1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 2251-2300
2300.
เรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

หนูมีคำถามของเพื่อนฝากให้ถามค่ะ

เวลาที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมมากๆ ปฏิบัติต่อเนื่องไปได้สักระยะ มักจะมีเหตุที่ทำให้ต้องหยุด เช่นป่วยหนัก หรือมีเรื่อง ทำให้ต้องหยุดปฏิบัติ

เป็นเพราะอะไรค่ะ แล้วต้องทำอย่างไรดีค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
     อาการที่บอกเล่าไป มีเหตุมาจากเจ้ากรรมนายเวรตามทวงหนี้ ดังนั้นเมื่อมีบุญเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม ผู้รู้จึงอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการเจ็บป่วยหรืออุปสรรคปัญหาจะไม่เกิดขึ้น
  

2299.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนอง  
 
ผมมีทุกข์ใจ มีความประสงค์จะให้อาจารย์ ช่วยชี้แนะแนวทางเพื่อให้พ้นจากทุกข์นี้เสียที ผมเป็นชาย ซึ่งรักเพศเดียวกัน
และขณะนี้   แอบชอบผู้ชายคนหนึ่งซึ่งตอนแรกเค้ายังไม่มีแฟนสาว และเมื่อไม่นานมานี้เอง เค้ามีแฟน   ทำให้ผมยิ่งทุกข์กว่าเดิมมากมายเมื่อรู้ว่าเค้ามีแฟน    อารมณ์หงุดหงิด   ทุกข์ใจ   ฟังธรรมะ ปฏิบัติธรรมก็แล้ว ก็ยังไม่ค่อยจะดีขึ้น คืออาจจะช่วยได้บ้าง แต่เดี่ยวก็ทุกข์อีก ต้องเจอผู้ชายคนนี้ทุกวันที่ทำงาน

อาจารย์ช่วยแนะนำผมด้วยครับ ผมไม่อยากทุกข์ทรมาน   เพราะเค้าเองไม่รู้ ไม่ได้มาทุกข์กับผมเลย ผมจะทำอย่างไรดี   กรรมอะไรที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ครับ
 
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
     เมื่อกรรมไม่ดี (ทุศีล ข้อ ๓) ที่ทำไว้แต่อดีตให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ผู้ทำกรรมต้องชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น วิธีชดใช้หนี้เวรกรรมที่ดีที่สุด คือประพฤติบุญใหญ่ให้เกิดขึ้น ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ให้เจริญอสุภกรรมฐาน ๓๐ นาทีหรือมากกว่า เมื่อทั้งสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น ผู้ใดมีศีล มีสัจจะคุมใจ ผู้นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อประพฤติตามคำชี้แนะได้แล้ว ผลสัมฤทธิ์ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
  

2298.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง ที่เคารพ

หนูมีเรื่องไม่สบายใจมาปรึกษาอาจารย์ดังนี้ค่ะ

หนูถูกคนรักเอาเปรียบและทำให้เสียใจบ่อยครั้ง หนูพยายามทำใจไม่ให้โกรธและอโหสิกรรมให้เขาทุกครั้งที่ทำให้เราโกรธและเสียใจ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินที่ขอยืมไปแต่ไม่เคยได้คืน เขาไม่เคยมาดูแลเอาใจใส่หนู มีแต่เฉพาะเวลามีเรื่องจะให้ช่วยก็จะติดต่อมาหา

เวลาหนูจะติดต่อหาเขาบ้าง เขาจะบอกว่าไม่ต้องหรอก ยุ่งในการทำงานสร้างตัวอยู่ ถ้าว่างจะติดต่อไปเอง

(ที่คบกันนี้ทางบ้านของเขายังไม่รู้เลยว่าเราคบกันอยู่ คบกันมา 7 ปีแล้วค่ะ)

