบางส่วนของร่างกายก็มีคลื่นเล็กๆเย็นๆสบาย ฯลฯ ซึ่งแปลกที่มีความรู้สึกรู้ทัน
ว่ามัน จะเกิดตรงไหนและดูทันตั้งแต่ตอนเกิดและ ดูจนมันดับหายไป ทุกอาการค่อยๆ เกิดตามลำดับทั่ว ร่างกายแล้วหายไป และนั่งสมาธิ ครั้งต่อๆมาก็รู้ทันแต่ตอนที่เวทนาดับ ครั้งหลังขณะนั่งสมาธิรู้สึกว่าฟันกรามบนขวาซี่ในสุดล่วงหลุด
แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น และต่อมาเห็นปลายนิ้วกลางเป็นผงสลายจากปลายนิ้วเข้ามาสู่กลางนิ้ว ส่วนกายที่นั่งก็มีการลั่นของกระดูกและเหมือนจะเอนตัวล้มลงนอน ไม่ได้น้อมใจให้คิด แต่ขณะนั่งหนูไม่แน่ใจว่า ตัวเอนจริงหรือเปล่าเลยออกจากสมาธิเห็นว่าตัวก็เอนจริงๆ ที่เล่าให้อาจารย์ฟังหนูปฏิบัติถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร มีมิจฉาสมาธิบ้างหรือเปล่าคะ แล้วต้องแก้ไขอย่างไร

กราบขอบพระคุณอาจารย์ ขอบุญคุ้มครองอาจารย์ให้มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ

คำตอบ
   ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเรียกว่า นิมิต เหตุเป็นเพราะจิตมีความถี่ช่วงคลื่นที่ทำให้เกิดนิมิตได้เพียงเดี๋ยวเดียว แล้วความถี่คลื่นจิตเปลี่ยนไป จึงทำให้ภาพนิมิตหายไป ถามว่านิมิตที่เห็นนั้นเกี่ยวกับสมาธิหรือไม่ ตอบว่า เกี่ยวกับจิตที่เข้าสู่ภาวะตั้งมั่นเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ)
    

1077.
เรียน อจ สนอง

ช่วงนี้รู้สึกบริจาคสนุกดี อยากบริจาคพวกของให้เด็กอะไรทำนองนี้ เงินที่ใช้คือเงินที่แม่ให้กินข้าวประจำสัปดาห์ คือหนูแบ่งไว้ ส่วนนึงใช้บริจาคอ่ะค่ะ แล้วคือ ที่จริงหนูก็ยังอยากจะบริจาคอยู่

อาจารย์ว่าการที่หนูทำอย่างงี้ นี่เหมือนใช้จ่ายไม่คิดรึเปล่าคะ

คือหนูรู้สึกสบายใจที่เวลาบริจาคแล้วไม่งกอ่ะค่ะ คือชอบตอนตัวเองไม่งก เพราะอยากเลิกงกมานาน

ค่ะ
สวัสดีค่ะ

คำตอบ
    ทาน คือการให้ การสละ การบริจาค ผลที่จะกลับมาสู่ผู้ให้ทาน คือ ผู้ให้เป็นสุข ยิ่งให้ยิ่งมีมากเพราะการให้ทานเป็นที่ตั้งแห่งโภคะทั้งปวง ผู้ให้ทานมีเครื่องป้องกันภัยในวัฏสงสาร เป็นผู้มีที่พึ่งอาศัยทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ทานเหมือเครื่องกำจัดความตระหนี่ ความโลภได้ ฯลฯ คนที่ไม่งกเป็นคนดี ..... สาธุ การให้ทานแล้วได้บุญต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง การให้ทานเป็นการเปลี่ยนทรัพย์ภายนอกให้เป็นทรัพย์ภายใน คนที่มีความเห็นถูกมีความคิดถูกจึงประพฤติเช่นนี้ได้
     

1076.
เรียน อาจารย์ สนองที่เคารพ

ผมมีคำถามถามดังนี้
1.เรื่องการประกอบอาชีพของแต่ละคน บางคนเป็นแพทย์ เป็นวิศวกร เป็นข้าราชการ เป็นพ่อค้า เป็นกรรมกร อยากทราบว่าเกิดจากกระทำในปัจจุบันของตัวเอง หรือเกิดจากกรรมในอดีตกำหนดมา

2.เพื่อนผมแนะนำให้ทำธุรกิจขายตรง โดยได้รับการอบรมวิธีการขาย วิธีต่าง ๆ นานา เพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ แต่ทำไมตัวผมไม่มีความสุขในการประกอบอาชีพนี้เลย รู้สึกไม่อยากทำ เป็นเพราะอะไรครับ

3.ถ้าเราโดนโกงเงิน จะมีวิธีคิดอย่างไรให้ใจเป็นทุกข์น้อยที่สุด หรือมีวิธีป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีกครับ

4.ผมประกอบอาชีพค้าขาย แต่ก็ล้มเหลวมาหลายครั้ง เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นบ้าง ก็ยังไม่สำเร็จ อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไร แล้วเราจะเจอธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

ขอขอบคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
    (๑) เกิดจากกรรมที่ทำไว้แต่อดีตกับกรรมที่ทำในปัจจุบันให้ผลร่วมกัน

   (๒) เหตุที่ไม่มีความสุขในการประกอบอาชีพ เพราะกรรมในอดีตมีกำลังมากกว่า กรรมที่ทำอยู่ในปัจจุบันมีกำลังน้อยกว่า

   (๓) ผู้มีปัญญาเห็นถูก เห็นว่าตัวเองถูกคนอื่นโกงเงิน ดีกว่าตัวเองไปโกงเงินคนอื่น ผู้มีปัญญาเห็นถูก เห็นว่าอดีตตัวเองเคยไปโกงเงินเขามาก่อน ปัจจุบันจึงต้องใช้หนี้กรรมที่เคยไปเอาเงินเขามาแล้วไม่ชดใช้คืน หนี้เก่าจะได้จบสิ้นกันไป ผู้มีปัญญาเห็นถูก เห็นว่าเงินเป็นทรัพย์ภายนอกที่เป็นสาธารณะแก่โจร แก่น้ำ แก่ไฟ ฯลฯ ผู้มีปัญญาเห็นถูก เห็นว่าเงินเป็นทรัพย์กำพร้า เป็นทรัพย์ภายนอก ตายแล้วเอาไปไม่ได้ จึงมีจิตไม่เสียดายเงินที่ถูกโกง แล้วผู้ถามปัญหามีปัญญาเห็นถูกหรือมีปัญญาเห็นผิดล่ะ

   (๔) ประกอบธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มีเหตุที่ทำให้เกิดได้ดังนี้
         ๑. มีความรู้ มีความสามารถในอาชีพ และมีคุณธรรมด้อยกว่าคนอื่นที่ประกอบอาชีพในลักษณะเดียวกัน
        ๒. มีศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ มีศีลไม่ครบ ๕ ข้อ
        ๓. อกตัญญูต่อบุพการี หรือผู้มีอุปการะ หรือต่อแผ่นดินเกิด
        ๔. กำลังเสวยผลของอกุศลวิบากจากกรรมเก่า
            ฯลฯ
   

1075.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ

หนูมีปัญหาขอกราบเรียนถามอาจารย์เรื่องภพของสัมภเวสีค่ะเพื่อที่จะทำการเซ่นไหว้อาหารให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้ถูกต้อง

1. ปริมาณอาหารควรเตรียมให้เท่ากับจำนวนคนเมื่อเทียบกับภพมนุษย์รึเปล่าคะ หนูเคยทราบมาว่าปริมาณอาหารในภพมนุษย์จะมีขนาดใหญ่กว่าในภพสัมภเวสี ขอทราบอัตราส่วนคร่าวๆด้วยค่ะเช่น 1 ส่วนต่อ 5 ส่วนเป็นต้น

2. เวลา 1 วันในภพสัมพเวสีเท่ากับเวลากี่วันในภพมนุษย์คะและสัมภเวสีต้องทานอาหารวันละกี่มื้อ

3. เรา(ตัวหนูและครอบครัว)ควรทานอาหารที่เซ่นไหว้เสร็จแล้วรึเปล่าคะ

4. การที่เราเซ่นไหว้อาหารให้กับสัมภเวสีโดยตรงกับการที่เราถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์แล้วอุทิศกุศลให้มีผลกับสัมภเวสีเหมือนกันไหมคะ

5. เราสามารถเชิญสัมภเวสีซึ่งเป็นญาติมาอยู่กับเราได้ไหมคะเพื่อที่พวกท่านจะได้ไม่เร่ร่อนและต้องทำอย่างไร กรุณาแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีบอกกล่าวกับเจ้าที่ที่บ้านด้วยค่ะเพื่อที่จะไม่เป็นการล่วงเกิน

สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์ดร.สนองและทีมงานกัลยาณธรรมเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
   พัช

คำตอบ
    (๑) คนที่ตายก่อนถึงอายุขัย แล้วไปโอปปาติกะ เป็นสัมภเวสี คือเป็นสัตว์กายทิพย์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนเดิมก่อนตายทุกประการ สัมภเวสียังอยู่ในภพมนุษย์แต่อยู่ในมิติที่ต่างกัน เมื่อยังเป็นมนุษย์ที่มีกายหยาบอยู่ เขาชอบบริโภคอาหารชนิดใดและบริโภคประมาณเท่าใด เมื่อตายไปเป็นสัมภเวสีแล้ว เขายังชอบบริโภคอาหารชนิดเดิมและปริมาณเดิม

   (๒) เนื่องจากเป็นรูปนามอยู่ในภพมนุษย์เดียวกันกับผู้ที่ยังไม่ตาย วันเวลาของสัมภเวสีและวันเวลาของมนุษย์ จึงมีความยาวนานเป็นอย่างเดียวกัน ส่วนสัมภเวสีจะกินอาหารวันละกี่มื้อ ขึ้นอยู่กับจริตในการบริโภคอาหารของเขาในขณะยังเป็นมนุษย์กายหยาบ เขาบริโภคอาหารวันละกี่มื้อ สันดานในการบริโภคอาหารของมนุษย์สัมภเวสีตนนั้น ก็จะแสดงออกมาเหมือนกัน เพราะสัญญาจำนวนมื้อในการบริโภคยังคงมีอยู่

   (๓) ถ้าผู้ถามปัญหาและครอบครัวมีคุณธรรมสูงกว่ารูปนามที่ถูกเซ่นไหว้ หากไปบริโภคอาหารที่เหลือจากการเซ่นไหว้ ถือว่าเป็นเดนอาหาร ไม่ควรทำเพราะจำเป็นโทษกับผู้บริโภค ตรงกันข้าม หากผู้ถามปัญหาและครอบครัวมีคุณธรรมต่ำกว่ารูปนามที่ถูกเซ่นไหว้ การบริโภคอาหารที่เหลือจากการเซ่นไหว้ ไม่เรียกว่าเดนอาหาร สามารถบริโภคได้เพราะเป็นคุณกับผู้บริโภค

   (๔) มีผลกับสัมภเวสีเหมือนกันเมื่อเซ่นไหว้โดยตรง หรือถวายอาหารแก่ภิกษุสงฆ์ที่มีคุณธรรมระดับเดียวกับผู้เซ่นไหว้ แล้วจึงอุทิศบุญกุศลให้กับสัมภเวสี หากผู้เซ่นไหว้เป็นอริยบุคคลแต่สงฆ์เป็นปุถุชน สัมภเวสีได้อานิสงค์จากการเซ่นไหว้มากกว่าการมาอนุโมนาบุญจากสงฆ์ผู้เป็นปุถุชน ตรงกันข้าม สัมภเวสีได้อานิสงค์น้อยกว่า จากการเซ่นไหว้ของบุคคลผู้เป็นปุถุชนแต่ได้อานิสงค์มากกว่า หากมาอนุโมทนาบุญจากสงฆ์ผู้เป็นอริยบุคคล

   (๕) สัมภเวสีเป็นสัตว์ที่มีบุญน้อยกว่าเจ้าที่ จึงต้องขออนุญาตเจ้าที่ก่อน หากเจ้าที่อนุญาตแล้ว สัมภเวสีจึงจะมีสิทธิ์เข้าสู่บริเวณของบ้านได้ แม้ขณะเป็นมนุษย์เคยเดินเข้าเดินออกจากบ้านนั้นมาก่อนก็ตาม เมื่อเป็นสัมภเวสีแล้วก็มิอาจเข้าบ้านได้โดยพลการ การขออนุญาตไม่ยุ่งยากเพียงแต่สื่อให้เจ้าที่ทราบด้วยจิต และเมื่อเขาอนุญาตแล้วสัมภเวสีจึงจะเข้าบ้านได้
   

1074.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง

อาจารย์คะ ได้ฟังธรรมของอาจารย์แล้วก็ได้เริ่มปฎิบัติตัวเองไม่ให้ผิดศีล เพราะกลัวบาป ท่านอาจารย์คะ บังเอิญได้ฟังธรรมมักกะลีผล ซึ่งเป็นประวัติของหลวงพ่อจรัญ และได้หาฟังต่ออีก เช่นเรื่องสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ยิ่งได้ฟัง ยิ่งซาบซึ้งและเคารพในหลวงพ่อจรัญมากยิ่ง ขึ้นมีเรื่องรบกวนจะถามอาจารย์ค่ะ
1. ทำไมเมื่อฟังประวัติของหลวงพ่อ ทำให้อยากไปเข้ากรรมฐาน สัก 7 วัน และมองตัวเองว่าที่ผ่านมายังทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย
2. ที่บ้านฟังด้วยกันในครอบครัว ดิฉันได้ถามพ่อบ้านว่าอยากไปปฎิบัติกรรมฐานไหม เค้าบอก
ไม่ เพราะอะไรคะ ทั้งๆๆที่ตอนฟังก็ศรัทธา แต่เพราะอะไรพ่อบ้านถึงยังไม่อยากไป
3. การที่มีคนผู้พูดว่า มีของเก่าติดตัวมาคืออะไรคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    (๑) คำว่า “ ฟัง ” คือได้ยินเสียงคนอื่นพูด หากเสียงที่ได้ยินเป็นเหตุให้เกิดศรัทธาได้แล้ว ผู้ศรัทธาจึงอยากนำตัวเข้าปฏิบัติกรรมฐาน ความอยากเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้คนดีได้ หากประสงค์จะเป็นคนดีมีธรรมะคุ้มครองใจ ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติกรรมฐานด้วย

   (๒) เพราะศรัทธาที่เกิดกับพ่อบ้านยังมีกำลังอ่อนกว่า กำลังของกิเลสที่มีอยู่ในจิตวิญญาณของพ่อบ้าน

   (๓) ถ้าของเก่าเป็นสิ่งไม่ดี ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณ จึงเรียกของที่ติดตัวมาว่า มีบาปติดตัว ตรงกันข้ามถ้าของเก่าเป็นสิ่งดีงาม ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณ เรียกของที่ติดตัวมาว่า มีบุญติดตัว
  

