1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 2001-2050
2050.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

    หนูมีน้องลูกของน้าเดิมทำอาชีพขึ้นตาลมะพร้าว เป็นคนดีมีเมตตาขยันขันแข็งมีน้ำใจช่วยเหลืองานการทั้งในบ้านและญาติพี่น้อง สามีของน้องชอบหาปลาหากุ้งเป็นรายได้เสริม ปัจจุบันมีเพื่อนบ้านทำวังกุ้งแล้วก็ขาดทุน เลยเปลี่ยนมาเลี้ยงปลากระพง มีรายได้เป็นล้านบาท จึงมาแนะนำให้สามีของน้องลูกของน้าทำวังปลากระพง สามีของน้องลูกของน้าก็เลยตัดมะพร้าวขุดบ่อทำวังปลากระพงมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 หมดไป 4 - 5 หมื่นบาท แล้ว ใครเห็นก็ใจหายที่เปลี่ยนสวนมะพร้าวมาเป็นบ่อปลา เพราะเป็นอาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษในพื้นที่แม่กลอง แล้วหนูก็ทราบจากอาจารย์เรื่อง " รู้ทันกรรม ชีวิตเป็นสุข " ว่าการเลี้ยงปลาชีวิตจะวิบัติ หนูจะช่วยครอบครัวเขาอย่างไรดี เพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหนูที่ดีมาก ๆ ห่วงใยช่วยดูแลคุณแม่หนูดีมาก ๆ หนูเคยบอกคุณแม่ว่าห่วงใยเรื่องนี้ แต่คุณแม่บอกว่ามันเป็นอาชีพ เขามีลูก 2 คน กำลังโตกำลังเรียน

    ขอรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทาง หรือมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้างคะ? (แต่ครอบครัวเขาสร้างบุญสร้างกุศลมามาก)

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ   

คำตอบ
      จะยังช่วยไม่ได้เพราะความศรัทธาในอาชีพที่ดีงามยังไม่เกิด ผู้รู้จึงไม่เข้าไปข้องเกี่ยวในอาชีพอันเป็นบาปของเขา
  

2049.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

      หนูฝักใฝ่ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว แต่ต้องมีเพื่อนไปด้วย เพราะไม่ค่อยรู้เส้นทางการเดินทาง ชวนแฟนไปก็ไม่ไป ชวนลูกชายไป ก็ไปด้วย   2 ครั้ง ชวนพี่สาวก็ไม่ไป เพราะเคยพบคนที่ทำงานไปถือศีลแต่ยังไม่เลิกนินทา หนูก็บอกไปว่าคนถือศีลไม่ได้เป็นเช่นนั้นทุกคนนะ แต่พอปี 52 หนูเป็นโรคมะเร็งเต้านมก็เลยไม่คิดหาใครไปเป็นเพื่อนแล้ว หนูคงบุญเก่าหมด เค้าคงมาเตือนให้หนูหันมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นับแต่นั้นมาหนูก็ปฏิบัติธรรม และตั้งใจว่าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดอย่างน้อยเดือนละครั้ง และก็เริ่มศึกษาธรรม หาธรรมบรรยายฟังเรื่อยมาฟังมากกว่าการปฏิบัติ และจะเปิดเผื่อให้คนรอบข้างฟังด้วย เพราะเข้าใจแล้วว่าธรรมะเป็นทรัพย์ภายในที่ทุกคนควรแสวงหา แต่หนูยังมีเรื่องอยากถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1. เวลาหนูฟังธรรมจะไม่นั่งฟังอย่างเดียว ขณะฟังธรรมมักจะหาอะไรทำไปด้วย ทำงานบ้านบ้าง ทำสวนบ้าง เผื่อเจ้าที่เจ้าทางได้ฟัง..หนูเข้าใจถูกไหมคะ ?

    2. ฟังธรรมไป เล่นเกมไป...บาปไหมคะ ?

    3. ฟังธรรมบางเรื่อง ตรงกับบุคคลที่เราเกี่ยวข้องด้วย ก็จะหยิบยกไปเล่าสู่กันฟังหรือดาวโหลดไปฝาก บางคนก็ใส่ใจฟัง บางคนก็ไม่สนใจเลย... หนูควรทำเช่นนี้ต่อไปไหม หรือว่าหนูไม่รู้กาลเทศะ

    4. คุณแม่หนูหูตึง ฟังไม่ชัดไม่ได้ยิน จะทำอย่างไรให้คุณแม่ได้ฟังธรรม จะไ้ด้ฝึกจิตไม่ให้ทุกข์ หนูเลยหาเครื่องเล่นเล็ก ๆ ไว้ให้คุณแม่ฟัง แต่คุณแม่บอกว่าไม่ฟัง อยากนอน อยากอยู่นิ่งๆ ปล่อยใจสบาย ๆ

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
      (๑) ไม่ถูกครับ หากประสงค์จะเข้าถึงมรรคผลในการฟังธรรม เมื่อฟังต้องพิจารณาธรรมโดยแยบคาย ( โยนิโสมนสิการ )

     (๒) บาปแน่นอน

     (๓) ควรทำเมื่อเขาศรัทธา หากเขาไม่ศรัทธาไม่ควรทำ

     (๔) เป็นเพียงแค่บอกเล่าเรื่องของคุณแม่ มิได้ถามปัญหา จึงไม่มีคำตอบ
  

2048.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

        ตั้งแต่หนูจำความได้คุณพ่อเป็นผู้ที่มีราคะ โทสะ โมหะ โลภะ มากที่สุด เจ้าชู้ เล่นหวย ขึ้โมโห โผงผาง พูดไปด่าไป ชอบตำหนิบุคคลอื่น (แต่คุณพ่อมีหลักการดีจริง แต่ไม่มีใครรับเชื่อฟัง) ความดีที่เด่นคือ คนตรง ชอบช่วยเหลือสังคมภายในชุมชน เป็นประธานผู้สูงอายุ (ตอนนี้อายุ 79 ปี) และเป็นประธานกลุ่มเกษตรกรจังหวัด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในสังคมชุมชนก็ชอบตำหนิคนอื่น พระเจ้าก็ไม่เว้น ตามจิกพูดจาว่ากล่าวพระ จนคนในหมู่บ้านเริ่มเบื่อหน่ายเอือมระอา  ผิดกับคุณแม่ที่แสนดีมากๆ เรียบร้อยสอนลูกพูดจาไพเราะมีเมตตามากต้อนรับขับสู้ต่อทุกคน รวมทั้งเมียน้อยของคุณพ่อทุกคนด้วย คุณแม่เป็นผู้เสียสละจริง ๆ แต่เก็บความทุกข์ไว้ในใจจนทุกวันนี้ หวังว่าบั้นปลายชีวิตคุณพ่อจะดีต่อคุณแม่บ้าง เลี้ยงลูกทั้ง 3 คนใกล้ชิดคุณแม่ จนได้ดีและมีธรรมะทุกคน เมื่อปี 52 คุณแม่ได้รับรางวัลแม่ดีเด่น   ส่วนคุณพ่อก็ได้พ่อดีเด่น (แต่ลูกๆและญาติก็เฉยๆกับตำแหน่ง เพราะมีตำแหน่งทางกลุ่มเกษตรกรจึงขอให้)  

      เนื่องจากชีวิตนี้น้อยนัก.. หนูจึงอยากให้คุณพ่อเลิกซื้อล็อตเตอรี่ เลิกเล่นหวยเกินเงินเดือนบำนาญที่ได้รับ ปีหนึ่งหมดเป็นแสนกว่า แล้วหันมารีบสร้างทรัพย์ภายให้เร็วที่สุด หนูหมั่นขอคำปรึกษาจากพระอาจารย์และนิมนต์มาบ้าน เพื่อให้คุณพ่อได้สัมผัสกับพระวิปัสนาจารย์ เผื่อคุณพ่อจะได้หันมาปฏิบัติบ้าง สุดท้ายด้วยความทิฐิสูงจึงแก้ไขยาก ต่อมาเมื่อได้ฟังธรรมจากอาจารย์ซึ่งเป็นฆาราวาส ใจก็คิดอยากหาหนทางให้คุณพ่อได้พบกับอาจารย์ แต่เป็นเรื่องยากมาก นอกจากเรียนเชิญอาจารย์มาที่บ้านก็คงยากอีก หนูจึงขอความกรุณาอาจารย์ ช่วยเหลือครอบครัวหนูด้วยนะคะ เพราพี่สาวและพี่ชายเขาปล่อยวาง แต่หนูยังห่วงคุณพ่อมาก อยากตอบแทนบุญคุณ ด้วยการให้คุณพ่อมีทรัพย์ภายในติดตัว เป็นผู้สูงอายุที่มีความเมตตามีคนศรัทธาในตัวท่าน

    1. จะทำอย่างไร ? ให้คุณพ่อเลิกเล่นหวย เลิกด่า เลิกตำหนิคนอื่น หันมาพิจารณาตนอยู่กับปัจจุบัน และอยู่อย่างพอเพียง (ข้อนี้หนูตั้งจิตอธิษฐานหลังสวดมนต์เป็นประจำ)

    2.   หนูพูดแนะนำคุณพ่อ ๆ ก็ด่า " เห็นว่าคุณพ่อ (กู) เป็นลูกรึไง " " ไปปฏิบัติธรรม (เจี้ย) อะไร ทำไมไม่มีสติ ก่อนพูดอะไร (คือคำแนะนำ หรือถามไถ่ปกติ) " หนูจะบาปมากไหมคะ ? ที่ทำให้คุณพ่อโกรธ

    3. พอหวยกินคุณพ่ออารมณ์ฉุนเฉียว หนูพูดอะไรก็พาลไปทั่ว ทำตึงตัง ด่าว่าไปถึงญาติพี่น้อง เหตุที่เล่นหวยก็เพราะอยากหาเงินมาให้ลูก (ทั้งที่ลูกๆไม่ขัดสนสักคน)... หนูคนทำเช่นไรคะ ?

   4. เวลาโกรธและหวยกิน.. คุณพ่อชอบอ้างบุญคุณที่ส่งเสียเลี้ยงดู และบ่นว่าที่ดินที่คุณแม่ยกให้หนู เป็นที่ดินที่คุณพ่อหามาด้วยความยากลำบาก (แต่คุณแม่บอกไม่ใช่) ...หนูไม่อยากได้ที่ดินนั้นแล้ว หนูควรนิ่งเฉยหรือทำอย่างไรดีคะ ?

    5. ที่สำคัญคุณพ่อไม่มีสัจจะ ขอยืมเงินลูกไปใช้หนี้หวยที่อื่น หนูเลยหาอุบายรับหวยจากคุณพ่อ (เล่นแบบไม่จ่ายทุกงวด) แต่ไม่ส่งเจ้ามือ รวมเป็นเงินได้ 3 - 4 หมื่นบาท ส่วนเงินยืมหนูตั้งใจไม่เอาคืนถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณพ่อ...   ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ   

คำตอบ
      (๑) เมื่อใดที่ศรัทธายังไม่เกิด ปัญหาย่อมไม่ถูกแก้ไขให้หมดไปได้ เพราะไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาให้กับใครได้ นอกจากเจ้าตัวจะต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อคุณพ่อยังยินดีอยู่กับการประกอบอกุศลกรรม ก็ต้องปล่อยให้ท่านทำกรรมที่ท่านชอบ

     (๒) ภาชนะที่คว่ำ ย่อมไม่สามารถรองรับน้ำที่มีผู้รินเติมให้ฉันใด ผู้ที่ยังไม่ศรัทธาในความดี ย่อมปฏิเสธความดีงามที่มีผู้มอบให้ฉันนั้น

     ถามว่า : บาปไหมที่ทำให้คุณพ่อโกรธ

     ตอบว่า : บาปครับ แต่จะบาปมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความยาวนานของความโกรธ

     (๓) ผู้รู้ไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นของตน แต่ผู้รู้ยังเอาเขามาเป็นครูสอนใจตัวเองว่า จะไม่ประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา

     (๔) ควรนิ่งเฉย ปล่อยวางคำพูดของคนอื่นเป็นดีที่สุด

     (๕) ผู้ใดเข้าไปมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมของคนอื่น ผู้นั้นต้องมีส่วนในบาปนั้นด้วย การสนับสนุนให้พ่อประพฤติอกุศลกรรม ไม่ถือว่าเป็นจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดี ตรงกันข้าม หากไม่สนับสนุนให้ผู้อื่นทำชั่ว ตัวเองไม่บาป
  

2047.
สวัสดีค่ะ อาจารย์ ดิฉันมีเรื่องเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
 
     แม่ของดิฉันเสียชีวิตมา 5 เดือนแล้วค่ะ และได้นำอัฐิของแม่ไปลอยอังคารเรียบร้อยแล้ว
แต่ดิฉันได้เก็บกระดูกชิ้นเล็กๆ ของแม่ไว้ 3 ชิ้น ตั้งใจไว้ว่าจะนำกระดูกของแม่ติดตัวไปด้วยเวลาไปวัด ไปปฏิบัติธรรม หรือเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด
 
    ดิฉันขอเรียนถามว่า เป็นสิ่งที่กระทำได้ไหม จะเป็นการรบกวนแม่ในภพอื่นหรือเปล่าค่ะ หากมีข้อแนะนำเพิ่มเติมก็รบกวนอาจารย์ด้วยค่ะ
 
ขอบพระคุณค่ะ
ลูกสาว

คำตอบ
    ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม ท่านมิได้สอนพุทธบริษํทให้เอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของวัตถุใดๆ แต่ผู้มีปัญญาทางโลก (สุตตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา) ย่อมมีอัตตาเกิดตามมาเป็นของแถมที่ไม่ดี อัตตาตัวนี้เป็นเหตุให้คนยึดติดโลกธรรมและวัตถุ ส่งผลให้ผู้ไม่รู้จริง เอาวัตถุ (กระดูก) ที่เคยเป็นของแม่ติดตัวไปในที่ต่างๆ เพื่อการระลึกถึง เพื่อการคุ้มครอง เพื่อตอบแทนคุณ ฯลฯ เป็นความคิดเห็นผิด และตรงกันข้ามกับผู้รู้จริงแท้ไม่นิยมประพฤติ

     ถามว่า : การประพฤติดังกล่าว เป็นการรบกวนแม่ในภพอื่นหรือไม่

     ตอบว่า : จิตวิญญาณของผู้เคยเป็นแม่ ได้ทิ้งร่าง (ซากศพ) ไว้กับโลก เพื่อส่งคืนกลับสู่ธรรมชาติ ดังนั้นการกระทำที่บอกเล่าไป จึงมิได้เป็นการรบกวนแม่แต่อย่างใด แต่เป็นความเห็นผิดของผู้ถามปัญหา ที่เอาจิตไปผูกติดเป็นทาสของวัตถุที่คนอื่นทิ้งแล้ว ขออภัย คำตอบไม่ถูกจริตกับผู้เห็นผิด แต่ถูกตรงตามธรรมที่เป็นจริงครับ
   

2046.
กราบเรียน   ท่านอาจารย์ ดร.สนอง

     ดิฉันขอความกรุณาจากท่านช่วยเมตตาด้วยค่ะ ดิฉันป่วยเป็นโรค Panic ( ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเร็วผิดปกติ) อาการเหมือนจะเป็นบ้า สติคุมยาก หายใจไม่อิ่ม เหนื่อย ตกใจมาก เย็นสะท้านจากลิ้นปี่ หัวใจเจ็บ ความเย็นวิ่งไปตามแขนขา ลำตัว
และตัวสั่น ตอนเป็นจะรู้สึกทั้งตกใจ ทั้งกลัว ต้องใช้ยากล่อมประสาทที่ออกฤทธิ์เร็วช่วย โดยรักษาแพทย์แผนปัจจุบันทานยามา เกือบ 2 ปี แล้วค่ะ อาการก็ดีขึ้นแต่ไม่หายขาด

     อาการป่วยของดิฉัน จะกำเริบ 1 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ตั้งแต่โพล้เพล้ จนถึงหลับ (จะเป็นกลางคืนเท่านั้น กลางวันปกติค่ะ) จะมีความคิดแปลกๆ เหมือนขาดสติ ป่วยทางจิตทรมาณมากค่ะ อาการเด่นชัดทางกายจะเด่นชัดเป็นบางวัน ยิ่งวันโกนกับ วันพระ อาการจะกำเริบเยอะเท่าที่สังเกตได้ค่ะ แต่อาการทางจิตหรือความคิด เหมือนจิตตก เป็นทุกวันเฉพาะเวลาค่ำ ตอนนี้
นอกจากทานยาโดยแพทย์สั่งแล้ว ดิฉันให้อาจารย์ (คนธรรมดา) ที่มีความสามารถเกี่ยวกับพลังจิต สะกดจิตเพื่อปรับเปลี่ยน จิตใต้สำนึกอยู่ค่ะ และดิฉันเองก็มักจะทำบุญตักบาตรพระกรรมฐาน หรือคอยติดตามครูบาอาจารย์เทศนาธรรม เพื่อให้จิต ของตัวเองได้เป็นสุขบ้าง เมื่อก่อนเคยไปปฏิบัติธรรมถือศีล 8 อยู่ที่วัด แต่ตอนนี้ไปไม่ได้เลยเพราะตอนมืดค่ำจะตกใจกลัว
อยู่คนเดียวไม่ได้เลยค่ะ นั่งรถทัวร์เดินทางไกล ๆ คนเดียวก็ไม่ได้ ศักยภาพทางด้านสมอง พฤติกรรม ลดลง

    ขอเรียนถามท่านอาจารย์ โรคดังกล่าวเกิดเพราะทำกรรมใดไว้ และจะต้องทำบุญหรือปฏิบัติอย่างไร ถึงจะหายขาดจาก โรค แพนิค นี้ได้ค่ะ
 
  ขอกราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    อาการที่บอกเล่าไปมีต้นเหตุมาจากการทดลองยาพิษกับสัตว์ เพื่อดูผลที่เกิดขึ้นก่อนนำยามาใช้กับคน อกุศลวิบากนี้จะหมดไปต่อเมื่อการจองเวรถูกยกเลิก หรือได้ชดใช้หนี้เวรกรรมหมดสิ้นแล้ว ผู้ฉลาดนิยมชดใช้หนี้เวรกรรมด้วยบุญใหญ่ (ภาวนา) ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน หลังสวดมนต์ทำจิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญใหญ่ที่เกิดขึ้นให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกวัน หรือหาโอกาสนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม แล้วขอความเมตตาให้ผู้เข้าร่วมปฏิบัติ อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของผู้ถามปัญหา การประพฤติเช่นนี้ หนี้เวรกรรมย่อมหมดไปได้เร็ว
  

2045.
ขอสอบถามอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรครับ

     ผมอยากจะเริ่มรักษาศีล เพื่อเตรียมพร้อมสู่การทำสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญหา ผมได้เริ่มเช็คดูว่าขณะนี้ ผมสามารถรักษาศีลข้อไหนได้แล้ว และข้อไหนที่ยังผิดอยู่ ก็มาติดอยู่ที่ศีลข้อ 2-3 ครับ เรื่องการประพฤติผิดในกาม คือผมเป็นผู้ชายวัยรุ่น ก็ได้คบหาหญิงสาวเป็นแฟน เหมือนกับคนส่วนใหญ่ทั่วไปแล้วก็มีเพศสัมพันธุ์กัน โดยที่ฝ่ายหญิงก็ให้ความยินยอม นานๆ ทีเราก็จะหาโอกาสไปร่วมหลับนอนด้วยกัน แต่ผมเองก็ไม่ได้นอกใจเขา และไม่ได้ไปคบหาหรือมีอะไรกับคนอื่นอีก นอกจากแฟนคนนี้ ในขณะที่เรายังคบกันเป็นแฟนกันอยู่   ผู้หญิงคนนี้ยังเรียนอยู่ระดับปริญญาตรีส่วนผมออกมาทำงานแล้วครับ พ่อกับแม่ของเขา และทางที่บ้านผมก็รู้ว่าเราสองคนคบเป็นแฟนกัน แต่ไม่รู้ว่าเราได้มีอะไรกันแล้ว แต่ผมก็เคยบอกกับแฟนเสมอว่าผมไม่กลัวว่าพ่อแม่เธอจะรู้ว่าเรามีอะไรกันแล้ว เพราะผมพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่างที่ได้ทำไปแล้ว แต่เธอก็ชอบพูดว่าเรื่องนี้ จะให้ครอบครัวเธอรู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด

คำถาม คือ

    1. การที่ผมมีเพศสัมพันธุ์กับแฟนผมคนนี้ โดยที่พ่อแม่ของเขาไม่รู้ นี่ถือเป็นการผิดศีลข้อ 3 ประพฤติผิดในกามหรือไม่ครับ คือทำผิดต่อพ่อแม่ของเขาใช่หรือเปล่าครับ

     2. แล้วการที่ผมมีเพศสัมพันธุ์กับแฟนคนนี้ โดยที่พ่อแม่เขาไม่รู้ ถือเป็นการลักขโมยในศีลข้อ 2 หรือไม่ครับ เพราะแฟนผมคนนี้ก็ถือว่าเป็นของหวงแหนของพ่อแม่เขาแล้วผมควรแก้ไข หรือทำอย่างไรดีครับให้ถูกต้องในเรื่องศีล เพื่อที่ผมจะได้เริ่มรักษาศีลให้บริสุทธิ์ และบริบูรณ์ควรแต่การงานในการทำสมาธิเพื่อปัญญาต่อไป

   ขอขอบพระคุณไว้ล่วงหน้านะครับ
     สุพล 

คำตอบ
     (๑) ผิดศีลข้อ ๓

     (๒) ยังถือว่าผิดศีลข้อ ๒ อีกด้วย วิธีแก้ปัญหานี้สามารถทำได้ ด้วยการไปขออนุญาตจากพ่อแม่ ขอลูกสาวมาแต่งงานด้วย จะได้ไม่ละเมิดการล่วงประเวณีอีกต่อไป
  

2044.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร ค่ะ
      คือหนูอยากถามท่านว่า
 
     1. นิพพานเป็นอย่างไรคะ
 
     2. เวลาเราบรรลุมรรคผลนิพพานแล้วเราจะมีร่างกายมั้ย จะมีรูป รส กลิ่น เสียงมั้ยคะ
 
     3. การเข้านิพพาน เป็นการไม่กลับมาเกิดอีก แล้วเราจะดับสลายไปเลยมั้ยคะ
 
     4. ความเป็นอยู่บนนิพพาน มันมีลักษณะอย่างไรคะ
 
     5. นิพพาน แล้วเราจะไม่มีตัวตนใช่มั้ยคะแล้วเราอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือไม่คะ
 
     6. แล้วต้องทำบุญอะไรถึงจะได้อยู่บนสวรรค์นานๆ หลายกัลป์ แบบไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เสวยแต่สวรรค์ แล้วเข้าสู่นิพพาน
 
     7. ทำบุญอะไร ยังไง ถึงจะได้เสวยแค่ มนุษย์ สวรรค์ พรหม นิพพาน แบบนี้ตลอดจนกว่าจะเข้าพระนิพพานคะ แบบไม่ต้องลงอบายภูมิ มีมั้ยคะ
 
     8. ถ้าเราทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐม เราจะได้บุญมากน้อยเพียงใดคะ แล้วอานิสงส์ ของการสร้างสมเด็จองค์ปฐมมีอานิสงค์อย่างไรคะ
 
     9. ถ้าเราอุทิศหรือแผ่บุญที่เราเคยสร้างมาให้กับ สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระสงฆ์ พระอริยบุคคล บิดา มารดา พ่อเกิดแม่เกิด เทวดาที่รักษาตัวของเรา เจ้ากรรมและนายเวรที่มาถึง ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย   แล้วเราจะได้บุญมากน้อยเพียงใด แล้วเราแผ่บุญให้สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ท่านจะได้รับบุญจากเรามั้ย แล้วอานิสงส์เป็นอย่างไรคะ ได้บุญเยอะมั้ยคะ
   
         ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     ข้อ (๑) ถึง ข้อ (๕) ต้องขออภัยตอบว่า ไม่ทราบ เพราะยังไม่มีประสบการณ์ตรง

     (๖) สวรรค์ เป็นที่อยู่ของเทวดา มีอายุขัยยาวนานเป็นปีทิพย์ พรหมโลก เป็นที่อยู่ของพรหม มีอายุขัยยาวนานเป็นกัป (กัลป์)

     ทานและศีล หรือกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นทางดำเนินสู่สวรรค์ ดังนั้นผู้ปรารถนาไปเกิดในสวรรค์ ต้องทำเหตุให้ถูกตรง ส่วนผู้ปรารถนาไปเกิดในสวรรค์แล้วเข้าสู่นิพพานได้ ต้องพัฒนาจิต ให้มีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย และต้องมีจิตมั่นคงอยู่ในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แล้วความสมปรารถนา จึงจะเกิดเป็นจริงได้

     (๗)
       - ศีล ๕ เป็นเหตุผลักดันจิต ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์
       - ทาน + ศีล หรือ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นเหตุผลักดันจิต ให้ไปเกิดเป็นเทวดา
       - ฌานเป็นเหตุผลักดันจิต ให้ไปเกิดเป็นพรหม
       - อาสวักขยญาณ (หมดความโลภ หมดอวิชชา) เป็นเหตุผลักดันจิต ให้ไปสู่นิพพาน
       - ไม่ปรารถนาลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกต่อไป ต้องพัฒนาจิตให้เป็นอริยบุคคล

     (๘) ได้บุญแค่สวรรคสมบัติ แต่เป็นพื้นฐานรองรับจิตให้สามารถพัฒนาเข้าสู่นิพพานได้

     อานิสงส์ของการสร้างพระสมเด็จองค์ปฐม มีดังนี้
       - เกิดแต่ละครั้งไม่ลงอบายภูมิ
       - เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา
       - ปฏิบัติธรรมได้ผลเร็ว ถึงนิพพานเร็ว
       - มีชื่อเสียงดี เป็นที่ยกย่อง
       - มีคนกราบไหว้
       - มีบริวารมาก
          ฯลฯ

     (๙) เมื่อใด อุทิศบุญกุศลแล้ว เกิดปีติมาก ได้บุญมาก

       เมื่อใด อุทิศบุญกุศลแล้ว เกิดปีติน้อย ได้บุญน้อย

       ไม่อุทิศบุญกุศล ไม่ได้บุญในส่วนที่เป็นปัตติทานมัย (ดูบุญกริยาวัตถุ ๑๐)

     อนึ่ง พระอริยบุคคล ร่วมถึงพระพุทธเจ้า ไม่ต้องการบุญที่เกิดจากการอุทิศ เพราะท่านเหล่านั้น เป็นผู้มีบุญผลักดันให้เข้าสู่นิพพานได้แล้ว
    

2043.
ถาม ท่าน อาจารย์สนอง

     เคยได้ฟังธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์ครับ ได้ความรู้มากมาย ทั้้งที่เข้าใจได้ และยากที่จะเข้าใจ จะพยายามต่อไปครับ
 
     วันนี้อยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ครับ
 
     ได้ยินฟังอาจารย์เล่าเรื่องทำฟาร์มกู้ง ของเกษตรกรรายหนึ่ง ต่อมาล้มละลาย   ซึ่งเป็นอาชีพสุจริตทางโลก แต่ผิดทางธรรม และคนทำ จะวิบัติได้ ซึ่งผมฟังแล้ว รู้สึกว่า มันสวนกระแส ของทางโลกมาก เพราะธรรมดา บุคคลทั่วไป ส่วนมาก (เมืองไทย) ก็ทำอาชีพกสิกรรม ไม่ปลูกพืช ก็เลี้ยงสัตว์ คนต้องการ บริโภค มันก็ต้องเกิด การบริการ การซื้อและขาย บางคนไม่สามารถทำอาชีพที่ตนรัก และชอบได้ วิถีมันมาอย่างนี้ จำต้องทำอาชีพที่ตนไม่ชอบและรัก (ไปพลางก่อน) เพื่อเลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัว ซึ่งส่วนตัวผมก็ไม่ชอบครับ เช่นครอบครัวผม แต่เดิมครอบครัวผมก็ ซื้อสัตว์ มาขายต่อ เพื่อส่งต่อร้านอาหาร ผมไม่ชอบ แต่จำต้องช่วยบ้านทำงาน พ่อผมทำไปมาก็นานมาก จนท่านเสีย สมัยท่านมีชีวิตอยู่ ผมเคยอธิษฐานขอครอบครัว มีหนทาง ประกอบอาชีพใหม่ ซึ่งมันไม่เกิดผล  
 
      อาจารย์เคยบรรยายว่า ทุกสิ่งไม่มีบังเอิญในพระพุทธศาสนา    และอะไรนำเรามาสู่อาชีพอย่างนี้ครับ.....
 
