1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1801-2000
2000.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพค่ะ

ขอเรียกตัวเองว่า ลูก นะคะ เพราะนึกถึงว่า ได้อ่านธรรมะที่อาจารย์สอนแล้ว เสมือนหนึ่งตนเองเป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่มาขอรับคำแนะนำค่ะ

ลูกมีอาการอย่างหนึ่ง เหมือนติดเพ่งค่ะ มันจะเครียดมาก เหมือนใช้สมองหนัก ๆ ตลอดเวลา เคยได้นั่งสมาธิ เป็นบางครั้ง อาการจะดีขึ้น เมื่อไม่ได้นั่งสมาธิ อาการกลับเป็นเหมือนเดิม ตอนที่ผลของสมาธิมีอยู่ ใจสบาย กายสบายมาก แต่ด้วยภาระหน้าที่การงาน จึงไม่ได้นั่งสมาธิตลอด และอาการก็กลับมาเป็นอีก อาการนี้ลูกเป็นมาตั้งมัธยม จนตอนนี้หลักสามแล้วค่ะ แต่อาการดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

1. อยากเรียนถามว่า ทำอย่างไร อาการเพ่งจิต เพ่งร่างกายโดยเฉพาะการเพ่งเส้นประสาท เพ่งตาจะหายไปได้ค่ะ

2. ถ้าต้องการหาย ต้องทำสมาธิถึงขั้นอัปปนาเท่านั้นหรือเปล่าค่ะ

3. ตอนเด็ก ๆ ก่อนติดเพ่ง เคยมีอาการเส้นประสาทสมองเจ็บแปล๊บ ๆ จนต้องกุมหัว หลายหนค่ะ ไม่ทราบสาเหตุ จู่ๆ ก็เป็น และสักพักไม่เกินนาทีก็จะหาย มันเกี่ยวกันมั้ยค่ะ

4. ตอนเด็ก เป็นเด็กเจ้าอารมณ์ เกรี้ยวกราดมาก จนตอนนี้มองย้อนกลับไป ยังตกใจตัวเองเลยว่า เป็นไปได้ยังไง ผลของการเป็นคนเจ้าโทสะมาก จึงทำให้เกิดอาการเช่นนี้หรือเปล่าค่ะ ประมาณว่าขอเทวดาลงโทษหน่อยเถอะ

5. ตอนนี้เวลาไปวัด ไหว้พระ จะอธิษฐานจิตเสมอว่า ขอถวายตัวเป็นสาวกพระพุทธะ และจะตั้งใจปฏิบัติตนตามพระธรรมสั่งสอน จนกว่าในอนาคตจะสิ้นอาสวะกิเลส พบนิพพานค่ะ เพราะเบื่อหน่ายในปัญหาของการดำรงตนเพศฆราวาสเหลือเกินค่ะ อยากละทางโลก แต่ต้องเลี้ยงบิดามารดาให้สุขสบายก่อน ควรจะอธิษฐานแบบใดดีค่ะ ให้เราหลุดพ้นจากการเลี้ยงชีพทางโลก ๆ แล้วสามารถปฏิบัติธรรมได้เต็มกำลัง แต่ยังมีทรัพย์เลี้ยงบุพการี

สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อจะได้ชี้แนะแนวทางให้กับพวกเราที่ยังโง่เขลาอยู่ค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการสบายกาย สบายใจ เป็นการปฏิบัติที่ถูกทาง ผู้ฉลาดย่อมมักมากในการประพฤติเช่นนั้น

     (๑) เมื่อมีผู้รู้มาบอกกล่าว ต้องทำตัวเป็นคนโง่ แล้วปฏิบัติตามคำชี้แนะโดยไม่สงสัย เมื่อประพฤติเหตุได้ถูกตรงแล้ว ย่อมทำให้เข้าถึงธรรมที่ประพฤติได้ง่าย

     การใช้จิต จ้องดู เล็งดู (เพ่ง) ส่วนใดๆของร่างกาย เป็นการปฏิบัติธรรมที่ผิดทาง ตรงกันข้าม ผู้ใดใช้จิตตามดูอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกาย โดยจิตไม่เคลื่อนออกไปรับสิ่งกระทบอื่นใดมาปรุงอารมณ์ ผู้นั้นย่อมมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรม (สมถภาวนา) ที่ถูกทาง

     (๒) ถ้าต้องการให้ความเครียดหายไปจากใจ ต้องทำเหตุให้ถูกตรง ตามที่ชี้แนะไว้ในข้อ (๑)

     (๓) ปฏิบัติธรรมผิดทาง ผลที่เกิดขึ้นย่อมผิดตามไปด้วย เมื่อรู้ว่าผิดแล้วหยุด ทำใหม่ให้ถูก อาการเจ็บที่เส้นประสาท ย่อมไม่เกิดขึ้น

     (๔) โทสะ เป็นกิเลสตัวใหญ่ ให้มีอารมณ์ติดลบเกิดขึ้นกับจิต แล้วส่งผลถึงร่างกายที่แสดงออก เป็นพฤติกรรมที่ไม่ปรารถนา เช่น ก้าวร้าว ฉุนเฉียว หงุดหงิด ฯลฯ ตายแล้ว โทสะยังมีอำนาจผลักดันจิต ให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพนรกอีกด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มิใช่เทวดาลงโทษ แต่เป็นไปตามเหตุและผลของกรรมไม่ดี ที่ต้องทำให้เป็นเช่นนั้น

     (๕) อธิษฐานเป็นคนดี มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจ และให้บรรลุธรรมที่นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ด้วย
  

1999.
เรียน อาจารย์ ดร. สนอง ที่เคารพ

1. ผมเป็นคนที่เข้าสังคมไม่ได้เลยครับ กลัวคน ตอนเด็ก มักถูกล้อ ถูกรังแก รีดไถ โดนเพื่อน เอาเปรียบ ถูกผู้ใหญ่ว่ากล่าว ดูถูก ตลอด ไม่มีเพื่อนสนิทเลย จนตอนนี้ ผมมีอาการเมือพบคนแปลกหน้า ญาติ มีการทักทาย พูดคุย จิตผมจะตกวูบ อึดอัดมาก แล้วต้อง หลีกหนีออกมาตลอดเลย ชอบอยู่คนเดียว ผมจะทำอย่างไรดีครับ

2. ตอนนี้ผม ลังเล อย่างมากที่จะประกอบอาชีพ อะไร เพราะอาการอย่างที่กล่าวมา ผมควรเริ่มอย่างไรดีครับ

3. ผมเคยฟัง เรื่อง ภพภูมิ ต่างๆ ผมไม่สงสัยการตายแล้วเกิด นิพพาน กรรม แต่ ส่งสัยเรื่อง   วัฏจักร วนเวียนตายเกิด ใครเป็นผู้กำหนด กฎเกณฑ์ ให้มีมา เหตุใดจึงต้องมี จุดมุ่งหมาย วัฏจักร คืออะไร ทำไมต้องเกิด ลงนรกรับกรรม จนหมด จิตแตกสลายหายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ครับ

ขอบคุณครับ ขอความกรุณาด้วยครับ  

คำตอบ
     (๑) ต้องรักษากาย วาจา และใจให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วประพฤติบุญใหญ่ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ เจริญอานาปานสติ (พุท - โธ) นานเท่าที่โอกาสอำนวย หลังจากนั้นอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆทุกครั้ง จนกว่าอาการจิตตกจะหายไป

     (๒) ต้องประกอบอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม โดยมีความกตัญญูกตเวที และมีอิทธิบาท ๔ เป็นแรงสนับสนุน

     (๓) วัฏจักร หมายถึง ห้วงเวลาที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องไป จนถึงความสิ้นสุด ณ จุดเริ่มต้น วัฏจักรเกิดขึ้นตามแรงผลักของกรรม สรรพสัตว์จึงต้องเวียนตาย - เวียนเกิด ไม่รู้จบ อยู่ในภพต่างๆของวัฏสงสาร ทั้งนี้เป็นด้วยเหตุของอวิชชาที่มีอำนาจครอบงำจิตของสรรพสัตว์

     ผู้รู้จริง รู้ว่า จิตเป็นพลังงานธรรมชาติที่ไม่มีการแตกสลาย แต่มีสิ่งเศร้าหมอง ( กิเลส ) ปนเปื้อนอยู่ในจิต ผู้รู้จึงพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต (สังโยชน์) ทั้งสิบชนิด ให้หมดไปจากจิตได้เมื่อใด จิตย่อมบริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งปนเปื้อนครอบงำได้แล้ว จิตย่อมโคจรพ้นไปจากแรงดึงดูดของภพใดๆที่มีอยู่ในวัฏฏะ เข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า นิพพาน
  

1998.
หนูรบกวนเรียนถามปัญหาธรรมดังนี้คะ

(1)   หนุกำหนดรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ในชีวิตประจำวัน ปกติตามรู้อารมณ์โกรธ ฟุ้ง ดีใจ เสียใจ คิดกุศล คิดอกุศล ช่วงหลังๆจะตามรู้ได้มากขึ้น เวลามีอารมณ์แรงๆมากระทบ จะรู้สึกเหมือนมีแรงอะไรสักอย่างวิ่งมากระแทกที่อก บางครั้งแรงมาก รู้สึกจุก อึ้ง มันว่างๆคิดอะไรไม่ออก (แต่มันคล้ายกับเบลอๆ ไม่รับรู้สิ่งอื่นชั่วคราว) และจิตก็ไม่รู้ว่ามันคืออารมณ์ที่เรียกว่าอะไร เพียงแต่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปจากอันเก่า อย่างนี้ถือว่าเราหลงไปไม่รู้ ไม่ทันอารมณ์ หรือว่าอารมณ์นั้นๆไม่มีบัญญัติคะ และในการปฏิบัติที่ถูกเมื่อแรงกระแทกที่หน้าอกนั้นหายไป   ให้ปล่อยอารมณ์นั้นไปเลย หรือว่าควรพิจารณาคะ

(2)   หลังปฏิบัติธรรมอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แต่เมื่อกล่าวคำอุทิศจบยังหลับตาอยู่     รู้สึกมีเงาดำๆมาผลักศรีษะของหนูแรงพอควร และหนูรู้สึกมึนงงในศรีษะ เบลอๆเหมือนคนป่วยที่เลือดออกในสมอง (หนูเคยประสบอุบัติเหตุเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง จึงรู้ว่าอาการเป็นอย่างไร) กรณีอย่างนี้เจ้ากรรมนายเวรไม่อภัยให้ใช่หรือไม่คะ

(3)   คำกล่าวที่จะแบ่งส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตพร้อมๆกันกล่าวรวมว่าอย่างไรคะ

   กราบขอบพระคุณคะ

คำตอบ
     (๑) เป็นอารมณ์ที่เกิดจากกิเลสมารมีอำนาจเหนือจิต จึงทำให้จิตมีอารมณ์ จุก อึ้ง คิดไม่ออก ฯลฯ ผู้รู้แนะนำให้กำหนดว่า “จุกหนอๆๆๆๆ” หรือ “อึ้งหนอๆๆๆ” หรือ “คิดไม่ออกหนอๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ อารมณ์ดังกล่าวจะหายไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมที่ทำอยู่ ผู้ที่ปล่อยให้อารมณ์ดังกล่าวหายไปเองโดยไม่กำหนด กิเลสตัวที่เรียกว่า โมหะ ย่อมเกิดขึ้นกับจิต

     (๒) ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นย่อมมีบุญใหญ่เกิดขึ้น ท่านเจ้าคุณโชดก แนะนำให้อุทิศบุญใหญ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทุกครั้งหลังปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ แล้วอาการที่ไม่ปรารถนาย่อมหมดไป

     (๓) กล่าวรวมพร้อมกันว่า “ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้ว จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทั้งที่มีชีวิตและล่วงลับไปแล้ว จงเป็นสุขๆ อย่าได้มีเวรต่อกันเลย จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย ทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด”
  

1997.
ขอความเมตตาดร.สนอง ตอบข้อสงสัยค่ะ

ขณะนี้ข้าพเจ้าเพิ่งจะมีบุตรและมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ข้าพเจ้าได้รู้จักกับบุคคลที่กล่าวว่าตนเป็นนักปฏิบัติ บุคคลนั้นกล่าวว่าตนเรียนศาสตร์การแพทย์ทางเลือกมา ซึ่งหากจะรักษาต้องเป็นผู้ที่มีบุญจึงจะรักษาให้ ส่วนอาการป่วยของข้าพเจ้าจะรักษาไม่หาย แต่จะไม่ทำให้อาการลุกลามและกำเริบขึ้นมา ซึ่งหากจะรักษาข้าพเจ้าต้องทำบุญใหญ่มากๆ ใช้เงินเป็นล้าน เงินนี้บุคคลคนดังกล่าวแจ้งว่าจะใช้ในการสร้างวิหารทาน ในความเห็นของท่านอาจารย์ดร.สนองเห็นว่าเป็นเช่นไร เป็นไปได้หรือไม่  และขอคำแนะนำสำหรับข้าพเจ้าเรื่องการปฏิบัติตนด้วยจักเป็นพระคุณอย่างสูง. ขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ดร.สนองด้วยค่ะ

คำตอบ
     คำว่า “บุญ” หมายถึง ความดี , กุศล , ความสุข ฯลฯ ผู้ใดประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือคนอื่น อุทิศความดีให้คนอื่น ยินดีในความดีของคนอื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง) แล้ว ผู้นั้นมีบุญ บุญใหญ่สุดคือ การเจริญจิตตภาวนา ผู้ประพฤติได้แล้ว โอกาสเปลี่ยนสภาวธรรมในดวงจิต จากความเป็นปุถุชนไปเป็นอริยบุคคล หรือเข้าถึงพระนิพพานย่อมมีได้เป็นได้ ส่วนการสร้างวิหารทาน มีอานิสงส์อย่างมากไม่เกินสวรรคสมบัติ

     ฉะนั้น ผู้แนะนำให้ทำ (สร้างวิหารทาน) จึงเป็นความเห็นถูกของเขา แต่มิได้เป็นความเห็นถูกของพระพุทธโคดม ผู้รู้แจ้ง (ตรัสรู้) และรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู)
  

1996.
สงสัยมากครับ

ทำไมคนเราถึงระลึกกรรมเก่าไม่ได้ครับ   ผมพอจะเข้าใจในเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วในชาติภพนี้ แต่ก่อนหน้านี้ที่เราเคยทำกรรมมา ทำไมเราไม่สามารถจดจำได้หมายถึงในชาติก่อนๆ ที่เราจะมาเกิดในชาตินี้ผมสงสัยมากๆเลย เวลาที่หาเหตุผลอธิบายไม่ได้มักชอบบอกว่าเป็นกรรมเก่า เช่นคนที่เกิดมาแล้วพิการ หรือเกิดมาในชาติตระกูลตํ่าอาภัพอับโชค ถ้ากฏแห่งกรรมมีจริง ทำไมไม่ให้เราระลึกได้ว่าเราเคยทำกรรมใดมาในชาติที่แล้ว ชาตินี้เราเลยต้องเป็นอย่างนี้ หมายถึงกรณีที่เกิดมาไม่เหมือนคนอื่นอะครับอยากรู้มากๆครับ ช่วยตอบด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง ก่อนที่ผมจะหมดศรัทธาในเรื่ิองกฏแห่งกรรม

คำตอบ
     ศรัทธาหรือไม่ศรัทธา ขึ้นอยู่กับปัญญาหรือความรู้ที่แต่ละมีไม่เท่ากัน มนุษย์มีศักยภาพที่จะเข้าถึงปัญญาได้ ๓ ระดับ
     (๑) ปัญญาที่เกิดจากการฟัง การอ่าน เรียกว่า สุตมยปัญญา

     (๒) ปัญญาที่เกิดจากการคิด พิจารณา วิเคราะห์ วิจัย เรียกว่า จินตามยปัญญา

     ปัญญาทั้งสองอย่างนี้ คนทั่วไปนิยมพัฒนากัน ผู้ใดพัฒนาได้แล้วมีประกาศนียบัตร มีปริญญษบัตรรับรองความรู้ที่พัฒนาได้ เรียกว่า ปัญญาทางโลก ซึ่งสามารถรู้ เห็น เข้าใจความจริงในกฎแห่งกรรมที่ระบบประสาทสามารถสัมผัสได้

     (๓) ปัญญาที่เกิดจากการพัฒนาจิต เรียกว่า ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาสูงสุด (ฌาน) สามารถรู้ เห็น เข้าใจความจริงในกฎแห่งกรรม ที่ให้ผลข้ามภพชาติได้

     ดังนั้น บุคคลจะศรัทธาหรือเลิกศรัทธาในกฎแห่งกรรม ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของตัวเองที่พัฒนาได้ ผู้ไม่ประมาทในชีวิต นิยมพิสูจน์สัจจธรรมที่กล่าว (กฎแห่งกรรม) ในชาติปัจจุบัน โดยไม่รอให้ความสงสัย (กิเลส) ยังคงค้างเติ่งอยู่ในจิตวิญญาณเนิ่นนานออกไปจนถึงชาติหน้าหรือชาติถัดๆไป … . จะพิสูจน์ไหม พัฒนาจิตจนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ เลิกสงสัยแน่นอน
  

1995.
เรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

      หนูเพิ่งเ้ข้าสู่เส้นทางธรรมได้ 1 ปีเศษค่ะ ที่ผ่านมาจะอ่านหนังสือธรรมะเยอะมากมาเป็น 10 ปี แต่เพิ่งได้ลงมือปฎิบัติค่ะ มีข้อสงสัยตามประสาคนด้อยปัญญาว่า ทุกครั้งหลังจากที่เราสวดมนต์หรือเจริญสมาธิแล้วเราอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ ให้อโหสิกรรมให้ หรือกรณีที่มีคนอุทิศบุญกศลให้เรา แต่อยู่คนละภพภูมิ แล้วเราจะอโหสิกรรมต่อกันได้อย่างไร แล้วหนี้เวรหนี้กรรมจะหมดไปได้อย่างไรคะ แล้วกรณีเป็นมนุษย์ที่อยู่ภพภูมิเดียวกันที่เราเคยไปล่วงเกินเขาไว้ในอดีต แต่เราก็ไม่ได้บอกเขาด้วยวาจา เนื่องจากพบเจอกันแล้วก็จากกันไป จะทำให้หนี้กรรมหมดไปได้หรือไม่คะ

      หนูอ่านหนังสือทุกเล่มของอาจารย์ และอธิษฐานให้ได้เป็นศิษย์อาจารย์ เมื่อหนูมีบุญกุศลเพียงพอหรือเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ขอให้อาจารย์ีมีสุขภาพแข็งแรง และขออนุโมทนาบุญกับท่าน ดร.สนองทุกครั้งที่ท่านสร้างบุญด้วยนะคะ

คำตอบ
     ต้องอโหสิกรรมต่อกันด้วยใจ เมื่อใดที่ใจยกเลิกการผูกพยาบาทจองเวร เมื่อนั้นหนี้เวรกรรมย่อมจบสิ้นลงทันที

     ส่วนสัตว์บุคคลที่มาเกิดอยู่ในภพภูมิเดียวกัน ผู้ประพฤติกรรมเบียดเบียนยังมิได้ขอขมากรรมต่อกัน หนี้เวรกรรมจะยังคงมีอยู่ เมื่อทั้งสองโคจรมาเจอกัน การชดใช้หนี้เวรกรรมย่อมเกิดขึ้น
  

1994.
กราบเรียนท่าน อาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ท่านอาจารย์ครับ ผมได้พัฒนาจิตจนถึงโสดาบันแล้วครับ ตอนแรกผมว่าชาตินี้จะขอหยุดอยู่แค่นี้ แต่ผมเจริญจิตนั่งสมาธิมาเรื่อยๆ จนจิตได้หลุดพ้นเป็นอิสระจนได้ ความสุขที่อยู่เหนื่อปิติ ตอนนี้ผมเข้าถึงมหาแห่งจิต มหาแห่งปัญญา ตอนนี้ผมกำลังพยายามดับไฟราคะอยู่ครับ รู้สึว่ามันเบาบางลงมากแต่ไม่ถึงขั้นดับสนิท

ท่านอาจารย์ครับ ตอนนี้ผมเข้าฌานลึกๆไม่ได้ครับ จะเข้าได้แค่สมาธิขั้นพิจารณา
ผมอยากทราบว่า ควรทำอย่างไรต่อครับ

คำตอบ
      ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน ทั้งนี้เพราะเมื่อนำจิตออกจากความทรงฌาน ความรู้สูงสุดที่เรียกว่า โลกิยญาณ (อภิญญา ๕) ย่อมเกิดขึ้น แต่กำลังของโลกิยญาณไม่สามารถใช้กำจัดสังโยชน์ได้ (ไม่พ้นทุกข์) จึงไม่แนะนำให้ปฏิบัติ (ผู้ที่เคยปฏิบัติสมถภาวนามาแต่อดีตชาติ ย่อมมีโอกาสที่จิตจะเข้าถึงความทรงฌานได้)
  

1993.
เรียนท่านอาจารย์ ที่เคารพครับ

    อยากขอความเมตตา ให้อาจารย์ให้ความรู้ ในสิ่งที่ผมสงสัยครับ เกี่ยวกับคำว่าสติ กล่าวคือ
ได้ฟังธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์ ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า ขณะที่ท่านอาจารย์สนองบวชใหม่ ความว่า   ท่านอาจารย์เจ้าคุณโชดก ได้บอกกล่าวว่า ...ท่านอาจารย์ มีสตินิดเดียว (แต่นิดเดียวนี้เอง อาจารย์ยังสามารถ เรียนจนจบด๊อกเตอร์ได้)

   คำว่าสตินี้ผมเข้าใจว่า เป็นตัวที่นำทำให้เกิดสมาธิ ความจำ ความเข้าใจ ที่นี้ก็เลยสงสัยว่า พระ หรือ คนที่ปฎิบัติสมาธิ เจริญสติมากมาก แล้วยังมีการหลงลืมได้หรือไม่่ครับ เพราะในแต่ละวัน คนเรามีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่างมากมาย เช่น หลงลืมว่า ปากกา หรือแว่นตา วางไว้ไหน    .
  
   บางตอนของการฟังธรรมบรรยายจากอาจารย์ว่า หากลืมทำจิตให้นิ่งก็จะระลึกได้ว่า หลงลืมสิ่งของไว้ที่ไหน   เราต้องฝึกอย่างไรครับ การท่องตำราเรียนก็เหมือนกัน ท่องวันนี้จำได้ แต่แล้วอีกเดือนลองมาระลึกดู ปรากฎว่า สิ่งมี่จำได้มันเลือนหายไปมากเลยครับ

  ขอท่านอาจารย์เมตตาอธิบาย และแนะแนวทางทำให้สติ และสมาธิเข็มแข็งขิ้น พัฒนาขึ้นครับ
สรุปแล้ว  
                1)  พระ หรือ นักปฏิบัติ ยังมีอาการหลงลืมได้หรือไม่ครับ
                2)   การพัฒนา ความจำ และสติ ให้มีความเข็มแข็งมากขึ้นครับ ทำอย่างไรครับ

คำตอบ
     สติ เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของจิต ที่สามารถทำให้จิตระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม เช่นไม่ลืมสิ่งของที่วางไว้

     ควาามจำ เป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของจิต หมายถึง สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ในใจ เช่นคนที่ขับรถยนต์กลับบ้านตัวเองถูก

     ความเข้าใจ เป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของจิต หมายถึง รู้เรื่อง รู้ความหมาย หรือที่เรียกว่า ความรู้หรือปัญญานั่นเอง

     (๑) พระหรือนักปฏิบัติธรรม ที่ยังมีสภาวะของดวงจิตเป็นปุถุชน ยังมีความหลงลืมได้มาก ตรงกันข้าม พระอริยบุคคลที่ยังมีสภาวธรรมในดวงจิตที่ยังมิใช่พระอรหันต์ (ทั้งพระและฆราวาส) ยังมีอาการหลงลืมได้ แต่หลงลืมน้อยกว่าพระหรือฆราวาสที่เป็นปุถุชน

     (๒) การพัฒนาจิตให้มีสติ ต้องฝึกจิตด้วยการใช้อย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ (กสิณ ๑๐, อสุภะ ๑๐, อนุสติ ๑๐, พรหมวิหาร ๔, อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑, จตุธาตุววัตถาน ๑ และอรูป ๔) มาเป็นองค์บริกรรมอยู่เสมอ

     เพื่อให้มีประสบการณ์ถูกตรง ควรนำตัวเอง เข้าฝึกกับครูบาอาจารย์ที่เคยปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมมาก่อน

     ส่วนความจำ จะเกิดขึ้นได้ ต้องฝึกจิตด้วยการอ่านทบทวนบ่อยๆ หรือดีที่สุด ต้องฝึกจิตให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว คลื่นสมองย่อมมีความเป็นระเบียบ แล้วความจำจะเพิ่มขึ้นเป็นอัตโนมัติ
     

1992.
กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไร ที่ เคารพอย่างสูง

ดิฉันเคยส่งคำถามมาปรึกษาท่านอาจารย์แล้วครั้งหนึ่ง ได้รับคำตอบที่ชี้ทางสว่างให้กับดิฉันมากๆ  
มาคราวนี้จึงขอรบกวนท่านอาจารย์อีกครั้ง เพื่อชี้แนะแนวทางให้กับแม่ดิฉันด้วยค่ะ ปัญหามีอยู่ว่าปกติครอบครัวของดิฉันก็อยู่กันอย่างมีความสุขดีค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่งคุณพ่อไปเลี้ยงสังสรรค์ที่ได้เลื่อนเป็นอาจารย์ 3 ที่ห้องอาหารคาราโอเกะ แล้วชอบพอกันกับสาวห้องอาหารก็ได้ติดต่อกันมาเรื่อยๆ จนคุณพ่อนอกใจคุณแม่   คือคุณพ่อแอบส่งเงินให้ผู้หญิงคนนี้แทบทุกเดือน เงินเดือนทั้งเดือนก็โอนให้หมด เงินตกเบิกอาจารย์ 3 ก็ส่งให้จนหมดตัวพอไม่มีเงินใช้ก็มารีดไถ่กับทางครอบครัว   ท่านทั้งสองมีปากเสียงกัน   ตีกันบ้าง ด่าทอกันบ้าง   ระแวงสงสัยกันบ้าง  

ดิฉันจึงรบกวนให้อาจารย์ช่วยชี้แนะดังนี้ค่ะ
1. คุณแม่เคยคิดว่าจะออกไปบวชเป็นชีจะดีหรือไม่ (คุณแม่ท่านเป็นคนมีศีลมีธรรม) แต่มีญาติ   พระสงฆ์ ท่านคัดค้านไว้ว่าถ้าไปแล้วจะทำให้เกิดบ้านแตกสาแหรกขาด  

2.  ลูกๆจะช่วยท่านได้อย่างไร ทั้งทางคุณพ่อที่อนาคตอาจจะหมดตัวแน่ๆ   และทางคุณแม่ที่เศร้าซึมอยู่

     ดิฉันกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สนอง ที่ได้สละเวลาช่วยชี้ทางให้ครอบครัวขอดิฉัน ขอให้อาจารย์มีธาตุขันธ์ที่แข็งแรงสมบูรณ์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ผู้ที่มีทุกข์หรือผู้ที่ใผ่รู้ในธรรมได้พึ่งพาด้วยเทอญ ถ้าข้าพเจ้าได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ไม่ว่าทางใดๆก็ตามดิฉันขอ อโหสิกรรมด้วยค่ะ

คำตอบ
     (๑) กรรมย่อมจำแนกบุคคลให้ดี ชั่ว เลว หยาบ แต่ละบุคคลมีกรรมเป็นของตัวเอง ต่างคนต่างเกิดมาสู่โลกใบนี้ไม่พร้อมกัน ต่างคนต่างตายจากโลกใบนี้ไปไม่พร้อมกัน ดังนั้นพึงเลือกทำกรรมตามที่ชอบๆเถิด

     (๒) พระพุทธโคดม สอนพุทธบริษัทให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาของคนอื่น และผู้รู้จริง ย่อมไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด ดังนั้นหากเป็นลูกที่รู้จริง ต้องปล่อยผู้อื่นให้เป็นไปตามกรรมที่เขาทั้งสอง ได้กระทำต่อกันมาแล้วแต่อดีต
  

1991.
สวัสดีครับ ท่าน อ. สนอง

ผมมีคำถามอยากถาม อ. สนอง ดังต่อไปนี้ครับ ขอรบกวน อ.ช่วยกรุณาแนะนำ วิธีทางที่ถูกต้องให้ผมด้วยครับ

ผมเองไม่ค่อยจะถูกกับแม่ครับ แต่ก็ทำทุกอย่างให้แม่เสมอมา เช่น ให้เงินเดือนทุกเดือนตั้งแต่เริ่มงานเดือนแรก   พยายามหาของให้แม่ทาน คอยไปรับแม่ตอนเลิกงาน แต่ว่าผมกับแม่นั้น จะมีเรื่องที่ไม่ค่อยถูกกันครับ เนื่องจากแม่ผมเป็นคนโทสะเยอะ ไม่ฟังเหตุผลจากคนอื่น หากท่านผิด ก็จะบอกว่าเค้าเป็นแม่   เค้าต้องถูก ผมไม่รู้จะทำยังไงครับ ผมกับน้องชายได้แต่เอือมระอา ที่เค้าไ่ม่ฟังอะไร บางทีท่านก็ว่า หรือด่าผมให้คนอื่นฟัง ทั้งๆที่ผมก็พยายามทำให้ท่านสบาย และคอยช่วยเหลือทุกอย่างครับ  

  ผมเองก็ศึกษาธรรมะพอสมควร รวมทั้งได้ฟัง ธรรมมะบรรยายจาก อาจารย์ด้วย เลยพยายามจะไม่โกรธ ไม่น้อยใจ พยายามมองให้เห็นถึงความโกรธที่เกิดขึ้น แต่บางทีก็พ่ายแพ้ครับ มันทนไม่ไหวจริงๆ บางทีก็พูดกับท่านแบบหัวเสียบ้าง   ไม่ได้ด่าท่านนะครับ แต่อยากให้ท่านมีเหตุผล หรือรับฟังคนอื่นบ้างก็เท่านั้น แต่ก็ไม่มีผลครับ ท่านก็จะบอกว่า ท่านอายุเยอะแล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ท่านไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยครับ

ผมเลยอยากถามอาจารย์ว่า
1. สิ่งที่ผมทำอยู่นี้ บาป และจะเป็นอุปสรรคในการปฎิบัติธรรมมั้ยครับ ผมกลัวว่า อกุศกรรมนี้จะส่งผลให้ผมปฏิบัติไม่ก้าวหน้า

2. ผมจะมีวิธีคิดอย่างไรดีครับกับเรื่องแบบนี้ เหนื่อยใจจริงๆครับ   บางที ดีชั่วผมก็รู้หมด แต่อดไ่ม่ได้จริงๆครับ คิดอยากให้ท่านกลับตัวและรับฟังคนอื่นบ้าง กลัวจะไม่ีมีคนคบท่านเอาครับ

3. ถ้าผมห่างๆมา โดยส่งเสียแม่อยู่ แต่ว่าพยายามไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็นด้วยกับท่านเพราะไม่อยากจะก่อกรรมหนัก จะถือว่าผมอกตัญญูมั้ยครับ เพราะผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ท่านมีมิจฉาทิฐิมากเหลือเกินครับ

สิ่งที่ดีของท่านก็มีเยอะครับ ผมเองก็ได้พยายามมอง และก็เอามาหักลบกับเืรื่องที่ท่านเป็นแบบนี้ครับ แต่บางทีทนไม่ไหวจริงๆครับ

ขอความกรุณาอาจารย์ ตอบคำถามผมด้วยนะครับ   ผมเองอยากจะได้ดวงตาเห็นธรรมแบบอาจารย์บ้าง แต่กลัวว่าเรื่องนี้ จะเป็นกรรมที่ทำให้ผมไม่ มีโอกาสเห็นธรรมครับ

ขอบพระคุณอาจารย์คับ   ขอให้กุศลนี้จงเพิ่มเป็นบารมีให้แก่อาจารย์นะคับ

กฤตยศ

คำตอบ
    แม่ดุด่าลูกเป็นเรื่องของแม่ แต่เรื่องของลูกคือ ต้องสงบนิ่งแล้วให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีสิ่งขัดใจเข้ากระทบจิต ทั้งนี้เพราะพระพุทธโคดมมิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ปัญหาจึงจะยุติลงได้

     (๑) ความไม่สบายใย ความไม่สบายกาย ถือว่าเป็นบาป ได้ยินเสียงดุด่าแล้วไม่สบายใจจึงเป็นบาป ผู้ไม่สบายใจปฏิบัติแล้วย่อมเข้าไม่ถึงธรรม หรือเข้าถึงธรรมได้แต่เนิ่นช้า

     (๒) ทุกครั้งที่มีสิ่งขัดใจเกิดขึ้น ต้องให้อภัยเป็นทานด้วยการกำหนด “ช่างมันเถอะๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าความไม่สบายใจจะหายไป

     (๓) พระพุทธโคดมมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหาแล้วใช้ปัญญาแก้ปัญหา การกำหนด “ช่างมันเถอะ” เป็นการใช้อภัยเป็นทาน ผู้ให้ได้แล้วย่อมมีอารมณ์สงบเย็น แล้วจะรู้ว่า แม่เป็นผู้มีอุปการคุณที่ทำให้ลูกได้สร้างเมตตาบารมี ยังไงล่ะ
  

1990.
กราบเรียนท่านอ.ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

ขอรบกวนสอบถามดังนี้ครับ

1. การทำบุญกับทำทานต่างกันอย่างไรครับ และการทำบาปคือการกระทำเช่นใดครับ

2. กรณีไปทำสังฆทานแล้วพระท่านถามว่าทำเพื่ออะไร เช่น วันเกิด อุทิศส่วนกุศล ให้ผู้ตาย เป็นต้น เช่นนี้แล้วหากทำบุญวันเกิดแล้วญาติที่ล่วงลับไปจะได้หรือไม่หากเราตั้งใจอุทิศ แต่เราบอกพระว่ามาทำเนื่องในวันเกิด

3. ปัจจุบันเทคโนโลยีล้ำหน้าไปมาก ทำให้สามารถรักษาอาการป่วยหรือช่วยทุเลาอาการได้ไม่ให้เสียชีวิตในทันที ซึ่งจะเกิดกรณีที่สุดความสามารถที่ผู้ป่วยจะกลับมาดีดังเดิม บางรายอาจอยู่ได้เพราะฤทธิ์มอร์ฟืนที่แพทย์จ่ายให้ เช่นนี้จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ป่วยเสพยาหรือไม่ดังเช่นกรณีบิดามารดา ป่วยอยู่โรงพยาบาลอาการหนัก แล้วแพทย์ให้ตัดสินใจว่าจะรักษาต่อไปหรือจะหยุด รักษา ซึ่งจากกรณีดังกล่าว หากรักษาต่อไปก็จะเป็นการทำให้ท่านทนทุกข์ทรมาน เนื่องจากอยู่ได้เพราะฤทธิ์ยา ซึ่งกรณีนี้จะถือว่าบาปหรือไม่    บางคนบอกว่าไม่ควรไปยุ่งเพราะเป็นความต้องการของเจ้ากรรมนายเวร อันนี้ผมก็สงสัยอยู่ว่าจริงรึเปล่า และหากไม่รักษาท่านต่อไปก็เคยได้ยินว่าก็เป็นบาปเช่นกัน ถ้าอย่างนั้น อย่างไรจึงจะไม่บาป

ขอบคุณครับ

คำตอบ
     (๑) การทำบุญ ได้แก่ การทำอย่างใดอย่างหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ใดประพฤติแล้วบุญย่อมเกิดขึ้น และถูกเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิต ซึ่งหนึ่งในสิบนั้น ได้แก่ การบำเพ็ญทานหรือให้ทาน ผู้ใดให้สิ่งดีงามแก่ผู้อื่นแล้วบุญย่อมเกิดขึ้น

     (๒) การทำสังฆทาน ผู้ทำแล้วได้บุญเกิดขึ้น ผู้มีบุญอุทิศบุญให้ผู้ล่วงลับ บุญย่อมเกิดขึ้นเป็นคำรบสอง ส่วนญาติผู้ล่วงลับจะได้บุญที่อุทิศให้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ต้องถึงพร้อม คือ มีผู้อุทิศบุญ มีบุญที่อุทิศ และต้องมีผู้มาอนุโมทนาบุญ ในกรณีนี้หากผู้ล่วงลับมาอุทิศบุญได้ เขาจึงจะได้รับบุญที่มีญาติอุทิศให้

     (๓) อาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการประพฤติเบียดเบียน และเจ้ากรรมนายเวรยังไม่เลิกจองเวร ในทางโลกจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย และในการรักษานั้น ผู้เข้าร่วมกระบวนกรรมของคนไข้ ย่อมได้รับบาปจากการถูกจองเวรจากเจ้ากรรมนายเวรของคนใช้ ตรงกันข้าม หากคนไข้เป็นผู้มีอุปการคุณต่อผู้ถามปัญหา แล้วไม่เข้าไปช่วยเหลือ ย่อมได้รับผลเป็นบาปด้วยอกตัญญูต่อคนไข้ ดังนั้นผู้รู้จึงต้องช่วยเหลือคนไข้ โดยป้องกันบาปที่จะมาถึงตัวด้วยการปฏิบัติธรรม (บุญใหญ่) และอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าการช่วยเหลือจะจบลง
  

1989.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

           ดิฉันตั้งใจรักษาศีล 5 ให้ครบ แต่บางทีเราทำให้สัตว์ตายโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น ปิดหน้าต่างโดยที่เรามองไม่เห็นจิ้งจกจนทับมันตาย บางทีเผลอทำให้ยุงตายโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
แล้วดิฉันปฏิบัติธรรมจะเข้าถึงธรรมได้หรือไม่คะ เพราะเคยฟังที่อาจารย์เคยบรรยาย   การปฏิบัติธรรมต้องรักษาศีล 5 ให้ครบ ถึงจะปฏิบัติธรรมแล้วเข้าถึงธรรมได้

คำตอบ
      อาการเผลอ เป็นอารมณ์ของจิตที่ขาดสติ จึงเป็นเหตุทำให้ประพฤติทุศีล ผู้ขาดสติปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ เช่น ปฏิบัติสมถภาวนา แต่จิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
  

1988.
เรียน อ.สนอง ที่เคารพ
 
คุณแม่มีคำถามฝากถึงอาจารย์ ดังนี้ครับ
 
" เนื่องด้วยดิฉันได้เลี้ยงนกกระตั้วชื่อว่าโยเกิร์ต ต่อมาเขาได้ตายในคืนวันที่ 5 ม.ค.
ในขณะที่เขาไปจากโลกนี้ ดิฉันร้องไห้ฟูมฟายว่าเป็นความผิดของดิฉัน
ที่ไม่ดูแลเขาในขณะที่เขาต้องการความช่วยเหลือ พร้อมทั้งเอาตัวเขามากอด
แต่ในขณะนี้ ดิฉันมีแต่ภาพที่เขาเจ็บวนเวียนอยู่ในจิตใจ
และคิดย้อนหลังไปว่า ถ้าตอนนั้น ดิฉันมีสติ ลูบหัวเขาและอธิษฐานให้เขาไปสู่สุคติ
น่าจะดีกว่า ดิฉันจึงขอรบกวนถามว่า
 
1. ในขณะที่อุ้มร่างของเราพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายนั้น จิตของเขากับจิตของเราจะติดกัน
จนเขาไม่สามารถไปสู่ภูมิอื่นหรือเปล่า
 
2. จะสามารถอธิษฐานย้อนหลังให้เขาไปสู่ภูมิที่ดีกว่านี้ได้หรือเปล่า"
 
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
  รพงษ์

คำตอบ
     (๑) จิตของนกกระตั้ว เมื่อหลุดออกจากร่างแล้ว จะถูกแรงผลักของกรรมให้โคจรไปสู่ภพใหม่ เกิดเป็นรูปนามใหม่ ส่วนจิตของผู้เลี้ยงนก ยังคงอยู่กับร่างเดิมที่เป็นมนุษย์ มิได้ตามจิตของนกกระตั้วไปด้วย

     (๒) จิตวิญญาณที่ไปเกิดเป็นรูปนามอยู่ในภพใหม่แล้ว ไม่สามารถแปรเปลี่ยนไปตามคำอธิษฐานย้อนหลังได้
  

1987.
กราบเรียนท่านอ.ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

ศรัทธาในตัวอาจารย์มาก ทุกเวลาที่มีโอกาสจะเปิดฟังธรรมบรรยาย หรืออ่านสนทนาธรรรมของอาจารย์เป็นประจำ ตอนนี้มีเรื่องข้องใจรบกวนสอบถามอาจารย์ค่ะว่า กรณีของคนที่มีครรภ์แต่แพทย์ตรวจเจอความผิดปกติของเด็ก ถ้าเอาไว้เกิดปัญหาแน่นอน แพทย์สามารถทำแท้งให้ได้ อยากถามอาจารย์ว่ากรณีอย่างนี้ ถ้าจัดการแก้ปัญหาในทางโลกคือทำแท้งไม่เป็นไร แต่ในทางธรรมเป็นบาปใช่หรือไม่คะ แล้วระหว่างผู้เป็นแม่กับแพทย์ผู้ทำใครจะบาปมากกว่ากันคะ

สำหรับเด็กพิการ หรือไม่สมประกอบเขาเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมของตัวเอง และเป็นกรรมของพ่อแม่ด้วยใช่หรือไม่อย่างไรคะ

ด้วยความศรัทธาและเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     ในทางธรรมถือว่าเป็นบาป ด้วยเหตุทำให้จิตวิญญาณ ถูกทำให้หลุดจากร่าง ผู้แนะนำให้ทำแท้งเป็นจำเลยบาปที่หนึ่ง ( บาปมากกว่า ) ผู้เห็นดีด้วยและยอมให้ทำแท้ง เป็นจำเลยบาปที่สอง (บาปน้อยกว่า)