1073.
เรียนท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ผมพึ่งสูญเสียคุณแม่(อายุ 71 ปี) ่ได้หกวันครับด้วยโรคมะเร็ง ท่านเสียที่โรงพยาบาลขณะที่รับการรักษาตัว และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างพิธีงานศพซึ่งจะมีการเผาในอาทิตย์หน้า

ผมเองมีความเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไปของคุณแม่ และเสียดายอย่างยิ่งที่มีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำให้ท่านตามที่ตั้งใจไว้ (ผมมาทราบว่าท่านอยู่ในขั้นสุดท้ายเอาเมื่อตอนที่ท่านแทบจะไม่รู้สึกตัวแล้ว) เท่าที่ผมจำความได้ท่านตั้งอยู่ในศีลธรรม นับถือพระรัตนตรัยอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด มีพรหมวิหาร4 เป็นที่เคารพของญาติมิตร ผมเองในเวลาที่ผ่านมาทุ่มเทเวลาให้กับงานอย่างหนัก กลับดึกตื่นเช้าจนแทบจะไม่มีเวลาได้สนทนาหรือดูแลท่านได้มากนัก (คุณพ่อและน้องชายจะดูแลเป็นส่วนใหญ่) จนเมื่อผมทราบว่าท่านอยู่ในระยะสุดท้ายจึงได้ลางานมาอยู่กับท่านที่โรงพยาบาลราวสองอาทิตย์จวบจนวาระสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดคุณแม่มากที่สุดในชีวิต ได้มีโอกาสบอกรักและขอขมากับท่าน ตลอดจนดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ(โดยการฉีดเข้าทางปาก)

ก่อนที่ท่านจะเสีย ผมได้พยายามทำบุญใหญ่ เช่นเป็นเจ้าภาพบวชพระ, หล่อพระพุทธเจ้าองค์ปฐม, สร้างพระไตรปิฎกออนไลน์, ถวายสังฆทานด้วยผ้าไตรและพระพุทธรูป ปล่อยปลาและไถ่ชีวิตโคกระบือ แล้วไปกระซิบข้างหูคุณแม่ให้โมทนาบุญด้วยทุกครั้ง แต่ไม่แน่ใจว่าท่านได้รับรู้หรือไม่ เพราะท่านอยู่ใต้ฤทธิ์ของมอร์ฟีนทำให้ท่านหลับๆตื่นๆอยู่ตลอด

ในช่วงสุดท้ายของคุณแม่ ท่านอ่อนแรงลงมากผมกุมมือคุณแม่ไว้ตลอดและรู้สึกว่ามือท่านเย็นมากๆ เมื่อท่านอ่อนแรงลงอย่างหนัก ผมได้ลุกออกจากท่านไปนั่งสมาธิอยู่ข้างๆ ด้วยความปรารถนาจะทำสมาธิเป็นปฏิบัติบารมีเพื่อเป็นบุญบารมีมอบแก่คุณแม่ ซึ่งเป็นการนั่งที่สงบอย่างยิ่ง ในใจผมภาวนาขอให้บุญที่เกิดจากการนั่งสมาธิครั้งนี้เป็นปัจจัยให้คุณแม่ได้เข้าถึงซึ่งนิพพาน จากนั้นสักครู่ผมก็เห็นภาพพระพุทธรูปองค์ใหญ่ผมก็อธิษฐานขอให้ท่านช่วยนำคุณแม่ผมไปสู่สุขคติภูมิด้วยไม่ว่าจะเป็นเทวดานางฟ้า พรหม หรือนิพพาน สักครู่ก็เห็นภาพของหลวงพ่อปานขึ้นมาก็อธิษฐานต่อท่านเช่นกัน เวลาผ่านไปสักพักได้ยินเสียงน้องชายกล่าวว่าคุณแม่เสียแล้ว(หยุดหายใจแล้ว) ตัวผมมีอาการสั่นสะท้านไปทั่วร่างกาย แต่ก็ยังภาวนาอธิษฐานต่อไปอีกสักพักโดยไม่ได้ลืมตาขึ้นมา (ปกติเวลาผมทำสมาธิที่ผ่านมาไม่เคยเห็นภาพอะไรเลย ยกเว้นตอนที่ไปรับกรรมฐานมโนมยิทธิได้สองวันก่อนท่านจะเสีย และไม่เคยมีอาการสั่นสะท้านดังกล่าวมาก่อน)

เมื่อท่านเสียแล้ว ผมเองปรารถนาอยากทราบว่าท่านมีสุขดีหรือเปล่า ก็ได้ทำบุญสังฆทานให้ท่านทุกวันตลอดช่วงเวลาที่สวดอภิธรรมและช่วงเก็บก่อนเผา ในคืนที่สอง ผมฝันว่ามีเสียงมาบอกว่าคุณแม่ไปอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส ซึ่งตอนนั้นผมไม่เคยมีความรู้ว่ามีคำว่าชั้นพรหมสุทธาวาสอยู่ในความรู้ความจำแม้แต่น้อย พอตื่นขึ้นก็ลองเข้าอินเตอร์เน็ตไปดูเรื่อง 31ภูมิ จึงเห็นว่ามีชั้นของพรหมที่ชื่อสุทธาวาสอยู่จริงก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน (ปกติผมจะจำความฝันแทบไม่ได้เลยในแต่ละวัน พอตื่นก็ลืมหมด แต่คราวนี้จำชื่อได้ชัดเจน)

ผมขอเรียนสอบถามอาจารย์เกี่ยวกับคุณแม่ดังต่อไปนี้ครับ
1. หากท่านอาจารย์จะพอทราบ ไม่แน่ใจว่าคุณแม่ได้รับผลบุญที่ผมได้ทำให้ท่านก่อนที่ท่านเสียหรือไม่ และถ้าไม่ได้(เนื่องจากท่านอาจจะไม่มีสติรับรู้) ผมจะแผ่ส่วนกุศลตามไปภายหลังจะได้อนิสงค์เท่ากันหรือไม่ครับ
2. หากท่านอาจารย์จะพอทราบและจะกรุณา โปรดแนะนำด้วยครับว่าภาพของพระองค์ใหญ่และภาพหลวงพ่อปานที่ปรากฎ เป็นภาพจริงหรือเป็นมายานิมิตรที่ไม่มีความหมายครับ
3. หากท่านอาจารย์จะพอทราบและจะกรุณา โปรดแนะนำด้วยครับว่าเสียงที่ผมได้ยินเรื่องชั้นพรหมสุทธาวาสนั้นเป็นของจริง หรือว่าเป็นเพียงความฝันที่ไม่จริงครับ
4. ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่ทำบุญ ผมจะอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณแม่ด้วยการเอ่ยชื่อท่านแต่เพียงผู้เดียว เพื่อให้เป็นปัจจัยให้ท่านได้เข้าสู่นิพพานในเวลาอันควร การอุทิศดังกล่าวเหมาะสมไหมครับ และถ้าผมจะอุทิศบุญกุศลดังกล่าวซ้ำอีกครั้งในเวลาต่อมาให้กับท่านเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่และของผมเอง จะยังได้ผลอีกไหมครับ
5. ขอท่านอาจารย์โปรดแนะนำสิ่งที่ผมควรจะทำเพิ่มเติมเพื่อที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อคุณแม่สูงสุดและเป็นปัจจัยให้ท่านได้เข้าสู่นิพพานโดยเร็วด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ

คำตอบ
   (๑) อานิสงค์ของการอุทิศบุญกุศล จะเกิดขึ้นมากหรือน้อยไม่เนื่องด้วยกาลเวลา แต่เนื่องด้วยความตั้งมั่นของจิต ชนิดของบุญ ปริมาณของบุญ ที่ผู้อุทิศมีอยู่ในจิตของตนเอง หากปัจจัยทั้งสามมีกำลังมาก อานิสงค์ของการอุทิศบุญย่อมมีมาก

   (๒) การเห็นนั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง ทั้งสองอย่างมิได้เป็นเหตุทำให้พ้นทุกข์ ผู้รู้จึงไม่เอาจิตของตนเองไปผูกติดอยู่กับสิ่งที่ถูกเห็น

   (๓) ผู้ถามปัญหาได้ยินเสียงจริง แต่เสียงที่ได้ยินนั้นไม่จริง เพราะยังเป็นสมมุติที่ปรากฏอยู่ในวัฏสงสาร

   (๔) การอุทิศบุญกุศลเพื่อให้คนอื่นเข้าถึงพระนิพพานนั้นไม่เหมาะสม เพราะเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลรองรับ ผู้ที่จะถึงพระนิพพานได้ ต้องเข้าถึงด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้งของตัวเอง กำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจ พระนิพพานจึงจะเกิดเป็นจริงได้

   ส่วนการอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่และของตัวเอง จะได้ผลก็ต่อเมื่อ เจ้ากรรมนายเวรเห็นดีด้วยแล้วมาอนุโมทนาบุญ และยกเลิกการจองเวร

   (๕) ความกตัญญูกตเวทีที่ผู้เป็นลูกจะทำให้บุพการีผู้ล่วงลับ ต้องประพฤติบุญใหญ่ (จิตตภาวนา) แล้วอุทิศบุญกุศลให้ผู้ล่วงลับ และผู้ล่วงลับจะเข้านิพพานได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ให้ต้องเวียนเกิด-เวียนตายอยู่ในวัฏสงสาร (สังโยชน์ ๑๐ ) ให้หมดไปจากใจของตัวเองได้เมื่อใด ตัวเองจึงจะสามารถนำจิตเข้าถึงพระนิพพานได้
  

1072.
เรียดร.สนองที่เคารพ

      หนูมีปัญหาข้องใจอยากทราบคำตอบดังนี้ค่ะ

1 ไม่อยากให้คนอื่นอ่านใจเราได้ต้องทำอย่างไรคะ เพราะเวลาไปสถานปฏิบัติธรรมจากจำนวนคนหลายร้อยคนจะมีคนคอยอ่านใจหนูอยู่เสมอ หนูแปลกใจมากว่าตั้งหลายร้อยคนเขาเข้ามาอ่านใจเราได้อย่างไร หรือความคิดของเรามันดังหรือแรงกว่าของคนอื่นคะ เวลาหนูคิดอะไรถึงเขาเขาก็รุ้ได้ค่ะ บางคนที่เขาไม่อยู่ณตอนนั้น แต่พอกลับมาเขาก็รู้ว่าเราคิดกับเขาอย่างไร เขามีวิธีทำอย่างไรคะ อาจารย์หนูเคยบอกว่า คนที่จิตสูงกว่าจะรู้ใจคนที่จิตต่ำกว่าจริงไหมคะ ถ้าหนูเจออาจารย์สนอง หนูจะไม่มีทางปิดความคิดหนูได้เลยใช่ไหมคะ เพราะอาจารย์มีจิตที่สูงกว่าหนูมากๆ ตอนไปฟังธรรมเห็นอาจารย์กวาดสายตามองคนที่ไปฟังอย่างตั้งใจ อาจารย์กำลังตรวจสอบคนที่มาใช่ไหมคะ

หนูเคยไปดูหมอดูตาทิพย์แบบที่อาจารย์ไปดูที่เชียงใหม่ ปรากฏว่าเขาดูหนูไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าบ้านเป็นอย่างไรอยู่ที่ไหนมีใครบ้างเหมือนที่ดูให้คนอื่น แม้แต่ทำนายดวงก็ทำไม่ได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ทำไมเขาถึงดูคนอื่นได้ล่ะคะแล้วดูถูกต้องแต่ทำนายก็มีผิดบ้างค่ะ

2 หนูทำกรรมฐานพองหนอยุบหนอ ทำไปแล้วคำบริกรรมหายไปรู้สึกโล่งดี ก็นั่งดูกายไปเงียบๆจนสมาธิคลายไป หนูทำถูกหรือไม่ เพราะหนูคิดว่าการกลับไปบริกรรมอีกทำให้เกิดความคิด แล้วมันไม่โล่งเหมือนมันมีห่วง เหมือนมันกลับมาเริ่มต้นใหม่ แต่ถ้านั่งดูท้องพองยุบไปเฉยๆโดยไม่บริกรรมกลับทำให้ไม่มีความคิดโล่งโปร่งไปหมด คิดรู้ว่าคิดแล้วมันก็หายไป ปวดเมื่อยก็รู้แต่มันไม่เข้ามาถึงจิตไม่ทรมาน ถ้าคำบริกรรมหายไปเราควรทำอย่างไรคะ และถ้ากายกับจิตแยกกันแล้วเราจำเป็นหรือไม่ที่ต้องบริกรรมอีก หนูคิดว่าคำบริกรรมทำให้จิตนี่ง เมื่อจิตนิ่งก็มีพลัง และไม่ต้องกลับมาใช้คำบริกรรมอีก หนูคิดถูกหรือเปล่าคะ อย่างอาจารย์สนองหรือพระอริยะเจ้านั้นแยกกายจิตอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่าคะ เพราะหนูเคยถึงสภาวะนี้หลายครั้งสักพักมันก็กลับมารวมกันใหม่อีกเราไม่เห็นการแยกที่ชัดเจนแบบนั้นอีกแล้ว

3 หนูเคยไปปฏิบัติธรรม3วันเป็นครั้งแรกของชีวิต พอกลับมาได้ยินแต่เสียงสวดมนต์เป็นพักๆอยู่ตลอด ไม่เลือกเวลา อยู่ดีๆก็มีเสียงลอยมา หนูยังทำไม่ค่อยเป็นก็ไม่ได้กำหนดเลยด่ากลับไปเลย เสียงเลยหายไปเลยค่ะ แล้วก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆหรือเห็นอะไรแปลกๆ ไม่ใช่ตอนหลับหรือตอนทำสมาธินะคะ แต่เป็นตอนที่ตื่นอยู่มีสติสัมปชัญญะเต็มที่ เห็นเป็นเวลาหลายนาทีมากๆ บอกให้คนอื่นดูเขาก็ไม่เห็นอะไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นคะ คือจะบอกว่าง่วงนอน ไม่สบายหรือสายตาไม่ดีก็ไม่ใช่ค่ะ เพราะเป็นคนสายตาปกติ เป็นอยู่4-5เดือนค่ะ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้นคะ แต่ตอนนี้ผ่านมาหลายปีไม่เห็นอะไรแล้วค่ะ แล้วก็ไม่ได้อยากเห็นด้วย

ขอกราบขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ

          ขอแสดงความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    (๑) บุคคลพูดดีหรือพูดไม่ดี สามารถรู้ได้ด้วยการสัมผัสของระบบประสาททางหู บุคคลทำดีหรือทำไม่ดี สามารถรู้ได้ด้วยการสัมผัสของระบบประสาททางตา และบุคคลคิดดีหรือคิดไม่ดี สามารถรู้ได้ด้วยเจโตปริยญาณของจิตที่พัฒนาได้แล้ว