    ต่อจากเรื่องข้างต้น ครับ ถ้าเป็นเอกชน ทำการเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันเสี่ยงมาก ล้มละลาย วิบัติมีความเป็นไปได้สูง   แต่องค์กรใหญ่ ที่ผูกขาดการตลาด เขาไม่มีทางวิบัติได้ หรือ (นิติบุคคล) เพราะหาก  กิจการใดของเขาขาดทุน เขาก็มีกิจการอื่นได้กำไร และถ้าคิดโดยรวม เขาก็ได้กำไรครับ   เช่น ซีพี ปัจจุบัน โยงไปค้าขาย มี 7-11 มี lotus จนโชว์ฮ่วยทั่วประเทศอยู่แทบไม่ได้ คุมกิจการ แบบรวบการตลาด  
 
    ผมเห็นแต่ความไม่เป็นธรรมในด้าน การค้า การขาย มีแต่การเอารัด เอาเปรียบกัน   รายใหญ่กิน รายเล็ก เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่เห็นวิบัติเลยครับ   ( หรือ นิติบุคคล กรรมแตะต้องไม่ได้ครับ)
จะไปมีผลกับ บุคคลเท่านั้น ?  การค้าขายเหล้า บุหรี่ คนกินฉิบหาย คนขายรวย บริษัทยักใหญ่ รวยติดอันดับโลก คนทำงานในองค์กร อยู่ดีกินดี  
   
     1.  คำถาม อยากถามว่า กฎแห่งกรรม จะมีผลต่อบุคคลเท่านั้นหรือ นิติบุคคล หรือ บริษัทห้างร้าน ขนาดใหญ่     .................. มีโอกาสวิบัติได้ไหมครับ
 
     2. ถ้าอาจารย์ ขับรถยนต์ อาจารย์คงสังเกตุ ข้างทางที่ทางหลวง เขียนไว้ ทำนองว่า อุบัติเหตุ คนเจ็บ คนตาย คิดแต่เป็นเรื่องเวรกรรม แต่ที่จริงเป็นเรื่อง ประมาท
      เราจะแยก พิจารณาอย่างไรครับ ว่าเป็นเรื่องที่เกิดจาก เวรกรรม หรือ เพราะความประมาท  
 
     ผมเคยได้ยินมาว่า บางคนไม่ถึงที่ตาย ก็ตายได้ เป็นสัมภเวสี แสดงว่า ...ความตายเกิดจากการประมาท หรือเปล่าครับ
 
     ความวิบัติ จากการทำอาชีพไม่ชอบ องค์กรขนาดใหญ่ หากจะดูด้วย ปถุชน คงไม่อาจเห็นได้   ต้องมีตาวิเศษ ที่มองข้ามภพ ข้ามชาติใช่ไหมครับ...

คำตอบ
     ความเห็นจิตเป็นต้นเหตุให้เกิดอกุศลกรรม

     ตาเนื้อตาหนัง มองเห็นชีวิตยืนยาวแค่ประสาทสัมผัส แต่ตาทิพย์ (ทิพพจักขุ) เห็นชีวิตยืนยาวข้ามภพข้ามชาติ จึงรู้ว่าความเจริญหรือความวิบัติ มีเหตุมาจากกรรมที่ทำไว้แต่อดีต กรรมมีหลากหลาย เช่น กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า กรรมที่ให้ผลในชาติถัดๆไป กรรมที่ยกเลิกให้ผล ฯลฯ ผู้ที่รู้ตัวนี้แล้วจึงไม่ประมาทในการทำกรรม ตัวอย่างเช่น สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ ผู้ประกอบอาชีพเป็นมิจฉาอาชีวะ ได้พัฒนาจิตตนเอง (ทาน ศีล ภาวนา) จนเป็นพระโสดาบัน จึงปิดอบายภูมิได้ ตายเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติเข้าสู่นิพพานได้ แล้วกรรมไม่ดีเป็นอันยกเลิกให้ผล (อโหสิกรรม)

     ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ผู้ถามปัญหาจะนำชีวิตของตนเอง เข้าร่วมในอกุศลกรรมหรือไม่ พึงเลือกเอาตามที่ชอบเถิด

     (๑) มีโอกาสวิบัติได้ ถ้าผู้ร่วมกระทำอกุศลกรรม บริหารจัดการชีวิตของตนด้วยความประมาท

     (๒) คำว่า “เวรกรรม” หมายถึง การกระทำที่เกิดขึ้น เนื่องด้วยเหตุแห่งการผูกพยาบาท กรรมมีพลังผลักดันให้ชีวิตไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ดังนั้นความประมาท (ขาดสติ) กับการมีเวรกรรม จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน

     คนที่ตายไปเกิดเป็นสัมภเวสี มีเหตุอันเนื่องมาจากความประมาท จิตใดมีสติคุมทุกขณะตื่น จิตนั้นจะไม่ต้องไปเกิดเป็นสัมภเวสี

     ตาเนื้อตาหนัง มองเห็นได้ใกล้เพียงชีวิตนี้ กรรมที่ให้ผลข้ามภพชาติ ต้องดูด้วยตาทิพย์ (ทิพพจักขุ) จึงจะเห็นได้
  

2042.
กราบอ.ดร.สนอง วรอุไรที่เคราพอย่างสูงคะ

ขอเรียนถามปัญหาที่สงสัยอยู่คะ

หนูสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมานานแล้ว มั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองช่วงใดที่มีจิตตั้งมั่น มีสติดีพอควร   หนูจะเสวยสุขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนาได้เพียง 5-7 วัน   ช่วงหลังๆมานี้หนักกว่าเก่า เพียง 1-2  วัน หนูจะเจอแต่กับทุกข์ๆๆ   จะต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่ดี เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ทางกายก็ทางใจ มีโทษ มีภัย มีอันตราย   มีคนว่าร้ายเอาเปรียบ เบียดเบียน กล่าวโทษ มีการเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ บ้านทะเลาะกันรุนแรงสาเหตุมาจากเรา มีคนมานินทาให้ฟังทำทีคล้ายมาปรึกษาปัญหาชีวิต ซึ่งตนเองปลีกตัวไม่ได้ การงานถาโถมเบียดเบียนเวลาส่วนตัว หนูแทบไม่ได้ปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเป็นราวเลย ต้องทำงานเลยเวลาเพื่อให้งานมีคุณภาพ แต่ไม่ได้ OT ครั้นจะทำงานให้เสร็จๆไป ก็ทำไม่ได้ เพราะร่างกายมันทำเร็วไม่ได้อีกแล้ว มันรู้สึกรนมาก และจะเห็นจิตตัวเองวิ่งไปอยู่กับสิ่งอื่นถ้าไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ เหตุการณ์ร้ายๆ จะเกิดขึ้นกับตนเองเหมือนจงใจเกิด เพราะบุคคลใดดีกับเราอยู่ เขาจะกลับกลายเป็นร้ายใส่เราโดยไม่มีมูลเหต หนูจะอภัยให้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่คิดเป็นอื่นเลย   แต่ช่วงนั้นเหมือนกับเรามีทุกข์อยู่เหมือนกัน เพียงชั่วข้ามคืน บุคคลนั้นก็จะดีกับเราได้โดยง่าย ขอเรียนถามอาจารย์ว่า

      1. เหตุการณ์ร้ายๆ เหตุการณ์หนึ่งเมื่อเราประสบ ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาแล้ว หรือบางทีเพียงรู้แล้ว ปล่อยไปเฉยๆ ก็เหมือนกับตัวเองจะดีขึ้น หลังจากนั้นจะเหมือนตัวเองพัฒนาเพราะจะรู้กาย+ ใจ ได้แนบแน่น เฉียบคมมากขึ้น แต่ก็ต้องมีทุกข์มาถาโถมตลอดๆๆ มีแต่ทุกข์ๆๆ หนูคาดว่ามันเป็นอย่างนี้มาเป็นเกือบปี และไม่รู้กี่สิบรอบอาจถึงร้อยรอบได้ ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วบารมีที่สั่งสมมาไม่มากพอจะสามารถบรรลุธรรมในชาติปัจจุบันนี้ได้หรือไม่คะ  

      2. เหตุการณ์ร้ายๆเหล่านั้น เป็นผลจาก กรรมเก่าที่ตนเองได้ทำเอาไว้เองแล้วต้องมารับผลที่ทำไว้ใช่หรือไม่ ; ทำไมบางทีรู้สึกเหมือนมีใคร ช่างจงใจให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้น   เหมือนรู้สึกว่าตนไม่ได้ทำเอาไว้ แต่ต้องมาเจอ

      3. หนูรู้สึกว่าชีวิต มีแต่ทุกข์ ทุกข์มากจริงๆ สุขเพียงชั่วคราว ส่วนใหญ่จะสุขเวลาอยู่ห้องคนเดียว ไม่ชอบดูหนัง ไม่ชอบฟังเพลง ช่วงหลังแม้แต่ข่าวก็ไม่ชอบดู ไม่อยากรับรู้อะไรๆ ของใครทั้งสิ้น ไม่อยากพูด ไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบกิน ไม่ชอบนอน ทำไปทำมาหนูไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร วันวันหนึ่งจะอยู่แล้วทำอะไร ทำอย่างไรดี เหมือนหาไม่มีจุดหมายเลยคะ

      4. ที่อาจารย์เคยกล่าวว่าปฏิบัติธรรมแล้วเข้าถึงธรรม ชีวิตจะมีแต่ดี และดีขึ้นๆ ไม่ต้องดูหมอเลย เพราะชีวิตจะมีแต่ดีเท่านั้น; จะได้อย่างนั้นต้องปฏิบัติถึงขั้นใดคะ

      5. ขอคำอธิบายคำว่าศีลบริสุทธิ์ คุมถึงใจ ; ถ้าเรามีจิตคิดไม่ดีเพียงแค่เสี้ยวเดียว   คือรู้ว่ากำลังจะคิดไม่ดีต่อคนๆนี้ กำลังเริ่มๆจะคิด บางทีเห็นต้นเรื่องของความคิดนิดหน่อย แต่ไม่รู้เนื้อความของความคิดนั้น ผิดศีลหรือเปล่าคะ

      6. ที่อาจารย์กล่าวว่า ผู้เห็นจิตย่อมเอาจิตไปผูกติดเป็นทาสกับสิ่งที่ถูกเห็น หมายความว่าอย่างไร

      7. มีวันหนึ่งจะตื่นนอนรู้เห็นหมดทุกอย่าง ได้ยินเสียงนาฬิกา ยินหนอ รู้หนอ ต้องตื่นหนอ ขี้เกียจหนอ ไม่อยากตื่นหนอ ต้องตื่นหนอ ฝืนลืมตาเห็นภาพและรู้ว่าตัวเองขืนเปลือกตาให้ลืมขึ้น ลืมหนอๆ ลืมไม่ได้หนอ หนักหนอๆ จนลืมได้ ลืมได้หนอ แล้วตาก็ปิดอีก ปิดหนอๆ ไม่อยากปิดหนอ แต่ตามันก็ปิด ตื่นไม่ไหวหนอ แล้วตัวเองก็คิดว่านอนอีกหน่อย แล้วตนเองก็ว่าต้องตื่นต้องตื่น สู้กันไปมา ไม่รู้ยังไง   สุดท้ายก็นอนตื่นสาย เป็นเพราะว่าอะไร ทำไมรู้หมดแต่ตื่นไม่ไหว สงสัยในคำพูดของอาจารย์ที่ว่า จิตเป็นทาสสิ่งที่ถูกเห็นใช่หรือเปล่าคะ

            กราบขอบพระคุณในความเมตตาตอบปัญหาของหนูคะ

คำตอบ
     (๑) ไม่ได้ครับ

     (๒) การพัฒนาจิตให้เกิดเป็นความดีงาม ย่อมมีมารมาทดสอบ แต่จะผ่านพ้นมารได้ ต้องใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรมแก้ปัญหา

     (๓) ประสงค์ให้ชีวิตมีความสุขตามอัตภาพ ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจที่เป็นปัจจุบันขณะ แล้วความทุกข์ใดๆ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

     (๔) ต้องพัฒนาจิตให้มีสติสัมปชัญญะ สติหมายถึงระถึกได้ สัมปชัญญะเป็นตัวปัญญา รู้ว่าดีแล้วทำ รู้ว่าไม่ดีแล้วไม่ทำ หากเป็นเช่นนี้ได้แล้ว ชีวิตย่อมมีแต่ส่วนดีให้เสวย

     (๕) ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วยังคิดไม่ดี ถือว่าศีลยังไม่บริสุทธิ์ ปฏิบัติย่อมเข้าไม่ถึงธรรม ตรงกันข้าม เป็นฆราวาสที่มิได้ปฏิบัติธรรม การคิดไม่ดีถือว่า ไม่ผิดศีล

     (๖) หมายความว่า จิตรับเอาสิ่งกระทบที่ถูกเห็น เข้าปรุงเป็นอารมณ์กาม อย่างนี้เรียกว่า จิตเป็นทาสของสิ่งที่ถูกเห็น

     (๗) อารมณ์ต่างๆที่บอกเล่าไป มีเหตุอันเนื่องมาจาก จิตมีกำลังสติอ่อน จึงรับเอาสิ่งกระทบต่างๆเข้าปรุงอารมณ์ได้หลากหลาย ร่างกายจึงสูญเสียพลังงานไปมาก การนอนตื่นสายจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

     จิตเป็นทาสของทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต มิใช่เป็นทาสเพียงแค่เห็น
  

2041.
เรียนถามท่านอาจารย์ครับ

     1. ผมเคยได้ฟังการบรรยายมากมาย แต่ไม่ถึงกับครบทุกครั้งของอาจารย์ ที่ได้พูดถึงเรื่องจิตการพัฒนาจิตต่างๆ จนทำให้ผมเกิดความสงสัย อาจารย์บอกว่าจิตเนี่ยเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง พลังงานที่เรียกว่า"จิต" เกิดขึ้นได้อย่างไรหรือใครเป็นผู้สร้าง

     2. ในจักวาลมีชีวิตอยู่มากมาย ผมคิดว่าที่เหล่านั้นล้วนมีผู้สำเส็จธรรมเกิดขึ้นได ้เช่นโลกนี้แสดงว่าที่ดาวดวงอื่นที่ไกลออกไป มี 31 ภูมิเช่นกันประกอบไปด้วย (อรูปพรหม ๔ + รูปพรหม ๑๖ + เทวภูมิ ๖ + มนุษยโลก ๑ + อบายภูมิ ๔ )( เดรัจฉาน , อสุรกาย , เปรต , นรก) ถูกต้องหรือไม่ครับ แล้วเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงมีน้อยนักและสุ่มได้มาเกิดในโลกนี้  ทุกอย่างมีเหตุและผล   ช่วยเล่าให้ฟังด้วยครับ

     3. ถ้าชาตินี้ผมได้เข้าถึงความเป็นโสดาบัน แล้วตายไปเกิดชาติต่อไป ผมจะเป็นโสดาบันเลยหรือไม่ครับ (หมายถึงเกิดออกมาก็เป็นโสดาบันอยู่ตั้งแต่ทารกแล้ว โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงอีก )

     4. ผมเคยเรียนวิชาพุทธศาสนาเมื่อตอนปีสองตอนนี้ผมอยู่ปีสี่ ตอนที่เรียนพอจำได้ว่าการฝึกกรรมฐานเนี่ย มี 40 กองซึ่งจะต้องเลือกปฏิบัติให้เหมาะกับจริตของแต่ละคน ผมจึงอยากทราบว่าผมควรฝึกกองไหน เพื่อจะได้เดินทางที่ถูกต้อง

     5. ผมเป็นคนขี้สงสัยซึ่งจากที่ฟังอาจารย์มา คนประเภทผมคงจะสำเร็จได้ยาก ผมเรียนอยู่ม.เกษตร บางเขน ผมอาศัยอยู่แถวประชาชื่นใกล้ๆซอยสามัคคีอยากทราบว่าแถวที่ผมอยู่ มีอาจารย์ที่จะสั่งสอนให้ผมปฏิบัติธรรมอย่างถูกทางได้ที่ไหนท่านที่เป็นผู้ที่เข้าถึงธรรม จนถึงขั้นบรรยายได้ เช่นท่านอาจารย์ ดร.สนอง ครับ

    ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     (๑) ที่ถามไปเป็นสิ่งที่ไม่พึงคิด ขออภัยไม่ตอบ

     (๒) เป็นความคิดที่ถูกของผู้ถามปัญหา แต่ไม่ถูกของผู้รู้จริงแท้ พระพุทธโคดมตรัสสอนชาวกาลามะ อยู่ในครั้งพุทธกาล ถึงเรื่องที่ไม่ควรปลงใจเชื่อ ๑๐ อย่าง (กาลามสูตร) แต่หากผู้ใดปรารถนาจะเข้าถึงความจริงที่มีเหตุผลรองรับ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงโลกิยญะ (อภิญญา ๕) และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงโลกุตตรญาณ (ญาณ ๑๖) ได้แล้ว ย่อมถ่องแท้ในกาลามสูตร สามารถคัดกรองความไม่จริงออกจากความจริงได้

     (๓) ไม่เคยปรากฏว่า เด็กที่ยังไม่เดียงสา (ทารก) สามารถเป็นพระโสดาบันได้ แต่มีเด็กอายุ ๗ ขวบ เช่น เจ้าชายพาหิยะ เด็กชายโสปากะ เด็กหญิงวิสาขา ฯลฯ สามารถเข้าถึงสภาวธรรมเป็นพระโสดาบันได้

     (๔) ผู้ถามปัญหาปรารถนาพัฒนาจิตให้เป็นสมาธิ ต้องใช้ มรณสติ หรือ จตุธาตุววัฏฐาน หรือ อาหาเรปฏิกูลสัญญา หรือ อุปสมานุสติ อย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นองค์บริกรรม

     (๕) คำว่า “คงสำเร็จได้ยาก” เป็นการตั้งโปรแกรมที่ผิดให้กับจิต ซึ่งส่งผลให้การบรรลุธรรมเกิดขึ้นได้ยาก

     ผู้ถามปัญหาควรฝากตัวเป็นศิษย์กับ เจ้าอาวาสวัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี แล้วทำให้ได้ ตามที่ท่านสอนโดยไม่สงสัย โอกาสเข้าถึงธรรมจึงจะเกิดขึ้น
  

2040.
กราบเรียน อ.ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง
 
ผมขอกราบเรียนถามเป็นความรู้จากอ.ดร.สนองว่า หนังสือที่เราอ่านแล้ว สามารถถวายพระได้หรือไม่ครับ ถือเป็นทานที่ไม่ควรถวายพระหรือไม่ครับ
 
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ

คำตอบ
      ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ถวาย ถ้าเห็นว่าหนังสือนั้นมีสาระ และเป็นประโยชน์กับพระสงฆ์ ควรถวายได้ แต่หากเป็นหนังสือที่ไม่มีสาระ หรือไม่ตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธโคดม ก็ไม่สมควรถวาย
  

2039.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร

   ผมมีเรื่องที่สงสัยขอรบกวนถามท่านอาจารย์ดังนี้ครับ

  1. การบริจาคเงินร่วมสร้างพระมหาเจดีย์ที่สร้างเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นสถานที่ให้สาธุชนมาปฏิบัติธรรม ถือเป็นการสร้างมหาทานหรือไม่ ต้องบริจาคติดต่อกัน 7 วันรึเปล่าครับ และการบริจาคนี้จะเป็นส่วนในการอธิษฐานขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมในชาตินี้หรือไม่ครับ

  2.  ในแต่ละคืนเราควรแผ่เมตตาให้ใครบ้างครับ และการแผ่เมตตาให้แก่ท่านยมราช ท้าวจตุโลกบาล หรือ เทพองค์ใดๆ เหมาะสมหรือไม่

  3. การเล่นเกมส์ ฟังเพลง อ่านการ์ตูน ถือว่าเป็นการฝึกจิตให้มีความจดจ่อได้หรือไม่ครับ หรือเป็นความคิดแบบกิเลส

  4. เท่าที่ผมได้อ่านประวัติของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีมา ท่านมักจะบอกว่าการบวชให้บวชเพื่อมุ่งทำพระนิพพานให้แจ้ง บวชแล้วไม่ควรสึก ผมจึงมีความคิดว่าถ้าจะบวชแล้วจึงควรบวชไปตลอดเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง (ปัจจุบันนี้ผมยังไม่เคยบวชพระครับ ไม่ว่าจะเป็นตามประเพณีก็ตาม)  

       ผมลองมานึกดูว่าถ้าผมจะบวชตอนนี้เลยผมจะเป็นอย่างไร ก็เห็นว่าคงจะไม่รอดครับ เพราะว่าผมที่หิวบ่อย และยังคงชอบเสียงเพลงอยู่ โดยจิตมักจะนึกถึงเพลงบ่อยๆ แค่นี้ศีล 8 ก็ไม่ครบแล้ว ผมจึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า เราควรมีความคิดหรือความเห็นเกี่ยวกับการบวชอย่างไรครับ ควรบวชเมื่อใดและควรมีคุณธรรมใดก่อนจะบวชหรือไม่

  5. อาชีพเกษตรกร ปลูกข้าว ปลูกพืชผัก ถือเป็นสัมมาอาชีพหรือไม่ครับ (อาจจะผิดธรรมใดหรือไม่ครับ)

     สุดท้ายนี้ ตั้งแต่ที่ผมเริ่มได้อ่านและฟังธรรมะที่อาจารย์นำมาเผยแพร่ ผมได้เคยมีความสงสัยในตัวอาจารย์ และอาจล่วงเกินทั้งโดยเจตนาและไม่ได้เจตนา ขออาจารย์ได้โปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วยครับ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
      (๑) จัดเป็นมหาทานได้ และไม่ต้องบริจาคติดต่อกันเจ็ดวัน บุญที่เกิดจากการกระทำนี้ เป็นฐานให้จิตได้เข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ ต่อเมื่อได้นำตัวเองไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

     (๒) ถือว่าเหมาะสม ต่อเมื่อผู้ถามปัญหามีเมตตาอยู่ในจิตของตัวเอง

     (๓) เป็นการฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับการเล่น การฟัง และการอ่านได้ แต่สติระดับนี้ยังไม่สามารถนำไปพัฒนาจิต ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้

     (๔) พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี แนะนำได้ถูกต้องตามจุดประสงค์ของการบวช ควรบวชเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วเห็นว่า ตัวเองมีศรัทธาและมีความพร้อม ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ แต่ต้องมีศีล ๕ และมีสัจจะคุมใจให้ได้ก่อน

     (๕) เป็นสัมมาอาชีวะในทางโลก แต่ไม่ถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะในทางธรรม (ในมรรค ๘)

อโหสิกรรมให้ตามที่ขอ
  

2038.
เรียน ดร.สนองที่เราคพเป็นอย่างสูง

     ดิฉันทำงานอยู่ในบริษัทที่ขายอาหารยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย มีการขายไก่ ขายหมู ขายกุ้ง ดิฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์ หรือการส่งเสริมการขายเพื่อให้ได้ขายมาขึ้นแต่อย่างใด

     แต่ดิฉันก็ยังมีความกังวลใจว่าการทำงานในบริษัทเช่นนี้แล้ว ดิฉันจะผิดศีล ในส่วนที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ว่า ห้ามค้าสัตว์ให้เขาเอาไปฆ่าหรือไม่ หรือดิฉํนจะมีเศษกรรม ที่เกิดจากการที่รับเงินเดือนจากบริษัท และรายได้มากจากการฆ่าสัตว์ เพื่อเอาไปปรุงเป็นอาหารหรือไม่ค่ะ

จึงเรียนมาเพื่อขอความกรุณาช่วยชี้แนะค่ะ

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      จากที่บอกเล่าไป ยังถือว่าผู้ถามปัญหาเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนอกุศลกรรมในระดับปลายแถว
  

2037.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

     ผมมีข้อสงสัยที่จะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ ผมเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน คิดรักษาศีล มีเมตตา ตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันผมประกอบอาชีพสัตวแพทย์ ด้วยอาชีพทึ่ต้องทำปัจจุบันผมจึงยังต้องทำบาปอยู่เรื่อยๆ เคยอยู่ประจำฟาร์มเลี้ยงสุกร 7 เดือน แต่โชคดีที่ลาออกมา เพราะที่นั่นมีเรื่องให้ต้องผิดศีลข้อปานาฯ บ่อยมาก ปัจจุบันเป็นหมอรักษาหมา แมว ทำมากว่า 10 ปีแล้ว ก็มีเรื่องให้ต้องทำบาปอยู่เรื่อยๆ เช่น การทำหมันสัตว์ แต่ยังดีหน่อยที่เลิกให้บริการกำจัดเห็บหมัดแล้ว

     ย้อนระลึกไปในสมัยเรียนสัตวแพทย์ ยังรู้สึกว่าได้ทำบาปไปมาก ได้รับการปลูกฝังให้ใช้สัตวทดลอง เริ่มตั้งแต่สัตว์เล็กๆ เช่น หนู ไก่ พอเรียนชั้นปีสูงๆ ขึ้นก็ใช้สุนัขในการทดลองผ่าตัด สุนัข 1 ตัวโดนผ่าตั้งหลายครั้ง กว่าจะได้ตาย เช่น สัปดาห์แรกผ่าตัดช่องท้องด้านล่าง แล้วรักษาแผล พอสัปดาห์ที่ 2 ก็ผ่าตัดช่องท้องด้านบน แล้วรักษาแผล พอสัปดาห์ที่ 3 ก็ผ่าตัดเอ็นหัวเข่า แล้วรักษาแผล พอสัปดาห์ที่ 4 ก็ผ่าตัดควักลูกตา แล้ว put to sleep ปีหนึ่งๆ ใช้สุนัขทดลองผ่าตัดแบบนี้ตั้งหลายตัวต่อนิสิต 1 กลุ่ม ( 4 คน ) ปัจจุบันผมมีจิตฝักใฝ่ธรรมะ ปราถนาพุทธภูมิ แต่ย้อนคิดไปสมัยเรียนแล้วยังรู้สึกหดหู่กับบาปที่ทำอยู่เลย

     ผมอยากจะรบกวนถามอาจารย์สั้นว่า ที่ผมต้องเกิดมาเจออย่างนี้เป็นเพราะผมปราถนาพุทธภูมิใช่หรือไม่

    เรื่องที่ผมถามสาระอาจจะไม่มาก อาจเพียงแค่อยากจะรู้ตามกิเลสที่มีเท่านั้น หากรบกวนเวลาอาจารย์ในการตอบปัญหาที่สำคัญกว่าของคนอื่นๆ คำถามของผมไม่ต้องตอบก็ได้ครับ

          ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
     
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงจำเป็นต้องพึ่งสังคม ชีวิตจึงจะอยู่รอดได้ ดังนั้นผู้รู้จริงไม่ทิ้งสังคม ผู้รู้จริงยังต้องทำงาน (งานภายนอก) ให้กับสังคม และผู้รู้จริงยังต้องทำงาน ( งานภายใน ) ให้กับตัวเอง ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ โดยเฉพาะต้องบำเพ็ญจิตตภาวนาอยู่เสมอ เพื่อให้ตัวเองมีบุญใหญ่กว่าบาป และมีบุญมากกว่าบาป แล้วชีวิตจึงจะหนีพ้นผลของบาปได้ทัน

     ดังนั้น จงระลึกรู้อยู่แต่ปัจจุบัน แล้วทำเหตุให้ตรง (ภาวนา) บาปที่ทำแล้วในอดีต ย่อมตามให้ผลไม่ทัน จงดูตัวอย่างของ องคุลีมาลฆ่าตัดศีรษะคนมาจำนวนมาก ยังสามารถพัฒนาจิตตนเอง หนีพ้นเวรกรรมเข้าสู่นิพพานได้ บาปที่เหลือทั้งหมดไม่สามารถตามให้ผลได้ จึงเป็นอโหสิกรรมไป

     คนที่นำพาชีวิต เดินอยู่บนเส้นทางพุทธภูมิ ย่อมมีชีวิตไม่ราบรื่น มีอุปสรรคขัดขวางการดำเนินชีวิต และมีปัญหาให้ชีวิตต้องแก้ไขอยู่เสมอ ผู้ตอบปัญหาได้พบเจอพระนิตตโพธิสัตว์ มีชีวิตยากลำบากกว่าผู้ถามปัญหาหลายเท่านัก แต่ท่านเหล่านั้นมิได้ท้อแท้หรือท้อถอย ยังคงนำพาชีวิตก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีหลักและมั่นคง … . ฉะนั้นลุย
  

2036.
เรืยน ดร สนอง กระผมขอกราบเรียนถามดังนี้

     1. คิดว่าเข้าใจในธรรมตามตำรา แต่ใจไม่ยอมรับ ทำอย่างไรดี ฟังเทปธรรมะบ่อยก็เท่านั้น ยังกลัว ตาย อยู่ดี

     2 จิตมันปรามาส รัตนไตร สิ่งศักสิทธ์ มา 9 ปีแล้ว แก้ไม่หาย มันขึ้นใจยิ่งกว่าพุธโทเสียอีก ทรมานมาก พยายามคิดว่าไม่ใช่เราคิด ไม่สนใจ ก็ไม่หาย ใจมันสู้กันภายใน จนเป็นคนสมาธิสั้น ขี้ลืม ขี้กลัว ตกใจง่าย

จะแก้อย่างไรดีครับ หรือไม่ต้องแก้ หรือต้องแก้

คำตอบ
      (๑) หนึ่งในกาลามสูตร พระพุทธโคดมได้สอนชาวกาลามะ มิให้ปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงอภิญญา ๕ ได้ และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ ผู้นั้นสามารถคัดกรองความไม่จริงออกจากความจริงแท้ได้ แล้วเมื่อนั้น กาลามสูตรย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์

     ฟังธรรมบ่อยๆแล้วยังกลัวตาย แสดงว่ายังเข้าไม่ถึงธรรมที่ฟัง ผู้ใดประสงค์พัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรม ต้องปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา (ศีล – สมาธิ - ปัญญา) อย่างถูกตรง แล้วใช้อิทธิบาท ๔ เป็นแรงสนับสนุน

     (๒) ผู้ใดมีศีลและมีสัจจะคุมใจ ผู้นั้นมีกายศักดิ์สิทธิ์ มีจิตศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนำตัวเองไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความคิดปรามาสของจิตย่อมหมดไป .… พิสูจน์ไหม ?
  