     คำตอบตอนท้าย ตอบว่า ใช่ครับ
  

1986.
ทำอย่างไรจะกำจัดการปรามาส ไปจากใจได้ครับ

ทุกวันนี้ผมพยายามตามจิตให้ทัน พอเริ่มคิดจะปรามาสเมื่อไหร ก็พยายามกำหนด รู้หนอๆ
บางครั้งทันไม่ทันบ้าง ผมทำถูกทางหรือป่าวครับ  
ขอคำแนะนำด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    คำว่า “ปรามาส” หมายถึง ดูถูก เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตของผู้มีอัตตา ผู้ใดพัฒนาจิตจนเกิดสติและปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ใช้สติปัญญาที่พัฒนาได้ ไปดับขันธ์ ๕ เมื่อขันธ์ ๕ ดับ อัตตาที่อยู่ภายในย่อมดับตามไปด้วย แล้วความเห็นแก่ผู้อื่น ย่อมเกิดขึ้น ความดูถูก ( ปรามาส ) ผู้อื่น ย่อมหมดไปโดยปริยาย
  

1985.
กราบเรียน   อาจารย์ ดร.สนอง ค่ะ

หนูมีลูกอายุ 1 ขวบ 2 เดือน หนูอยากจะสอบถามวิธีการเลี้ยงลูกที่ถูกต้อง

1, อยากทราบหลักวิธีจากอาจารย์ค่ะ

2, และหนูสงสัยว่า ถ้าพยายามอธิบายเหตุผลตอนเขาโตพอที่จะรับรู้เหตุผลได้แล้ว และเขายังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราสามารถลงโทษเขาจากหนักไปเบา จนสุดท้าย ตีเขาได้ไหมคะ คือ หนูไม่แน่ใจว่าการที่เราตีเด็ก ดุเด็ก จะทำให้เด็กกร้าวร้าวไหมคะ จะยิ่งสร้างปัญหาอย่างอื่นมากกว่าหรือเปล่า   สมัยนี้สิ่งเร้าภายนอกมีเยอะค่ะ ที่ผู้ปกครองยากที่จะรู้

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
     (๑) ประพฤติจริยธรรมของความเป็นแม่ให้ถูกตรง เช่น เลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ด้วยแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ ขยัน หมั่นเพียร ดูแลรักษา ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ทุบตี ไม่ทำร้ายลูก ให้การเรียนรู้สั่งสอนลูกให้มีคุณธรรม ให้เลือกคบกัลยาณมิตร ฯลฯ

     (๒) แม่ต้องทำตัวเป็นแม่พิมพ์ที่ดีให้กับลูก เช่น มีศีล มีธรรม มีความกตัญญูกตเวที มีวาจาไพเราะ มีใจโอบอ้อมอารี เผื่อแผ่ แบ่งปัน ทำตัวเป็นกัลยาณมิตรของลูก ฯลฯ หากทำได้เช่นนี้แล้ว ความอบอุ่น ความสนิทสนมกลมเกลียว ความไว้ใจ จะเกิดขึ้นกับลูก
  

1984.
เรียนถามอาจารย์ค่ะ

พอดีหนูไปขอรับบริจาคให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนครปฐม   หนูบอกว่า "ขอเชิญร่วมรับบริจาคช่วยโรงเรียนหลังน้ำท่วมค่ะ" ตอนนั้นหนูคิดว่าโรงเรียนโดนน้ำท่วมค่ะเลยพูดไปอย่างนั้น แต่พอมารู้ทีหลังว่า โรงเรียนที่หนูจะนำเงินนั้นไปบริจาคไม่ได้ถูกน้ำท่วม และเงินที่ได้มานั้น หนูก็นำมาซื้ออุปกรณ์การเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับโรงเรียน

หนูรู้้สึกไม่สบายใจค่ะ ที่หนูบอกไปอย่างนั้น อาจารย์คิดว่ามันบาปไหมคะ แล้วหนูควรจะทำอย่างไรดี

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     เป็นบาปครับ ควรทำหนังสือชี้แจงแล้วประกาศให้ทราบในที่สาธารณะ
  

1983.
กราบเท้าอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพ

   กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มาก ๆ ครับ ทุกครั้งที่ได้เข้ามาอ่านคำถามคำตอบ ทำให้ได้แนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อลองนำไปปฏิบัติทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีหลักในการดำเนิน รวมถึงได้รับกำลังใจในการปฏิบัติมาตลอดครับ

  ขออนุญาตกราบเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

   ๑. ปัจจุบันผมและครอบครัว อาศัยอยู่ที่บ้านของคุณพ่อ คุณแม่ ผมมีลูกสาว ๒ คนครับ เวลาที่ลูก ๆ กระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม คุณพ่อ คุณแม่ผมจะให้การอบรมสั่งสอนตลอด ผมเข้าใจในเจตนาที่ดีของท่านทั้งสอง เพื่อจะช่วยขัดเกลาให้หลาน ๆ เป็นเด็กดี เป็นคนดี แต่เนื่องจากผมและภรรยา ไม่เห็นด้วยกับการสอนในลักษณะการดุว่าให้กลัว   ดังนั้นผมและภรรยาจะนิ่งในขณะที่ท่านสั่งสอน   จนบางครั้งผมก็ได้รับการตักเตือนจากคุณพ่อ เนื่องจากท่านเข้าใจว่า ผมไม่สนใจสั่งสอนลูก ๆ ผมจะใช้เวลาในการสวดมนต์เพื่อสอนลูก ๆ แต่ลูกยังคงปฏิบัติในกิจวัตรประจำวันที่ทำให้ถูกบ่นว่า เช่น ไม่เก็บยางรัดผมในห้องน้ำ ไม่ปิดฝาแชมพู ไม่เก็บเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ฯลฯ ซึ่งผมและภรรยาพยายามสอนโดยกำหนดสติเพื่อรู้ทันอารมณ์ และไม่สอนด้วยความโกรธ (ซึ่งยากมากครับ) แต่บ่อยครั้งก็ไม่สำเร็จ เพราะเกิดอยู่ซ้ำ ๆ เดิม ๆ ก็พูดออกไปด้วยความโกรธ ผมควรปฏิบัติอย่างไรดีครับในการสอนลูก และควรปฏิบัติอย่างไรเวลาที่คุณพ่อ คุณแม่ผมสอนหลาน ๆ  

   ๒. เรื่องของการปฏิบัติไม่เหมาะสมซึ่งเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ของลูกโดยการวางเฉย เนื่องจากเห็นว่าการตักเตือนและปฏิบัติเป็นตัวอย่างมาเป็นปี ๆ แล้วแต่ไม่ได้ผล แต่ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ต้องอบรมหลานแทน ผมและภรรยาจะบาปต่อคุณพ่อ คุณแม่ และลูกไหมครับ

   ๓. เมื่อหลายปีก่อน ผมและภรรยาได้ไปทำบุญตักบาตรที่วัดป่าแห่งหนึ่ง โดยปกติเราจะใส่บาตรด้วยกัน พระรูปละ ๑ ชุด แต่วันนั้นผมตั้งใจจะใส่บาตรหลวงปู่ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสคนละชุด หลังจากที่ภรรยาผมใส่บาตรท่านแล้ว และผมกำลังจะใส่บาตร องค์ท่านขยับบาตรออก ซึ่งผมเข้าใจว่าท่านไม่อนุญาต แต่ผมก็ได้ใส่บาตร ขณะนั้นจิตอกุศลจึงเกิดขึ้น หลังจากนั้นผมก็รู้สึกสำนึกผิด และเมื่อได้ไปทำบุญกับท่าน ผมก็อธิฐานจิตกราบขอขมาท่านหลายครั้ง แต่ไม่ได้เข้าไปกราบเรียนท่านโดยตรง แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ครั้งใดก็ยังรู้สึกไม่สบายใจครับ ผมควรจะทำอย่างไรครับ และหากจะไปขอขมาท่านจะต้องเตรียมอะไรไปบ้างครั้ง

   ๔. การสร้างเหตุปัจจัยให้ตรงโดยการสร้างมหาทานนั้น ขอความกรุณาอาจารย์โปรดแนะนำวัดหรือสถานปฏิบัติธรรม ที่เหมาะสมที่จะถวายทานแด่พระที่ออกจากนิโรธสมาบัติด้วยครับ (ผมอยู่จังหวัดเพชรบุรีครับ)

   ๕. ขอความกรุณาอาจารย์โปรดแนะนำสถานปฏิบัติธรรม ที่มีครูบาอาจารย์ที่จะเมตตาอบรมสั่งสอนการปฏิบัติกรรมฐานแด่ผมด้วยครับ

   ท้ายที่สุดนี้กระผมขอฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ด้วยนะครับ และหากมีสิ่งใดที่ได้เคยล่วงเกินอาจารย์ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ทั้งทางกาย วาจา ใจก็ดี กราบขอขมาอาจารย์โปรดอดโทษให้ผมด้วยนะครับ และขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ที่ทำให้บุคคลทั้งหลาย มีแนวทางที่ถูกต้องตรงตามธรรมในการดำเนินชีวิตครับ

   กราบเท้าด้วยความเคารพ

คำตอบ
     (๑) สอนด้วยการทำความดีให้ดู ดีกว่าการสอนด้วยคำพูด หากทำได้เช่นนี้แล้ว ความศรัทธาในตัวผู้สอนย่อมเกิดขึ้น ด้วยเหตุที่พ่อแม่เปรียบได้กับแม่พิมพ์ของลูก หากแม่พิมพ์ดีแล้ว ลูกพิมพ์ย่อมดีตาม

     (๒) ความดื้อของเด็ก เกิดจากความไม่ศรัทธาเป็นต้นเหตุ เด็กดีย่อมไม่ดื้อกับพ่อแม่ผู้ทรงไว้ซึ่งความดี ฉะนั้นจงดูตัวเอง แล้วปรับแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้นได้เมื่อไร ความดื้อของเด็กย่อมหมดไปโดยปริยาย

ส่วนผู้อื่นมาอบรมลูกของเรา ก็เป็นเรื่องของผู้อื่น แต่การไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน บาปย่อมเกิดขึ้นกับผู้เป็นต้นเหตุ ดังนั้นควรขอขมาต่อพ่อแม่ทุกครั้งที่โอกาสเปิดให้ทำ

     (๓) นำพวงมาลัยดอกไม้ไปบูชาพ่อแม่ แล้วกล่าววาจาขอขมากรรมที่ลูกได้ทำเหตุเดือดร้อนให้เกิดขึ้นกับท่าน เมื่อพ่อแม่ยกโทษให้แล้ว เป็นอันว่า โทษผิดบาปย่อมหมดไป แล้วต้องไม่ประพฤติผิดต่อพ่อแม่อีก

     (๔) ในยุคสมัยนี้ พระสงฆ์ที่เข้านิโรธสมาบัติหาได้ยาก แต่สิ่งที่ประพฤติได้ง่ายกว่าคือ เลี้ยงพระเจ็ดวันอย่างต่อเนื่อง ก็จัดว่าเป็นมหาทานได้

     (๕) แนะนำพระอาจารย์มนตรี วัดป่าละอู (ชายแดนไทย - พม่า) เป็นผู้ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย ควรนำตัวเข้าหา แล้วประพฤติให้ได้ตามท่าน … . สุดท้าย อโหสิให้
  

1982.
เรียน อาจารย์สนอง

กระผมมีอาชีพวิศวกรครับ กำลังพยายามรักษาศีล 5 และศีล 8 ให้ต่อเนื่อง มีศีลที่ผมรักษาได้ดีมากคือการงดดื่มสุรา ผมสามารถงดมาได้ประมาณ 2 ปีครับ ใครชวนให้กิน แม้จะถูกต่อว่าผมก็อดทนมาตลอด แต่เมื่อวันนี้เอง ผมเป็นหัวหน้าฝ่าย และโดนคะยั้นคะยอให้รับประทาน และผมก็พลาดจนได้ (ดื่มไปครึ่งแก้ว โดยไม่มีจิตใจอยากดื่มแม้แต่นิดเดียว) ผมอาเจียนและพยายามเรียกสติ ดูจิตที่เศร้าหมอง เพราะเคยฝึกฝนมาบ้าง แต่รู้สึกผิดเหลือเกินครับ ผมจะดำรงตนอย่างไรในสังคมเช่นนี้ เพราะงานทางโลกเราก็ต้องทำ จดหมายนี้จุดประสงค์เพื่อการแจ้งความผิดที่ได้กระทำ และเพื่อไม่ให้อาจารย์ลำบาก

ขอรบกวนคำแนะนำสั้นๆ เท่านั้นครับ

ขอกราบขอความกรุณา

คำตอบ
     ไม่มีใจอยากดื่มสุรา แม้ดื่มเพียงน้อยนิดยังถือว่าผิดศีลข้อ ๕ ได้ ดื่มสุราแล้วอาเจียน เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการประพฤติทุศีล หากปรารถนาไม่อาเจียนต้องไม่ดื่มสุรา

  ผู้ตอบปัญหาไม่มีความลำบากใจที่ต้องเขียนบอกเหตุผลที่ถูกตรงตามความเป็นจริง
ผู้รู้ไม่คิดแทนคนอื่นครับ    … . ขออภัย
  

1981.
กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูงครับ

ผมมีข้อสงสัยคือ การมีศีล๕ในสังคมปัจจุบัน บางครั้งผมต้องใช้กุศโลบายเพื่อไม่ให้ผิดศีล โดยใช้เมื่อคิดว่าจำเป็นต้องใช้จริงๆ เช่น เหตุการณ์ในที่ทำงาน มีเพื่อนร่วมงานชอบให้ผมพูดโกหกคนอื่นแต่ผมไม่ยอมโกหก ก็เลยต้องใช้กุศโลบายคือ ถ้ามีคนโทรมาถามถึงเพื่อนร่วมงานคนนั้น เขาจะให้ผมโกหกว่าเขาไม่อยู่ที่ทำงาน แต่พอมีคนโทรมาหาแล้วถามว่าเพื่อนร่วมงานคนนั้นอยู่ไหม แทนที่ผมจะโกหกตอบว่าไม่อยู่ ผมก็ทำหลับตาแล้วหันไปทางอื่นตอบว่าตอนนี้ผมไม่เห็น ทั้งที่รู้ว่าเขาอยู่แต่ไม่ตอบไปตรงๆ อย่างนี้ถือว่าผมยังรักษาศีลไว้ดีอยู่หรือเปล่าครับ เพราะผมก็ไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานคนนั้นด้วย

อาจารย์ช่วยแนะนำแนวทางการใช้ชีวิตในที่ทำงานไม่ให้ผิดศีลด้วยครับผม

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

สราวุฒิ

คำตอบ
     ที่บอกเล่าไป (ตอนนี้ผมไม่เห็น) เป็นวจีกรรมที่ไม่ทุจริต จึงไม่ผิดศีลข้อมุสาวาท
  

1980.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

1. จากคำถาม 1962 ข้อที่ 4 บุคคลทีผ่านญาณ 12 จะไม่ไปเกิดในทุคติภูมิอีกเหมือนบุคนที่         บรรลุเป็นพระโสดาบันไช่ไหมคะ

2. จากคำถาม 1962 ข้อที่ 4 ดิฉันเป็นคนมีโทสะจริตเด่น ควรปฏิบัติตนเช่นไรในการปฏิบัติวิ       ปัสนากรรมฐาน จน บรรลุ เป็นพระโสดาบัน

3. ถ้าต้องการไปเกิดในสวรรค์ ต้องตั้งจิตอธิฐานและต้องประพฤติปฏิบัติตนเช่นไรคะ

4. ต้องตั้งจิตอธิฐานเช่นไร จึงจะได้พบและนับถือพระพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานทุกๆชาติไปจนกว่าจะบรรลุ มรรค ผล นิพพาน

ขอกราบขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมและให้ธรรมะเป็นทานแก่ดิฉัน

ขอแสดงความศรัทธาและนับถืออย่างสูงคะ
  เพชร์

คำตอบ
     (๑) ต้องผ่าน ญาณที่ ๑๓ (โคตรภูญาณ) จึงจะมีโอกาสพัฒนาจิตไปสู่ความเป็นอริยบุคคลขั้นต้นได้

     (๒) ผู้ใดปรารถนากำจัดโทสะให้หมดไป ผู้นั้นต้องให้อภัยเป็นทานในทุกเหตุที่ขัดใจ แล้วเมตตาจะเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมในดวงจิตเป็นเมตตาบารมี หรือใช้อย่างใดอย่างหนึ่งใน กสิณ ๑๐ มาบริกรรม หรือใช้อย่างใดอย่างหนึ่งใน อรูป ๔ มาบริกรรม จึงจะแก้ปัญหาเรื่องโทสะได้

     ส่วนบุคคลผู้ใดจะบรรลุอริยธรรมขั้นต้น (พระโสดาบัน) ได้ ต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วกำจัดสังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้แล้ว ความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาจึงจะเกิดขึ้น

     (๓) ต้องทำเหตุให้ถูกตรงสามอย่างคือ
       ก. สร้างมหาทาน
       ข . อธิษฐาน
       ค . ทำเหตุให้ตรง ด้วยการประพฤติ ทาน ศีล ภาวนา อยู่เสมอ

     (๔) ประพฤติเหตุให้ตรงตามข้อ (๓)
  

1979.
กราบเรียนถามอาจารย์ ดร. สนอง ค่ะ

   หนูมีน้องชาย ป่วยเป็นโรคจิตเภทค่ะ คือ หูแว่ว ได้ยินเสียงคนมาด่า ว่า บางทีก็ได้ยินว่า เป็นกระเทยบ้าง จนทำให้บางครั้ง เป็นคนก้าวร้าว โมโห คิดว่า เป็นพ่อ แม่ พี่น้อง และผู้อื่น ที่ตนได้ยินเป็นเสียงคนคนนั้นมาว่า แล้วจะหาเรื่อง   เป็นโรคนี้มาหลายปีแล้ว ตอนนี้รักษาตัวอยู่ ก็ยังไม่หาย เป็นมาหลายปี ชอบคิดฟุ้งซ่าน สวดมนต์ไม่ได้ เพราะจิตไม่คงที่ อ่านหนังสือก็ลำบาก เพราะไม่มีสมาธิ ทั้ง ๆ ที่น้องเป็นคนที่เรียนสูง

หนูขอถามว่า
1.  น้องชายเป็นโรคที่เกี่ยวกับกรรมเก่าของเค้าหรือไม่ และสามารถพัฒนาจิต รักษาได้หรือไม่   หรือสามารถตรวจกรรมเก่า เพื่อ เจริญภาวนาระบุเจ้ากรรมนายเวรได้หรือไม่
2.  หนูสวดมนต์ และอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ของน้อง แทนได้หรือไม่ค่ะ
3. อยากให้อาจารย์ชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติธรรมที่จะสามารถลดกรรมให้เจ้ากรรม นายเวรอโหสิ ต้องทำอย่างไร และหากเจ้าตัวไม่สามารถทำได้ เราในฐานะผู้เป็นพี่สาว จะสามารถปฏิบัติได้หรือไม่  

คำตอบ
    ผลของกรรมไม่ดีหากเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว ผู้นั้นย่อมเสวยอกุศลวิบากจนกว่าจะหมดสิ้น จิตจึงจะมีโอกาสสงบลงได้

     (๑) โรคกรรมที่เกิดจากทำกรรมไม่ดีไว้แต่อดีต หมอปัจจุบันย่อมบำบัดรักษาไม่หาย ดังนั้นผู้เสวยอกุศลวิบาก ไม่พึงประมาท สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ เจริญอานาปานสติทุกวันก่อนนอน เมื่อสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการดังกล่าวจะหมดไป นี่คือการประพฤติเหตุให้ถูกตรง

     อนึ่ง การไปอยากรู้กรรมเก่า มิได้เป็นเหตุให้อกุศลวิบากหมดไป แต่การประพฤติบุญใหญ่ แล้วอุทิศบุญใหญ่ให้เจ้ากรรมนายเวร โอกาสที่ปัญหาจะหมดไปย่อมเกิดขึ้นได้

     (๒) อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแทนน้องชาย ย่อมมีความเป็นไปได้ในกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรยอมรับ

     (๓) แนะนำแล้วในข้อ (๑) ผู้ใดไม่ทำเหตุให้ถูกตรงด้วยตัวเอง โอกาสแก้ปัญหาให้กับตัวเองย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นต้องศรัทธาในบุญกุศล ประพฤติเหตุให้มีบุญเกิดขึ้นให้ได้ก่อน แล้วจึงอุทิศบุญชดใช้หนี้เวรกรรมที่ตนได้สร้างขึ้น ผู้อื่นทำแทนยังไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับทำด้วยตัวเอง
  

1978.
ขอความเมตตาจาก อ. สนองค่ะ
 
1. ขณะที่สวดมนต์เกิดความง่วง แต่ก็ยังอยากสวดมนต์อยู่   ก็เลยฝืนสวดมนต์ต่อ แต่พอสวดไปใจเหมือนกับเคลิ้ม ๆ หลับ ทำให้เหมือนไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ แต่ปากก็ยังสวดมนต์ตลอดเพราะบทสวดท่องทุกวันก็เลยจำ แบบนี้จะได้บุญไหมค่ะ
2. สวดมนต์ นั่งสมาธิ มาหลายปีแล้ว แต่เหมือนไม่มีความคืบหน้า   เพราะยังฟุ้งซ่าน ง่วงนอน และจะมีนาน ๆ ครั้งที่รู้สึกว่าใจนิ่งสงบ   ควรจะทำยังไงดีค่ะ
 
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
     (๑) แม่ไก่ฟังพระสวดมนต์อยู่ในวัด ไม่รู้ความหมายของบทมนต์ เกิดเพียงสุภสัญญา ตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าอยู่ในดาวดึงส์ ดังนั้นการสวดมนต์โดยขาดสติ ก็ไม่ต่างไปจากไก่ฟังธรรม ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ได้ แต่ไม่สามารถเข้าถึงพรหมโลก หรือเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้

     (๒) ผู้ใดทำเหตุได้ถูกตรง คือมีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจ แล้วหันมาปฏิบัติธรรม (สมถภาวนา) จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย และหันมาปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา จิตย่อมเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ง่ายเช่นกัน
  

1977.
ถามข้อสงสัย

ดิฉันมีข้อสงสัยขอถามท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ดังนี้  
เมื่อดิฉันนั่งสมาธิ ๆ เข้าแล้วมันเจ็บที่ข้อเท้าอย่างมากเหมือนที่ท่านเคยเล่าให้ฟังเจ็บจนน้ำตาไหล (ดิฉันได้ฟัง/ดูธรรมมะของท่านทางอินเตอร์เนต)
ดิฉันนั่งสมาธิตั้งแต่ สามทุ่มจนถึงตีสองครึ่ง รู้สึกเจ็บปวดและเหนื่อยมาก สุดท้ายไม่ได้อะไรเพราะดิฉันต้องออกจากสมาธิเฉย ๆ เพราะกลัวไปทำงานไม่ได้  
  
    ขอถามท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ว่า ดิฉันจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะผ่านขั้นนี้ไปได้ (ฝึกเองอยู่ที่บ้านในห้องพระ)

คำตอบ
     ผู้มีกำลังสติยังไม่กล้าแข็ง ไม่สามารถก้าวข้ามทุกขเวทนา (ปวดขาหรือเจ็บข้อเท้า) ได้ ดังนั้นต้องเปลี่ยนอิริยาบถ จากนั่งบริกรรมไปเป็นเดินจงกรม ทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตมีสติและปัญญามากขึ้น เมื่อใด โอกาสเห็นทุกขเวทนาดับไปตามกฎไตรลักษณ์ย่อมเกิดขึ้น แล้วอาการปวดที่ข้อเท้าก็จะปลาสนาการไปสิ้นเชิง
  

1976.
กราบเท้่าบูชา อ.สนอง วรอุไร ด้วยความเคารพ

    ลูกได้ฟังธรรม และปฏิบัติธรรมตามที่ท่านอาจารย์ได้เมตตา กรุณา แนะนำ สั่งสอนตามเว็บธรรมมะมานานพอสมควร แต่ก็ยังไม่มีความก้าวหน้า แต่ลูกก็จะไม่ย่อท้อตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกจะเพียรพยายามทำให้ดีที่สุด ถ้าลูกปรารถนาจะรับธรรมจากท่านอาจารย์อีกในชาติหน้า ลูกเพียรทำ กาย วาจา ใจ ให้มีความสุจริต ทุกขณะตื่น เร่งปฏิบัติให้มากหลังจากการทำมหาทานใส่บาตรครบ 7 วันแล้ว เพียงพอหรือไม่คะ

   สุดท้ายนี้หากลูกมีจิตคิดปรามาสท่านอาจารย์ไม่ว่าภพชาติใดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ที่ระลึกได้หรือระลึกไม่ได้ก็ตาม ขอท่านอาจารย์ได้โปรดงดโทษอโหสิกรรมให้ลูกด้วยเทอญ

   กราบเท้าบูชาอาจารย์ สนอง วรอุไรด้วยความเคารพ
      ทัธนา

คำตอบ
     สิ่งที่บอกเล่าไปยังทำเหตุไม่ถูกตรงต้องปรับแก้ไขใหม่ ด้วยการประพฤติตนให้มี ศีล สมาธิ ปัญญา คือต้องเอาศีลคุมใจให้ได้ก่อน แล้วนำตัวเองปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ และปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นกับจิต ผู้ใดประพฤติเหตุทั้งสามได้ถูกตรงแล้ว โอกาสพบกันชาติหน้าจึงจะเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้เพราะผู้ตอบปัญหา มีสัจจอธิษฐานไปช่วยเพื่อน (เทวดา, พรหม) ให้มีจิตเป็นอิสระจากความโลภ ความโกรธ และความหลง สุดท้าย อโหสิกรรมให้แล้ว
  

1975.
กราบเรียนอ.ดร.สนอง วรอุไรที่เคราพอย่างสูงค่ะ

   หนูเคยถามปัญหาอาจารย์เมื่อนำไปปฏิบัติตามได้ผลดีมากขึ้น กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ   วันนี้หนูรบกวนเรียนถามปัญหาธรรมดังนี้ค่ะ

     1. หนูปฏิบัติแนวพองยุบ ดูกาย เวทนา จิต ธรรม มาประมาณเกือบ 2 ปี เพราะเหตุใดเมื่อเราปฏิบัติไปรู้สึกเหมือนจะมีแต่สิ่งไม่ดีเข้ามา เมื่อทำผิดไปไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจแม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เราต้องชดใช้กรรมนั้นทันที เร็วมากๆเหมือนมีคนมาคอยดูคอยคุมหนูอยู่ เหมือนเขาจะมาคอยลงโทษ ทำให้หนูรู้สึกกลัวขึ้นมาเฉยๆ เช่น เพื่อนร่วมงานที่เราไม่ชอบเขามาทำงานสาย เรานึกปรามาสและสมน้ำหน้าเขา วันต่อมาหนูเองก็ตื่นสายและมาทำงานสายโดยไม่ตั้งใจ ; เพื่อนที่เราไม่ชอบ ท้องเสีย เรามีจิตคิดไม่ดีกับเขา วันต่อมาหนูเองก็ท้องเสีย ; มีคนนำยานวดแก้ปวดเมื่อยมาให้หนู ตอบแทนที่หนูช่วยดูแลญาติของเขาจนหายป่่วย หนูเหม็นไม่ชอบยานวดนั้น และได้เผลอสตินินทาให้ผู้อื่นฟัง วันต่อมาหนูก็ปวดข้อมือ   ปวดขึ้นมาเองเฉยๆไม่มีเหตุอะไรที่จะทำให้ปวดได้เลย ปวดอยู่ 1 วัน แล้วก็หายปวดไปเองเฉยๆ เกิดจากหนูฟุ้งซ่านไปเองหรือเพราะเหตุใดค่ะ

     2. ในช่วงปฏิบัติธรรมอยู่หนูอธิฐานว่าขอให้พบเจอแต่กัลยาณมิตรที่ดี ขอให้ศัตรูอย่ามาทำร้าย เบียดเบียน เอาเปรียบ หลังกลับออกมาทำงานตามปกติ ศัตรูคนที่ไม่ชอบหน้ากัน เขาจะมาดีมาช่วยเหลือเรา อันนี้หนูเข้าใจได้ว่าอาจเกิดจากบุญที่ทำ และหนูเองเลิกคิดเบียดเบียนเขา อภัยให้เขา แต่ว่ากับคนที่เคยคุยถูกคอเคยดีกับเราหลายๆคน เขากับเปลี่ยนไปเหมือนจะมาคอยหาเรื่อง รังแก เบียดเบียน หนูได้พิจารณาตนเองแล้วก็ไม่ทราบว่าเราได้ทำสิ่งใดที่ไม่ดีกับเขาไป ในกรณีควรทำใจเช่นไร ปล่อยไปเรื่อยๆเลยจะดีไหมค่ะ คิดว่าทุกอย่างไม่แน่นอน อย่างนี้คิดถูกไหมค่ะ

     3. ในช่วงเข้าปฏิบัติธรรมกำหนดงดพูด แต่มีเพื่อนโยคีพยายามจะมาพูดคุยกับหนู โดยที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน เขามาทักว่าหนูปฏิบัติผิด เกร็งและเครียดเกินไป และอ้างคำสอนของครูอาจารย์ต่างๆมาว่าให้หนูฟัง หนูพยายามกำหนดรู้ทุกอย่างและตั้งใจจะไม่สนใจคำพูดนั้น   แต่ก็ทำไม่ได้เพราะหลังจากนั้น หนูฟุ้งซ่านตลอด กำหนดไม่ดี เดินไม่ดี นั่งก็ไม่ดี ขณะนั่งสมาธิอยู่นั้นฟุ้งมาก และรู้สึกว่าไม่อยากคิดแล้วอยากอยู่สบายเฉยๆ สักพักเหมือนตัวเองลอยไปนอนอยู่ที่ๆหนึ่งสบายมากๆ เหมือนจิตเห็นร่างตัวเองนอนอยู่แต่ไม่รับรู้อะไรๆอื่น เรียนถามว่าอาการอย่างนี้คืออะไร และจะแก้ไขอย่างไร

     4. ในช่วงหลังๆมานี้หนูทำงานและใช้ชีวิตตามปกติได้เรียบง่ายและสงบมากขึ้น  กำหนดรู้กายใจได้มากขึ้น แต่เหมือนจะมีความหงุดหงิดใจ ฟุ้งซ่านสลับมาเป็นพักๆ จนเหมือนตัวเองผิดปกติทางจิตหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะมันสลับกันไปมาทั้งวัน คุ้มดีคุ้มร้ายตลอด แต่ถ้ารู้ทันก็เหมือนจะมีความสงบในจิตอีกอันกันไว้ไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป ปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ค่ะ แต่หนูรู้สึกอึดอัดในใจมากๆเลย เหมือนอยากระเบิดเหมือน อยากร้องไห้บ่อยมากแต่ร้องไม่ออก ออกแนวเศร้าและหดหู่มาก จะเล่าให้ใครฟังเขาก็ไม่เข้าใจ ไม่กล้าเล่าให้คนใกล้ชิดฟังมากเพราะเขาจะห้ามหนูไปปฏิบัตธรรม และเขาจะมองว่าเราบ้า รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยนะค่ะ

     5. มีลูกน้องที่ทำงาน(แต่อายุมากกว่าหนู 20 กว่าปี) เขาปฏิบัติสมถ ความคิดเห็นทางธรรมไม่ค่อยตรงกัน เขาก็มาทักว่าสีหน้าหนูเศร้าหมอง หนูย่อหย่อนต่อการปฏิบัติ ซึ่งหนูพิจราณาดูแล้ว ขณะนั้นหนูกำลังรู้สึกดี จิตใจเบิกบานและสงบในสมาธิ   เรียนถามว่าเราพิจราณาว่าเขาเป็นมารได้หรือไม่ เราควรนำตัวออกห่างไม่คบหาพูดคุยธรรมกับคนแบบนี้หรือไม่ มีวิธีใดจะไม่กระทบต่อการทำงานประจำที่ต้องติดต่อกันอยู่บ่อยๆ

         กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     (๑) ผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้ผลถูกตรงตามธรรม บุญใหญ่ย่อมเกิดขึ้น เมื่อจิตเริ่มบริสุทธิ์แล้ว ผลแห่งการทำกรรมไม่ดี ย่อมแสดงได้เด่นชัดขึ้นกว่าตอนที่จิตยังมีกิเลสหนา ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงแท้ จึงไม่ประมาทในการทำกรรม และต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกวันหลังจากปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ

    อนึ่ง คนที่มีธรรมะคุ้มครองใจ ย่อมไม่ประพฤติปรามาสต่อสรรพสัตว์ ทั้งนี้เพราะเมื่อประพฤติไม่ดีแล้ว อกุศลวิบากย่อมเกิดขึ้นเร็วและแรง ให้ผู้ทำกรรมต้องเสวย ดังที่ผู้ถามปัญหาได้เข้าถึงประสบการณ์ตรงด้วยตัวเองว่า กฎแห่งกรรมมีจริง และให้ผลถูกตรงกับเหตุ สาธุที่เข้าถึงความจริงในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

     (๒) ตามกฎแห่งกรรม ผู้ประพฤติเหตุดีย่อมได้รับผลดี ผู้ประพฤติเหตุไม่ดีย่อมได้รับผลไม่ดี ดังนั้นคำว่า “อาจจะ” จึงไม่มีในพุทธศาสนา ผู้รู้จริงไม่หวั่นไหว เมื่อถูกผู้อื่นสัตว์อื่นเบียดเบียน เพราะการถูกเบียดเบียน ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี เมตตาบารมี ปัญญาบารมี ฯลฯ และผู้มีธรรมะคุ้มครองใจ ย่อมไม่ประพฤติเบียดเบียนผู้อื่น ให้มีบาปเกิดขึ้น

     ผู้ถามปัญหา เลิกคิดเบียดเบียนผู้อื่น และให้อภัยผู้อื่นเมื่อตนเองถูกเบียดเบียน นั้นเป็นการประพฤติชอบแล้ว จงประพฤติต่อไป และทำให้ได้ทุกเรื่องที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น แล้วบารมีย่อมเจริญงอกงามได้ในวันข้างหน้า

     (๓) ผลแห่งการปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นที่ใจ พระพุทธโคดมจึงสอนให้พุทธศาสนิกเข้ามาดูที่ใจตนเอง หากส่งจิตไปดูข้างนอก ผลผิดพลาดคือ อุปสรรคและปัญหาย่อมเกิดขึ้น ตรงกันข้าม ผลแห่งการเข้าถึงธรรม ย่อมทำให้จิตเป็นอิสระ และเกิดปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่เข้ากระทบจิต จงดำเนินต่อไป จงเอาคำพูดของคนมาเป็นครูสอนใจ หากปล่อยให้คำพูดที่ได้ยิน ผ่านเลยไปโดยไม่ได้พิจารณา โมหะย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นทุกคำพูดที่เข้ากระทบจิต ต้องมีสติรับทัน และใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณา หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นต้องแก้ไข ตรงกันข้าม เมื่อปฏิบัติได้ถูกตรงตามธรรมแล้ว จงดำเนินต่อไป พร้อมกับขอบคุณผู้ที่ทำให้เราได้เห็นตัวเอง

     ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ต้องปรับแก้ไขที่ใจของตนเอง โดยเอาศีลมาคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วเจริญความเพียร โดยมีอิทธิบาท ๔ เป็นแรงสนับสนุน เช่นเดียวกัน หากมีปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไข เช่นเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ การเห็นตัวเองมิได้ทำให้พ้นทุกข์ ต้องกำจัดการเห็นผิดให้หมดไปด้วย การกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนการเห็นดับไป แล้วให้ดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

     (๔) ทำงานแล้วสบายใจไม่เครียด เหตุเป็นเพราะใช้ใจที่มีสติสัมปชัญญะทำงานนั้นเอง คนที่มีสติปัญญากล้าแข็ง จะไม่เกิดอาการคุ้มดีคุ้มร้าย (ผีเข้า) หากไม่ปรารถนามีพฤติกรรมเช่นนี้ ต้องเจริญพละ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) อยู่เสมอจนกระทั่งจิตมีกำลังต้านทานมารได้แล้ว จะไม่เกิดอาการผีเข้าอีกต่อไป

     (๕) การปฏิบัติสมถกรรมฐานเพียงอย่างเดียว ย่อมเกิดความเห็นผิดขึ้นได้ จึงมีพฤติกรรมที่ผิดพลาดได้ จงเอาผู้เห็นผิดเป็นครูสอนใจตัวเองว่า หากเราไม่ประพฤติเช่นเขา เราก็จะไม่เป็นเช่นเขา

     อนึ่ง คำว่า “มาร” หมายถึง สิ่งที่เข้ามาขัดขวางการทำความดีของบุคคล ในพุทธศาสนามีมารอยู่ ๕ ประเภท ได้แก่ ร่างกายเป็นมาร (ขันธมาร) กิเลสเป็นมาร (กิเลสมาร) การปรุงแต่งอารมณ์ของจิตเป็นมาร (อภิสังขารมาร) เทวดาเป็นมาร (เทวปุตตมาร) และความตายเป็นมาร (มัจจุมาร)

     มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงไม่ปฏิเสธการมีเพื่อน แต่ผู้รู้เอาเพื่อนดี (กัลยาณมิตร) ไว้ใกล้ตัว เอาเพื่อนไม่ดี (ปาปมิตร) ไว้ห่างตัว แล้วปัญหาเรื่องเพื่อนย่อมเข้าไม่ถึงตัว
  

1974.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ดร. สนอง วรอุไร

ลูกขอเรียนสอบถาม ในการลงเวลามาทำงานราชการ ปกติหนูจะมาถึงประมาณ 8 โมง แต่ลงเวลาในเอกสารทางราชการไม่ตรงกับเวลาจริงๆที่หนูมา (เช่น ลงเวลาในเอกสาร 07.20,07.45 เป็นต้น) ที่หนูต้องลงเวลาเช่นนี้ เพราะต้องเผื่อสำหรับ เพื่อนในที่ทำงานที่ยังไม่มา ซึ่งเกือบจะทุกคนที่ยังไม่มา (ประมาณ 10-12คนที่ยังไม่มา)ถ้าลงตามความเป็นจริงก็จะถูกต่อว่าได้ โดยปกติ หนูจะมาทำงานเป็นลำดับที่ 2หรือ 3

คำถาม ถ้าหนูลงเวลาในเอกสารแต่ไม่ตรงกับเวลาจริงๆที่เรามา จะผิดศีล ผิดธรรมไหมคะ ถ้าผิด ผิดข้อใดบ้าง เพราะทุกวันนี้หนูตั้งใจถือศีลให้ครบทุกข้อ ไม่อยากให้ขาด ไม่อยากให้ด่างไม่อยากให้พร้อย แม้เพียงข้อเดียวก็ไม่ต้องการ ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะด้วยคะ

กราบแทบเท้าท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
     ผิดธรรมที่ไม่มีความซื่อสัตย์ คือ ทำไม่ถูกตรงกับความเป็นจริง เป็นผู้ครองเรือนที่ไม่มีคุณธรรมในเรื่องนี้ ไม่มีความแน่วแน่ในการดำเนินชีวิต สุดท้ายปฏิบัติธรรมแล้วเข้าไม่ถึงธรรม
  

1973.
กราบเรียนถามท่านดร.สนอง วรอุไร

กราบเรียนถามเรื่องคุณแม่ ทำอย่างไรให้ท่านหันมาสนใจเรื่องการสวดมนต์หรือฟังธรรมะตอนนี้ท่านฟังแต่ astv ที่พูดว่ากันไปว่ากันมา ท่านอายุ 75ปีแล้ว เป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคไตวายระยะสุดท้ายที่ต้องไปฟอกเลือดสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ท่านคงเครียดกับโรคที่ท่านเป็นอยู่แล้ว แต่ท่านก็ยังมาฟังเรื่องที่เครียดๆอีก จิตใจท่านคงได้รับแต่เรื่องเครียดตลอด เคยพยายามนำธรรมะมาให้ท่านฟังแต่ดูท่านไม่ค่อยจะสนใจเท่าไร ชวนท่านสวดมนต์ท่านก็บอกว่าปวดเข่านั่งกราบพระไม่ได้ เคยเล่าเรื่องที่ท่านดร. สนองบรรยายเรื่องที่ครูบาดวงดี ให้คุณยายที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่จะอยู่ได้ 5 เดือน หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธแล้วสามารถอยู่ได้ถึง 5 ปี เล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง ท่านก็ยิ้มๆแล้วก็เฉยๆ เรียนถามอาจารย์ว่าควรหาอุบายอย่างไรดีให้ใจท่านสงบเย็นได้บ้าง หรือว่าเราควรจะวางใจอย่างไรดีคะ

คำตอบ
     กมฺมุหา วตฺตตีโลโก แปลว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม แม่มีมิจฉาทิฏฐิ เอาเรื่องไม่ดีของคนอื่นมามีอำนาจเหนือใจตน บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง แม่จะนำพาชีวิตไปทางใดก็เป็นเรื่องของแม่ แม่ใช้ปัญญาเห็นผิดนำทางชีวิตไปสู่ความวิบัติ หากผู้ถามปัญหามีความเห็นถูก ต้องเอาแม่เป็นครูสอนใจ ว่าจะไม่ประพฤติเช่นแม่ แล้วจะไม่วิบัติเช่นแม่

     ส่วนการคิดช่วยเหลือแม่เป็นเรื่องดี แต่หากแม่ยังไม่ศรัทธาในกุศลธรรม ต้องปล่อยแม่ไปตามกรรมของแม่ ดังที่พระพุทธโคดมปล่อยวางพระเทวทัต หรือปล่อยวางพระเจ้าสุปปพุทธะ ผู้เห็นผิดในการนำพาชีวิตไปสู่การเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก
  

1972.
ขอความเมตตาจาก อ. สนองค่ะ

คนที่เค้าเบียดเบียนเรา แทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจากการกระทำ ทั้งทางกาย วาจา   เราจะทำอย่างไรกับเค้าดีค่ะ ทั้งสวดมนต์ ทำบุญเค้าก้อยังคอยเหน็บแนม ทุกครั้งที่มีโอกาส   แต่ก็ยังไม่เว้นเลย เราควรทำอย่างไรดีค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
      หากเขาเบียดเบียนเราไม่เลิก ผู้รู้จริงย่อมไม่เลิกให้อภัยเป็นทาน แล้วความเมตตาย่อมเกิดขึ้น และถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิต เป็นเมตตาบารมี ผู้มีเมตตามีอารมณ์สงบและเย็น ผู้รู้จริงจึงไม่ปฏิเสธว่า ผู้ประพฤติเบียดเบียนมีอุปการคุณ ทำให้เราได้สร้างบารมียังไงล่ะ
  