   ผู้ใดประพฤติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ได้แล้ว สมาธิระดับนี้ถูกสมมุติเรียกว่า ฌาน เมื่อนำจิตออกจากฌานโลกิยอภิญญา โดยเฉพาะเจโตปริยญาณย่อมเกิดขึ้นได้ และไม่มีผู้ใดสามารถปกปิดความคิดให้พ้นไปจากการล่วงรู้ของผู้มีสภาวะจิตเช่นนี้ได้ ด้วยเหตุนี้การที่ผู้บรรยายกวาดสายตาไปยังผู้ฟังบรรยาย ด้วยมีจุดประสงค์นำเอาความคิดของผู้ฟังบรรยายที่เข้ากันกับเรื่องที่บรรยาย มาใช้ร่วมบรรยายให้เกิดศรัทธากับผู้ฟัง เหมือนกับที่พระสารีบุตรได้กระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ด้วยการใช้อนุสาสนีปาฏิหาริย์ร่วมกับ อาเทศน์ปาฏิหาริย์ในการแสดงธรรมของท่าน

   เช่นเดียวกับผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้แล้ว ย่อมรู้ความเป็นอริยบุคคลของจิตที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าได้ นอกจากนี้อริยบุคคลยังมีจิตเป็นอิสระจากความอยากไปรู้เรื่องของคนอื่นอีกด้วย

   ส่วนเรื่องของหมอดูที่ไม่สามารถทำนายชะตาชีวิตได้ถูกต้องกับบุคคลผู้มีสติสัมปชัญญะระดับโลกุตระได้ เพราะบุคคลประเภทนี้มีแต่คุณธรรมที่ให้ผลเป็นบุญสั่งสมอยู่ในจิต หรือจะกล่าวได้ในอีกทางหนึ่งว่า อริยบุคคลเป็นผู้อยู่เหนือดวงชะตานั่นเอง

   (๒) ถูก หากต้องการความสงบ ผิด เพราะปัญญาเห็นแจ้งไม่เกิด จึงสามารถทำจิตให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ ขณะใดที่คำบริกรรมหายไป ต้องใช้จิตตามดูจนเห็นว่า คำบริกรรมที่หายไป ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งในคำบริกรรมที่หายไปว่าไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางคำบริกรรมที่หายไป และว่างเป็นอุเบกขา

 เช่นเดียวกันเมื่อเห็นกายกับจิตแยกออกจากกัน วิปัสสนาญาณระดับโลกิยะที่เรียกว่า “ นามรูปปริจเฉทญาณ ”  ก็จะเกิดขึ้น และยังมีความจำเป็นต้องบริกรรมต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าถึงวิปัสสนาญาณทั้งสิบหกตัว แล้วความเป็นอริยบุคคลขั้นต้นก็จะเกิดขึ้น และมิได้แยกกายกับจิตตลอดเวลา เพราะการแยกกายกับจิตมิใช่เหตุแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง
   

1071.
กราบเรียน อ.สนอง ที่เคารพ

หนูขอความเมตตาจากอาจารย์ ช่วยแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของหนูด้วยค่ะ

คุณพ่อของหนูอายุ 81 ปีค่ะ ส่วนคุณแม่เสียไปประมาณ 20 กว่าปีแล้ว มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน เป็นหญิง 7 ชาย 1 ค่ะ ที่บ้านเป็นร้านค้าเล็ก ๆ พี่สาวของหนูจะเป็นคนดูแลทั้งร้านค้า และพ่อหนู ในวันธรรมดา ส่วนวันหยุด ก็จะมีหนูและพี่สาวอีกคน อยู่ช่วยกันดูแล พ่อหนูมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ แต่มีอาการสมองเสื่อม ซึ่งก็ยัง ไม่มี อะไรรุนแรง จนกระทั่งเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา ได้รับปฏิทินรูปโป๊ เมื่อดูแล้วก็เกิดอาการ จึงฉวยโอกาสลวนลามพี่สาวหนู เมื่ออยู่กันตามลำพัง โดยพูดจาโน้มน้าวให้พี่สาวหนูเป็นลูกที่ดี และยอมตามใจเค้า พร้อมทั้งพูดทำนองว่าถ้าขัดใจ เค้าจะทานยานอนหลับให้ตายไปเลยค่ะ แต่พี่สาวหนูไม่ยอม คืนนั้นเค้าจึงทานยานอนหลับตามที่ได้ขู่ไว้ และตอนเช้าพวกเราก็ได้พาส่งโรงพยาบาล และก็ไม่เป็นอะไรค่ะ เมื่อเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็ได้ให้ยามารักษาอาการค่ะ รบกวนถาม อาจารย์ ดังนี้ค่ะ

1) มีคำอธิบายทางวิชาการว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหนึ่งในอาการสมองเสื่อม สามารถรักษาโดยการทานยา ซึ่งหนูก็บอกกับพี่น้องทุกคนว่า ให้มองว่าการกระทำที่เกิดขึ้น เพราะว่าเค้าเป็นคนป่วย ไม่ใช่ว่าเค้าเป็นคนไม่ดี หนูคิดอย่างนั้น ถูกต้องรึเปล่าคะ

2) ถ้าพ่อหนู เค้าต้องตายไปจริง ๆ พวกหนูจะบาปรึเปล่าคะ ที่ไม่ได้ตามใจเค้า แม้ว่าเค้าจะขู่ และก็ทำจริงก็ตาม

3) พ่อของหนู ได้เคยทะเลาะกับคุณปู่ สมัยที่พวกหนูยังเล็ก ๆ กันอยู่ และหลังจากนั้นก็ไม่นับถือพ่อของตัวเอง และไม่พูดกันอีกเลย พร้อมทั้งสั่งสอนพวกหนู ไม่ให้เคารพคุณปู่ด้วยเช่นกัน แต่พวกหนูยังดีที่มีแม่คอยสั่งสอนให้เป็นคนดีค่ะ พวกหนูพยายามที่จะทำตัวดี ๆ กับเค้า และหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เค้าต้องได้รับผลกรรมที่ได้เคยทำไว้ แต่ปัจจุบันสิ่งที่เค้าทำ ทำให้พวกหนูรู้สึกหมดความนับถือไปค่ะ หรือว่าเป็นเพราะกฎแห่งกรรม จึงทำให้ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกหนูควรจะปรับตัวปรับใจอย่างไรดีคะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ

คำตอบ
    (๑) ถูกตามที่คิด แต่ไม่ถูกตามกฎแห่งกรรม คือจิตสำนึกที่เป็นมนุสฺสติรัจฉาโน ได้แสดงออกเมื่อขาดสติสัมปชัญญะคุมใจ

   (๒) บาปเกิดขึ้นกับผู้มีจิตเป็นทาสของอกุศลกรรม ผู้ใดไม่เอากายและใจเข้าไปร่วมประพฤติในกรรมที่เป็นอกุศล ผู้นั้นไม่บาป

   (๓) ปรับตัวด้วยการไม่เอากายไปร่วมประพฤติอกุศลกรรมกับเขา และปรับใจด้วยการไม่เห็นดีด้วยกับความประพฤติแบบเขา
  

1070.
เรียนอาจารย์ ที่เคารพค่ะ

หนูอายุ 24 ปีค่ะ ตอนนี้หนูทำงานแล้วและสามารถช่วยเหลือภาระหน้าที่ของทางบ้านได้ด้วย แต่ตอนนี้มีปัญหาหนักค่ะ เนื่องจากพ่อได้ไปสร้างหนี้สินไว้จำนวนหนึ่งแล้วพ่อกลับมาโบ้ยหนี้สินบางส่วนเพื่อให้แม่ช่วยชดใช้ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยเลย ต้องบอกก่อนนะคะว่าพ่อหนูนั้นชอบกินเหล้า เล่นหวย ซึ่งบางทีเค้าก็ต้องกินทุกวันและอีกอย่างช่วงชีวิตหนึ่งพ่อเคยทิ้งหนูและแม่ไปประมาณ 5 ปีค่ะ เค้าปล่อยให้หนูและแม่และน้องอยู่กันเอง ยังดีที่หนูมีป้า ยาย ที่ช่วยส่งเสียหนูเรียนมาโดยตลอด ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้หนูไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับพ่อเท่าไร หนูรักแม่มากค่ะ จะเรียกว่ารักมากกว่าพ่อก็ได้ บางทีเมื่อพ่อทำไม่ดี หนูก็อดที่จะบ่นและตัดพ้อเสียไม่ได้ ตอนนี้พ่อได้สร้างปัญหาเข้าบ้านเยอะเหลือเกินค่ะ แม่ก็เครียดมากขึ้นทุกวัน หนูสงสารแม่ค่ะ หนูจะแบกรับหนี้สินนั้นไว้เพื่อที่จะแบ่งเบาความเครียดของแม่ค่ะ

อยากถามว่า...

1. การที่หนูชอบบ่นพ่อแล้วตัดพ้อนั้นมันบาปมั้ยคะ แต่หนูไม่เคยใช้ถ้อยคำหยาบคาย เพืยงแต่ตัดพ้อเพราะความไม่เข้าใจในตัวพ่อ
2. หนูมักจะคิดว่าป้าคือผู้ที่มีพระคุณกลับหนูมากกว่าพ่อด้วยซ้ำ เพราะป้าส่งเสียหนูเรียนและช่วยหนู แม่ และน้องเวลาลำบากอยู่เสมอ ถ้าหนูคิดแบบนี้หนูบาปมั้ยคะ
3. บางทีหนูก็ท้อแท้กลับการช่วยแบกรับหนี้สินนั้น เพราะหนูอยากมีเงินเก็บเพื่อใช้ในอนาคต แต่ก็ไม่เคยเก็บได้เลย อยากถามว่าหนูจะทำยังไงดีคะเพื่อให้ตัวเองไม่รุ้สึกว่าเสียดายเงินและรู้สึกโกรธพ่อทุกครั้งไปที่ชอบนำปัญหาเข้ามาในบ้าน


สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาเสียเวลามาช่วยไขคำตอบให้กับหนูนะคะ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ...

คำตอบ
  (๑) การพูดบ่นว่าพ่อผู้มีอุปการะแก่ตนมาก่อน เป็นวจีกรรมที่ให้ผลเป็นบาป แต่ยังไม่บาปเท่ากับการพูดด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย

  (๒) บุคคลใดคิดถึงพระคุณของป้าว่ามีมากกว่าพ่อ ความคิดเช่นนี้ไม่เป็นบาป เมื่อคิดแล้วหากได้ตอบแทนพระคุณของท่าน จึงจะถือว่าได้บุญ

  (๓) ผู้ใดศรัทธาในพุทธวจนะว่า “ ทรัพย์ภายนอกเป็นสมบัติกำพร้า เป็นของสาธารณะแก่โจร แก่น้ำ แก่ไฟ ฯลฯ และทรัพย์ยังเป็นเหมือนงูพิษ หากนำจิตตนเองเข้าไปผูกติดเป็นทาสของทรัพย์ ปัญหาเรื่องความอยากมีทรัพย์ก็จะลดลงหรือหมดไป แล้วจะเห็นว่าทรัพย์เป็นสิ่งสมมุติชั่วคราว มีไว้เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิต จึงได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ แต่มีจิตไม่เป็นทาสของความอยากมีทรัพย์ หากรู้เห็นถูกตรงเช่นนี้แล้ว จิตจึงจะเป็นอิสระจากการเป็นทาสของทรัพย์ได้
  

1069.
เรียน ท่าน ดร. สนอง ที่เคารพ

   ดิฉันติดตามฟังเทปการบรรยายของท่านมาโดยตลอด มีอย่ตอนหนึ่งท่านบอกว่า ลงมาจากเครื่งบินก็ได้รับโทรศัพท์ถามมาว่าจะทำอย่างไรดีเพราะเป็นหนี้อยู่หลายล้าน ท่านได้บอกเขาไปว่าให้มาหา และเวลานี้เขาได้ใช้หนี้หมดแล้ว แต่ท่านมิได้นำมาบรรยายว่าทำอย่างไรค่ะ ดิฉันมีความทุกข์มาก เพราะต้องรับภาระอย่างหนักพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หนี้สินเบาบางลง ทุกวันนี้จนไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรแล้วเงินทุนก็ไม่มีที่จะทำอะไรได้ หนี้ดิฉันเกิดจากการทำธุระกิจหลังปี พ.ศ ที่ฟองสบู่แตก หนี้ ๔,๐๐๐,๐๐๐.บาท ดิฉันควรจะปฎิบัติ อย่างไร เพื่อให้ลูกหลานได้เหลือบ้าน อยู่อาศัย.

ขอขอบพระคูณท่านอย่างสูง ที่ท่านจะกรุณาช่วยแนะให้ชีวิตดิฉันหลุดจากความทุกข์ได้โดยทางปฎิบัติที่ท่านจะชี้แนะ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

กฤติกา

คำตอบ
    ผู้ใดไม่โลภผู้นั้นไม่เสีย เสียเงินด้วยการเป็นหนี้มีความโลภเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิด ฉะนั้นต้องแก้ไขที่ใจไม่ให้เป็นทาสของความโลภให้ได้ก่อน ด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูความโลภว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความโลภหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะเห็นแจ้งว่าความโลภไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางแล้วเป็นอิสระจากความโลภได้ หลังจากนั้นจึงค่อยมาผ่อนใช้หนี้กรรมเท่าที่ตนสามารถทำได้ ผ่อนใช้หนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดหนี้

   หลังจากนั้นต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีดวงดี ด้วยการให้ทรัพย์เป็นอยู่เสมอ แล้วทำใจให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น หลังจากนั้นบำเพ็ญจิตตภาวนาก่อนนอนทุกวัน และอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่บำเพ็ญจิตตภาวนาแล้วเสร็จ เมื่อใดที่บุญให้ผล มนุษย์สมบัติย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีบุญ คนมีบุญไม่แคล้วคลาดจากการมีบ้านอยู่อาศัย
  

1068.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพค่ะ

ตอนนี้หนูมีคนที่กำลังคบหาดูใจอยู่ ซึ่งเค้ามีอาชีพทำประมง หนูพยายามบอกเค้าหลายครั้งว่า ให้เลิกทำเถอะ มันบาป แต่เค้าก็ให้เหตุผลว่า ไม่ทำแล้วจะเอาอะไรกิน ยังไม่มีเงินเก็บที่จะพอสร้างเนื้อสร้างตัวได้เลย แล้วอีกอย่างเศรษฐกิจตอนนี้ก็ไม่ดีด้วย พูดกับเค้าหลายๆครั้งหนูก็เริ่มจนปัญญาแล้วค่ะ อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นอาชีพมรดกที่ทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้ว มีกิจการที่ค่อนข้างจะอยู่ตัวแล้ว แล้วอีกอย่างเค้าก็มีความตั้งใจที่จะทำอาชีพนี้จริงๆ พอศีลข้อ ๑ ยังไม่ลงตัวก็มาศีลข้อ ๓ อีก คือเค้ามีความต้องการในทางกามมาก หนูก็บอกว่า รอแต่งงานก่อนไม่ได้เหรอ ตอนนี้หนูก็ยังอยู่กับพ่อแม่ เค้าก็ไม่ยอมค่ะ บอกแต่ว่าเค้าเป็นผู้ชายนะ มีความรู้สึก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุยมานานมากๆค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นศีลข้อ ๑ หรือ ๓ หนูก็อยากให้เค้ารักษาศีล ๕ ถึงตัวหนูเองอาจจะมีความบกพร่องในศีลอยู่บ้าง แต่ก็พยายามแก้ไขอยู่ ส่วนเค้าทั้งที่บวชมาแล้วหลายพรรษาแต่เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ พอหนูพูดอะไรที่เกี่ยวกับธรรมะเข้าหน่อย ก็บอกให้หนูไปบวช แค่ถือศีล๕ก็ขึ้นสวรรค์แล้ว พูดมาแบบนี้หนูก็งงเลย ว่าที่หนูพูดๆไปมันไม่ใช่ศีล๕ตรงไหน แล้วศีล ๕ มันก็เป็นศีลของฆาราวาสอยู่แล้ว ไม่ต้องไปบวชก็ถือได้