2035.
กราบเรียนอาจารย์ ด.ร.สนอง ที่เคารพค่ะ
 
     เคยเรียนถามท่านอาจารย์มาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน
ตอนนี้หนูมีคำถามที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวหนูเองปฏิบัติมาถูกทางหรือไม่ค่ะ  
ณ ขณะปัจจุบันนี้หนูพยายามกำหนดทุกขณะจิตเกือบตลอดทั้งวันจะกิน จะเดิน จะนั้ง จะนอน จะพูด จะฟัง แม้แต่ความฝันตังเองก็ยังกำหนด ถ้าไม่กำหนดความฝันนั้นจะกลับมาอีกต่อกันเป็นเรื่องราวเลย แต่พอกำหนดรู้ของเหตุและผลของมันแล้วมันก็ดับไปเอง ไม่กลับมาอีก    หนูอยากรู้ว่าทำไมบ้างครั้ง ความฝันที่เคยฝันมาแล้วมันกลับมาฝันอีก และต่อจากสิ่งที่ฝันมาแล้ว และช่วงหลังๆมานี้มี่ความรู้สึกว่าตัวเองฝันเยอะมากเป็นระยะเวลา 2-3 วันติดๆ กัน แล้วก็หายไปช่วงหนึ่ง แล้วกลับมาอีก แต่จะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองฝันหลังจากนอนหลับไปแล้ว 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะฝันแบบปนไปหมดเลย  (ช่วงหลัง 6 โมงเช้าไป)   แต่ช่วง ตี 3- 6 โมงเช้าไม่ค่อยฝันถ้าฝันก็จะเป็นจริง โดยปกติหนูเข้านอนตี 3 ตื่น 9 โมงเช้า   แล้วถ้าวันไหนไม่ค่อยพูด สิ่งที่เอาไปฝันคือเรื่องที่เราคิดระหว่างวัน และดูเหมือนว่ามันคือตัวเราปัจจุปันนี้ฝันปนกันไปหมดเลยค่ะ แล้วหนูจะแก้ไขได้อย่างไรค่ะ

     ช่วงหลังมานี้หนูกินน้อยกินข้าวเพียงมื้อเดียวเดียว โดยที่ไม่กินของคบเคี้ยวระหว่างวันเลยดื่มเฉพาะน้ำเป็นระยะเวลา 1 ปี มาแล้วหนูก็ดูร่างกายตัวเองว่ามันจะป่วยไหม แต่ก็ไม่เป็นไรไม่เป็นโรคกะเพาะอาหาร และก็ไม่เจ็บไข้   พูดน้อยมากเบื่อที่จะพูดคุยบ้างครั้งก็รู้ว่าคนที่พูดคุยกับเขาเขาจะพูดอะไรต่อเลยเบื่อ
 
     หนูพึ่งไปฟังธรรมที่ม.ช.มาเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2555 หนูแปลกใจว่าทำไมตอนช่วงที่มีการสอบอารมณ์ของผู้อื่น หนูรู้ว่าคำถามบางคำถาม ที่คนอื่นถามไปหนูรู้คำตอบ ว่าพระที่สอบอารมณ์จะตอบว่าอะไร หนูอยากถามว่าหนูเอาจิตส่งออกนอกหรือไม่ค่ะ เพราะช่วงที่หนูฟังธรรมบรรยาย หนูก็กำหนดไปด้วย แต่มันรู้เองค่ะ บางคำถามที่หนูสงสัย ก็ดูเหมือนมีคำตอบให้โดยอัติโนมัติมันรู้เอง หรือบางครั้งพระท่านตอบในสิ่งที่หนูสงสัยค่ะ หนูก็ไม่แน่ใจว่า หนูเอาจิตส่งออกมากไปหรือเปล่าค่ะ หรือว่าปรุงแต่งเอาเองค่ะ
 
     เกี่ยวกับคำบริกรรมค่ะ บางคั้งมีความรู้สึกว่าถ้าเราตามดูจิตตัวเอง โดยการกำหนดคำบริกรรมทุกๆครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะช้ากว่าจิตมันรับรู้ไปแล้วค่ะ อย่างเช่น เคียวหนอ เดินหนอ ขยับหนอ พวกอายะตะนะ ทั้ง 6 ทางกาย ตา หู จมูก ลิ้น ใจ วาจา มันรู้อยู่แล้ว เราจำเป็นต้องกำหนดทุกๆครั้งไหมค่ะ
 
     สุดท้ายนี้ถ้อยคำวาจาใดที่พิมพ์ไปแล้วไม่เหมาะไม่ควรหนูก็อโหสิกรรมด้วยค่ะ
 
       ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
       คนที่พัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนมีกำลังของสติกล้าแข็งแล้ว นอนหลับย่อมไม่ฝัน เหตุที่ฝันต่อเนื่องเพราะจิตขาดสติอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นปัญหาที่ถามจะหมดไป เมื่อเอาศีลอย่างน้อยห้าข้อคุมให้ถึงใจ และใช้อานาปานสติ หรืออยางใดอย่างหนึ่งในอรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม บริกรรมทุกครั้งที่นึกได้ บริกรรมทุกครั้งที่ว่างจากภายนอก

     การฟังธรรมที่ดีต้องส่งจิตออกไปรับเสียง แล้วนำเสียงที่ได้ยินได้ฟัง มาพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่าเสียงที่ได้ยินได้ฟังนั้น ถูกตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ เมื่อรู้แล้วจิตต้องปล่อยวางเสียง แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น
  

2034.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

      การที่เรารู้เท่าทันสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น.. แล้วระลึกเสมอว่ามันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ หรือตามกฎไตรลักษณ์ มันเกิดเราก็พิจารณารู้อยู่เรารู้ด้วยสติ เราเลยไม่แสดงอาการที่เสียใจฟูมฟาย หรือโวยวายอย่างไร้สติ.... แต่เรากลับถูกมองว่าเป็นคนไร้ความรู้สึก.. ไม่ใส่ใจในความทุกข์ของคนอื่น

     แต่สิ่งที่เราทำเพราะคิดว่าปัญหา มันเกิดขึ้นแล้วทำไมเราไม่ใช้เวลา ที่มานั่งฟูมฟายอย่างไร้สตินี้มาพิจารณาหาทางออก ทำไมต้องไปนั่งเสียใจกับอดีตที่มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ทำไมเค้าไม่เลือก ที่คิดถึงปัจจุบันที่มันเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้... พอเราบอกว่าเราคิดยังไงเพื่อนก็ว่าเราว่าเพื่อนคิดไม่เป็น เลยเข้าใจผิดไปกันใหญ่   เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไร เลยไม่กล้าบอกว่าเราคิดยังไง เพราะคิดว่าพูดไปเพื่อนก็คงไม่เข้าใจ ดีไม่ดีเรื่องยั่งจะไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้คือเงีบย และเออ-ออ ตามเพื่อนไป เราเองก็อยากให้คนที่จะเข้าใจเรา แต่คนที่จะเข้ากันก็ต้องเป็นคนที่ชอบศึกษาธรรมะเหมือนกัน แต่ครั้นจะหาเพื่อนที่ชอบศึกษา และปฏิบัติธรรมแบบจริงจังนั้นหายากเหลือเกิน  

    หนูเคยมีโอกาสได้ไปฟังบรรยาย ของอาจารย์สนองตอนที่อาจารย์มาบรรยายที่มหาวิทยาลัย   ก็ดีใจที่จะมีโอกาสได้ฟังแบบสดๆสักครั้ง เลยหาชวนเพื่อนไปพอบอกว่าเป็นการบรรยาย พูดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตกับธรรมะ.. กลับไม่มีใครสนใจบอกว่าคงจะไปนั่งหลับ ตอนแรกก็เกือบจะไม่ไปแล้ว เพราะไม่มีเพื่อน แต่สุดท้ายก็คิดว่าคงจะหาโอกาสแบบนี้ได้ยาก ไปคนเดียวก็ได้ เลยได้มีโอกาสเข้าไปฟังค่ะ ก็ไม่ผิดหวังเพราะได้ธรรมะดีๆ เพิ่มขึ้นอีกเยอะค่ะ จึงขอขอบพระคุณอาจารย์สนอง เป็นอย่างสูงสำหรับธรรมะและข้อคิดดีๆที่อาจารย์ถ่ายทอดให้   

    แต่ตอนนี้สับสนว่า สิ่งที่เราทำนั้นถูกหรือเปล่า   เราก็มั่นใจน่ะว่าเราปกติ มีสติสัมปชัญญะดีทุกอย่าง แต่หลายคนชอบบอกว่าเราคิดอะไรแปลกๆ บ้าหรือเปล่า    เพราะไม่ใช่เพียงกับเพื่อนเกือบทุกคนที่เรารู้จัก เค้าไม่ชอบศึกษาธรรมะเลยเหตุผลก็เหมือนกันหมดคือไม่มีเวลา

      ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     มนุษย์มีศักยภาพในการพัฒนาความรู้หรือปัญญาอยู่สามระดับ

     ทางโลกนิยมพัฒนาความรู้จากการฟัง การอ่าน (สุตมยปัญญา) และพัฒนาความรู้จากการวิเคราะห์วิจัย (จินตามยปัญญา) ซึ่งความรู้ทั้งสองประเภทนี้สามารถรู้ เห็น เข้าใจความจริงชั่วคราว (สภาวสัจจะ) และเป็นความจริงที่ระบบประสาทสามารถสัมผัสได้

     คนจำนวนน้อยนิยมพัฒนาจิต จนเกิดความรู้ขั้นสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) ซึ่งจิตที่พัฒนาดีแล้วเท่านั้นสามารถสัมผัสได้ และเป็นความจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ที่ไม่เนื่องด้วยการเวลา

     บุคคลจะพูดคุยกันรู้เรื่องหรือเห็นพ้องต้องกัน ต้องมีปัญญาเสมอกัน คนจำนวนมากทางโลกจึงมองคนมีปัญญาสูงสุดเป็นคนเพี้ยน ดังนั้น เมื่อเห็นแตกต่างต้องฟังแล้วนิ่ง ดูตัวเองให้ออก หากเราเพี้ยนแล้วทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น จงเพี้ยนต่อไป คนเพี้ยนมีจิตเป็นอิสระจากโลกธรรม อิสระจากวัตถุ อิสระจากความทุกข์จร (ไม่สมหวัง เจ็บป่วย) จงเพี้ยนต่อไป เรามีชีวิตเป็นของตัวเอง ต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง คนเห็นผิด ( ไม่เพี้ยน ) ย่อมเข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น เมื่อถึงวาระที่ต้องทิ้งขันธ์ลาโลก คนเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ย่อมนำพาชีวิตไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ ตรงกันข้าม คนเพี้ยน (สัมมาทิฏฐิ) ย่อมนำพาชีวิตไปสู่สุคติภูมิ จริงแท้แน่นอน
  

2033.
กราบเรียนอาจารย์สนองครับ

     ผมรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำวัดในจังหวัดนนทบุรี ที่ผมจะสามารถร่วมทำบุญได้อย่างสะดวกใจด้วยครับ ผมขอขอบคุณ ในความอุตสาหะของอาจารย์ ที่ได้เผยแพร่ธรรมะมาอย่างต่อเนื่อง ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์ จากธรรมะบรรยายของอาจารย์เป็นอย่างมาก จนทำให้ชีวิตผม เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะผมเข้าใจ และสามารถปฏิบัติตนได้ตรงตามธรรมมากขึ้น และจะพยายามรักษาศีล 5 ให้สมบูรณ์ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ในขณะนี้ก็ตาม ทุกเช้า ผมจะสวดมนต์มหาสมัยสูตร และพระปริตร และแผ่เมตตาทุกครั้ง ตามที่อาจารย์แนะนำ โดยผมได้เอ่ยชื่ออาจารย์ทุกครั้ง เพราะต้องการให้อาจารย์ มีอายุที่ยืนยาว และสุขภาพแข็งแรง เพื่อช่วยให้ความกระจ่าง และช่วยใ้ห้ผม และครอบครัวได้ทำตนให้ตรงกับธรรมะ ของพระพุทธเจ้ามากขึ้นครับ

กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูง

สุทธิศักดิ์

คำตอบ
      แนะนำวัดสังฆทาน วัดละหาร จังหวัดนนทบุรี
  

2032.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพเป็นอย่างสูงครับ

รบกวนขอความรู้จากอาจารย์ซักนิดนะครับ

1. หากเราปฏิบัติธรรมโดยการภาวนาหรือนั่งสมาธิ แล้วอธิษฐานขอให้ึความเจริญในอาชีพการงานบังเกิดแก่เราจัดว่าเป็นการทำเหตุตรงหรือไม่ครับ แล้วอธิษฐานให้มีความเจริญในงานหรือในทรัพย์จัดเป็นกิเลศหรือไม่ครับ ควรตั้งจิตอย่างไรดี ?

2. การโอนเงินทำบุญผ่านทางธนาคาร เพื่อการสร้่างวิหารทาน หรือเพื่อถวายบูชาแด่พระสงฆ์ในการสร้างเสนาสนะต่างๆนั้นอานิสงฆ์ที่ได้กลับมาเป็นแบบไหนครับ แตกต่างจากการไปถวายด้วยตนเองอย่างไร รบกวนอาจารย์ยกตัวอย่างด้วยครับ

ขอกราบขอขมาแด่ท่านอาจารย์ด้วยครับหากได้ทำสิ่งใดล่วงเกินไป

ขอให้อาจารย์มีสุขภาำพยืนยาวเป็นที่พึ่งของผู้คนทั้งหลายต่อไปนานๆครับ

คำตอบ
       (๑) เหตุตรงของการนั่งสมาธิ คือ จิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น อารมณ์ปรุงแต่งของจิตจะลดลง ผู้ใดปรารถนาให้อาชีพการงานประสบความสำเร็จ และเจริญรุ่งเรือง ต้องทำเหตุให้ตรงอย่างน้อยสามอย่าง คือ
      ก. เลือกทำแต่งานดี (ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม)
      ข. ใช้อิทธิบาท ๔ สนับสนุนการทำงาน
      ค. รู้คุณและตอบแทนคุณต่อผู้มีอุปการะ เช่น กตัญญูฯ ต่อบิดามารดา กตัญญูฯ ต่อผู้ทำงานให้ตน กตัญญูฯ ต่อผู้มาใช้บริการ กตัญญูฯ ต่อแผ่นดินเกิด

     การอธิษฐานให้มีความเจริญในอาชีพการงาน และอธิษฐานให้มีทรัพย์ ถือว่าเป็นกิเลสสำหรับผู้ปรารถนานำชีวิตสู่ความพ้นทุกข์

     (๒) การโอนเงิน เพื่อสร้างวิหารทาน หรือสร้างเสนาสนะ และการนำเงินไปถวายด้วยตัวเอง ได้อานิสงส์เหมือนกันคือ เข้าถึงสวรรคสมบัติ แต่จะได้บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ปีติที่เกิดขึ้น หลังจากถวายทานแล้ว เช่น นำเงินไปถวายฯ ด้วยตัวเอง แล้วเกิดปีติมากกว่าการโอนเงินถวายฯ การถวายเงินฯ ด้วยตัวเองย่อมได้บุญมากกว่า
  

2031.
รักเพศเดียวกันผิดไหม และ จะห้ามใจวางตัวอย่างไรกับเพื่อน จึงถูกต้องสมควร

โดยพื้นฐานเป็น ญ ปกติ ห้าวๆ เล็กน้อย   ไม่เคยมีเรื่องชอบ ญ แบบนี้ เคยชอบผู้ชาย   ตอนนี้ทำงานแล้วค่ะ ข้าพเจ้าสงสัยมากคือได้รู้จักเพื่อน ญ คนหนึ่งบังเอิญ เป็นเพือนคุย ถูกชะตา บอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนเป็นมิตรแท้อย่างมาก ดูเขาเป็นห่วงใยเราดีมากค่ะ   ตอนแรกคิดเป็นเพื่อนปกติไม่นึกอะไร พอนานไปทำไมใจตัวเองเริ่มไปอยู่กับเพื่อนคนนี้ค่ะ จนบางครั้งกลัวใจตัวเองว่าจะเป็นทอมชอบเพื่อน ญ คนนี้หรือ.รู้สึกว่าคิดถึงเพื่อนคนนี้ตลอด .ทุกวัน.ไม่เคยเป็นอย่างงี้มาก่อนกะใครเลยอยู่ใกล้แล้วรู้สึกหวิวๆๆค่ะ   * แบบนี้เราเคยทำกรรมร่วมกับเขาไว้หรือเปล่าไม่รู้ ทำอะไรก้อนึกตรงกัน ทั้งๆก้อเคยมีเพื่อน ญ สนิท หลายคน ก็ไม่รู้สึกแบบนี้ค่ะ

    ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังเริ่มหัดนั่งสมาธิ และศึกษาพระธรรม สาเหตุมาจากต้องการสงบใจไม่ฟุ้งซ้านไม่ให้ทุกข์นึกถึงเพื่อนคนนี้   แต่ก้อดีขี้นบ้างแต่ยังไม่หมดค่ะ  

    แต่ ก็ คิดในใจว่าถ้าไม่เจอเพื่อนคนนี้เราก้ออาจจะไม่เข้ามาศึกษาพระธรรมเลย ก้อได้

    ตอนนี้   ข้าพเจ้าพยามคิดในใจว่า มันเป็นราคะ อย่าไปยึดติด เขาเป็นเพียงเพื่อนร่วมโลกเท่านั้น ถ้าเรารักใครอย่างแท้จริง ห้ามหวังผลตอบแทน เหมือนแม่รักลูก

    ซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังทำอยู่ คิดว่าเราเจอเขาชาตินี้ ชาติเดียวเท่านั้นมีสิ่งดีๆ ก็ทำให้แต่ไม่หวังผลตอบแทน ถือว่าเราได้ชดใช้กรรม ชาติต่อไปจะได้เป็นอิสระกัน   ไม่ต้องมาทรมา     เรื่องแบบนี้และ ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ ....

1. ลองคิดแบบ ข้างบน แต่ยัง ทำไม่ได้สักทีค่ะ อาจารย์โปรดแนะแนวทางทำอย่างไร ไม่ให้คิดชอบแบบนี้ จะปฎิบัติตัวและแก้กรรม อย่างไรค่ะ

2. เราควรเป็นเพื่อนกับเขาต่อหรือไม่อย่างไร ค่ะ

3. ทำอย่างไรถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ให้มีความรู้สึกแบบนี้

4. ทำตัวอย่างไรปฏิบัติเป็นเพื่อนแท้ปกติ มิตรที่ดีต่อกัน

คำตอบ
      คนที่ชอบเพศเดียวกัน เพราะอดีตเคยทำกรรมร่วมกันมา เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ให้ทั้งสองโคจรมาพบกัน ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จึงเกิดขึ้น

     (๑) ต้องเอากายคตาสติมาเป็นองค์บริกรรม จนจิตเข้าถึงความสงบเป็นสมาธิ แล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้งในรูปขันธ์ได้เมื่อใด ปัญหาที่บอกเล่าไป จึงจะหมดไป

     (๒) ควรเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน แล้วการประพฤติทุศีลไร้ธรรม จะไม่เกิดขึ้น

     (๓) ประสงค์เป็นมนุษย์ที่ไม่มีความรู้สึกแบบที่บอกเล่าไป ต้องพัฒนาจิตให้เป็นอิสระจากกามราคะได้เมื่อใด ปัญหาย่อมหมดไปเมื่อนั้น

     (๔) ปรารถนาทำตัวเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ต้อง
       ก . เมื่อเพื่อนจะทำความชั่วเสียหาย ต้องคอยตักเตือนห้ามปรามไว้
      ข . ชักชวน แนะนำเพื่อนให้ตั้งอยู่ในความดี
      ค . ให้ได้ยิน ได้ฟัง สิ่งดีงามที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังมาก่อน
      ง . บอกทางสุขทางสวรรค์ให้เพื่อน
  

2030.
กราบเรียนท่าน ดร. สนอง

     หนูมีเรื่องจะรบกวนถามท่านดังนี้ค่ะ แม่หนูไม่สบายเป็นโรคมะเร็ง ตัวหนูได้เดินทางไปพบชายท่านหนึ่งที่ลำพูน ที่สามารถดูกรรมได้ว่า ชาติที่แล้วแม่หนูไปทำอะไรกับใครไว้
แล้วเค้าก็ให้รายชื่อมาหนูก็ไป ตามหาจนได้มาด้วยความยากลำบาก แล้วแม่ก็นำธูปเทียนแพมาขอขมากับเจ้ากรรมนายเวร ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ได้ ตายไปแล้ว และมาเกิดใหม่โดยที่เค้าก็บอกชื่อมาว่าเป็นใครบ้าง แต่ว่ามีอยู่คนหนึ่งเค้าไม่ให้พบค่ะ ก็เลยทำได้ไม่ครบ แต่หนูทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะยากแค่ไหนค่ะเพื่อที่หนูจะได้ไม่เสียใจภายหลัง ว่าทำไมตอนนั้นหนูไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ จนตอนหลัง

     หนูได้กราบเรียนท่านพระอาจารย์องค์หนึ่งว่า โปรดช่วยแม่หนูด้วย ท่านก็ได้ให้สติว่าก่อนจะช่วยแม่ให้ช่วยตัวเองก่อน ให้ทำใจให้ได้ก่อน เวลาจะไปเยี่ยมแม่ก็อย่าร้องไห้ให้แม่เห็น ให้ชวนแม่คุยเรื่องธรรมะ เปิดซีดีธรรมะให้แม่ฟัง ช่วงนั้นหนูก็พยายามพาแม่ไปทำบุญบ่อยมากค่ะ เปิดธรรมะให้แม่ฟัง เปิดเพลงสวดมนตร์ให้แม่ฟัง จนคืนสุดท้ายหนูก็ชวนแม่ทำบุญ โดยการบอกว่าสิ้นเดือนพฤษภาคม หนูจะไปทำบุญกับหลวงตามหาบัวที่อุดร แม่จะฝากทำบุญไหม แม่ก็บอกว่าฝากแล้ว หนูก็เอาเงินให้แม่อนุโมทนาแล้วประมาณ 5 ทุ่มกว่าแม่หนูก็เริ่มกระสับกระสาย หนูก็พูดข้างๆหูแม่ว่า พุธโธ พุธโธ ตลอดค่ะ แล้วแม่ก็สงบขึ้นพอประมาณตี 2 แม่ก็พูดออกมาว่าองค์ไหนก็ได้ แล้วแม่ก็พูดชื่อท่านหลวงตามหาบัว ออกมา 2 ครั้งค่ะ ซึ่งก่อนหน้านั้นหนูก็ได้อธิฐานถึงหลวงตาว่าขอให้ท่านได้โปรดช่วยแม่หนู ให้ไปสู่สุขคติด้วยค่ะ แล้วพอตอนใกล้ๆเช้า แม่ก็พูดอีกว่าเอา น้ำตาลทราย ข้าวสาร น้ำ หนูก็ถามว่าเอามาทำอะไร เอามาใส่บาตรเหรอแม่ก็พยักหน้าค่ะ หนูก็เลยให้น้องชายไปรับพระมาที่บ้าน แต่ว่าพระยังไม่ตื่นค่ะเพราะตอนนั้นเพิ่งจะตี 4 ค่ะ   อีกสักครึ่งชั่วโมงก็ไปรับมาใหม่ค่ะ แม่ก็ได้ใส่บาตรด้วยค่ะ แล้วลมหายใจแม่ก็ค่อยๆเบาลงจนหลับไปในตอนเช้าค่ะ
 
     คำถามค่ะ
      -หนูจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกรรมของแม่ด้วยใช่หรือไม่ค่ะ
      - แล้วตอนนี้แม่หนูไปอยู่ที่ไหนแล้วค่ะ ถึงแม้แม่จะตายไปปีกว่าๆมาแล้ว หนูก็ยังคิดถึงแม่อยู่ค่ะ และทำบุญและสวดมนตร์ให้แม่ตลอดค่ะ
 
     แล้วตอนที่หนูไปทำบุญที่วัดป่าบ้านตาด หนูก็ไปอธิฐานกับพระประทานว่าหนูอยากรู้ว่าแม่จะได้รับบุญไหม แล้วตอนนั่งรถกลับหนูก็เคลิ้มหลับไป แล้วฝันว่าแม่มาบอกว่า "อึม เค้าได้รับบุญนะ"
 
     หลังจากที่แม่ตายไป หนูก็รู้สึกว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน แต่ที่แน่นอนคือความตาย หนูก็เลยตั้งใจถือศีลห้า และสวดมนตร์ทุกคืนถ้าว่างจะนั่งสมาธิด้วย
มีอยู่วันหนึ่ง หนูสวดมนตร์แล้วก็เข้านอนตามปกติ แต่ว่ายังไม่หลับ หนูรู้สึกว่าตัวหนูมันมีอะไรเหมือนเป็นก้อนๆ มาลอยอยู่ข้างบนตัวหนูค่ะแต่หนูก็ ไม่ได้ตกใจค่ะ ก็ดูมันไปเฉยๆ แล้วมันก็หายไปค่ะ แล้วอีกวันหนึ่งหนูนั่งสมาธิ โดยการตามลมหายใจเข้าออกสัก 10 นาทีค่ะแล้วก็เห็นเป็นลำแสงเล็กๆพาหนู
ไปข้างหน้าหนูก็รู้เฉยๆค่ะ แต่พอวันรุ่งขึ้น หนูนั่งคราวนี้ลำแสงมันเป็นท่อใหญ่ๆ แล้วเหมือนเค้าจะพาหนูดำดิ่งลงไป หนูตกใจกลัวหนูก็เลยท่องพุธโธ พทโธ 3-4 ครั้งก็ไม่หาย หนูก็มีสติระลึกรู้ว่า เรานั่งสมาธิอยู่ก็ยังไม่หายค่ะ หนูก็เลยอธิฐานขอออกจากสมาธิกับพระพุทธเจ้าค่ะ คราวนี้แสงมันก็ค่อยๆหายไปค่ะ หนูก็เลยกลัวไม่กล้านั่งอีก แล้วหนูก็ไปเรียนที่วัดมหาธาตุฯ ก็ไม่มีอะไรค่ะ พอกลับมานั่งเองที่บ้านตอนแรกก็มีเวทนาค่ะ หนูก็มีสติว่าตอนนี้เวทนาเกิดหนู
ปวดหนอๆๆๆ พอมีความคิดแว๊ปเข้ามาหนูก็คิดหนอๆๆๆ แล้วก็หายไปพอนั่งไปได้สักเกือบชั่วโมง คราวนี้ตัวหนูมันเหมือนใหญ่ๆๆๆๆออกไปเรื่อยๆๆๆๆๆ แล้วก็กลับมาเล็กจนเหมือนไม่มีตัวหนูเลยค่ะ หนูก็กลัวอีกค่ะ หนูก็เลยแผ่เมตตาแล้ว รีบออกจากสมาธิเลยค่ะ
 
     คำถามค่ะ
      -หนูอยากทราบว่าหนูปฏิบัติมาถูกทางไหมค่ะ แล้วที่มันเกิดขึ้นกับหนูเรียกว่าอะไรค่ะ
      - ทำอย่างไรความกลัวมันถึงจะหายไปค่ะ หนูยังไม่ค่อยกล้าอธิฐานแบบธรรมะอยู่ฝ่ากตาย  เพราะลูกหนูยังเล็กอยู่ค่ะยังต้องดูแลเค้าอยู่ค่ะ  
      - แล้วถ้าหนูไม่มีเวลานั่งสมาธิ แต่ว่าเวลาทำงาน หนูใช้วิธีเจริญสติในชีวิตประจำวันไปก่อนได้ไหมค่ะ
 