1971.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ผมมีปัญหาการใช้ชีวิตจะมาเรียนปรึกษาครับ

ผมเป็นสัตวแพทย์มีห่วงผูกคอ ผูกแขนแล้ว บุตรอายุ 4 ขวบ เปิดคลีนิกรักษาสัตว์ที่สมุทรปราการ รับสัตว์ป่วยไว้รักษาในคลีนิกด้วย ขนาดคลีนิกของผมไม่ได้ใหญ่มากพอที่จะจ้างหมอคนอื่นมาช่วยงาน ผมเป็นหมอคนเดียว เปิดคลีนิกวันละ 12 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เวลาทำงานกับเวลาพักผ่อนปนอยู่ด้วยกันเพราะไม่ได้มีสัตว์เข้ามารักษาตลอดเวลา บ้านกับที่ทำงานเป็นที่เดียวกัน เพราะผมเป็นหนี้ซื้ออาคารพาณิชย์ราคาประมาณ 8 ล้านบาท ใช้ทั้งเป็นบ้านและที่ทำงาน (ชั้นบนเป็นบ้าน ชั้นล่างเป็นที่ทำงาน) ผมมีวันหยุดประจำไม่ได้เพราะมีสัตว์ป่วยพักข้างในที่ต้องคอยดูแล จึงหาเวลาหยุดที่ลงตัวยาก ปีหนึ่งๆ ผมพอจะจัดหาวันหยุดไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด (นครศรีธรรมราช) ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 - 3 วัน มีเวลาไปเยี่ยมพ่อตา แม่ยายที่อ่างทองเล็กน้อยปีละ 1 - 2 ครั้ง ครั้งละ 1 วัน มีเวลาพาครอบครัวไปท่องเที่ยวปีละ 1 - 2 ครั้ง ครั้งละ 2 - 4 วัน วันปกติมีเวลาไปรับ-ส่ง ลูกที่โรงเรียน (ช่วยกันกับภรรยา แล้วแต่ใครจะว่าง) มีเวลาเล่นกับลูกที่บ้าน มีเวลาสอนการบ้านลูก ทำกับข้าวให้ลูก

ส่วนตัวของผมมีความสุขดีกับชีวิตปัจจุบัน ได้ทำงาน ได้อยู่กับบ้าน และอยู่กับครอบครัวที่บ้าน มีเวลาปฏิบัติธรรมบ้าง

ภรรยาของผมทำงานอิสระ ขายสินค้าประเภทอาหารเสริม เครื่องสำอาง ได้ติดต่อผู้คนหลากหลาย เดินทางไปต่างจังหวัดบ้างเพื่อติดต่อตัวแทนขายสินค้า เขามีเวลาที่อิสระมากกว่าผม

ปัญหาของผมคือ ตอนนี้ภรรยาของผมมักจะบ่นว่าผมไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาให้แต่งาน ไม่มีเวลาไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขา ไม่มีเวลาพาเขาไปเที่ยว ผมจึงมีปัญหาทุกข์ใจบ้างก็เวลาที่ภรรยาบ่นเรื่องเขาน้อยใจที่ไม่มีข้างนอกบ้านให้เขา (ซึ่งช่วงหลังก็บ่อยขึ้น)

ด้วยเรื่องข้างต้นที่เล่ามา ผมจึงขอความเมตตาจากอาจารย์ช่วยให้แนวคิด ข้อคิดในการปรับความสมดุลในการดำเนินชีวิตของผมด้วยครับ   และเผื่อภรรยาผมด้วย เพราะผมจะได้แนะนำให้เขาอ่านด้วย (ตอนนี้ผมได้อ่านบทบาทของชีวิตในหนังสือ ทำชีวิตให้ดีและมีสุขแล้ว)

จึงขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
     พระพุทธโคดมตรัสสอนฆราวาสให้หาความสุขจากกาม ด้วยการประพฤติกามโภคีสุขดังนี้
      ๑. สุขจากการมีทรัพย์
      ๒. สุขจากการใช้จ่ายทรัพย์
      ๓. สุขจากการไม่เป็นหนี้
      ๔. สุขจากการทำงานไม่มีโทษ

     และยังได้สอนฆราวาสที่มีครอบครัวให้ประพฤติ สมชีวิธรรม ๔ ดังนี้
      ๑. มีศรัทธาเสมอกันหรือใกล้เคียงกัน
      ๒. มีศีลเสมอกันฯ
      ๓. มีจาคะเสมอกันฯ
      ๔ . มีปัญญาเสมอกันฯ

     ดังนั้น ผู้ใดเวลาจิตแสวงหากามสุขให้เหมาะสม ความสุขในชีวิตนี้จึงจะเกิดขึ้น
  

1970.
เรียน อาจารย์สนอง วรอุไร
   
     ก่อนหน้านี้ ไม่เคยคิดหรือสนใจที่จะปฎิบัติธรรมเลย และคิดเสมอว่า เรื่องธรรมะ เป็นกลอุบายที่ สอนให้คนในสังคมอยู่กันอย่างสงบสุข และไม่เคยคิดที่จะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิเลย และคิดเสมอว่าใครที่นั่งสมาธิ เป็นคนเชยๆ... จนกระทั่งมีความทุกข์เข้ามาในชีวิต จิตตก จิตใจว้าวุ่น ผิดหวังเพราะสิ่งที่หวังไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ และหาคำตอบไม่ได้ ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น   จึงเปิดใจ สนใจศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง เริ่มจากการอยากให้ทุกข์นั้นหายไป ด้วยการเริ่มสวดมนต์ ถัดมาจึงลองนั่งสมาธิ แบบไม่มีครู นั่งตามที่ผมได้เคยรู้ จากการได้ยินได้ฟังได้อ่านมาจากหนังสือธรรมะ ผมเริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ พุทธ โธ และมีคำถามอยากจะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

1. ในการนั่งสมาธิในครั้งแรกของผม พอนั่งไปได้สักพัก(ไม่ถึง 10 นาที) จิตเริ่มนิ่งและอยู่ๆ มันก็รู้สึก รู้ขึ้นมาเองว่า สิ่งที่เรานั่งอยู่นี้มันเป็นเพียงร่างที่ตั้งอยู่ แต่ใจเรากับร่างนี้มันเป็นคนละส่วนกัน (ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากายกับใจ มันคนละส่วนกัน) แล้วก็เหมือนมันสว่างโพล่งไปหมด ผมรู้สึกตกใจและคิดกลัวไปเองว่า   จิตกำลังจะออกจากร่าง จึงลืมตาและหยุดนั่ง อยากถามอาจารย์ว่าเหตุการณ์นี้คืออะไรครับ แล้วทำไมผมถึงเข้าใจมันได้ทั้งๆที่เป็นการนั่งในครั้งแรกหรือว่าผมอุปาทานไปเองครับ เป็นเพราะของเก่าหรือเปล่าครับ

2. หลังจากการนั่งสมาธิในครั้งแรกผมก็เพียรนั่งสมาธิ และสวดมนต์เรื่อยมา รวมถึงพยายามที่จะรักษาศีลให้ครบ 5 ข้อ ซึ่งก็ทำได้ยากโดยเฉพาะศีลข้อ 4 ยิ่งมาหาข้อมูลจากอาจารย์ที่อาจารย์บอกว่าศีล ที่สมบูรณ์ ต้องลงคลุมถึงใจ ยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับว่าเรายังรักษาศีลได้ไม่ดีเลย แต่ในการนั่งสมาธิ ก็เริ่มเพิ่มเวลาในการนั่งมากขึ้นในแต่ละวัน จากครั้งละ 15-20 นาทีก็เริ่มเพิ่มขึ้นเป็น 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าวันไหนรู้สึกว่า ทุกข์ ก็จะนั่งสมาธิให้มากขึ้น เพราะเข้าใจว่า การนั่งสมาธิเป็นการปฎิบัติธรรม ซึ่งเป็นบุญใหญ่ จึงอยากให้บุญใหญ่ส่งผล เพื่อให้กรรมดีเร่งให้ผลแซงกรรมไม่ดี อยากถามอาจารย์ว่าผมคิดแบบนี้เข้าใจถูกไม๊ครับ
 
3. ผมเริ่มนั่งสมาธิมาเรื่อยๆ เป็นเวลาประมาณ 3-4 ปีแล้ว บางวันก็ฟุ้ง บางวันก็ง่วง บางวันก็นั่งได้ดีจิตนิ่ง หลายครั้งที่นั่งแล้วรู้สึกว่าจิต มันดิ่งลึกสงบมาก อยากถามอาจารย์ว่าเมื่อเรารู้สึกแบบนั้น ว่าจิตนิ่งสงบให้เราตามดูความสงบนั้น หรือว่าให้เรารีบดึงจิตกลับมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจแทนครับ

4. ในการนั่งสมาธินั้น ถ้าหากว่าผมไม่ใช้คำบริกรรม ว่าพุทธ-โธ แต่ผมใช้ดูลมที่เข้าออกจากรูจมูกและคิดพิจารณาว่า ที่เราสูดลมเข้าเป็นปัจจุบันขณะ สูดลมออกก็เป็นปัจจุบันขณะ (ที่นี่-เดี๋ยวนี้) แบบนี้ได้ไม๊ครับ
 
5. ผมรู้ตัวเองดีว่า ในข้อ โมหะหรือความหลงนั้น ผมยังหลงในรูปอยู่มาก และอาจารย์เคยบอกว่าใครที่หลงในรูป ให้ใช้เพ่งอสุภะ ผมจึงนำเอารูปศพ ที่อาจารย์บอก คือ ศพเน่า มีหนอน เหลือแต่กระดูก มาดู และจดจำภาพนั้น ในขณะที่นั่งสมาธิ ก็นึกถึงแต่ภาพศพ เหล่านั้น และคิดพิจารณาว่า ร่างกายนี้ไม่ได้สวยงามวันใดวันหนึ่งมันต้องเป็นแบบนี้กันทุกคน วิธีการแบบนี้ถูกต้องหรือเปล่าครับ อยากให้อาจารย์ช่วยชี้แนะครับ

6. ในการเพ่งอสุภะ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งแล้วอยู่ๆ จิต มันก็คิดไปถึงกระดูกของตัวเองคิดไปว่ากระ ดูกมันอยู่ในเนื้อของเรา ที่มีแต่น้ำเลือด เส้นเลือด เนื้อก็เป็นเนื้อสดๆ ไม่ได้สวยงามอะไร สภาวะแบบนี้ผมอุปาทานไปเองหรือเปล่าครับ  
 
7. การที่ผม อายุก็พอสมควรแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งๆที่ก็มีความพร้อมในหลายๆด้าน มีคนมาชอบแต่เราก็รู้สึกว่าเราไม่ชอบเขา ส่วนคนที่เราไปชอบ ไปหลง เขาก็ไม่ชอบเรา ถ้าหากว่าผมไม่ได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหมครับ (ถ้าหากอาจารย์เห็นว่าคำถามนี้เป็นเรื่องทางโลกอาจารย์ไม่สะดวกใจตอบก็ไม่เป็นไรครับ)
 
8. เนื่องจากผมไม่มีคู่ แต่ยังมีความต้องการทางเพศ หลายครั้งที่คิดจะช่วยตัวเอง แต่เคยได้รู้มาว่า การที่เราช่วยตัวเองนี่เป็นบาป ใช่ไม๊ครับ

9. ทุกครั้งที่เกิดอารมณ์ทางเพศ ผมจะรีบเปลี่ยนความคิด ให้จิตที่มันหลง ไปหางานอย่างอื่นให้จิตทำแทนจะได้ไม่หมกมุ่น คิดแบบนี้ถูกไม๊ครับหรือว่าผิดวิสัยของผู้ชายที่ไม่ช่วยตัวเอง บางครั้งผมก็คิดว่าการที่เราช่วยตัวเองมันก็คือการหลอกตัวเอง ด้วยการจินตนาการไปถึงภาพนั้นๆ ทำให้กิเลสมันฟุ้ง ซึ่งมันดูน่าละอายที่เราต้องช่วยตัวเอง ผมคิดเหมือนคนอื่นเขาหรือไม่ครับ  
 
10. เคยได้ยินอาจารย์บอกว่า เราควรจะนั่งสมาธิก่อนนอน แต่ผมเลิกงานดึกและต้องตื่นเช้า และบางทีการนั่งก่อนนอน มันทำให้ผมรู้สึกง่วงนอนง่ายทำสมาธิได้ไม่นาน ถ้าหากว่า ผมนั่งสมาธิตอนกลางวันแทน(ไม่ได้นั่งในเวลางาน) ซึ่งรู้สึกว่าไม่ค่อยง่วงนอนจะได้ไม๊ครับ และจะมีผลดีกว่านั่งก่อนนอนไม๊ครับ หรือว่านั่งก่อนนอนแบบเดิมดีแล้ว
 
11. อยากจะขอความรู้เรื่องคำว่าเวรกรรม คำว่าเวรกรรม นั่นหมายความว่า หาก นาย A เคยไปทำร้ายนาย B จนเสียชีวิต และเมื่อกรรมให้ผล นาย A จะต้องรับผลกรรมนั้น จากนาย B หรือว่าจากคนอื่นๆที่ไม่ใช่นาย B รึเปล่าครับ

12. คนที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุนั้น เป็นการเสียชีวิตเพราะสิ้นอายุขัย หรือว่าเพราะ ถึงเวลาที่กรรมไม่ดีให้ผล หรือว่าเป็นได้ทั้ง 2 กรณีครับ
 
13. หากเราไปเกิดเป็นเทวดา หรือพรหม เราจะสามารถรู้ได้ไม๊ครับว่าเราสร้างเหตุอะไรไว้เราถึงได้ มาเกิดในภพภูมิเทวดา หรือพรหม และเราจะสามารถรู้ได้ไม๊ครับว่าชาติก่อนที่เราจะมาเป็น เทวดา หรือพรหม เราเกิดในภพภูมิไหนมาก่อน
 
  หากคำถามใดได้ล่วงเกิน อาจารย์สนอง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขออาจารย์สนองได้โปรด อโหสิกรรมให้กระผมด้วยครับ

คำตอบ
     ปฏาจารามีความทุกข์ใจด้วยเหตุแห่งการพลัดพรากจากญาติอันเป็นที่รัก อัมพปาลีมีความทุกข์ใจเกิดขึ้นด้วยเหตุแห่งการระลึกถึงอาชีพโสเภณี (มิจฉาอาชีวะ) ว่าเป็นเหตุนำสู่การเกิดเป็นสัตว์นรก อิสิทาสีมีความทุกข์ใจเกิดขึ้นด้วยเหตุถูกสามีถึง ๓ คน ปฏิเสธที่จะอยู่ร่วม ฯลฯ บุคคลเหล่านี้หันมาปฏิบัติธรรม จนเป็นพระอรหันต์ พ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวงได้

     (๑) เหตุการณ์ที่บอกเล่าไป คือ ปัญญาเห็นแจ้ง หรือเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ ได้เกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา และเป็นผลอันเนื่องมาจากบุญบารมีเก่าที่สั่งสมมาแต่อดีตชาติ

     (๒) เข้าใจถูกแล้วครับ

     (๓) ให้ใช้จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ ตามดูความสงบของจิตว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือเห็นว่าความสงบเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความสงบเป็นภาวะที่คงทนอยู่มิได้ (ทุกขัง) และความสงบเป็นสิ่งมิใช่ตัวมิใช่ตน (อนัตตา) เมื่อใดจิตรู้ เห็น เข้าใจได้ถูกตรงตามนี้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งในความสงบย่อมเกิดขึ้น แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่การกำหนดเดิมที่ทำอยู่

     (๔) ได้ครับ

     (๕) ถูกต้องแล้ว และต้องดูบ่อยๆจนจิตเข้าถึงสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธ ) แล้วจึงนำจิตไปตามดูผัสสะที่เกิดขึ้นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์

     (๖) มิใช่อุปาทาน แต่เป็นการเห็นตรงตามความเป็นจริงแท้ของร่างกาย ด้วยจิต

     (๗) การมิได้มีชีวิตคู่ เป็นเรื่องของสภาวธรรมในดวงจิต ยกตัวอย่าง ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) และกาปิลานี (ภัททา กาปิลานี) ถูกพ่อแม่จับแต่งงานกัน แต่ทั้งสองมิได้ข้องเกี่ยวกันฉันท์สามีภรรยา เพราะสภาวธรรมในดวงจิตของทั้งสองคนเป็นฆราวาสอนาคามี ดังนั้นเรื่องที่ถามไปจึงมิใช่เป็นความบังเอิญ

     (๘) ถือว่าเป็นบาป แต่พระอริยบุคคลขั้นโสดาบันยังประพฤติได้ เช่น วิสาขา เป็นพระโสดาบันตั้งแต่มีอายุได้ ๗ ขวบ เมื่อโตเป็นสาวแล้วได้แต่งงานกับชายหนุ่ม ยังมีลูกได้ถึง ๒๐ คน

     (๙) คิดถูกทางโลก คือหนีปัญหา แต่ในทางธรรมต้องอยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาดับที่ต้นเหตุ แนะนำให้ไปดูซากศพที่ Life Museum ของวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี แล้วปัญหาดังกล่าวจะหมดไป

     (๑๐) ได้ครับ ดีครับ

     (๑๑) จะต้องรับผลของกรรมจากนาย B ซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวร

     (๑๒) เป็นเพราะกรรมไม่ดี (อุปฆาตกรรม) ให้ผล

     (๑๓) ผู้ใดจะล่วงรู้ภพหนหลังของตัวเองได้ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความทรงฌานให้ได้ก่อน และจึงจะรู้ เห็น เข้าใจในภพหนหลัง (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) จึงจะเกิดขึ้น

     การจะรู้ว่าตนได้ทำเหตุใดไว้ จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมรู้ถึงต้นเหตุที่นำสู่การเกิดเป็นเทวดา และการเกิดเป็นพรหมได้
  

1969.
กราบสวัสดี อาจารย์ ดร.สนอง

     ผมขอกราบเรียนสอบถาม ช่วงที่ผ่านมา ผมมีความฟุ้งซ่านจัด เกิดความคิดอกุศลในหัวทั้งวัน
ผมได้ตามดูลมหายใจ ตามคำแนะนำของอาจารย์ ก็ดีขึ้นครับ มีอยู่ขณะหนึ่งตอนที่ขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้าน ผมกำหนดลมหายใจไปเรื่อย ๆ และกำหนดที่ลิ้นปี่ด้วย อยู่ ๆ ก็มีรู้สึกชัดที่กลางหน้าอก พอมีความรู้สึกอะไรแว๊บเข้ามา ก็จะรู้สึกทันที แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป เป็นอยู่ขณะหนึ่ง จนเกือบถึงบ้านครับ แบบนี้เป็นสภาวะมีสมาธิหรือเปล่้าครับ ผมเคยรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรกครับ

   ทุกวันนี้ ผมรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังฟุ้งซ่านอยู่   บางทีก็ไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน แต่ก็พยายามที่ทำให้ได้เท่าที่โอกาสอำนวย และฟัง mp3 ธรรมะ น้อยลง รวมทั้งอ่านหนังสือธรรมะ น้อยลงด้วยครับ เพราะกลัวอ่านและฟุ้งซ่านมากขึ้น

    กราบขออโหสิกรรม สำหรับกรรมทางกาย กรรมทางวาจา กรรมทางใจ ใด ๆ ที่ล่วงเกิน อาจารย์ไปครับ

  ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของอาจารย์ครับ ผมจะพยายามอบรมจิตใจตัวเองให้ดีขึ้นครับ

   ขอบคุณทีมงานชมรมกัลยาณธรรมด้วยครับ

คำตอบ
     ขณะขับขี่รถมอเตอร์ไซด์ จิตต้องระลึก (มีสติ) อยู่กับการขับขี่รถที่กำลังเคลื่อนที่ จึงจะเรียกว่าเป็นการกำหนดสติอยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน

     ผู้ใดมีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่นและมีสัจจะคุมใจ ย่อมพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีสติได้ง่าย แล้วความฟุ้งซ่านจะหมดไปโดยปริยาย
  

1968.
  กราบเรียน...อาจารย์สนองที่เคารพ   กว่าผมจะเข้าหาธรรมะ   ก็อายุ 30 แล้ว   ก่อนหน้านี้มีกุศลบ้าง   อกุศลบ้าง สลับกันไปตามจิตของปุถุชน
ทุกวันนี้หากมีงานบรรยายธรรมที่ไหน มีที่ทำบุญที่ไหน   ผมสุขใจมาก เฝ้ารอวันสำคัญนั้นมาถึง   บางทีก็ลางานไปฟังธรรมก็มี

ผมอยากถามอาจารย์ว่า
1. ทำอย่างไรให้เราได้เป็นคนมีสัมมาทิฐิทุกๆชาติ   เกิดมาในประเทศที่เจริญทางพุทธศาสนา เป็นประเทศที่เหมาะกับการปฏิบัติ   มีพระอริยะเจ้าดำรงขันธ์อยู่   (ถ้าอธิษฐานต้องทำอย่างไร หรือต้องทำเหตุให้ตรงอย่างไร) เพราะผมเชื่อว่าเราไม่ได้เกิดมาเป็นคนดีทุกๆชาติแน่ๆ

2. จะทราบได้อย่างไรว่าลูกเป็นคนมีบุญมาเกิด แล้วอาจารย์ใช้หลักธรรมอะไรในการสอนลูก

3. อาจารย์ช่วยแนะนำพระอริยเจ้าในกรุงเทพให้หน่อยครับ...(ไม่สะดวกเดินทางไปหาหลวงปู่พุทธะอิสระ)

4. ของแท้ ของจริง เพชรเม็ดงาม ที่อาจารย์กล่าวยกย่องพระสงฆ์นั้นแสดงว่าภูมิจิตภูมิธรรมของท่านขั้นสูงสุดใช่ไหมครับ

5. อานิสงส์ของการถวายอัฐบริขารที่พระจำเป็นต้องใช้ธุดงค์แด่พระอรหันต์มีอะไรบ้างครับ    จำเป็นต้องกล่าวคำถวายหรือไม่ หรือแค่ถวายตรงหน้าที่ท่านนั่งเฉยๆครับ
  (เพราะผมต้องการเกิดเป็นพระทุกชาติ จนกว่าจะเข้านิพพาน)

กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     (๑) ปรารถนาให้ตนเองมีสัมมาทิฏฐิทุกชาติ ต้องสร้างเหตุปัจจัยให้ตรงดังนี้
      ก. สร้างมหาทาน เช่น เลี้ยงพระเจ็ดวัน (ต่อเนื่อง)
      ข. อธิษฐานเกิดมาพบพระอริยเจ้า ได้ปฏิบัติธรรมและบรรลุอริยธรรมนั้นด้วย
      ค. ทำเหตุให้ตรง ด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา ตลอดชีวิต

     (๒) จะรู้ว่าคนมีบุญมาเกิด ให้ดูที่พฤติกรรม (คิด พูด ทำ) ของเด็กว่ามีศีลธรรมหรือไม่ หรือพัฒนาตนเองจนเข้าฌานได้ นำจิตออกจากฌานแล้วอธิษฐาน ขอเห็นภพภูมิเดิมของเด็กที่มาเกิด หากมาจากสุคติภพ ย่อมแสดงว่า เขาเป็นผู้มีบุญมาก่อน

     ผู้ตอบปัญหาใช้หลักธรรมในการสอนลูก ด้วยการพัฒนาตัวเอง ให้มีพฤติกรรมถูกตรงตามธรรมวินัยของพุทธศาสนา คือ ทำดีให้เขาดูนั่นเอง

     (๓) ศิษย์ที่ดี ย่อมแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เห็นถูกตามธรรม แม้จะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็ไม่ย่อท้อที่จะไปให้ถึง แล้วฝากตัวเป็นศิษย์

     (๔) หลวงปู่โลกอุดรเคยพูดว่า เพราะพัฒนาคุณธรรมมาเสมอกัน จึงได้มาพบกัน

     (๕) อัฐบริขาร หมายถึงนักพรตในพุทธศาสนามี ๘ อย่าง ได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร มีดโกนหรือมีดตัดเล็บ เข็ม ประคดเอว และกระบอกกรองน้ำ

     มนุษย์มีการกระทำ ๓ อย่าง คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ดังนั้นผู้ใดปรารถนาจะทำกรรมให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องทำให้ครบทั้งสามทาง
  

1967.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง
 
     กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร   ที่เคารพอย่างสูงครับ ก่อนอื่นผมกราบแทบเท้ากับอาจารย์ทั้งกายใจ กราบขอขมาที่ผมได้ล่วงเกิน อาจารย์แบบไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทางมโนกรรม ผมได้อ่านการสนทนาธรรมจากท่านอื่น มีบางท่าน ที่เขียนมาถามอาจารย์เกี่ยวการกระทำไม่ดี ไม่ถูกต้องต่อพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ผมก็ได้คิดตามเขาไปด้วยว่า เออ คิดได้ยังไง คล้ายกับผมคิดปรามาสความคิดคนอื่นว่าทำไมคิดไม่ดีอย่างนั้น แต่เหตุการณืนั้นกลับเกิดกับผมเอง เมื่อคืนวันที่ 26 ธค 54 ตอนใกล้สว่าง ผมคล้ายกับกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ดีๆก็ได้ฝัน หรือคิดก็ไม่แน่ใจใช้คำพูดไม่เหมาะกล่าวชื่ออาจารย์ขึ้นมา แต่คำพูดก็ไม่ได้หยาบคาย แต่ผมคิดว่าไม่เหมาะกับบุคคลระดับครูบาอาจารย์ปูชนียบุคคล ตอนแรกผมคิดว่าไม่เป็นไร เพราะผมไม่มีเจตนาแบบนั้น แต่เรื่องไม่น่าเกิดขึ้น ในวันนั้น มีคนมาทักผมเกี่ยวเรื่อง ธรรมะที่ผมปฏิบัติทุกวัน วันนั้นมีเรื่องทำให้ผมหดหู่ใจทั้งวัน ทั้งที่ผมพยายามรักษาใจของผมตลอดเวลาทุกวัน แต่วันนี้ผมทำไม่ได้เลยผมรู้สึกหดหู่แย่ทั้งวัน   ผมแปลกใจมากและได้ทบทวนหาสาเหตุ มีสาเหตุเดียวคือมโนกรรมที่ไม่เหมาะสมกับอาจารย์

ผมรู้สึกเสียใจมากครับ แต่ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่าง ทำไม่มันเข้าในจิตได้อย่างไร ผมอ่านเรื่องทำนองนี้มากเกินไปหรือเปล่าครับ แต่เหตุการณ์ ทำนองนี้เกิดขึ้นกับผมหลายครั้ง เหมือนกันทั้งดีและไม่ดี   ผมเคยปรามาสสถานศึกษาแห่งหนึ่งว่า บ้านนอกใครจะมาเรียนแต่ตัวเองก็ได้มาเรียน ได้ดิบได้ดีเพราะสถานบันแห่งนี้ เคยปรามาสคนนอกใจภรรยาสุดท้ายมาเกิดกับตัวเองอีก ทำไมเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมไม่เข้าใจเลย ผมเสียใจ ผมไม่สบายใจมากครับทีล่วงเกินอาจารย์ทางมโนกรรม   สิบนิ้วของผมทั้งกายใจขอกราบแทบเท้าอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ขออาจารย์โปรดอโหสิกรรม แก่กระผมผู้สติปัญญายังอ่อนด้อยด้วยครับ และขอเป็นฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ทั้งกายใจ ศิษย์จะปฏิบัติตามคำแนะนำ ของอาจารย์ทุกประการโดยไม่มีเงื่อนไข ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือ อำนวยอวยพรให้อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ได้พ้นวัฏฏะในชาตินี้ครับ
                                                    
ศิษย์ผู้อ่อนด้อยสติปัญญา

คำตอบ
     ความคิดในทางลบที่เกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา มีเหตุมาจากจิตใต้สำนึกเคยปรามาสผู้ตอบปัญหามาก่อน หากประสงค์มิให้ ความคิดติดลบใดๆเกิดขึ้นอีก ต้องขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วกล่าวคำขอขมาที่เคยคิดล่วงเกิดผู้อื่น ทั้งที่จำได้และจำไม่ได้ ให้ยกโทษผิดให้ และต้องไม่ประพฤติล่วงเกินให้เกิดขึ้นอีก โทษนั้นๆจึงจะหมดไปจากจิตใต้สำนึกได้

     สำหรับผู้ตอบปัญหาแล้ว อโหสิกรรมให้กับผู้ถามปัญหา จงไม่มีโทษใดๆต่อกัน จงมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม และเข้าถึงธรรมนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบนำชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์
  

1966.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ผมมีคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิครับ

1. เมื่อผมนั่งสมาธิ ผมจะกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (พุท-โธ) ไปเรื่อยๆ จนสักพักหนึ่งจิตของผมมันเกิดคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ เช่น คิดถึงเรื่องงาน หรือเรื่องอื่นๆทั่วไป ถ้าผมรู้ตัวผมก็จะกำหนดว่า รู้หนอ หรือ คิดหนอ หลังจากนั้นก็จะกำหนดลมหายใจต่อ (พุท-โธ) คำถามคือ ผมปฏิบัติถูกแล้วรึเปล่า หรือผมต้องปล่อยให้จิตคิดไปเรื่อยๆครับ รบกวนอาจารย์แนะนำทีครับ ขอบคุณครับ

2. เมื่อนั่งสมาธินานเข้า ผมจะเกิดอาการปวดขามาก ผมจะกำหนดว่า หายใจเข้าปวดหนอ-หายใจออกปวดหนอ ไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่หายปวดจนผมต้องออกจากสมาธิก่อน ในข้อนี้ผมควรปฏิบัติเช่นไรครับ รบกวนอาจารย์แนะนำทีครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
      (๑) ปฏิบัติธรรมถูกทางแล้ว

     (๒) ผู้มีกำลังของสติอ่อน ย่อมมีจิตอยู่ใต้อำนาจของขันธมาร (ปวดขา) การกำหนดคำว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆแล้วยังไม่หายปวดขา ต้องเปลี่ยนจากการนั่งสมาธิไปเป็นเดินจงกรม สลับกัน แล้วกำลังสติจะมีเพิ่มมากขึ้น อาการปวดขาจึงจะหมดไป
  

1965.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์สนอง

ที่กล่าวว่าการติเตียนพระอริยะเป็นกรรมหนัก   ไม่ทราบว่าการกล่าวคำตำหนิท่านผู้เป็นพระอริยะเจ้าทุกกรณีเป็นบาปทั้งหมดหรือไม่คะ

เช่นมีใครคนหนึ่งเป็นพระอริยะชั้นต้นๆ อยู่ในเพศฆราวาสและทำงานในทางโลกเหมือนคนอื่นๆ   หากท่านทำอะไรที่ยังเป็นความหลงทางโลกอยู่   หรือทำอะไรที่ผิดพลาดในทางโลก   แล้วถูกคนอื่นตำหนิติเตียน โดยผู้ที่ติท่านก็ไม่ได้ทราบว่าท่านมีภูมิธรรมระดับใด และผู้ติก็ติท่านเหมือนที่ติคนอื่นอย่างเท่าเทียมกัน   แต่ก็ใช้คำพูดแรงๆต่อว่าตรงๆ   แบบนี้ผู้ติบาปหรือไม่คะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
     การกล่าวตำหนิพระอริยเจ้าในทุกกรณี ให้ผลเป็นบาป แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณธรรมของพระอริยเจ้า เช่น ตำหนิพระโสดาบันบาปน้อยกว่าตำหนิพระอรหันต์

     พระอริยเจ้าที่เป็นพุทธสาวก สามารถทำงานให้กับโลก ได้แก่ พระอริยเจ้าระดับพระโสดาบันซึ่งยังมีจิตตกอยู่ใต้อำนาจของกาม เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา โฆสกเศรษฐี ฯลฯ สามารถทำงานให้กับโลกด้วยการสร้างวัด ถวายไว้ในพุทธศาสนา แต่พระอริยเจ้าที่มีคุณธรรมสูงกว่านี้ มีจิตมุ่งเน้นสู่ความเป็นอิสระของชีวิต จึงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานทางโลกใดๆ
  

1964.
กราบเรียนอ.ดร.สนอง วรอุไรที่เคราพอย่างสูง

    หนูออกจากปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตรวจเทียบสภาวะธรรมแล้วคิดว่าตนเองถึงญาณ 11  วิปัสสนาจารย์บอกว่าสติดีทำให้เรารู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ต้องพยายามกำหนด   และสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น แต่ยังไม่มีตัวสัมปชัญญะที่ดี เมื่อกลับมาบ้านต้องมาทำงานและพบเจอผู้คนมากมาย และในการทำงานต้องมีการคิดวางแผนล่วงหน้า   เวลาหนูคิดถึงอนาคตหรืออดีต สติทำงานจะรู้ว่าจิตคิดแล้วความคิดนั้นมันก็จะดับไป ซึ่งในชีวิตปกติของคนเรามันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ หนูจะไม่สามารถทำงานชิ้นนั้นได้เลย หนูจึงลองต้านดู คือรู้ว่าเราคิดล่วงหน้า คิดวางแผนอยู่ แต่ยังพยายามจะคิดต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเราฝืนบ่อยๆไม่อยู่กับปัจจุบันแต่ไปอยู่กับอดีตหรืออนาคตบ่อยๆ   หนูรู้สึกปวดศรีษะมาก   เมื่อกำหนดรู้ปวดหนอๆๆมันก็หายปวดทุกครั้งจึงรู้ว่าเกิดจากเราพยายามฝืน กราบเรียนถาม ว่าหนูควรปฏิบัติอย่างไรต่อไปดี ที่จะไม่ถอยหลังในทางธรรมและยังสามารถดำรงตนอยู่ในโลกปกติได้

            ในการเข้าปฏิบัติธรรมช่วงหลังๆมา คิดว่าตนเองถึงญาณ 11 อยู่หลายครั้งแต่ไม่สามารถผ่านไปได้ วิปัสสนาจารย์ให้สร้างบารมีให้มาก บารมีที่ว่าหมายถึงบารมีในด้านใด   และต้องทำอย่างไรจึงเจริญในธรรมและข้ามสู้อริยะบุคคลได้ค่ะ

             กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    ขณะยังมีชีวิต มนุษย์ต้องทำงานให้กับโลกหรือสังคม (งานภายนอก) จึงมีความจำเป็นต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ เช่น งานที่ได้ประพฤติลุล่วงไปแล้วให้ผลเป็นอย่างไร และควรปรับปรุงแก้ไขทำเหตุใหม่ให้ดี เพื่อผลดีจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า (อนาคต) อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เอาจิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และเช่นเดียวกัน มนุษย์ต้องทิ้งขันธ์ลาโลกไปสู่ภพใหม่ หากปรารถนาไปเกิดในภพที่ดี หรือปรารถนาพ้นทุกข์ในวันข้างหน้า ต้องพัฒนาจิต (งานภายใน) ให้มีบุญสั่งสม หรือพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เอาจิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับงานภายในที่ทำในปัจจุบัน ผู้ใดคิดแล้วทำเหตุให้ถูกตรงได้แล้ว ผู้นั้นย่อมดำรงตนอยู่กับโลกเป็นปรกติ

ส่วนผู้ที่ปรารถนาไม่ถอยหลังในทางธรรม ต้องเจริญพละ ๕ อยู่ขณะตื่น และต้องบำเพ็ญปัญญาบารมี (วิปัสสนาภาวนา) จนกระทั่งจิตข้ามพ้นโคตรภูญาณไปได้แล้ว โอกาสที่จะมีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้น
  

1963.
เรียน ท่านอาจารย์ ค่ะ

    หนูอยากสอบถามว่า คนที่มีความผิดปกติทางความคิด (โรคทางจิต)นะค่ะ จะสามารถปฏิบัติธรรม ให้ถึงขั้นโสดาบัน ได้หรือไม่ค่ะ หนูพยายามฝึกอยู่ พยายามทำศีล5 ให้ครบ ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ นะค่ะ ไม่ถึงกับบ้าเพราะเป็นเพียงคิดอะไรไม่เหมือนคนอื่นคิด แต่ชอบฟังธรรมค่ะ อยากปฏิบัติธรรมให้มากๆ เพื่อหนีอบายภูมิค่ะ

ขอขอบพระคุณค่ะ

รบกวนท่านอาจารย์ด้วยค่ะ

อรุณี

คำตอบ
   คนดื้อรั้น คนบ้า คนคิดฆ่าตัวตาย ฯลฯ ยังสามารถพัฒนาจิต จนบรรลุอรหัตผลได้ นับประสาอะไรกับผู้ถามปัญหา ที่มีความคิดผิดเพี้ยนไปจากคนทั่วไป แต่ชอบฟังธรรมและปฏิบัติธรรม จะพัฒนาจิตให้เข้าถึง ความเป็นอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันมิได้เล่า
  

1962.