คำถาม
๑ อยากทราบว่า พอมีวิธีใดไหมค่ะ ที่จะให้เค้าเลิกทำประมง
๒ พอมีวิธีไหนที่เค้าจะยอมรับ โดยไม่มีอะไรก่อนแต่ง ได้มั้ยค่ะ

กรุณาช่วยตอบคำถามด้วยนะคะ ขอขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
    (๑) พระพุทธะมิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ฉะนั้นเมื่อแสดงเหตุผลให้เห็นว่า อาชีพทำประมงเป็นอาชีพที่ประพฤติผิดศีลข้อที่หนึ่ง ผลที่จะเกิดตามมาคือ เป็นการสร้างเหตุนำพาชีวิตลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพนรก หากชี้แจงแล้วเขาไม่เห็นด้วย มีอยู่ทางเดียวคือ ปล่อยเขาไปตามกรรม เพราะชีวิตเป็นของเขาที่ต้องบริหารจัดการด้วยตัวของเขาเอง

   (๒) ปัญหาที่ถามไปเป็นปัญหาที่สวนทางธรรม จึงไม่มีวิธีใดที่จะเสนอให้ไปแก้ไขที่คนอื่น ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกอยู่กับตัวของผู้ถามปัญหาเองว่า จะเอาตัวเองเข้าไปร่วมประพฤติทุศีลข้อสามกับเขาหรือไม่ หากไม่กลัวนรกแล้วประพฤติตามข้อเสนอของเขา ยมโลกที่เรียกนรกขุมนั้นว่า สิมพลีนรก ได้เปิดรอรับคุณและเขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกปีนป่ายต้นงิ้วแน่นอน
   

1067.
กราบเรียนอาจารย์สนองค่ะ

 ดิฉันมีข้อสงสัยขอรบกวนอาจารย์ช่วยตอบปัญหาด้วยค่ะ

1. จากคำถามข้อ494.เรื่องการนำใบอนุโมทนาบัตรไปลดหย่อนภาษี อาจารย์บอกว่า "ได้บุญไม่เต็มร้อยเพราะมีเจตนาจะได้เงินกลับคืนมาส่วนหนึ่ง" คำถามคือ ถ้าหากดิฉันนำเงินที่ได้จากการลดหย่อนภาษีดังกล่าวไปทำบุญทั้งหมด เช่น ซื้อหนังสือ/ร่วมจัดพิมพ์หนังสือธรรมมะ เพื่อแจกเป็นธรรมทาน หรือ ซื้อหลอดไฟไปถวายวัด อย่างนี้ยังจะได้บุญไม่เต็มร้อยอยู่หรือไม่คะ

2. การบริจาคโลหิต การแจกหนังสือธรรมะ การบริจาคเงินจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการจัดสร้างสถานที่ปฏิบัติกรรมฐาน เป็นทานแก่คนส่วนใหญ่ได้รับผลบุญประมาณใด ถือว่าเป็น "การสร้างมหาทาน" หรือไม่

3. จากการที่มีวัดหลายแห่งได้บอกบุญมาก เช่น สร้างโบสถ์ สร้างพระประธาน ที่ลงข้อความบอกบุญตามหนังสือหรือแหล่งประชาสัมพันธ์ทั่วๆ ไป หากดิฉันไม่เคยรู้จัดวัด หรือ พระสงฆ์ ที่ลงประชาสัมพันธ์บอกบุญดังกล่าวมาก่อน (ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า เพราะมีการหลอกลวงอยู่เยอะในปัจจุบัน) แต่ดิฉันมีศรัทธาและอยากได้บุญกุศลจากการจัดสร้างวัตถุเหล่านั้น หากได้บริจาคเงินไปเพื่อการดังกล่าวดิฉันจะได้บุญมากน้อยเพียงใด

4. เนื่องจากดิฉันมีความประสงค์จะสะสมบุญแก่ตนเองให้เพิ่มมากขึ้นจึงพยายามทำกุศลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการบริจารทาน การทำบุญ การพยายามเข้าปฏิบัติธรรมและรักษาศีล 5 ดิฉันเข้าใจความอยากได้บุญถือเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เพราะอยากจะได้อยู่ แล้วอย่างนี้จะได้บุญสมความปราถนาหรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
   (๑) หากนำเงินที่ได้กลับคืนมา ไปร่วมจัดพิมพ์หนังสือธรรมะเผยแพร่เป็นธรรมทาน จะได้บุญมากกว่าเงินที่ได้จากการลดหย่อนภาษี เพราะธรรมทานเป็นทานที่ให้อานิสงค์สูงสุด แต่หากนำเงินที่ได้กลับคืนมาไปใช้ในเรื่องของสาธารณประโยชน์ เช่น ซื้อหลอดไฟฟ้าถวายวัด อย่างนี้จึงจะถือว่าได้เติมบุญให้เต็มร้อย

   (๒) การบริจาคโลหิตเป็นทานอุปบารมี การแจกหนังสือธรรมะเป็นมหาทานแก่คนหมู่มาก การบริจาคเงินซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างสถานปฏิบัติธรรม ฯลฯ เหล่านี้เป็นบุญที่ให้อานิสงค์สูงสุดไม่เกินสวรรค์สมบัติ

   (๓) หากผู้ถามปัญหามีศรัทธาในการทำบุญ และได้บริจาคเงินไปเพื่อการดังกล่าว โดยมิได้คิดต่อเนื่องไปว่า เป็นการบอกบุญที่หลอกลวงหรือไม่ อย่างนี้ถือว่าได้บุญเต็มร้อย ส่วนที่ถามว่าจะได้บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ กำลังความศรัทธาก่อนบริจาค ความตั้งใจขณะบริจาค ความสบายใจเมื่อได้บริจาคแล้ว หากปัจจัยทั้งสามมีกำลังมาก ผู้บริจาคย่อมได้บุญมาก

   (๔) คำว่า “ บุญ ” หมายถึง ความดี กุศล ความสุข และบุญยังเป็นเครื่องชำระกาย วาว ใจ ให้สะอาด ฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นกิเลส บุคคลใดประสงค์จะได้บุญต้องประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ และหากผู้ใดพัฒนาจิตจนบรรลุอริยธรรมสูงสุดได้ ผู้นั้นจะมีจิตเป็นอิสระจากบุญและบาปทั้งปวงได้
   

1066.
To Respect Archarn Sanong,

    Thanks Archan so much for answering my questions. I used to ask archarn at question number 1057. I didn't tell my husband yet about what Archarn suggested me to ask him because since then he has never had peaceful mind. He's so angry at me and everyone in my family. I really don't understand why he has his temper at me and everyone in my family now, he get upset with everything even no one even say anything bad to him. my mother and father is good to him but he always think they think of him bad thing and he always says my parent hate him and I know verywell that my parents don't hate him. The situation is the worst now. All of sudden he burst his temper again yesterday without no one say anything he walked to my sister and yelled and said bad things to her and her husband and of course my sister answered bad thing back too. he get really upset and angry at everyone in my family. he walked away from the house and told me he'll never be back here again and he wants to die soon. I tried to give him some money because he has nothing in his pocket but he denied, he said he wouldn't eat food, he want to die soon. I want to ask archarn that why is he acting this way? what does he want? I really don't understand him, I am not angry at him or never say bad thing to him, I always say only good thing to him but he always says I am bad. what I want the most now I want him to be happy to have normal life even he leaves me I want the best for him. I am willing to give him every money I have and willing to borrow some from my friend to give him so he can start his life all over again without me but he doesn't accept that. He always say he wants to die and blame everything on me. He said I should blame my parents because of my parents this situation happened but how can I blame them as they do nothing wrong. They have done the best on their part. Now I don't know where he is he left home with his bicycle and some stuff like shamphoo and this....Here are what I want to ask Archarn

1. is it possible to make him understand what he did is very wrong? and is it possible to get him back? I really feel sympathy of him now, I am not angry at him but I want him to start his life again, is it possible to help him? I would like archarn to suggest me how to tell him when he's angry like this. What should I tell him to make him realize that what he does is destroying himself?

2. does everyone in my family including me did bad thing to him in the previous life? if so what should we do to make him forgive us? will he come back to me again?

3. I don't want bad thing happen to him. I am so worried that something bad will happen to him. Does Archarn know where would he go? what should I do to make the situation better?

Sorry to bother Archarn again and thanks for your advise

คำตอบ
   (๑) ไม่มีใครผู้ใดจะทำให้เขากลับมามีความเห็นถูกได้ เว้นไว้แต่ว่า เขา (สามี) ต้องเปลี่ยนความเห็นผิดให้กลับมาเป็นผู้มีความเห็นถูกด้วยตัวของเขาเอง และหากเมื่อใดที่อกุศลวิบากที่เขากำลังเสวยอยู่ได้รับการชดใช้จนหมดสิ้น เมื่อนั้นเขาจึงจะกลับมาสู่สังคมแห่งความเห็นถูกได้

   ผู้ถามปัญหาสงสารเขาและไม่โกรธตอบผู้ผูกโกรธได้ นั่นเป็นสิ่งที่นักปราชญ์สรรเสริญ การคิดหวังให้เขากลับมาเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่เขาจะกลับมาหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของเขา เขาต้องเปลี่ยนใจด้วยตัวของเขาเอง

   หากผู้ถามปัญหาคิดจะช่วยเหลือเขาผู้มากไปด้วยความผูกโกรธ และเชื่อว่ากฎไตรลักษณ์มีอยู่จริง ต้องยอมรับว่า ความโกรธของเขาย่อมดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน เมื่อใดความโกรธของเขาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา คือความโกรธไม่ใช่ตัวตน ขณะนั้นอารมณ์ของเขาย่อมสงบ ในห้วงเวลาขณะนั้น คำถามที่เคยบอกมาครั้งก่อน จึงจะนำไปใช้กับเขาได้

   (๒) ผู้ใดเชื่อในกฎแห่งกรรมว่า “ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ” ต้องยอมรับความจริงว่า เขาเคยทำเหตุให้ผู้ถามปัญหาและครอบครัวต้องผูกโกรธมาก่อน เมื่อใดกรรมที่เป็นเวรให้ผล เขาจึงต้องรับอกุศลวิบากด้วยตัวของเขาเอง และต้องชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น ในที่สุดหากไม่ทิ้งลาโลกไปเสียก่อน โอกาสพบกันอีกในชีวิตนี้ย่อมเป็นไปได้

   (๓) เขาไปตามแรงผลักดันของกรรม ดีที่สุดผู้อยู่หลังพึงประกอบบุญใหญ่ด้วยการเจริญจิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญเจาะจงให้เขาอยู่เสมอ นั่นจึงเป็นวิธีดีที่สุดที่บุคคลพึงกระทำได้
  

1065.
กราบเรียน อ.สนองที่เคารพ

ผมเคยสวดมนต์ทำวัตรเย็น
พอถึงบท พุทธาิภิคีติง, ธรรมาภิคีติง, สังฆาภิคีติง
ในตอนท้ายบท จะมีบทสวดว่า
"นัตถิเม สะระณัง อันยัง พุทโธเม สะระณัง วะรัง ..."
"นัตถิเม สะระณัง อันยัง ธัมโมเม สะระณัง วะรัง ..."
"นัตถิเม สะระณัง อันยัง สังโฆเม สะระณัง วะรัง ..."
ซึ่งหมายความถึงว่า
"ข้าพเจ้าจะไม่ถือสิ่งอื่นใดเป็นสรณะ นอกจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์..."

ซึ่งผมได้ยึดถือปฏิบัติ หลังจากที่ได้เริ่มสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น และทำความเข้าใจกับความหมายของบทสวด และผมก็ได้เลิกการกราบไหว้บูชาเทพเจ้า ตี่จู้เอี๊ย ศาลพระภูมิ....

ต่อมาผมได้อ่านหนังสือ สนทนาภาษาธรรม ที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาตอบคำถาม และมีบางข้อได้กล่าวถึงการบูชาคุณของเทวดา ว่าเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของผู้ที่ปฏิบัติจนได้เกิดมาเป็นเทวดา แต่ผมไม่สามารถหาคำตอบที่จะอธิบายเกี่ยวกับ รูปแบบหรือรายละเอียดการบูชาคุณของเทวดา

ทุกวันนี้ผมบูชาพระรัตนตรัย ด้วยปฏิบัติบูชาเท่านั้น คือ การสวดมนต์ และฝึกสติ จึงรู้สึกเคอะเขินที่จะบูชาคุณเทวดา ด้วยอามิสบูชา

จึงใคร่จะขอความกรุณาจากท่านอาจารย์สนอง ช่วยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบหรือวิธีการบูชาคุณเทวดา ว่าสมควรปฏิบัติอย่างไร?? จำเป็นต้องมีการบูชาด้วยอาหาร ดอกไม้ หรือสิ่งอื่นๆ หรือไม่? หากไม่จำเป็น ควรจะทำการปฏิสันถารกับท่านอย่างไร จึงจะเหมาะสมครับ?