หนูเหนื่อย ทุกข์ใจขอเลิกไป 4 ครั้ง เขาร้องไห้ ขอโทษขอโอกาสปรับปรุงตัว แต่แล้วไม่ถึงอาทิตย์ก็กลับเป็นอย่างเดิมอีกค่ะ

1. หนูมีความคิดว่าเพราะกรรมเราต้องอดทนให้ชดใช้กันชาตินี้

2. ถ้าเราอดทนไม่โต้ตอบ ช่วยได้เท่าที่จะช่วยได้ เพื่อวันหนึ่งเมื่อหมดกรรมเรากับเขาก็จะจากกันไปเอง หรือเขาจะเห็นความดีและปรับปรุงตัวในอนาคต

ทั้งสองความคิดนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยแนะนำค่ะ

คำตอบ
      การถูกคนอื่นเอาเปรียบ เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่า เรามีสิ่งที่คนเอาเปรียบไม่มี ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม พระองค์สอนพุทธบริษัทให้แก้ปัญหาด้วยการดับเหตุที่ตัวเอง ดังนั้นผู้ใดมีจิตไม่หลงและไม่โง่ ความเสียใจย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ จงดูตัวเองแล้วถามตัวเองว่า เรายังต้องเสียใจหรือเป็นอิสระจากความเสียใจ ก็เลือกได้ตามที่ชอบ

     (๑)  หากประสงค์จะสร้างขันติบารมีให้กล้าแข็ง ก็จงปล่อยให้เขาเบียดเบียนไปเรื่อยๆ ตรงกันข้าม หากไม่ประสงค์เช่นนั้น ต้องดับเหตุที่ตนเอง

     (๒)  เป็นความคิดเห็นที่ถูกต้องชอบธรรมครับ
  

2297.
กราบ อ. ดร. สนอง วรอุไร

     หนูปฏิบัติธรรมครั้งแรก กพ. 2552 ด้วยไม่รู้อะไรเลย ไม่เป็นอะไรเลย ในคอรส์สอนปฏิบัติแบบท่านเจ้าคุณโชดก แต่หลังจากนั้นก็เลิกปฏิบัติไป มาสนใจเริ่มทำต่อต้นปี 2553  จนปัจจุบัน ในระยะเวลา 2 ปีเข้า คอรส์ 8 ครั้ง จนพอจะปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ หนูมีสิ่งที่สงสัยมาตลอด อยากเรียนถามอ.สนอง ตั้งแต่ครั้งแรกที่นั่งสมาธิ หนูเห็นจุดสีดำเล็กๆ เท่าหัวปากกาเมจิ บางทีไม่ได้เห็นในสมาธิแต่เป็นช่วงที่จิตทรงญานอยู่ หรือเป็นช่วงที่เริ่มปิดตากำลังจะนอนหลับ เห็นบ่อยมาก มันจะผุดขึ้นมาเอง พอเห็นช่วงฝึกใหม่ก็เห็นหนอๆ มันก็ดับไป จนเดี๋ยวนี้ มันโผล่มาจิตรู้ว่าเห็นแล้วก็ไม่สนใจกับมาพองยุบเองเป็นอัตโนมัติ แต่บางช่วงมันสงสัยมาก   บางช่วงก็ไม่สงสัย ก็ดูอารมณ์สงสัยไปมันก็ดับ

    เดือนมิถุนาที่ผ่านมาเข้าปฏิบัติในสมาธิเห็นจุดสีดำนี้มีเหลี่ยมมีมุมขึ้นมาทางขอบด้านซ้ายของจุด แต่พอเห็นแล้วดับไปเร็ว ไม่ได้ดูไม่ได้สังเกตต่อ พอหลังจากนั้นต่อมา มันเห็นเป็นจุดดำกลมเหมือนเดิมอีกแล้ว เหลี่ยมมุมหายไปหนูอยากเพ่งดูมากและก็สงสัยอยู่ แต่พระอาจารย์ก็ไม่ให้มองดูอะไรๆเลย แล้วมันคืออะไร