กราบเรียนถามท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่นับถืออย่างสูง

    1. คุณสมบัติของบุคคลที่จะผ่านญาณที่ 13,14,15,16 ได้นั้นต้องมีคุณสมบัติเช่นไรและต้องปฎิบัติตัวทางกายและใจอย่างไรคะ

   2. เมื่อปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน (ในท่านั่ง)เพื่อให้ผ่านญาณ 13,14,15,16 ควรปฎิบัติจิตเช่นไรคะ(จิตผู้รู้)

   3. กรุณาได้โปรดช่วยแนะนำสถานปฎิบัติธรรมให้ด้วยคะ (ปฎิบัติเดี่ยวไม่ปฎิบัติรวม) ที่มีวิปัสสนาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถที่ได้ผ่านญาณชั้นสูง ที่เข้าถึงตัวได้โดยง่ายและมีเวลาชี้แนะ และบอกวิธีปฎิบัติที่ถูกต้องกับผู้ปฎิบัติ (ถ้าไม่ไกลจากกรุงเทพมากก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงคะ) ดิฉันไปปฎิบัติวิปัสสนาทุกปีที่สถานปฎิบัติธรรมต่างๆ และกลับมาปฎิบัติที่บ้านและในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด เมื่อ 2 ปีก่อนมีบุญ ได้พบกับอาจารย์ที่คุมการปฎิบัติธรรมของโยคีที่ผ่านญาณชั้นสูง ในเวลาสอบอารมณ์ท่านได้ให้คำแนะนำ และบอกวิธีปฎิบัติอย่างใกล้ชิด ในระยะเวลา 7 คืน 8 วันของคอร์สการปฎิบัติดิฉันสามารถผ่านญาณ 9 ถึง 12 ได้ ท่านแนะนำให้ไปปฎิบัติเดี่ยง หลังจากนั้นดิฉันได้ไปปฎิบัติธรรมที่สถานปฎิบัติธรรม 2 แห่ง อาจารย์ที่สอบอารมณ์ทั้ง 2 แห่ง คุยกับดินฉันไม่รู้เรื่องแห่งแรก(ปฎิบัติรวม) บอกว่าดิฉันมีสมาธิยิ่งเกินเมื่อดิฉันนั่งและมีการสั่นอย่างมาก (ดิฉันทราบว่าเป็นปิติของสภาวะธรรมขั้นนี้ และจิตก็จะก้าวข้ามไปสู่สภาวะธรรมขั้นสูงต่อไป) ท่านจะมาขัดจังหวะทุกครั้ง และแนะนำให้ดิฉันเดินอย่างเดียงห้ามนั่งเด็ดขาด แห่งที่ 2(ปฎิบัติเดี่ยว) ในการสอบอารมณ์ท่านบอกว่าสภาวะธรรมทั้งหมดที่ดิฉันเล่า เป็นอาการปิติของสมะถะ(ซึ่งในการปฎิบัติธรรมในครั้งนี้ ไม่มีอาการสั่นแล้ว เพราะดิฉันจะดึงจิตผู้รู้มาดูที่ท้องและอาการพองยุบ แทนที่การเอาจิตผู้รู้ดุกายที่สั่น อาการสั่นก็หายไปและจิตก็ก้าวข้ามไปสู่สภาวะธรรมขั้นสูงกว่าต่อไป)

   4. ผู้ที่ได้ญาณ 12 เมื่อเสียชีวิตแล้วจะได้ไปเกิดในภพภูมิใด และจะต้องเกิดอีกกี่ชาติคะ (มีวิปัสสนาจารย์ที่ได้ผ่านญาณชั้นสูงบอกว่า "จะไม่เกิดในทุคติภุมิอีกแต่จะเกิดอีกกี่ชาติไม่แน่ อาจจะ 8 ชาติ 10 ชาติ" และบางท่านบอกว่าจะเกิดอีกไม่เกิน 8 ชาติ ดิฉันฟังจากเทปของท่านคะ)

   ดิฉันขอกราบขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงมา ณ.ที่นี้คะ
     เพชร์               

คำตอบ    
     (๑) ผู้ที่จะเข้าถึง ญาณที่ ๑๓ – ๑๖ ได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
      •  มีบุญบารมีสั่งสมอยู่ในดวงจิตมามากจากอดีตชาติ
      •  ชาติปัจจุบัน ต้องมีอย่างน้อย ศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น และต้องเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
      •  มีศรัทธาที่จะพัฒนาจิตตนเองไปสู่ความพ้นทุกข์
      •  ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ ธรรมใดที่ต้องปฏิบัติก่อน ต้องทำให้ได้ผลก่อน เช่น เอาศีลคุมใจให้ได้ก่อน ใจจึงจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ใจต้องเป็นสมาธิให้ได้ก่อน ใจจึงจะเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ธรรมใดที่ต้องปฏิบัติทีหลัง ต้องเอาไว้ทำทีหลัง เช่น วิปัสสนากรรมฐาน ต้องเอาไว้ปฏิบัติเมื่อจิตตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิได้แล้ว
      •  อุทิศบุญกุศลทุกครั้ง หลังจากปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในรอบวัน
         ฯลฯ

     (๒) เพื่อให้เข้าถึงญาณที่ ๑๓ - ๑๖ จิตของผู้ปฏิบัติธรรมต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) ให้ได้ก่อน แล้วจึงเร่งความเพียรพิจารณา กาย เวทนา จิต หรือธรรม ที่ปรากฏขึ้นกับจิตว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) แล้วโอกาสที่สภาวธรรมในดวงจิต จะเข้าถึงญาณที่ ๑๓ – ๑๖ จึงจะเป็นไปได้

     (๓) แนะนำสำนักปฏิบัติธรรม วัดป่าเกษมสุข (หลวงปู่จันทรา) จังหวัด กบินทร์บุรี

     (๔) จะไปเกิดในสุคติกามภพ ( มนุษย์ , สวรรค์ ) ส่วนจะไปเกิดอีกกี่ชาติขึ้นอยู่กับ ความเพียรในการพัฒนาจิตของผู้ถามปัญหา หากผู้ถามปัญหาเป็นคนมีโมหจริตเด่น แต่มีความเพียรในการพัฒนาจิตจนกระทั่งมีความเลื่อมใน ไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ได้เมื่อใด จึงจะสามารถปิดอบายภูมิได้ ตายแล้วไปเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ ย่อมเข้าถึงอรหัตผล
  

1961.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรที่เคราพ

วันนี้ผมส่งคำถามเกียวกับ การใช้วาจาอย่างไม่เกิดโทษ

  ถ้าผมเป็นคนมีธรรมะ ผมจะใช้คำพูดอย่างไรหรือมีลักษณะการพูดอย่างไรหรือครับ

คำตอบ
     คนที่มีธรรมะคุ้มครองใจ สามารถสัมผัสได้ด้วยพฤติกรรมที่แสดงออก โดยเฉพาะคำพูด (วจีกรรม) ที่กล่าวออกไป ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม ที่นำสู่ความสวัสดี (เจริญรุ่งเรือง) หรือนำสู่ความพ้นทุกข์
  

1960.
กราบเรียนท่านอาจารย์ มีข้อสงสัยดังนี้ค่ะ

1. พนักงานบริษัทบางตำแหน่ง สามารถเบิกค่าใช้จ่ายในงานได้ โดยต้องนำใบเสร็จรับเงินที่มีชื่อที่อยู่ของบริษัทมาทำการเบิกเงิน เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน   ค่าเลี้ยงอาหารลูกค้า เป็นต้น หากพนักงานคนนั้นทำใบเสร็จหาย หรือ ลืมขอใบเสร็จ   แล้วมาขอให้ดิฉันช่วยจัดหาใบเสร็จที่ใช้จ่ายส่วนตัวมาทดแทนให้ โดยเมื่อดิฉันเติมน้ำมันรถส่วนตัว หรือไปทานอาหารกับครอบครัว แล้วขอใบเสร็จรับเงินในชื่อของบริษัท ในจำนวนเงินที่เท่ากัน หรือ น้อยกว่า   แล้วนำไปให้ผู้ร้องเพื่อทำการเบิกเงินกับทางบริษัท (ในขณะเดียวกัน หัวหน้างานก็รับทราบและอนุญาต)   คำถามคือ

    - หากดิฉันทำเช่นนั้น ดิฉันจะบาปหรือผิดศีล 5 หรือไม่ หากเป็นบาป ดิฉันควรจะทำอย่่างไรหรือแก้ไขอย่างไร ในสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว

2. การถวายสังฆทาน
    - จำเป็นต้องมีพระมารับ 4 รูป หรือไม่ (แต่ถวายของถังเดียว)

    - หากมีพระมารับเพียง 1 รูป แต่แจ้งว่าเป็นสังฆทาน แล้วท่านนำไปเป็นของส่วนรวม   ถือว่าเป็นสังฆทานหรือไม่

    - หากมีทั้งแบบ 4 รูป หรือ 1 รูป รับสังฆทานไปแล้ว แต่ไม่นำไปเป็นของสงฆ์ส่วนรวม    จะถือว่าเราได้ทำสังฆทานหรือไม่

คำตอบ
     (๑) ผิดศีล ๕ ผู้ใดรู้สึกตัวว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นบาป เมื่อใดที่บาป (อกุศลกรรม) ให้ผล ผู้ประพฤติกรรมไม่ดี ต้องชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น บาปนั้นจึงจะหมดไป

     (๒) สังฆทาน หมายถึง ทานที่ให้แก่หมู่สงฆ์ พระสงฆ์เพียงหนึ่งรูปมารับทานที่ฆราวาสถวาย แล้วนำไปเป็นส่วนกลางของหมู่สงฆ์ ทานที่พระสงฆ์รับนั้น ได้ชื่อว่า เป็นสังฆทาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอุปโลกน์สงฆ์ จำนวน ๔ รูปมารับทาน แล้วนำไปบริโภคใช้สอยส่วนตัว เรียกว่าเป็น ปุคคลิกทาน ซึ่งมีอานิสงส์น้อยกว่าทานที่ให้แก่หมู่สงฆ์ (สังฆทาน)
  

1959.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

     ผมเริ่มปฏิบัติธรรมได้ประมาณหกเดือนครับ ตอนนี้อายุ 39 ปี ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้
ตอนนี้มีความศัทราในธรรมจนลงมือปฏิบัติ พยายามรักษาศีล 5 ทุกวัน   วันพระพยายามรักษาศีล 8 สวดมนต์เช้าเย็น

  หลังจากนั้นนั่งสมาธิ ตอนเย็นจะนั่งได้ไม่นาน 10-30 นาทีเพราะมีเสียงรบกวนจากครอบครัว
ตอนเช้า 1 ชม.บางวันเดินจงกรมแทนถ้าออกจากสมาธิแล้วเวลายังเหลือ ผมอ่านหนังสือธรรมะจากประวัติพระเกจิ เกือบทุกองค์ แล้วจึงปฏิบัติตามความเข้าใจ มีโอกาสถามพระอาจารย์บางโอกาส

ผมมีปัญหาอยากเรียนถามอาจารย์   ดังนี้ครับ
1. มีครั้งหนึ่งตอนเย็นผมนั่งสมาธิมีอาการแน่นขึ้นมาในอกจนเกือบหายใจไม่ออก ผมพยายามพิจารณาตั้งแต่ ช่วงที่กำลังเกิดจนหายไป เกิดไม่นานครับ แล้วผมนั่งต่อไป อาการแน่นอกเกิดจากอะไรครับ เกิดจากการนั่งสมาธิ หรือเกิดจากสาเหตุอื่นครับ

2. ผมไปปฏิบัติธรรมในวันพระพยายามรักษาศีล 8 ที่วัด ขณะนั่งสมาธิ บางครั้งมีอาการคล้ายมีอะไรมาดึงศีรษะให้ยาวขึ้น ดึงไปทางซ้ายทางขวา   บางครั้งสว่างคล้ายเปิดไฟ สว่างไม่มาก ผมคิดว่าอาจเกิดจากแสงไฟที่โต๊ะหมู่บูชา ช่วงนั่งสมาธิ จะปิดไฟหมดค่อนข้างมืด พยายามปิดเปลือกตาให้แน่นแสงยังสว่างเหมือนเดิม ทั้งสองเหตุการณ์เกิดจากสมาธิหรือ เกิดจากผมคิดไปเองครับ (ทั้งสองเหตุการณ์เกิดครั้งเดียวครับ)

3. ผมได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ ถือศีล 8 ได้ 7 วัน ในคืนวันที่สองเป็นวันพระและเกิดจันทร์ทรุปราคา (10 ธค 54)  ผมได้อธิฐานในใจว่าถ้าผมได้สมาธิจริงขอให้แสดงอะไรให้ผมเห็นด้วย คืนนั้นหนาวมากๆประมาณตีสองตอนนั้นคิดว่าตนเองมีสติดีพร้อม มีอะไรสักอย่างตัวใหญ่มานั่งทับที่หน้าท้องอุ่นไปทั่วท้อง ผมได้แต่คิดว่าเจอเข้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ลืมตา ขยับแขนขา สิ่งเหล่าก็หายไป จนสว่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก (อาจเป็นเพราะผมนอนไม่หลับด้วยครับ ตื่นเต้นมาก ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต) วันที่ 4 ฝันเห็นญาติกำลังจะตาย แล้วจู่ๆมีพระภิกขุปรากฏหน้าตาท่านชัดเจนมากและหันหน้ามาหาผมพร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า ดาวดึง ทั้งสองเหตุการณ์หมายถึงอะไรครับเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมไหมครับ

4. ผมมีพี่ชายชอบสร้างความเดือดให้ พ่อ แม่ทุกข์ใจมากครับ ติดยา ผมสงสารแม่มาก เพราะแม่จะทุกข์ใจมากๆ ผมควรจะแนะนำ ช่วยเหลือแม่อย่างไรครับ ทุกวันนี้ได้แต่ปลอบใจท่าน ให้นึกว่ากรรมเวรยังไม่หมด ให้ทนต่อไป ถูกหรือเปล่าครับ
 
    ขอบพระคุณอาจารย์สนอง วรอุไรอย่างสูงครับ ขอให้อาจารย์ได้ธรรมได้หลุดพ้นและได้ช่วยเหลือผู้ต้องการหลุดพ้นด้วยครับ

คำตอบ
     (๑) อาการแน่นที่อก เกิดจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วหายไปเป็นธรรมดาตามกฎไตรลักษณ์

     (๒) อาการที่สองรูปแบบ มีเหตุมาจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

     (๓) เหตุการณ์แรกคือ ผลที่เกิดจากผู้ถามปัญหาตั้งจิตอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แสดงผลที่ตนสามารถสัมผัสได้ ส่วนเหตุการณ์ที่สอง เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า สภาวธรรมที่เป็นอยู่ในดวงจิตของผู้ถามปัญหาขณะนี้ มีอานิสงส์ผลักดันจิตสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

     ทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นได้กับจิตของผู้ฝึกสมาธิ (สมถภาวนา) ผู้รู้จริงมิได้หยุดพัฒนาจิตเพียงแค่นี้ แต่พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ไปสู่ความพ้นทุกข์

     (๔) ผู้ถามปัญหาปรารถนาจะช่วยแม่ไม่ให้เดือนร้อนและเป็นทุกข์ใจ ต้องทำเหตุให้ถูกตรง คือต้องพัฒนาตัวเองให้ดี (ไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ใจ) ให้แม่เห็นและให้แม่ศรัทธาในตัวลูกให้ได้ก่อน แล้วเมื่อนั้นลูกจึงจะสอนแม่ให้พัฒนาจิต จนพ้นไปจากความเดือดร้อนและทุกข์ใจได้
  

1958.
อ.ช่วยหนูหน่อยนะคะ

หนูไม่สบายใจเลยคะ เขาเป็นผู้หญิงที่พูดคำหยาบคายมาก พูดเสียงดังมาก เล่นการพนัน คบผู้ชายหลายคน    เขาว่าให้ จนหนูอยากย้ายบ้าน บ้านหนูอยู่ที่เชียงใหม่ หนูสงสารพ่อกับแม่หนู หนูรู้สึกไม่มีความสุข เพราะเรื่องสุนัขเพียงตัวเดียวต้องมาทำให้ทะเลาะกัน หนูไม่มีความสุขเลย หนูควรทำยังไงดีคะอาจารย์ ทำยังไงให้เขาเลิกด่า เลิกเกลียด ดีคะ เขาด่า เราก็ไม่มีความสุข   ถ้าเราวางเฉยและแผ่เมตตาให้เขาเราจะดีขึ้นมั้ยคะ ทำยังไงให้เขาให้อภัย และเลิกจองเวรคะ

คำตอบ
    ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมเผยแพร่ะรรม พระองค์ไม่เคยสอนพุทธบริษัทให้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่สอนให้พุทธบริษัทแก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการทำเหตุให้ถูกตรงดังนี้

     เมื่อมีคนเกลียดเรา แล้วใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยาม ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ย่อมระลึกได้ว่า เขา ( ผู้ด่าว่า ) เป็นผู้มีอุปการคุณ ทำให้เราได้มองดูตัวเอง ว่าเราไม่ดีตามที่เขาพูดหรือไม่ หากเราเป็นคนไม่ดีตามที่เขาพูด เราจะได้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น ตรงกันข้าม หากเรามีพฤติกรรมดีอยู่แล้ว แต่เขาเห็นผิด ได้ยินผิด ได้ฟังมาผิด ก็เป็นเรื่องของเขา จงนิ่งเสีย ไม่ต้องชี้แจงและแก้ตัว พร้อมกันนั้นให้เอาเขาเป็นครูสอนใจเราว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นคนหยาบคายเหมือนเขา

     ต้องขออภัยในปัญหาที่ถามไป ผู้ถามปัญหามีความเห็นผิด หากประสงค์มีจิตเป็นอิสระจากคำพูดของคน จงพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติและมีกำลังของปัญญาเห็นถูกตามธรรมกล้าแข็ง ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมตามสำนักที่มีการสอน แล้วปัญหาคิดย้ายบ้านหนีจะไม่เกิดขึ้น
  

1957.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร ด้วยความนอบน้อม

    กระผมเคยได้เห็นเเละได้อ่านหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มของอาจารย์ด้วยกัน เช่น เตรียมตัวก่อนตาย ถึงโสดาบันในชาตินี้ ทำให้กระผมได้รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต เเละโลกนี้เป็นอย่างดี ว่าไม่มีอะไรที่เหนือไปกว่า บาป บุญ ทุคติ สุคติ เเละการหลุดพ้น ความจริงข้างต้นนี้ ทำให้ผมรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเองเป็นอย่างมาก (ทุศีลทั้งห้าข้อเป็นประจำ จนกลายเป็นคนบาปหนัก)

คำถามมมม
    1. กระผมอยากรู้ว่าพอมีเเนวทางการใช้ชิวิต สำหรับคนบาปหนาให้ได้ทำบุญ หรือเเนวทางใช้ชีวิตในมนุษยภูมิอย่างมีคุณค่า ก่อนที่ความตายจะพลากจิตลงสู่อบายภูมิ(มหานรกอเวจี)

   2.   คนบาปหนาอย่างกระผมสามารถมาเกิดในยุคพระศรีอาริยเมตไตร เเล้วได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ของพระองค์จนบรรลุธรรมได้ไหมครับ ถ้าต้องการเช่นนี้ต้องทำอย่างไรบ้างครับ

  3.   กระผมรู้สึกว่าพี่สาว (ผมต้องบอกชื่อพี่สาวไหมครับ ) ของลบหลู่ผู้ทรงศีลท่านหนึ่ง  อยากทราบว่า เป็นความจริงอย่างที่ผมรู้สึกไหมครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงขอวิธีขมากรรมด้วยครับ  กระผมไม่อยากให้พี่สาวเดินตามเส้นทางของผม

          ขอความเมตตาด้วยครับ    ด้วยความเคารพอย่างสูง    

คำตอบ
    (๑) ผู้ใดปรารถนานำพาชีวิต หนีพ้นอบายภูมิชั่วคราว ต้องทำเหตุให้ถูกตรง ด้วยการมีพฤติกรรมอันเป็นกุศลให้ได้ทุกขณะตื่น เช่น
      ก. พัมนาจิตให้มีศีลคุมอย่างน้อยศีล ๕ อยุ่ทุกขณะตื่น ตายแล้วคุณธรรมของศีล ๕ ย่อมผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง

      ข. พัฒนาจิตให้มีการบำเพ็ญทานและมีศีลคุมใจอยู่เสมอ หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ อยู่เสมอ ตายแล้วโอกาสที่จิตวิญญาณจะโคจรไปเกิดเป็นเทพยดาในสวรรค์ ย่อมมีได้เป็นได้

      ค. พัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (ฌาน) แล้วตายขณะจิตทรงอยู่ในฌาน โอกาสที่จิตวิญญาณจะโคจรไปสู่พรหมโลก ย่อมมีได้เป็นได้

     (๒) โปรดย้อนกลับไปดูข้อ ๑๙๕๑ (๗)

     (๓) ผู้ใดประพฤติลบหลู่ผู้ทรงศีลทรงธรรมแล้ว ย่อมทำให้บาปสั่งสมอยู่ในดวงจิต ที่มีอานิสงส์ขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม การจะพ้นจากบาปนี้ไปได้ ต้องนำดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หนี้เวรกรรมจึงจะหมดไปได้
  

1956.
กราบเรียน ดร.สนอง   ที่เคารพ

หนูมีเรื่องจะสอบถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ   คือเพื่อนของหนูเอาอาหารที่เตรียมไปใส่บาตร นำไปถวายข้าวพระพุทธก่อนเเล้วก็กล่าวลาข้าวพระพุทธ หลังจากนั้นก็นำอาหารนั้นไปใส่บาตร ในกรณีนี้ไม่ทราบว่าสมควรที่จะนำไปถวายข้าวพระพุทรก่อนรึปล่าวค่ะ หรือควรจะเเยกทำเป็นสองชุดคะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
   นัทธมน

คำตอบ
    การแยกทำเป็นสองชุด เพื่อไม่ให้อาหารที่นำไปใส่ลงในบาตรนั้นเป็นเดนทาน
  

1955.
ขอรบกวนถามเรื่องฟังธรรมครับ

อยากรบกวนสอบถาม ดร. สนองฯ สั้น ๆ ว่าการฟังธรรมทางอินเตอร์เนต ผู้ฟังจะได้อานิสงส์เท่ากับฟังโดยไม่ผ่านสื่อหรือไม่ครับ
 
ผู้น้อย

คำตอบ
      ในครั้งพุทธกาล พระเทวัตได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ (ไม่ผ่านสื่อ) หลายครั้ง แต่ไม่ศรัธาในธรรม ซ้ำยังประพฟติราวีพระพุทธเจ้า จึงต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอเวจีมหานรก

     สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคะ ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วกลัวภัยที่จะมาถึงตนในวันข้างหน้า จึงเลิกอาชีพทุจริต หันมาปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา จนบรรลุอริยธรรมเป็นพระโสดาบัน

     ฉันนภิกษุผู้ดื้อรั้น ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์หลายครั้ง แต่ไม่ศรัทธาในธรรม จึงมิได้โยนิโสมนสิการ แต่หลังจากถูกลงพรหมทัณฑ์แล้ว ได้หันมาปฏิบัติธรรม จนจิตบรรลุอรหัตตผลเป็นอรหันต์

     จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมาแสดงจะเห็นได้ว่า ศรัทธาเป็นต้นเหตุให้เข้าถึงธรรม โยนิโสมนสิการเป็นต้นเหตุให้เข้าถึงธรรม และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นต้นเหตุให้เข้าถึงธรรม ดังนั้นการฟังธรรมโดยผ่านสื่อหรือไม่ผ่านสื่อ มิใช่เป็นต้นเหตุแท้จริงที่ทำให้จิตเข้าถึงธรรม แต่ความศรัทธาในธรรม โยนิโสมนสิการในธรรมและการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นต้นเหตุที่แท้จริง ที่ส่งผลให้จิตบรรลุธรรมได้
  

1954.

เนื่องจากคุณแม่ได้เสียชีวิตจากการโดนทำร้าย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พยายามใส่บาตรตอนเช้าให้ได้เกือบทุกวัน แต่มีพระท่านบอกว่า “ ไม่ต้องใส่ทุกวันก็ได้แต่ วันที่คุณแม่เสียชีวิตต้องไปทำบุญให้ท่าน สำคัญมาก ” อยากทราบว่า เป็นตามที่ท่านบอกจริงๆไหมคะ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นต้องทำบุญอะไรเป็นพิเศษให้ท่านไหม แต่ถ้าวันนั้นเราไม่สามารถทำบุญให้ท่านได้ มีวิธีไหนบ้างไหมคะที่จะพอทำได้ เพราะเมื่อปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำตรงกับวันที่ท่านเสียจริงๆ เลยเกิดความไม่สบายใจขึ้น แต่พอจะทราบจากที่เคยถามกับท่านอาจารย์ว่า ถ้าอยู่ในภพภูมิที่รับได้ ท่านก็จะได้รับบุญที่เราทำไปให้

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     ผู้ใดปรารถนาที่จะรู้ว่า สิ่งที่บุคคลอื่น ( พระ ) บอกกล่าวนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ต้องใช้กาลามสูตรเป็นเครื่องคัดกรอง คือต้องปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน เมื่อถอนจิตออกจากฌานแล้วต้องอธิษฐานว่า สิ่งที่ผู้อื่นพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ความรู้ เห็น เข้าใจ ( สันทิฏฐิโก ) ในเรื่องนี้จึงจะเกิดขึ้น แล้วความสงสัยจึงจะหมดไป

    วิธีทำบุญใหญ่ ต้องเจริญจิตตภาวนา ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ เมื่อกิจกรรมทั้งแล้วเสร็จ ให้อุทิศบุญกุศลไปให้ผู้ล่วงลับ อนึ่ง ผู้ใดบำเพ็ญทานด้วยการอุทิศบุญให้ผู้อื่น แล้วไม่ตามดูผลของทานที่อุทิศนั้น บุญย่อมเกิดขึ้นกับผู้อุทิศเต็มร้อย ผู้รู้นิยมปฏิบัติเช่นนี้
  

1953.
ขอเรียนถามอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

      ผมปฏิบัติธรรม 1 บัลลังก์ เดิน-นั่ง อย่างละ 1 ช.ม. ตอนนั่งเหลือประมาณ 7-15 นาที ปวดขามากจนทนไม่ไหว ต้องคลายขาออก หรือเปลี่ยนอิริยาบท (เอามือเท้าข้างๆตัวและยืดตัวขึ้น)
กำหนดเวทนาจนทนไม่ไหว(คล้ายๆ จิตจะขาดรอนๆ)
ขออาจารย์ช่วยแนะแนวทางบอกวิธีที่กำหนดเวทนาแบบชะงัด (ที่อาจาย์เคยใช้และเห็นผล)

    ด้วยอานิสงค์แ่ห่งผลบุญที่อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่ไขข้อข้องใจแนะแนวปฏิบัติให้แก่ข้าพเจ้า
ขออานิสงค์นี้ดลบรรดาลให้ท่านสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยเทอญ

คำตอบ
   เมื่อเกิดทุกขเวทนาจนทนไม่ไหว แม้จะกำหนดว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” แล้วยังไม่หายปวดขา ในครั้งที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก ผู้บรรยายได้เปลี่ยนอิริยาบถ จากนั่งบริกรรมไปเป็นเดินจงกรม อาการปวดขาจึงจะหายไปได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะในระยะเริ่มต้นนั้น จิตยังมีกำลังสติไม่กล้าแข็งพอ จึงไม่สามารถผ่านทุกขเวทนา ( ปวดขา ) นั้นไปได้

สาธุ … ที่อุทิศบุญกุศลให้
  

1952.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

หนูได้เคยอ่านหนังสือสนทนาธรรมของอาจารย์มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หนูยังติดในข้อสงสัยค่ะ เรื่องการขายประกันชีวิต ที่ว่าเป็นอาชีพที่เป็นกรรม หนูก็รู้สึกเห็นด้วยนิดๆ แต่ไม่ทราบว่ามันเป็นกรรมอย่างไร จึงอยากเรียนถามอาจารย์น่ะค่ะ เพราะตอนนี้หนูตั้งใจว่าจะบรรลุโสดาบันให้ได้ในชาตินี้ จึงตั้งใจเดินบนทางที่ถูกต้อง โดยเริ่มจากการรักษาศีล แต่ก็ยังมีด่างพร้อยอยู่นะคะ และพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมให้ตั้งอยู่บนกุศลกรรมบถ 10 จึงไม่อยากสร้างกรรมใดๆ จากการประกอบอาชีพค่ะ

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ 
    ต้องถามตัวเองและตอบตัวเองให้ได้ว่า การประกันชีวิตมีจุดประสงค์อะไร เช่น
      - ประกันชีวิตแล้ว ทำให้มีชีวิตรุ่งเรืองจริงหรือ
      - ประกันชีวิตแล้ว ไม่เกิดอกุศลกรรมขึ้นกับตัวเองจริงหรือ
      - ประกันชีวิตแล้ว ทำให้จิตเป็นอิสระจากสิ่งตอบแทนจริงหรือ
      - ประกันชีวิตแล้ว ไม่ลงไปเกิดในอบายภูมิได้จริงหรือ
         ฯลฯ

     ผู้ใดประสงค์พัฒนาจิตให้เข้าถึงสภาวธรรมเป็นอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน ต้องมีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหว ในคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระอริยสงฆ์ และต้องมีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คือมีจิตเป็นอิสระจากเมถุนสังโยชน์ หรือคือมีจิตเป็นอิสระจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสจากเพศตรงข้าม และประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่หวังไปเกิดเป็นเทพอยู่ในสวรรค์
  

1951.
หนูอยากถาม อ.ว่า
 
1. ถ้าเราคิดอยากจะทำบุญนั้น เราจะได้บุญมั้ยคะ   ตอนนั้นหนูคิดอยากที่จะทำบุญเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ อยากทำบุญนี้มากๆคะ หนูก็ไปค้นใน google แล้วก็เจออ่านไปอ่านมามันหมดวันที่เขารับบริจาคแล้ว แต่หนูก็ขออนุโมทนาสาธุกับเขา อย่างนี้หนูจะได้บุญมากน้อยเพียงใดคะ
 
2. ตอนนั้นหนูค้นเจอเกี่ยวกับการทำบุญสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัว ซึ่งได้บุญมาก หนูจึงอยากทำบุญนั้น แต่พออ่านไป กลับหมดเขตแล้ว เพราะเขาทำบุญสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัว   ตั้งนานผ่านไปหลายเดือนแล้ว   
หนูจึงอยากทำบุญมากๆๆๆๆเลยคะ อยากสร้างพระธรรมกายประจำตัวมากคะ ทำไงดีคะ แต่หนูก็ได้อนุโมทนาสาธุกับเขาแล้วนะคะ หนูจึงอยากทราบว่าหนูจะได้บุญนั้นเหมือนกับเขาเหล่านั้นมากน้อยเพียงใดคะ
 
3. ตอนนั้นวันเกิดหนูหนูได้ไปทำบุญที่วัด   ซึ่งเค้ามีการสร้างพระเพื่อนำไปบรรจุไว้ใต้ฐานองค์พระพุทธรูป แล้วหนูก็ได้ไปทำบุญนั้นค่ะ หนูดีใจมากที่ได้ทำบุญนั้น แล้วหนูก็ได้ขึ้นไปกราบไหว้พระพุทธรูปบนวิหาร   แล้วหนูก็เห็นเขากำลังทำบุญอยู่ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าภาพนำมาถวาย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเค้าสร้างพระมาถวายหรือว่านำอย่างอื่นมาถวาย
แต่ที่แน่ๆ บังเอิญมากคะ หนูได้ทำบุญนั้นร่วมกับเขาด้วย แต่หนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันคะว่าที่หนูถือไว้ในมือแล้วพนมมืออธิฐานนั้นจะเป็นผอบใส่ พระเกศา ของพระพุทธเจ้ารึเปล่า ซึ่งที่ใส่นั้นมีลักษณะเป็นใสๆคล้ายแก้ว แล้วหนูก็ส่งให้คนอื่นอธิฐานต่อ   เสร็จแล้วหนูก็เห็นพระท่านนำไปประดิษฐาน ไวในพระเศียรของพระพุทธรูป ซึ่งหนูดีใจมากๆๆๆ เลยคะที่หนูได้มาทำบุญและได้มาเจอการประดิษฐานสิ่งนั้น ไว้ในพระเศียรของพระพุทธรูป หนูจึงอยากทราบว่าสิ่งนั้นใช่พระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้ามั้ยคะ หรือว่าเป็นอย่างอื่น แล้วหนูจะได้บุญมากน้อยเท่าใดคะ
 
4. ทำไมหนูถึงชอบทำบุญมากๆคะ ทั้งๆที่วัยรุ่นเขาจะออกไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่างๆ กรรมใดคะที่ทำให้หนูชอบทำแบบนี้
 
5. หนูอยากทราบวิธีอนุโมทนาบุญที่ถูกต้องคะ ว่าทำยังไง   แล้วถ้าเราอยากทำบุญนั้นมากๆ แล้วเราไม่ได้ทำเราจะได้บุญมั้ยคะ
 
6. ทำไมตอนที่หนูไป ใส่บาตรตอนนั้น เวลาพระท่านให้พร หนูถึงมือสั่นไม่แน่ใจว่าตัวสั่นรึเปล่า เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้คะ และหนูก็เคยฝันว่าหนูได้ใส่บาตรพระด้วยคะ
 
7. หนูอยากทราบวิธีนั่งสมาธิอย่างไรให้ถูกต้องค่ะ,  อยากทราบการกำหนดจิตให้ถูกวิธี เพื่อการหลุดพ้นต้องทำอย่างไรคะ แล้วก็   เราต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่เราจะเข้าพระนิพพานได้คะ   และหนูต้องทำบุญอะไรคะถึงจะได้เกิดในยุคของพระศรีอาริยเมตตรัย แล้วได้เจอ ได้ฟังธรรมจากท่าน แด้บรรลุมรรคผลนิพพานคะ
 
8. ตอนนั้นหนูเห็นรถที่เขาเอาวัวต่างมาเพื่อมาฆ่า หนูเห็นวัวแล้วหนูอยากช่วยมัน หนูสงสารมัน หนูเคยคิดและพูดกับแม่ว่าถ้าหนูมีเงินเยอะๆหนูจะไปไถ่ชีวิตสัตว์ ด้วยเจตนาที่หนูอยากทำบุญช่วยชีวิตสัตว์ แต่ปัจจัยไม่เพียงพอ หนูจะได้บุญมั้ยคะ และหนูก็เคยฝันว่าหนูได้ช่วยชีวิตพวกมันด้วยคะ ^v^
 
9. หนูอยากทราบว่าชาติก่อนหนูทำบุญอะไรคะหนูถึงเกิดมาผิวขาว และ ชอบทำบุญ เพราะอะไรคะอาจารย์
 
  หากมีข้อผิดพลาดประการใดหนูต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ .(ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ได้เมตตาตอบนะคะ)

คำตอบ
       (๑) เห็นคนอื่นทำบุญแล้วเราอนุโมทนา ถือว่าเราได้บุญด้วย ส่วนจะได้บุญมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกำลังของศรัทธาในขณะอนุโมทนาบุญ และยังขึ้นอยู่กับความสบายใจที่เกิดหลังอนุโมทนาแล้ว หากมีความสบายใจเกิดมาก ถือได้ว่าเกิดบุญมาก

     (๒) ได้บุญเหมือนข้อ (๑)

     (๓) ประสงค์จะรู้ว่า สิ่งที่ตนถือไว้เป็นพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ตนเอง จนเกิดอภิญญา ๕ ได้เมื่อใด โอกาสที่จะรู้ เห็น เข้าใจในสิ่งย่อมเกิดขึ้นได้

     (๔) ทานและศีล มีพลังผลักดันจิตมนุษย์ให้ฝักใฝ่อยู่กับการทำบุญ

     (๕) อยากทำบุญ (ตัณหา) เป็นกิเลส มีความอยากแต่ไม่ได้ทำบุญ บุญย่อมไม่เกิดขึ้น

     ผู้ใดมีสติระลึกได้ถึงการกระทำความดีของผู้อื่น แล้วตนมีจิตเห็นดีด้วย หรืออาจจะกล่าวคำว่า “สาธุ” หรือคำว่า “ดีแล้ว” บุญจึงจะเกิดขึ้นกับผู้นั้น

     (๖) หลังจากนำอาหารไปใส่ลงในบาตรพระ แล้วพระให้พร ผู้ถามปัญหา (ใส่บาตร) เกิดอาการมือสั่น เป็นด้วยเหตุ จิตมีปีติเกิดขึ้น

     (๗) การพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ สามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ และหากประสงค์พัฒนาจิตไปสู่ความหลุดพ้น (พ้นทุกข์) ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง แล้วกำจัดสังโยชน์ ๑๐ ให้หมดไปจากใจ ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้น

     อนึ่ง ผู้ใดปรารถนาเกิดมาพบพระศรีอารยเมตไตรย ได้ฟังธรรมและได้บรรลุธรรม ต้องประพฤติดังนี้
      (๑) สร้างมหาทาน เช่น เลี้ยงพระ ๗ วัน
      (๒) อธิษฐานขอพบพระศรีอารยเมตไตรย ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ และบรรลุธรรมนั้นด้วย
      (๓) ต้องทำเหตุให้ตรง

     เหตุตรงที่จะทำให้พบพระศรีอารยเมตไตรย ต้องประพฤติดังนี้
      - ต้องมีชีวิตอยู่อย่างสงัด
      - นิยมให้ทานอยู่เสมอ
      - ชอบเสวนาอยู่กับคนที่ไม่โกรธ
      - ชอบคบคนมีปัญญา
      - มีจิตเบื่อหน่ายสังสารวัฏ
        ฯลฯ

      (๘) เพียงแค่คิดช่วยชีวิตวัว แม้ไม่มีเงินไถ่ชีวิตให้วัวก็ได้บุญแล้ว

      (๙) คำถามไม่เป็นเหตุออกจากความหลง ขออภัยไม่ตอบ
   

1950.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพเป็นอย่างสูง

ผมเริ่มเข้ามาปฎิบัติธรรมตั้งแต่ อายุประมาณ 21 ปี ตอนนี้ผมอายุ 27 ปี ก่อนจะเข้ามาปฎิบัติธรรมก็ผิดศีล 5 เพราะไม่รู้ว่า ทำผิดศีลแล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อผมได้เข้ามาศึกษาปฎิบัติธรรมก็ ตั้งใจรักษาศีล 5  แต่ก็มีที่ยังบกพร่องละเมิดศีลอยู่บ้าง เมื่อผมได้เข้ามาศึกษาปฎิบัติธรรมก็ได้ พาแม่ และ ครอบครัว ปฎิบัติธรรมด้วย ครอบครัวเราก็มีความสุขมากขึ้น เมื่อมีธรรมะภายในใจ แต่ตอนนี้ผมมีปัญหาทุกข์ใจมาก คือเรื่องลูกที่กำลังจะเกิดมา ตอนนี้ภรรยาผมท้องได้ประมาณ 8 เดือน หมอพบความผิดปกติ ภายในท้องของลูก ตอนนี้หมอยังวินัจฉัยไม่ได้ ว่าเป็นถุงน้ำภายในกระเพาะปัสสาวะ หรือ ภายในรังไข่
ต้องรอไปตรวจเพิ่มอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ตอนไปตรวจอัลตร้าซาวด์ 5 เดือนก็ยังสมบูรณ์ดี ทำให้ครอบครัวผมตอนนี้ทุกข์ใจมาก ผมและภรรยาแต่งงานกันมาประมาณ 3 ปี ก็ยังไม่มีลูก จึงไปหาพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ ท่านให้ผมและภรรยา ไปเป็นเจ้าภาพบวชพระ และ อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ผมเลยไปเป็นเจ้าภาพร่วมบวชพระ (น้องที่เป็นกัลยาณมิตรที่นับถือกันเป็นคนที่แนะนำให้ผมได้ฟังเสียงธรรม ของท่านอาจารย์สนอง ด้วย) ผมได้ทำตามที่พระท่านแนะนำ และผมก็ได้ อธิฐานตามที่ท่านอาจารย์สนอง แนะนำมาด้วยคือ ขอให้เทวดาที่มีสัมมาทิฐิ มาเกิดเป็นลูกของผม หลังจากบวชพระแล้วกลับมา ได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ภรรยาก็ตรวจพบว่าได้ตั้งครรภ์ และ เมื่อท้องได้ประมาณ 5 เดือนภรรยาเล่า ให้ฟังว่า เห็นผู้ชายร่างใหญ่ตัวดำมายืนให้เห็น 2 ครั้ง ในฝันภรรยาผมก็ได้ ไล่ไม่ให้มายุ่ง   แล้วเมื่อมีโอกาสไปทอดผ้าป่า ที่วัดที่พระอาจารย์ที่เคารพนับถือ ก็ได้เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็บอกไม่มีอะไร ผมจึงไม่ได้คิดอะไร ครอบครัวผมก็ทำบุญ ปฎิบัติธรรมมาโดยตลอด จึงอยากรบกวนขอความเมตตาท่านอาจารย์สนองว่า จะมีวิธีไหน ที่ช่วยเหลือลูก ที่อยู่ในท้องภรรยาได้บ้างครับ เมื่อทำบุญปฎิบัติธรรมแล้ว ควรจะอุทิศบุญยังไง หรือ ผมจะต้องทำบุญยังไง ให้เจ้ากรรมนายเวร ของลูกผมได้บ้างครับ

สุดท้ายนี้ผมขอความเมตตาจากท่านอาจารย์สนอง ด้วยครับ
ถ้าคำถามนี้เป็นการรบกวนผมขอให้ท่านอาจารย์สนอง ได้ยกโทษอโหสิกรรมให้ผมด้วยครับ

กราบขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
      ผู้ตอบปัญหามิได้แนะนำใครผู้ใดให้ขอลูกเทวดาที่มีสัมมาทิฏฐิมาเกิด แต่ได้แนะนำถึงสามอย่างว่า ขอให้เทวดาที่มีสัมมาทิฏฐิมาเกิด เอาสมบัติมาด้วย และเอาบริวารมาด้วย

     เมื่ออธิษฐานแล้ว ต้องทำเหตุให้ตรง เทวดาจึงจะลงมาเกิดในครรภ์ของมนุษย์ได้ คือผู้เป็นแม่ต้องบำเพ็ญทาน และต้องรักษาศีลอยู่เสมอ หรือปฏิบัติจิตตภาวนาอยู่เสมอ หากทำเหตุให้ถูกตรงได้ตามนี้แล้ว โอกาสที่เทวดาจะลงมาเกิดเป็นลูก ย่อมมีได้เป็นได้

     สุดท้าย อโหสิให้แล้วครับ
   

1949.
เรียน อาจารย์สนอง วรอุไร

ดิฉันอยากให้ท่านช่วยแนะนำปัญหานี้ด้วยค่ะ เพื่อนของดิฉันได้ผูกคอตายที่ทำงานที่เขาพักอาศัยอยู่ ดิฉันอยากให้ท่านแนะนำว่าทำอย่างไรให้เขาพ้นทุกข์จากกรรมนี้ และดิฉันได้ทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้เขาเสมอ เขาจะสามารถได้รับบุญนี้หรือไม่ เขา ไปเกิดภพภูมิใหม ่หรือยังต้องวนเวียนในสถานที่ที่เขาฆ่าตัวตาย จะมีวิธีช่วยเขาได้หรือไม่ ขอรบกวนอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำนี้
ดิฉันรู้สึกเป็นห่วงเขามากค่ะ (เขาเป็นคนรักและช่วยเหลือสัตว์เสมอ)

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
     ผู้ใดกระทำกรรมที่ให้ผลเป็นอกุศลวิบากแล้ว ผู้ทำกรรมต้องเป็นผู้เสวยผลแห่งกรรมนั้น ไปจนกว่าจะหมดสิ้น และไม่มีใครผู้ใดสามารถละเมิดกฎแห่งกรรมนี้ได้

     ผู้ถามปัญหาได้ทำบุญ และได้แผ่ส่วนบุญกุศล ไปให้ผู้ที่ผูกคอตายไปแล้ว ผู้ตายไม่สามารถมาอนุโมทนาบุญได้ ทั้งนี้เป็นเพราะจิตวิญญาณของผู้ตาย ได้โคจรไปเกิดอยู่ในภพภูมิที่อับวาสนา จึงไม่สามารถมาอนุโมทนาบุญที่มีผู้แผ่อุทิศให้
  

1948.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง  

   กระผมขออนุโมทนาบุญกับบุญกุศลที่อาจารย์ได้สั่งสมมาครับ และขอให้อาจารย์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของพวกเราไปนานๆ ครับ
 
  กระผมมีปัญหาอยากจะขอความกรุณารบกวนเวลา ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ช่วยตอบปัญหาให้กระผมด้วยเนื่องจาก ผมกลัวเรื่องของเวรกรรมและบาปกรรม
  เรื่องมีอยู่ว่า ตัวกระผมได้ไปรู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งรู้จักกันมาเป็นเวลาประมาณ 3-4 เดือน โดยที่ก็พูดคุยกันถูกคอดี ตัวผมเองนั้นกำลังอยู่ในช่วงตบแต่งบ้านใหม่ที่ตั้งใจว่าจะย้ายเข้าไปอยู่ และต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งในการตบแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์ โดยที่ตัวผมเองก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองแต่อย่างใด และผมเองก็ได้เล่าเรื่องนี้ ให้กับผู้ใหญ่ท่านนี้ฟัง ซึ่งผู้ใหญ่ท่านนี้ ก็มีใจเมตตาเสนอตัวว่าจะช่วยผมในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการตบแต่งบ้าน และรวมถึงค่าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก และผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ได้บอกกับตัวกระผมว่า เค้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดๆตอบแทน เพียงแต่ขอให้ในอนาคตข้างหน้าหากตัวกระผมเห็นใครเดือดร้อน ก็ให้ช่วยเหลือเกื้อกูล ตามสภาพ โดยที่ผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ได้โอนเงินมาให้ผมจำนวนหนึ่ง แล้วและยังโอนเงินค่าโทรศัพท์มือถือมาให้ผมด้วยเป็นรายเดือน เดือนละ 500 บาทโดยที่ผมไม่ได้ร้องขอเรื่องค่าโทรศัพท์มือถือแต่อย่างใด และยังโอนเงินมาให้ใช้จ่าย เป็นจำนวนหลักหมื่น ซึ่งผมก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าในสังคมปัจจุบันนี้ มีบุคคลแบบนี้อยู่ด้วยหรือ จะมีคนที่หยิบยื่นเงินทองให้เรา โดยที่ไม่หวังผลใดๆกับเราจริงหรือ ในช่วงที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้ผมไม่สามารถทำงานหาเงินมาได้มากเท่าเดิม แต่กระผมก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินแต่อย่างใด เนื่องจาก ตัวผมเองก็มีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่งและกระผมเองก็ทำงานหลายอย่าง ซึ่งผู้ใหญ่ท่านนี้ก็เมตตา และเสนอจะให้เงินผมเป็นรายเดือนๆละประมาณ 5 หมื่นบาททุกเดือน ณ.ตอนนี้เงินของผู้ใหญ่ท่านนี้ผมยังเก็บอยู่ในบัญชี และได้กันไว้มิได้นำออกมาใช้แต่อย่างใดเนื่องด้วยกลัวว่า ในอนาคตข้างหน้าหากมีปัญหา หรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นผมจะได้นำเงินทั้งหมดที่ผู้ใหญ่ท่านนี้ให้มานำไปคืนเขาได้ กระผมอยากจะรบกวนถามท่านอาจารย์ดร.สนองดังนี้ครับ
 