กราบขอบพระคุณท่าน ดร.สนองค่ะ
  แม่ลูกสอง

คำตอบ
      ใช่ … . เข้าไปมีส่วนร่วมในกุศลกรรมของแม่ด้วย

     - จิตวิญญาณของแม่จะโคจรไปเกิดในภพภูมิใด ยังไม่สำคัญเท่ากับการอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับ ซึ่งลูกที่ดีต้องประพฤติ

     การระลึกถึงความตาย (มรณสติ) อยู่เสมอ ทำให้ผู้ระลึกมีความไม่ประมาท (สติ) ในการดำเนินชีวิต

     - ที่บอกเล่าไปต้องกำหนดทุกครั้งที่ผัสสะเกิดขึ้นกับจิต กำหนดจนกระทั่งผัสสะหายไปและสติย่อมเกิดขึ้น

     - ผู้ใดประสงค์ให้ความกลัวหายไป ผู้นั้นต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่กลัว แล้วความกลัวจึงจะหายไปได้

     - เมื่อว่างจากการทำงานให้กับสังคมแล้ว บุคคลสามารถเจริญสติในชีวิตประจำวันได้
   

2029.
สวัสดีครับอาจารย์ที่เคารพ

กระผมมีคำถามถามอาจารย์ดังนี้

๑.กระผมเคยได้อ่านกระทู้ก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับลูกประคำกับการฝึกสมาธิ ที่ว่า
หายใจเข้า-ออกหนึ่งครั้งดึง ลูกประคำ หนึ่งลูกทำไปเรื่อย ๆ ทำทุกครั้งที่ว่างจากงาน ทำทุกครั้งที่นึกได้ ทำไปจนตายแล้วจะดีเอง อยากทราบว่าจะนำจิต ตามดูที่ลมหายใจ หรือตามดูที่การใช้มือเคลื่อนลูกประคำ หรือควรทำอย่างไรดีครับ

๒. ถ้าหากจะเปลี่ยนคำบริกรรมจากพุท โธ เป็นคำบริกรรมเเบบมหายานได้ไหมครับ เช่น นำ-หายใจเข้า/โม-หายใจออก/อา/มี/ทอ/ฝอ เพื่อกำกับลมหายใจเข้าออก สามารถทำเเบบนี้ได้ไหมครับ

๓. บุญจากการไถ่ถามผู้รู้ผ่านเน็ต มีมากเท่ากับการไถ่ถามโดยตรงไหมครับ

๔. การกล่าวขอบคุณผู้อื่น หรือผู้อื่นกล่าวขอบคุณเรา การกระทำเช่นนี้จะได้บุญหรือไม่ครับ
 
  ขอบคุณครับ

คำตอบ
      (๑) การดึงลูกประคำ และการใช้จิตตามดูลมหายใจ อย่างใดประพฤติแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็วกว่า ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ลึกกว่า ควรเลือกทำอย่างนั้นเพียงอย่างเดียว ก็เข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้แล้ว

     (๒) คำบริกรรมใด เมื่อนำมาใช้แล้ว ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่าย ควรใช้คำบริกรรมนั้นมาเป็นองค์ภาวนาได้

     (๓) คำถามใด ถามแล้วเกิดเป็นความรู้ เห็น เข้าใจ ได้ถูกตรงตามธรรม ถือว่าบุญได้เกิดขึ้นแล้วกับผู้ถามปัญหา

     (๔) ผู้กล่าวคำขอบคุณ ย่อมได้บุญครับ
  

2028.
กราบเรียนถามปัญหาธรรมคะ

      1. หนูมีความเข้าใจว่าเมื่อเราปฏิบัติธรรมไปเหมือนว่าโลภ โกรธ หลงจะเบาบางไปไม่มี แต่เมื่อกำลังเราอ่อนลง สติไม่ทัน มันจะโผล่ออกมา แต่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เมื่อโผล่มาเป็นพักๆกลับดูว่าเรามีกิเลสที่แรงมาก หยาบช้ากว่าเก่า ทำให้ใจกระตุก ใจสั่น ไปเลย จะใช้เวลารวบรวมจิตเพื่อให้ตั้งมั่นได้ยากขึ้น กว่าจะเท่าทันกิเลส

     2. หนูเข้าใจว่าเมื่อปฏิบัติไปเหมือนโลภ โกรธ หลง เบาบางลง หนูจะพบเจอกับ ความคิด ความกังวล ความอยาก ไม่อยาก เมื่อเราทันมันอีก ต่อมาหนูพบเจอกับความสงสัย ความไม่รู้อะไรเลย และความคิดลบหลู่เบื้องสูง เช่นผู้ทรงศีล อารมณ์ที่เราพบเจออย่างนี้เขาเรียกว่ากิเลสหรือเปล่าคะ และที่หนูพบเจออย่างนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่เราต้องพบเจอเป็นปกติในคนที่กำลังเดินตามอริยมรรคหรือเปล่าคะ

     3. บังเอิญหนูปฏิบัติไปแล้วเมื่ออยากรู้ อยากเห็น แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมองให้เห็น มันมองเห็นเอง เห็นผ่านทะลุประตูไปเห็นคนที่อยากรู้ที่อยู่ในห้องได้ ; เมื่อพูดคุยกับบุคคลอื่นไม่ถึงกับว่าอ่านความคิดเขาได้ แต่รู้ว่าเขามีจิตคิดดีหรือไม่ดีกับเรา สิ่งที่ได้ทำให้หนูเป็นทุกข์เพราะ เมื่อรู้ว่าคนที่เขาทำดีกับเราแต่เพียงภายนอก แต่ในใจเขามุ่งร้าย อิจฉาเรา มันกระเทือนใจเราเป็นการยากที่ต้องพยายามวางเฉยไม่โกรธตอบเขา ; และเมื่อหนูเกิดจิตอกุศลไม่ดีต่อผู้ทรงศีล ตอนนั้นเกิดอยากเห็นภายในผ้าเหลือง หนูจะพยายามกำหนดดูความคิดตนเอง ความคิดนั้นสงบลง และดับไป แต่ต่อมาเกิดมองเห็นผ่านผ้าเหลืองได้จริงๆ หนูตกใจมาก กำหนดเห็นหนอโดยอัตโนมัติ และใจจะกระตุกภาพนั้นดับไป และเกิดความสงสัยตามมาอีกว่าไม่ได้อยากเห็นทำไม่มองเห็น หนูคิดว่าเราจะเห็นแต่สิ่งที่อยากเห็นเท่านั้น สิ่งที่พบเจอที่กล่าวมาคืออะไร ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผิดทาง เราจะกำหนดอย่างไรเวลาเกิดขึ้น หนูไม่ได้อยากจะได้สิ่งเหล่านี้ ไม่เห็นดี มันทำให้เป็นทุกข์มากกว่า ขอคำแนะนำเพื่อปฏิบัติได้ถูกตรงตามธรรมคะ

     4. เมื่อหนูมีจิตตั้งมั่นมากๆ รู้สึกเหมือนมีแต่อุเบกขา ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ก็เหมือนโดนลองของ คือได้มีโอกาสไปให้ความช่วยเหลือ ให้การพยาบาลดูแลผู้ทรงศีล โดยไปช่วยบุรุษพยาบาลอีกทีหนึ่ง ( ท่านเป็นพระอริยบุคคคลขั้นสูงแน่นอน) อยู่ดีๆเกิดจิตอกุศลขึ้นมา แรกๆก็รู้ทันอยู่ แต่ต่อมาความคิดอกุศลนั้นมันดูรุนแรงขึ้นมาก เช่น คิดอยากให้ท่านป่วยหนักกว่าเก่า มีจิตคิดสมน้ำหน้า ; เห็นภาพโผล่ขึ้นมาว่าเท้าเราเหยียบอยู่บนศรีษะท่าน เห็นบ่อยมาก และคิดหยาบช้าอีกมากมาก จนกำลังหนูเอาไม่อยู่แล้ว ใจสั่นๆไปมา จนรู้สึกข้างในตัวมันก็สั่นๆ เรียนถามว่าเราควรทำอย่างไร ; หนุไม่มีทางจะคิดอย่างนั้นได้เลย จิตมันคิดของมันไปเอง มีจิตอกุศลโดยไม่เจตนาอย่างนี้ถือว่าบาปมากไหม ถ้ามันเป็นจิตอกุศลของเราแต่เก่าก่อน ถือว่าเราเป็นผู้กระทำกรรมทางมโนกรรมหรือไม่คะ จะถึงขั้นขัดขวางการบรรลุธรรมหรือไม่ หนูได้กล่าวขออโหสิกับท่านในใจ (เพราะท่านอายุมาก นอนป่วยอยู่   ถ้าจะรับการขอขมาจากหนูเป็นพิธีคงไม่ได้) รู้สึกติดค้างในใจและไม่ค่อยสบายใจคะ

     5. ปกติพยายามกำหนดสติตั้งแต่ตื่นนอน แต่มีวันหนึ่งตื่นมามันไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าเราคือใคร ชื่อว่าอะไรมีตัวตนหรือเปล่า อยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไร ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต ในขณะที่กำลังอยู่ในความไม่รู้นั้น รู้สึกมีสิ่งหนึ่งวิ่งวนไปวนมา สิ่งนั้นคือจิตหรือเปล่าคะ   อารมณ์ที่เกิดเกิดจากอะไร จะแก้ไขอย่างไร

     6. ขณะนั่งสมาธิอยู่เกิดหลุดคำบริกรรมไปอยู่ในความว่าง จะกำหนดดูร่างกายที่กระทบพื้นมันก็ไม่มี ไม่รู้สึกไม่มีตัวตน  เลยบริกรรมตามจริงว่าไม่มีหนอๆ ว่างหนอๆๆๆ สักพักเหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง มันมีควันๆลอยขึ้นทางศรีษะ ตอนนั้นใจกระตุกแล้วดึงกลุ่มควันนั้นกลับมา หนูเข้าใจว่าสมาธิมากไป หนูไม่ได้อยากได้ณาน( หนูตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อหลุดพ้น ) เรียนถามว่าหนูเข้าใจถูกต้องไหม อารมณ์อย่างนี้เรียกอะไร จะแก้ไขอย่างไร ให้ถูก

     7. ในการนั่งสมาธิเมื่อเกิดจิตนิ่งๆไปคำบริกรรมว่า ว่างหนอๆๆ ควรใช้หรือไม่ ถ้าไม่ควร เราจะทำอย่างไรได้บ้าง จะกำหนดว่าอะไร เพราะรู้สึกเหมือนมีแต่ว่าง

       กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในความเมตตาของอาจารย์ ทุกครั้งที่หนูได้รับคำตอบช่วยให้หนูมั่นใจมากขึ้นว่าจะเดินไปโดยไม่หลงทางเมื่อมีผู้รู้จริงแนะนำคะ

คำตอบ
     (๑) ผู้ที่พัฒนาจิตจนมีกำลังของสติ และมีกำลังของปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็งแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมหมดไปจากใจ ฉะนั้น พึงดูตัวเอง แก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการเร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น ปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่นึกได้ ปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่ว่างจากงานที่ทำให้กับสังคม แล้วปัญหาที่ถามไป จึงจะหมดไป

     (๒) ต่างๆที่บอกเล่าไปนั้นคือ กิเลส ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนมีสติและมีปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น เรียกผู้นั้นว่า กำลังเดินอยู่บนทางมรรค โอกาสพบกับกิเลสต่างๆ จึงเกิดขึ้น เพื่อให้ปัญญาได้แก้ไข

     (๓) การส่งจิตออกนอกตัว เป็นการปฏิบัติธรรมที่ผิดทาง ถือว่า เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ตรงกันข้าม ผู้รู้ส่งจิตเข้ามาดูตัวเอง เพ่งโทษตัวเอง จึงจะทำให้ทุกข์หมดไปได้

     ดังนั้น ผู้ถามปัญหาต้องแก้ไขตัวเองให้ถูกตรง แล้วปัญหาต่างๆจึงจะหมดไป

     (๔) ผู้ที่พัฒนาจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็ง และมีกำลังของปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็งได้แล้ว อกุศลจิต คือ การคิดปรามาสผู้อื่น ย่อมไม่เกิดขึ้น

     (๕) ผู้เห็นจิตย่อมเอาจิตไปผูกติดเป็นทาสกับสิ่งที่ถูกเห็น จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ต้องพัฒนาจิตด้วยการปฏิบัติธรรมให้ถูกตรง ปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่นึกได้ ทุกครั้งที่ว่างจากงานของสังคม

     (๖) ผิดครับ ถือว่าปฏิบัติธรรมผิดทาง ผู้ปรารถนาความเจริญในธรรมะของพระพุทธองค์ ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ หรือไม่ส่งจิตออกนอกกายนั่นเอง

     (๗) เมื่อจิตนั่งต้องบริกรรมว่า “นิ่งหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ เมื่อจิตว่างต้องบริกรรมว่า “ว่างหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการที่เกิดขึ้นจะดับไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมที่ทำอยู่

     ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วมีจิตเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ ต้องเอาศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ และบริสุทธิ์ ลงคุมให้ถึงใจ แล้วสมาธิย่อมเกิดขึ้นกับจิตได้ง่าย และผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมพัฒนาไปสู่การเกิดของปัญญาเห็นแจ้งได้
  

2027.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง   ที่เคารพอย่างสูง

หนูขอเรียนถาม   ดังนี้

     เวลาพูดกับใคร   คู่สนทนามักจะตะคอก   ตะหวาด(ส่วนใหญ่ น้อยมากที่พูดจาด้วยดีดี)   หากอยู่ในกลุ่มผู้คนหลายคน    คู่สนทนาพูดกับคนอื่นดี   แต่หันมาทางหนู ก็จะใช้ถ้อยคำที่กระด้าง หรือไม่ก็ตะคอก   เป็นมาตั้งแต่หนูจำความได้   แม้แต่พ่อกับแม่   ไม่ทราบหนูทำกรรมอะไรไว้   เคยไม่ใส่ใจ   คิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นเอง   แต่แปลกตรงที่   เวลาเค้าพูดกับคนอื่นเขาพูดดี   แต่พอหันมาพูดกับหนูพูดไม่ดี   ปัจจุบันหนูเริ่มอาย   อดทนไม่ได้ โต้ตอบกลับ   บางรายก็เลิกปฎิบัติเช่นนั้นกับหนู แต่บางรายกลับกลายเป็นทะเลาะกัน   ที่น่าสนใจคือ   ผู้คนรอบข้างเข้าข้างคนที่ตะคอก   ตะหวาดหนูทุกราย   มีน้อยรายที่เฉย ๆ   (เขาคงไม่อยากยุ่ง   หนูเข้าใจ)   หรือหากมีผู้ใดสนใจให้ความเมตตาเอ็นดู(เพื่อนฟูง   ผู้ใหญ่)   ก็จะมีคนคอยทำให้ผู้เมตตามีอันต้องเข้าใจผิดในตัวหนู   แปลกจริง ๆ ค่ะ

     ทำให้หนูไม่อยากเข้าสังคม   ทราบดีว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องพึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน   แต่มีเฉพาะหนูเท่านั้นที่ไม่คิดทำร้ายจิตใจใคร   รักษาน้ำใจทุกคนที่สมาคมด้วย   กรรมอะไรคะ   อายุก็จะ 50 ปีแล้ว   กรรมยังไม่เบาบางลงเลย

     หนูนั่งสมาธิคะ   ศึกษาจากคำตอบของอ่านอาจารย์บ้าง   อ่านหนังสือธรรมะบ้าง   ตั้งแต่เข้าเรียนประถม 1   ได้ผลน้อยมากค่ะ   ถึงแม้จะถึงขั้นกำหนดเวลาตื่นนอนได้   หนูเพียงอยากเย็น   จิตสงบ   หรือหนูคาดหวังน้อยไป ขาดแรงจูงใจ   ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ (กุศลอื่น ๆ ทำบ้างเป็นครั้งคราว   ไม่มีกำหนดเวลา   หากมีโอกาสหนูก็ทำบุญ   เพียงแต่บุญใหญ่มาก ๆ    ยังไม่มีโอกาสเลยค่ะ)

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ อย่างสูงมา ณ โอกาสนี้

หนูนา

คำตอบ
     การโต้ตอบด้วยวาจาที่ไม่ดี หรือการทะเลาะเบาะแว้ง ย่อมทำให้ความไม่สบายใจเกิดขึ้น การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นบาป ผู้ใดประพฤติกรรมไม่ดี ผลไม่ดีย่อมเกิดขึ้นกับผู้นั้น ตรงกันข้าม ผู้ใดให้อภัยในทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ผู้นั้นย่อมมีอารมณ์สงบเย็น (เมตตา) แล้วอารมณ์ไม่อยากได้ (โทสะ) หรือการถูกตะคอกใส่ย่อมไม่เกิดขึ้น … . พิสูจน์ไหม ?
  

2026.
สวัสดีครับ ท่าน อ. ดร สนอง วรอุไร

ผมอยากสอบถามท่านอาจารย์ดังนี้ครับ
ผมมีโอกาสไปที่ จ เชียใหม่ ที่ หมู่บ้านถวาย ผมได้เห็นร้านนึงเค้ามีการทำ รูปพระประำจำวัน เป็นแบบการ์ตูน ตัวผมนั้นแว๊ปแรก ก็เห็นว่าน่ารักดี และคิดว่า ถ้าเราำทำธุรกิจแบบนั้น อาจจะทำให้คนที่ไม่ได้เข้ามาหา ศาสนา เข้ามาได้ง่ายขึ้น จึงมีความคิดที่จะลองออกแบบ และ ทำขึ้นมา   แต่ติดปัญหาที่ว่า ผมกลับบาปครับ หรืออีกแง่คือ อาจจะทำให้คนเข้าหาศาสนาง่ายขึ้นจริงแต่ กลัวว่าการที่ผมธุรกิจแบบนี้ ความศักดิ์สิทธิ์ , พระกรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระบริสุทธิคุณ ขององค์พระสัมมา จะลดน้อยลงไปหรือไม่ในสายตาคนที่จะมาซื้อ

ผมจึงอยากขอความรู้และความคิดเห็นของท่าน อาจารย์ สนองครับ ว่า
1. สมควรหรือไม่ หากไม่สมควร ผมจะเลิกล้มความคิดนี้เด็ดขาดครับ
แต่ยังไงก็ตาม ผมยังยืนยันว่า ไม่ได้มีความคิดที่จะลบหลู่ องค์พระสัมมาเรยครับ แต่แน่นอนครับ การทำธุรกิจต้องมีเรื่องผลกำไรมาเกี่ยวข้อง แต่ผมก็ยังคิดว่า การทำแบบนี้ อาจจะทำให้เด็ก หรือ คนที่ห่างศาสนา นั้น สนใจมากขึ้นก็เป็นได้ครับ

2. ผมเห็นในร้านหนังสือ ก็มีหนังสือ ที่ถ่ายทอด พุทธประวัติ เป็นรูปแบบการ์ตูนอยู่ครับ ไม่แน่ใจว่า แบบนี้ บาป และ สมควรทำหรือไม่ครับ ?

ขอขอบคุณในความคิดเห็นของ ท่าน อาจารย์ ล่วงหน้าครับ

คำตอบ
     (๑) กรรมอยู่ที่เจตนา หากผู้ถามปัญหามีเจตนาให้คนหันมาสนใจพุทธศาสนามากขึ้น การกระทำเช่นนั้น ไม่ถือว่าเป็นบาป

     (๒) ไม่บาปครับ หากเขียนการ์ตูนได้ถูกตรงตามพุทธประวัติ ก็สามารถทำได้
  

2025.
กราบสวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ดร สนอง   อีกครั้งค่ะ

    ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะ ที่กรุณาช่วยตอบปัญหา และช่วยชิ้แนะหนทางแก้ปัญหาให้หนูค่ะ (คำถามข้อ 2013)
    ตอนนี้หนูก็ตั้งใจพยายาม ปฎิบัติธรรมค่ะ ถึงแม้ว่าหนูจะไม่มีโอกาสได้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดมากนัก เพราะตอนนี้หนูยังอยู่ต่างประเทศอยู่ แต่หนูก็พยายาม ปฎิบัติธรรม คือ สวดมนต์และฝึกหัด ปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน เองที่บ้านค่ะ เคยมีโอกาสได้ไปฝึกที่วัดไทยในมิชิแกรนครั้งหนึ่ง แค่ประมาณ 2 วันเองค่ะ แล้วก็พยายามเอามาฝึกปฎิบัติเองที่บ้านค่ะ เสร็จแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร โดยเฉพาะลูกที่หนูทำแท้งไปค่ะ ตอนนี้ก็ยอมรับค่ะว่าสติยังไม่ค่อยอยู่กับปัจจุบัน เวลาที่นั่งสมาธิค่ะ ยังหลุดให้เรื่องในอดีตและอนาคตเข้ามาแทรก กวนได้บ่อยๆค่ะ แต่หนูก็พยายามฝึกค่ะ ถ้ามีโอกาสได้กลับเมืองไทยซักวัน หนูก็อยากจะไปปฎิบัติกรรมฐาน ที่วัดซักเดือนละ 7 วันค่ะ อาจจะได้อยู่ไทยแค่ 2 เดือน (ครั้งที่แล้วหนูลืมใส่จำนวนวันค่ะ เลยทำให้อาจารย์คิดว่าหนูจะไปฝึกแค่วันเดียว) หนูมีความตั้งใจจริงค่ะว่าหนูจะพยายามอุดรูรั่วในตัวของหนูให้ได้ เพราะที่ผ่านมาหนูได้หลงเดินทางผิด ไม่ค่อยได้เข้าถึงในพระพุทธศาสนา และได้ทำผิดศีลและสะสมอกุศลกรรมมาเยอะแล้ว ตอนนี้หนูย้อนกลับไปดูตัวเองในอดีต น้ำตาหนูก็ไหลทุกครั้งเลยค่ะ คิดและมีคำพูดเดียวกับที่อาจารย์เคยพูดกับตัวเองเลยค่ะ ว่าทำไหมหนูถึงได้โง่อย่างนั้น ตอนนี้หนูก็แค่พยายามทำความดีในทุกๆอย่าง เพื่อจะได้สะสมกุศลกรรมดี เพื่อจะชดใช้กรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรของหนูค่ะ เพราะหนูรู้ว่าหนูทำผิดเอง หนูก็ยินดีชดใช้ค่ะ   แต่ไม่รู้ว่าหนูจะชดใช้หนึ้เวรกรรมของหนูได้หมดไหม และเค้าจะอโหสิกรรมให้หนูหรือไม่ หนูก็ไม่ทราบได้ แต่หนูจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด ทำทุกๆครั้งที่มีโอกาส และจะทำจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตค่ะ   และเคยฟังคลิปธรรมะของอาจารย์ เรื่อง อานิสงค์ของการปฎิบัติธรรม   แล้วมีอยู่ตอนหนึ่งที่ท่านอาจารย์บอกว่า ท่านเจ้าคุณโชดกท่านนำ อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ท่านนำเพื่อให้ท่านอาจารย์รู้วิธี และทุกวันต้องทำอย่างนั้น   เพราะถ้าเราปฎิบัติธรรมทุกวัน เราคิดดี พูดดี ทำดี เราก็จะได้อานิสงค์ แล้วเราก็จะมีบุญทุกวัน เราก็ต้องใช้หนี้เวรหนี้กรรมที่เราได้ก่อขี้น เมื่อเรามีบุญเค้าก็จะมาทวงเรา   ดังนั้นหนูเลยอยากเรียนถามอาจารย์ว่า

   1. ที่ท่านเจ้าคุณโชดกท่านนำ อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ท่านนำเพื่อให้ท่านอาจารย์รู้วิธีนั้น ท่านนำว่าอย่างไรหรือคะ หนูรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะให้หนูด้วยค่ะ เพื่อว่าหนูจะได้อุทิศส่วนกุศลได้ถูกต้องตามหลักวิธี รบกวนอาจารย์ช่วยบอกเพื่อเป็นวิทยาทานให้กับหนูด้วยค่ะ

   2. การฟังธรรม แม้หนูจะฟังจากคลิปวิดีโอย้อนหลัง ไม่ได้ฟังโดยตรงตอนที่พระหรือท่านอาจารย์บรรยายอยู่ ซึ่งท่านอาจจะบรรยายธรรมไว้นานแล้ว แต่หนูพึ่งมามีโอกาสเจอและฟังย้อนหลัง แบบนี้จะถือว่าได้บุญ จากบุญกิริยาวัตถุ 10 หรือเปล่าคะ

   3. ถ้าในระหว่างวัน หนูนั่งฝึกวิปัสนากรรมฐาน และไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระก่อน และถึงแม้อาจจะฝึกนั่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆเช่น 30 นาที หรือ 45 นาที หรือ 1 ชม และบางครั้งก็อาจจะยังไม่ค่อยมีสมาธิมากนัก แล้วแบบนี้หนูจะได้บุญทุกครั้งที่หนูฝึกนั่งรึเปล่าคะ เพราะทุกครั้งหลังนั่งเสร็จหนูอยากจะแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และลูกที่หนูทำแท้งด้วยค่ะ

  4. ระหว่างที่หนูฝึกปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเองที่บ้าน กับไปปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานที่วัด จะได้บุญเท่ากันรึเปล่าคะ เพราะหนูไม่ค่อยได้มีโอกาส ไปปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานที่วัดบ่อยนัก เพราะเนื่องจากอยู่ต่างประเทศ

  5. ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา หนูไม่มีโอกาสได้เจอคุณพ่อกับแม่บ่อยนัก และไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกับท่านทั้งสอง เนื่องจากยังมีภาระอยู่ต่างประเทศ อาจจะได้เจอท่านทุกๆ 2-3 ปี แต่หนูก็โทรหาท่านเกือบทุกวันที่เราอยู่ห่างไกลกัน คอยโทรถามสารทุกสุขดิบท่านเสมอๆ และก็คิดว่าจะส่งเงินให้ท่านได้ใช้ทุกเดือนๆ เพื่อว่าท่านทั้งสองจะได้ไม่ต้องลำบากมากนัก เพราะท่านแก่แล้ว แบบนี้จะถือว่าหนูเป็นลูกอกตัญญูรึเปล่าคะ เพราะหนูไม่ค่อยได้อยู่ดูแลท่านอย่างใกล้ชิดมากนัก ใจจริงๆแล้วอยากจะให้ท่านทั้งสอง มาอยู่ใกล้ๆมาก เพื่อหนูจะได้ดูแลท่านทั้งสองได้อย่างใกล้ชิด แต่นะตอนนี้หนูไม่ได้อยู่ในสถานะที่ทำแบบนั้นได้เลย แต่ท่านทั้งสองก็เข้าใจและบอกว่าไม่เป็นไร เราคุยกันทางโทรศัพท์ก็ได้ พ่อและแม่สบายดี และเข้าใจว่าลูกมีภาระ ทุกครั้งที่หนูได้ฟังท่านพูดแบบนี้ หนูจะร้องไห้ทุกครั้งเลยค่ะ เพราะหนูอยากจะดูแลท่านมากๆ และหนูก็อยากจะเป็นลูกที่ดีและดูแลท่านค่ะ

   6. เคยฟังท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าก่อนที่เราจะสิ้นลมหายใจ ถ้าเรานึกถึงแต่กุศลกรรมที่ดีและสิ่งที่ดีงาม เราก็จะไปเกิดในที่ๆดี อันนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนเลยรึเปล่าคะ ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเคยทำผิดศีลและอกุศลกรรมมาก็ตาม แต่บังเอิญว่าก่อนที่เค้าจะเสียชีวิต เค้านึกถึงแต่กุศลกรรมที่ดี แบบนี้เค้าจะได้ไปเกิดในที่ๆดีด้วยรึเปล่าคะ   แต่หนูก็เคยได้ยินมาอีกว่า การที่เราจะคิดถึงเรื่องอะไรก่อนสิ้นใจ เราก็ต้องทำเรื่องนั้นจนคุ้นเคยมาดีแล้ว เช่น คุ้นเคยกับการสวดมนต์ หรือคุ้นเคยกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตอนก่อนตาย จิตถึงได้ผลักดันให้คิดถึงเรื่องนั้น ใช่มั๊ยคะ

รบกวนอาจารย์อีกครั้ง

คำตอบ
     ผู้ใดทำความดีโดยไม่ย่อท้อ ผลแห่งความดี ( กุศลวิบาก ) ย่อมเกิดขึ้นให้ผู้กระทำได้รับ และผู้ใดรู้ว่าตัวเองประพฤติไม่ดีมาก่อน หากหยุดประพฤติไม่ดี แล้วหันมาบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ผู้นั้นย่อมมีโอกาสเป็นคนดีได้ ดังที่สองอริยบุคคล ( อัมพปาลีและสิริมา ) ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