กราบขอบพระคุณอย่างสูง
เอกชัย

คำตอบ
   คำว่า “ บูชา ” หมายถึง แสดงความเคารพ ส่วนคำว่า “ ที่พึ่ง ” หมายถึง ผู้คุ้มครองช่วยเหลือ

   ฉะนั้นการบูชาเทวดาด้วยอามิสเช่น อาหาร ดอกไม้ วัตถุใดๆ ฯลฯ ย่อมทำได้ แต่ต้องไม่เอาเทวดามาเป็นที่พึ่ง เพราะมนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรมเหนือกว่าเทวดาได้ คือเอาธรรมะมาคุ้มครองช่วยเหลือตนเองนั้นดีที่สุด
     

1064.
เรียนถามอาจารย์

ไม่ทราบว่าถ้าตั้งไว้ว่าจะถือศีลแปด
อยากถามว่าการอ่านการ์ตูนทำให้ศีลแปดขาดรึเปล่า

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
    การอ่านหนังสือการ์ตูน มิได้ทำให้ศีลแปดบกพร่อง แต่หากอ่านหนังสือการ์ตูนแล้ว ทำให้จิตคิดอยากร่วมประเวณี หรืออยากแต่งตัวสวยงาม ถือว่าศีลแปดไม่บริสุทธิ์
   

1063,
กราบเท้าท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

ผมขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ดังต่อไปนี้ครับ

ตั้งแต่เด็กผมมักมีอาการไม่มั่นใจในตัวเอง เช่น ปิดประตูแล้วล็อกกลอนแล้ว แต่พอเดินออกมากลับรู้สึกไม่มั่นใจว่า ได้ล็อกไปแล้วหรือยัง ส่งผลให้ตวเองต้องเดินกลับไปเช็คแล้วเช็คอีก บางทีตรวจสอบหลายครั้งเป็นสิบครั้งก็ยังมี รู้สึกถึงความไม่มั่นใจในตัวเองที่ ตัวเองเห็นแล้วรู้สึกสงสารตัวเอง

ความมั่นใจแบบนี้ยังส่งผลกับสิ่งอื่นๆในชีวิตครับ ไม่ว่าจะการงาน หรือการใช้ชีวิตทั่วไป ทำให้ผมสงสัยทุกสิ่งทุกอย่าง ในชีวิต เช่น จะขึ้นรถลงเรือ บางทียังสงสัยว่าเราขึ้นผิดหรือไม่ ทำงานก็ลังเลตรวจสอบอยู่จนอนาถใจตัวเอง

ปัจจุบันนี้ผมหันมาฝึกดูจิต เวลาที่อาการรากเง่าของความไม่มั่นใจนี้เกิด ผมพอที่จะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาได้ แต่ก็แพ้กิเลสและความปรุงแต่งในใจตัวเอง หลงเข้าไปกลุ้มใจอีก

ท่านอาจารย์ครับ เหตุที่ทำให้ผมไร้ความมั่นใจนี้คืออะไรครับ? ทางที่ผมปฏิบัติคือการดูจิตที่ทำอยู่นี้ จะเป็นเหตุให้ชนะสภาพการปรุงแต่งที่หลอกหลอนจิตใจผมได้หรือไมครับ?

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
     คำว่า “ สติ ” หมายถึง ระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม ส่วนคำว่า “ สัมปชัญญะ ” หมายถึง ความรู้ตัวอยู่เสมอ (ปัญญา)

   ผู้ใดมีกำลังของสติอ่อนและกำลังของสัมปชัญญะอ่อน ย่อมระลึกไม่ได้และไม่รู้ว่าได้ทำอะไรไปแล้ว ดังนั้นความไม่มั่นใจจึงเป็นเหตุมาจาก จิตมีกำลังของสติสัมปชัญญะอ่อน

   วิธีแก้ไขคือ ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่นให้ได้ก่อน แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แล้วโอกาสหมดไปของปัญหาจึงจะเกิดขึ้นได้
   

1062.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

   กระผมเป็นคนนึงที่ศรัทธาในตัวอาจารย์มากและอยากจะปฎิบัติ ฝึกจิตให้นิ่งตามที่อาจารย์บรรยายสั่งสอนแต่ด้วยยังมีเรื่องทางโลกอยู่อีกที่ต้องยุ่งเกี่ยวอยู่กับคน กับเงิน กับใจ กับกิเลสตัณหา อวิชชา ของตัวอง ก็พยายามที่จะฝึกจิตเท่าที่จะทำได้ตามเหตุปัจจัย จึงได้มีคำถามเพื่อนำมาพัฒนาปัญญาและตอบข้อสงสัยในตัวเองดังนี้ครับ

1. ตอนนี้เริ่มฝึกมาได้สักระยะนึงแล้วครับรู้สึกว่าจิตเริ่มสงบได้บ้างแต่ยังสงบบ้างฟุ้งซ่านก็มีเยอะ ถามว่าเรามีเวลาสักเท่าไรถึงจะทำให้จิตสงบและนิ่งให้มากกว่านี้ครับ

2. บางครั้งรู้สึกว่างานที่ทำมันไม่ถูกต้อง มันยุ่งและวุ่นวาย อยากจะหนีไปหาที่สงบๆ ไม่ทราบว่าท่าน อาจารย์มีข้อควรแนะนำอย่างไรบ้าง

3. อยากลาออกจากงานไปบวช/ปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต (แต่ยังมีความกลัวอยู่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ และยังห่วงพ่อกับแม่ที่ยังใช้ชีวิตที่ยังห่างไกลจากธรรมะห่วงท่านว่าหลังจากที่ท่านทิ้งขันธ์นี้ไป) ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีวิธีการเช่นไรแนะนำคนโง่ด้วยครับ

4. ไม่ทราบว่าเรื่องของการมี องค์เทพ มาคุ้มครองตัวมนุษย์ มีจริงแท้อย่างไรครับ

5. เพื่อนของผมได้โทรไปหาหมอดูคนนึง หมอดูบอกว่าตัวเขามีองค์เทพพญานาค และ องค์อื่นๆอีก และแนะให้เขาจัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ปีละครั้ง และควรจะระลึกบูชาองค์เทพเหล่านั้นอยู่เสมอๆเพราะว่าท่านคอยปกปักรักษาคุ้มครองตัวเรามาโดยตลอด และตัวเพื่อนก็ได้จัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ณ ศาลพระภูมิที่บ้านโดยจัดหาเครื่องบวงสรวงผลไม้อาหารคาวหวาน(แบบไม่มีเนื้อสัตว์) นุ่งขาวห่มขาว กันทั้งครอบครัวรวมถึงตัวข้าพเจ้าก็เข้าร่วมด้วย ไม่ทราบว่าเป็นการกระทำที่อยู่ในภาวะ หลง หรือถูกผิดหรือไม่อย่างไรขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

6. ผมได้ฟังการบรรยายของ อาจารย์ ผ่านทาง web site กัลยาณธรรม และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและน่าจะถูกต้องตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาจึงได้มั่นใจที่ประฏิบัติตามคำบรรยายของอาจารย์ แต่คำถามคือว่าผมได้นำสิ่งที่ได้รับมาไปบอกกับเพื่อนใกล้ตัวให้เขาเริ่มทำตามอย่างที่ผมได้รับฟังมาแต่เขาก็ทำตามแต่ ยังยุ่งอยู่กับเรื่องทางโลก/ในชีวิตประจำวันของเขาอยู่อีกมาก ทำให้ผมรู้สึกว่าเราไปยัดเยียดอะไรให้เขาหรือป่าว เราจะเป็นบาปไหมครับ

7. ตอนเป็นเด็กเราทำบาปไว้มาก เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนสัตว์ ลักขโมยเงินของตา ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรได้บ้างในตอนนี้ และถ้าเราบำเพ็ญฝึกภาวนา แล้วอุทิศให้เหล่าสรรพสัตว์ บรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวร ที่เราเคยล่วงเกินท่านไว้ไม้ทราบว่าเขาจะได้รับหรือไม่และเขาจะอโหสิกรรมให้เราหรือเปล่าครับ

8. วิธีที่จะระงับ/ลด/กำจัด ความโมโห โทสะ ใจร้อน ของตัวเองได้อย่างไรบ้างครับ

**กิจอันใดอันประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าทำแล้วเกิดเป็นบุญกุศลบารมีเกิดขึ้นผมขออุทิศแผ่ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใน 31 ภูมิ ในวัฏฏะนี้ อันได้แก่เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ญาติมิตร ศัตรู ครูบาอาจารย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทพเทวา พรหม ทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตอยูและเสียชีวิตไปแล้วไม่ว่าท่านจะอยู่ภพไหนภูมิใดขอให้ได้รับทุกสรรพสัตว์เทอญ และหากกิจอันใดที่กระทำแล้วทำความทุกข์ให้แก่ใคร ผู้ใด ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย...สาธุ

ด้วยความเคารพและนอบน้อมอย่างสูง
สันติ (ลพบุรี)

คำตอบ
    (๑) เรื่องเวลายังไม่สำคัญเท่ากับต้องมีศีล ๕ ครบถ้วนและบริสุทธิ์คุมใจให้ได้ก่อน แล้วการฝึกจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก

   (๒) แนะนำว่า ชีวิตมีงานใหญ่ให้ทำอยู่สองงานคือ งานที่ทำให้กับสังคมส่วนรวม กับงานพัฒนาจิตตนเอง เพื่อเตรียมปัจจัยเดินทางในชีวิตหน้า ฉะนั้นพึงแบ่งเวลาให้กับงานทั้งสองและทำให้ดีที่สุดเท่าที่เวลาอำนวยให้

   (๓) สิ่งที่ทิ้งไม่ได้คือ พ่อแม่ ผู้มีอุปการะต่อลูกมาก่อน จึงต้องประพฤติจริยธรรมของลูกให้ครบถ้วน แล้วความกตัญญูฯ ก็จะเกิดขึ้น ผู้ใดกตัญญูฯ ต่อผู้มีอุปการคุณ ผู้นั้นประสบความสำเร็จในการทำงานและความสำเร็จในการดำเนินชีวิตได้ง่าย

   (๔) ผู้ใดประพฤติ กาย วาจา ใจ ให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมคุ้มครอง ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา ทำไมไม่ลองพิสูจน์ดูด้วยตัวเองล่ะ

   (๕) เป็นความเห็นถูกของผู้แนะนำให้ทำเช่นนั้น แต่เป็นความเห็นผิดไปจากแนวทางของพระพุทธะ ผู้รู้ในพุทธศาสนารู้ว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง ให้มีคุณธรรมเหนือเทพเจ้าใดๆได้ หากนำตัวเองเข้าไปนับถือบูชาเทพแล้ว บุคคลไม่อาจพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

   (๖) คำว่า “ น่าจะถูกต้อง ” แสดงว่า มีสิ่งที่ผิดไปจากหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ผู้ใดนำเอาธรรมะที่บอกกล่าวไว้มาสถิตอยู่กับใจของตนเองได้แล้ว จึงจะเข้าใจชัดแจ้งในคำว่า น่าจะถูกต้อง และเช่นเดียวกัน ธรรมะของพระพุทธะจะเกิดผลเป็นจริงกับผู้ใดได้ มิใช่มาจากการยัดเยียดแต่มาจากความศรัทธา นำเอาธรรมะมาบรรจุไว้ในใจของตนให้ได้แล้ว การคิด การพูด และการกระทำของผู้นั้น จะสมบูรณ์ไปด้วยพฤติกรรมดีงาม

   อนึ่งผู้ใดประพฤติยัดเยียด แล้วทำให้ผู้ถูกยัดเยียดไม่สบายใจ บาปย่อมเกิดขึ้น และตกแก่ผู้ยัดเยียดนั้น

   (๗) กรรมในอดีตแก้ไขไม่ได้ แต่ปัจจุบันประพฤติอยู่แต่กุศลกรรม แล้วนำตัวเองเข้าประกอบบุญใหญ่คือ จิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตไม่ระลึกถึงเรื่องบาปที่ทำไว้แต่ครั้งอดีตได้ จะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างหนึ่งว่า เวรที่ตามมาให้ผลทันในชาติปัจจุบันได้จบสิ้นลงแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะได้รับหรือไม่ เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด ไม่ควรไปตามรู้ เพราะมิได้เกิดประโยชน์ใดๆในการพัฒนาจิต

   (๘) ต้องให้อภัยเป็นทานไปเรื่อยๆ ให้อภัยในทุกเรื่องที่เป็นเหตุขัดใจ แล้วเมตตาก็จะเกิดขึ้นและสั่งสมเป็นบารมีอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ให้อภัย ผู้ใดมีเมตตาผู้นั้นสงบเย็นของอารมณ์เป็นเครื่องชี้วัด
  

1061.
กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ

คำถามจากสัตว์โลกผู้ด้อยปัญญา
   หนูรู้จักชื่ออาจารย์สนอง วรอุไร เป็นครั้งแรกใน Internet แต่ไม่เคย download มาฟัง ( รู้จักจากเวปอื่นไม่ใช่ www.kanlayanatam.com) มาเริ่มสนใจอีกทีเมื่อป้าที่นั่งไปด้วยกันระหว่างทางที่ขับรถไปวัดป่าธรรมชาติที่เมือง La Puente พูดถึงทางสายเอกว่าดีมากของ Dr, สนอง วรอุไร หลังจากกลับมาบ้านเปิด Internet แล้ว search ใน google จนกระทั่งมาพบ www.kanlayanatam.com หลังจากนั้น download มาฟังทุกม้วน ทุกเรื่องจนจบและคอย check เรื่องที่ update ทุกวัน เรียกได้ว่าเปิดเวปนี้ทุกวัน บางครั้งฟังไปน้ำตาไหลพราก รู้สึกสงสารตัวเองมาก รู้สึกว่าทำไมเราโง่แบบนี้ หนูเชื่อทุกอย่างที่อาจารย์พูดแบบ No Reason แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามนั่งสมาธิทุกวัน พยายามพิสูจน์ด้วยตนเอง

สมัยเด็กๆใครๆถามอาชีพที่อยากทำในอนาคตคืออะไร หนูมักตอบว่าหนูอยากเป็น พระอรหันต์ อีกทั้งเซ็นในสมุด Friendship เพื่อนด้วยว่า อยากบวชชีอยากเป็นพระอรหันต์เวลาผ่านไป ใช้ชีวิตลอยไปตามกระแสกิเลสเหมือนคนอื่นๆ หลังจากจบปริญญาในเมืองไทย ก็ไปอยู่ญี่ปุ่น กลับจากญี่ปุ่นอยู่เมืองไทยสักพักก็ไปอเมริกาต่อ ใช้ชีวิตลอยไปตามกระแสแห่งกิเลส จนลืมไปเลยว่าครั้งหนึ่งเราอยากเป็นพระอรหันต์ เปรียบดั่งสุนัขตัวหนึ่งที่ตกลงไปอยู่ในบ่อน้ำร้อน ดิ้นพร่านๆ อยู่ในบ่อน้ำร้อนนั้น พอได้ฟังที่อาจารย์พูดแล้ว เหมือนกับอาจารย์กำลังโยนขอนไม้ให้หนู เพียงหนูพยายามเกาะขอนไม้นั้น แล้วพยายามถีบตัวเองให้ถึงฝั่ง หนูก็พ้นจากการถูกน้ำร้อนลวกตาย

อายุปาเข้าไป 28 ปีแล้ว จึงได้มีสติอีกครั้งก็เพราะว่ากลางปีที่แล้วหนูต้องบินด่วนกลับเมืองไทย พี่สาวที่อยู่ Australia เมล์มาเป็นภาษาอังกฤษแค่ประโยคเดียวจับใจความได้ว่า น้องชายเสียชีวิตแล้วด้วยอุบัติเหตุให้รีบโทรกลับบ้านด่วน ทันทีที่อ่านประโยคนั้นจบ เหมือนโลกทั้งโลกมันจบลงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีแต่เรื่องโกหก ทำไม ทำไมต้องเป็นน้องชายหนูด้วย 16 ชั่วโมง จาก Los Angeles Airport ถึงสุวรรณภูมิ จากสุวรรณภูมิถึงบ้านหนูอีก 4 ชั่วโมง รวมแล้ว 20 ชั่วโมงผ่านไปหนูนั่งต่อหน้าโลงศพน้องชาย หนูมองภาพสุดท้ายของน้องชายสวมชุดครุยรับปริญญา หนูมีความทุกข์มากมาย ทุกข์เหลือเกิน จนสุดจะเกินบรรยาย สงสารแม่มาก เพราะเป็นลูกชายคนเดียว