   1. ผมสมควรที่จะรับเงิน รับการช่วยเหลือของท่านผู้ใหญ่ท่านนี้ไว้หรือไม่อย่างไรครับ กรุณาช่วยชี้แนะให้แนวทางด้วยครับ(ซึ่งกระผมเข้าใจดีว่าชีวิตเป็นของตัวกระผม ผมต้องตัดสินใจเอง แต่อยากขอแนวทางและคำแนะนำจากท่านอาจารย์ ดร.สนอง เพื่อที่จะไม่ทำอะไรไปโดยที่เราไม่รู้ว่าสิ่งๆนั้นเราควรทำหรือไม่ควรทำ)
 
   2. หากผมรับเงินของผู้ใหญ่ท่านนี้ และนำไปใช้ผมจะมีบาปกรรมกับผู้ใหญ่ท่านนี้หรือไม่ครับ และต้อง ชดใช้คืนในภายภาคหน้าหรือเปล่าครับ
 
   3. หากการรับเงินนี้เป็นการก่อบาปกรรมเกิดขึ้น ผมควรจะทำอย่างไรเพื่อมิให้บาปกรรมเกิดขึ้น (โอนเงินทั้งหมดคืนให้กับผู้ใหญ่ท่านนั้นหรือเปล่าครับ)
 
   4. อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ช่วยแนะนำครูบาอาจารย์ทางธรรมที่เป็นพระอริยะ เพื่อที่กระผมจะไปกราบไหว้บูชาและขอฝากตัว อบรมและ ปฎิบัติธรรม (ในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หรือจังหวัดที่ใกล้กรุงเทพมหานคร)
 
   สุดท้ายนี้หากการกระทำของผม ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ ทั้งในปัจจุบันและในอดีตที่ผ่านมาทุกภพ ทุกชาติ ได้เคยประมาทพลาดพลั้ง และได้ก้าวล่วงท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ขอให้ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร อโหสิกรรมให้ผมด้วยครับ
 
  กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     (๑) ผู้ใดขัดขวางมิให้ผู้อื่นให้ทานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้ปิดกั้นบุญ ปิดกั้นบารมี ปิดกั้นความสุข ปิดกั้นทางสวรรค์ ปิดกั้นบ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งปวง ฯลฯ ของผู้ให้ทาน ดังนั้น หากผู้รับ มีความอิ่ม มีความเต็ม มีความไม่พร่องในมนุษยสมบัติแล้ว ไม่ควรปฏิเสธทานของผู้ให้ แต่ควรนำทาน ( ทรัพย์ ) นั้น ไปทำบุญต่อ แล้วอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้าของทาน

     (๒) ผู้ใดประพฤติตนเป็นคนไม่พร่อง มีความอิ่ม เต็ม พอ และไม่ขาด บาปจะไม่เกิดขึ้นอันเนื่องจากทานที่ได้รับ จึงไม่จำเป็นต้องชดใช้หนี้เวรกรรมในภายภาคหน้า

     (๓) ควรประพฤติตามข้อ (๒)

     (๔) แนะนำให้ฝากตัวเป็นศิษย์และปฏิบัติธรรมกับ หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

     สุดท้าย อโหสีให้กับผู้ถามปัญหา จงพัฒนาจิตตนเองให้มีธรรมวินัยของพุทธศาสนา ตลอดไป
  

1947.
กราบเรียนอ.ดร.สนอง วรอุไรค่ะ

     เวลานั่งสมาธิเห็นอะไรวิปัสสนาจารย์แนะนำให้กำหนดเห็นหนอ อย่าหลงไปดู เป็นการตัดภพตัดชาติ   หนูกำหนดแล้วมันก็ดับ คิดอะไรกำหนดคิดหนอแล้วมันก็ดับ   กลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ ในวันที่ 6 ของการปฏิบัติบังเอิญหนูมองเห็นคนที่อยู่ในห้องได้ ทั้งๆที่ปิดประตูอยู่ ตอนนั้นจิตมันกำหนดไปเองว่าเห็นหนอ แล้วภาพนั้นมันก็ดับไป หลังเกิดเหตุการณ์หนูรู้สึกเสียดาย อยากดูอยากรู้ว่ามันจริงหรือเปล่า   แต่ตอนนั้นจิตมันกำหนดไปเองไม่ได้ตั้งใจจะกำหนดให้มันหาย และในวันที่ 7 ของการปฏิบัติ สิ่งที่เห็นในสมาธิหนูคิดว่ามันไม่ใช่อุปกิเลส   แต่มันเป็นอดีตชาติของหนู ซึ่งพอเริ่มเห็นต้นเรื่อง หนูกำหนดเห็นหนอมันดับหมดเลย แล้วเหมือนกับจะเห็นหลายเรื่องหลายอย่างมากๆ   แต่ในตอนนั้นกำหนดมันก็หายหมด   พอออกจากสมาธิแล้วรู้แต่มีภาพเกิดขึ้นในนิมิต ภาพอะไรก็จำไม่ได้ มันทำให้หนูรู้สึกติดใจสงสัยมากๆ อยากดูอยากรู้มากๆ ว่าในอดีตเราเป็นยังไงมาบ้าง จิตใจวกวน วนเวียน อยู่กับความอยากรู้อยู่หลายครั้ง ถ้าหนูมีโอกาสเห็นได้อีก หนูจะขอดูขอรู้อดีตได้ไหมค่ะ ถ้าเราไม่กำหนดเห็นหนอแล้ววางมันไปเหมือนทุกครั้ง เราจะสามารถรู้อดีตของเราได้ใช่หรือไม่ แล้วความอยากดูอยากรู้ที่เกิดนี้ ถ้าเราสนองตอบมัน จะทำให้ล่าช้าต่อการปฏิบัติหรือไม่ค่ะ อย่างไรจะเป็นผลดีและถูกตรงกับหลักปฏิบัติค่ะ (เพราะหนูมีความคิดว่าถ้าเรารู้อดีตได้ เราจะได้อุทิศบุญกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวรของเราได้ถูกต้องตรงจุด และหนูก็อยากพิสูจน์ว่าอดีตชาติมีจริงๆ ถ้าหนูได้เห็นจริงๆก็อาจจะเชื่อมากขึ้น)      

กราบขอบพระคุณค่ะ     

คำตอบ
      ผู้ที่ประสงค์จะรู้อดีตของตัวเอง ต้องพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนเข้าถึงสมาธิสูงสุด ( ฌาน ) ถอนจิตออกจากความทรงฌาน แล้วอธิษฐานขอเห็นอดีตชาติของตัวเอง ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้น การทำเช่นนี้เป็นการปฏิบัติธรรมที่ผิดทาง ไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

     หลังปฏิบัติธรรมแล้ว ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร หากเขามาอนุโมทนาบุญ เขาจึงจะได้รับผลแห่งบุญนั้น
  

1946.
กราบเรียนท่าน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ค่ะ

  ดิฉันมีข้อสงสัยในการปฏิบัติธรรมค่ะ ถ้าดิฉันเกิดอาการเบื่อขึ้นมามันรู้สึกว่าเบื่อมาก   ดิฉันนั่งมองความเบื่อนั้นจนมันหายไป และบางทีมันก็เกิดอารมณ์รู้สึกเฉยๆขึ้นมา ดิฉันก็นั่งมองอารมณ์เฉยๆนั้น จนมันหายไป บางทีก็เกิดความรู้สึกอยากได้โน่นได้นี่ นั่งมองอารมณ์นั้นจนมันหายไป แบบนี้เรียกว่าการปฏิบัติธรรมหรือไม่ และขอแนววิธีปฏิบัติที่ถูกต้องด้วยค่ะ   หรือว่าสิ่งที่ดิฉันทำอยู่คือวิธีที่ถูกต้องแล้ว

คำตอบ
   ความเบื่อเป็นอารมณ์ของจิตที่เป็นได้ใน ๒ ลักษณะ คือ เบื่อโดยมีกิเลสเป็นตัวเข้ากระทบจิต แล้วทำให้อารมณ์เบื่อเกิดขึ้น ส่วนความเบื่อในลักษณะที่สอง เกิดขึ้นจากการพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งที่เรียกว่า นิพพิทาญาณ โดยมีเครื่องชี้วัดให้รู้ได้ว่า ตนได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงนิพพิทาญาณ แล้วมีผลติดตามมาคือ จิตเกิดอารมณ์ใคร่จะพัฒนาต่อไปให้พ้นไปจากรูปนาม (มุจจิตุกัมยตาญาณ) ตรงกันข้าม หากเกิดความรู้สึกอยากได้โน่นอยากได้นี่เกิดขึ้นกับจิตแสดงว่า จิตเกิดความเห็นผิด อารมณ์อยากได้จึงได้เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้ปรารถนาปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า ต้องใช้จิตตามดูอารมณ์อยากได้ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) จนเห็นแจ้งว่า ความอยากได้เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) จิตย่อมปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน และเข้าถึงความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ พร้อมกับมีปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่า เป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกทาง
  

1945.
กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

     หนูเป็นคนหนึ่งที่ติดตามอ่านข้อความในสนทนาภาษาธรรม คือหนูอยากจะกราบ ขอความเมตตาจากอาจารย์ช่วยตอบปัญหาให้หนูด้วยนะคะ หนูเคยป่วย เป็นโรคทางจิตมาเป็นเวลา 1 ปีเเต่ตอนนี้หายดีเเล้วค่ะ ในขณะที่หนูป่วย ได้จาบจ้วงล่วงเกินพระรัตนะตรัยไปมากโดยเฉพาะพระพุทธเจ้า ล่วงเกินท่านเป็นประจำด้วยมโนกรรม หนูเชื่อว่าความคิดไม่ดีเหล่านี้ได้เก็บบันทึกไว้ในอกุศลสัญญา ตอนที่หนูหายใหม่ๆ เเทบจะสวดมนต์ไม่ได้เพราะจิตได้ผุดสิ่งไม่ดีมาเพียบ หนูเเก้ปัญหาโดยการขอขมากรรมต่อหน้าพระ พุทธรูปเป็นประจำ ทุกอย่างดีขึ้น เเละตอนนี้หนูก็สวดมนต์ได้ตามปกติ

     ตอนที่หนูยังไม่หายดี หนูอ่านเรื่องทานบารมีที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนว่า "ทำทานเเล้วไม่มีจิตผูกพันในผลของทานเเล้วให้ทาน" หลังจากนั้นหนูคิดไม่ออกว่า ไม่มีจิตผูกพันในผลของทานทำยังไง หนูก็เลยจาบจ้วงล่วงเกินท่านด้วยคำว่า"โง่" ที่ไม่ให้มีจิตผูกพันในผลของทาน   พอได้สติหนูก็เสียใจ เเละได้ขอขมากรรมต่อพระพุทธเจ้าหน้าพระพุทธรูปเเล้วก็คิดได้ว่าคนมีสติดี เเละมีจิตเป็นปกติคงไม่คิดเเบบหนูเเน่ๆ เเละตอนนี้หนูก็กลัวมากเลยค่ะ กลัวว่าจะต้องเกิดมาโง่อีก หลายชาติ

     เเละก็มีอีกตอนนึงคือ หนูอ่านเรื่องพระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ซึ่งบำเพ็ญบารมีมาน้อยกว่าพระวิริยะธิกะพุทธเจ้า เเละพระศรัทธาธิกะพุทธเจ้า เเต่ได้บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าได้เร็วกว่าพระวิริยะธิกะพุทธเจ้า เเละพระศรัทธาธิกะพุทธเจ้า จึงได้คิดปรามาสพระวิริยะธิกะพุทธเจ้า เเละพระศรัทธาธิกะพุทธเจ้า ท่านไปว่าทำไมไม่ทำบุญด้วยตู้พระไตรปิฎก ทำบุญด้วยปัญญามากๆ จะได้บรรลุธรรมได้เร็วเหมือนพระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ตอนนั้นความคิดปรุงเเต่งเร็วมาก เเละด้วยความขาดสติอย่างรุนเเรงในหัวสมองจึงมีคำว่า "โง่" ไหลออกมาอีก พอสติกลับมาหนูเสียใจมาก เเละก็ได้ขอขมากรรมต่อพระพุทธเจ้าหน้าพระพุทธรูป เเละตอนนี้หนูก็กลัวมากเลยค่ะ กลัวว่าจะต้องเกิดมาโง่อีกหลายชาติ

หนูมีปัญหาที่จะสอบถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

     1. ถ้าหนูนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูปที่มีคนกราบไหว้บุชากันมากๆ หรือพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือบรรจุพระธาตุของพุทธสาวก แล้วสวดมนต์บทบูชาคุณพระรัตนตรัย หลังจากเจริญสวดมนต์แล้วเสร็จ ต้องกล่าววาจาขอขมากรรมที่เคยล่วงเกินพระพุทธเจ้า และต้องรักษาสัจจะไม่คิดล่วงพระพุทธเจ้าให้เกิดขึ้นอีก พร้อมทั้งมีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น

    1.1 ถ้าหนูทำตามที่อาจารย์เเนะนำข้างบน กรรมที่หนูจาบจ้วงล่วงพระพุทธเจ้า จะยุติการให้ผลรึปล่าวคะ?

     2. เศษกรรมจะทำให้หนูเกิดเป็นคนโง่อีกหลายภพชาติ รึปล่าวคะ? เเล้วทำยังไงถึงจะไม่ต้องเกิดเป็นคนโง่ อีกหลายภพชาติคะ?

กราบขอบพระคุณอาจารย์ในความเมตตาเเละกรุณาที่ตอบปัญหาให้กับหนูค่ะ

ขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่เเข็งเเรง อายุยืนยาวนานอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ศิษย์นานๆค่ะ

     ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    
(๑) ศีลและสัจจะ มิได้เป็นเหตุตรงที่จะทำให้พฤติกรรมปรามาสหมดไป

       (๑.๑) ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีกำลังต้านมารกล้าแข็ง ต้องเจริญพละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) อยู่เสมอ แล้วใช้สติและปัญญาเห็นแจ้ง ส่องนำทางให้ชีวิต พฟติกรรมจาบจ้วงพระพุทธเจ้าจะไม่เกิดขึ้นอีก

     (๒) ผู้ใดประสงค์จะไม่เป็นคนโง่อีกต่อไป ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใด ความโง่ย่อมลดน้อยลง และหมดไปจากใจได้ในที่สุด
  

1944
สวัสดีค่ะ

ดิฉันเคยส่งคำถามไปหาดร.สนอง วรอุไร ครั้งนึง แต่ไม่มั่นใจว่าคำถามถึงมือหรือยัง เพราะวันนั้นไปกดปุ่มผิด เลยขอส่งคำถามใหม่อีกครั้งนะคะ

    ดิฉันเคยนั่งกรรมฐานแล้วจิตวิตปราส พอไปรักษายิ่งทำให้เรื่องราวมันซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ดิฉันรู้สึกได้ว่ามีอะไรคอยเข้าร่างเวลาเดินไปไหนมาไหน แทบเกือบจะตลอดเวลา แถมยังเวลาไหว้พระเหมือนมีบางสิ่งที่สิงอยู่ในร่างทนไม่ได้หลุดออกไป ปัจจุบันนี้ดีขึ้นบ้าง แต่ยังไม่หายจากสิ่งที่เป็น

   ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน แล้วจะมีทางแก้ไขไหม นอกจากนี้ดิฉันจะบาปตกนรกไหมที่ไปคิด พูด ทำไม่ดีกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะผลจากการเพี้ยนในครั้งนี้

       ขอกราบขอบพระคุณคะ

คำตอบ
    เกิดจากการปฏิบัติธรรมผิดทาง ทำให้จิตขาดสติ ความวิปลาสของอารมณ์จึงได้เกิดขึ้น และยิ่งไปให้ผู้รู้ไม่จริงแก้ปัญหาให้ ความวิปลาสของจิตย่อมมีเพิ่มมากขึ้น หนี้เวรกรรมที่ประพฤติอกุศลกรรมบถ สามารถนำพาชีวิตไปสู่ภพนรกได้ ดังนั้น หากผู้ถามปัญหาประสงค์นำพาชีวิตมาสู่ทางที่ สะดวกราบรื่นและมีความสุข ต้องนำตัวเองเข้าใกล้ แล้วฝากตัวเป็นศิษย์กับผู้รู้จริงและเข้าถึงธรรมได้จริงแล้ว ปัญหาที่บอกเล่าไปจึงจะหมดลง
  

1943.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

        ดิฉันได้ฟังธรรมจากเว็บไซด์ ที่อาจารย์แสดงตามสถานที่ต่างๆ และได้ยินอาจารย์กล่าวถึงพระนิยตโพธิสัตว์ จากการฟังบ่อยๆในหลายครั้ง ที่อาจารย์แสดงธรรม  ทำให้ดิฉันเชื่อว่าพระนิยตโพธิสัตว์ ที่อาจารย์กล่าวถึง คือครูบาบุญชุ่ม ดิฉันไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน ก็ได้พยายามหาข้อมูล หาประวัติของท่านทางอินเตอร์เน็ต ได้รวบรวมเก็บธรรมะที่ท่านแสดงโดยการเขียนด้วยลายมือท่านเองไว้บ้าง เท่าที่จะหาได้ ดิฉันมิได้เกิดความลังเลสงสัยในตัวท่านเลยแม้แต่น้อยเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันไม่มีปัญญาสูงพอที่จะตัดสิน จึงเชื่ออ.สนองซึ่งเป็นผู้รู้ บอกกล่าวแนะนำ แต่ปัญหามีอยู่ว่าดิฉันจะไปแนะนำบอกกล่าวผู้ใกล้ชิดอย่างไร   โดยไม่ให้เขาปรามาสท่าน เพราะการแต่งกาย การมีเครื่องใช้ และอย่างอื่นที่ทำให้ภาพลักษณ์ของท่านต่างจากพระอริยสงฆ์ท่านอื่น และบางภาพเหมือนท่านมิได้โกนคิ้ว   ซึ่งผู้ที่ขาดความเชื่อความเคารพ และไม่รู้จริงอาจจะคิดปรามาสท่านให้เป็นบาปเป็นอกุศล จึงขอความกรุณาจากอาจารย์ ช่วยบอกวิธีที่ดิฉันจะไปให้ความกระจ่างกับผู้อื่นได้ เพื่อให้เขาคลายความสงสัยได้ในระดับหนึ่ง

ขอกราบพระคุณอย่างสูง
วัฒนา ถิ่นนคร นครศรีธรรมราช

คำตอบ
     ศรัทธา หมายถึง ความเชื่อถือหรือความเลื่อมใส การณ์จะเป็นเช่นนี้ได้ บุคคลต้องมีปัญญาเสมอกัน หรือมีปัญญาสูงกว่า จึงจะรู้ เห็น เข้าใจ พฤติกรรมของบุคคล ว่าถูกตรงตามความรู้หรือปัญญา ที่เป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่แสดงออกให้สัมผัสได้ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงจึงไม่แนะนำ หรือไม่บอกกล่าวให้ศรัทธาในพฤติกรรมของผู้มีปัญญาสูงกว่า ด้วยการใช้ระบบประสาทเป็นตัวตัดสินความถูกผิด ตรงกันข้าม ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาสูงสุด ( ภาวนามยปัญญา ) ได้แล้ว ย่อมศรัทธาในสิ่งที่จิตสัมผัสได้ เมื่อศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว การลบหลู่ดูหมิ่น หรือพฤติกรรมปรามาสจะไม่เกิดขึ้น
  

1842.
สวัสดีค่ะ ดร. สนอง
 
   หนูมีปัญหาอยากเรียนถามดังนี้ค่ะ คือ หนูมีลูกเล็กๆ 7 ขวบ และ 4 ขวบ   เมื่อก่อนหนูจะรอให้ลูกหลับก่อนแล้วค่อยมาสวดมนตร์ ถ้ายังไม่ง่วง หนูก็จะนั่งสมาธิต่อ แต่ว่าถ้าช่วงลูกปิดเทอมแล้วรอให้เค้าหลับก่อน ซึ่งบ่อยครั้งหนูก็จะหลับตามลูกไปด้วยค่ะ

     หนูอยากทราบว่า ถ้าหนูไม่รอให้เค้าหลับ แล้วหนูออกมาสวดมนตร์นอกห้อง แล้วเค้าเดินมาออกมาคุยด้วยบ้าง มาถามโน้นถามนี่บ้าง ลูกหนูเค้าจะบาปไหมค่ะ หรือขึ้นอยู่กับเรา   ตอนแรกๆหนูก็คิดว่า เค้าบาปค่ะ แต่ตอนหลังพอหนูปล่อยวางได้มากขึ้น หนูก็คิดว่ามันจะบาปไม่บาปอยู่ที่ใจของเราถ้าเราอารมณ์ไม่ขุ่น เราก็ตอบปัญหาให้ลูกไปก่อนแล้วก็สวดใหม่ก็ได้อย่างนี้ถูกหรือเปล่าค่ะ

     รบกวน ดร.สนอง ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ทุกวันนี้หนูก็สอนให้ลูกสวดมนตร์ค่ะ คนเล็กก็สวดบทอิติปิโส ได้แล้วค่ะ แล้วก่อนเค้าก็จะต้องเปิด CD เรื่อง มักกะรีผล + นารีผล ฟังด้วยทุกคืนเลยค่ะ
 
   กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     ขณะที่ผู้ถามปัญหากำลังทำความดี ( สวดมนต์ ) แล้วมีลูกมาทำให้กุศลกรรมนั้นต้องยุติลงชั่วคราว อานิสงส์ก็คือบาป ได้เกิดขึ้นกับลูกที่เข้ามาขัดขวาง

     สิ่งที่บอกเล่าไปว่า “ถ้าเรามีอารมณ์ไม่ขุ่น” แสดงว่าได้เกิดอารมณ์ขุ่นมัว ( บาป ) ขึ้นแล้ว และถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิตของผู้เป็นแม่ ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด สอนลูกทั้งสองมาสวดมนต์ด้วยกัน หลังสวดมนต์แล้วชวนลูกทั้งสองเจริญอานาปานสติ ประมาณ ๕ นาที แล้วชวนลูกอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เมื่อใดที่ลูกทั้งสองมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ คลื่นสมองย่อมปรับตัวเข้าสู่ความเป็นระเบียบ จะมีผลทำให้ลูกเรียนหนังสือเก่งโดยอัตโนมัติ

     หรือในอีกกรณีหนึ่ง ที่จะไม่ให้บาปเกิดขึ้นกับทั้งแม่และลูก ต้องเลื่อนเวลาสวดมนต์ ไปสวดตอนเช้าหลังตื่นนอน วิธีนี้เกิดผลดีกับแม่ แต่ไม่เกิดกับลูก
  

1841.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

กระผมเป็นคนที่กลัวตายมาก ๆ โดยเฉพาะตอนขึ้นลิฟท์ จะเกิดความกลัวว่าลิฟท์จะค้างและไม่มีใครช่วย ทุกครั้ง เป็นเพราะอะไร และจะแก้ความกลัวนี้ได้อย่างไรครับ ตอนนี้เครียดมาก ๆ เพราะต้องขึ้นลิฟท์ทุกวัน
 
ขอแสดงความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     เป็นเพราะจิตขาดสติ และมีโปรแกรมที่เห็นผิดฝังไว้ในดวงจิต เป็นอกุศลสัญญา ผู้ใดปรารถนาให้ตนเองพ้นไปจากความกลัวเช่นนี้ได้ ต้องสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ต้องเจริญอานาปานสติอยู่เสมอ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนี้เวรกรรมหมดไป แล้วความกลัวตายขณะขึ้นลิฟท์ จะไม่เกิดขึ้นอีก
  

1840.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

     เมื่อไม่นานมานี้หนูก็ได้ฟังเทศน์ของท่านอาจารย์จากยูทูป ตัวหนูเองอยู่อเมกา และก็สนใจเรื่องที่ท่านอาจารน์ได้เทศน์สอนมากๆ ขอความเมตตาตอบคำถามด้วยเทอญ พอฟังแล้วก็มีคำถามมารบกวนท่านอาจารย์ดังนี้เจ้าค่ะ

     1. เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมาหนูก็ประสบอุบัติเหตุถึงกับเลือดออก แล้วเจ็บปวดทรมานร่างกายมากๆ นอนอยู่ก็จนตัวสั่นไปทั้งตัว เจ็บมากจนคิดว่าถ้ามันเจ็บปวดมากนักก็ไม่อยากอยู่ล่ะ ตายก็ดีเหมือนกัน ก็เลยท่องพุทโธได้ไม่นานก็เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอน มีสติดีทุกอย่าง ไม่รู้สึกเจ็บปวดร่างกายเลย ก็อยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ สักพักก็บอกตัวเองว่า "อยู่ยาวไม่ได้นะต้องตื่นไปทำความสะอาดร่างกายก่อนแล้วค่อยกลับมานอนอีก" หนูก็ลุกตื่นนอนได้ทันทีเลยค่ะ พอร่างกายสะอาดแล้ว ก็กลับมานอนพุทโธแบบเดิมอีกเจ้าค่ะ พอพุทโธไม่นานก็เหมือนไม่มีตัวตน หลับแบบไม่ได้ยินอะไรเลย นอนท่าใหนก็ท่านั้น ประมาณ 12-13 ชั่วโมงเจ้าค่ะ โปรดเมตตาหนูด้วยเจ้าค่ะ ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไรและเรียกว่าอะไรในทางธรรมเจ้าค่ะ

     2. หนูวิ่งขึ้นบันไดไม้ประมาณ 16-17 ขั้นแล้วพลาดตกลงมา แล้วร่างกายของหนูก็มานอนกองอยู่พื้นซีเมนต์ เพื่อนบ้านได้ยินเสียงหนูกลิ้งตกบันไดจนไม่กล้าเปิดประตูออกมาดูหนู เพราะคิดว่าคงไม่รอดแน่ๆ แต่รู้ว่าเท้าพลาดปุ๊บก็มีสติรู้ตัวได้ทันทีเลยแล้วก็นิ่งเลย ตัวเบามากๆ มารู้ตัวอีกทีตอนญาติๆ มารุมดู เรียกชื่อ จับแขนจับขาดู ก็เลยลืมตาดูและก็ลุกมาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ไม่เจ็บปวดหรือมีเลือดออกแม้แต่นิดเดียว แม้แต่แผลถลอกก็ยังไม่มี โปรดเมตตาหนูด้วยเจ้าค่ะ ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไรและเรียกว่าอะไรในทางธรรมเจ้าค่ะ

     3. เดิมทีหนูสวดมนต์ใหว้พระ แผ่เมตตาแล้วก็ท่องพุทโธก่อนนอนตั้งแต่เด็กๆ จนปัจจุบันอายุ 31 ปีเจ้าค่ะ พออายุ 30 ปีก็ฝึกสติกับอริยบถ พอจิตมันนิ่งแล้วเวลาถามอะไรก็ได้ยินคำตอบทันทีแบบถูกต้อง บางครั้งก็ได้ใครมาเรียกชื่อ แต่รู้ว่าคนที่เรียกอยู่ตรงนี้ แต่ไม่สามารถมองเห็นร่างกายของเค้าได้เลยเจ้าค่ะ บางครั้งไปซื้ออาหารที่ไทยทาวน์ก็รอจ่ายเงิน มีผู้ชาย 2 คนต่อจากหนูเป็นคนเวียดนาม พูดคุยกันเกี่ยวกับหนู หนูฟังออกหมดเลยว่านินทาหนูอยู่แล้วหนูก็มองหน้าเค้า เค้าก็ถามกันว่าเอ่อเหมือนหนูฟังเค้ารู้เรื่องเลย แต่อีกคนบอกว่าไม่รู้เรื่องหรอก หนูก็เอากระเป๋ามาปิดก้น แล้วเวลาจะจ่ายเงินก็หันหลังให้โดยไม่ให้เห็นกระเป๋าเงินเลย ท้ายสุดเค้าก็คุยกันว่าหนูคงจะรู้ว่าพวกเค้าพูดคุยอะไรกัน หนูก็เป็นแนนนี่เลี้ยงเด็กให้กับครอบครัวแขกที่เป็นหมอ วันนั้นเด็กป่วยรื้อรังพอแม่เด็กมาก็ถามยายเป็นภาษาแขก แม่เด็กก็ใจร้อนก็บอกยายไปว่าถ้าไม่ดีก็เลิกจ้าง หาแนนนี่ที่เป็นพยาบาลดีกว่า แม่เด็กกับยายก็พูดแบบไม่เกรงหนูเลย พอเค้าพูดจบแล้วหนูก็พูดไปว่า "ไม่มีใครดีพร้อมไปทุกอย่างหรอกนะ คนเราทุกคนต่างก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถ้าคิดว่าฉันไม่ดีพอก็ไปจ้างพยาบาลสิ" เค้าก็มองหน้ากันแล้วยายก็บอกแม่เด็กว่าเลิกพูด เพราะชาวพุทธถ้าฝึกสมาธิมาก็จะฟังรู้เรื่อง ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไรและเรียกว่าอะไรในทางธรรมเจ้าค่ะ

     หนูไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องกรรมเท่าใหร่เจ้าค่ะ ก่อนหนูจะมาเป็นออร์แพร์ที่อเมกา ก็สวดมนต์แล้วอธิษฐานให้ฝันเห็นครอบครัวที่จะได้ไปอยู่ด้วย กำหนดพุทโธนอน ก็ฝันเห็นจริงๆชัดเจนมาก หนูก็รอแต่ไม่มีติดต่อมาเลยก็ได้ไปอยู่ที่มิชิแกน 2 เดือนแล้วครอบครัวนั้นก็รีแม็ต หนูก็มาอยู่บ้านที่ปรึกษาเพื่อรอครอบครัวใหม่ แล้วก็มีครอบครัวจากแคลิฟอร์เนียติดต่อมา เค้ามีท่าทีชอบหนูมากจนซื้อตั๋วให้บินจากมิชิแกนมาที่แคลิฟอร์เนีย พอมาเจอก็จำพ่อเด็กและตัวเบบี๋ได้เหมือนในฝันเลย ก็ได้อยู่กับครอบครัวนี้จนจบโครงการออร์แพร์ ที่หนูได้ครอบครัวที่มิชิแกน เพราะช่วงที่รอครอบครัวที่เมืองไทยนั้นเบบี๋ที่แคลิยังไม่คลอดเลยเจ้าค่ะ (อันนี้ฝันและเป็นจริง) ส่วนใหญ่เวลาฝันเห็นอะไรมักจะเป็นจริง ผลกรรมอะไรที่ส่งผลให้หนูรู้ออกมาในรูปของความเป็นประจำเจ้าค่ะ แต่บางอย่างก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงเช่น ฝันเห็นถูกปลั้มจนท้อง ก็คิดจะฆ่าเด็กและพ่อเด็กให้ตาย แต่สักพักก็บอกตัวเองว่าบาปนะไม่มีพรหมวิหาร 4 นะ ก็เลิกคิดจากนั้นก็เห็นภพชาติในอดีตเห็น

     4. ตอนอายุ 17-18 ปีเคยไปปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวันประมาณ 7 วัน ยุบหนอพอหนอทุกวันแต่ไม่ถนัด ก็เลยมากำหนดพุทโธแทนแล้วก็นั่งสมาธิจนลมหายใจหาย ไม่เจ็บปวดร่างกายเลย เห็นตัวเองนั่งขัดสมาธิหลับตา มันสว่างไปหมดเลย หลับตาแต่สามารถมองเห็นได้หมด ทะลุไปหมดเลย สามารถมองไปได้รอบทิศทาง เห็นผู้หญิงวัยกลางคนห่มขาวเดินมาหา เห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าเป็นแม่ในอดีตชาติ แม่ก็มาลูบหัวเบาๆ 3 ครั้งแล้วพูดว่าตั้งใจปฎิบัติธรรมให้สำเร็จนะลูก หนูสงสัยว่าทำไหมถึงกำหนดรู้ได้เอง ทำไหมหนูไม่โต้ตอบใดๆเลย รู้แต่ว่ามีสติ มันรู้ของมันเอง ไม่มีตื่นเต้นหรือกลัวแต่อย่างใด มันอยู่เฉยๆรู้และรับรู้แต่วางเฉยหมดทุกอย่าง อาการแบบนี้คือสมาธิขั้นใหนเจ้าค่ะ ทำถูกไหมเจ้าค่ะ ขอความเมตตาด้วยเจ้าค่ะ หลายคนเค้าว่าหนูเพี้ยนเจ้าค่ะ

     5. พอวันสุดท้ายจะกลับบ้านก็นอนฝันไปว่า มีพระถือหนังสือมาให้ 2 เล่มคือสติปัถติฐาน 4 กับ......มานุสติ ท่านยิ้มแย้มแบบดีใจหน้าชื่นตาบาน ท่านเรียกว่าหนูโยมน้องสาว ท่านพูดว่าดีใจที่เราได้มีโอกาสพบเจอกันอีกโยมน้อง หลวงพี่เอาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน 2 เล่มจะได้เอาไปปฎิบัติในอนาคต ตื่นนอนมาก็ไปเดินดูรอบๆวัด ก็เจอพระในฝันจริงๆ ท่านรับแขกอยู่ก็คิดว่าจะไม่รอท่าน ท่านก็รีบเรียกว่าโยมน้องสาวรอหลวงพี่ (ท่านก็พอๆกับหลวงพ่อจรัญ ส่วนหนู 17-18 ปีเองค่ะ)ก่อนถึง 2 ครั้ง ญาติโยมหันมามองขวับทันที พอรับแขกเสร็จท่านก็ให้นั่งรอแล้วเข้าไปหยิบหนังสือธรรมะ 2 เล่มแบบในฝันเลย ท่านบอกว่าดีใจที่ได้พบเจอโยมน้องสาวอีก ส่วนหนูพอจิตนิ่งก็เลยรู้ว่าเคยเป็นพี่น้องกันมาก่อน รู้ความเป็นมาน้ำตาร่วงเลยค่ะ ถือว่าระลึกชาติได้หรือเปล่า

     6. ก่อนนอนหนูพุทโธนอนจนหลับตั้งแต่เด็กจนอายุ 30 ปีค่ะ แต่พออายุ 31 ปีป้าที่วัดก็สอนให้นั่งหลับตา แล้วกำหนดดูลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว ป้าบอกหนูว่าเป็นวิชากรรมกร ให้หนูฝึกทุกวันและให้ดูลมจนนอนหลับ ว่างเมื่อใหร่ให้ดูลมทันที ทำการทำงานอะไรก็ไม่ค่อยจะเหน็ดเหนื่อย มีความสุขมันไม่ค่อยไปถือสาใครเค้า นอนหลับก็สนิทจนไม่รับรู้อะไรเลย ไม่ร้อนไม่หนาวไม่ฝัน เงียบสนิทไปหมด พอจิตมันนิ่งก็เบากายเบาใจเหมือนไม่มีตัวตนเลยค่ะ ในทางธรรมเค้าเรียกว่าอะไรค่ะ

     7. หนูชอบสวดพระไตรปิฎกเป็นประจำก่อนนอน มีอยู่วันนึ่งไม่ได้สวดก็นอนดูลมจนหลับไป ก็ได้ยินใครไม่รู้มาสวดพระไตรปิฎก หนูได้ยินก็สวดไปด้วยกับเค้า แต่พอสักพักก็เห็นตัวเองนอนหลับอยู่บนเตียงนอน ก็บอกตัวเองว่าอะไรกันนี่ตื่นๆ ลุกก็ตื่นนอนมาตี 2 แล้วก็กลับไปนอนต่อพอหลับปุ๊บก็ได้ยินอีก ก็บอกว่าจะนอนไม่สวดด้วยแล้วนะ เวลานอนไม่ใช่เวลามาสวดมนต์ เสียงก็หายไป สรุปใครมาสวดมนต์ให้หนูฟังค่ะ ทำไหมถึงได้ยินด้วยค่ะ

     ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ

     *** จริงๆหนูมีคำถามอยากกราบเรียนถามมากกว่านี้ค่ะ อยากถามเกี่ยวกับความรู้พิเศษอย่างอื่นด้วย อยากโทรถามและปรึกษาเกี่ยวกับการปฎิบัติด้วยค่ะ อยากถามเรื่องราวและประสบการณ์สมัยเด็กๆที่แปลกๆด้วยค่ะ

คำตอบ
       (๑) ตามที่บอกเล่าไปเป็นเพราะจิตเข้าถึงสัจธรรมลึกๆว่า แท้จริงแล้ว ความเจ็บปวดมิได้อยู่ที่ร่างกาย ตามที่คนเกือบทั้งโลก รู้ เห็น เข้าใจกัน แต่ความเจ็บปวดเกิดขึ้นด้วยจิตขาดสติ แล้วไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีทางร่างกาย เข้ามาปรุงเป็นอารมณ์เจ็บปวดให้เกิดขึ้นกับจิต ผู้ใดมีสติกล้าแข็งระลึกได้ทันสิ่งกระทบที่ไม่ดี (เจ็บปวด) แล้วเห็นว่าสิ่งกระทบดับไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) สิ่งกระทบย่อมไม่ใช่ตัวตนแท้จริง จิตจึงไม่รับเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนเข้าปรุงอารมณ์ ความเจ็บปวดจึงไม่เกิดขึ้น ผู้ใดเข้าถึง (บรรลุ) สภาวธรรมเช่นนี้ได้ เรียกผู้นั้นว่า มีจิตเกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงแท้

     (๒) เป็นเพราะจิตไม่รับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) มาปรุงอารมณ์ จึงไม่เจ็บปวด ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะจิตมีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา … . สาธุ ผู้ใดรักษาสภาวธรรมในดวงจิตให้มีสติและปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว คำว่า “ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม” ย่อมเกิดเป็นความจริงกับผู้นั้น

     (๓) ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาสูงสุดระดับโลกิยะ จิตของผู้นั้นย่อมเกิดปัญญาหรือความรู้แตกฉาน ดังในกรณีที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไป เป็นปัญญาแตกฉานในภาษา (นิรุตติปฏิสัมภิทา) คือสามารถฟังภาษาอื่นรู้เรื่อง ฟังรู้เรื่องแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานพูดคุยกัน ฟังรู้เรื่องที่เทวดาพูดคุยกัน ฟังรู้เรื่องที่เปรตพูดคุยกัน ฯลฯ

     อนึ่ง การรู้ เห็น เข้าใจ ในเหตุการณ์ล่วงหน้า เรียกว่า อนาคตังสญาณ ซึ่งเป็นโลกิยญาณชนิดหนึ่ง ดังตัวอย่างของพระโพธิสัตว์ (เจ้าชายสิทธัตถะ) ก่อนตรัสรู้ ได้นำจิตเข้าถึง อนาคตังสญาณ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน ความรู้เช่นนี้ไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ และในยามสุดท้ายของราตรี พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญเพียรจนจิตเข้าถึงอาสวักขยญาณ จึงตรัสรู้ได้

     ย้อนกลับมาถึงปัญหาที่ผู้ถามปรารถนาจะรู้ คือจิตของผู้ถามปัญหา เข้าถึงความรู้สูงสุดที่ยังข้องอยู่กับโลก (โลกิยญาณ) ความรู้เช่นนี้เรียกว่า อนาคตังสญาณ ฉะนั้น จงมีสติระมัดระวังการถูกลวนลามจนได้เด็กโดยไม่ปรารถนา

     (๔) ผู้ที่สามารถสื่อสารกับอมนุษย์ได้ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน แล้วต้องถอนจิตออกจากความทรงฌาน ความรู้ เห็น เข้าใจ ตามที่บอกเล่าไปจึงจะเกิดขึ้นได้ แต่การรู้เห็นด้วยตาทิพย์ ไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นผู้รู้จึงไม่เอาจิต เข้าไปผูกติดเป็นทาสของสิ่งที่ยังเป็นสมมุติ ดังที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไป

     (๕) สติปัฏฐาน ๔ เป็นอุบายพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงได้แล้ว โอกาสนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ (นิพพาน) จึงจะเกิดขึ้นได้ ส่วนการระลึกชาติหนหลังได้ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ที่เข้าฌานได้ แต่ยังมีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นปุถุชนอยู่ ฉะนั้นผู้ไม่ประมาท จึงนิยมพัฒนาจิตให้พ้นไปจากความไม่รู้จริงแท้เช่นนี้

     (๖) คนที่ไม่เอาเรื่องของคนอื่น เข้ามามีอำนาจเหนือใจตัวเอง เรียกว่า เป็นผู้มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ)

     (๗) บทสวดมนต์มิได้มีไว้สำหรับมนุษย์สวดเท่านั้น เทวดายังสามารถสวดมนต์ได้ ดังตัวอย่างของท้าวเวสสุวรรณ ได้นำเอา อาฏานาฏิยปริตร มาบอกพระพุทธเจ้า เพื่อให้ภิกษุสาวกผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ในราวป่า พ้นไปจากการถูกเทวดาหลอกหลอน

     สรุปที่ถามมาทั้งหมด ผู้ถามปัญหายังมีจิตไม่รู้จริง ฉะนั้น พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใด ย่อมเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรม ตามปัจฉิมวาจาของพระพุทธโคดมที่ว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมเถิด”
  

1839.
กราบสวัสดีค่ะ อาจารย์ดร.สนอง    วรอุไร

หนูเป็นคนหนึ่งที่เป็นผู้ติดตามผลงานหนังสือของอาจารย์เรื่องทางสายเอก , ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ , เเละตายเเละฟื้นตื่นมาเล่า ซึ่งทำให้หนูได้ปัญญาทางธรรมเเละทางโลกเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งหนูจะขอติดตามหนังสือเรื่องอื่นๆ ของอาจารย์ต่อไปอีกเรื่อยๆค่ะ เเต่ตอนนี้หนูจะขอความกรุณาของอาจารย์ช่วยตอบ

ปัญหาให้หนูหน่อยนะค่ะ ดังนี้

1. ผู้สะสมความหลงไว้มากในชาตินี้ ตายไปจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานใช่ มั้ยคะ อะไรคือความหลงค่ะ ? ขอให้อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างให้ทราบด้วยค่ะ

2. หนูเคยอ่านพุทธพจน์ไว้ว่า "การให้ทานเป็นผู้ไม่มีความหวังในทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลของทานเเล้วให้ทาน" หมายความว่าอย่างไรหรือคะ ?

3. เวลาหนูอธิฐานจิตหลังจากที่หนูทำทาน ว่าขอให้บุญนี้เป็นปัจจัย ให้หนูได้ไปสู่สุขคติภูมิ อธิษฐานอย่างนี้เป็นการมีจิตผูกพันในผลของทานรึปล่าวค่ะ ถ้าใช่หนูควรจะอธิฐานใหม่ว่าอย่างไรคะเพื่อไม่ให้มีจิตผูกพันในผลของทาน ?