     (๑) ท่านเจ้าคุณโชดก สอนผู้ตอบปัญหาว่า ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ให้อุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับเจ้ากรรมนายเวร ด้วยการกล่าวว่า “ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำให้เกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรใดๆต่อกันและกันเลย” ท่านให้ประพฤติทุกครั้งหลังปฏิบัติธรรม จนกว่าชีวิตจะพ้นไปจากอุปสรรคและปัญหา

     (๒) การฟังธรรมจากสื่อใดๆ แม้ธรรมะที่ฟังจะเกิดขึ้นในสมัยใด ฟังแล้วย่อมมีบุญเกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะธรรมะในพุทธศาสนา เป็นอกาลิโก (ไม่เนื่องด้วยเวลา)

     (๓) ทุกครั้งที่ฝึกจิต (สมถภาวนา) แล้วจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ บุญย่อมเกิดขึ้น และทุกครั้งที่ฝึกจิต (วิปัสสนาภาวนา) แล้วเกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามธรรม บุญย่อมเกิดขึ้น

     แม้จะเป็นสมาธิเพียงเล็กน้อย หรือเป็นปัญญาฯ เพียงเล็กน้อย ก็ถือได้ว่า เป็นผู้มีบุญ ปฏิบัติทุกครั้งที่นึกได้ ปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่ว่างจากงาน บุญย่อมเกิดและสั่งสมอยู่ในดวงจิตมากขึ้น ดังนั้นท่านเจ้าคุณฯ จึงสอนให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในรอบวัน

     (๔) จะได้บุญมากหรือได้บุญน้อย อยู่ที่ผลของการปฏิบัติธรรมเป็นตัวชี้วัด

     (๕) การช่วยเหลือพ่อแม่ไม่ให้ลำบาก ด้วยการส่งเงินให้ใช้ ถือว่าเป็นการประพฤติกตัญญูฯได้

     (๖) ผู้ใดมีสติกำกับจิต ในขณะที่จิตหลุดออกจากร่างกาย (ตาย) สติย่อมผลักดันจิตให้โคจรไปสู่สุคติ เช่นเดียวกัน ศีล ๕ มีพลังผลักดันจิตให้โคจรไปเกิดใหม่ในภพมนุษย์ ทานและศีล หรือกุศลกรรมบถ ๑๐ มีพลังผลักดันจิตให้โคจรไปเกิดอยู่ในภพสวรรค์ และสุดท้าย ฌาน มีพลังผลักดันจิตให้โคจรไปเกิดอยู่ในพรหมโลก

     ดังนั้น ก่อนจิตออกจากร่าง ผู้รู้นิยมทำเหตุให้ถูกตรง ตามที่ตนปรารถนาจะไปเกิด
   

2024.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพยิ่ง

     ดิฉันมีปัญหาที่สงสัยอยากเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการไหว้บรรพบุรุษ ในวันเชงเม้ง ตรุษจีน ที่ทำตามประเพณีเชื้อสายจีนกันมาทุกรุ่น

     ดิฉันได้ปฏิบัติตามประเพณี จัดทำอาหาร จัดหาข้าวของสำหรับวันสำคัญต่างๆเหล่านี้ มาโดยตลอดทุกปี  แต่มักจะอยู่ทางบ้านสามีมากกว่า เนื่องจากแต่งงานมาอยู่บ้านสามี และอยู่ร่วมกับพ่อแม่สามี...ซึ่งทางบ้านฝ่ายสามี (หรือแม้แต่ทางบ้านดิฉันเอง) ก็เห็นความสำคัญของการปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ระยะหลัง ดิฉันเริ่มรู้สึกขึ้นมาว่าการจัดงานไหว้ ทำให้ดิฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและลำบากใจทั้งเรื่องที่ดิฉันตั้งใจจัดหาของไหว้ให้ครบ ทำอาหารเอง มีสามีคอยช่วยกันจัดการ แต่บางครั้งก็มีบางอย่างไม่ได้อย่างใจพ่อสามี และแทบทุกครั้งพ่อสามีก็จะดื่มเหล้าจนขาดสติ  โดยส่วนตัวดิฉันเข้าใจว่า การไหว้บรรพบุรุษเป็นไปเพื่อการแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อผู้ให้กำเนิด... แต่ก็เริ่มมองไม่เห็นประโยชน์ในส่วนอื่น กลับกันกับยิ่งเริ่มรู้สึกลำบากใจ ที่จะจัดการงานขึ้นในทุกครั้ง และเห็นว่าอาจนำมาซึ่งปัญหามากกว่า และยิ่งทำให้พ่อสามีสร้างกิเลสมากขึ้น ซึ่งเห็นว่าอาจเป็นโทษมากกว่า ดิฉันจึงสงสัยว่าการปฏิบัติตามประเพณี เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอยู่หรือไม่ และหากไม่ปฏิบัติ ไม่ยึดถือต่อไป จะถือว่าไม่ถูกต้องหรือเปล่า...

     ตามความเข้าใจดิฉันคิดว่า การจะแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อบิดามารดาและบรรพบุรุษ
ขึ้นกับเจตนาที่มีและการกระทำ คือ เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่เราปรารถนาดีต่อท่าน และแสดงการตอบแทน เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วก็ระลึกถึงคุณท่าน... โดยที่การยึดถือปฏิบัติตามพิธีกรรม อาจไม่ใช่สิ่งที่ยืนยันความกตัญญูกตเวทิตาใดๆ...

     ดิฉันอยากเรียนถามอาจารย์ค่ะ ว่าหากในภายภาคหน้า ดิฉันจะเลิกปฏิบัติพิธีจีนเหล่านี้... เพราะรู้สึกว่าทำแล้วมีความลำบากใจมากกว่า จะถือว่าผิด หรือไม่ถูกต้องหรือเปล่า ?

     ขอขอบพระคุณอาจารย์มาล่วงหน้า ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
     
ความทุกข์คือ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ( ลำบากใจ ) การแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อบิดามารดาและบรรพบุรุษ ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการประพฤติจริยธรรมที่ให้ผลเป็นคุณธรรม ผู้ใดประพฤติได้แล้ว ปราชญ์ย่อมสรรเสริญ แต่การปฏิบัติตามพิธีกรรมที่ทุศีลไร้ธรรม ผู้มีศีลธรรมในพุทธศาสนาย่อมเว้นประพฤติ อาทิ นำสัตว์มาฆ่าเพื่อเซ่นไหว้ หรือ เซ่นไหว้ด้วยเครื่องดองของเมา ( สุราเมรัย )

     ดังนั้น การปฏิบัติตามประเพณี หากไม่ประพฤติทุศีลไร้ธรรม เป็นสิ่งที่ควรกระทำ แต่หากเป็นไปในทางตรงข้าม ย่อมทำให้เกิดบาปและสั่งสมอยู่ในจิตของผู้กระทำ

     ผู้ปรารถนาความเจริญในพุทธศาสนา ย่อมเว้นประพฤติเซ่นไหว้ที่เป็นการทุศีลไร้ธรรม แต่ผู้เห็นผิดย่อมตำหนิการกระทำเช่นนั้น อนึ่ง บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง พึงเลือกบริหารจัดการชีวิตตามที่ชอบเถิด
  

2023.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร

   ผมชื่อ นาย เรืองศิลป์ ประจันตะเสน
ขอความกรุณาถามคำถามกับ ดร.สนอง วรอุไร
1. เวลานั่งกรรมฐาน ผมชอบภาวนาหายใจเขัา นิพ หายใจออก พาน เป็นประจำ
    และทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เวลาอยากภาวนา ทุกอริยาบท
    ไม่ทราบว่าผมทำถูกต้องหรือเปล่าครับ ? และถ้าไม่ถูกต้องผมควรทำอย่างไรครับ ?
   ผมตั้งจิตไปนิพพานในชาติปัจจุบันทุกๆวันครับ.......
 
   ดิฉัน นางบานเย็น นอสูงเนิน ขอสอบถามธรรมค่ะ.
2.  ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ตอนนั่งสมาธิ ได้หรือเปล่าค่ะ ?
 
3. ฝันว่าได้เข้าไปกราบ หลวงตาบัว ญาณสัมปันโน และบอกชื่อ..นามสกุล..
  และขอพรกับท่าน ข้าพเจ้า ขอให้มีจิต รู้แจ้ง เห็นจริง ขอให้มีปัญญาทั้งทาง
โลก และทางธรรม ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม หลวงตามองหน้าดิฉันแล้วยิ้ม
แล้วท่านพูดว่า อดีตชาติเจ้าฝึกมาทางฤทธิ์ และท่านส่งสายสิญมา 1 เส้น
ให้แก่ดิฉัน แล้วหลังจากนั้นดิฉันก็ตื่นนอน ตอนตี 5 แต่ช่วงนั้นหลวงตายังไม่
มรณะภาพ ขอให้ท่านช่วยแปลธรรมเกี่ยวกับความฝันในครั้งนี้ด้วยค่ะ หมายความว่าอย่างไร ?
 
ขอขอบพระคุณ ดร.สนอง วรอุไร เป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
     (๑) ทำถูกต้องแล้ว

     (๒) ได้ครับ

     (๓) “ จงทำเส้นทางของชีวิตให้หดสั้น เหมือนกับสายสิญจน์ที่มอบให้” ผู้ที่จะทำได้เช่นนี้ ต้องเว้นติรัจฉานกถาและเว้นติรัจฉานวิชาให้ได้ก่อน แล้วหันมาพัฒฯจิต (วิปัสสนาภาวนา) ตามแนวของสติปัฏฐาน ๔
  

2022.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพและนับถือ

หนูอยากเรียนถามว่า

จากการปฏิบัติ โดยการทำสมาธิ กำหนดแบบมีสติอยู่เนืองๆ มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างที่กระทบสัมผัส เป็นธรรมดา ธรรมชาติ จิตปล่อยวางมากขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เวียนไปเวียนมา ไม่ยึด ไม่ทุกข์ อิสระกับทุกอารมณ์ที่เข้ามากระทบ โดยรู้ทัน ก็กำหนดไป จนความรู้สึกนั้นหายไป ก็เป็นธรรมชาติ ธรรมดาของจิต ประมาณนี้น่ะค่ะ หนูต้องปฏิบัติเพิ่มอย่างไรบ้างค่ะ แล้วเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่ค่ะ ใจจริงแล้วอยากชักชวนพ่อ-แม่ให้เข้าปฏิบัติธรรม แต่พ่อ-แม่หนูก็เป็นคนดี คือ มีพรหมวิหาร4 ต่อลูกๆของท่านทั้ง6คนค่ะ และท่านทั้ง2 ก็มีจิตที่เป็นกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ หนูชักชวนแล้วแม่ก็สนใจ แต่ก็พูดว่าตัวท่านเองเจ็บป่วยออดๆแอดๆ ต้องฉีดอินซูลิน คือไม่สะดวก หนูเลยนึกถึงคำพูดที่บอกว่า สังขารไม่อำนวย ส่วนพ่อนั้นท่านก็หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลตามกำลังศรัทธา ทำจิตสบายๆ ไม่ห่วงลูก ห่วงหลาน คือตายไปก็ไม่ห่วงอะไร ฟังแล้วก็น่าอนุโมทนากับท่านค่ะ ซึ่งหนูก็ต้องปล่อยวางอีกแล้ว

คำถาม :1) หนูต้องปฏิบัติเพิ่มอย่างไรบ้างค่ะ ไม่ค่อยได้ไหว้พระสวดมนต์ เพียงแต่นั่งสมาธิ กำหนดสติวันละ ครึ่งชั่วโมงและแผ่เมตตาให้กับทุกสรรพสิ่ง ในระหว่างวันทำงาน ก็กำหนดสติรู้แล้วละ

2) ปฏิบัติธรรมแล้ว จิตลด ละ เลิกกิเลส จิตรู้ทัน และปล่อยวางมากขึ้น คือมันเป็นธรรมชาติธรรมดาของโลก และธรรมชาติธรรมดาของจิต (คิดเองว่าประมาณ “โยนิโสมนสิการ”)

3) หนูอ่านคำตอบของอจ.ทางเว็บ ตั้งแต่หัวข้อที่1-ปัจจุบัน ซึ่งหนูคิดว่านั่นก็คือ การใช้ปัญญาอย่างแยบคาย กล่าวโดยสรุปเดินตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธสมณโคดม และมีครูบาอาจารย์ผู้รู้จริง หนทางในการดำเนินชีวิต ย่อมสุขสงบ เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ แน่นอนค่ะ

ท้ายนี้กราบขอบพระคุณทุกๆคำถาม-คำตอบ ที่เป็นครูบาอาจารย์สอนใจ สำหรับหนูและสำหรับทุกๆชีวิตบนผืนโลกใบนี้ ที่เดินตามทางธรรม

ด้วยความเคารพ

ลูกศิษย์คนหนึ่ง

คำตอบ
     ที่บอกเล่าไปเป็นการปฏิบัติธรรมที่เดินมาถูกทางแล้ว จงทำต่อไป เพียงแต่ว่าเมื่อใดจิตสัมผัสกับสิ่งกระทบภายนอก ที่เกี่ยวกันอย่างใดอย่างหนึ่งในเรื่องของ กาย เวทนา จิต และธรรม ให้ใช้จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว พิจารณาผัสสะว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) แล้วจะเห็นว่า ผัสสะไม่ใช่ตัวตน ( อนัตตา ) จิตย่อมปล่อยวาง แล้วว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับการเกิดของปัญญาเห็นแจ้งว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้น แล้วมีความดับไปเป็นธรรมดา ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมไม่เอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนมาเป็นของตน หรือมามีอำนาจเหนือใจตน

    การจะให้พ่อแม่หันมาสนใจปฏิบัติธรรม พ่อแม่ต้องมีความศรัทธาในธรรมะให้ได้ก่อน ผู้รู้ ( ลูก ) จึงจะสามารถชักชวนได้ เมื่อแม่ยังไม่ศรัทธาในธรรม และพ่อมีจิตเป็นอิสระจากมนุษยสมบัติ ควรปล่อยวางให้เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา เพราะพ่อแม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้ย่อมไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น จนกว่าท่านทั้งสองเปิดใจยอมรับให้ลูกชักชวนได้

     (๑) ปฏิบัติดีแล้ว จงทำต่อไป แต่เร่งความเพียรให้มากขึ้นอีก ผู้รู้จริงรู้ว่า ชีวิตนี้สั้นนัก จึงมักมากในการทำความดี

     (๒) โยนิโสมนสิการได้ถูกต้องแล้ว จงพิจารณาทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตว่า ในที่สุดแล้ว ไม่ใช่ตัวใช่ตน ( อนัตตา) ไม่ควรเอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของสรรพสิ่ง

     (๓) ผู้ตอบปัญหาได้ใช้ธรรมะของพระพุทธโคดม มาทำให้บัวที่อยู่ในใจ ได้แย้มบานกลีบให้มวลชนดูแล้ว ผู้ไม่ประมาทในชีวิตย่อมดูเป็นตัวอย่าง แล้วจงทำบัวที่อยู่ในใจของตนได้คลี่บานกลีบ แล้วชีวิตจึงจะมีโอกาสดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ในวันข้างหน้า
   

2021.
กราบเรียนท่านอาจารย์

หนูมีคำถามหยากถามค่ะ หนูฝึกปฎิบัตวิปัสนากรรมฐานมาได้ประมาณ ๖ ปีแล้วค่ะ ได้เห็นถึงความพ้นทุกข์และสภาวะเกิดดับของจิต เมื่อไม่นานมานี้เองมันเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัต พร้อมกับมีต้นโพธ์ผุดขึ้น ที่ประตูหลังบ้านหนู หนูได้ปรึกษาเพื่อน เพื่อนได้แนะนำให้ถอนออก โดยการใส่ยาฆ่าหญ้า กอ่นที่มันจะโตมากกว่านี้ แต่หนูไม่หยากทำ เพราะต้นโพธ์เป็นสัญลักษณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้้าที่หนูเคารพมาก แต่ถ้าไม่ถอนออกเมื่อเค้าโตขึ้นจะทำให้บ้านพัง และจะทำลายยากขึ้น

อีกอย่างการฆ่าสิ่งมีชีวิตมันเป็นบาปใช่มั้ยคะ หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ ถอนก็ไม่ออกค่ะ


คำตอบ
     
การพรากนามให้ขาดจากรูป ถือว่าเป็นบาปข้อปาณาติบาต แต่ต้นไม้มีเพียงรูปที่ปราศจากนาม ก็สามารถมีชีวิตได้ ฉะนั้นต้นโพธิ์ที่ยังมีความสูงไม่เกินศีรษะของมนุษย์ จะยังไม่มีรุกขเทวดาอยู่อาศัย การตัดหรือทำลายต้นโพธิ์ทิ้ง จึงไม่ถือว่าเป็นการเบียดเบียนรุกขเทวดา ฆราวาสสามารถประพฤติได้
   

2020.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

    หนูมีปัญหาจะถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

   1. แม่ของหนูป่วยเข้าโรงพยาบาล หนูได้แจ้งข่าวให้น้าที่อยู่ต่างประเทศทราบ (น้องสาวของแม่) น้าได้โทรมาถามอาการของแม่ แล้วบอกให้หนูเข้าไปไหว้พระพุทธที่บ้านก่อนออกไปโรงพยาบาล ให้หนูอธิษฐานถึงยายที่เสียชีวิตไปแล้วให้คุ้มครองแม่ให้หายป่วย แล้วจะถวายเป็ดหนึ่งตัว ไก่หนึ่งตัว และดอกกุหลาบสามสี และให้หนูท่องคาถาชินบัญชรให้แม่เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาล หนูได้ปฏิับัติตามที่น้าบอก ต่อมาอีกสองวัน ลูกสาวของน้าได้โทรมาถามว่าหนูได้ปฏิบัติตามหรือเปล่า หนูบอกว่าได้ทำแล้วแต่ยังไม่ได้ถวายของเพราะหนูเข้าใจว่าเป็นการบน ถ้าแม่หายป่วยแล้วจึงจะถวายของเป็นการแก้บน ลูกสาวของน้าบอกว่าเพราะหนูไม่รีบทำ ตอนนี้น้าไม่สบายมาก ให้หนูรีบทำ พอวันรุ่งขึ้นหนูจึงรีบซื้อของมาถวาย จุดธูปบอกกล่าวยาย เพียงแต่หากุหลาบสีขาวมาให้ไม่ได้หนูจึงขอติดไว้ก่อน ต่อมาอาการของแม่มีแต่ทรงกับทรุด ในที่สุดแม่ก็เสียชีวิตในวันที่ 23 มกราคม 2555 หนูได้โทรไปบอกน้า น้าเสียใจมากและต่อว่าที่หนูไม่รีบทำตามที่น้าบอก หนูอยากเรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเพราะหนูหรือไม่ที่ทำให้แม่เสียชีวิต มันเป็นคำถามที่คาใจหนูมากว่า เพราะเราไม่รีบซื้อของมาถวายใช่มั้ย เราทำช้าไปใช่มั้ย

   2. หมอบอกว่าแม่มีเลือดออกในสมองมาก เพราะมีเส้นเลือดโป่งพองและแตก และอยู่ใกล้จุดก้านสมองผ่าตัดได้ยาก ถ้าผ่าตัดก็แค่ไปหยุดเลือดไม่ให้ไหล แต่ก้านสมองแม่บางส่วนได้ตายแล้่ว แม่จะเป็นเจ้าหญิงนิทราไม่ตื่นมารับรู้อะไร หนูและพี่สาวสองคนจึงตัดสินใจไม่ให้หมอผ่าตัด ไม่ต้องการให้แม่ทรมาน พวกหนูทำผิดหรือไม่คะ

   3. หนูอยากจะบอกกับทุกคนที่มีแม่ว่า ให้รีบทำดีกับแม่ในขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ให้เต็มที่ ถึงแม้ว่าแม่จะทำไม่ถูกใจเรา ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เราจะไม่พอใจแม่มากแค่ไหนก็ให้หลีกหลบออกมา เพราะถ้าคุณไม่มีแม่แล้ว คุณจะมาเสียใจในสิ่งที่คุณทำและกลับไปแก้ไขไม่ได้ ให้รีบนำพวงมาลัยไปกราบขอขมาแม่ ไม่ต้องเขินอายที่จะทำ เพราะตัวหนูเองได้ทำมาแล้วแม้จะเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตาม แต่ถ้ามีโอกาสอยากให้ทำบ่อยๆ ไม่อยากให้มาเสียใจเหมือนที่หนูเป็น

  ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
      (๑) กมฺมุนา วตฺตตีโลโก (สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม) บุคคลมีกรรมเป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาไปตามแรงผลักของกรรมที่ตัวเองได้ทำไว้แล้วแต่อดีต และพระพุทธโคดมมิเคยตรัสสอนให้พุทธบริษัท ติดสินบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ทรงสอนให้บุคคลทำเหตุดี (กรรมดี) ให้ตรง แล้วผลดี (กุศลวิบาก) ย่อมเกิดขึ้นให้ผู้ทำกรรมได้เสวย

     (๒) พวกหนูมิได้ประพฤติผิดไปจากธรรมในพุทธศาสนา

     (๓) ผู้รู้จริงไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด แต่ผู้รู้จริง นิยมประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อพ่อแม่ ประพฤติทุกครั้งที่มีโอกาสเปิดให้ทำ นั่นแหละเป็นการกระทำที่ดีที่สุดกับพ่อแม่
  

2019.
กราบเรียนถาม ท่าน ดร.สนอง วรอุไร

ดิฉันติดตามอ่านสนทนาภาษธรรมมาระยะนึงแล้วค่ะ ตอนนี้มีปัญหาสงสัยดังนี้ค่ะ

     1. ประมาณปี 2550 ดิฉันเคยขอกับพระพุทธรูปประจำวัดในจังหวัดว่า ขอให้แม่ไม่เป็นโรคร้ายแล้วดิฉันจะรักษาศีล 8 ติดต่อกัน 1 เดือนหลังจากนี้นจะรักษาศีล 8 ทุกวันพระไปตลอด (คุณแม่ป่วยและหมอท่านแรกตรวจและบอกว่าอาจเป็นโรคร้าย) และหลังจากนั้นจึงพาแม่ไปตรวจที่กทม. ผลปรากฏว่าไม่เป็นโรคร้าย หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็พยายามจะทำตามที่ขอไว้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ จึงไม่สบายใจมาตลอด มาตอนนี้(กพ. 2555) เป็นเดือนเกิดของดิฉัน จึงตั้งใจจะรักษาศีล 8 อีกครั้ง ทำมาประมาณ 1 อาทิตย์ แต่ก็กินข้าวเลยเที่ยงไปบ้าง หรือเผลอดูรายการทีวี และยังต้องใช้ครีมบำรุงผิว และทาแป้งเด็กในตอนเช้าเนื่องจากต้องไปทำงาน แต่ไม่ได้แต่งหน้าทาปากแต่อย่างใด บางทีก็แอบคิดไม่ดีกับคนอื่นอยู่ในใจบ้าง   การทำอย่างนี้ถือว่าการรักษาศีล 8 ไม่ครบถ้วนหรือเปล่าคะ และจะปฏิบัติอย่างไรดีคะ  

     2. ถ้าเราอยากปฏิบัติธรรมแต่ไม่มีเวลาไปที่วัด แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรดีค่ะให้ถูกทาง โดยอยากได้พบกับอาจารย์ที่สามารถชี้แนะได้ และสามารถเข้าถึงและสนทนาด้วยได้ เพราะจากที่เคยอ่านคำตอบของท่านที่ได้แนะนำ ให้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับพระอาจารย์หลายๆท่าน แต่ดูแล้วล้วนแต่เข้าถึงยากทั้งสิ้น

     ดิฉันขอกราบขอบพระคุณท่านมาณ.โอกาสนี้ด้วยนะคะ

คำตอบ
      (๑) ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีศีลและมีสัจจะได้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์มีความสบายกาย มีความสบายใจ ดังนั้นเรื่องที่บอกเล่าไป ถือว่าเป็นการประพฤติทุศีล จึงต้องเร่งความเพียรพัฒนาจิตให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น

     (๒) ปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ขณะอยู่ที่บ้าน ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จต้องเจริญอานาปานสติตามเวลาที่เปิดให้ทำได้ ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม ท่านมิได้เคยสอนให้ใครผู้ใดไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ปัญหาจึงจะจบสิ้นลงได้

     อนึ่ง ศิษย์ที่ดีต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ที่สอนได้ตรงตามธรรมวินัย และความยากใดๆย่อมไม่เกิดขึ้นกับใจของผู้ที่จะมีความเจริญในธรรมในวันข้างหน้า
  

2018.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพยิ่ง

     ดิฉันมีปัญหาอยากเรียนถามอาจารย์ดังนี้ แม่ของดิฉันเป็นคนเข้าวัดปฏิบิติธรรมเป็นปกตินิสัย แต่พฤติกรรมตอนอยู่ในครอบครัวไม่เข้ากับสิ่งที่แม่กระทำอยู่เลย ปกติจะอยู่คนละที่กับดิฉัน บางครั้งมาอยู่ด้วยเป็นเดือนหรือเป็นปี แล้วก็กลับไปอยู่บ้านตัวเอง

 - แม่ชอบพูดเรื่องคนอื่นอยู่ตลอดเวลา นินทาคนนั้นคนนี้ ดิฉันเคยบอกว่าแม่อย่าไปสนใจคนอื่นเลย สนใจตัวเองดีกว่า ตอนนี้ปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว แม่ก็จะตอบว่าเออๆเท่านั้น

- บางครั้งก็โกหก จับได้ก็ไม่รับ หรือบางครั้งจนแต้มขึ้นมาก็รับแบบเสียไม่ได้  

- ชอบความสวยความงามทั้งๆที่อายุก็มากแล้ว (70 กว่าปี) ไม่ปล่อยวางเรื่องสังขารลงเลย เรื่องนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้ข้าพเจ้าได้บ่อยครั้งมาก เนื่องจากชอบแอบเอาเสื้อผ้า และของใช้ที่ข้าพเจ้าใช้เพื่อทำงานและเข้าสังคมเมื่อจำเป็น ไปแอบใช้ บางครั้งหยิบฉวยไปเป็นของตนเอง  

- สิ่งของในบ้านถ้าพอใจสิ่งใดก็จะหยิบเอาไปเป็นของตนเองโดยไม่บอกไม่กล่าว ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกโมโหในใจได้หลายครั้ง แต่ไม่กล้าแสดงออก และไม่กล้าว่ากล่าว ด้วยเกรงจะเป็นบาปที่กระทำต่อบิดามารดา ชอบหยิบของไปเป็นของตนเองโดยไม่บอกไม่กล่าวเป็นประจำ ทั้งที่ของนั้นบางครั้งเราตั้งใจจะหามาเพื่อใช้ในกิจบางอย่างและยังไม่ทำกิจนั้น ก็ถูกหยิบฉวยไปและมารู้ภายหลังว่าแม่เอาไป ดิฉันก็จะรู้สึกโมโหฉุนเฉียวอยู่ในใจ พอระลึกได้ว่ามันเป็นบาปก็ปล่อยลง และทำใจตั้งสติไม่ให้ตัวเองโกรธ และพยายามอโหสิ แต่ก็ยังมีติดค้างในอารมณ์ให้ขุ่นมัวอยู่บ้างในบางครั้ง เพราะโดนกระทำบ่อยเหลือเกิน จนคิดว่าตัวเองได้กระทำกรรมไดไว้กับหญิงผู้เป็นแม่คนนี้หนอ จึงต้องมาใช้กรรมเช่นนี้ อีกนานไหมจึงจะหมดหนี้กรรมนี้

ดิฉันพยายามปล่อยวาง อโหสิให้ แต่ก็เกิดการกระทำใหม่อยู่เรื่อยๆ ดิฉันควรจะทำอย่างไรดี ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

    กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
      พิมพ์พรรณ์

คำตอบ
      ผู้ที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ มิได้หมายความว่า ผู้นั้นเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ ทั้งนี้ดูได้จากพฤติกรรมที่แสดงออก ยังไม่ถูกตรงตามธรรมวินัย

     - แม่ชอบพูดเรื่องคนอื่นอยู่ตลอดเวลา นินทาคนนั้นนินทาคนนี้ หมายความว่า แม่ยังมีความเห็นผิดไปจากธรรม ความสันโดษจึงยังไม่เกิดขึ้นกับใจของแม่

     - ผู้ใดยังมีวจีทุจริต ผู้นั้นยังมีจิตเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ จึงแก้ปัญหาด้วยการเอาตัวรอดแบบน้ำขุ่นๆ