     หลังกลับออกมาด้วยอะไรหลายอย่างหนูก็ไม่ได้เดินจงกรม นั่งสมาธิเลย แต่พยายามไม่ทิ้งปัจจุบัน เว้นการปฏิบัติในรูปแบบไป เดือนกว่า จนเหมือนเริ่มจะหลุด จึงพยายามแบ่งเวลามาเดิน นั่ง ก็กลับมาเดิน นั่งเองที่บ้าน มันก็จะเห็นจุดดำนี่มาบ่อยๆ อีกแล้วซึ่งเวลาเห็นสิ่งอื่นสิ่งใดใดก็ตามมันจะไม่ซำ้กันเลย ไม่เคยซ้ำกันแล้วหนูก็ไม่ได้สนใจ แต่ไอจุดดำนี่มันเกิดซ้ำเกิดแล้วเกิดอีกมาตลอดการปฏิบัติธรรม สนใจอยากรู้มาก หนูก็รู้อยู่ว่าสนใจแต่ละไม่ได้ จะมีบ้างบางครั้งหนูอยากดู แล้วเผลอเพิ่งไปนิดหน่อย มันก็จะเห็นเป็นดำๆกลมๆบางครั้งเปลี่ยนไปบ้างเป็นดำเข้ม ดำอ่อน มันคืออะไรค่ะ

         กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     
มันคือกิเลสมารมารบกวนจิต ไม่ให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ผู้รู้กำจัดมารที่เกิดขึ้น ด้วยการกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าการเห็นนั้นจะดับไป คนที่ไม่เชื่อผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ นอกจากไม่ทำตามแล้ว ยังอยากรู้ว่าสิ่งที่ถูกเห็นนั้นเป็นอะไร? เขาเรียกว่ามีจิตขาดสติ จึงทำตัวเป็นน้ำชาล้นถ้วย ที่ไม่เชื่อคำแนะนำของผู้มีประสบการณ์ ผลที่ได้รับคือ สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงมรรคผลของธรรมที่ปฏิบัติ
  

2296.
สวัสดีครับ อ. สนอง ผมมีคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมดังนี้ครับ
 
1. ปัจจุบันนี้ผมปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านด้วยอิริยาบถ เดิน และ นั่ง เป็นส่วนใหญ่   ในการเดินจงกรมพบว่ามีปัญหาตอนเคลื่อนเท้าไปด้านหน้ากับตอนเคลื่อนเท้าแตะลงพื้น 2 จังหวะนี้เท้าจะลอยอยู่ในอากาศ ทำให้รู้สึกว่าทำความรู้สึกได้ไม่ชัดเหมือนตอนยกส้นเท้าหรือตอนเท้าแตะพื้นแล้ว (เพราะจะรู้สึกชัดกับความแข็งที่เท้าแตะอยู่กับพื้น)

2.  ปัญหาที่พบอีกอย่างหนึ่ง คือ เมื่อปฏิบัติอยู่ในอิริยาบถเดิน หากลมที่เข้าออกร่างกายแรง จิตก็จะเคลื่อนจากเท้าไปจับอยู่ที่ลมที่เข้าออกทางจมูกแทน

3. ในอิริยาบถเดินหรือนั่ง (ในอิริยาบทนั่งกำหนดบริกรรม พุท-โธ ไปพร้อมกับลมหายใจเข้า-ออก)   หากมีอาการคันเกิดขึ้นตามร่างกาย   เช่น คันในรูหู หรือ บนใบหน้า   ก็จะกำหนดอาการคันนั้น โดยกำหนดว่า คันหนอๆๆ หรือ รู้หนอๆๆ ไปเรื่อยๆ   ปัญหาที่พบคือ เมื่ออาการคันนั้นลดลงเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่ง จะเริ่มไม่แน่ใจว่าอาการคันนั้นหายไปหมดจริงหรือยัง บางครั้งก็จะพยายามเพ่งดูว่าหายคันหรือยัง บางครั้งก็จะทดลองเอามือไปเกาดูเพราะคิดจะเปรียบเทียบดูว่าอาการปัจจุบันนั้นกับหลังเกานั้นเหมือนกันหรือไม่
 