4. หนูเคยทำเเท้งเมื่อ 10 ปีที่เเล้วค่ะอาจารย์ หนูอยากทราบว่าเราจะทำบุญ สร้างกุศลอย่างไรคะ ที่จะช่วยปรับเปลี่ยนภพภูมิของลูกจากสัมภาเวสี เป็นภพภูมิของเทพเทวาค่ะ ?

5. กลางดึกคืนหนึ่งหนูตื่นขึ้นมา หนูเห็นนิมิตรอวัยวะเพศของสุนัขเพศเมีย ลอยเข้ามาที่อวัยวะเพศของหนูถึง 3 ครั้ง นิมิตรนี้หมายถึงหนูจะต้องไปเกิดเป็นสุนัขเพศเมียใช่มั้ยคะ ? เเล้วถ้าใช่หนูจะสร้างกุศลอย่างไรเพื่อปิด อบายภูมิเเละปรับเปลี่ยนภพภูมิเป็นสุขคติภูมิคะ ? หนูยังพอมีโอกาสอยู่ ใช่มั้ยคะ ?

6. บ่อยครั้งที่หนูได้รับกระเเสเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นกระเเสเมตตาที่เเรงมาก หนูอยากทราบว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใดที่ท่านเมตตาหนู ไม่ทราบว่า อาจารย์พอจะกรุณาบอกหนูหน่อยได้มั้ยคะ ? เพื่อที่หนูจะได้ระลึกรู้คุณท่านถูกพระองค์ เเละจะได้คลายข้อสงสัยในใจนะค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้ความเมตตาเเละกรุณามาตอบปัญหาให้กับหนู

ขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่เเข็งเเรง เเละมีอายุมั่นขวัญยืนอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกศิษย์นานๆนะคะ

  นัทธมน

คำตอบ
      (๑) ใช่ครับ ความหลง (โมหะ) คือความไม่รู้ตามความเป็นจริงแท้ที่เรียกว่า อวิชชา ตัวอย่างเช่น ไม่รู้ว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว มีความดับไป (อนัตตา) เป็นธรรมดา หรือ โลกธรรม ๘ (มีลาภ - มีเสื่อมลาภ มียศ - มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญ - มีนินทา และมีสุข - มีทุกข์) ใครผู้ใดเอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของลาภ เมื่อลาภเสื่อมไปใจเป็นทุกข์ หรือไม่รู้จริงในเรื่องของวัตถุ เช่น ทรัพย์เงินทองเป็นของกำพร้า และเป็นสาธารณะแก่โจร แก่ไฟ แก่น้ำ แก่พระราชา ขณะยังมีชีวิตอยู่ หากทรัพย์เงินทองถูกโจรขโมยลักพาไป ถูกไฟไหม้ ถูกน้ำพัดพาไป ทรัพย์ย่อมหายไปจากเจ้าของ หรือหากเจ้าของทรัพย์ทิ้งขันธ์ลาโลก (ตาย) นี้ไป ย่อมทิ้งทรัพย์ไว้เบื้องหลังให้คนอื่นครอบครอง อย่างนี้เรียกว่าเป็นของกำพร้า ผู้มีจิตยึดติดในทรัพย์เงินทอง จึงเป็นผู้ไม่รู้จริง เรียกว่าเป็นผู้มีความหลง

     (๒) หมายความว่า ให้สิ่งดีงามแก่ผู้อื่น แล้วไม่หวังผลตอบแทน หรือไม่คิดถึงผลที่จะได้ตอบกลับคืนมา การให้ทานในลักษณะนี้ ย่อมมีผลแห่งบุญกุศล (อานิสงส์) สูง

     (๓) การอธิษฐาน หมายถึง การตั้งจิตปรารถนาในสิ่งดีงาม ซึ่งจะมีจิตผูกพันหรือไม่ ต้องถามผู้อธิษฐานว่า จิตยังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ให้หรือไม่ หากจิตยังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ให้ เรียกว่าจิตยังมีโมหะสั่งสมอยู่ภายใน ซึ่งทำให้จิตขุ่นมัว และยิ่งไม่มีศีลคุมใจด้วยแล้ว เมื่อจิตหลุดออกจากร่าง ย่อมถูกพลังของโมหะ ผลักดันให้ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพติรัจฉาน

     (๔) ผู้ที่ไปเกิดเป็นสัมภเวสี ยังต้องเสวยอกุศลวิบาก จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น แล้วจึงจะมีโอกาสที่จิตวิญญาณจะโคจรไปเกิดอยู่ในภพใหม่ ตามแรงผลักของกรรมที่ทำไว้เป็นเหตุ

     การไปปรับเปลี่ยนของผู้อื่น (ลูก) เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะบุคคลมีกรรมเป็นของตัวเอง ผู้ใดประพฤติตนบำเพ็ญทานและรักษาใจให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ( เว้นทำลายชีวิต เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นประพฤติผิดในกาม เว้นพูดเท็จ เว้นพูดส่อเสียด เว้นพูดคำหยาบ เว้นพูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา ไม่คิดร้ายเบียดเบียนเขา และเห็นชอบตามคลองธรรม) ให้ถูกตรงได้แล้ว โอกาสไปเกิดในภพสวรรค์ย่อมมีได้เป็นได้

     (๕) ผู้ใดปรารถนาปิดอบายภูมิ ต้องพัฒนาจิตจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งอย่างน้อยกำจัดสังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด ผู้นั้นจึงจะปิดอบายภูมิได้ คือ ตาย - เกิด อีกไม่เกิน ๗ ชาติ ย่อมเข้าถึงนิพพาน และภายใน ๗ ชาตินั้นจะไม่ลงไปเกิดต่ำกว่าภพมนุษย์ ตรงกันข้าม หากยังปิดอบายภูมิไม่ได้ แต่ยังปรารถนานำพาชีวิตไปเกิดอยู่ในสุคติภพ (ภพมนุษย์ เทวโลก และพรหมโลก) ต้องทำเหตุให้ตรงดังนี้

     •  ศีล ๕ เป็นเหตุให้เกิดเป็นมนุษย์

     •  ทาน + ศีล หรือกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นเหตุให้เกิดเป็นเทวดา

     •  ฌาน แล้วตายในฌาน เป็นเหตุให้เกิดเป็นพรหม

     (๖) พระพุทธโคดมมิได้สอนให้พุทธบริษัท เอาชีวิตตนเองไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด เพราะในธรรมวินัยของพุทธศาสนามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า คือผู้ใดพัฒนาจิตตามมรรคมีองค์ ๘ จนเข้าถึงสภาวธรรมเป็นอริยบุคคล ( พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ) ได้แล้ว ผู้นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์เหนือความศักดิ์สิทธิ์อื่นใดในสากลจักรวาล
  

1838.
กราบท่านดร.สนองที่เคารพค่ะ

หนูมีคำถามที่ขอรบกวน  2 ข้อนะคะ
1. ถ้าหนูจะทำบุญใดๆให้แก่สุนัข และปลา ที่เลี้ยงไว้ที่ได้ตายไปแล้ว เขาจะได้รับไหมคะ
2. หนูเคยช่วยนำนกตัวหนึ่งไปผ่าตัด เนื่องจากมันเป็นแผลฉกรรจ์มาก แต่ผลจากการผ่าตัดทำให้มันต้องตาย ดงนี้แล้วหนูทำบาปหรือเปล่าคะ และต้องแก้ไขอย่างไรบ้างคะ
 
กราบขอบพระคุณในความเมตตาค่ะ
.. บุศรา..

คำตอบ
     (๑) หากจิตวิญญาณของสุนัขหรือปลาที่ตายไปเกิดใหม่ สามารถมาอนุโมทนาบุญที่ผู้ถามปัญหาอุทิศให้ เขาจึงจะได้รับผลแห่งบุญที่อุทิศ

     (๒) ไม่บาปครับ เหตุเพราะมีเจตนาดีหวังจะช่วยนกให้พ้นจากการบาดเจ็บ แต่ที่นกต้องตายลง เป็นเพราะกรรมของนกเองที่ตามมาให้ผล
  

1837.
มีความสงสัยในเรื่องอนันทเศรษฐี (ศีลไม่ละเมิด แต่ไม่ได้รักษาศีล)

1. ทำไม การไม่ละเมิดศีล ถึงสามารถ ไม่รักษาศีลได้ละครับ

2. แล้วการรักษาศีลจะอยู่ที่ไหน หรือต้องไปรับกับพระที่วัด

3. ผมเข้าใจตามความเห็นส่วนตัวว่า หากจะถือว่ารักษาศีล ต้องประกอบด้วย
    - เจตนา คือ ตั้งใจไม่ทำเพื่อการรักษาศีลข้อนั้นๆ รวมถึง การระลึกได้ว่ารับศีลมาแล้ว แล้วมีเจตนาที่จะรักษาศีลนั้นไว้

   - ความเข้าใจในบทของศีล เช่น การไม่ชโมยของ ก็เพื่อไม่เบียดเบียนผู้อื่น ให้เดือดร้อน การไม่ดื่มสุรา ก็เพื่อให้มีสติ พิจารณาตัวเองได้โดยสมบูรณ์

ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้อง หรือ ขาดตกบกพร่อง ตรงไหนไหมครับ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาศีล และได้รับผลบุญจากการรักษาศีล

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ปรัชญา สิริทิพากร

คำตอบ
     (๑) การไม่ละเมิดศีล มิได้หมายความว่าจะต้องรักษาศีล หากผู้ใดมีศีลที่บริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นไม่จำเป็นต้องรักษาศีล

     (๒) ผู้ใดยังต้องรักษาศีล แสดงว่าผู้นั้นยังมีกำลังของสติอ่อน จึงจำเป็นต้องรักษาศีลให้อยู่ครบ และไม่ให้มีมลทินปนเปื้อน ตรงกันข้าม ผู้ใดมีกำลังของสติกล้าแข็งอยู่กบจิตทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีศีลคุมจิต และไม่จำเป็นต้องไปสมาทานศีลมาจากผู้อื่น

     (๓) เข้าใจถูกตามความเห็นของผู้ถามปัญหา แต่ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ทำใจให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วไม่จำเป็นต้องรักษาศีล

      •  การไม่ลักขโมยของ ต้องรวมถึงการไม่ถือเอาสิ่งของใดๆที่มีเจ้าของครอบครอง มาเป็นของตนโดยยังมิได้รับอนุญาต อาทิ : ใช้โทรศัพท์ของราชการหรือองค์การ มาใช้ในเรื่องส่วนตัว ถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อ ๒

      •  ส่วนเรื่องการดื่มสุรา แม้จะไม่ดื่มทางปาก แต่ยังบริโภควัตถุใด ที่มีสารแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบหรือมีใจอยากบริโภค ถือว่ายังมีจิตเป็นทาสของสุรา หากนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม ย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ
  

1836.
กราบเรียน อ. สนอง วรอุไร ที่เคารพยิ่ง
  
          ดิฉันได้สูญเสียบุตรอันเป็นที่รักยิ่งมากว่า 2 ปีแล้ว บุตรของดิฉันเป็นคนท่มีความกตัญญู ใจกว้าง คนอยู่ใกล้มีความสุข เป็นคนมองโลกในแง่บวก ดิฉันมิได้ห่วงในเรื่องภพภูมิของลูกเลยเพราะมั่นใจในความ กตัญญูที่ลูกมีต่อบุพการีตลอดที่อยู่ด้วยกันมา และค่อนข้างมั่นใจที่ลูกจะอยู่ในภพภมิที่สูง ทุกวันนี้ดิฉันจะ เจริญกรรมฐานทุกวันๆละ 1 ช.ม. และจะเจริญสติเสมอเท่าที่จิตจะระลึกได้  ทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก    ดิฉันจะทำงานภายในตลอดจนกว่าจะหลับ (ทำตามคำแนะนำของอ.สนองผู้มีความเมตตา) และทุกๆวันก็ได้ อุทิศบุญให้กับลูกอยู่เสมอมิได้ขาดแม้แต่วันเดียว ดิฉันตั้งความปรารถนาในการหลุดพ้น โดยได้ตั้ง จิตอธิษฐานจะบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ตลอดอายุขัย ดิฉันมีคำถามอยากเรียนถามอาจารย์ ดังนี้

               1. ความคิดถึง(ลูกท่มีอยู่เสมอมิได้ขาด) จัดเป็นอภิสังขารมารใช่หรือไม่ บางครั้งจิตระลึกรู้ทันก็ ดับไป   บางคร้งรู้ไม่ทันก็หดหู่แต่ก็รู้ว่ามันเป็นส่งที่อยู่ชั่วคราว และความคิดถึงจะเป็นอุปสรรคในการบรรลุ - ธรรมหรือไม่ ควรจัดการอย่างไร

               2.  ดิฉันตั้งจิตอธิษฐานพบลูกอีกครั้งเพื่อให้ได้ปฏิบัติธรรมร่วมกันจนกว่าจะนิพพาน โดยการสร้าง เหตุดังกล่าวข้างต้น ขอเรียนถามว่าจัดเป็นกิเลสหรือไม่ ขออาจารย์โปรดให้คำแนะนำเพื่อความสว่างของชีวิต

               3. ขอความเมตตาจากอาจารย์ช่วยแนะนำข้อควรปฏิบัติเพื่อการดำเนินชีวิตเพิ่มเติมด้วยค่ะ
               ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์สำหรับคำตอบ และคำแนะนำค่ะ และท้ายนี้ขอกราบอาราธนาคุณ พระศรีรัตนตรัยโปรดช่วยปกปักรักษา อ.สนอง ให้มีสุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาวเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลก ต่อไป
                                                                   ขอแสดงความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    (๑) ใช่ครับ หากปรารถนากำจัดอภิสังขารมารให้หมดไป ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้มีกำลังของปัญญาเห็นกล้าแข็ง

     การรู้ไม่ทันในบางครั้ง นั่นคือผลที่จิตขาดสติเป็นบางครั้ง การมีจิตหดหู่ชั่วคราว หมายถึงบางขณะจิตรับสิ่งกระทบไม่ดีเข้าปรุงเป็นอารมณ์หดหู่ หากผู้ถามปัญหาปล่อยให้กิเลสทั้งสอง ( ขาดสติและมีอารมณ์หดหู่ ) ยังมีอำนาจเหนือใจ การบรรลุธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

     ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาพ้นทุกข์ ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติ และปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็งได้แล้ว อภิสังขารมารย่อมหมดไปจากใจ แล้วโอกาสนำพาชีวิตพ้นไปจากความทุกข์ จึงจะเกิดขึ้น

     (๒) ผู้ใดปรารถนาให้คำอธิษฐานเป็นจริง ผู้นั้นต้องสร้างมหาทาน ตั้งสัจจอธิษฐาน และต้องทำเหตุให้ตรง แล้วโอกาสที่คำอธิษฐานจะเป็นจริง ย่อมเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้า

     การอธิษฐานขอพบลูก เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมร่วมกัน แล้วนำพาชีวิตไปสู่นิพพาน ไม่ถือว่าเป็นกิเลส

     (๓) ผู้ปรารถนานิพพาน ต้องประพฤติทาน ศีล ภาวนา อยู่ทุกขณะตื่น เมื่อจิตเข้าถึงอริยผลแห่งคุณธรรมทั้งสามได้เมื่อใด โอกาสที่จิตจะเข้าถึงนิพพาน ย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ถามปัญหาจะสมความปรารถนาได้ ต้องพัฒนาจิตตนเองให้ถูกตรงตามคำชี้แนะ
  

1835.
เรียนถามท่านอาจารย์ที่เคารพ นับถือเป็นอย่างสูง

         เนื่องด้วยดิฉันได้อ่าน ได้ติดตามปฏิบัติธรรมทั้งของท่านดร.สนอง วรอุไร จึงเรียนถามว่ารายการต่อไปนี้โดยสรุปสำหรับผู้ต้องการพ้นทุกข์ทำดังนี้ และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมโดยสังเขปอีกไหมค่ะ
1. สวดมนต์ก่อนนอน ทำสมาธิ แผ่เมตตา
2. ดูลมหายใจเข้าออก เมื่อว่างจากการงาน
3. ดูจิต ดูกายเวลาทำงานหรือระลึกได้
4. รักษาศีลอย่างน้อย 5 ข้อ ให้คุมใจทุกขณะตื่น
5. ใสบาตรทำบุญเมื่อมีโอกาส

ขอคำแนะนำเพิ่มเติมที่ยังตกหล่นค่ะ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
ออ

คำตอบ
     (๑) การแผ่เมตตา ผู้แผ่เมตตาต้องพัฒนาตนเองให้มีความเมตตาเกิดขึ้นกับตัวเองได้ก่อน แล้วจึงจะแผ่ให้ผู้อื่นได้ ส่วนการสวดมนต์ ทำสมาธิ ถือว่าเป็นการทำจิตภาวนาซึ่งเป็นบุญใหญ่ ผู้ใดประพฤติได้แล้วย่อมมีบุญเกิดขึ้นกับผู้นั้น ผู้มีบุญจึงสามารถอุทิศบุญให้ผู้อื่นได้

     (๒) ต้องรักษาศีลให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่น

     (๓) เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก ทุกครั้งที่ว่างจากงาน และทุกครั้งที่นึกได้

     (๔) ใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ดูจิตที่มีมลทิน และดูกาย (ธาตุ ๔) ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์

     (๕) ต้องประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือคนอื่น อุทิศความดีให้คนอื่น ยินดี (อนุโมทนา) ที่คนอื่นทำความดี ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง) อยู่ทุกขณะตื่นที่ระลึกได้หรือนึกได้
  

1834.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ
 
   กระผมใคร่ขอกราบรบกวนเรียนปรึกษา ถึงการกระทำของข้าพเจ้าว่า ปัจจุบันข้าพเจ้าเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังไปหาหมอแต่ละครั้งจะได้โรคใหม่ ๆ มาทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เลิกดื่มเหล้ามา ๑๒ ปีแล้ว ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน และออกกำลังกายทุกวันเช้า-เย็น อย่างสม่ำเสมอมา เป็นเวลากว่า ๑๐ ปี แล้ว แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง กระผมได้ไปพบแพทย์ตามนัด ปรากฎว่าได้พบพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นโรคเดียวกัน (ไวรัสตับอักเสบ) และได้สนทนากับท่าน และมีอยู่ตอนหนึ่งท่านได้ทักว่า "ดูจากหน้าตาของโยมแล้วดูสดใสมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะขี้โรคอย่างนี้   แสดงว่าโยมไม่ได้เป็นโรคอันเกิดจากทางกาย แต่เป็นโรคอันเกิดจากเจ้ากรรมนายเวรต่างหาก" และบุคคคลอื่นที่พบเห็นก็จะทักอย่างนี้ทุกครั้งไป  

           สิ่งที่ผมปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้คือ
           ๑.ทุกวันเสาร์ (เนื่องจากเป็นวันหยุด และกระทำได้ตามกำลังทรัพย์) ผมจะไปทำบุญใส่บาตรโดยอธิษฐานให้เทวดาผู้ปกปักรักษาตัวผม และเจ้ากรรมนายเวรไปพร้อมกันเลย (ทำเป็นชุดแรก)

           ๒.ชุดที่ ๒ จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับตนเอง เพื่อเป็นการแก้เคล็ด (คิดเอง)
           และก่อนนอนผมจะทำวัตรเย็น ต่อด้วยสวดพาหุงมหากา คาถาชินบัญชร และแผ่เมตตาโดยอุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนา ให้แก่เทวดาผู้ปกปักรักษาต้วเอง และเจ้ากรรมนายเวรพร้อมขอขมาไปด้วย เสร็จแล้วจะสวดบทสรรเสริญหลวงปู่ชีวกโกมารภัสจ์อีก   ๒ บท   พร้อมอธิษฐานขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

           ตื่นนอนก็จะทำวัตรเช้า และปฏิบัติ(สวด) เหมือนทำวัตรเย็นทุกวัน   แต่กระผมไม่ได้นั่งสมาธิเนื่องจากพยายามมาหลายปีแล้วไม่สำเร็จ อาจจะเนื่องมาจากเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ ด้วยนั่งได้ไม่เกิน ๑๐ นาทีก็จะมีอาการเหน็บชาทำให้สมาธิกระเจิงทุกครั้ง

            สิ่งที่อยากกราบเรียนท่านอาจารย์คือ สิ่งที่พระท่านพูดนั้นหมายความว่าอย่างไรครับ และหากเป็นจริงจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ และสิ่งที่ผมปฏิบัติมานั้นถูกต้องหรือไม่ครับ ถ้าไม่ถูกต้องรบกวนท่านอาจารย์ ช่วยโปรดกรุณาชี้แนะทางออกที่ถูกต้องด้วยครับ เนื่องจากกระผมไม่ค่อยมีความรู้ทางนี้มากนัก แต่จิตและสมาธิไม่เคยเครียด หรือกังวลกับโรคภัยไข้เจ็บแม้แต่น้อยครับ   และขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

คำตอบ
  คนในยุคปัจจุบัน เจ็บป่วย ( อาพาธ ) ด้วยเหตุสี่อย่าง

      ๑. ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ

      ๒. เพียรมาก นอนน้อย

      ๓. ฤดูกาลเปลี่ยน

      ๔. โรคกรรม

     โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจาก ๑. - ๓. บำบัดรักษาให้หายได้ง่ายด้วยการปรับเหตุให้ตรงกันข้าม ส่วนโรคกรรมหรือโรคที่เกิดจากการทำเหตุเบียดเบียนจะหมดไปได้ ต้องชดใช้หนี้เวรกรรมไปเรื่อยๆ จนกว่าเจ้ากรรมนายเวรจะเลิกผูกพยาบาท

     ดังนั้น สิ่งที่พระพูดนั้นหมายความว่า ผู้ถามปัญหาเป็นโรคกรรมที่เกิดจากการเบียดเบียน แล้วผลของกรรมเบียดเบียนได้ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต เมื่อกรรมเบียดเบียนให้ผล อกุศลวิบากคือ การเจ็บป่วยจึงเป็นผลให้ผู้ทำกรรมต้องได้รับ

     วิธีแก้ไขโรคกรรมทำดังนี้

      ๑. ชดใช้หนี้เวรกรรมไปจนกว่าจะหมดหนี้ คือ เจ้ากรรมนายเวรเลิกจองเวร

      ๒. ทำบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ เมื่อทั้งสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ที่ทำให้ผู้ถามปัญหาต้องเจ็บป่วย หากทำได้ดังนี้ถือว่าถูกต้อง แต่วิธีที่ดีที่สุด ผู้ถามปัญหาควรนำตัวเองเข้าร่วมปฏิบัติธรรมกับผู้อื่น แล้วขอความเมตตาจากผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของผู้ถามปัญหา วิธีนี้ทำให้หนี้เวรกรรมหมดไปได้เร็ว อนึ่ง การปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องนั่งเสมอไป สามารถปฏิบัติได้ในทุกอิริยาบถ (ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ) ที่เหมาะสมกับอัตภาพของผู้ถามปัญหา
   

1833.
กราบเรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร 

- เรื่องการจุดธูป-เทียนในการสวดมนต์นั่งสมาธิ มีความจำเป็นหรือไม่ แล้วให้ผลอย่างไร

- การแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศล ต้องบอกชื่อคนที่เราจะให้ด้วยหรือป่าวครับ หรือแค่กล่าวว่าให้ บิดามารดา ญาติพี่น้อง ฯลฯ แค่นี้พ่อแม่ และญาติพี่น้อง รวมถึงคนอื่นๆจะได้รับหรือไม่ครับ

ขอบคุณอาจารย์สำหรับคำแนะนำ ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
     การจุดธูป - เทียนในการสวดมนต์ นั่งสมาธิไม่มีความจำเป็น เมื่อจุดธูปเทียนแล้วยังเป็นมลพิษกับร่างกายของผู้ที่หายใจเอาอากาศที่ไม่บริสุทธิ์เข้าไปอีกด้วย

     ผู้ถามปัญหาต้องระบุชื่อของคนที่ประสงค์จะอุทิศบุญให้ หากกล่าวว่า อุทิศบุญให้บิดา มารดา ญาติพี่น้อง คนที่มิได้เป็นบิดา มารดา ญาติพี่น้อง จะไม่มีสิทธิ์มารับบุญกุศล ที่มีผู้อุทิศให้ได้
   

1832.
กราบเรียนถามท่าน ดร.สนอง เกี่ยวกับผู้พิพากษาครับ

     กราบสวัสดีท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพครับ ผมมีคำถามที่อยากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เกี่ยวกับการประกอบอาชีพผู้พิพากษาและอัยการครับ สืบเนื่องจากผมได้ฟังคำบรรยายธรรมท่านอาจารย์ ที่ว่ามีผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ตายแล้วฟื้น ปรากฏว่าตอนที่นั้นตายไปนั้นไปพบเจอผู้พิพากษา อัยการ ที่รู้จักหลายคนอยู่ในนรก ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่า
 
     1. ที่คนเหล่านั้นลงนรก เป็นเพราะกรรมส่วนอื่น ๆ ของเขาที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษา หรืออัยการหรือเปล่าครับ

     2. อาชีพผู้พิพากษา และอัยการนั้น แม้ว่าจะปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ 4 ตัดสินคดีความไปตามที่กฎหมายบัญญัติ   กฎหมายระวางโทษให้ประหารชีวิต จำคุก ปรับ ยึดทรัพย์ ขับไล่ ก็ตัดสินไปตามนั้น เช่นนี้ จะถือว่าเป็นบาปหรือไม่ ครับ   การที่มีบุคคลหลายคนอ้างว่า ที่สั่งฟ้องหรือตัดสินไปนั้นเป็นเพราะหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา ทำเพื่อความยุติธรรม ทำเพื่อความสงบสุขของสังคม   ฯลฯ ข้ออ้างเช่นนี้รับฟังได้หรือเปล่าครับ
 
     3. หากในข้อที่ 1 นั้น เป็นบาป ผมมีคำถามต่อไปครับว่า คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา ซึ่งเป็นฝ่ายเบื้องหลัง (เป็นผู้พิพากษาแต่ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสิน โดยทำหน้าที่ยกร่างคำพิพากษาให้กับองค์คณะ ช่วยค้นข้อกฎหมายและคำพิพากษาศาลฎีกา) จะเป็นบาปด้วยหรือไม่ครับ
 
     ผมทราบดีครับว่าคำถามนี้ มีผลกระทบมหาศาลต่อผู้ประกอบวิชาชีพนี้ รวมทั้งต่อสังคมด้วย แต่ผมเองก็มีส่วนได้เสียต่อถามคำถามนี้ ก่อนที่จะมาเรียนถามท่านอาจารย์ ผมได้พยายามศึกษาคนที่ให้คำตอบในเรื่องนี้ไว้ เช่น ท่านพุทธทาส (หนังสือคู่มือมนุษ์ บรรยายครั้งที่ 10) จากญาติของคุณพ่อ ที่ได้ศึกษาธรรมะซึ่งอดีตเคยเป็นอัยการ ฯลฯ ทุกท่านให้คำตอบทำนองเดียวกันว่า หากทำด้วยความสุจริต ปฏิบัติไปตามหน้าที่นั้น  " ไม่บาป"
 
     แต่กระนั้นผมก็ยังไม่หายเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องนี้ ไม่ใช่มาจากเฉพาะจากคำบรรยายธรรม จากท่านอาจารย์อย่างเดียวนะครับ แต่ผมเคยอ่านเรื่องพระสารีบุตร กับโจรเคราแดง ที่ว่าโจรเคราแดงประหารชีวิตคนตามคำสั่งของพระราชา ความจริงแล้วเป็นบาป แต่พระสารีบุตรก็ตั้งใจว่า " เราจักลวงบุรุษผู้นี้"   ไปโปรดโจรเคราแดง ทำให้ความกังวลของโจรเคราแดงหมดไป ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม ทำให้ผมคิดว่าการที่หลายคนบอกว่า การทำอาชีพผู้พิพากษาหรืออัยการนี้ไม่บาป จะเป็นเหมือนเรื่องพระสารีบุตรกับโจรเคราแดงหรือไม่ครับ
 
   ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     (๑) มนุษย์ผู้ใด เทวดาตนใด รวมถึงสัตว์เดรัจฉานตัวใด หากประพฤติทุศีล ตายแล้วอกุศลกรรมมีโอกาสผลักดันจิตวิญญาณ ให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพนรกได้ ดังนั้นผู้ใดเอาจิตกลับมาดูตัวเอง ย่อมเห็นพฤติกรรม (คิด พูด ทำ) ของตนว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

     มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกพัฒนาความรู้ (ปัญญา) เพียงสองขั้นต้นคือ สุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา ความรู้เช่นนี้ไม่สามารถรู้ เห็น เข้าใจ เรื่องที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส เช่น การทุจริตของบุคคลผู้คิดทำเอกสารหลักฐานเบื้องต้นอันเป็นเท็จได้ และหากผู้ใดเข้าร่วมในกระบวนกรรมอันเป็นเท็จ ถือว่ามีส่วนร่วมในอกุศลนั้นด้วย

     (๒) แม้ผู้พิพากษาและอัยการ จะปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ ๔ และตัดสินคดีความไปตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่หากหลักฐานการทำความผิดนั้น ไม่ถูกตรงตามความเป็นจริง เมื่อผู้พิพากษาตัดสินคดีความให้จำเลยต้องรับโทษ ทั้งๆที่จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดจริง การผูกพยาบาทของผู้ถูกตัดสิน ย่อมเกิดขึ้นได้ และหากเมื่อใดที่กรรมให้ผล ผู้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนกรรม ยังต้องรับอกุศลวิบากนั้น ดังเรื่องของคุณหมออาจินต์ บุญเกตุ ได้เขียนบอกเล่าไว้เป็นตัวอย่าง

     (๓) ผู้ช่วยผู้พิพากษาที่ข้องเกี่ยวกับหลักฐานอันเป็นเท็จ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์บาปนั้นด้วย

     ผู้ถามปัญหาได้อ้างเอาข้อเขียนที่ระบุอยู่ในหนังสือ คู่มือมนุษย์ และได้อ้างเอาความคิดเห็นของญาติคุณพ่อ มาเป็นกรณีศึกษา ผู้ตอบปัญหาก็จะบอกว่า พระพุทธเจ้าโคดมผู้รู้แจ้งและรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู) ได้มอบกาลามสูตรให้กับพุทธบริษัทไว้ ๑๐ ข้อว่า อย่าปลงใจเชื่อ :

      ๑. ด้วยการฟังตามกันมา

      ๒. ด้วยการถือสืบๆกันมา

      ๓. ด้วยการเล่าลือ

      ๔. ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์

      ๕. ด้วยตรรก

     ๖. ด้วยการอนุมาน

     ๗. ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

     ๘. เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน

     ๙. เพราะมองเห็นรูปลักษณ์น่าเชื่อ

    ๑๐. เพราะเขาเป็นครูของเรา

     เพื่อใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองความไม่จริง ออกจากความเป็นจริง ซึ่งผู้ใดพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนเข้าถึงโลกิยญาณได้แล้ว และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมรู้เห็นความจริงและความไม่จริงได้อย่างถูกตรง

     ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาได้พัฒนาจิตให้ถูกตรงตามที่ชี้แนะมานี้ ความเคลือบแคลงสงสัยในข้อเขียนที่ระบุอยู่ในหนังสือ คู่มือมนุษย์ ในความคิดเห็นของญาติคุณพ่อ ในเรื่องของโจรเคราแดง ฯลฯ ย่อมหมดไปโดยปริยาย
  

1831.
เรียน ดร. สนอง

ผมชื่อรวีพันธุ์ เพชรรงค์ครับ เริ่มปฏิบัติมาตั้งแต่อุปสมบท จนปัจจุบันเป็นฆราวาส ก็เป็นระยะเวลา 2-3 ปีแล้วครับ เน้นการดูจิต แต่มีการเว้นช่วงเหมือนกัน เพราะกำลังใจในการปฏิบัติน้อย ภายหลังจึงเพิ่มการฝึกเรื่องสมถะ  เข้ามาด้วย ทำให้กำลังใจในการปฏิบัติมีมากขึ้นครับ ผมมีเรื่องรบกวนถามอาจารย์ดังนี้

1) ปีติถือว่าอยู่ในข่ายของอุปจาระสมาธิหรือไม่

2) หากเกิดปีติ เช่นตัวโยกคลอน ควรทำเช่นไร จึงจะดีกับการปฏิบัติที่สุด

3) หลังผ่านปีติได้ ขั้นต่อไปคือปฐมฌานหรือไม่ครับ มีจุดสังเกตอย่างไร

4) ผมเพิ่งอธิษฐานกับตนเองว่าจะถือศีลแปดเป็นนิจ แต่เนื่องจากสติผมไม่ไวมากจึงมีการพูดเท็จ หรือพูดจาไม่เหมาะสมบ่อย  การผิดคำอธิษฐานก็ทำให้กำลังใจถูกลดทอนลง อาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรบ้างครับ  

5) ผมมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประพฤติไม่ดีนักบางท่านเกินกว่าที่จะพูดจาแนะนำดีๆ ควรจะตักเตือนหรือลงโทษอย่างไร ไม่ให้ศีลด่างพร้อยครับ (โดยไม่ด่า ไม่ทำให้เขาเจ็บใจโกรธแค้น)

ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บันดาลให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงด้วยครับ

ขอบคุณมากครับ

คำตอบ
     (๑) ปีติ หมายถึง ความอิ่มใจ หรือความดื่มด่ำในใจ ปีติเกิดได้กับจิตของคนทั่วไป เช่น ปีติเบ็ดเตล็ด (ปกิณกเจตสิก) อันได้แก่ วิตก วิจาร อธิโมกข์ วิริยะ ปีติ และฉันทะ หรือเกิดได้กับจิตของคนที่เริ่มปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นวิปัสสนูปกิเลสอย่างหนึ่ง หรือเกิดได้กับจิตของคนที่เข้าถึงสมาธิระดับฌาน (รูปฌานที่ ๑ , ๒) หรือเกิดได้กับจิตของคนที่บรรลุอริยธรรมสูงสุดแล้ว เช่น ปีติในโพชฌงค์ ๗ (สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสาธิ สมาธิ อุเบกขา)

     (๒) ขณะตัวโยกคลอน ต้องกำหนดว่า “โยกคลอนหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการดังกล่าวจะหายไป

     (๓) ผู้ที่พัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับ ปฐมฌาน มีสิ่งให้สังเกตุได้ดังนี้ คือ จิตมีอารมณ์ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา และนิวรณ์ ๕ (กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) จะไม่เกิดขึ้นขณะที่จิตทรงอยู่ในฌาน

     (๔) ควรอธิษฐานว่า “จะพยายามรักษาศีล ๘ ให้มากเท่าที่ทำได้”

( ๕ ) ผู้บังคับบัญชาต้องเว้นอคติ (ชอบ ชัง หลง กลัว) และว่ากล่าวตักเตือนลูกน้องให้ถูกตรงตามหน้าที่ โดยมีผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ที่รู้กันเพียงสองคน
  

1830.
กราบเรียน อ.ดร.สนอง   วรอุไร ครับ
 
คือผมรักการปฏิบัติธรรมครับ บางครั้งจะหาเวลาเดินจงกรมบ้าง แต่ผมมีความขลาดกลัวกิ้งกือมาก แบบตัวสีแดงยังพอกล้าดูกล้าแตะบ้าง แต่ถ้าเป็นแบบตัวลายๆ กับพวกกิ้งกือป่าแบบมีขนด้วย แล้วจะกลัวมาก พยายามคิดว่าเรากลัวอะไรมัน สรุปแบบโง่ๆ ได้ตามนี้ กลัวเพราะมันมีตัวเป็นปล้องๆ สีสัน ขาที่มากมีของมัน และกลิ่นด้วย แล้วจำพวกตะขาบก็ด้วย เห็นแล้วขนลุกเกรียวเลย แบบว่าขยะแขยงสุดๆ ขลาดกว่างู ผี และเสือ แบบให้เลือกหนีฝ่าดงกิ้งกือมากๆ กับดงผี ผมกลั้นใจเลือกดงผีเลยว่างั้น ไม่รู้ชาติก่อนเคยทำกรรมกับพวกเขาไว้หรือเปล่า เราสามารถใช้ธรรมข้อไหนแก้ได้บ้างครับอาจารย์

คำตอบ
     ความกลัวเกิดจากจิตขาดสติ และไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว ธรรมะที่แก้ไขในเรื่องนี้ได้ ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง และพัฒนาจิตให้มีความเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงได้เมื่อใด ความกลัวในสิ่งที่ถามย่อมหมดไปเป็นธรรมดา
  

1829.
กราบเรียนท่าน อาจารย์ ดร.สนอง

อยากถามถึงวิธีปฏิบัติธรรมที่เราสามารถปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราต้องทำงานไปด้วยและยังมีภาระทางบ้านต้องดูแล   ยังไม่มีเวลาไปปฏิบัติอย่างจริงจังในสถานปฏิบัติธรรม

คำตอบ
      การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน สามารถทำได้ที่บ้านดังนี้

     (๑) ทำใจให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น

     (๒) สวดมนต์ก่อนนอน

     (๓) ปฏิบัติจิตตภาวนาหลังสวดมนต์

     (๔) อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์
    

1828.
กราบเรียนอ.ดร.สนอง   วรอุไร ค่ะ

คำถาม    หนูเคยปฏิบัติธรรมมาบ้าง เคยเข้าหลักสูตรของยุวพุทธ 6 ครั้ง ตอนออกจากหลักสูตรก็ตั้งใจจะปฏิบัติต่อที่บ้าน แต่พอนานๆไปไม่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องก็ลืมๆไปบ้าง ขาดสติอยู่บ่อยๆ พอคิดได้ก็ตั้งใจและพยายามจะทำแต่มันเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ทำให้กลัว ไม่กล้าทำต่อคือพอคิดจะทำสิ่งใดที่ดีๆ เหมือนมันมีความคิดที่จะทำไม่ดีแทรกขึ้นมาบ่อยๆ   เมื่อใดที่เห็นจิตตัวเองคิดเมตตา อยากให้คนอื่นเป็นสุขมันมีความคิดแทรกขึ้นมาตลอดเลยว่า เรื่องของคนอื่นอย่าไปยุ่งอย่าไปช่วย มันรู้สึกเหมือนเป็นเงาดำๆน่ากลัวอยู่ในตัวเองค่ะ หนูเลยไปวัดจะไปนั่งสมาธิและสวดมนต์ที่วัดแทนที่บ้าน แต่พอสวดที่วัดหนูกับนึกบทสวดมนต์ไม่ค่อยออก จำได้ขาดๆหายๆ เหมือนความจำเสื่อมชั่วคราวเลยค่ะ แต่พอมาสวดที่บ้านตัวเอง กลับสวดมนต์ได้คล่อง ทั้งๆที่ไม่ได้ดูหนังสือเลย หนูผิดปกติหรือเปล่าค่ะ มันรู้สึกใจหวั่นๆกลัวๆ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า รบกวนอาจารย์ช่วยเมตตาตอบคำถามหนูด้วยนะค่ะ

                               กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     ผู้ใดมีศีลและมีสัจจะคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น เมื่อนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม โดยมีความเพียรเป็นแรงสนับสนุน ผู้นั้นย่อมเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้ง่าย และหากผู้ใดออกจากสถานปฏิบัติธรรมมาแล้ว ได้พัฒนาจิตให้มีกำลังของพละ ๕ อยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมไปจากธรรมที่ปฏิบัติได้

    ปัญหาต่างๆที่บอกเล่าไป เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังอ่อน ไม่สามารถต้านพลังอำนาจของมาร ดังนั้นผู้ถามปัญหาควรปรับแก้ไขวิธีปฏิบัติให้ถูกตรง แล้วความผิดปรกติของจิตจึงจะหมดไป
     

1827.
เรียนถามอ.สนองค่ะ

เจ้าที่ ต่างจาก ผีบ้านผีเรือน   อย่างไรคะ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    ภุมเทวดาเป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีรูปนามเป็นทิพย์ และมีหน้าที่รักษาพื้นที่ (ดิน) เช่น พระภูมิเจ้าที่ส่วนผีบ้านผีเรือน ใช้เรียกจิตวิญญาของคนที่ตายไปแล้ว และไปเกิดเป็นรูปนามทิพย์ที่อยู่ประจำบ้าน ดังนั้น เจ้าที่และผีบ้านผีเรือน มีรูปนามที่เป็นทิพย์เหมือนกัน แต่มีหน้าที่ต่างกัน
  

1826.
กราบเรียน. ท่าน อ. ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพครับ

    ผมได้หันเข้ามาเรียนรู้ธรรมและปฏิบัติธรรม เนื่องด้วยได้พบคำสอนท่าน อาจารย์จากทางอินเทอร์เน็ทเมื่อ 2-3 ปีก่อน เพราะในช่วงนั้นมีความทุกข์หลายเรื่อง โดยเฉพาะ หนี้สินที่เป็นอยู่นี้ทำให้ผมเป็นทุกข์มาก แต่ก็ยอมรับครับว่าน่าจะเป็นผลกรรมที่เราได้ทำไว้ในอดีต และปัจจุบันนี้ผมพอจะเข้าใจในธรรมบ้าง ซึ่งเมื่อก่อนแถบจะไม่รู้อะไรเลย และเมื่อได้ฟังคำสอน ของครูบาอาจารย์ ทั้งหลายก็ยิ่งทำให้ผม มีสติ พิจารณาในเรื่องต่างฯมากขึ้น และในขณะเดียวกันผมก็จะปฏิบัติตนให้มีศีลคุมใจ และจะมุ่งปฏิบัติปัญญาที่ 3 คือภาวนามยปัญญา ตามที่อาจารย์ได้ย้ำอยู่ตลอดเวลาในการสอน

คำถามผมคือ

- ผู้มีทุกข์อยู่ในขณะนี้หรือรับกรรมอยู่ในขณะนี้ จะสามารถปฏิบัติธรรมแล้วเข้าถึงธรรมนั้น เป็นไปได้หรือไม่ครับ

ท้ายนี้ผมขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ ในการบรรยายธรรม และสั่งสอนธรรมในทุกฯแห่งครับ ผมเองหวังว่า จะได้กราบแทบเท้าครูบาอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่ผมเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
     ผู้ที่ยังเสวยอกุศลวิบาก (ทุกข์) อยู่ในปัจจุบัน หากประพฤติตนให้มีศีล และมีสัจจะคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วเร่งความเพียรปฏิบัติธรรม ย่อมมีโอกาสเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้ นั่นคือปฏิบัติสมถภาวนาแล้ว จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแล้ว จิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง
     