     - คนที่ยังรักสวยรักงาม หมายถึงคนที่ยังมีจิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของราคกิเลส กิเลสตัวนี้มีพลังผลักดันให้ไปเอาของคนอื่นมาบริโภคใช้สอย โดยที่ยังมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของ อย่างนี้ถือว่าประพฤติทุศีลข้อสอง ซึ่งส่งผลให้ปฏิบัติธรรมแล้วยังไม่เข้าถึงธรรม

     ดังนั้น ผู้ถามปัญหาพึงชดใช้หนี้เวรกรรมไปจนกว่าจะหมดสิ้น นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาตัวเองให้มีความรอบคอบ เพื่อป้องกันทรัพย์สินของตนเองมิให้สูญหาย ด้วยการพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ และพัฒนาจิตให้มีสติ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น
  

2017.
ข้าพเจ้า นาง บานเย็น นอสูงเนิน
1. เวลาไปสวดมนต์ทุกวันพระที่วัด เวลาอุทิศบุญกุศล ร่วมกับทุกคนในศาลา
    แล้วเจ้ากรรมนายเวรเราจะได้รับบุญกุศลกับทุกๆคนในศาลาด้วยหรือเปล่า ???
2. เวลาปฏิบัติสวดมนต์และนั่งสมาธิที่บ้าน ถ้าข้าพเจ้าขออโหสิกรรม ต่อ   
   พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา วิญญาณสรรพสัตว์ทั้งหลาย
   และเจ้ากรรมนายเวร ไม่ทราบว่าจะหลุดจากกรรมหรือเปล่า ???
   สุดท้ายขอขอบพระคุณ ดร. สนอง วรอุไร อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑) การร่วมอุทิศบุญกุศลพร้อมกัน โดยต่างคนต่างอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของตน เมื่อเจ้ากรรมนายเวรมาอนุโมทนาบุญแล้ว เขาย่อมได้รับบุญจากการอุทิศให้เพียงคนเดียว

     หากร่วมอุทิศบุญกุศลพร้อมกัน ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่น และเขามาอนุโมทนาบุญ เจ้ากรรมนายเวรของคนอื่น ย่อมได้รับบุญกุศลมากขึ้น ตามจำนวนคนที่อุทิศให้

     (๒) ภพชาติของแต่ละสัตว์บุคคล ดำเนินมายาวนานจนนับไม่ถ้วน (อนันต์) แต่ละสัตว์บุคคลย่อมทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว สั่งสมผลกรรมอยู่ในดวงจิตจนนับไม่ถ้วน ผู้รู้จึงไม่ตามดูผลของการยกเลิกจองเวร แต่ผู้รู้นิยมพัฒนาจิตจนเป็นอิสระจากสังโยชน์ ๑๐ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา) ส่งผลให้จิตวิญญาณที่ปราศจากกิเลส (ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมตตา สติ ปัญญา ฯลฯ) ปนเปื้อน โคจรเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า นิพพาน จิตวิญญาณจะไม่โคจรมาเกิดเป็นสัตว์บุคคลอยู่ในภพใดๆ ของวัฏสงสารอีกต่อไป หนี้เวรกรรมที่เหลือ จึงถูกยกเลิกให้ผล (อโหสิกรรม) โดยปริยาย
  

2016.
เรียน อาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

     มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตค่ะ ว่าเกิดจากอะไร คือในขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับก็ประสบกับภาวะ ที่จิตตกดิ่งลงมาในความว่างเปล่า คล้ายอวกาศที่ไม่มีที่สิ้นสุด ตกลงมาด้วยความเร็วสูงมาก ขณะนั้นยังไม่หลับค่ะ ประสบภาวะแบบนี้มาแล้ว 2-3 ครั้ง จะเกิดภาวะแบบนี้ในวันที่หลับยากค่ะ ครั้งล่าสุด ขณะที่รู้สึกว่าจิตดิ่งลงมา ก็ได้กำหนดว่า รู้หนอ ๆ จนที่สุดหลุดจากภาวะนั้นกลับมาสู่ปกติ

     ดิฉันอ่านงานเขียน การตอบปัญหาและติดตามฟังบรรยายของอาจารย์มาตลอด

     กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่ช่วยพลิกกะลาให้หงายขึ้นมาเพื่อพัฒนาตัวเอง และจะพยายามฝึกต่อไปเพื่อให้สติมีกำลังมากขึ้น

คำตอบ
      อาการจิตดิ่ง เกิดจากจิตเข้าถึงความตั้งมั่นประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ) และการกำหนดว่า “รู้หนอๆ” แล้วอาการจิตดิ่งหายไป นั้นเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องแล้ว

     อนึ่ง ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนมีสติกล้าแข็งได้แล้ว เมื่อนอนหลับย่อมไม่ฝัน
  

2015.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนองค่ะ

ขอสอบถามดังนี้ค่ะ

1, ศีลคุมใจหมายถึงอะไรคะ หนูรู้ว่า ศีล 5 มีอะไรบ้าง แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่า ศีลคุมใจ เป็นอย่างไร

2, ศีลคุมใจ เราต้องทำตัวยังไงบ้างคะ เพื่อที่จะให้ศีลคุมใจค่ะ

3, คุณประโยชน์ของศีลคุมใจค่ะ หากเราทำได้

4, แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรคะว่า ตอนนี้เราทำศีลคุมใจได้แล้ว

อาจาย์พูดถึงศีลคุมใจบ่อยๆ หนูเลยคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่า คำว่าศีลที่หนูรู้จักแล้วค่ะ และต้องสำคัญมากค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      (๑) ศีลคุมใจ หมายถึง ใจของผู้มีศีลคุม จะไม่คิดละเมิดศีล เช่น ไม่คิดละเมิดศีล ๕ ได้แก่ ไม่คิดฆ่าสัตว์ ไม่คิดลักขโมยทรัพย์ของผู้อื่น ไม่คิดล่วงเกินลูกเมียผู้อื่น ไม่คิดพูดเท็จ ไม่คิดดื่มของเหลวที่มีสารแอลกฮอล์เป็นส่วนประกอบ

     (๒), (๓) และ (๔) ตอบรวมกันว่า ทำใจให้ระลึกได้ (มีสติ) ทุกขณะตื่นว่า ไม่คิดละเมิดศีล และเมื่อนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม (สมถภาวนา) แล้วโอกาสที่จิตจะเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
   

2014.
กราบเรียน อ. ดร. สนอง ที่เคารพอย่างสูง

หนูขอเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับศีล 8 ดังนี้ค่ะ

     หากเราถือศีล 8 แล้วดูรายการทีวี หรือเว็บไซต์ประเภท ทำอาหาร ชิมอาหาร สารคดีท่องเที่ยว เว็บงานเย็บปักถักร้อย (เพื่อทำอาชีพเสริม) จะผิดศีล ข้อ 7 หรือทำให้ศีลด่าง พร้อยหรือไม่คะ

     รายการอาหารนั้น บางครั้งดูแล้วก็รู้สึกน่าทาน อยากทาน แต่บางครั้งก็รู้สึกเฉยๆ เหมือนเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ หรือเปิดทีวีไว้ ไม่ให้บ้าน หรือ ที่ทำงานเงียบเกินไป (อยู่ที่ทำงานคนเดียวค่ะ) ประการสำคัญคือต้องการเก็บข้อมูลสูตรอาหาร เผื่อเปิดร้านอาหารด้วยน่ะค่ะ และรายการแบบนี้บางครั้งก็จะมีเสียงดนตรีประกอบด้วย อย่างนี้ถือว่าหนูไปยินดีในกามหรือเปล่าคะ

     ส่วนเว็บงานเย็บปักถักร้อยนั้น มีของสวยๆ งามๆเป็นปรกติ แต่หนูเป็นคนไม่ติดกับของพวกนี้ค่ะ ปรกติก็ชอบแต่งตัว เรียบๆ สะดวก สบายอยู่แล้ว แต่เวลาหนูดูเว็บพวกนี้เพื่อจะทำเป็นรายได้เสริม หรือหาอะไรเล็กๆน้อยๆ ให้ผู้ใหญ่ที่บ้านที่อยู่ว่างๆทำ หนูจะรู้สึกดีที่ได้เห็น ไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ อุปกรณ์ใหม่ๆ ทำออกมาแล้วดูดี และรู้สึกมีอะไรให้ทำเยอะดี รู้สึกสนุกกับงาน อย่างนี้เข้าข่ายศีลข้อ 7 ด่างพร้อยหรือไม่คะ  

     หนูไม่ค่อยแน่ใจว่า เมื่อจิตพอใจกับของชอบใจอย่างที่หนูดูเว็บไซต์ต่างๆข้างต้น แล้วเกิดความสดชื่น แต่ไม่ได้หลงใหล ยึดติด เหมือนกับว่างต้องหาอะไรทำด้วย และเราก็ชอบงานศิลปะต่างๆด้วย เกี่ยวกับศึลข้อ 7 หรือเปล่าค่ะ

     กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ และหนูขอกราบขอขมาอาจารย์ด้วยค่ะ หากหนูได้เคยล่วงเกินอาจารย์ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจค่ะ กราบขอขมาและกราบขออโหสิกรรมด้วยค่ะ

       ด้วยความเคารพอย่างสูง
               พรพรรณ

คำตอบ
      หากจิตมีความยินดี พอใจในเสียงดนตรี ยังถือว่าประพฤติละเมิดศีล ๘ ได้

     ผู้ที่ยังมีจิตเป็นทาสของงานเย็บปักถักร้อย ถือว่ายังมีจิตเป็นทาสของกาม ปฏิบัติสมถภาวนาแล้วจิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ยาก เช่นเดียวกัน ผู้ที่มีจิตยินดี พอใจอยู่กับงานศิลปะ ปฏิบัติธรรมแล้วย่อมเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้ยาก
  

2013.
ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีท่านอาจารย์ ดร สนอง วรอุไร ก่อนนะคะ

     หนู เป็นอีกคนหนึ่งที่หลังจากได้มีโอกาสฟังแผ่นซีดีบรรยายธรรมของท่านซึ่งได้มา จากวัดไทยแห่งหนี่งในรัฐมิชิแกรนด์ เมกาค่ะ เพราะตอนนี้นั้นตัวหนูเองอาศัยอยู่ที่ประเทศแคนาดา เมื่อก่อนนี้หนูต้องยอมรับกับท่านอาจารย์โดยตรงเลยค่ะว่าหนูนั้นเป็นคนห่าง ไกลศาสนามาก ไม่ค่อยได้มีโอกาสฟังพระธรรมเพื่อนจะได้อบรมขัดเกลาจิตใจ มันจึงเป็นเหตุให้หนูนั้นกลายเป็นคนบาป ทำผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง

     เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อปี 2007 หนูได้มีโอกาสย้ายมาทำงานที่เมกา จากนั้นไม่นานหนูก็ได้รู้จักเป็นแฟนกับผู้ชายเมกันคนหนึ่ง เรารักกันมาก ถึงขนาดอยากแต่งานอยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลิกกันเพราะหนูต้องกลับเมืองไทย แต่หนูเองก็มีแฟนเป็นคนไทยอยู่แล้ว แล้วเค้าก็รักหนูมาก หนูก็เลยทำผิดศีลข้อ 4 คือ โกหกเค้าเรื่อยมา โดยที่เค้าเองก็ไม่รู้เลยว่าหนูแอบมีคนอื่นตอนที่หนูอยู่เมกา ซึ่งมันก็เป็นการผิดศีลข้อที่ 3 แล้วก่อนหน้านี้ย้อนกลับไปตอนปี 2006 หนูก็ได้เกิดไปตกหลุมรักกับรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกัน ทั้งๆที่รู้ว่าพี่เขานั้นแต่งงานและมีภรรยาอยู่แล้ว แต่พี่เค้าก็บอกว่าความสัมพันธ์ของพี่เค้ากับภรรยานั้นไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ดังนั้นหนูก็เลยไม่คิดอะไรค่ะ

      คบกันได้สักพักน่าจะสามสี่เดือน แล้วภรรยาพี่เค้ารู้ค่ะ เค้าก็ให้คนโทรมาขู่หนูว่าให้เลิกกับสามีเขาซะ รวมทั้งตัวเค้าเองก็โทรมาขอร้องว่าหนูยังสาวหนูมีโอกาสหาคนอื่น แต่พี่เค้านั้นแก่แล้ว เค้าหาคนอื่นยาก หนูก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีเหมือนจะสงสารเห็นใจเค้าด้วยก็เลยเลิกค่ะ แล้วก็ได้มีโอกาสคุยกับพี่คนนั้น เค้าก็บอกว่าขอบคุณนะ และขอให้หนูได้เจอกับผู้ชายคนใหม่ที่ดี   แล้วไม่นานหนูก็ได้เจอผู้ชายคนใหม่ที่ดีค่ะ คือแฟนคนไทยที่ครบกันก่อนที่หนูจะมาเมกานั่นล่ะคะ แต่แล้วหนูก็นอกใจเค้าเหมือนที่ได้เล่าไปข้างต้นนั่นละค่ะ

     พอปี 2009 หนูกลับไปเมืองไทย หนูก็ยังคบกับแฟนคนไทยต่อ เพราะเค้าไม่รู้ว่าหนูมีคนอื่น จากนั้นหนูก็มาแคนาดาต่อเลย หนูบอกเลิกกับเค้าตอนที่อยู่แคนาดาค่ะ เค้าเสียใจมาก หนูก็เสียใจค่ะ ก็เลยขอให้เค้าอโหสิกรรมให้หนูด้วย และด้วยความที่เค้าเป็นคนดี เค้าก็ไม่ได้โกรธอะไรเลยค่ะ เค้าบอกว่าแค่ผิดหวังเสียใจมากและก็ยังคุยกับหนูเหมือนเพื่อนคนหนึงค่ะ วันเกิดหนูเค้าก็ยังส่งข้อความมาอวยพร  

     แต่ทั้งนี้มันยังเรื่องที่หนูทำผิดร้ายแรงต่อจากนี้ค่ะ คือ หลังจากที่หนูย้ายมากอยู่แคนาดาแล้ว หนูก้ได้รู้จักกับผู้ชายคนใหม่ที่นี่ค่ะ เค้าเป็นคนดีมากๆค่ะ แต่เราก็คุยกันเหมือนเพื่อนไปก่อน เพราะในระหว่างนั้นหนูก็ได้คุยติดต่อกับเพื่อนผู้ชายเมกันที่เคยรู้จักกัน ตอนที่หนูอยู่เมกาค่ะ เค้าเป็นแฟนเก่าของเพื่อน และเค้าก็อยากลองคบกับหนู ดังนั้นเราจึงคบกันได้แค่แปปเดียวเองค่ะ เพราะหนูรู้ว่าเค้าไม่ใช่ผู้ชายที่หนูนั้นอยากอยู่ด้วย หนูก็เลยกลับมาแคนาดา แล้วก็ได้สานสัมพันธ์ต่อกับเพื่อนชายแคนาดาค่ะ

     แต่เรื่องมันมาเกิดตรงที่หนูนั้นได้ตั้งท้อง แล้วพอดีว่าเพื่อนชายแคนาดานั้น เค้าขอหนูแต่งงานพอดีเลยด้วยค่ะ แล้วหนูก็บอกว่าหนูคงแต่งงานกับเค้าไม่ได้หรอก เพราะหนูนั้นได้ท้องกับผู้ชาย อีกคนที่เมกา หนูต้องกลับไปหาเขาเพราะเค้าคนนั้นเป็นพ่อของเด็ก แต่เพื่อนชายที่แคนาดาเค้าเป็นคนดีและรักหนูมากค่ะ เค้าเลยบอกว่าเค้ารับเป็นพ่อเด็กให้ได้นะ ตอนนั้นหนูก็ได้ตกลงที่จะแต่งงานกับเค้าและเราจะเป็นพ่อแม่ให้ลูกในท้องของ หนูกันค่ะ ดูเหมือนเรื่องมันจะดีแล้วค่ะ

     แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรอีกค่ะ แฟนเก่าที่เมกาคนที่เคยคบกัน ถึงขนาดวางแผนแต่งงานกันนั้นเค้าโทรมาหาหนูและ บอกว่าอยากให้หนูกลับไปหาเค้า แล้วเค้าอยากจะแต่งงาน หนูบอกเค้าง่าหนูท้อง เค้าก็พูดเหมือนกับว่า ถ้าหนูท้อง เค้าก็แต่งงานกับหนูไม่ได้ แต่ถ้าหนูไม่มีลูกเค้าจะแต่งงานกับหนู แล้วเค้าเหมือนสนับสนุนให้หนูเอาเด็กออกค่ะ

     ตอนนั้นหนูยอมรับว่าหนูโง่ หนูมีกิเลสเยอะมาก ขาดสติ เห็นแก่ตัว ไม่คิดอะไรอีกแล้วเพราะหนูนั้นคิดว่าหนูรักเค้า หนูจะเอาเด็กออกเพื่อที่จะกลับไปหาเค้า แต่ตอนนั้นด้วยความที่หนูเหมือนจะยังมีสำนึกดีอยู่บ้าง หนูคิดหนักค่ะ หนูไม่รู้จะทำยังไงดี จะเอาลูกออกก็กลัวผิด ถ้าไม่เอาออกหนูก็กลับไปหาแฟนเก่าไม่ได้  

     ดังนั้นเพื่อนชายที่แคนาดาเค้าก็รู้เรื่องหมดทุกอย่าง เค้าก็ไม่รู้จะบอกหนูว่ายังไง แต่เค้านั้นไม่อยากให้หนูเอาลูกออก แต่ถ้าจะเอาออกจริงๆเค้าก็จะช่วยเพราะเค้าแค่อยากเห็นหนูมีความสุขค่ะ ตอนนั้นหนูก็ได้แต่ร้องไห้ทุหวันเลยค่ะ เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดี ไม่กล้าโทรหาพ่อกับแม่ กลัวเค้ารู้และไม่สบายใจ   ดังนั้นเพื่อนชายแคนาดาเค้าก็เลยพาหนูไปโรงพยาบาลเพื่อติดต่อขอทำแแท้ง แล้วเคลสของหนูมันผ่านค่ะ ก็เลยทำแท้งตอนอายุครรภ์ได้ สองเดือนครึ่ง ครั้งแรกเลยหนูไม่กล้าเอายาสอดเข้าไปเพราะกลัวมาก เพื่อนชายแคนาดาเค้าก็เลยบอกว่าเค้าจะสอดให้เอง แล้วเค้าก็สอดให้ หนูก็เลยทำแท้ง( เมษา 2010 )

     จากนั้นมาหลังทำแท้งก็ได้คุยกับแฟนเก่าต่อ แล้วไม่รู้ว่ามันเริ่มจะเป็นบาปจากการทำแท้งหรือเปล่า จากนนั้นหนูกับแฟนเก่าคนนั้นก็ตัดสินใจเลิกกัน หนูก็เสียใจร้องไห้อยู่สักพักหนึ่ง เพื่อนชายแคนาดาเค้าก็ยังอยากจะแต่งงานกับหนู โดยไม่แคร์ว่าหนูจะผ่านไรอะไรมาบ้าง เราก็เลยได้แต่งงานกันค่ะ จากนั้นหนูก็ไม่ได้คิดอะไรเลย

     แต่ก่อนแต่งงานหนูก็ได้บอกพ่อกับแม่ว่าหนูจะแต่งงานที่แคนาดานี้นะ พ่อกับแม่เค้าก็บอกว่าถ้าหนูเห็นว่าเค้าเป็นคนดี อยู่แล้วคิดว่ามีความสุขก็แต่งไปเลย แล้วค่อยไปแต่งที่ไทยตอนหลัง จากนั้นมาดูเหมือนว่าหนูจะเริ่มลืมๆเรื่องที่หนูไปทำแท้งมาพร้อมกับแฟนเก่า ที่เมกาด้วย แล้วพอผ่านมาได้หนึ่งปีครึ่ง หนูก็ได้ตั้งครรภ์อีกครั้งค่ะ ( มิถุนา 2011) กับผู้ชายที่หนูแต่งงานด้วยนี่ล่ะค่ะ เค้ามีความสุขค่ะที่เค้าจะมีลูก หนูเองก็รู้สึกดีค่ะ พยายามดูแลครรภ์ให้ดีที่สุดค่ะ

     พออายุครรภ์ได้สัก 6 เดือน ( พฤจิกายน 2011 ) อยู่ๆความรู้สึกผิด กลับบาปกรรมและละอายใจจากที่หนูเคยไปทำแท้งมามันโผล่มาเองเลยค่ะ หนูเรื่มจะร้องไห้ มีจิตใจเศร้าหมองและคิดถึงแต่ลูกคนแรกที่หนูไปทำแท้งมาค่ะ ภาพทุกภาพมันฝังอยู่ในใจ หนูก็โทษแต่ว่าเป็นความผิดหนูเอง ทำไมหนูมีจิตใจต่ำขนาดนั้น

     สามีหนูเค้าก็ได้แค่ปลอบใจค่ะว่ามันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ให้อภัยตังเองซะ แล้วเรามาเริ่มทำดีกันใหม่ หนูก็เลยไปเสาะหาวัดไทยว่ามีอยู่ตรงไหนบ้างที่ใกล้ๆ สามีหนูก็เลยพาไป หนูก็ทำบุญถวายอาหารเพลพระ แล้วก็ทำสังฆทานเพื่อจะได้อุทิศส่วนกุศลให้ลูหของหนูคนที่ทำแท้งไปค่ะ   พระท่านก็ให้แผ่นซีดีกับของอาจารย์กับหนังสือสวดมนต์มาค่ะ

     หนูเรื่มฟังแผ่นซีดีของอาจารย์ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมาค่ะ ท่านทำให้หนูได้แง่คิดหลายอย่างแล้ว หนูอยากกลับตัวเป็นคนดี ไม่อยากทำความชั่วอะไรอีกแล้วในชีวิต อยากมีศีลคลุมใจ ทั้งที่ในอดีตที่ผ่านมาศีลของหนูนั้นทั้งทะลุ ทั้งขาด หนูอยากจะทำความดีทุกๆอย่างเพื่อหนูจะได้อุทิศส่วนกุศลนั้นให้เค้า เค้าจะได้อโหสิกรรมให้หนู หนูรู้ว่ามันไม่ง่ายที่เค้าจะยอมอโหสิกรรมให้หนู แต่หนูก็จะพยายามต่อไป

     ตอนนี้หนูก็พยายามศึกษาใรพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และหนูรู้ว่าถ้าหนูตายไปนะตอนนี้หนูคงต้องไปลงนรกแน่ เพราะหนูนั้นทำบาปไว้มาก ทุกวันนี้หนูก็ได้แต่พยายามทำใจ ไม่ให้ร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงอดีตเพราะหนูก็กำลังท้องอยู่ด้วย ตอนนี้ ณ วันนี้ก็เกือบจะแปดเดือนแล้วค่ะ สามีหนูก็ได้แต่ปลอบใจว่าเศร้าใจมากจะไม่ดีต่อลูกในท้อง หนูสารภาพผิดกับพ่อด้วยค่ะว่าหนูเคยทำแท้งมา พ่อหนูเค้าก็เหมือนจะอึ้งๆไปสักพัก แต่เค้าก็แค่ปลอบใจว่าอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป เริ่มต้นทำแต่ความดีใหม่ไปเรื่อยๆเพื่อจะได้อุทิศส่วนกุศลให้เขา  

     ทุกวันนี้หนูก็ได้แต่สวดมนต์ พยายามฝึกวิปัสนากรรมฐาน เพราะเมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปนอนค้างที่วัดเพื่อฝึกทำวิปัสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ถึงแม้มันจะเป็นช่วงระยะเวลาแค่ 1-2 วัน และหนูก็ท้องแก่แล้วด้วยแต่หนูห็ตั้งใจไปทำไปฝึกเพื่อจะได้ทำให้จิตใจหนูสงบ มันทำยาก แต่หนูก็จะพยายามฝึก เพราะหนูได้แรงใจมาจากการฟังธรรมของท่านอาจารย์ค่ะ และได้กำลังใจมาจากสามีและคุณพ่อแม่ค่ะ ตอนนี้หนูอายุ 30 ปีแล้ว เลยมีคำถามมาถามอาจารย์ค่ะ

   1. มันจะสายไปไหม ถ้าหนูจะเริ่มเป็นคนมีศีล พยายามเอาศีล 5 มาคลุมใจ หมั่นสร้างแต่ความดีเหมือนที่อาจารย์ได้สอนไว้

   2.  ถ้าหนูหมั่นทำแต่ความดี ทำบุญ ทำทาน พยายามรักษาศีล 5 ถึงแม้ว่ามันอาจจะยังมีหลุดอยูบ้าง มันจะช่วยผ่อนจากกรรมหนักให้เป็นเบาได้ไหมคะ แล้วหนูจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลาที่หนูทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ลูก แล้วเค้าจะได้รับหรือไม่ และอโหสิกรรมให้หนู

   3. ถ้าหนูบริจาคร่างกายให้กับนักศึกษาที่แคนาดานี้ แล้วถ้าหนูตายไป แล้วเค้าจะไม่ได้ทำบุญพิธีศพให้หนูตามศาสนาพุทธ แล้วแบบนี้หนูจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลบ้างรึเปล่า จริงๆหนูอยากจะบริจาคเลือดด้วย บริจาคร่างกายด้วยให้กับสภากาชาติไทย แต่ด้วยความที่ตอนนี้ไม่โอกาสได้กลับเมืองไทยมากนัก มันเลยทำยากค่ะ

   4. ทำบุญอะไรที่จะทำให้ได้อานิสงค์มากๆคะ หนูจะได้เร่งทำแล้วอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ลูกของหนูคนที่ทำแท้งไป และเจ้ากรรมนายเวร

   5. หนูจะสามารถอุทิศส่วนกุศลนั้นให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น บิดา มารดา สามี   ได้ไหมคะ ถ้าได้นี้ต้องทำยังไงคะ
  
   6. ถ้าหนูกลับไปไทยต้นปีหน้าแล้วอยากจะไปปฎิบัติธรรมซัก วัน อาจารย์พอจะแนะนำได้ไหมคะว่าหนูควรจะไปที่ไหนดี

     สุดท้ายนี้หนูขอขอบพระคุณมากๆนะคะอาจารย์ที่กรุณาอ่านข้อความหนู และหนูต้องขอโทษด้วยค่ะที่หนูเขียนซะยาวเลย หนูอยากจะเล่าอยากจะระบายนะคะ เพราะมันทุกข์ใจมากๆเหลือเกิน ความรู้สึกผิด บาป ละอายและกลัวต่อบาปมันจุกอยู่ค่ะ สุดท้ายนี้หนูขออนุโมทนาสาธุกับบุญของอาจารย์ด้วยนะคะ ที่อาจารย์ช่วยเมตตาและสละเวลาช่วยสอนธรรมะและช่วยบรรเทาทุกข์ให้หนูและคนอื่นๆค่ะ สาธุค่ะ

คำตอบ
     (๑) แม้ว่าจะเป็นการสายไปที่จะทำความดี คนที่คิดและหยุดทำกรรมชั่ว ยังมีโอกาสเป็นคนดีได้ในวันข้างหน้า จึงแนะนำว่า ควรทำความดีที่ให้บุญสูงสุด ซึ่งได้แก่การปฏิบัติธรรม ผู้ใดบุญใหญ่แล้วอุทิศบุญที่ตัวเองทำ และขอความเมตตาจากผู้ร่วมกระทำบุญใหญ่ (ร่วมปฏิบัติธรรม) ร่วมกันอุทิศบุญใหญ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวร (ลูกที่ถูกทำแท้ง) ของผู้ถามปัญหา โอกาสที่หนี้เวรกรรมจะหมดไปได้เร็ว ย่อมเกิดขึ้นได้

     ดังนั้น ผู้ไม่ประมาทถึงเข้าปฏิบัติธรรมบ่อยๆ แล้วทำตามที่ชี้แนะ จนกว่าจิตไม่ระลึกถึงเรื่องในอดีตที่เคยทำแท้งไว้ นั่นพอจะมั่นใจได้ว่า หนี้เวรกรรมในเรื่องนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว

     (๒) เมื่อใดที่ลูกที่ถูกทำแท้งเลิกจองเวร จิตจะไม่ระลึกถึงเรื่องนี้อีกต่อไป หรือเขาได้อโหสิกรรมให้แล้ว

     (๓) การอุทิศร่างกายเป็นทานอย่างหนึ่ง ผู้อุทิศแล้วย่อมมีบุญเกิดขึ้น การบริจาคเลือดก็เป็นทานแบบหนึ่ง ผู้บริจาคแล้วได้บุญ ฉะนั้นพึงทำทุกอย่างตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยคนอื่น อุทิศความดีให้ผู้อื่น ยินดีในการทำความดีของคนอื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และมีความเห็นถูกตรงตามธรรม) ต้องทำทุกครั้งที่นึกได้ ทำทุกครั้งที่ว่างจากงานสังคม บุญย่อมเกิดได้เสมอๆ