หนูมีพี่น้อง 3 คนค่ะ พี่สาวอยู่ Australia หนูมาอยู่ America มีเพียงน้องชายคนเดียวที่ยังอยู่ใกล้แม่ น้องชายรักแม่มาก ไม่อยากไปไหนไกลจากแม่ ด้วยความที่บ้านเรามีแต่ผู้หญิง หนูจึงไปปฏิบัติธรรม 7 วันให้น้องค่ะ โดยหนูเลือกวัดเอง คือวัดอัมพวัน จ . สิงห์บุรี หลังจากปฏิบัติธรรมเสร็จอยู่กับแม่สักพัก หนูก็กลับมาอเมริกา หนูรู้สึกว่าชีวิตหนูเปลี่ยนไป หนูคิดได้ กลับมามีสติอีกครั้งว่าครั้งหนึ่งเราอยากเป็นพระอรหันต์ เปรียบดั่งสุนัขตัวนี้กำลังพยายามเกาะขอนไม้ กำลังพยายามถีบตัวเองไปให้ถึงฝั่ง เพื่อให้พ้นจากการถูกน้ำร้อนลวกตาย

คำถาม
1. น้องชายหนูเป็นอย่างไรบ้าง ไปเกิดใหม่หรือยัง ( หรือยังเฝ้าที่นั้นอยู่ เพราะตรงที่เกิดอุบัติเหตุนั้น คนตายบ่อยมาก )

2. หนูควรทำเช่นไรดีเกี่ยวกับน้องชาย นั่งสมาธิแผ่เมตตาไปให้เรื่อยๆ ใช่หรือเปล่าคะ

3. ชาติก่อนๆ หนูเคยเป็นพระ เป็นชี เป็นฤษี หรือเคยเป็นสหธรรมิกของอาจารย์มาก่อนใช่หรือไม่ ( ทำไมฟังแล้ว get หมดเลยที่อาจารย์พูด แบบไม่ต้องสงสัยและไม่ต้องมีเหตุผลหนูพร้อมที่จะเดินรอยตามอาจารย์ค่ะ )

4. คนที่รับจ้างและคนว่าจ้างให้จดทะเบียนสมรส เพื่อที่จะได้อยู่อเมริกาได้ ทั้งสองคนมีบาปหรือไม่และต้องชดใช้อย่างไร

5. A เป็นญาติกับ B แล้ว A ขอร้องให้ B ช่วยจดทะเบียนกับ C เพื่อให้ C มาทำงานที่อเมริกาได้ โดยถือว่าเป็นการช่วยเหลือเพราะ A เห็นว่า C เป็นคนดี จึงอยากจะช่วยเหลือ คำถามคือ การกระทำของ A,B,C เป็นบาปหรือไม่และต้องชดใช้อย่างไร ( ในกรณีที่ B ทำตามคำของร้อง A คือช่วย C จดทะเบียนสมรสโดยไม่หวังผลตอบแทน แค่ช่วยเหลือ C ให้เข้ามาทำงานที่อเมริกาได้ )

6. ในชีวิตไม่เคยมีแฟน และไม่เคยคิดจะมีด้วย มาอยู่นี่เห็นฝรั่งหล่อๆเยอะแยะ แต่ทำไมหนูกลับเห็นพวกเขาเหล่านั้นในอีกแง่มุมหนึ่ง คือเห็นเป็นของโสโครกน่าสะอิดสะเอียนมากกว่า หนูเห็นแม้กระทั่งร่างกายหนูเองก็น่าสะอิดสะเอียนขยะแขยงเหลือเกิน ตามถนนฝรั่งจูบกันหอมกัน เหมือนกับเขากำลังจูบก้อนอุจจาระที่เต็มไปด้วยหนอน อะไรประมาณนั้น คำถามคือ ทำไมหนูเห็นเช่นนั้น

7. ในชีวิตไม่คิดจะแต่งงาน ไม่คิดจะมีลูก คิดแต่จะดูแลพ่อแม่ไปตลอดชีวิต และชวนท่านปฏิบัติธรรมไปด้วยกัน คิดอย่างนี้ดีหรือไม่และมีอานิสงค์อย่างไร

สุดท้ายนี้กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก ที่เสียสละเวลามาตอบคำถามโง่ๆของสัตว์โลกผู้ด้อยปัญญาอย่างหนู และขอบคุณที่จัดทำ web site นี้ขึ้นมา เพื่อให้สหธรรมิกของอาจารย์ที่กระเด็นกระดอน ไปอยู่ในที่ต่างๆของทั่วทุกมุมโลกได้รับฟังธรรมะและก้าวเข้าสู่แดนพ้นทุกข์โดยทั่วกัน อนุโมทนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

คำตอบ
    (๑) รู้ไปใช่ว่าจะพ้นทุกข์ ฉะนั้นพึงไม่จำเป็นต้องรู้จะดีกว่า

   (๒) ทางที่ดีต้องทำบุญให้หลากหลาย ทำบุญทุกอย่างที่สามารถทำได้ตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ แล้วอุทิศบุญให้น้องชายที่ตายจากไปนั่นแหละดีที่สุด

   (๓) คำว่า “ ฤษี ” หรือ “ ฤาษี ” มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน คือ เป็นนักบวช (ชายหรือหญิง) นอกพุทธศาสนา และประพฤติธรรมอยู่ในป่า เช่นเดียวกัน อดีตผ่านไปแล้วต้องปล่อยให้ผ่านไป แต่ปัจจุบันทำเป็นเหมือนคนโง่ แล้วเดินตามทางที่ให้ไว้นั่นแหละ สุดปลายทางคือสิ่งที่ผู้ถามปัญหาปรารถนา

   (๔) พฤติกรรมที่บุคคลทั้งสองทำแล้วเป็นบาป ตายแล้วแรงบาปมีโอกาสผลักดันจิตวิญญาณสู่ยมโลกได้ แต่ไม่ลึกเท่ามหานรก

   (๕) ในกรณีที่บอกเล่าไป A บาปมากกว่า B และ C เมื่อใดที่บาปให้ผล จะเป็นไปตามข้อ (๔) แต่ A ต้องเสวยทุกข์วิบากนานกว่า

   (๖) สิ่งที่ถูกเห็นนั้นเป็นของจริงแท้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสัญญาเก่าจากอดีตในครั้งที่เป็นฤาษีชีไพร ส่งผลให้ปรากฏเห็นได้ในชาติปัจจุบัน ซึ่งไม่ต่างไปจากยศกุลบุตร ลูกเศรษฐีชาวพาราณสีที่ตื่นมาตอนใกล้รุ่ง และได้เห็นนางระบำนอนหลับใหลสยายผม มีน้ำลายไหลไม่ได้สติ บางนางมีพิณตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีเปิงมางตกอยู่บนอก บางนางมีผ้าปิดไม่มิดชิด ฯลฯ เมื่อยศกุลบุตรเห็นภาพเหล่านั้นแล้ว เหมือนเห็นซากศพในป่าช้า ซึ่งอดีตชาติเคยประพฤติตนเป็นคนเก็บศพไปทิ้งไว้ในป่าช้ามาก่อนนั่นเอง

   (๗) ผู้ใดสร้างสมบารมีเก่ามามาก จนให้ผลทันในชาติปัจจุบัน ความคิดที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไป จึงเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่มีสภาวะจิตเช่นนั้น หากประสงค์จะนำพาชีวิตตนเองและผู้อื่นให้พ้นไปจากความทุกข์แล้ว จะถือว่าดีได้ ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม และบรรลุอริยธรรมได้เมื่อใดแล้ว สิ่งที่ปรารถนาไว้ย่อมเป็นจริงได้
  

1060.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

   ข้าพเจ้าขอสอบถามปัญหาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องดูแลพ่อซึ่งอยู่คนเดียวซึ่งข้าพเจ้าก็มีครอบครัวแต่ยังไม่มีลูกคะ และพ่อไม่ได้ทำงานข้าพเจ้าส่งเงินให้ท่านทุกเดือน สิ้นเดือนก็ซื้อข้าวของให้ทุกเดือน ข้าพเจ้ารักพ่อมากคะ อยากได้อะไรก็หาให้หมดคะ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าพ่อของข้าพเจ้าใช้เงินที่ข้าให้ไม่เคยพอ ต้องขอเพิ่มทุกเดือนและข้าพเจ้าต้องให้เงินเกินกว่ากำหนดทุกเดือนบางเดือนก็เกือบหมื่น ซึ่งเงินที่พ่อใช้ไปก็จะเอาไปเล่นบอลหรือหวย เล่นไพ่ เอาไปทำอย่างอื่นที่อาจไม่ดี ข้าพเจ้าก็บอกพ่อว่าอย่าเล่นได้ไหมมันไม่ดีการพนัน ท่านไม่เชื่อคะ แต่ข้าพเจ้าจะห้ามใจตัวเองอย่างไรคะ ที่จะไม่ให้เงินพ่อที่ขอเกินกว่าที่ให้ไปทำอย่างอื่น เพราะถ้าจะไม่ให้เขาพ่อก็จะโกรธ เวลาโทรไปก็พูดไมดีคะ ข้าพเจ้าลำบากใจมาก บางครั้งก็ร้องให้ไม่อยากให้พ่อโกรธ ใจก็อยากให้แต่อีกใจไม่อยากให้ท่าน จึงขออยากถามท่านว่า
1. การที่ไม่ให้เงินพ่อเมื่อท่านต้องการจะบาปไหมคะ
2. การที่ให้เงินท่านไปทำเรื่องไม่ดีข้าพเจ้าจะบาปด้วยไหม เหมือนสนับสนุน
3. การที่ดัดนิสัยท่านบาปไหมคะ ถ้าจะทำให้ท่านโกรธคะ

ขอบพระคุณท่านมากคะ

คำตอบ
    (1) ไม่เป็นบาป

   (2) หากรู้ว่าเงินที่ให้ไปนั้น ได้ถูกนำไปใช้ในทางที่เป็นอบายมุข ผู้ให้เงินต้องมีส่วนได้รับบาปนั้นด้วย

   (3) การไม่เห็นดีด้วย หรือการไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมของผู้ใด ไม่ถือว่าเป็นบาป
  

1059.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ดร. สนองครับ

  ผมมักฟุ้งซ่านชอบคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ เช่นถ้าผมทำอย่างนี้ได้หรือเป็นไปตามที่ผมคิดผมจะบวชหรือมีกรณีอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากๆก็ชอบคิดทำนองนี้ครับ แต่ขณะคิดนั้นไม่ได้ตั้งใจคิดจิตมันแวบไปเองบางทีก็เกิดขึ้นตอนกึ่งหลับกึ่งตื่น โดยตอนคิดนั้นไม่ได้นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ใดๆเลย และบางทีผมไม่มีสติจดจ่อ ณ ขณะนั้นด้วยครับและพยายามบอกตัวเอง ณ ขณะนั้นว่าอย่าคิดแบบนี้ อยากขอเรียนถามท่านอาจารย์ ดังนี้ครับ
   1. ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเหมือนกับการบนบานหรือไม่ครับ
   2. ต่อจากคำถามที่ 1 ถ้าใช่การบนบานผมสามารถถอนหรือแก้ไขอย่างไรได้บ้างครับ เพราะบางอย่างที่คิดไปมันเยอะแยะฟุ้งซ่านไปหมดครับ
      - ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆอย่างที่บอกว่าบวชถ้าผมบวชแบบนุ่งขาวห่มขาว จะถือว่าใช้ได้หรือเปล่าครับเพราะไม่ได้เจาะจงบวชแบบไหน
   3. จะมีผลเสียอย่างไรบ้างหากผมไม่ได้กระทำในสิ่งที่คิดไปอย่างนั้นครับ
   4. มีวิธีแก้ไขการฟุ้งซ่านแบบนี้อย่างไรบ้างครับ

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณในความกรุณาของท่านอาจารย์ครับ
และถ้าหากกระผมทำผิดพลาดพลั้งไปด้วยกาย วาจา ใจ ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดีกระผมขอขมาท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

คำตอบ
    (1) ไม่ใช่เป็นการบนบาน แต่เป็นวิตกจริตที่มีอยู่ในจิตของผู้ถามปัญหา

   (2) ตอบซ้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่การบนบาน และสำหรับผู้รู้แล้วไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ฉะนั้นปัญหาที่ถามจึงเป็นโมฆะ

   (3) ผลเสียของคนที่มีกำลังสติอ่อน คือ จิตรับสิ่งกระทบต่างๆภายนอกมาปรุงอารมณ์ได้ง่าย สิ่งกระทบไม่ดีทำให้เกิดอารมณ์ติดลบขึ้นแล้ว บาปย่อมถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตได้ง่าย

   (4) ทุกสิ่งแก้ไขได้ หากพบเหตุที่แท้จริงแล้วดับเหตุนั้น หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไข ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง ด้วยการเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน จะบวชแบบใดหรือไม่บวช ย่อมประพฤติได้ทั้งสองแบบ  
   

1058.
กราบเรียน อาจารย์สนอง ที่เคารพค่ะ

   ข้าพเจ้าขอสอบถามปัญหาที่ข้าพเจ้าพบดังนี้ค่ะ ในขณะนั่งสมาธิ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับมีการแยกของกายและจิต ออกเป็นส่วนต่างกัน ในหลายๆครั้งเกิดความรู้สึกว่าขณะปฏิบัติร่างกายที่นั่งอยู่ขณะนี้ไม่ใช่ของเรา โดยจะมีจิตที่คอยดูร่างกายนี้อยู่ ซึ่งในบ้างครั้งนั้นสามารถนั่งได้ประมาณ 1.30-2 ชั่วโมงกว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์ภายนอกมากระทบ(เช่น ฝนตกแล้วจะเปียก เนื่องจากนั่งในที่โล่ง) ก็สามารถนั่งต่อได้อีกค่ะ ในขณะนั่งนั้นมีบ้างช่วงปวดเมื่อยขาก็ตามดูจนอากาศนั้นลดลงและไม่ปวดอีก ซึ่งทำให้ข้าพเจ้านั่งได้นาน โดยจิตมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในกาย โดยการนั่งนั้นยังสามารถรับรู้สิ่งภายนอกอยู่ โดยนำมาพิจารณาแต่ไม่มีเหตุที่สำคัญที่ต้องทำให้ออกจากสมาธิ เช่น ได้ยินเสียงคนพูดคุย ส่วนเหตุที่ต้องออกสมาธิเป็นเหตุการณ์สำคัญเช่น ฝนตกแล้วจะเปียกเป็นต้นค่ะ

   ขอรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ที่ข้าพเจ้าปฏิบัติมานั้นเป็นทางที่ถูกต้องหรือไม่ค่ะ ถ้าไม่ถูกต้องจะแก้ไขได้อย่างไรค่ะ ถ้าถูกต้องแล้วจะได้ปฏิบัติต่อไปค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

คำตอบ
    ที่บอกเล่าไปเป็นปฏิปทาที่ดำเนินมาถูกทางแล้ว การเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ว่ากายไม่ใช่ของเรา อาการปวดเมื่อยที่ขา (ทุกขเวทนา) ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ หรือเห็นจิตเคลื่อนไหวอยู่ในกาย ฯลฯ เป็นผลทำให้จิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง เห็นถูกตรงตามธรรมที่เป็นจริง ............ สาธุ สิ่งที่ต้องปฏิบัติต่อไปคือ ทุกผัสสะที่เกิดขึ้นกับจิต ต้องใช้จิตตามดูจนเห็นว่า ทุกผัสสะล้วนจบลงที่ความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน นี่แหละคือสิ่งที่พระอัสสชิ กล่าวกับอุปติสสะ (พระสารีบุตร) ว่า “ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และตรัสถึงความดับ (อนัตตา) ไว้ด้วย พระศาสดามีปกติตรัสเช่นนี้ ”
     

1057.
To respect archarn Sanong,

   First of all, I would like to thank archarn very much. I have listened to some of your lectures and it makes me want to change myself. Now I am trying to change myself to the right way of life. I am from Laos . My husband is from Taiwan but his race is white. We live together in my parents' home. I have 2 sisters and 1 brother. Now my youngest sister and brother are studying in Vietnam so at home now only my parents and my sister and her husband. The problem is with my husband and my sister, they are not get a long well with each other. My husband always says he hates my sister and her husband and he doesn't belong to my family, when he is angry he always say bad thing about all of our family including me. He doesn't even want my sister and her husband to touch our baby whenever he sees that he burst his temper, he used to burst temper at my sister 2 times, but with me many times but everyone in the house can hear that, my mother and father are very worried about us.