1825.
กราบเรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร

ผมรบกวนถามอาจารย์เรื่องทุกข์เพราะพ่อ ตอนนี้ผมมีความคิดที่จะทำให้พ่อเลิกดื่มเหล้า เลยย้ายกลับมาอยู่กับท่าน (ก่อนหน้านี้ผมอยู่กับแม่) โดยส่วนตัวผมเป็นคนปฏิบัติธรรมถือศีลอยู่แล้วเลยคิดว่า ผมมาปฏิบัติธรรมให้ท่านเห็นให้ท่านได้รับรู้ เช่นการสวดมนต์ นั่งสมาธิ เผื่อว่าการกระทำของผมจะช่วยให่พ่อท่านเลิกดื่มหรือลดได้บ้างแต่ก็ยังไม่ได้ผล ผมอยากให้พ่อของผมเลิกดื่มสุรา ผมควรจะทำยังไงดีครับ พ่อผมท่านจะเครียดง่าย พอท่านเครียดแล้วก็จะดื่มจนเกินตัวครับ   ผมไม่อยากอยากทำตามคำแนะนำ ที่บอกว่า ถ้าทุกเพราะพ่อแม่แล้ว "ให้ทำใจหรือวางเฉย" ผมไม่อยากทำใจ หรือวางเฉย เรื่องทำใจผมว่ามันง่ายไป   เพียงแต่ผมอยากช่วยให้ท่านเลิกดื่มเหล้าให้ได้อยากให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุขครับ เหมือนตอนช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา

รบกวนอาจารย์แนะนำทีครับ  

ด้วยความเคาพรอย่างสูง
พนธวิชญ์ เอี่ยมสินธร

คำตอบ
    การพัฒนาตนให้มีศีลและมีธรรมคุมใจ ซึ่งผู้เป็นลูกต้องพัฒนาจิตให้มีอารมณ์สงบเย็น (เมตตา) ให้ได้ก่อน เมื่อใดที่พ่อหันมาศรัทธาในความดีของลูก แล้วปัญหาการดื่มเหล้าของพ่อจึงจะมีโอกาสหมดไปได้

   ดูตัวเองให้ออกวา การไม่อยากทำใจให้วางเฉย เป็นความเห็นที่ผิดไปจากธรรมของพระพุทธโคดม คนที่ยังมีความเห็นผิด ย่อมมีอุปสรรคและปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิต ดังนั้นจะเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธะ หรือว่าจะเชื่อมารก็เลือกเอาตามที่ชอบเถิด
  

1824.
กราบเรียนท่าน   อาจารย์สนอง   วรอุไร

คำถาม ตามที่ท่านอาจารย์บรรยายในคลิบทางเว็บไซต์ กระผมสงสัยว่า ที่ท่านบอกให้ท่องพุทโธ
พุทโธ ตลอดเวลา ถ้าทำได้จะดีคือมีสติตลอดเวลา กระผมลองทำดูแล้วปัญหามีว่า ถ้าท่องพุทโธแล้ว
ไม่สามารถเข้าใจอย่างอื่นได้ เช่นตอนทำงานถ้าท่องพุทโธ ใจก็จะจดจ่ออยู่กับพุทโธแล้วจะทำ
คิดเรื่องงานอย่างอื่นไม่ได้ ผมควรทำอย่างไรครับผม

คำตอบ
     การเอาจิตจดจ่ออยู่กับคำว่า “พุท - โธ” เป็นการพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ มิได้หมายความว่า จะให้เกิดเป็นความรู้เห็นเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำ และการกำหนด “พุท - โธ” ควรทำทุกครั้งที่นึกได้ และทำเมื่อว่างจากงานภายนอกที่ทำให้กับหน่วยงาน สังคม หรือครอบครัว
     

1823.
ขอรบกวนสอบถามด้วยความเคารพ

อยากรบกวนถาม ดร.สนอง ฯ นะครับว่า   การจะทราบได้ว่าทำกรรมใด จะได้รับผลใด สามารถทำได้หรือเปล่าครับ
 
ขอบคุณครับ

คำตอบ
     ผู้ที่สั่งสมบารมีมามาก สั่งสมบารมีมายาวนาน สามารถรู้ผลของกรรม ที่เกิดจากการกระทำไว้ในอดีตได้ ดังตัวอย่างของพระมหาโมคคัลลานะ ที่ไปเห็นผลของกรรมที่ส่งม้ากัณฐกะ ให้ไปเกิดเป็นกัณฐกเทพบุตร อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้ไปเห็นผลของกรรมที่ส่งบริวารของนางวิสาขา ให้ไปเกิดเป็นเทพบุตร - เทพธิดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้ไปเห็นผลของกรรม ที่ส่งติสสภิกษุ ให้ไปเกิดเป็นติสสมหาพรหม อยู่ในพรหมโลกชั้นมหาพรหมาภูมิ ฯลฯ นอกจากนี้ผู้ที่สั่งสมบารมีมาก สั่งสมบารมีมายาวนาน สามารถพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้เข้าถึงอนาคตังสญาณ ที่สามารถหยั่งรู้กรรมที่ทำในปัจจุบัน แล้วให้ผลไปเกิดเป็นอะไรในอนาคตได้ ดังตัวอย่างที่พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ได้พยากรณ์ชีวิตของฤษีสรทะ ว่าในอนาคตข้างหน้าอีก ๑ อสงไขยกับอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัป จักได้ไปเกิดเป็น อัครสาวกของพระพุทธโคดมและมีชื่อว่า สารีบุตร และในครั้งพุทธกาล พระพุทธโคดม ได้พยากรณ์ชีวิตของวัสสการพราหมณ์ นักปราชญ์แห่งกรุงราชคฤห์ว่า เมื่อตายจากมนุษย์แล้ว จักต้องไปเกิดเป็นลิง ได้พยากรณ์ชีวิตของพระเจ้าสุปปพุทธะว่า อีก ๗ วันข้างหน้า จะถูกธรณีสูบลงไปเกิดอยู่ในภพนรก แล้วทั้งสองคำพยากรณ์ ปรากฏมีผลเป็นจริง
     

1822.
กราบเรียน อ.สนอง ที่เคารพ

  หนูเป็นนิสิตทันตแพทย์ค่ะ เรียนอยุ่ชั้นปีที่ 4 ตอนนี้เพิ่งขึ้นคลินิก เริ่มทำคนไข้ และทำงานที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของอาจาร์ยซึ้งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทำให้หนูมีปัญหาในการปรับตัว   ทำตัวไม่ถูก เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจาร์ย เช่น เวลาที่หนูรายงานกับอ.ที่ดุมาก ๆ จะลนมาก ไม่มีสติเลย พูดผิดๆถูกๆ จนอ.โมโหมาก ไม่ให้ทำงานแล้วเดินหนีไปเลย   พี่ๆบอกว่า หนูเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ทำให้ไม่กล้าลงมือทำต้องถามคนอื่นตลอด หรือ ลงมือทำก็ผิดๆถูกๆ ทั้งที่จริงๆแล้วหนูสามารถทำได้   ส่วนเรื่องคนไข้ ก็มักจะปฏิเสธการรักษากลางคัน เช่น ไม่ว่างมาทำ ทำให้ต้องเริ่มทำงานใหม่หมด ทำให้ทุกข์ใจมาก กลัวจะเรียนไม่จบ ท้อใจมาก ไม่อยากจะคิดแต่มันก็แวบเข้ามาในหัว ทำให้อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง

  หนูมีพื้นฐานเคยปฏิบัติธรรมมาบ้าง ทั้งเข้าค่ายปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ หรือไปปฏิบัติที่อื่น หรือทำเองที่บ้านบ้างแต่ไม่ค่อยต่อเนื่อง   รู้สึกว่าสิ่งที่เคยฝึกมาไม่สามารถดึงมาใช้ได้เลย หนูควรจะฝึกสติอย่างไรดีคะ ขอคำชี้แนะจากอาจาร์ยด้วยค่ะ  

   ขอกราบขอบพระคุณ อ.สนองเป็นอย่างสูงค่ะ  

คำตอบ
     ปัญหาที่บอกเล่าไป เกิดจากจิตมีกำลังสติอ่อน ผู้ใดปรารถนาพ้นไปจากปัญหาดังกล่าว ต้องประพฤติตนให้มีศีลและมีสัจจะคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ต้องเจริญอานาปานสติ (พุท - โธ) แล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร เมื่อใดจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว ความประหม่า ความกลัวอาจารย์ดุ ตลอดจนกลัวเรียนไม่จบ ย่อมปลาสนาการจากใจ
  

1821.
กราบเรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร ค่ะ
 
   อาจารย์ค่ะ จากที่หนูได้ทราบมา ว่า "การทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติ อานิสงค์มากและเร็ว" จึงมีข้อสงสัยในใจ ดังต่อไปนี้ค่ะ

1. พระเข้านิโรธสมาบัติเพื่ออะไรค่ะ ?  จะทำให้ได้ไปนิพพานเร็วขึ้นหรือไม่ค่ะ แล้วต้องเข้าบ่อยครั้งแค่ไหนค่ะ

2. กัลยาณมิตรหลายคนบอกว่า ส่วนใหญ่เป็นบุญ บารมีเก่า ที่เคยสร้างและสั่งสมไว้แล้ว อย่างหนูซึ่งเป็นผู้หญิง อยากเข้านิโรธสมาบัติบ้าง ต้องฝึก และขัดเกลาอย่างไรค่ะ
หนูอยากทำให้ชาตินี้ ไม่เสียชาติเกิด ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา และได้มาพบกัลยาณมิตรอย่าง อ.ดร.สนอง และครูบาอาจารย์ทางธรรมหลายท่าน หนูว่าหนูโชคดีมากๆ จึงอยากจะเก็บเกี่ยว ความรู้และฝึกปฏิบัติไว้มากๆ หนูอธิฐานจิตไม่อยากมาเกิดอีก อย่างน้อยๆ ขอให้ได้ปิดอบายในชาตินี้ให้ได้ค่ะ
 
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับอาจารย์ด้วยนะคะที่เมตตาตอบคำถามหนูและหลายคนๆในเวบไซด์นี้ค่ะ
 
สาธุค่ะ
ปิติพร

คำตอบ
    (๑) พระอริยบุคคลตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป ที่สามารถพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงสภาวธรรมที่เรียกว่านิโรธสมาบัติได้ มีจุดประสงค์เพื่อดับเวทนาและดับสัญญาชั่วคราว มิได้มีจุดประสงค์เพื่อนำพาชีวิต ไปสู่ความพ้นทุกข์หรือที่เรียกว่านิพพาน ส่วนจะพัฒนาจิตให้เข้าถึงสภาวะดังกล่าว บ่อยครั้งแค่ไหน ขึ้นอยู่กับบุญบารมีเก่าที่ทำสั่งสมมา และยังขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ ของผู้มีความสามารถทางด้านนี้

    (๒) ในครั้งพุทธกาลไม่เคยปรากฎว่า มีภิกษุณีอรหันต์รูปใดปฏิบัติสมถภาวนา เพื่อนำจิตให้เข้าถึงสภาวะนิโรธสมาบัติ
     ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติเช่นนั้น มิใช่เป็นเหตุนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ผู้ตอบปัญหาจึงไม่แนะนำ ให้ผู้ใดพัฒนาจิตไปสู่ความเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) เช่นนั้น
  

1820.
กราบสวัสดีอาจารย์ที่เคารพค่ะ

1. หนูมีความสงสัยว่าถ้าหากจับมือกับแฟน..ผิดศีลไหมคะ..(คุณแม่ก็ให้คบกันเป็นเพื่อนไปก่อนค่ะ)

2. หนูมีความสงสัยว่า...การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นบาปไหมคะ.

3. หนูเคยผิดศีลข้อ 3 ถ้าหากหนูปฏิบัติธรรมจะช่วยให้กรรมเบาบางลงได้ไหมคะ

ขอความเมตตาจากอาจารย์ได้โปรดชี้ทางสว่างให้หนูด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    
(๑) เพียงแค่จับมือกัน (กายกรรม) ไม่ถือว่าเป็นการประพฤติผิดศีล แต่หากใจคิดเลยเถิดไปถึงการร่วมประเวณี (มโนกรรม) ถือว่าผิดศีล

     (๒) เป็นบาปครับ ชึ่งถ้าพุทธบริษัทที่เป็นนักบวช หากมีพฤติกรรมเช่นนั้น ต้องอาบัติสังฆาทิเสส และจะพ้นจากบาปนี้ได้ต้องเข้าปริวาสกรรม

     (๓) ผู้ที่ยังประพฤติผิดศีลข้อ ๓ แล้วมาปฏิบัติธรรม ย่อมไม่สามารถเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้ กรรมจะยังคงอยู่ แต่หากเลิกประพฤติผิดศีลข้อ ๓ โดยเด็ดขาด แล้วหันมาปฏิบัติรรม ย่อมเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมที่ปฏิบัติได้ ดังตัวอย่างของ อัมพปาลี โสเภณีแห่งแคว้นวัชชี หรือ สิริมาโสเภณี แห่งแคว้นมคธ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จนเป็นพระอรหันต์และพระโสดบันได้ตามลำดับ

 

1819.
กราบเรียนถามท่านอ.ดร.สนอง วรอุไรครับ

กระผมมีความกลัวอีกแล้วครับท่านอาจารย์ คือไม่นานมานี้ ผมได้ไปกราบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งแถวๆบ้านผม ซึ่งก่อนไปไม่กี่วันนั้นผมได้มีความคิดไม่ดีกับท่านมากๆเกิดขึ้นมาเอง แล้วประกอบกับวันที่จะไปก็มีความคิดไม่ดีกับคนอื่นๆด้วย เพราะในร่างกายผมเองมีโรคประจำตัวอยุ่เกี่ยวกับกามโรค แต่ไม่ร้ายแรงถึงโรคเอดส์และติดต่อกันไม่ได้ง่ายๆครับ ผมเองก็กลัวว่าโรคนี้มันจะไปติดคนอื่น และสร้างความเดือดร้อนให้ผุ้อื่น แต่จริงๆมันไม่ได้ติดกันง่ายๆแบบนั้นเลยแต่มันก็มีแรงกระตุ้นให้หวาดกลัวไปต่างๆนาๆ จนผมไปกราบอาจารย์ท่านนี้ก็ยังกลัวอยู่ แต่ก็สำรวมกายวาจาใจให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนแก่ไคร ขณะที่อยู่ต่อหน้าท่านผมก็ไม่มีเจตนาที่ไม่ดีเลย มีแต่ถามถึงแนวทางการปฏิบัติธรรม และขอขมาท่าน นั่งฟังท่านและเกิดความปิติเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเจตนาใดๆเลยที่จะไปเบียดเบียนท่าน แต่พอกลับมาแล้วก็มาคิดมากอีก ว่าเราทำอนันตริยกรรมไปหรือเปล่า เชื้อโรคจะติดพื้นไหม ผุ้อื่นจะเดือดร้อนไหม คิดไปต่างๆนาๆจนวันนี้ก็ยังคิดไม่หยุดเลย ผมกลัวมากๆ แล้วเวลานึกถึงหลวงปู่ทีไร ผมแทบไม่กล้านึกถึงท่านเลย ผมกลัวบาปกลัวอนันตริยกรรมมากๆ   ไม่รุ้ว่าอกุศลกรรมใดมันให้ผลผมอยู่ แต่ผมกลัวเรื่องอนันตริยกรรมมากๆเลยครับท่านอาจารย์ ทำให้ผมไม่กล้าจะไปหาพระ หรือไ่ม่ค่อยกล้าออกไปทำบุญเลย เพราะกลัวจริงๆ แต่จากการศึกษาข้อมูลแล้ว ก็รู้ว่าโรคที่ผมมีอยุ่มันไม่ได้ติดกับไครง่ายๆ ไม่ติดทางผิวหนัง ทางเลือด ติดจากการมีเพศสัมพันธุ์ ความคิดมันพาคิดไปถึงว่าเชื้อมันจะติดพื้นไหม อะไรทำนองนี้ ผมรู้สึกท้อมากเลยครับ   ผมอยากทราบว่าสิ่งที่ผมกระทำไป จัดเป็นอนันตริยกรรมไหมอะครับ ผมกลัวจริงๆครับ

ผมกราบขอบพระคุณในความเมตตา ของท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร เป็นอย่างสูงนะครับ สิ่งใดเป็นการลบกวนอาจารย์ ผมกราบขอขมา มา๊ ณ. ที่นี้ครับ

คำตอบ
    
ความไม่รู้จริง (อวิชชา) เป็นต้นเหตุ ให้เกิดความกลัว ดังนั้น ผู้รู้ไม่จริง จิตย่อมไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตที่ไม่เป็นสมาธิเพราะไม่มีศีลบริสุทธิ์คุม ดังนั้นผู้ใดปรารถนาจะมิให้ความกลัวเกิดขึ้น ผู้นั้นต้องพัฒนาจิตให้มีศีลที่บริสุทธิ์อยู่ทุกขณะตื่น แล้วโอกาสความไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัวย่อมหมดไป

     สิ่งที่ผู้ถามมีความกลัวเกิดขึ้น แล้วคิดไปต่างๆนานา ไม่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม มิได้ตัดทางสวรรค์ มิได้ตัดทางนิพพาน แต่เมื่อใดที่กรรมให้ผล ย่อมเกิดเป็นความเร่าร้อนขึ้นในดวงจิต
  

1818.
อยากทราบวิธีในการปฎิบัติกรรมฐานที่ถูกต้อง เพื่อทำจิตใจให้สงบ เพราะมันจะต้องมีการฉุกคิดขึ้นมาทุกครั้งเวลาปฎิบัติ เราจะห้ามมันได้หรือไม่ครับ และมันจะเกิดขึ้นจริงหรือป่าวครับเพราะมันทำให้เราวิตกกังวล จะสามารถแก้ใขอย่างไรดีครับ และทำใมจิตของผมมันต้องมีการคิดขึ้นมาแวบหนึ่งขึ้นทุกครั้งจนฟุ้งซ่าน เป็นอำนาจของกรรมหรือป่าวครับ เป็นกรรมเกิดจากอะไรครับ
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

ผู้เริมปฎิบัติ

คำตอบ
    ท่านเจ้าคุณโชดกเคยพูดกับผู้ตอบปัญหาในทำนองที่ว่า ผู้ใดไม่เอาศีลลงคุมใจ ใจย่อมฟุ้งซ่านด้วยอารมณ์ปรุงแต่ง ดังนั้นศีลจึงเป็นฐานให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิเป็นฐานให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ผู้รู้จริงแท้และรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (พระพุทธโคดม) จึงได้บัญญัติไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ไว้ให้ภิกษุสงฆ์ประพฤติปฏิบัติ เพื่อพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์

    ในฐานะที่ผู้ตอบปัญหาเป็นพุทธบริษัท (ฆราวาส) ปรารถนาจะมิให้จิตมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ต้องเอาศีลคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วโอกาสที่จิตจะปราศจากอารมณ์ฟุ้งซ่านย่อมเกิดขึ้น

    ส่วนคำว่า “กรรม” หมายถึง การกระทำ มนุษย์ทำกรรมได้สามทางคือ คิด (มโนกรรม) พูด (วจีกรรม) และทำ (กายกรรม) ผู้ใดยังมีความไม่รู้จริง (อวิชชา) อยู่ในดวงจิต ผู้นั้นยังต้องเวียนตาย - เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร การเกิดเป็นทุกข์ การตายเป็นทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้จริง บุคคลผู้ไม่รู้จริงยังต้องทำกรรมอยู่อย่างไม่มีวันจบสิ้น
  

1817.
กราบเรียน อ.สนอง ที่เคารพค่ะ
 
ถามเลยนะคะ
1. การจุดธูป เป็นวิธีการหนึ่งที่จะเชิญผู้ที่เราจะอุทิศบุญให้ ให้เขามาอนุโมทนาบุญได้ ใช่หรือเปล่าคะ
 
2. มีคนที่เค้าสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพ เทวดาได้ บอกลูกว่า ในนิมิตเค้าเห็นองค์จี้กง และเห็นหน้าลูก   แล้วให้ลูกไปหารูปองค์จี้กงมาไว้บูชา และให้สวดมนต์บูชาท่าน เพื่อให้งานต่างๆที่ติดขัด จะได้ผ่านไปได้อย่างราบรื่น..ลูกควรทำอย่างไรคะ
 
3. สืบเนื่องจากผู้ที่สื่อสารกับเทพ เทวดาได้ เค้าบอกว่ามีเทวดามาคุ้มครองเรา หลังจากนั้นพิธีกรรมต่างๆก็ตามมา เช่นต้องไปทำพิธีไหว้ ต้องสวดมนต์บทต่างๆ ลูกก็ทำค่ะ และตอนนี้รู้สึกว่ามันเยอะเกินไป และคิดว่ามันไม่ใช้ทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง..คิดถูกทางหรือไม่คะ ขออนุญาตขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ
 
4. เมื่อก่อนลูกจะทำอะไรจะต้องขอพร ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทวดาดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จ แต่ปัจจุบันนี้ลูกมีความคิดว่าเราจะทำอะไรให้สำเร็จ เราต้องทำเหตุให้ตรงก่อน   จะสำเร็จหรือไม่ก็ยอมรับได้ทุกกรณี และเลิกยึดติดพิธีกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทวดา..(แต่ยังเคารพเทพ เทวดาในคุณความดีที่ท่านมี)..ลูกกำลังเดินไปถูกทางหรือไม่คะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะอาจารย์
 
ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะที่กรุณา และขออนุโมทนาบุญที่เกิดขึ้นด้วยค่ะ..สาธุ
  นภัสสร

คำตอบ
    (๑) ใช่ การจุดธูปเป็นวิธีอย่างหนึ่ง ที่จะเชิญอมนุษย์ให้มาอนุโมทนาบุญ

    (๒) ควรรับฟัง แล้วเอาสิ่งที่เขาพูดมาเป็นครูสอนใจของเรา ว่าเขาพูดถูกตามความรู้ของเขา แต่มิได้ถูกตรงตามคำแนะนำของผู้ที่รู้จริงแท้ว่า งานจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ต้องทำงานด้วยการใช้อิทธิบาท ๔ สนับสนุน และยิ่งทำดวงชะตาให้ดี ด้วยการประพฤติ ทาน - ศีล - ภาวนา จนเข้าถึงมรรคผลได้แล้ว ความติดขัดในงานย่อมไม่เกิดขึ้น

    (๓) ผู้ใดเอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของพิธีกรรม ผู้นั้นย่อมไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ผู้ถามปัญหาคิดได้ถูกทาง สู่ความพ้นทุกข์แล้ว … . สาธุ

    (๔) ตลอดสี่สิบห้าพรรษาที่ออกเผยแพร่ธรรม พระพุทธโคดมมิได้สอนพุทธบริษัท ให้ประพฤติตนเป็นผู้ขอ แต่สอนพุทธบริษัททำเหตุให้ถูกตรง แล้วผลถูกตรงตามความปรารถนาจึงจะเกิดขึ้น ดังนั้นความรู้เห็น เข้าใจของผู้ถามปัญหา ส่องนำทางให้กับชีวิตได้ถูกตรงแล้ว … . สาธุ
  

1816.
กราบเรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร

  ผมมีเรื่องจะขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ เพราะเท่าที่ผม (ประสาคนโง่ๆ) ได้ยินมา มักจะ มีแต่เรื่องลูกเนรคุณ ทอดทิ้งบุพการีก่อนเขียนคำถามครั้งนี้ ผมก็เห็นว่าในกลุ่มคำถามสนทนาภาษาธรรมนี้ มีแต่เรื่องลูกกลัวบาปเพราะไม่ดูแลพ่อแม่ หรือ พ่อแม่กลัวลูกจะไม่ได้ดี  

   ผมจึงต้องเขียนคำถามนี้ขึ้นมา เนื่องจากปัญหาของผมจะตรงกันข้าม กับข้อมูลส่วนใหญ่ที่กล่าวมา นั่นคือ ตัวผมเองมีร่างกายไม่แข็งแรง แต่ก็ทนอยู่มาจนทุกวันนี้ (ไม่ทราบจะมีนิวรณ์มากไปหรือเปล่า)   เมื่อจบการศึกษาแพทย์ ก็คิดว่า ถึงเวลาที่เราควรจะทำหน้าที่ดูแลตนเอง และครอบครัว เพราะเราก็เป็นลูกคนโตเสียด้วย แต่พ่อแม่ท่านก็ให้เราหยุดไปทีละขั้น จากแรกไม่ให้ผม ทำงานนอกเวลา   ให้ผมเอาเงินที่พอมีอยู่ไปซื้ออาคารเตรียมไว้ทำร้านเอง ผมก็ยอมเพราะคิดว่าท่านคงหวังดี พอทำไปสักพัก ท่านก็บอกให้ผมหยุดทำร้าน เพราะท่านเหนื่อยมาก มีอาการประสาทหลอน ผมรักและเป็นห่วงท่าน ยอมปิดร้านมาเฝ้าบ้านให้ท่าน ท่านก็หายจากอาการนั้นได้ทันที ผมเป็นแพทย์ก็พอเข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้น เพราะก่อนปิดร้านนั้น ญาติพี่น้องก็เคยเตือนผมว่าเรื่องนี้มันแปลกนะ ดูดีๆก่อนใครป่วยจริงหรือเปล่า   แต่ตัวผมก็คิดว่าบุพการีคือผู้เลี้ยงดูเรามา คงไม่มีใครจะมาทำอะไรแปลกๆหรอก ทุกวันนี้ ผมจึงทนอยู่เป็นเด็กเฝ้าบ้าน-ล้างจานให้พ่อแม่ งานแพทย์ไม่ได้ทำ แต่ผมก็คิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาทุกๆอย่าง คงเป็นเพราะกรรมที่เราสร้างมานมนาน อดีตคงแก่ไขไม่ได้ แต่ที่ยังหนักใจอยู่ก็คือ

  1. ขณะนี้ผมต้องทนอยู่กับท่านที่ผมรัก แต่ท่านระแวงผมมาก กินข้าวก็ต้องเอากับข้าวไปซ่อนกัน   ผมก็คิดว่าเอาเถอะ เราทำหน้าที่เราก็พอ เลยให้เงินท่านใช้ทุกเดือน ข้าวปลาอาหารซื้อกินเอง ซื้อฝากท่านพร้อมๆกันไป เฝ้าบ้านให้ท่านเพราะท่านชอบจะออกไปห้างสรรพสินค้าทุกๆวันหยุด แต่ไม่เท่านั้น ช่วงดึกๆ ผมจะลุกเดินออกจากห้องพักมา ท่านก็จะต้องเดินตามมาดูว่าผมทำอะไร ผมเคยยืนไหว้พระหน้าห้องพระทุกๆวัน ท่านก็ต้องมายืนหลังผม หลังๆนี้ผมต้องไหว้พระแค่ในห้องนอน แค่พูดเรื่องนี้ผมก็รู้สึกว่าผมบาปมากไปแล้วนะที่พูดเรื่องพ่อแม่อย่างนี้   แต่ผมก็อยากจะขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์ เพราะผมนึกไม่ออกจริงๆว่า ถ้าเราต้องอยู่กันอย่างนี้ ตัวผมเองก็ไม่ใช่พระอาริยะ บางทีก็มีจิตน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่พอใจท่านบ้าง มันจะเป็นการสร้างบาปกันไปเรื่อยๆหรือเปล่า ผมควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ ใจถึงจะสงบกว่านี้

   2. ขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์เรื่องรูปแบบและสถานที่ปฏิบัติธรรมระยะสั้นๆ ในกรุงเทพ (แถวๆสถานีรถไฟสามเสน) เพราะผมยังต้องทำงานราชการไปอีกอย่างน้อย 3-4 ปีก่อนจะ early retire ได้   เลยมีเวลาว่างเป็นช่วงๆไม่ยาวนาน เดือนที่ผ่านมาได้ไปสิงห์บุรี จึงรู้ว่าวิธีทำให้จิตสงบนี้น่าสนใจมาก

  ขอกราบขอบพระคุณ อ.ดร.สนองฯ ที่กรุณาให้คำตอบเพื่อเป็นแนวทางสร้างใจที่สงบให้แก่ผมด้วยครับ 

     รัก และ เคารพ

คำตอบ
   ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธเจ้าออกเผยแพร่ธรรม พระองค์ไม่เคยสอนให้ใครผู้ใด เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น แต่ผู้มีปัญญาทางโลกยังเห็นผิด ชอบสั่งให้ผู้อื่นทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ ปัญหาจึงได้เกิดขึ้น

    (๑) บุคคลจะมีพฤติกรรมเป็นเช่นไร เขาก็เป็นครูสอนเราว่า ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะรู้ไม่จริง ผู้ใดเอาจิตตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น ผู้นั้นมีทุกข์เกิดขึ้น หากเราไม่ประพฤติเช่นเขา เราก็จะไม่ทุกข์ เช่นเดียวกัน ความทุกข์คือ ความไม่สบาย ไม่สบายใจ ผู้ใดมีความน้อยเนื้อต่ำใจ มีความไม่สบายใจ ผู้นั้นยังไม่รู้จริง (โง่) จึงมีความทุกข์เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ฉะนั้นหากไม่ประสงค์ให้ตัวเองเป็นทุกข์ ต้องปล่อยวางเรื่องของคนอื่น ด้วยการกำหนดว่า “มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ๆๆๆๆ” กำหนดไปเรื่อยๆจนกว่าทุกข์หายไป กำหนดทุกครั้งที่ไม่สบายใจ กำหนดทุกครั้งที่นึกได้

    (๒) ผู้รู้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน ด้วยการสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย หลังสวดมนต์กำหนดลมหายใจเข้าออก (พุท - โธ) นาน ๓๐ - ๖๐ นาที หลังกำหนดแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร หากปฏิบัติบ่อยๆ ปฏิบัติทุกวันให้ได้เช่นนี้แล้ว โอกาสที่จิตจะเป็นอิสระจากพฤติกรรมของคนอื่น ย่อมเกิดขึ้น

    หรือหากประสงค์จะไปปฏิบัติธรรมระยะสั้นๆใกล้บ้าน ผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ ก็ได้
  

1815.
กราบสวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพนับถือ

    กระผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังเริ่มต้นจากการฟังธรรมนิยายของหลวงพ่อจรัญ จึงเกิดความศรัทธาและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และเริ่มเข้าใจธรรม มากขึ้นกว่าการเรียนตอนมัธยม โดยกระผมเข้าใจว่าพระอรหันต์นั้นเมื่อบวชครบ 60 พรรษา แล้วจะเป็นอรหันต์โดยอัตโนมัต ิเหมือนข้าราชการตอนเกษียณ และยังสงสัยว่าเป็นได้อย่างไร ใช้วิธีใด จนได้มาศึกษาจากธรรมนิยายของหลวงพ่อจรัญ และมีโอกาสได้ฟังธรรมเทศนาของหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย จากการแนะนำของกัลยาณมิตรในที่ทำงาน เรื่องการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานโดยตรง ทำให้ได้เข้าใจในเรื่องการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่นิพพานหรือการเป็นอรหันต์ของพระอริยะสงฆ์มากขึ้น   จนกระทั่งกัลยาณมิตรท่านเดิมได้นำ ธรรมเทศนาของท่านอาจารย์ ดร.สนอง มาให้กระผมฟัง ทำให้เกิดความชัดเจน ความเข้าใจ กำลังใจ ในการปฏิบัติมากขึ้น

   ซึ่งในครั้งแรกๆที่ฟัง กระผมชอบฟังเรื่องการเข้าฌานมาก เพราะอยากได้อภิญญา และเป็นสิ่งที่ฟังแล้วมีกำลังใจและใช้เป็นอุบายในการนั่งฝึกสมาธิมาตลอด ตอนนั่งแรกๆ อยากเข้าสมาธิขั้นอัปนาสมาธิมากๆ แต่จิตไม่เคยสงบเลย แม่แต่ขณิกะสมาธิก็ทำไม่ได้ กระผมก็นั่งสมาธิมาเรื่อยและศึกษามาตลอด จนได้มีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวัน ตั้งใจว่าจะเอาฌานที่นี่ให้ได้ แต่จิตก็ไม่สามารถสงบได้เช่นเดิม และคิดว่าจะนั่งสมาธิทั้งคืนไม่ลุกจากที่นั่งดังที่ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ได้ปฏิบัติมาเป็นแบบอย่าง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะมารได้แพ้ทุกครั้ง ต้องล้มตัวลงนอนทุกครั้ง ทั้งง่วง ทั้งปวดขา และเมื่อวันที่ 25-27 ตุลาคม กระผมได้ไปปฏิบัติธรรม ณ ชมรมยุวพุทธิกะ ก็ตั้งใจไว้เหมือนตอนที่ไปวัดอัมพวัน แต่ก็ไม่สามารถทำจิตให้นิ่งได้ แต่คราวนี้ ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว คือ พระวิปัสนาจารย์ท่านแนะนำว่า จิตไม่นิ่งก็ให้ใช้สติตามดูตามรู้เอา จิตมันไม่นิ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เราต้องตามดูให้ทันทุกขณะจิต จากการปฏิบัติในครั้งนั้น ถึงแม้จะไม่สามารถตามจิตได้ทุกขณะ แต่ก็ถือว่ากระผมได้เข้าใจการนั่งสมาธิมากขึ้น มีความเพียรมากขึ้น ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ ไม่นอนกลางวัน พอว่างแล้วนั่งสมาธิทันที

  ถึงตอนนี้กระผมเริ่มไม่ค่อยอยากได้ฌานแล้วครับ ไม่ค่อยอยากได้อภิญญาแล้ว อยากเริ่มฝึกในขั้นต้นให้ดีก่อน คือตามดูจิตไปเรื่อยๆ ตามดูให้เท่าทัน แต่กระผมแปลกใจอยู่ว่าตอนอยู่วัด หรือ ชมรมยุวพุทธิกะ ไม่ค่อยสามารถเข้าสมาธิได้เลย (ที่จำได้เข้าได้ที่ละ 1 ครั้ง) แต่พอออกจากวัดมาปฏิบัติที่บ้าน รู้สึกว่าจิตนิ่งเร็วขึ้น เป็นสมาธิง่ายขึ้น เมื่อพิจารณาแล้วเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยห้ามไม่ให้เราเข้าสมาธิได้ เหมือนอยากให้เราเข้าใจในการปฏิบัติมากขึ้นว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่ความมีอภิญญา หรือการนิ่งเพื่ออยากได้ฌาน ตอนนี้กระผมจึงพยายามมีสติตามจิตให้ทันตลอดทั้งวัน กำลังฝึกอยู่ครับ ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง

   ความจริงแล้วกระผมมีคำถามมากมายอยากสอบถามแต่คิดดูแล้ว อยากปฏบัติแล้วรู้เองมากกว่าครับ แต่มีคำถามหนึ่งที่เกิดจากการปฏิบัติศึกษาแล้วเกิดความสงสัยอยากทราบดังนี้ครับ
 
   1. เป็นไปได้ใหมว่า พระวิริยาธิกะ ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อไปข้างหน้า ซึ่งบำเพ็ญบารมีมากว่าพระพุทธเจ้าของเรา คือ 16 อสงไขย กับ 1 แสนมหากัป (จากหนังสือทางสายเอก) จะตรัสรู้ข้อธรรมเพิ่มขึ้นอีกจากธรรมของพระพุทธเจ้าของเรา มีธรรมที่สามารถดับอย่างอื่นได้มากกว่าดับกิเลสหรือไม่
 
  ซึ่งสาเหตุที่กระผมคิดแบบนี้เนื่องจากมีความสงสัยว่า นิพพานเป็นหนึ่งในวัฏสงสารหรือไม่ แต่เป็นภพภูมิที่ดีไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดซึ่งสามารถตัดกิเลสได้สิ้นเชิง   แต่ก็ยังไม่สามารถดับจิตวิญาณได้ ดับได้เฉพาะธาตุขันธ์เท่านั้น แต่จิตวิญญาณก็ยังไม่ดับยังคงไปอยู่ที่นิพพาน ไปเสวยวิมุติสุข ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับเป็นวัฏหนึ่งที่จิตไปเสวยอยู่ แต่เป็นภพที่ดี   กระผมคิดว่าถ้าดับจริงๆ น่าจะดับทั้งธาตุขันธ์และจิตวิญญาณได้ หมายความว่าดับสลายไปเลย ไม่ต้องมีอะไรเลยไม่ต้องให้จิตมันเวียนว่ายที่ใดอีกทั้งภพภูมิที่สุขและภพภูมิที่เป็นทุกข์ ไม่ต้องอยู่ในจักรวาลใดเลย ดับไปหมดไม่ต้องไห้จิตมันเสวยสุขใดๆอีก ดับจริงๆ
 
     สุขเป็นเวทนาหรือไม่ครับ ถ้าหากสุขเป็นหนึ่งในเวทนา   สุขที่อยู่ในนิพพานถือเป็นสุขเวทนาที่ควรดับให้ได้หรือเปล่าครับ เหมือนกับว่ามีสิ่งที่สร้างภพภูมิต่างๆขึ้น รวมถึงนิพพานด้วย ถ้าหากเราอยากออกจากสิ่งที่มีอยู่นี้ เป็นไปได้ใหมว่าเราควรดับให้หมดทั้งธาตุขันธ์และดวงจิตของเรา ไม่ยึดติดกับภพภูมิใดอีก ทิ้งให้หมดครับ ไม่มีจิตใดๆเลย ดับจิตทิ้งไปเลยครับ
 
คำถามก็มีเพียงเท่านี้ครับ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ดร.สนองด้วยนะครับ   ทั้งนี้ ถ้าหากคำถามนี้เป็นการล่วงเกินคุณพระศรีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอคุณพระศรีรัตนตรัยได้โปรดงดโทษ และให้อภัยในความเบาปัญญาของกระผมด้วยเถิด
 
  ทั้งนี้ กระผมจะปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาครับ ถ้าสถานการณ์น้ำท่วมดีขึ้นกระผมคงได้ไปฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ในเดือน พ.ย. นี้ ที่ กทม. นะครับ ผมได้ลงทะเบียนรับบัตรเข้าฟังเรียบร้อยแล้วครับ ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.สนองเป็นอย่างสูงครับที่ให้ปัญญาความรู้แก่กระผม   ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงครับ สวัสดีครับ 

คำตอบ
    ปัญหาที่ถามไปเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด (อจินไตย) ผู้รู้จริงแท้ไม่วิสัชนา แต่หากใครผู้ใดเข้าถึงสภาวะเช่นนั้นได้ ความสงสัยย่อมหมดไปโดยปริยาย และคำว่า “สุข เวทนา” เป็นสมมุติบัญญัติของอารมณ์สุข ที่เกิดขึ้นกับจิตของผู้ที่ยังมีกิเลสมาก (ปุถุชน)
  

1814.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ

  หนูมีปํญหาที่ไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไร คือหนูเริ่มปฏิบัติธรรมตั้งแต่ประมาณ 10 ปีที่แล้ว และได้ปฏิบัติต่อมาเรื่อยๆ แต่ขาดความต่อเนื่อง จึงทำให้รู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าในธรรม ระยะหลังมีความคิดที่จะลาออกจากงานประจำ เพื่อปฏิธรรมให้เต็มที่ ในความคิดเห็นของท่านอาจารย์ คิดว่าหนูควรตัดสินใจอย่างไรดี (หนูไม่มีภาระอะไรที่ต้องรับผิดชอบนอกจากตนเองค่ะ)
                                                             
กราบขอบพระคุณค่ะ และกราบขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ ที่ช่วยตอบคำถามเพื่อชี้ทางสว่างให้กับคนอื่นๆอีกมากมาย

คำตอบ
   การตักน้ำใส่โอ่ง หากขี้เกียจ ตักบ้าง หยุดบ้าง โอกาสที่น้ำจะเต็มโอ่ง ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก เช่นเดียวกัน การปฏิบัติธรรม หยุดบ้าง ปฏิบัติบ้าง ย่อมบรรลุมรรคผลของธรรมได้ยาก เมื่อรู้จุดอ่อนของตัวเองดังนี้แล้ว ก็เลือกเอาตามที่ชอบๆเถิด

   อนึ่ง คนโง่ มักน้อยในการกระทำความดี แต่มักมากในการทำความชั่ว ตรงกันข้าม คนฉลาดมักน้อยหรือไม่มักในการทำความชั่ว แต่มักมากในการทำความดี ต้องการเป็นคนแบบไหนจงเลือกเอาตามใจปรารถนาเถิด … ขออภัยที่พูดตรง
  

1813.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ดร. สนอง วรอุไรด้วยความเคารพค่ะ

หนูขอกราบเรียนถามปัญหานะคะ

1. คนที่ปฏิบัติธรรมภาวนา แต่ยังชอบไปเต้นรำตอนกลางคืน จะเป็นปัญหาหรืออุปสรรคในการปฏิบัติธรรมหรือบาปมั้ยคะ เพราะในศีล 5 ก็ไม่ได้ระบุว่าผิดค่ะ ไปเต้นรำเฉย ๆ ไม่ได้ดื่มเหล้าค่ะ

2. คำว่ากรรมเป็นเผ่าพันธ์ แสดงว่า ถ้าเราเป็นแม่ได้ทำบุญ รักษาศีล ภาวนา กรรมที่ดีก็สามารถตกไปถึงลูก หรือมารดาของหนูได้เช่นกันใช่มั้ยคะ

กราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
    (๑) ไม่ผิดศีล ๕ แต่จิตยังตกเป็นทาสของกิเลสกาม ซึ่งขัดขวางมิให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    (๒) คำว่า “กมฺม พนฺธุ” หมายความว่า มีกรรมเป็นของผู้ถามปัญหา หมายถึง บุคคลจะมีพฤติกรรมดีหรือชั่ว อยู่ที่การกระทำ (กรรม) ของตัวเองเป็นเหตุ
  

1812.
กราบเรียนถามท่าน อาจารย์ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพอย่างสูงครับ