     (๔) บุญใหญ่สุดคือ การปฏิบัติธรรม ผู้ใดทำแล้วมีโอกาสเข้าถึงความพ้นทุกข์ (นิพพาน) ได้ อยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติธรรมได้ เช่น สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์กำหนดลมหายใจเข้า - ออก ยาวนานตามโอกาสที่เปิดให้ทำได้ เมื่อสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง จนกว่าหนี้เวรกรรมจะจบสิ้น

     (๕) สามารถอุทิศบุญให้ผู้มีชีวิต เมื่ออุทิศแล้วต้องบอกให้เขาทราบ หากเขาอนุโมทนา บุญที่เกิดจากการอุทิศย่อมสำเร็จตามประสงค์

    (๖) กลับเมืองไทยแล้วจะไปปฏิบัติรรม ซักวัน ทำไมไม่ปฏิบัติธรรมหลายๆวัน บุญจะได้เกิดขึ้นมาก ผู้รู้มักมากในการทำความดี ผู้หลงหรือไม่รู้มักมากในการทำความชั่ว
   

2012.
กราบสวัสดิ์ดีท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร   มีปัญหามาเรียนถามดังต่อไปนี้ ขอความกรุณาด้วยครับ

     1. ผมอยากทราบว่าสมาธิ 3 ระดับได้แก่ 1. ขนิกสมาธิ 2. อุปจารสมาธิ และ 3. อัปปาสมาธิ   ถ้าเทียบเคียงกับฌาน 1-8 (ไม่นับตัวที่ 9) นั้นแต่ละตัวจะเทียบเคียงได้กับสมาธิขั้นใดในฌานที่ 1-8 ครับ ขอความกรุณาด้วยขอบคุณครับ

     2. คำว่า '' อริยเจ้า '' กับ '' อริยบุคคล '' เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรบ้างไหมครับ

     3. ถ้า...ผมอยากจะตั้งความปราถนา เจริญวิปัสสนาให้ถึงขีดสุด แต่ขอให้ไม่พ้นญานตัวที่ 13 จะได้หรือไม่ครับ ขอบคุณครับ

       ขอรบกวนด้วยครับขอบคุณท่านอาจารย์ดร.สนอง และทีมงานกัลยาณธรรมครับ ^___^  

คำตอบ
     (๑) จิตต้องตั้งมั่นแน่วแน่ ( อัปปนาสมาธิ ) จึงจะเข้าถึง ฌาน ๑ – ๘ ได้

     (๒) อริยเจ้า เป็นคำที่นิยมใช้เรียกพระสงฆ์ผู้ประเสริฐ ( พระอริยะ )

     ส่วนคำว่า อริยบุคคล ในทางพุทธศาสนาหมายถึง บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ ที่ทำให้เป็นพระโสดบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

     (๓) ผู้ใดตั้งความปรารถนา เข้าถึงโลกุตตรญาณไม่เกินญาณที่ ๑๓ (โคตรภูญาณ) ผู้นั้นต้องทำเหตุให้ตรงคือ เจริญวิปัสสนาภาวนาและเจริญสมถภาวนา จนมีกำลังของสติกล้าแข็ง แล้วใช้สติหยุดความก้าวหน้าในการพัฒนาวิปัสสนากรรมฐาน ให้เกิดโลกกุตตรญาณได้ไม่เกิน สังขารุเปกขาญาณ
  

2011.
กราบเรียนอ.ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพอย่างสูง

เรียนถามปัญหาธรรมค่ะ

     1. ถ้าบุคคลใดปฏิบัติถึงญาณ 13 แล้ว   แต่ยังไม่ใช่พระอริยะ ถ้าอินทรีย์ 5 และกำลังของเขาอ่อนลง สภาวะธรรมจะตกลงต่ำกว่าญาณ 11  ต้องวิ่งย้อนไปมาตั้งแต่ 1-11  อีกหรือไม่คะ

     2. หนูประเมินตนเองหลังปฏิบัติธรรมครั้งหลังสุด หนูสามารถอยู่กับอุเบกขาอารมณ์ ได้เกือบตลอดเวลาที่ตื่นและจะไม่ค่อยไหลไปตามกิเลส คงอยู่ในอุเบกขาอารมณ์ได้ประมาณเดือนกว่า  แต่มีเหตุให้ต้องไปทำงาน past time ต้องเจอสถานที่ เจอบุคคลใหม่ๆ ต้องพูดคุยสร้างสัมพันธภาพเพื่อให้งานราบรื่น ใจตัวเองก็เริ่มไหล สติสมาธิน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และอยู่ๆหนูก็เกิดเบื่ออารมณ์อุเบกขาขึ้นมา ไม่อยากได้ เพราะมันเซ็ง และดูเงียบเหงา โหวงเหวงเกินไป สรุปตัวเองได้ว่ากำลังของหนูอ่อนลงเรื่อยๆแล้ว และมันไม่ได้สุขจริงๆเลย ตอนนี้รู้แล้วว่าอุเบกขาอารมณ์เป็นสุขมากกว่า แต่หนูกลับบ้านไม่ได้แล้ว หนูกำลังเจริญสติ สมาธิให้กลับมาอยู่แต่แลดูว่าลำบากมากเลยคะ ต้องใช้ความพยายามมากๆ จนเริ่มจะท้อ เริ่มจะกลัวว่าสภาวะธรรมจะตกลงเรื่อยๆ   ที่สำคัญใจหนูเศร้าหมอง หนูกำหนดแล้วแต่ความเศร้าหมองไม่เคยหายไปเลย เพียงแค่น้อยลงเป็นพักๆ เกิดจากหนูรู้สึกผิดมาก   ที่ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ ออกนอกลู่นอกทาง จะทำอย่างไรดี   รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยคะ   

     และเวลาหนูทำผิดไป เช่น ไม่ปฏิบัติตามมรรค พูดคุยเพ้อเจ้อมาก พุดส่อเสียด หนูเผลอพูดไปเพราะตอนนั้นสติมันไม่ทันจริงๆ เพิ่งมารู้ตัวเอาเมื่อทำไปแล้ว หนูจะเกิดอาการไอ ไอเป็นพักๆ ไม่ได้เป็นหวัดแต่ไออย่างเดียว   ทางกายก็ไม่สุขสบาย จะรู้สึกอึดอัด และเจ็บจี๊ดๆตามนิ้ว และมือ กลางคืนก็ฝันร้ายว่าโดนเย็บปาก โดนของแหลมจิ้มตา   หนูจิตตกคิดมากไปเองหรือเปล่าคะ

     3. หนูปฏิบัติธรรมมา 2 ปี เมื่ออยู่บ้านยังต้องช่วยแม่ขายเหล้า เบียร์    อยู่ตลอด เวลาขายจิตใจเศร้าหมอง จะบอกตัวเองว่าขายเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบางานของแม่มันไม่ใช่กรรมของหนู   เรียนถามอาจารย์ว่า เราขายโดยใจคิดเพียงช่วยแบ่งเบางานแม่   ไม่ได้อยากได้เงิน อย่างนี้หนูบาปไหมคะ

      กราบขอบพระคุณคะ

คำตอบ
      (๑) เป็นได้ครับ เพราะสภาวธรรมในดวงจิตยังอยู่ในขั้นของอริยมรรค

     (๒) ต้องเจริญพละ ๕ ให้มีกำลังกล้าแข็งอยู่เสมอ แล้วปรับสมดุลระหว่าง สัทธากับปัญญา ให้มีกำลังใกล้เคียงกัน ปรับสมดุลระหว่าง วิริยะกับสมาธิ ให้มีกำลังใกล้เคียงกัน ส่วนสติต้องพัฒนาให้มีกำลังมากที่สุด สามารถระลึกทันมารที่เข้ากระทบจิต หากเป็นเช่นนี้แล้ว จิตย่อมไม่เสื่อมไปจากคุณธรรมที่พัฒนาได้

     (๓) เป็นบาปในขั้นที่ทำให้จิต เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ
  

2010.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

     หนูอยากจะรบกวนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

     1.  เป็นความจริงหรือไม่คะหากเราได้รับการบอกกล่าวถึงสาเหต ุและวิธีแก้ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ ผ่านทิพจักขุญาณของพระภิกษุสงฆ ์หรือผู้ที่ปฏิบัติภาวนาจนได้โลกียอภิญญา (หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่าการเปิดกรรม) แล้วจะทำให้เราประสบกับกุศลวิบากช้าลงแต่อกุศลวิบาก เร็วและแรงขึ้น เนื่องจากเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกข้อมูลนี้กับหนู แต่หนูเข้าใจว่าวิบากนั้น ให้ผลตามวาระไม่มีอะไรที่จะมีผลบังคับได้ นอกจากเจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรมเท่านั้น ในขณะเดียวกันหนูก็สังเกตว่า หลังจากการเปิดกรรมแล้ว ปัญหาในชีวิตก็ดูจะทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งๆที่หนูก็รักษาศีลสวดมนต์ภาวนา ประกอบบุญกิริยาวัตถุสิบ ฯลฯ สม่ำเสมอค่ะซึ่งสอดคล้องกับที่หนูเคยได้ยินจากบันทึก การบรรยายธรรมเทศนา ของหลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวันว่า หากเรายิ่งปฏิบัติภาวนา เจ้ากรรมนายเวรก็จะยิ่งมาทวงหนี้กรรม

     2.  เนื่องจากหนูจำเป็นต้องรับประทานยา เกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร และลำไส้อยู่บ่อยครั้งและสังเกตว่าอาการจะทุเลาจนหายเป็นปกติ ถ้าทานยาธาตุน้ำขาว ซึ่งมีส่วนผสมของแอลกฮอล์อยู่ 0.95% w/v ในขณะที่ถ้าทานยาอื่นจะไม่ค่อยให้ผลในการรักษาเท่าใดนัก แต่หนูพยายามหลีกเลี่ยง เพราะกลัวผิดศีลข้อ 5 ไม่ทราบว่าหนูเข้าใจถูกผิดประการใดคะ

     หนูขอความกรุณาอาจารย์ไขข้อข้องใจสองประการนี้ทีนะคะ

       กราบขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      (๑) เป็นความจริงแบบสภาวสัจจะ ที่ยังมิได้เป็นเหตุทำให้พ้นทุกข์ ตามที่หลวงพ่อจรัญกล่าวนั้น เป็นความจริงที่ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์ตรงในด้านนี้

     (๒) คนที่มีอาการเจ็บป่วย (อาพาธ) แล้วรับประทานยารักษาโรคที่มีแอลกฮอล์ปนเปื้อน ไม่ถือว่าผิดศีล

     ผู้ใดเห็นจิตสังขาร ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ และหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ความวิตกกังวลย่อมไม่เกิดขึ้นกับผู้นั้น ซึ่งส่งผลให้อาการอาพาธ อันเนื่องจากโรคกระเพาะและลำไส้ ย่อมไม่เกิดขึ้นกับผู้มีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นเช่นนี้
  

2009.
กราบสวัสดีคุณพ่อสนองที่เคารพ

ลูกมีเรื่องมาสอบถามคุณพ่ออีกแล้วครับ

     1. ลูกอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับปรัชญากับวิทยาศาสตร์
บทความตามหนังสือพยายามอธิบายว่า สสารไม่ใช่ผลผลิตของจิต แต่จิตนั้นเองที่เป็นผลิตผลขั้นสูงสุดของสสาร กล่าวคือ ผู้เขียนเชื่อว่าสสารหรือวัตถุนั้นเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง ตั้งแต่การที่สสารเกิดเป็นดวงดาวและพัฒนากลายมาเป็นโลก จากนั้นจึงมาเกิดสิ่งมีชีวิตที่มีสมองขึ้น และ จึงเกิดจิตขึ้นมา

     แต่ลูกมองต่างออกไป ลูกเชื่อว่าพลังงานคือสสาร เพียงแต่วิทยาการของมนุษย์ยังเข้าไม่ถึง ยังอธิบายไม่ได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่้า ก่อนที่จะเกิดสสารต่างๆ น่าจะมีพลังงานอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งในพลังงานนั้นอาจมีจิตอยู่ด้วยก็ได้ ที่ลูกถามมานี้ ลูกไม่รู้จริง จึงเกิดความสงสัย และลังเล จึงอยากรบกวนคุณพ่อ เรื่องนี้คุณพ่อคิดเห็นอย่างไรครับ ที่ว่าสสารเกิดมาก่อนและเป็นพื้นฐานของจิต

     2. เรื่องนิวตริโน่ ลูกได้อ่านบทความเกี่ยวกับนิวตริโน่ และยอมรับในคำกล่าวของคุณพ่อมากยิ่งขึ้น ที่่ว่า ความรู้ทางโลกทั้งหลาย เมื่อผ่านกาลเวลาไป ก็ไม่เป็นจริงเสียแล้ว เรื่องนี้คงยกตัวอย่างได้เป็นอย่างดี จากที่เชื่อกันเสมอว่าความเร็วแสงถือเป็นความเร็วสูงสุด แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เสียแล้ว สมการต่างๆทางวิทยาศาสตร์ ที่อิงความเร็วแสง ก็เคลื่อนจากความน่าเชื่อถือออกไปทุกที แต่ ลูกกลับเชื่อมั่นในเรื่องของ จิตมากขึ้น เรื่องนิวตริโน่นี้คุณพ่อมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ

     3. ลูกชอบฟังธรรมและคิดตาม โดยเฉพาะธรรมของคุณพ่อ แต่ในเวลาเดียวกัน ลูกก็หลงไหลในดนตรีเป็นอย่างมาก ทั้งชอบออกกำลังกาย ให้ตัวเองดูดี แบบนี้ลูกเป็นคนประเภทมือถือสากปากถือศีลหรือไม่ครับ

     4. ช่วงวันสงกรานต์นี้ลูกมีเวลาว่างประมาณ 3 วันลูกอยากพัฒนาจิต เตรียมจิต ให้พร้อมกับการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นมากขึ้น   ลูกมีห้องซื้อไว้แต่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ตั้งใจจะอยู่ในห้องตลอด 3 วันไม่ไปไหน ลูกขอคำแนะนำจากคุณพ่อด้วยครับ ลูกควรปฏิบัติอย่างไรบ้าง

     หลังจากหญิงที่ลูกคบชู้ได้เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ลูกก็หันมาสนใจธรรมมากขึ้น เพราะไม่อยากเสียใจอีกแล้ว ผ่านมาปีกว่าๆ จากการดำเนินงานโดยอิงหลักพุทธศาสนาให้มากที่สุด หน้าที่การงานลูกก้าวหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ ลูกขอบคุณคุณพ่อที่ช่วยตอบคำถามครั้งนี้ และเมื่อครั้งที่แล้วครับ ขอให้คุณพ่อมีสุขภาพแข็งแรง และได้ช่วยชี้นำเพื่อนมนุษย์ ให้ไม่ต้องตกลงอบายภูมิตามความปรารถนาของคุณพ่อด้วยครับ

คำตอบ
      ในโลกหรือในจักรวาลมีอยู่ ๒ สิ่ง คือ สสารกับพลังงาน ซึ่งทั้งสองมีแรงดูดซึ่งกันและกัน เช่น ดวงอาทิตย์ดึงดูดโลกให้โคจรอยู่ในวงรอบของดวงอาทิตย์ โลกมีแรงดึงดูดดวงจันทร์ให้โคจรอยู่รอบโลก

     (๑) สสาร คือ สิ่งที่มวลสาร ต้องการที่อยู่ และสัมผัสได้
       พลังงาน คือ ความสามารถที่มีอยู่ในตัว ที่อาจให้แรงงานได้

     จิตเป็นพลังงานธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่สามารถดึงดูดสสาร (กิเลส) เข้าไว้ในตัว แล้วทำให้จิตต้องโคจรอยู่ในภพต่างๆของวัฏฏะ อย่างไม่รู้จบ จิตสามารถทำงานกำจัดกิเลสที่อยู่ภายใน (สังโยชน์) ให้หมดไปจากจิตได้ จิตในลักษณะนี้ย่อมไม่ถูกแรงของโลกและจักรวาล ดึงดูดได้อีกต่อไป สภาวะของจิตที่ปราศจากกิเลส (สสาร) ปนเปื้อน ย่อมโคจรไปอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า นิพพาน (ขออภัยและไม่เป็นโทษ หากอ่านข้อความนี้ แล้วเห็นว่าผู้ตอบปัญหาเป็นคนเพี้ยน)

     ดังนั้น ผู้ถามปัญหาเข้าใจถูกต้องแล้วว่า “ก่อนจะเกิดสสาร ย่อมมีพลังงานอยู่ก่อนแล้ว” ตรงกันข้าม คำว่า “สสารเกิดมาก่อนและเป็นพื้นฐานของจิต” จึงเป็นความเห็นถูกของผู้นั้น ที่ใช้ระบบประสาทสัมผัสกับความเป็นจริง แต่ผู้ที่ใช้จิตที่พัฒนาดีแล้วสัมผัส คือ ผู้รู้จริงแท้ ยังเห็นว่าเป็นความเห็นผิด

     อนึ่ง ความสงสัย อยากจะรู้เห็น เข้าใจ ความจริง (เหตุผล) ที่เป็นจริงแท้เช่นนี้ เป็นเพียงความรู้ที่มิได้เป็นเหตุทำให้จิตโคจร พ้นไปจากแรงดึงดูดของโลกและจักรวาล หรือพ้นไปจากภพต่างๆในวัฏสงสาร

     (๒) ผู้ตอบปัญหาเห็นว่า จิตเป็นพลังงานที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด ไม่มีพลังงานใดในโลกและจักรวาลเคลื่อนที่ได้เร็วเท่า

     (๓) ฟังดนตรีแล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งในการพัฒนาจิต หากเป็นไปในลักษณะนี้ ไม่เรียกว่า มือถือสาก ปากถือศีล

     (๔) ที่บอกเล่าไปเป็นความคิดที่ดี แต่ก่อนลงมือพัฒนาจิต ต้องทำใจให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วใจย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ใจที่มีสมาธิ จึงมีโอกาสพัฒนาให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้
  

2008.
กราบเรียนถามอ.สนองที่เคารพค่ะ

     หนูเข้าปฏิบัติธรรมแบบเข้มข้น ปฏิบัติเดี่ยวมาหลายครั้งแล้วค่ะ มีทั้งแบบกำหนดและรู้สภาวะไปเลย (ปรมัตถภาวนา) แต่เดิมหนูเป็นคนติดสมถะ นั่งสมาธิทีไรนิ่งดิ่ง สงบ ว่างทุกครั้งค่ะ เพิ่งดูจิตเป็นไม่นาน
หนูเห็นว่าการทำสมถะอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดปัญญาเข้าถึงธรรมได้ จึงพยายามทำวิปัสสนาควบคู่ไปด้วย ในชีวิตประจำวัน พยายามกำหนดอิริยาบถย่อยทั้งวัน มีเผลอบ้าง มีศึลห้าคุมใจได้เคร่งครัดกว่าแต่ก่อนมาก หลังออกจากกรรมฐานตื่นหกโมงเช้า เดินจงกรม นั่งสมาธิ 45-60 นาทีทุกวัน

     การปฏิบัติโดยปกติหนูจะเพ่งจิตให้อยู่ที่เท้าอย่างเดียวในการเดินจงกรม หนูนั่งสมาธิเห็นพอง ยุบต่อเนื่อง จนพองยุบหายไป เหลือสว่าง ว่าง สงบ ไม่มีความคิดเลย รู้สึกสบาย
ออกจากสมาธิแล้วตัวเบา ตอนแรกหนูคิดว่าจะฝึกสมถะให้เข้าออก ฌานได้คล่อง แล้วค่อยปฏิบัติวิปัสสนา

     ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

     ในชีวิตประจำวันหนูสังเกตเห็นว่าเวลายืนนิ่งๆ หรือนั่งทำงานจะรู้สึกถึงความไหว ยิบยับภายในร่างกาย ก่อนนอนจะเห็นได้มาก ยิบยับทั่วตัวเลยค่ะ บางทีจิตตั้งมั่นทำให้นอนไม่หลับ

     1. คิดว่าเป็นอาการวิปัสสนาถูกต้องหรือไม่คะ

     2. ช่วงนี้หนูนอนหลับยากมากขึ้น เพราะจิตจะคอยรู้อยู่ (เฉพาะตอนนอน) บ้างทีเห็นกายง่วงอยากนอน แต่จิตยังตื่นอยู่ มีวิธีการอย่างไรในการนอนให้ง่ายขึ้นบ้างคะ

     วันนี้ตอนเดินจงกรมและนั่งสมาธิตอนเช้าเปลี่ยนรูปแบบจากการกำหนดมาดูรู้สภาวะไปเลย ดูความไหว ดูจิต จิตวิ่งไปฟังบ้าง ไปดูกายบ้าง ไปดูความไหวบ้าง เผลอไปคิดบ้าง เดินแล้วรู้สึกถึงความแข็งที่คอและกายมีความหนัก
เวลานั่งเห็นอาการยิบๆ เกิดดับในกาย หนูเป็นผู้ดูอย่างเดียวค่ะ ไม่ได้บังคับจิต จิตจะดูอาการยิบในกายบ้าง สลับกับไปดูพองยุบ แรกๆไม่มีความคิดเลย หลังๆความคิดเกิดขึ้นเยอะ และช่วงหลังรู้สึกเหมือนหมดแรง ไม่มีแรงรู้

     3. ควรจะดึงจิตมาทำสมถะหรือไม่ค่ะหรือควรปฏิบัติอย่างไรดี

     4. อยากเรียนถามอาจารย์ว่าหนูควรปฏิบัติอย่างไรดีค่ะ (ทำสมถะวิปัสสนาควบคู่กันไป หรือควรทำสมถะให้เข้าฌานได้คล่องก่อน)

     5. การทำสมถะแล้วยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนามีวิธีการอย่างไรค่ะ หนูฟังมาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่เข้าใจวิธีการเลยค่ะ ขออาจารย์ช่วยอธิบายแบบละเอียดหน่อยค่ะ

     6. ไม่ทราบว่าที่ปฏิบัติอยู่นี้ผิดถูกอย่างไรบ้างคะ ขออาจารย์ช่วยชี้แนะหน่อยค่ะ

      ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากๆค่ะ

คำตอบ
      (๑) ถูกต้องแล้ว เป็นอาการที่เกิดจากวิปัสสนูปกิเลส

     (๒) อยากเป็นคนนอนหลับง่าย ต้องปล่อยวางอารมณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นขณะนอน โดยเฉพาะต้องเอาจิตมาระลึกรู้ มิให้จิตรับสิ่งกระทบใดๆเข้าปรุงอารมณ์

     (๓) ไม่ควรหางานใดๆให้จิตทำ แต่ควรปล่อยวางจิตมิให้ปรุงอารมณ์ตามข้อ (๒)

     (๔) ไม่ควรทำสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน แต่ควรปล่อยวางจิตให้ว่างจากอารมณ์ทั้งหมด

     (๕) วิปัสสนากรรมฐานเป็นวิธีพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง การเกิดปัญญาสูงสุดเช่นนี้ มิได้สำเร็จด้วยการอ่านหรือการฟัง แต่สำเร็จด้วยการพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) กับคนที่มีบารมีสั่งสมมามากและสั่งสมมายาวนาน แต่คนที่ยังมีบารมีไม่กล้าแข็ง ต้องปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น จนเห็นว่า สิ่งที่เข้ากระทบจิต (ผัสสะ) ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดที่ผัสสะหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน) จิตย่อมปล่อยวางและว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับการเกิดของปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะนั้น

     (๖) ผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานถูกต้องแล้ว ย่อมเห็นทุกผัสสะเป็นอนัตตา แล้วจิตเป็นอิสระต่อสรรพสิ่งที่เข้ากระทบจิต ตัวอย่างเช่น จิตเป็นอิสระจากโลกธรรม จากวัตถุ จากกิเลสตัณหา อุปาทาน ฯลฯ
  

2007.
เรียนสอบถาม ท่านอ.ดร.สนอง

เรียน อาจารย์ครับตอนนี้เรียน ป.เอก ด้านวิทยาศาสตร์อยู่ยุโรปครับอาจารย์ ผมเหนื่อยเหลือเกิน เรียนหนักมาก กดดันมากต้องเรียนใ้ห้จบภายในสามปี (หกเทอม) ไม่มีเพื่อนเลย ไม่มีเพื่อนคนไทยที่นี่ ทุกวันนอนวันละไม่เกินสามชั่วโมง ต้องกินนอนอยู่คณะ ตลอด บางวันอยากจะลาออกเหนื่อยและท้อแท้อย่างมาก ผมพูดอย่างไม่อายว่า บางวันมีน้ำตาเป็นเพื่อน เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ อาจารย์ช่วยแนะนำผมทีว่าจะทำอย่างไร ผมเพิ่งเข้ามาหาพระธรรมเป็นที่เพิ่ง พยายามแยกความรู้สึกออกจากงานที่กำลังทำไม่เอาจิตเข้าไปคลุกแต่ก็ทำได้ไม่นาน พยายามฟังธรรมจากเวบพลังจิตโหลดมาลงและลองฝึกสมาธิเบื้องต้น ผมต้องปรอบใจตัวเองต่างๆนาๆ ให้ตนเองหลุดพ้นไปจากสภาวะนี้ อาจารย์ช่วยผมด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
      อาการเหนื่อยและท้อแท้ เคยเกิดขึ้นกับผู้ตอบปัญหาในขณะศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศสหราชอาณาจักร ทั้งสองที่เป็นกิเลสมารที่เข้ามาขัดขวางบุคคล มิให้ประสบความสำเร็จในชีวิต กิเลสมารดังกล่าว สามารถบำบัดให้หายไปได้ ด้วยการประพฤติเหตุให้ถูกตรงสี่เหตุ คือ

     (๑) พัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีสมาธิเกิดขึ้น ด้วยการทำจิตให้ว่างเปล่าจากอารมณ์ปรุงแต่ใดๆ ด้วยการกำหนดเอาความว่างของอากาศเป็นอารมณ์ (อากาสานัญจายตนะ) นาน ๑๕ นาที ทุกวัน หลังอาหารกลางวัน ผลปรากฏว่า จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้เกิดอาการกระปี้กระเปร่าขึ้นทันทีทันใด อาการเหนื่อยและท้อแท้หายไป แล้วทำให้ความจำดีขึ้น

     (๒) ออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬาทุกเย็นวันศุกร์ สัปดาห์ละหนึ่งวัน โดยไม่เอาจิตมาระลึกอยู่กับการเรียนใดๆเลย

     (๓) ทำจิตให้เป็นอิสระจากคำพูด (ทั้งดีและไม่ดี) ของคน เมื่อจิตนิ่งแล้ว ส่งผลให้จิตมีสติและปัญญากล้าแข็งขึ้น

     (๔) ประพฤติจริยธรรมให้เกิดขึ้น ด้วยการเป็นนักศึกษาที่ดีของโปรเฟสเซอร์และของสถาบัน ประพฤติตนมีศีล มีธรรม มีความขยัน มีความอดทน มีความซื่อตรง ฯลฯ

     ทั้ง ๔ เหตุข้างต้น ผู้ใดประพฤติได้ถูกตรงแล้ว ความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งมั่น ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
  

2006.
ขออนุญาติเรียนถามค่ะ

      ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์ที่ได้ตอบคำถามของดิฉันค่ะ ตอนนั้นดิฉันเขียนว่า ดิฉันน่าจะถึงสังขารุเปกขาญาณ แล้วท่านอาจารย์ตอบมาว่า ที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะถึงสังขารุเปกขาญาณก็เป็นเรื่องของผู้เขียน เลยทำให้ดิฉันเข้าใจเลยว่าจริงๆแล้ว ดิฉันยังไม่ถึงญาณนั้น ตอนนี้รู้สึกสบายใจมากค่ะ เพราะถ้าท่านอาจารย์ไม่ตอบแบบนั้น ป่านนี้ก็ได้แต่สงสัยอยู่ตลอดว่าใช่ หรือไม่ใช่ แล้วตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าการทำกรรมฐานแค่ขอให้เห็นกฎไตรลักษณ์อย่างเดียว อย่างอื่นอย่าไปสนใจเลย เสียเวลา กว่าดิฉันจะเข้าใจก็เสียเวลาไปหลายปีเหมือนกันค่ะ ขอถามคำถามเลยนะคะ