    I don't know what to do, I tried to talk to my husband but it even makes him angrier. I would like archarn to suggest me of what to do, I want to move out of the house and live by our own but we can't afford that, my husband doesn't do much now, he only teach English 1 hour a day and the rest of the day just stay home. My husband said he doesn't want to live here, he even went back to his country and eventually he's back to my parents ‘ home again, I don't want him back here because I know the problem between him and my sister but eventually he's back. Everyday he complains about my sister and her husband, call them in bad name. When he says that I just listen and don't answer back but the situation is getting worse. I am very worried every minute at home that he would burst his temper at my sister again and my parents would be worried as well. I would like to ask archarn as follow:

  1. Why does my husband hate my sister so much? I know my sister can have temper too but she doesn't make the big problem at all, even small thing my sister does, my husband would take them in great thing to angry about.
       
  2. What should I do to all of this situation? I am the one in the middle. My husband likes to tell me what to tell my parents and my sister but I don't want to tell my sister and parents like what he says, I just lied to him each time that I told already and of course he knows that I didn't tell them then he's angry with me and say I am not a good wife and he doesn't need me anymore whenever he says something bad to me or my family I never answer back but in my mind I feel bad. What should I tell my husband? If he does this only to me, I forgive him as I feel sympathy of him of doing all those things but he affects my family which they think different than me.


Thanks Archan very much

คำตอบ
    (1) สามีและน้องสาวของผู้ถามปัญหา เป็นคู่เวรซึ่งกันและกัน เมื่อต่างโคจรมาพบกัน กรรมที่เป็นความพยาบาท (เวร) ย่อมให้ผลสิ่งที่บอกเล่าไปคือโทละ จึงได้เกิดขึ้นกับสามีของผู้ถามปัญหา

   (2) หากผู้ถามปัญหาประสงค์มีชีวิตที่อยู่เป็นสุข ในทางธรรมต้องเจริญขันติและพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ให้เกิดขึ้นกับใจของตัวเอง เมื่อใดที่ขันติและเมตตาได้เกิดขึ้นแล้ว เรื่องติดลบของสามีกับบุคคลที่อยู่รอบข้าง จะไม่เข้ามากวนใจให้ขุ่นมัวได้อีกต่อไป

อนึ่ง ในมุมมองของสามี มองผู้ถามปัญหาว่าเป็นภรรยาที่ไม่ดี นั่นเป็นการมองถูกของเขา จึงได้พูดออกมาเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม ผู้รู้มองว่า ผู้ถามปัญหาเป็นภรรยาที่ดีที่เห็นผู้มีจิตใจโกรธเคือง (ผูกโกรธ) ว่าเป็นคนที่น่าสงสารและให้อภัยเขาได้

ถามไปว่า จะพูดบอกสามีอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากผู้ถามปัญหามีเมตตาและคิดจะช่วยเหลือสามี ควรถามเขาในขณะที่เขามีอารมณ์ดีมีอารมณ์สงบว่า
    •  ระหว่างความโกรธกับความไม่โกรธ คุณชอบที่จะเป็นอย่างไหน
    •  ผู้ใดให้อภัยคนที่เป็นเหตุทำให้ขัดใจได้ ผู้นั้นมีเมตตา ผู้มีเมตตาเป็นผู้มีอารมณ์สงบเย็น และไม่มีใจคิดโกรธเคืองผู้ใด
    •  คนมีเมตตา หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย นอนไม่ฝันร้าย มีสีหน้าผ่องใส ฯลฯ

     

1056.
เรียน อาจารย์ ดร. สนอง

   ผมมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สามครับ ปัจจุบันนี้ผมเป็นเกย์ และทราบว่าไม่มีโอกาสบรรลุธรรมชั้นสูงในชาตินี้ และไม่ควรบวชด้วยเช่นกัน
   แต่อยากทราบว่า หากผมปฏิบัติธรรม ฝึกวิปัสนา ผมจะสามารถพัฒนาสมาธิญาณให้ก้าวหน้าได้หรือไม่และจะตันอยู่ที่ไหน หรือไม่มีโอกาสในการพัฒนาจิตให้ก้าวหน้าได้เลย

ขอบคุณครับ

คำตอบ
  ผู้ใดประพฤติธรรมได้ถูกตรงตามธรรม ย่อมบรรลุธรรมที่ประพฤติได้ตามสมควรแก่วาสนาบารมี การปฏิบัติธรรมมีอยู่ ๒ แนวทางคือ

   ๑. ทำจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ (สมถภาวนา) ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ทั้งนี้จะประพฤติได้ต้องมีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ลงคุมใจ คำว่า “ มีศีล ไม่ขาด ไม่ทะลุ ” หมายถึง มีศีล ๕ อยู่ครบทุกขณะตื่น และคำว่า “ มีศีล ไม่ด่าง ไม่พร้อย “ หมายถึง มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) เจือปน หากเป็นได้ดั่งนี้แล้ว จึงจะเป็นศีลที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต

   ๒. ทำจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) จะเกิดได้ต้องนำจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นตามความเป็นจริงว่า รูปธรรมและนามธรรมดังกล่าว ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้

   ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ จะให้เกิดผลก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ต้องประพฤติตามข้อ ๑. ให้ได้ก่อน แล้วจึงประพฤติตามข้อ ๒. การพัฒนาสมาธิ การพัฒนาญาณให้ก้าวหน้าจึงจะเกิดได้
   

1055.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ สนอง ที่เคารพ

ปัจจุบันหวังพุทธภูมิ
   1.เมื่อช่วงวัยเด็ก จนถึง อายุประมาณ 25 ปี เคยทำกรรมใหญ่ไว้ เช่น ฆ่าสัตว์ เช่น แมว จิ้งจก แมลงสาบ อื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ด้วยโทสะบ้าง ด้วยหลงผิดบ้าง(หลงผิดคิดว่าเป็นการปลดปล่อยจากอัตภาพนี้ ไปสู่อัตภาพอื่นที่ดีกว่า) เคยทำให้พ่อแม่เสียใจจนนับเรื่องแทบไม่ถูก ตอนช่วงที่ฆ่าสัตว์มากๆ ได้ถูกกรรมตามสนอง แต่รอดมาได้(โดนรถเมล์เฉี่ยว รถเมล์วิ่งฝ่าไฟแดง โดนเฉี่ยวที่ขา เพราะวิ่งข้ามถนน กระเด็นไปหลายเมตร แต่มีบาดแผลแค่ศรีษะถลอก) อยากรู้ว่าทำไมถึงรอดมาได้ หรือเพราะเจ้ากรรมนายเวรให้โอกาศ

   2.ปัจจุบันสำนึกได้แล้ว พยายามศึกษาธรรมะ ตั้งหน้าทำบุญทำกุศล จนปัจจุบัน รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ปราถนาพุทธภูมิ บาปกรรมที่ทำมา และหนี้บุญคุณที่มี อยากจะชดใช้ และช่วยเหลือเกื้อกูลทั้งตัวเองและผู้อื่นให้พ้นจากภัยในสังสารวัฎนี้ อยากเรียนถามอาจารย์ว่าควรทำเช่นไร ให้จิตมั่นคง แน่วแน่ ไม่ท้อ ไม่ถอย กล้าหาญ ไม่ว่าต้องเผชิ่ญทุกข์สักปานใด ก็จะไม่ถอยจิตจากความปราถนาโพธิญาณอย่างเด็ดขาด ทุกภพ ทุกชาติ จนกว่าจะสำเร็จพระโพธิญาณ ช่วยเหลือสรรพสัตว์ตามที่ตั้งใจไว้

   3.เคยมีประสบการณ์ทางจิตตอนเด็กๆ ประมาณ 3 ครั้ง ครั้งแรก ตอนประมาณอนุบาลหรือประถมต้น(ไม่ค่อยแน่ใจ) กำลังยืนรอน้องอยู่หน้าชั้นเรียน อยู่ๆบังเกิดความเย็นอย่างประหลาด เป็นความเย็นที่รู้สีกเป็นสุขอย่างมาก เหมือนมีตาน้ำพุ อยู่ในหัว หลั่งไหลออกมา รู้สึกได้สักแป็ปนึง จนรู้สึกว่าเผลอยิ้มออกมา แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป ครั้งที่สอง ตอนใส่บาตร เป็นครั้งแรก รู้สึกเย็นอย่างเป็นสุข โปร่ง โล่ง มีความสุขมาก ครั้งที่สาม ตอนวิ่งกลับบ้านจากโรงเรียน รู้สึกเหนื่อยเลยพยายามหายใจเป็นจังหวะ อยู่ๆรู้สึกตัวลอยเหมือนกำลังจะบินขึ้นไป พอตกใจ ก็รู้สึกวูบกลับมาอยู่บนพื้นเหมือนเดิม

  ประสบการณ์ทั้ง 3 ครั้ง เป็นประสบการณ์ก่อนที่จะเริ่มฆ่าสัตว์กระทำกรรมชั่วทั้งหลาย หลังจากนั้น จนปัจจุบันนี้ ไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์นั้นอีกเลย อยากทราบว่าเป็นเพราะอกุศลกรรมที่ทำปิดกั้นไว้ใช่หรือไม่ ถ้าใช่จะทำเช่นไร เพราะปัจจุบันเวลาเจริญภาวนา รู้สึกไม่มีความก้าวหน้าเลย จิตยังคงฟุ้ง หรือพอรู้สึกว่าเริ่มสงบๆ แต่ก็ได้แป๊ปเดียวเท่านั้น

กราบขอบพระคุณครับอาจารย์
มาวิน เอี่ยมทา

คำตอบ
    (1) ผู้ใดนำพาชีวิตไปในเส้นทางพุทธภูมิ ผู้นั้นได้ชื่อว่า โพธิสัตว์ สิ่งที่บอกเล่าไปจึงเป็นเรื่องปกติของผู้เดินในเส้นทางนี้ ทั้งนี้เพราะผู้เป็นโพธิสัตว์ จำเป็นต้องรู้และมีประสบการณ์ทั้งดีและชั่ว เพื่อให้ชีวิตได้เรียนรู้ให้ครบถ้วน เหตุเพราะเมื่อใดที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธะแล้ว ต้องมีความเป็นสัพพัญญู คือ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงจะสามารถสอนพุทธบริษัทและพุทธสาวก ให้พ้นจากความทุกข์ได้

   การที่ผู้ถามปัญหาต้องรับอกุศลวิบาก ถูกรถเมล์เฉี่ยวชนและรอดชีวิตมาได้เป็นเพราะ แรงกรรมที่เกิดจากการจองเวรของสัตว์ที่เคยถูกประทุษร้ายมาก่อนให้ผล และไม่ใช่การจองเวรจากสัตว์ที่ถูกฆ่า

   (2) ผู้ใดปรารถนาพุทธภูมิ ต้องประพฤติตนตามแบบอย่างของพระเจ้าพี่นางเธอฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือตามแนวทางของพระเจ้าอยู่หัว

   การคิดช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นให้พ้นจากภัยในวัฏสงสารสามารถคิดได้ แต่ยังมิใช่ปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ตรงกันข้ามพุทธสาวกที่สามารถพัฒนาจิตตนเองพ้นจากอวิชชาได้แล้ว จึงจะมีความคิดแล้วทำตามความคิดนี้ได้

   ผู้ถามปัญหาประสงค์บรรลุโพธิญาณ ต้องมีสัจจะไม่ชิงลงพุทธภูมิจนกว่าจะบำเพ็ญบารมีทั้งสิบอย่างจนครบทั้งสามระดับ คือ บารมีธรรมดา อุปบารมี และปรมัตถบารมี การช่วยเหลือบุคคลผู้ควรแนะนำสั่งสอนได้ (เวไนยบุคคล) จึงจะสำเร็จสมดังที่ตั้งปรารถนาได้

   (3) ตอบว่าใช่ หากผู้ถามปัญหาประสงค์ความก้าวหน้าในการเจริญจิตตภาวนา ต้องรักษาศีลอย่างน้อยห้าข้อให้ครบและบริสุทธิ์ และเอาศีลลงคุมที่ใจ
  

1054.
การลงทุนในตลาดล่วงหน้ายางพารา ข้าว และ Set50

   ผมทำงานบริษัทและไม่แน่ใจว่าผมจะทำงานที่บริษัทนี้ได้นานเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ใช่งานส่วนที่ถนัด และที่สำคัญผมอยู่ในดงสารเคมี ผมเป็นผู้ดูแลครอบครัวมีรายได้คนเดียว ทุกคนต้องพึ่งผม คือแม่ ภรรยา ลูกสาว และหลานสาว ป.6

   ผมจึงมองหาอาชีพต่อไปที่จะต้องทำ ที่สะดวกในการย้ายถิ่นฐาน ผมจึงได้มองด้านการลงทุนเป็นอาชีพถัดไปผมเริ่มด้วยการเล่นหุ้น เมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ได้ขาดทุนมาตลอดราวๆสี่แสน จนได้เรียนรู้ว่าเราลงทุนผิดวิธี เล่นจนกลายเป็นการพนัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาทุกข์ใจอะไร ปัจจุบันผมได้เรียนด้านการลงทุนอย่างจริงจัง กับชมรมหนึ่ง ซึ่งจะเน้นเรื่องความพอเพียง เน้นการทำบุญ และการปฏิบัติธรรม พอดีท่านอาจารย์บอกว่าการเล่นหุ้นมันเป็นอบาย