จากกระทู้ 1807 ที่กระผมได้ถามไปแล้ว ทุกวันนี้มันยังวนเวียนเข้ามาอยู่บ้างครับในส่วนของ ความคิดในเรื่องราวการทำอนันตริยกรรมของผู้อื่น กระผมเลยได้ลองปฏิบัติตามแนวทางคือมันคิดแล้ว ก็ให้รู้ว่ามันคิดดูมันเกิดมันดับไปเองเพราะผมเคยยิ่งห้ามมันมันรู้สึกยิ่งหนัก ผมยังมีความสงสัยอยู่ครับท่านอาจารย์ที่เคารพ ผมจึงขอความเมตตาท่านอาจารย์ให้คำแนะนำครับ

1. การที่ความคิดแบบนี้เกิดขึ้น เช่นยินดีในการทำอนันตริยกรรมของผู้อื่น เช่นความคิดที่เกิดกับผมนี้จะทำให้ไม่สามารถสำเร็จมรรคผลนิพพานเลยหรือเปล่าครับ  

2. ถ้าผมดูความคิดตัวเองแบบนี้เห็นว่ามันห้ามไม่ได้เป็นอนัตตา แต่ดูมันคิดไปอีกมันคิดอกุศลก็เห็นแล้วมันก็ดับไป ผมจะมีกรรมไหมครับที่ไม่ระงับความคิดอกุศล  

3. ถ้าผมเป็นคนชอบมีความคิดไปในทางอกุศลซึ่งมันเกิดขึ้นเองไม่ใช่เจตนาของผมเลย ผมควรจะปฏิบัติยังไงดีหรือครับจึงจะถูกทางและเหมาะสมกับผม แล้วสามารถสำเร็จพระโสดาบันได้ครับ

  กราบขอขมาและขอขอบพระคุณในความเมตตาอันสูงยิ่งของท่าน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรครับ กระผมเองไม่ค่อยมีอาจารย์ทางโลกแล้วไม่ค่อยมีโอกาสออกไปที่ไหนๆได้มากนัก แต่มีความปราถนาที่จะปฏิบัติจริงๆครับ กระผมขอฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ใว้ ณ ที่นี้ครับ สุดแล้วแต่ท่านอาจารย์จะเมตตาครับ

ด้วยความเคารพในท่าน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร เป็นอย่างสูง

คำตอบ
    (๑) เมื่อใดที่ความคิดอกุศลยังมีอยู่ในจิต บุคคลยังไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงนิพพานได้

    (๒) กรรม คือ การกระทำ ความคิดอกุศลเป็นมโนกรรมที่มีอานิสงส์เป็นบาป

    (๓) ผู้ใดปรารถนาจะให้ความคิดอกุศลหมดไป ต้องนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย หลังสวดมนต์แล้วเสร็จ ต้องกล่าววาจาขอขมากรรมที่เป็นอกุศลมโนกรรมนั้น และต้องพูดว่า “จะไม่คิดอกุศลให้เกิดขึ้นอีก” หลังจากนั้นรักษาใจให้มีสัจจะ และสุดท้ายให้กำหนดอานาปานสติ (กำหนดพุท - โธ) ทุกครั้งที่นึกได้ ทุกครั้งที่ว่างจากงาน เมื่อปฏิบัติแล้วเสร็จในรอบวัน ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
  

1811.
เรียน อาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ
 
วันนี้ลูกมีคำถาม..ที่สงสัยอีกแล้วค่ะ
 
ข้อแรก.. การอุทิศบุญที่เราทำ ต้องกรวดน้ำหรือไม่คะ และจำเป็นต้องจุดธูปเทียน เพื่ออัญเชิญเทพ เทวดา เจ้ากรรมนายเวร บรรพบุรุษ หรือใคร ที่เราต้องการอุทิศให้หรือไม่คะ หรือถ้าเราตั้งจิตอุทิศให้บุญจะถึงหรือเปล่าคะ หรือต้องเอ่ยชื่อผู้ที่เราต้องการอุทิศบุญให้ บุญถึงจะได้แก่ผู้ที่เราต้องการอุทิศให้ค่ะ
 
ข้อสอง.. เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ค่ะ.. เนื่องจากลูกกำลังเรียน และเป็นช่วงยุ่งๆและเครียดๆกับเรื่องเรียน แม่จะมาดูแล แต่ลูกก็มีความรู้สึกไม่อยากให้แม่มา เพราะถ้าแม่มาอยู่ดูแลเรา เราเกิดความกังวลขึ้นสองทาง คือ กังวลเรื่องงาน และเรื่องการดูแลแม่ (ยอมรับทั้งที่รู้สึกผิดว่า.มันไม่อิสระค่ะ).. อีกทั้งบางที่แม่ก็บอกให้ทำในสิ่งที่เรายังไม่อยากจะทำในขณะนั้น ทั้งๆที่มันก็เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งทำให้ทั้งแม่และลูกรู้สึกไม่ดีต่อกัน (แม่ก็รู้สึกว่าลูกไม่เชื่อฟัง ลูกก็รู้สึกว่าทำไมแม่ต้องบังคับ) เช่น แม่จะให้เราไปทำบุญ จุดธูป 39 ดอกเชิญบรรพบุรุษไปทำบุญด้วย เพื่อให้เรื่องการเรียนทั้งหลายราบรื่น   แต่ขณะนั้นสภาพจิตใจเรายังไม่พร้อมที่จะทำ และกำลังอยู่ในช่วงที่เกิดความคิดว่า อยากทำบุญ เพราะเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้อยากทำบุญเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ และอีกเรื่องคือรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คุยกับแม่แล้วแม่ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เราคิด (ทั้งที่เมื่อก่อนคุยกันทุกเรื่องค่ะ) แล้วเราก็มีนิสัยที่ไม่ดี ต่อพ่อแม่ คือ เวลาท่านพูดหรือทำอะไรไม่ตรงกับใจเรา เราจะโกรธทันที (รู้สึกแย่กับตัวเองค่ะ ที่เป็นแบบนี้ แต่ห้ามไม่ทันทุกที) เลยพยายามอยู่ห่างท่านไว้ก่อนในขณะนี้ เพราะไม่อยากให้กระทบกระทั่งกัน รู้สึกไม่ดีต่อกัน คือ ไม่อยากให้เป็นเวรกรรมต่อกันค่ะ. แต่ลูก็ยังรักท่านทั้งสองเหมือนเดิมค่ะ. ลูกกำลังแก้ปัญหาถูกทางหรือไม่คะ หรือลูกควรจะแก้อย่างไร
 
ข้อสาม.. เดี๋ยวนี้ลูกมีความคิดว่า. การทำบุญ.อยากทำบุญเพราะเป็นสิ่งที่ดี การสวดมนต์.เพราะทำให้เราจิตใจสงบ. ให้เราเกิดปัญญาและมีกำลังในการแก้ปัญหา. ไม่ได้ทำบุญหรือสวดมนต์เพื่อวอนขอให้สำเร็จวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น ขอให้สอบผ่าน เป็นต้น..และการไหว้เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์.เพราะเคารพนับถือในความดีที่ท่านมี ไม่ได้เป็นการสวด หรือไหว้เพื่ออ้อนวอนขอ เช่น ให้สอบผ่าน ให้เจอคู่ครอง เป็นความคิดที่ถูกทางหรือไม่คะ คือ ช่วงหลังๆลูกเริ่มคิดว่าเวลามีปัญหามันเกิดขึ้น มันเกิดจากตัวเรา และเราต้องเป็นคนแก้เอง การอ้อนวอนขอ โดยที่เรายังไม่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ไข มันช่วยแก้ปัญหาให้เราไม่ได้ แต่อีกทางนึงก็คิดว่า. เราจะเชื่อมั่นในตัวเองเกินไปหรือเปล่าคะ
 
ด้วยความเคารพอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ
 
หากลูกมีความเห็นผิดไปประการใด ขออาจารย์ช่วยชี้ทางให้ลูกด้วยค่ะ
 
ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ
  นภัสสร

คำตอบ
    (๑) การอุทิศบุญ ขณะกำลังกล่าวคำอุทิศ จะกรวดน้ำก็ได้ ไม่กรวดน้ำก็ได้ แต่ต้องเอยชื่อผู้ที่ถูกอุทิศบุญให้ หากเขามาอนุโมทนา เขาก็ได้บุญ หากเขาไม่มาอนุโมทนา เขาก็ไม่ได้รับส่วนบุญ

    (๒) คนที่มีอารมณ์โกรธ เป็นคนที่ขาดสติ และไม่มีเมตตา ฉะนั้นเมื่อมีสิ่งขัดใจเข้ากระทบจิต ต้องให้อภัยเป็นทาน ให้อภัยทุกครั้ง แล้วโทสะจะหายไป ความเมตตาจะเกิดขึ้นแทนที่ แล้วสั่งสมอยู่ในดวงจิตของผู้ให้อภัย ซึ่งมีผลทำให้อารมณ์สงบและเย็น

    ผู้เป็นลูกต้องทำให้ได้ตามที่ชี้แนะ แล้วบาปจะไม่เกิดขึ้น

    (๓) พระพุทธโคดมไม่เคยสอนให้พุทธบริษัท ประพฤติอ้อนวอนหรือขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆช่วย แต่สอนบุคคลให้ทำเหตุดี ให้ถูกตรงแล้วผลดีย่อมเกิดขึ้น ฉะนั้นจงใช้สติสัมปชัญญะ ส่องนำทางให้กับชีวิต แล้วย่อมพบแต่ความสวัสดีแน่นอน ผู้ใดประพฤติ ทาน ศีล ภาวนา อยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมมีดวงดี ผู้มีดวงดีย่อมพบกับความสำเร็จในทุกสิ่งที่ตนปรารถนา
  

1810.
เรียนถาม ดร.สนอง วรอุไร

คนเราทำกรรมอะไรมาจึงถูกน้ำท่วมได้รับความทุกข์ร่วมกันมากขนาดนี้
                                         กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     ความทุกข์เป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ทุกข์จากถูกน้ำท่วม เนื่องจากเหตุทำกรรมเบียดเบียนธรรมชาติ เช่น ตัดไม้ทำลายป่า ปิดทางน้ำมิให้ไหลลงสู่ที่ต่ำ ผู้ทำกรรมเบียดเบียนรวมถึงผู้ร่วมกระทำกรรม และผู้เห็นดีด้วยกับการกระทำอันเกิดจากการใช้ปัญญาเห็นผิด จึงต้องร่วมกันเสวยอกุศลวิบากที่เกิดขึ้น
  

1809.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

  หนูมีข้อสงสัยที่จะรบกวนขอความกระจ่าง จากอาจารย์เกี่ยวกับการปฏิบัตินิดหน่อยค่ะ เนื่องจากหนูเคยฟังบันทึกการบรรยายธรรมเทศนา ของหลวงพ่อจรัญแห่งวัดอัมพวันที่ท่านกล่าวว่าเป็นการไม่สมควรและเป็นบาป หากผู้ปฏิบัติเดินจงกรมโดยกำหนดพุทโธที่เท้าในระหว่างที่ก้าวขา

  ในขณะเดียวกัน หนูเคยได้รับคำบอกกล่าวจากผู้เข้ารับการอบรมปฏิบัติกรรมฐาน ที่วัดสันป่าสักวรอุไรธรรมาราม ในเชียงใหม่ว่า การเดินจงกรมของที่วัดนี้ก็กำหนดพุทโธไปตามปกติ เพราะที่วัดนี้เป็นสายพระป่าและปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่มั่น และหลวงปู่ชา นอกจากนี้หนูยังเคยอ่านใน e-book เกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิภาวนาของหลวงปู่มั่นที่บอกเล่าโดยหลวงตาบัว เลยเกิดความสับสนนิดหน่อยว่า ถ้าหากหนูถนัดและคุ้นเคยกับคำบริกรรมพุทโธ แล้วหนูควรจะปฏิบัติหรือบริกรรมอย่างไร ในขณะเดินจงกรม จึงเหมาะสมและถูกต้อง และไม่เป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า

  ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     พุทโธเป็นคำสมมุติที่ถูกบัญญัติขึ้น เพื่อให้จิตได้ระลึกรู้ (จดจ่อ) ในอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ ดังนั้นการนำคำว่า “พุทโธ” ไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก จึงทำได้ นำคำว่า “พุทโธ” ไปจดจ่อกับการก้าวเดินของเท้าซ็ย - ขวา จึงทำได้ นำคำว่า “พุทโธ” ไปจดจดจ่ออยู่กับการแบมือ - กำมือ จึงทำได้ นำคำว่า “พุทโธ” ไปจดจ่ออยู่กับเสียงเดินของนาฬิกา จึงทำได้ ฯลฯ เมื่อใช้แล้วจิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิเหมือนกัน เมื่อใดที่จิตเป็นสมาธิ ย่อมไม่ปรามาสพระพุทธเจ้าให้เป็นบาปเกิดขึ้น
  

1808.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

ขอถามปัญหาดังนี้ค่ะ
1. เวลาจะนอนพักผ่อน เอนหลัง หลังจากนั่งทำงานนานๆ มักจะชอบเปิดธรรมะ ฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ทาง Internet และฟังอย่างตั้งใจ พิจารณาตามธรรมนั้นตามปัญญาที่มี  จะเป็นบาปไหมคะ เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า โทษของการนอนฟังธรรมจะทำให้เกิดเป็นงู แต่เวลาหนูไปฟังธรรมที่วัด หนูจะนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่พูดไม่คุย เพื่อจะพิจารณาตามธรรมนั้นเสมอ

2. การทำบุญโดยการโอนเงินเข้าบัญชี กับการได้ใส่บาตรพระอริยสงฆ์ท่านโดยตรง อานิสงค์จะเท่ากันไหม

3. ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นรูปร่างตัวตนของครูบาอาจารย์ แต่ได้กราบท่านจากภาพหรือยกมือสาธุ เมื่อปิติที่ได้ฟังธรรมของท่าน และพยายามน้อมนำไปปฏิบัติ เท่าที่สติและปัญญาจะอำนวย อย่างนี้หนูจะบังอาจถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านได้ไหมคะ ท่านจะรับหนูเป็นศิษย์ไหมคะ รวมถึงอาจารย์สนองด้วยค่ะ
 
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง
วัฒนา ถิ่นนคร นครศรีธรรมราช

คำตอบ
     (๑) ทุกอิริยาบถ (ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม เล่น ฯลฯ) ที่เอาหูฟังธรรม ผู้นั้นย่อมมีบุญเกิดขึ้นและถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต ผู้มีบุญไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน (งู) ตรงกันข้าม คนมีบาป (โมหะ) ตายแล้วยังมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้

    (๒) โอนเงินเข้าบัญชีกับนำอาหารไปใส่ลงในบาตรของพระอริยสงฆ์ ได้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน เป็นอานิสงส์ที่ต่างกัน จึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ว่าการกระทำอย่างใดได้อานิสงส์มาก ได้อานิสงส์น้อย

    (๓) ผู้ใดมีความประพฤติถูกตรงกับครูบาอาจารย์ การเป็นศิษย์เป็นครูย่อมเกิดขึ้นโดยปริยาย ตรงกันข้าม หากประพฤติได้ไม่เหมือนกัน แล้วมาอ้างว่าเป็นครูเป็นศิษย์กัน คำอ้างเช่นนั้นถือว่าเป็นการกล่าวตู่

    ผู้ตอบปัญหาเปิดโอกาสให้มวลชนได้ทำความดี หากผู้ใดพัฒนาจิตจนมีพฤติกรรม ถูกตรงตามธรรมได้แล้ว การเป็นครู - เป็นศิษย์กัน ย่อมมีความเป็นไปได้
  

1807.
กราบท่านดร.สนอง วรอุไรที่เคารพอย่างสูงครับ 

คือผมมีปัญหาเรื่องนี้อยู่สักพักแล้วหลังจากที่ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านเจอ เกี่ยวกับเรื่องของพระเทวทัตก็ตาม หรือนางจิญจายะก็ตาม แล้วบวกกับผมเคย

ได้ยินว่าห้ามไปส่งเสริมยินดีกับผู้ทำไม่ดีจะมีผลต่อเราด้วย ผมเลยยิ่งกลัวใหญ่เลย เพราะมันเหมือนว่าคำว่า เทวทัตกับจิญจายะมันจะผุดขึ้นมาบ่อยๆเวลาผุดขึ้นมา ผมจะรู้สึกกลัวมาก แล้วก็มีครั้งหนึ่งผมยิ่งพิจารณา ตามแยกแยะว่าสิ่งไหนคืออะไรยังไง แต่สุดท้ายก็สู้แรงของสังขารอวิชชาไม่ไหวมันพาผมกระเจิงเลยครับ

แล้วอยู่ดีๆมันก็มีความคิดว่า ยินดีกับนางจิญจายะ แล้วผมรู้สึกท้อมากๆเลยคิดว่า เราจะตกนรกไหมนี่ เราจะสำเร็จมรรคผลได้ไหมนี่ เพราะการกระทำของเขาเหล่านั้นเป็นอนันตริยกรรม เราก็ไม่ได้คิดเองนี่นา สังขารขันต์มันคิดของมันเองนี่นา แต่ผมกลัวมากๆ กลัวตกนรกกลัวไม่สำเร็จมรรคผลน่ะครับ

สิ่งใดที่ผมเคยคิดไม่ดีโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ผมกราบขอขมาท่านดร.สนอง วรอุไร ณที่นี้ครับ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่าน ดร.สนอง วรอุไร เป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
     ผู้รู้จริงไม่เคยห้ามใครผู้ใด ให้ทำหรือไม่ให้ทำในสิ่งใด ผู้รู้จึงทำได้เป็นผู้ชี้แนะเท่านั้นว่า “คนที่ศรัทธาในความชั่ว ย่อมมีโอกาสทำตนให้เป็นคนชั่วได้” หากไม่ประสงค์ลงไปเกิดเป็นสัตว์นรก ต้องพัฒนาจิตให้พ้นไปจากโทสะได้เมื่อใด ก็จะไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์นรกแน่นอน
  

1806.
สวัสดีค่ะอาจารย์ ดร.สนอง
 
หนูขออนุญาตเล่าประวัติส่วนตัวนิดหน่อยนะคะ เพื่อประกอบคำถามของหนูค่ะ
 
หนูไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชนโดยกำเนิดค่ะ ที่บ้านนับถือพระเจ้า หนูก็เข้าเรียนและปฏิบัติตามหลักศาสนาเป็นปกติ แต่หนูก็มีคำถามตลอดเวลาเกี่ยวกับหลักศรัทธาค่ะ จนกระทั่งเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว หนูมีโอกาสไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว (หนูเรียนเคมี แล้วไปต่อเอกที่อเมริกาด้านการศึกษาค่ะ) หนูก็ได้มีโอกาสหาคำตอบให้กับคำถามทั้งหลาย
 
  หนูไปโบสถ์อยู่สัก 2 ปี คำตอบคือ ไม่ใช่อีกแล้ว แล้วก็เคว้งคว้างแบบไม่มีศาสนาอยู่พักหนึ่งค่ะ ตอนนั้นรู้สึกว่า ผิดหวังไปหมดค่ะ หนูเคยลั่นวาจาว่า ยังไงก็ไม่เอาพุทธศาสนาเด็ดขาด เชื่อพระเจ้าเท่านั้น   จนกระทั่ง ถึงจุดเปลี่ยนที่หนูเริ่มสนใจเรื่องกฎแห่งกรรม หนูจำไม่ได้ว่าจุดเปลี่ยนคืออะไร แต่หนูเริ่มหาอ่าน
 
ปัจจุบันนี้ หนูก็แอบ ๆ ทำค่ะ โชคดีที่นอนคนเดียว หนูจึงสวดมนต์ก่อนนอนบทสั้น ๆ บทยาวหนูก็เปิดหนังสือ นั่งสมาธิก็นั่งบ้าง แต่ไม่สม่ำเสมอ พยายามอยู่กับพุทโธ   ตักบาตรเท่าที่พอมีโอกาสซึ่งนาน ๆ ครั้ง สรุปคือ หนูต้องแอบทั้งที่บ้านและที่ทำงานค่ะ
 
คำถามของหนูมีดังนี้ค่ะ
  1. หนูจำเป็นต้องไปหาโรงเรียนเพื่อเรียนพุทธศาสนาไหมคะ ทุกวันนี้หนูอ่านแล้วก็ฟังตามอินเตอร์เน็ตค่ะ หากจำเป็น ควรไปที่ไหนคะ (หนูอ่านหนังสือธรรมะหลายเล่มแล้วค่ะ เช่น หลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ คู่มือมนุษย์ ประวัติหลวงตาบัว สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หนังสือคุณดังตริน และตอบคำถามตามเว็บต่าง ๆ เช่น ของอาจารย์ เว็บพันทิป   ฟังบรรยายหนูก็ฟังหลายท่าน เช่น ของอาจารย์จากเว็บ หลวงตามหาบัว รายการทางเอเอ็ม ของอ.ยุพา หลวงพ่อสงบ)
 
  2. ตั้งแต่หนูมาเป็นพุทธศาสนิกชน หนูเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเองที่ชัดเจน หนูมีความสุขมาก ๆ   แต่ปัญหาคือ หนูขาดความทะเยอทะยานค่ะ หนูชอบและอยากทำงานทางวิชาการของหนูให้เต็มที่ (หนูรับผิดชอบหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับม.ปลาย อบรมครู เป็นต้น) หนูไม่อยากทำงานบริหาร หนูไม่อยากต้องรับผิดชอบมาก แต่ด้วยวัยและคุณวุฒิ ผู้ใหญ่และคนรอบข้างชอบเข้ามาคิดแทนหนูค่ะ หนูจะสร้างความทะเยอะทะยานอย่างไรคะ หนูปฏิบัติมาผิดทางหรือป่าว เดี๋ยวนี้หนูก็ไม่ค่อยชอบซื้อ ไม่ชอบช้อปปิ้ง   (แต่ยังชอบกินอยู่เหมือนเดิมค่ะ) หนูมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ แต่คนรอบข้างชอบคิดแทนหนูค่ะ
 
  3. ที่หนูเคยลั่นวาไว้น่ะค่ะว่า ยังไงก็ไม่เอาพุทธศาสนา หนูต้องทำอย่างไรเพื่อแก้ไขคำปรามาสคะ หนูสวดมนต์บทขอขมาพระรัตนตรัย แล้วอธิษฐานได้ไหมคะ ที่บ้านหนูไม่มีพระนะคะ
 
กราบขออภัยที่เขียนซะยาวและกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถามค่ะ
แจง

คำตอบ
     ไอสไตน์ไม่ได้นับถือศาสนาใด แต่เขาเป็นคนดีโลกจึงยกย่อง

    (๑) หากประสงค์เป็นคนดี ต้องไม่อ่าน แต่ปฏิบัติให้ได้อย่างหลวงตามหาบัว

    (๒) มนุษย์แสวงหาความสุขและปฏิเสธความทุกข์

     ผู้ใดยังมีจิตเป็นทาสของกาม (ชอบกิน , ชอบคิดแทนคนอื่น) ผู้นั้นย่อมมีทั้งสุขและทุกข์เป็นของคู่กัน เป็นความสุขที่หยาบและมีอายุสั้น

    ผู้ใดทำจิตให้เป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุ ผู้นั้นย่อมมีความสุขที่ละเอียดและประณีต

    ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเป็นสมาธิระดับฌานได้ ผู้นั้นย่อมเข้าถึงฌานสมาบัติสุข ที่ละเอียดและประณีตยิ่งกว่า

    ผู้ใดพัฒนาจิตให้ปลอดจากสังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส) ได้แล้ว ผู้นั้นมีความทุกข์เหลือน้อยเท่าขี้ฝุ่นติดอยู่ที่ปลายเล็บ เมื่อเทียบกับความทุกข์ที่กำจัดได้แล้ว มีมากเท่าขี้ฝุ่นที่หลงเหลืออยู่ในพื้นปฐพี

    ผู้ใดกำจัดอวิชชา (สุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา) ให้หมดไปจากใจได้แล้ว ย่อมเข้าถึงความสุขสูงสุด (วิมุตติสุข) (ผู้ตอบปัญหายังไม่ปรารถนาให้เข้าถึง ด้วยเหตุต้องไปช่วยสหธรรมิก มิให้ไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ)

    (๓) ประสงค์ลบล้างคำปรามาส ต้องไปสารภาพผิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วกล่าววาจาขอยกเลิกคำปรามาสเดิม แล้วอธิษฐานใหม่ในสิ่งที่ดีงาม และต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรง ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้น

    อนึ่ง บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้ไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด ผู้รู้ทำได้เป็นเพียงผู้ชี้ทาง ดังนั้นเจ้าของชีวิตจึงต้องบริหารจัดการด้วยตัวเองตามที่ชอบ
  

1805.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

หนูเป็นครูและมีลูกชายอายุ 16 ปี โดยภาพรวมแล้ว เขาเป็นเด็กดี ช่วยงานบ้านพ่อแม่ เป็นห่วงพ่อแม่ ผลการเรียนพอใช้ถึงค่อนข้างดี เคยบวชเณรมาแล้ว 4 ครั้ง  ด้วยความสมัครใจของเขาเอง   เขาได้รางวัลและเกีรยติบัตรด้วย หลังจากที่ได้บวชแล้ว เขามีมุมมองที่เป็นสัมมาทิฐิในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ทุกเรื่อง ไม่ทราบเป็นเพราะวัยของเขาหรือเปล่า คือว่าบางเวลาเขายังชอบเล่นหรือบันเทิง มากกว่าที่จะทบทวนบทเรียน ซึ่งหนูก็ยอมให้เขาผ่อนคลายหลังกลับจากโรงเรียน เขาจะดูหนังฟังเพลงเล่นคอมพิวเตอร์ประมาณ 1 ชั่วโมงเกือบทุกวัน

ด้วยความเป็นแม่หนูอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ หลังจากที่เขาว่างจากงานบ้าน หรือทำการบ้านของโรงเรียนเสร็จแล้ว หนูมักจะขอร้องให้เขาเีรียนกับหนู และทำแบบฝึกหัดและทบทวนบทเรียน หนูรู้สึกว่าเขาจะเบื่อและต่อต้านบ่อยๆ   เราจึงทะเลาะกันบ่อยและหนูรู้ตัวดีว่าหนูเคี่ยวเข็ญบ่นว่าเขาในเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ และเขาไม่พอใจชอบเถียงต่อต้านต่อรองต่างๆ นาๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเรียนกับหนู หนูเป็นห่วงว่าเขาจะสอบได้เกรดไม่ดีและเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ บางครั้งเขาเถียงหนูด้วยคำพูดที่ก้าวร้าว จนหนูต้องอึ้งและไม่คิดว่าเขาจะก้าวร้าวได้ขนาดนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่า หลังจากเขาสึกออกมาเขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง นอกจากบางครั้งสวดมนต์ก่อนนอนเท่านั้น   สำหรับตัวหนูเองก็เช่นกัน บางเดือนหนูจะไปวัดปฏิบัติธรรม ครั้งละ 7 วันอยู่บ่อยๆ แต่พออยู่บ้านหนูจะขี้เกียจปฏิบัติ แต่จะสวดมนต์ก่อนนอนเป็นประจำ และบางครั้งก็สวดมนต์ในใจเวลานั่งรถเดินทางไปที่ต่างๆ หนูรู้ว่าการปฏิบัติไม่ต่อเนื่องของหนูและลูก ทำให้กิเลสและโทสะอยู่เหนือสติของเราทั้ง 2 และหนูก็รู้ว่าปัญญาทางโลก มันคืออวิชาซึ่งทำให้เราพ้นทุกข์ไม่ได้ แต่มันก็จำเป็นในการหาเลี้ยงชีพใช่ไหมคะ ครอบครัวเราจน ภาระเยอะมากค่ะ

   คำถามมีอยู่ว่า ลูกหนูอาจจะต้องตกนรกหรือเปล่าคะ บางครั้งหนูโกรธเขามาก และต่อว่าเขารุนแรงว่าเขาจะต้องตกนรกที่เถียงพ่อแม่ พอหายโมโห หนูจะเสียใจที่ไม่น่าพูดเช่นนั้นเลย และหนูจะกำหนดในใจว่า "รู้หนอ โกรธหนอ" ภาวนาตลอดเวลาไม่ว่าจะเคลื่อนไหวทำอะไร จะกำหนดอิริยาบทย่อยสลับกับภาวนาว่า "แม่อโหสิกรรมให้ลูก ขอให้ลูกปลอดภัยพ้นจากบาป"  และขอให้ตัวเองมีสติทุกเมื่อ ภาวนาอยูพักหนึ่งก็เลิก บางครั้งหนูงอนไม่พูดกับเขาเป็นวันๆ เขาก็จะมากราบเท้าขอโทษ เป็นอย่างนี้หลายครั้ง  หนูทราบดีว่าบาปล้างไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฏแห่งกรรมเพราะสมัยก่อนเมื่อหนูเป็นวัยรุ่นเคยเถียงพ่อแม่เช่นกัน   และรู้ดีว่าตัวเองกำลังใช้กรรมอยู่ บางครั้งหนูมีปากเสียงกับพ่อของเขาให้เขาเห็น หนูรู้ว่าหนูก็มีส่วนที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ หนูจะทำอย่างไรดี ที่เวลาอยู่บ้านจะให้ตัวเองขยันปฏิบัติธรรมมากกว่านี้ หนูจะได้ปล่อยวางได้และใจเย็นมากกว่านี้   หนูต้องเปลี่ยนตัวเองก่อนใช่ไหมคะ ลูกจึงจะดี และถ้าเขาขยันปฏิบัติธรรม จะผ่อนบาปหนักให้เป็นเบาได้ใช่ไหมคะ ไม่ทราบว่า อาจารย์มีวิธีอื่นๆที่จะแนะนำเพิ่มไหมคะ โปรดเมตตาด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงและกราบขอโทษด้วยที่เขียนยาวเกินไป

ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลกนี้ช่วยคุ้มครองอาจารย์ให้พ้นภัยทั้งปวงด้วยค่ะ

แม่ครู

คำตอบ
     การที่ลูกดื้อแม่ เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ที่แม่เคยดื้อต่อบุพการีมาก่อน เมื่อใดที่อกุศลให้ผลแล้ว ผู้ประพฤติไม่ดีต้องชดใช้จนกว่าหนี้กรรมจะหมดสิ้น

    ลูกไม่ตกนรกและคนที่จะตกนรกคือ แม่ เพราะยังปล่อยให้โทสะเข้ามามีอำนาจเหนือใจ วิธีแก้ความโกรธ ต้องให้อภัยในเหตุที่ทำให้ขัดใจ ต้องให้อภัยในทุกเหตุขัดใจ จนใจไม่ขุ่นมัวด้วยโทสะ แล้วจะเปลี่ยนไปเป็นใจที่มีอารมณ์สงบเย็น (เมตตา)

    หากประสงค์ให้เกิดความขยันในการปฏิบัติธรรม ต้องมีสัจจะคุมใจ แล้วเร่งความเพียร เจริญจิตตภาวนาอยู่ทุกขณะตื่นและทุกขณะที่ว่างจากงาน

    การมีปากเสียงกับพ่อบ้านให้ลูกเห็น เป็นพฤติกรรมที่สัตว์เดรัจฉานชอบประพฤติ หากปรารถนาจะไม่ลงไปเกิดอยู่ในภพภูมิต่ำ ต้องเว้นพฤติกรรมที่เป็นอกุศลนี้ให้ได้

    สุดท้ายปรารถนาให้ลูกเป็นคนดี แม่ต้องเป็นคนมีพฤติกรรมดีให้ลูกดูได้ก่อน
  

1804.
กราบท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่ดิฉันเคารพอย่างสูงค่ะ
 
หนูมีข้อสงสัยเหมือนหรือคล้ายๆคำถามที่ 1800 ค่ะ แต่หนูมันมีปัญหาอยู่ที่ว่าหนูกลัวตกนรกมาก เลยอธิษฐานให้ตนเองขึ้นสวรรค์หรือสู่พระนิพพาน แต่อยู่ดีๆ ก็มีอะไรเกิดขึ้นมาก็ไม่รุ้ว่าเราอธิษฐานให้เราตกนรกหรือเปล่านะ เหมือนมันมีเสียงหรือมีความคิดขึ้นมาในขณะที่เราอธิษฐานอยากไปสวรรค์ฯ หรือพระนิพพานนั้นๆ หนูก็งง หนูลองพยายามหาคำตอบ คือ มันอาจคล้ายๆสังขารมารรึปล่าวค่ะ ที่คอยมากวนจิตใตเรา ไม่ทราบว่าหนูคิดถูกรึปล่าวค่ะ ตอนนี้หนู อธิษฐานตลอดเวลาเลยค่ะว่า ขอให้หนูขึ้นสวรรค์หรือไปพระนิพพาน จนคล้ายๆเหมือนคนบ้าไปเลยบางที (อาจจะยาวหน่อยนะค่ะ หนูขออภัยด้วย) คอยพยายามห้ามจิตใจ หรือข่มไม่ให้คิดไม่ดี ให้คำอธิษฐานไปในทางที่ดีค่ะ หนูจะบาปไหมค่ะ ตอบหนูหน่อยค่ะ

คำตอบ
     คนที่กลัวตกนรก ย่อมไม่ตกนรก คนที่ปรารถนาไปเกิดในสวรรค์ ต้องทำเหตุให้ตรงคือ บำเพ็ญทานและรักษาศีลอยู่เสมอ หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นประจำ

    หากปรารถนาไปนิพพาน ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็ฯแจ้งนำทางชีวิต จนเห็นว่าสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมมีความดับไป (อนัตตา) เป็นธรรมดาได้เมื่อใด การบรรลุนิพพานย่อมมีโอกาสเข้าถึงได้ ผู้ใดปรารถนานิพพานแล้วทำเหตุให้ถูกตรง ย่อมมีเทวปุตมารมาขัดขวางเป็นธรรมดา
  

1803.
กราบสวัสดีท่านอาจรย์ดร สนอง วรอุไรค่ะ

หลินต้องกราบขอบพระคุณกับอาจารย์อย่างมาก ก่อนหน้านี้สักสี่ห้าปีก็ไม่ค่อยได้จริงจังกับการปฎิบัติเท่าไหร่ ชีวิตก็มีปัญหามากบ้างน้อยบ้างและลูกของหลินก็ป่วยเรื่อยๆ จนได้อ่านทางสายเอกของอาจารย์ เลยรู้สึกว่ามันใช่และชอบก็ไปซื้อซีดีของอาจารย์มาฟังคะ เลยเจอคำตอบในซีดี เรื่องกำลังใจช่วงที่อาจารย์สอนเรื่องประเภทของมนุษย์ และเคสตัวอย่างของเด็กที่มาเกิดแล้วเลี้ยงยาก เพราะพ่อแม่ศีลไม่เท่ากับลูกๆมาสูงกว่า เลยถึงบางอ้อเลยคะ เพราะช่วงนั้นลูกๆเลี้ยงง่ายขึ้นเพราะเริ่มทำบุญ ทาน และเข้าวัดปฎิบัติบ้างแล้ว และสิ่งที่อาจารย์สอนนั้นเริ่มเห็นความจริงในชีวิตขึ้นเรื่อยๆ และเห็นจริงดังที่อาจารย์สอนคะ คือต้องทำเองและเห็นผลด้วยตัวเอง ญาติของหลินลูกเขาก็เลี้ยงยากก็เอาซีดีอาจารย์ให้เขาฟัง แต่ไม่มีผลอะไรคะ รู้สึกชื่นชมและเป็นโชคดีของตัวเอง ที่ได้พบพระพุทธศาสนาและอาจารย์ที่ชี้แนวทางให้กับพวกเรา

สุดทายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงคุ้มครองขอให้อาจารย์ มีความสุขสมปราถนาและร่างกายแข็งแรง

ขอบพระคุณคะ
  หลิน

คำตอบ
    
บัวอีกดอกหนึ่งที่กำลังแย้มกลีบบาน … . สาธุ
  

1802.
เรียนถามท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ด้วยความเคราพ
 
กระผมมีเรื่องถามและอยากทราบวิธีการเอาชนะความคิดบัดสี ชอบไปดูร่างเปลือยของผู้หญิง ทุกวันนี้พยายามกำหนดให้ได้แต่ก็ยังมีอยู่ในใจเมื่อเจอผู้ที่สวยและหุ่นดี แต่กระผมก็พยายามสู้กับความคิดด้วยการคิดกลับกันว่าร่างนี้เน่าเปลือย แต่ก็ยังไม่สำเร็จมากเท่าไหร่ ได้เป็นบางครั้ง เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นอยู่กับจิต บ่อยๆจะมีผลเสียถึงขนาดไหนครับ

เรื่องที่ สอง ช่วงนี้ที่ปฏิบัติอยู่เรื่อย สวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็เกิดการเก็บเอาไปฝันบ่อยมากแทบทุกวัน ขณะหลับ ฝันว่าได้กำหนดมีสติในฝันเหมือนตอนขณะตื่น เมื่อตัวเองคิดไม่ดี ทำไม่ดี จะกำหนดมีสติ เหมือนตอนที่ฝึกในขณะตื่น อย่างนี้ กระผมฝึกมากไปเครียดเกินไปจนเก็บเอาไปฝันหรือเปล่าครับ แล้วเป็นแบบนี้มีผลดีหรือผลเสียครับ

เรื่องที่ สาม กระผมมีเวลาในการปฏิบัติน้อย กระผมสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิเลย โดยไม่ได้เดินจงกรมก่อน แบบนี้ถือว่าถูกวิธีหรือเปล่าครับ

กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ล่วงหน้าที่กรุณาตอบคำถามครับ

คำตอบ
      ที่บอกเล่าไปถือว่า ใจยังไม่มีศีลคุม จะปฏิบัติธรรมอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ ผู้ใดปล่อยให้กามราคะ (กิเลส) เข้ามามีอำนาจเหนือใจ โอกาสเข้าถึงธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ยาก ตายแล้วยังมีโอกาสให้จิตโคจรไปเกิดในอบายภูมิได้

    ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาแล้ว ยังมีความฝันเกิดขึ้น แสดงว่าจิตยังเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    หากปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้ว จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิถือว่า ปฏิบัติธรรมได้ผลถูกต้อง และหากปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ถือว่า ปฏิบัติธรรมได้ผลถูกต้อง
  

1801.
กราบท่านอาจารย์สนองที่เคารพยิ่ง

หนูมีปัญหาอยากจะรบกวนท่านอาจารย์สนองช่วยให้ความเมตตาชี้แนะด้วยค่ะ

พี่ชายของหนูเพิ่งเสียชีวิตได้ประมาณ 2 เดือนโดยการถูกรถชน และทางบ้านสงสัยว่าเค้าจะคิดฆ่าตัวตายเองเนื่องจากได้ทิ้งจดหมายขออโหสิต่อพ่อแม่ไว้ หลังจากพี่ชายเสียชีวิตทางบ้านก็ได้พยายามสร้างสมบุญกุศลเพื่อที่จะได้อุทิศให้กับดวงวิญญาณของเค้า หนูและคุณพ่อคุณแม่ได้ไปบวชเนกขัมมะเป็นเวลา 7 วัน และได้พยายามทำกรรมฐานทุกวันโดยการเดินจงกรมและนั่งสมาธิเพื่อแผ่ส่วนบุญให้กับเค้า แต่เนื่องจากหนูและคุณแม่มีจิตใจที่ฟุ้งซ่าน ทำให้แม้พยายามปฏิบัติธรรมทุกวันแต่ก็ไม่มีสมาธิเท่าที่ควร

หนูอยากรบกวนถามคำถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. พี่ชายเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ (เพราะรายได้จากการทำงานไม่ได้มาก) แต่ก็เป็นคนดีคือมีเมตตา (กระทั่งมดยังไม่ฆ่าเลยค่ะ) ไม่เที่ยวเตร่ ไม่ดื่่มสุรา ข้อเสียคือความที่เป็นคนคิดมากทำให้เคยมีปากเสียงกับพ่อแม่บ้าง แต่ก่อนที่พี่ชายจะเสียชีวิตไ้ด้ทำพิธีขอขมาล้างเท้าพ่อแม่ และประพฤติปฏิบัติดีต่อแม่ทุกอย่าง รวมทั้งไปไหว้พระทำบุญและคิดจะบวชให้พ่อแม่ด้วย แบบนี้จิิตสุดท้ายเค้าจะสามารถเกาะเกีียวกุศลไปสุคติภูมิได้หรือไม่คะ

2.  การที่พี่ชายฆ่าตัวตาย แล้วเราพยายามทำกรรมฐานแบบนี้ทุกวัน แล้วแผ่อุทิศกุศลให้กับเค้า เค้าจะได้รับหรือไม่คะ เราควรทำยังไงดีที่จะให้พี่ชายได้รับบุญกุศลที่เราอุทิศให้

3 . การพยายามเจริญกรรมฐานทุกวัน แต่จิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิแบบนี้ จะสามารถสร้างสมบุญกุศลและอุทิศให้กับเค้าได้หรือไม่คะ

4. หลังจากพี่ชายเสียชีวิต หนูก็พยายามถือศิล 8 แต่หนูมีปัญหาในเรื่องความอยากกินอาหาร คือ พอตอนเย็นมันจะอยากกินนู่นนี่ (แต่ก็ไม่ได้กินนะคะ) แบบนี้จะถือว่าศิลไม่บริสุทธิ์หรือไม่คะ แล้วจะมีผลต่อบุญกุศลที่พยายามทำหรือไม่คะ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑) เพียงแค่คิดจะบวชให้พ่อแม่ แต่ยังมิได้ทำให้เกิดเป็นความจริงขึ้น ถือว่าจิตสุดท้าย ยังไม่มีสติคุม จึงไม่สามารถไปสู่สุคติได้

    (๒) ในอบายภูมิมีแต่ปรทัตตูปชีวีเปรตเท่านั้น ที่สามารถมารับบุญที่มีผู้อุทิศให้ได้ ส่วนสัตว์ในอบายภูมิอื่น ย่อมหมดโอกาสมาอนุโมทนาบุญ

    (๓) การเจริญกรรมฐานทุกวัน แต่จิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีต้นเหตุจาก จิตไม่มีศีลครบและไม่มีศีลบริสุทธิ์คุม ดังนั้นบุญกุศลจะยังไม่เกิดขึ้นกับจิตที่มีสภาวธรรมเป็นเช่นนี้

    (๔) เรื่องที่บอกเล่าไปถือว่าศีลยังด่างพร้อย (ไม่บริสุทธิ์) จึงปฏิบัติสมาธิแล้วเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ บุญจึงยังไม่เกิดขึ้น
  

 

 

 

 

 

 

 

browser stats