           1. หลังจากที่ได้อ่านคำตอบจาก ท่านอาจารย์ ตอนนั้นได้ติดสภาวะธรรมอยู่อาการหนึ่ง คือ เนื่องจากดิฉันเคยฟลุ๊กเข้าอัปนาสมาธิได้หนึ่งครั้ง เลยจำอาการสมาธิของขณิกะ และ อุปจาระได้ ดังนั้นก็จะเข้าอุปจาระสมาธิได้เลย แล้วทำวิปัสสนาเพื่อพิจารณาให้เห็นกฎไตรลักษณ์ กำลังสมาธิจะค่อนข้างดี ไม่ค่อยมีเวทนา แต่พอนั้งไปนานๆ เวทนาจะค่อนข้างรุนแรง คือปวดขามาก ยังไงก็ไม่สามารถเห็นความปวดดับไปได้เลย เป็นแบบนี้ทุกครั้ง นั้งจนขาเป็นรอยช้ำ ทำให้ทรมานมากจนไม่อยากจะทำกรรมฐานอีก ต่อมาได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี   อาการปวดขามากก็เกิดขึนอีก ดิฉันจึงได้ทำกำลังสมาธิแบบให้ตัวลอยๆ เพราะได้ผลทุกครั้งคือเวทนามักจะดับไปเลย คิดว่าเราได้เห็นกฎไตรลักษณ์ พอปวดใหม่ก็ทำใหม่อีก   แต่อยู่ๆพระคุณเจ้าที่มาคุมการปฏิบัติก็พูดขึ้นมาว่า การทำสมาธิแบบลอยๆนี้มันผิดวิธี ทำให้ดิฉันซึ่งใช้วิธีนี้มาหลายปีแล้ว อึ้งเลยว่าดิฉันมาผิดทางหรือนี่ หลังจากกลับมาบ้าน ก็ลองทำสมาธิแบบไม่ให้ลอยๆเพื่อหนีความปวด ปรากฎว่าทรมานสุดๆ เมื่อไม่สามารถพ้นจากตรงนี้ได้ จึงได้เลิกทำกรรมฐานไป 2 ปี ปรากฎว่าเมื่อไม่นานมานี้ สมาธิดิฉันเสื่อมลงมา ไม่สามารถเข้าอุปจาระได้เร็วเหมือนเมื่อก่อนแทบจะเข้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ได้กลับมาทำกรรมฐานอีกครั้ง แต่ก็ติดที่เมื่อนั้งไปนานๆ อาการปวดขามากๆก็มาอีก เกรงว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ คงเป็นอันเลิกทำไปอีก ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ขอแบบละเอียดนะคะ ดิฉันเป็นคนเข้าใจอะไรยากค่ะ

          2. สมาธิแบบที่พระคุณเจ้าบอกว่าผิด ดิฉันได้พยายามเลิกทำแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าได้เลิกจริงหรือเปล่า ดิฉันสงสัยว่าสมาธิที่อุปจาระของดิฉันนี่มันผิดหรือเปล่า อาจไม่ใช่อุปจาระก็ได้ค่ะ เพราะ ร่างกายดิฉันจะสั่นเล็กน้อยด้วยความปวด แต่ใจดิฉันไม่ปวดเลย มันแยกขาดจากกันระหว่างกายกับจิต ถ้าไม่ใช้สมาธิระดับนี้คงจะทรมานน่าดูเพราะกายเริ่มสั่นแล้ว แต่ไม่ใช่กำลังสมาธิระดับอัปนาแน่นอนเพราะยังรู้สึกถึงความเป็นไปของร่างกายได้ เพราะอัปนาที่ดิฉันเคยเข้า รู้สึกทางกายดับไปเลยค่ะ มีแต่จิตอย่างเดียว แล้วก็เห็นอารมณ์ของอัปนา 5 อย่างขอไม่อธิบายนะคะ อยากให้ท่านอาจารย์แนะนำหน่อยค่ะ ว่าทำยังไงจะพ้นตรงนี้ไปได้ซักทีค่ะ ทำกำลังสมาธิแบบใหนดี แล้วการหนีความปวดโดยการเพิ่มกำลังสมาธินี่มันทำให้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันไม่ได้ใช่มั๊ยค่ะ ตอนแรกคิดว่าถูกเพราะเห็นความดับของเวทนาค่ะ

     ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑) คำว่า “ฟลุค” หมายถึง โดยบังเอิญ คำนี้ไม่มีอยู่ในพุทธศาสนา ผู้รู้จริงในพุทธศาสนามีแต่เหตุและผลเท่านั้น

     ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงสมาธิแน่วแน่ จิตย่อมไม่รับสิ่งกระทบภายนอกใดๆมาทำให้เกิดเป็นอารมณ์ แม้กระทั่งนิวรณ์ ๕ (ความพอใจในกามคุณ ความคิดร้ายผู้อื่น ความหดหู่ซึมเซา ความฟุ้งซ่านและรำคาญ ความลังเลสงสัย) ย่อมไม่เกิดขึ้นกับจิตที่มีสมาธิแน่วแน่

     การกำจัดทุกขเวทนา (ปวดขา) ที่ถูก ต้องเอาจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ มาดูอาการปวดที่ขา ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดอาการปวดที่ขา ดำเนินไปสู่ความเป็นอนัตตา อาการปวดที่ขาย่อมหายไป แล้วปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดขึ้นแทนที่ การกำจัดทุกขเวทนาในลักษณะนี้ นักปฏิบัติที่ดำเนินได้ถูกตรงตามธรรมนิยมประพฤติ

     (๒) ผัสสะใดที่เกิดขึ้นกับจิต แล้วใช้จิตตามพิจารณาผัสสะว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตจึงจะเห็นว่า ผัสสะไม่ใช่ตัวใช่ตน (อนัตตา) จึงไม่รับเข้าปรุงอารมณ์ แล้วจิตย่อมปล่อยวาง แล้วว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะเกิดขึ้น ความตั้งมั่นของจิตในระดับนี้ จึงจะเรียกว่า อุปจารสมาธิ
  

2005.
สวัดดีค่ะ

     ดิฉันติดตาม web นี้มานานแล้วค่ะและติดตามผลงานของ ดร.สนอง มาตลอด ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญร่วมกับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการเผยเเพร่ธรรมนะค่ะ

     ทุกวันนี้เราต้องเข้มแข็งและอดทนมากขึ้นใช่ไหมค่ะเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ นรกมีจริง สวรรค์ มีจริง เพราะเราจะเชื่อในสิ่งแค่ประสาทสัมผัสกระทบได้ บางครั้งก็อยากรู้ว่าเราเกิดมาทำไม่

    แล้วการที่จะหลุดออกจากวงกลมนี้จะทำได้อย่างไร อยากมีกัลยาณมิตรที่จะคุยได้บางเพราะคุยกับคนส่วนใหญ่เขามักจะมองว่าหนูบ้าไปแล้ว แต่หนูคงมีศรัทธามากนะค่ะ หนูรู้ตัวดี แต่ว่าจะให้หนูไม่เชื่อหนูทำไม่ได้จริงๆๆ เวลาฟังธรรมหนูจะมีจิตที่สงบและมีความสุขใจมากสามารถฟังได้ทุกวัน ทำอย่างไรเราถึงจะพบกัลยาณมิตรค่ะ

  รักและเคารพค่ะ
    ศิริวรรณ

คำตอบ
     ประสงค์จะพบกัลยาณมิตรในทางธรรม ต้องนำตัวเองเข้าใกล้ พูดคุยไต่ถามกับผู้ที่ศรัทธาในการปฏิบัติธรรม เช่น ที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ที่ยุวพุทธิกสมาคม กรุงเทพฯ ที่วัดมเหยงคณ์ จังหวัดอยุธยา ที่วัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ฯลฯ แล้วความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้
  

2004.
กราบเรียน อาจารย์สนอง ที่เคารพ
 
ผมขอเล่าตั้งแต่ครั้งแรกที่หัดนั่งสมาธิเลยนะครับ ตอนแรกที่หัดก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ผมก็กำหนดลมหายใจ พุธ-โธ อันนี้โดยรวมๆแบบคิดได้ก็ทำ คิดไม่ออกก็นอนดีกว่าประมาณนี้ครับ ผมทำแบบนี้ประมาณเกือบ 2 เดือนครับแต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีการพัฒนาอะไรเกิดขึ้น
 
ต่อมาผมเริ่มรู้สึกขึ้นมาว่าอยากฟังธรรมะ อยากปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง โดยไม่มีสาเหตุครับ แต่ก่อนหน้านี้น้องชายผมก็ตัดสินใจไปบวชแบบจะไม่สิกอีกแล้ว... ส่วนแม่ก็ปฏิบัติธรรมอยู่วัดครับ อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือเปล่าครับ
 
แล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนผมก็เริ่มที่จะนั่งสมาธิอย่างจริงจัง โดยกำหนดเวลาในการปฏิบัติ คือก่อนนอน ผมจะสวดมนต์ บูชาพระรัตนตรับ , อิติปิโสฯ , และชินบัญชรครับ หลังจากนั้นผมก็จะนั่งสมาธิ ประมาณ 10-15 นาที แล้วก็แผ่เมตตา หลังจากนั้นถึงจะล้มตัวลงนอนครับ , พอตื่นเช้าผมก็จะนั่งสมาธิ 5-10 นาที ก่อนอาบน้ำไปทำงานครับ. ส่วนวิธีการของผมก็คือจะยังใช้การกำหนดรู้ลมหายใจอยู่ครับ โดยรู้ว่าลมหายใจเข้าให้กำหนดว่าพุธ ลมหายใจออกให้กำหนดว่าโธ , ส่วนในเวลาที่จิตผมฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องอื่นผมก็จะกำหนดรู้และดึงกลับมาที่ลมหายใจ เหตุที่ผมพบเจอหลังจากที่เริ่มทำแบบจริงจังมีดังนี้ครับ
 
1. ผมจำไม่ได้ว่าวันไหนนะครับ แต่ตอนที่ผมนั้งสมาธิอยู่ ในดวงตาผมมันมองเห็นเป็นแสงกลมๆ สลับสีกันไปมา ประมาณไม่กี่วินาทีหรอกครับ ซึ่งมันไม่เคยเกิดมาก่อนเลยครับผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

2. เมื่อประมาณ 5-7 วันถัดมา รู้สึก เบา เย็น ผมรู้สึกว่าตัวเบาเหมือนลอยอยู่ในความสว่าง แต่อาการลอยก็รู้ว่าเป็นท่านั่งสมาธิอยู่นะครับ แล้วก็รู้สึกได้ว่าลมหายใจมันสั้นลงครับ แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังหายใจอยู่(ประมาณ 1 นาทีครับ)

3. หลังจากนั้นมาก็ยังไม่รู้สึกอะไรแบบนี้อีกเลย แต่ก็รู้สึก ว่างบ้างบางครั้ง
 
สุดท้ายผมอยากจะให้อาจารย์แนะนำว่า ที่ผมทำมาแบบนี้ถูกต้องรึเปล่าครับ ผมควรจะแก้ไขจุดไดบ้าง , บทสวดมนต์ผมต้องเพิ่มเติมอะไรไหมครับ.   อาจารย์ช่วยแนะนำที่ปฏิบัติธรรมให้ด้วยครับ ที่อยู่ใกล้ๆเขตบางนาครับ ผมอยากจะไปปฏิบัติธรรมในวันหยุดครับ
 
ขอบคุณความเมตตาอาจารย์มากครับ
นาย สุริยา ห้วยจันทร์

คำตอบ
     ผู้ใดปฏิบัติธรรมแบบเล่นๆ ผู้นั้นย่อมมีจิตเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ

     ใครจะเป็นอะไรก็เป็นเรื่องของเขา น้องชายไปบวชและแม่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด แสดงว่าบุคคลทั้งสองใฝ่ดี ควรเอาเขาเป็นครูสอนใจของเรา

     (๑) สิ่งที่เห็นเป็นกิเลส หลอกใจไม่ให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ผู้รู้ทันจึงกำหนดจิตทุกครั้งที่เห็นแสงลักษณะกลมๆว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าการเห็นนั้นจะดับไป แล้วจิตจะมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น

     (๒) เมื่อใดมีความรู้สึกว่า จิตว่าง ต้องกำหนดว่า “ว่างหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าความรู้สึกนั้นจะดับไป แล้วจิตจะมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น

     การเพิ่มของกำลังสติ ส่งผลให้จิตมีสมาธิเพิ่มมากขึ้น และเมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ได้แล้ว ผัสสะที่เกิดขึ้นในดวงจิต ย่อมหนีไม่พ้น กาย เวทนา จิต และธรรม (สติปัฏฐาน ๔) ต้องใช้จิตตามดูผัสสะ จนดับไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา) เมื่อใดผัสสะเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะนั้นย่อมเกิดขึ้น

     การสวดมนต์ก่อนปฏิบัติธรรม เป็นการเตรียมจิตให้มีสติ บทมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย และชินบัญชรนั้นดีอยู่แล้ว จงนำมาใช้สวดต่อไป แต่ต้องเพิ่มเวลาในการปฏิบัติให้ยาวนานขึ้น เป็นหนึ่งชั่วโมงถึงหลายชั่วโมง แล้วย่อมทำให้จิตเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้เร็วยิ่งขึ้น
    

2003.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร สนอง วรอุไร

หนูมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฎิบัติธรรม ดังนี้ค่ะ

     หนูขออนุญาตเล่าประสบการที่หนูได้ประสบพบมากับตัวเองก่อนค่ะ     ปกติหนูก็ชอบสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิเป็นประจำอยู่แล้วมากบ้างน้อยบ้างตามแต่เวลาที่มีค่ะ   ยิ่งช่วงที่หนูลาออกจากงานใหม่ๆ หนูอยู่บ้านเฉยๆไม่มีอะไรทำ ก็เลยมีเวลา ปฎิบัติธรรมมากขึ้น รวมไปถึงไปปฎิบัติธรรมที่วัดของหลวงพ่อจรัญ อยู่บ่อยครั้ง และต่อมาก็ไปปฎิบัติธรรมที่วัดของหลวงพ่อสุรศักดิ์ฯ (เข้ากรรมฐาน 7 วันค่ะ) แต่เหตุการที่หนูจะเล่าเกิดขึ้นก่อนที่หนูจะไปปฎิบัติธรรมที่วัดมเหยงค์      
   หนูจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ ช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ถึง 4 ทุ่มกว่าๆ อาการเบื้องต้น คือ (ยังไม่เข้าใจการปฎิบัติมากนัก)    

    ช่วงแรก จะมีอาการฟุ้งมาก จิตคิดไปต่างๆนาๆ จนกระทั้งความคิดดับไปเอง (เกิด-ดับ เร็วมาก ) ในช่วงนั้นจิตนิ่งมาก ได้ยินเสียงภายนอก แต่ไม่กระทบถึงภายใน จิดรวมเป็นหนึ่งเดียว ในขณะนั้นหนูตามดูจิต และสิ่งที่มากระทบร่างกาย เท่านั้น ต่อมาอาการทางร่างกาย คือความปวดเจ็บที่ขาก็ตามมา (ปวดเจ็บชา มาก) จนสุดท้ายอาการนั้นก็หายไป ต่อมาหนูเห็นร่างกายขยายใหญ่พองขึ้น เอียงไป- เอียงมา หนูก็ตามดูไปเรื่อยๆว่าจะสิ้นสุดตอนไหน สุดท้ายดับไปเอง (สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดทีละอย่างดับไปก็เกิดใหม่ จะเป็นอย่างนี้ตลอดช่วงปฎิบัติ) ต่อมาหนูเห็นความคิดมีการถาม-ตอบด้วยตัวมันเอง และสามารถมองเห็นตัวเองนั่งสมาธิอยู่ ก็มีจิตถามว่า นั่งทำไม จิตอีกดวงตอบว่า นั่งสมาธิ จากนั้นหนูเห็นขาหายไปก่อน (ช่วงขณะนั้นอาการปวด เจ็บ ชา ตามร่างกายไม่มี) แล้วก็ค่อยๆเลื่อนมาเรื่อยๆจนมาสิ้นสุดที่ศีรษะจากนั้นก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก มีเพียงแต่จิตอย่างเดียวพร้อมกับความว่างเปล่า มีถามและก็มีตอบด้วยตัวมันเอง   (หนูไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย เพราะคำถามทุกคำ มีคำตอบตามมา และหนูมีสติอยู่กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภายนอก และภายในตลอดเวลาเช่นเดียวกัน) หนูอยู่อย่างนั้นชั่วครู่สภาพร่างการก็คืนกลับมาเหมือนเดิม โดยเริ่มจากศรีษะก่อนแล้วค่อยเคลื่อนลงมาเรื่อยๆจนกระทั้งถึงขา หนูรู้และเข้าใจทันทีว่า แฟนหนูใกล้จะถึงบ้านแล้ว เพราะแฟนหนูยังไม่กลับจากที่ทำงาน พอหนูรู้เช่นนั้น ร่างการก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม จากนั้นหนูก็แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลปกติ ตามที่เคยทำมา ในขณะออกจากปฎิบัติแล้วหนูก็ดีใจ และทึ่งมาก ทำให้หนูรูทันทีว่าทุกสิ่งทุกย่างเกิดขึ้นมีดับไป มีแต่ความว่างเปล่า ทำให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ    
           
    คำถามมีว่า    

       1. ที่หนูปฎิบัติมาเป็นอย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และต้องเพิ่มเติมส่วนไหน ปรับปรุงส่วนไหน เพื่อให้เกิดผลดีมากยิ่งขึ้น      
       2. หนูสามารถต่อยอดจากประสบการเดิมได้อีกหรือไม่  
       3. เรียกว่าสมาธิขั้นไหน            
                                                                          ขอขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์                                                          
                                                                             ศิริรัตน์

คำตอบ
      (๑) การปฏิบัติแล้วเกิดผลตามที่บอกเล่าไป เป็นการเกิดของสมาธิและปัญญาเห็นแจ้ง ที่ทำให้จิตปล่อยวางเป็นอิสระ แล้วเข้าสู่ความว่างที่เรียกว่า อุเบกขา ปฏิปทาที่ทำอยู่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่เร่งความเพียรพัฒนาจิต (พละ ๕) ให้มีกำลังที่สามารถต้านทานมาร ต้องทำอยู่ทุกขณะตื่น จนเห็นว่าทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตจะปล่อยวางสรรพสิ่ง แล้วว่างเป็นอุเบกขา นั่นคือ ผลที่เกิดขึ้นจากปัญญาเห็นแจ้ง

     (๒) สิ่งที่ควรต่อยอดเพื่อให้ผลของการปฏิบัติธรรมเด่นชัด และรักษาปัญญาเห็นแจ้งให้มีประสิทธิภาพอยู่เหมือนเดิม ต้องเจริญพละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) อยู่ทุกขณะตื่นที่นึกได้ ทุกขณะตื่นที่ว่างจากงานภายนอกที่ทำให้กับสังคม

     (๓) เรียกว่า จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ที่เป็นต้นเหตุให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
   

2002.
เรียน อจ.สนอง วรอุไร

ดิฉันมีปัญหาทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัวและการปฏิบัติธรรม ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1.  ลูกชายดิฉัน อายุ 11 ย่าง 12  ขวบ เดิมเป็นเด็กน่ารัก ร่าเริง มั่นใจในตัวเอง ต่อมา เมื่อปีที่แล้ว เค้าขอย้ายโรงเรียน เมื่อไปโรงเรียนใหม่ กลับเป็นโรค school refusal ไม่อยากไปโรงเรียน มีอาการกลัวโรงเรียนแบบไม่ทราบสาเหตุ จนเกิดอาการเจ็บป่วยทางกาย เพื่อไม่ต้องไปโรงเรียน   ตอนแรกคิดว่า เป็นเพราะอยู่โรงเรียนใหม่ เข้ากับกฎ ระเบียบของโรงเรียนไม่ได้   เลยย้ายกลับมาอยู่โรงเรียนเก่า ก็ยังมีอาการ   นอกจากไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว ก็เกิดความเครียด   พูดคุยกับพ่อแม่มักตวาด มีโมโห ไม่ให้พ่อแม่สอบถามเรื่องการบ้าน โรงเรียน เพราะไม่ชอบ มีอาการก้าวร้าว   เสียใจ ผิดหวังง่าย   ดิฉันและสามีไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร  เพราะไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด   ลูกก็ตอบไม่ได้    เค้าบ่นถึงกับอยากตาย บอกว่าทำยังไงก็ไม่หายหรอก เค้าเรียนหนังสือไม่ได้ ต่อไปก็เอาตัวไม่รอด อยากตาย   พ่อแม่จะได้ไม่ทุกข์เพราะเค้า เค้าไม่ยอมไปหาหมอ ดิฉันกับสามีต้องไปแทน และแอบให้ยากิน   เพื่อคลายเครียด แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ต่อมา มีคนบอกว่า จะช่วย เนื่องจากที่ลูกป่วยนี้ เพราะเจ้ากรรมนายเวรของดิฉัน แต่ก็ไม่ได้ช่วย เพราะเค้าบอกว่า เจ้ากรรมนายเวรดิฉันแรงมาก   ไปอาฆาตต่อเค้าว่า อย่ายุ่ง มิฉะนั้นจะทำให้เค้าเดือดร้อน ดิฉันไม่มีทางรู้ได้ว่า ดิฉันทำกรรมใดกับเจ้ากรรมนายเวร ดิฉัน ก็พยายามทำบุญ เข้าวัด นั่งสมาธิ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทั้งดิฉันและสามี แผ่ส่วนกุศลให้เค้าทุกวัน แต่ดิฉันก็ไม่ทราบว่า จะทำอย่างไรให้เค้ารับ และอโหสิ อดโทษให้   อยากให้อาจารย์แนะนำด้วยค่ะ

2.  เรื่องลูกนี้ ดิฉันเคยไปสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง พระอาจารย์บอกว่า ลูกดิฉันไม่มีทางหาย ต้องไปอยู่วัด 7 วัน มิฉะนั้น จะไม่หายไปตลอด แต่ดิฉันไม่สามารถพาลูกไปได้ เมื่อก่อนจะไม่สบาย เป็นเด็กชอบกราบพระ เข้าวัดทำบุญ แต่เดี๋ยวนี้ แกไม่ยอมไปวัดกับดิฉันแล้ว บอกว่าไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปด้วยซ้ำ เพราะแกคิดว่า เคยทำบุญมามาก ก็ยังมาป่วย ไม่หาย   เรื่องที่พระอาจารย์ท่านนั้น บอกเช่นนี้ ทำให้ดิฉันยิ่งคิดมาก   ทำตามคำแนะนำก็ไม่ได้ ไม่ทำก็กลัวมาก   ดิฉันควรวางใจในเรื่องนี้อย่างไรดี

3.  ถ้ามีคนมาบอก หรือ พูดในทำนองว่า เค้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เราไม่เชื่อ เราสงสัย   เราบาปหรือไม่คะ รวมถึงเวลามีการกล่าวถึงพระอาจารย์ต่างๆ หากเราสงสัยว่าสิ่งที่กล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มีจริงหรือไม่นั้น เช่น หากเราไปกราบ จะปิดอบายได้ ไปอยู่วัดจะสำเร็จเป็นโสดาบัน เป็นต้น      เราบาปหรือไม่   อยากรบกวนอาจารย์ แนะนำเรื่องการวางใจในเรื่องพวกนี้ด้วยค่ะ  

ขอขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์ล่วงหน้า

กุศลใดที่ดิฉันเจริญแล้ว และจะทำต่อไป ขอส่งผลให้อาจารย์ ครอบครัวและบริวารมีแต่ความสุข ความเจริญ   สุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ พ้นจากทุกข์ภัยทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด

จาก คนเป็นแม่

คำตอบ
     (๑) พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก ดังนั้นจึงต้องทำหน้าที่ของความเป็นครู (แม่พิมพ์) ที่ดีให้ลูกดู เมื่อใดที่ลูกเกิดความศรัทธาในความเป็นครูที่ดีแล้ว เขาย่อมนำตัวเข้าใกล้พูดคุยไต่ถาม แล้วเมื่อนั้นอาการที่บอกเล่าไปย่อมหมดไปโดยปริยาย ลักษณะของการเป็นครูที่ดี อาทิ เป็นคนดี (มีศีลคุมใจ ไม่ประพฤติผิดกฎหมาย ไม่ประพฤติไร้ธรรม) มีพรหมวิหารธรรมนำพาชีวิต มีวาจาไพเราะ มีความอดทน เว้นประพฤติอบายมุข ฯลฯ

     (๒) ๔๕ พรรษา (ปี) ที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม ท่านมิเคยสอนใครผู้ใดให้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ปัญหาจึงจะหมดไปได้ ดังนั้นหากผู้ถามปัญหายังเชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ลูกต้องแก้ปัญหาที่ตัวเอง ปัญหาจึงจะหมดไปได้

     (๓) พระพุทธโคดม สอนชาวกาลามะ แห่งเกสปุตตนิคม ในแคว้นโกศล มิให้ปลงใจเชื่อในเรื่องสิบอย่าง (กาลามสูตร) ปัญหาที่ถามไปเป็นหนึ่งข้อในสิบข้อของกาลามสูตร

     ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงอภิญญา ๕ ได้แล้ว และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงญาณ ๑๖ ได้แล้ว ย่อมวิเคราะห์ด้วยตัวเองได้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นจริงหรือเท็จ หากเป็นเรื่องจริงแล้ว เราไม่เชื่อ ย่อมให้ผลเป็นบาป ตรงกันข้าม หากเป็นเรื่องจริง แล้วเราเชื่อ ย่อมให้ผล เป็นบุญ
  

2001.
กราบสวัสดีครับอาจารย์

เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาได้ติดตามธรรมบรรยายของอาจารย์มาเสมอ และเมื่อ ปีที่แล้วได้เรียนหลักสูตรครูสมาธิตามคำแนะนำของเพื่อนๆและอาจารย์ที่สอนที่วัด และผมทำสมาธิทุกวัน จนได้ 1 ปี ในช่วงนั้นก็จะมีขบวนการพัฒนาจิตของมันเอง จนถึงวันนี้พบว่า   บางวันทำสมาธิจน นิ่ง สงบ หรือที่เรียกว่า ณาน และภายนอกหลายคนบอกว่าผมดูผ่องใสขึ้นมาก บางวันเดินเล่นอยู่ก็สัมผัสพลังงานแปลกเข้ามากระทบที่ตัวได้ และผมมีคำถามดังต่อไปนี้ครับ

1. ผมถูกมองผมแบบเหลี่ยวหลังและคนที่มองผมมีการอาการมองแบบพยายามสังเกตุว่า สิ่งที่ถูกเห็น คืออะไรหรือคือใคร ? สิ่งนี้เกิดขึ้นปกติหรือไม่ครับ ?

2. การปฎิบัติของผม ผมทำมันทุกวันและพยายามมีความเพียร จนถึงวันนี้ก็ได้ปีกว่าๆแล้ว แต่มีวันหนึ่ง นายจ้าง (ญีปุ่น) เรียกผมไปบอกว่า เลิกจ้าง และวันนี้ผมตกงาน และได้รับเงินชดเชยตามกฏหมาย (ผมไม่เข้าใจว่าผมทำผิดอะไรแต่เจ้านายบอกว่าปรับเปลียนโครงสร้างองค์กร) , ผมกลับมาอยู่บ้านได้สามเดือน แต่แปลกตรงที่ว่ามันไม่กลัวไม่วิตกใดๆ แต่ก็มีบ้าง บางวันที่หวั่นไหวกับเรื่องของอนาคต แต่การทำสมาธิก็ทำให้อารมณ์แบบนั้นหายไป คำถามคือ การปฎิบัตของผม มาถูกทางหรือไม่ครับ เพราะใจก็ดูปกติดีแต่ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้กับผมได้ ? ผมควรจะพิจารณาอย่างไรและควรจะศึกษาอะไรเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไรครับ ?

รบกวนอาจารย์โปรดให้คำแนะนำ
   แสงอาทิตย์ของวันใหม่

คำตอบ
     (๑) สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพฤติกรรมที่คนทางโลกใช้ตามองดูว่า เป็นคนผิดปกติ ตรงกันข้าม คนที่มีธรรมะอยู่ในใจ ใช้ใจมอง แล้วเห็นว่า มีพฤติกรรมเป็นคนปกติ

     (๒) ผู้ใดปรารถนาทำงานให้กับโลก แล้วไม่ทำให้ตัวเองต้องตกงาน ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (ทาน ศีล ภาวนา) จนกระทั่งคุณธรรมทั้งสามให้ผล เป็นผู้มีดวงดีได้แล้ว ย่อมมีงานทางโลกให้ทำเรื่อยไป (ไม่ตกงาน) จนกว่าลมหายใจเข้า - ออก จะหยุดเคลื่อนที่

     อนึ่ง ในทางโลก ดร. โกลแมน ได้ทำการวิจัยแล้วพบว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ใช้ปัญญาไอคิวร้อยละ ๒๐ แต่ใช้คุณธรรมมากถึงร้อยละ ๘๐
  

 

 

 

 

 

 

 

browser stats