   ผมเป็นคนหนึ่งที่ฝักใฝ่การปฏิบัติธรรม พยายามที่จะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ แม้จะพ่ายแพ้มาหลายครั้ง แต่ก็จะพยายามต่อไป ผมลงทุนในสัญญาล่วงหน้า สินค้าเกษตร ยางพารา ข้าว และ SET50 ผมเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ไม่ได้ไปทำให้ราคาขึ้นหรือลง ไม่ได้ใช่เล่ห์ เพทุบาย เจตนาก็มิได้ จะคดโกง ลักทรัพย์ ผมถือว่าผู้ที่มาลงทุนพึงรับความเสี่ยงของตัวเอง การลงทุนทุกคนย่อมต้องการกำไร และทุกคนก็มีสิทธิ์ขาดทุน ผมได้พยายามเปลี่ยนรูปแบบการพนัน เมาป็นรูปแบบการลงทุนที่มีระบบเช่น money management ใช้ระบบที่แน่นอนในการลงทุน ผมจึงสัยว่าทำไม มันยังเป็นทางสู่อบาย แล้วผมต้องลงทุนแบบไหนจึงจะถูกต้อง ผมไม่สามารถล่วงรู้อนาคตว่าผมจะไปทำอาชีพอะไรต่อไปจึงจะสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ผมมองการลงทุนสัญญาล่วงหน้านี้น่าจะเป็นอาชีพที่บริสุทธิ์ได้ ผมปฏิญาณตน เป็นผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บำเพ็ญบารมี แม้ชาตินี้จะทำได้นิดๆหน่อย ผมก็ยังจะทำต่อไป ผมอยากช่วยคนมากๆ เหมือนท่านอาจารย์ แต่คุณสมบัติผมคงไม่เพียงพอ ใจผมยังไม่บริสุทธิพอ เรื่องการทำบุญแผ่กุศลก็ทำอยู่เรื่อยๆ

   อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยตอบผมไม่สบายใจเรื่อง ศีลข้อ 2 นี้มาก ผมเคยรู้ว่าบาปบุญจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเจตนา ถ้าเราเจาะลึกในอาชีพต่างๆ ของพนักงานบริษัท ของเสียหรือการแข่งขันกันทางธุรกิจ ย่อมส่งผลกระทบในทางไม่ดีต่อคนอื่นๆแทบทั้งนั้น ทุกคนก็มีแต่บาปติดตัว ผมขอคำแนะนำด้วยครับ

คำตอบ
    คำว่า “ ระบบ ” หากหมายถึง การรวมสิ่งต่างๆที่ซับซ้อนให้เข้ามาอยู่ในแนวเดียวกันอย่างมีเหตุผล

   การลงทุนที่มีระบบแน่นอน มีเจตนาให้ได้มาซึ่งสิ่งตอบแทนที่มาก จนทำให้ผู้มาใช้บริการหรือจำเป็นต้องใช้บริการ ถูกเบียดเบียนหรือเกิดเป็นความเดือดร้อน การลงทุนฯ แบบนี้ยังถือได้ว่า เป็นการสร้างบาปกับผู้ลงทุน เพราะมีส่วนร่วมในการเบียดเบียนนั้น

   อาชีพ คือ กิจการงานที่ประกอบเพื่อเลี้ยงชีวิต อาชีพบริสุทธิ์ในทางโลกคือ กิจการงานที่ทำเลี้ยงชีวิตไม่ผิดกฎหมาย เช่น ค้าขายอุปกรณ์ตกปลา ค้าขายสุรา ค้าขายล๊อตเตอรี่ ฯลฯ แต่ในทางธรรมอาชีพบริสุทธิ์คือ กิจการงานที่ทำเลี้ยงชีวิต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม เช่น ลงทุนที่มีระบบแน่นอน หากมีผลไปเบียดเบียนให้ทรัพย์ของผู้อื่นต้องเดือดร้อน ถือว่ายังผิดศีลข้อ ๒ ได้   
   

1053.
กราบเรียนถามอาจารย์ครับ

1.ทำไมคนที่ยังไม่ถึงอายุขัยถึงสามารถตายได้ แล้วกลายเป็นวิญญานเร่ร่อนอยู่ที่ตรงนั้น เช่นถูกรถชนตาย เป็นความประมาทของคนขับ หรือความประมาทของคนเดินถนน หรือสัมพเวสีบังตาคนขับ หรืออีกกรณีหนึ่งเช่นตกน้ำตายโดยที่ยังไม่ถึงอายุขัย ถ้าเราประมาทก็ตายได้ใข่ไหมครับ หรือสัมพเวสีสามารถฉุดเราให้จมน้ำตายตามเขาได้หรือครับ

2.ถ้าสัมพเวสีทำให้เราตายได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ เช่น พระเครื่อง หรือ เครื่องรางของขลัง สามารถช่วยเหลือป้องกันเราได้ไหมครับ

3.มีเพื่อนสามารถสัมผัสกระแสพุทธคุณของพระเครื่อง สามารถบอกได้องค์ไหนมีกระแสแรง องค์ไหนกระแสอ่อน องค์ไหนเด่นทางด้านบารมี ทางด้านเมตตา หรือทางด้านคุ้มครอง เรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเรื่องจริงไหมครับ

4.ผมได้พระบรมสารีริกธาตุมาจาก 2 แห่ง คือ วัดสังฆทาน และ ชมรมรักษ์พระบรมธาตุ เรียนถามอาจารย์ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือไม่ครับ ถ้าใช่ของจริง ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีบุญวาสนาขนาดนี้

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

 

คำตอบ
   (๑) ผู้รู้ไม่สงสัยในกฎแห่งกรรมที่พระพุทธะตรัสไว้ เรื่องที่ถามไปมีเหตุมาจาก ผู้ที่จำเป็นต้องตายก่อนครบอายุขัยได้ประพฤติกรรมตัดรอน (อุปฆาตกรรม) ไว้ก่อน เมื่อกรรมให้ผล การตายก่อนครบอายุขัยจึงได้เกิดขึ้น

   (๒) เหตุแท้จริงที่ทำให้ต้องตายก่อนครบอายุขัย มิได้เนื่องมาจากการกระทำของสัมภเวสี ดังนั้นจึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใด จะให้ผลยิ่งไปกว่าความศักดิ์สิทธิ์ของแรงกรรมที่บุคคลได้กระทำไว้ก่อนแล้ว

   (๓) จริงสำหรับผู้ที่มีความเห็นผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ ผู้ตอบปัญหาเชื่อในพุทธวจนะที่ว่า “ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ” นั้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ซึ่งผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วว่า พุทธวจนะนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง จึงมิได้แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด มาคุ้มชีวิตตนเองมิให้วิบัติ แต่แสวงหาธรรมมาคุ้มใจ เอาธรรมมาสถิตอยู่กับใจ แล้วความสวัสดีของชีวิตจึงได้เกิดขึ้น

   (๔) ภาพที่ส่งไปให้ดูนั้น มิใช่ของจริง แต่เป็นฉายาของพระบรมสารีริกธาตุ

คำว่า “ พระบรมธาตุ ” หรือ “ พระบรมสารีริกธาตุ ” หมายถึงกระดูกของพระพุทธเจ้า ส่วนคำว่า “ พระธาตุ ” หมายถึงกระดูกของพระอรหันต์ อนึ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย หากถูกไฟเผาแล้วยังปรากฏให้เป็นเป็นของแข็งเหลืออยู่ ก็สามารถเรียกว่าเป็นพระบรมธาตุหรือพระธาตุได้ (ความเห็นของผู้ตอบปัญหา)
  

1052.
สวัสดีค่ะ อาจารย์สนอง

   1,ทุกวันนี้ โมโหเคียดแค้นมากเลยค่ะ เพราะทำงานไม่ได้สำเร็จอย่างที่ใจวาดไว้ หนูประเมินตนเองไว้สูงมากเลยค่ะ
และที่ต้องทำให้ได้เพราะจะให้คนเห็นว่าเก่ง เพื่อให้คนยอมรับ หนูตาบอดจากความคิดที่ว่าการทำงานทำไปเพื่ออะไร หลายทีก็อาย เพราะทำไม่ได้อย่างพูด หรือกลัวจะทำไม่ได้ ความกลัวทำให้ทำไม่ได้ไปเลยจริงๆ รู้สึกโง่ทึ่มมาก และกลัวคนมองไม่ดี ถึงจะเปลี่ยนคนไม่ได้ก็เหอะ และก็อับอายมากเลยค่ะอาจารย์ คืนนี้นอนไม่ลง เพราะจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จให้ได้ และก็ทุกข์ใจด้วยเพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ และหนูก็เกลียดตัวเองมากด้วย เกลียดทุกสิ่งที่ทำให้คิดแบบนี้ หนูพอจะทำอะไรได้บ้างค่ะอาจารย์ตอนนี้

   2. เกิดความคิดอยากให้คนกลุ่มหนึ่งหายไปจากโลกด้วยค่ะเพราะความอายมาก
เกลียดตัวเองสุดๆ ทนไม่ได้ พูดนี่ก็ไม่หายทุกข์เลยค่ะ ยิ่งไม่นอนยิ่งเคียดแค้นจนจะคับอกอยู่แล้ว
ถามว่าทำยังงัยจึงจะเลิกคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองและกลัวคนอื่นจะเด่นจะดีกว่าได้

คำตอบ
    ผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ย่อมมีความผิดพลาดในการทำงาน มีความผิดพลาดในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้มีความเห็นเช่นนั้น ทุกคนที่เกิดมาและยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ต้องการความสะดวกสบาย ต้องการความสำเร็จในการทำงาน ต้องการความสุข จะเป็นเช่นนี้ได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต่างสำเร็จด้วยใจ (มโนมยา)

   ขออภัยผู้ถามปัญหายังมีความเห็นผิด พฤติกรรม (คิด พูด ทำ) ที่ติดลบจึงเกิดขึ้น ซึ่งผู้รู้สามารถวัดได้ หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะให้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตัวเองสำเร็จด้วยดี ต้องเปลี่ยนความเห็นที่ผิด ให้กลับมามีความเห็นถูกให้ได้ก่อน แล้วใช้ความเห็นถูกส่องนำทางให้กับการทำงานและการดำเนินชีวิต ซึ่งการพัฒนาปัญญาเห็นถูก สามารถทำได้สองแนวทาง คือ

   ๑. ฟังผู้รู้บอกกล่าว แล้วทำตามคำชี้นำ ความเห็นถูกในทางโลกจึงจะเกิดขึ้นได้ ผู้รู้บอกว่า คนเก่งคือคนที่มีความรู้และมีความสามารถ คือรู้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำและต้องทำงานเป็น มีทัศนคติในการทำงานถูกต้อง คือทำงานเพื่อเรียนรู้คนเพื่อเรียนรู้งาน ทำงานเพื่องาน ทำงานด้วยวิธีการอันเลิศโดยไม่หวังผลเลิศ มีจิตไม่เป็นทาสของผลงาน ฯลฯ และทำงานได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยการใช้อิทธิบาท ๔ เป็นตัวสนับสนุน คือทำงานด้วยใจรัก (ฉันทะ) ทำงานด้วยความพากเพียร (วิริยะ) ทำงานด้วยใจจดจ่อ (จิตตะ) ใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำ (วิมังสา) ทำงานได้แล้วเสร็จทันเวลา ด้วยการเว้นจากอบายมุข ๖ และสุดท้ายผลงานเข้าตาเจ้านาย เข้าตาผู้ใช้บริการ เป็นที่เรียกหาเรียกใช้อยู่เสมอ

   ๒. นำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ เมื่อใดที่เข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว ชีวิตจะมีแต่ความดีงาม ความคิดและการกระทำที่ทำให้จิตเศร้าหมอง เช่น เห็นว่าตัวเองเก่ง ต้องการให้คนอื่นยอมรับ ความคิดที่จะทำให้คนกลุ่มหนึ่งหายไปจากโลก ใจที่เกลียดชังตัวเอง ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เป็นความทุกข์ จะอันตรธานหายไปจากใจ แล้วเกิดสิ่งดีงาม (คุณธรรม) เข้ามาแทนที่
   

1051.
ขอความกรุณาตอบคำถาม

   ผมนายชยกฤตและนางสุทธดา พฤทธิ์พงศ์พันธุ์เป็นคู่มรสกันมีบุตรแล้ว ๑ คนเป็นเพศหญิง ผมมีอายุ ๒๙ ปีส่วนภรรยาและบุตรมีอายุ ๒๘ และ ๒ ปี ๘ เดือนตามลำดับมีอาชีพเปิดร้านค้าส่งขนาดเล็กมีเงินหมุนเวียนประมาณ ๕ ล้านบาทต่อเดือนขายสินค้าเกือบทุกชนิดเช่นเครื่องสำอาง เครื่องเขียน ของเบ็ดเตล็ดแต่มีสินค้าประเภทอบายมุขร่วมจำหน่ายอยู่ด้วยเช่น สุรา บุหรี่ ไพ่ และมีรายได้ต่อวันประมาณ ๑.๕ แสนบาทมีหนี้ OD ธนาคารอยู่ประมาณ ๖ ล้านบาทตอนนี้มีความทุกข์ใจเกี่ยวกับสินค้าที่ขายกลัวบาปแต่กลัวธุรกิจล้มถ้าตัดสินใจเลิกขายสินค้าอบาย แต่ในใจอยากเลิกขายมาก

   จึงอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ช่วยตอบคำถามของผม และผมและภรรยาได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินเพื่อไปฟังอาจารย์บรรยายธรรม ที่โรงพยาบาลทหารเรือ ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๕๒ แล้วหลังจากบรรยายธรรมจบกระผมใคร่ขอความอนุเคราะห์จากอาจารย์เพื่อขอคำปรึกษาให้กระจ่างในข้อสงสัยและการปฏิบัตรธรรมจากอาจารย์ด้วยครับ

คำตอบ
    อาชีพที่ผู้ถามปัญหากระทำอยู่ในปัจจุบันไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดศีลตรงที่ขายสุรา และผิดธรรมตรงที่ขายเครื่องสำอาง ขายไพ่ ขายบุหรี่ เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผล ความวิบัติของชีวิตย่อมเกิดขึ้น ส่งผลกระทบถึงครอบครัวและบ้านเมืองได้ หากผู้ถามปัญหายังจำเป็นต้องดำเนินธุรกิจนี้ต่อไป โดยไม่ประสงค์ให้ผลของอกุศลกรรมตามทัน ผู้ร่วมกระบวนกรรมต้องพัฒนาจิตตนเองให้เป็นผู้มีบุญส่งผลอยู่เสมอ ให้เป็นผู้มีบุญมาก บุญใหญ่ จนบาปตามให้ผลไม่ทัน จึงจะสามารถนำพาชีวิตหนีอุปสรรคและปัญหาที่เกิดจากอกุศลกรรมที่กระทำได้
  

 

 

browser stats