อยากขอความเมตตาอาจารย์เพื่อแนะนำว่าควรจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรครับ
 
ขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามครับ
 
ผมกำลังจะไปปฏิบัติธรรมคอร์ส 9 วันที่วัดมเหยงคณ์ ต. หันตรา จ. พระนครศรีอยุธยา จึงอยากขอขมาอาจารย์ที่ล่วงเกินอาจารย์ไปในทุกภพทุกกาล อันเกิดจากกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม   ขอให้อาจารย์อโหสิในกรรมที่ล่วงเกินนั้นด้วยครับ

คำตอบ
     (๑)  จิตที่มีกำลังของสติอ่อน จึงไม่สามารถระลึกได้ทันขณะเคลื่อนเท้าไปข้างหน้า และขณะที่เท้าลดระดับลงก่อนแตะพื้น วิธีแก้ไขคือ ต้องเคลื่อนเท้าไปข้างหน้าให้ช้าที่สุด จนสติสามารถระลึกได้ทัน และขณะที่เท้าลดระดับลงก่อนที่จะสัมผัสกับพื้น ต้องลดระดับลงให้ช้าที่สุด จนสติสามารถระลึกได้ทัน ผู้มีสัจจะและทำได้ถูกตรงตามที่ชี้แนะ ปัญหาย่อมหมดไปเป็นธรรมดา

     (๒)  เป็นธรรมชาติของจิตที่ไปรับสัมผัสอิริยาบถใหญ่ (หายใจแรง) มาปรุงอารมณ์ วิธีแก้ปัญหาคือ ขณะกำลังเดินแล้วจิตเคลื่อนไประลึกอยู่กับลมหายใจ ให้กำหนดว่า “รู้หนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อย จนกว่าการระลึกรู้ลมหายใจจะดับไป แล้วค่อยเอาจิตกลับมาระลึกอยู่กับเท้าที่ย่างก้าว

     (๓)  การเพ่งดูอาการคันว่าหายไปจริงหรือยัง นั่นแสดงว่าจิตขาดสติ จิตสังขารจึงเกิดขึ้น ผู้รู้จริงแท้และมีสัจจะ จะไม่ปล่อยให้จิตสังขารเกิดขึ้น แต่จะกำหนดว่า “คันหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ (ไม่เลิกคันไม่เลิกกำหนด)

       สุดท้าย อโหสิให้แล้ว
  

2295.
เรียน อาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพ
 
ดิฉันมีเรื่องรบกวนสอบถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ ดิฉันเพิ่งเริ่มปฏิบัตินั่งสมาธิเมื่อปีที่แล้ว ( 2554) ซึ่งก็นั่งได้เพียง 10-15 นาที และได้หยุดปฎิบัติไปหนึ่งปี เพิ่งจะกลับมาเริ่มปฏิบัติใหม่เมื่อไม่นานมานี้ โดยการไปบวชเนกขัมมะที่วัด ซึ่งการนั่งสมาธิคราวนี้นั่งได้นานขึ้น คือประมาณ 30-50 นาที แต่เมื่อนั่งได้ซักระยะหนึ่งดิฉันจะมีอาการเหมือนหัวหมุน ซึ่งหมุนแรงมาก จนรู้สึกเวียนหัวเหมือนกลัวว่าตัวเราจะล้มลงให้ได้ และขณะนั้นก็ออกจากสมาธิไม่ได้ เพราะกลัวว่าอาการเวียนหัวจะติดออกมา ต้องนั่งต่อไปจนอาการดีขึ้นจึงออกจากสมาธิได้แต่รู้สึกทรมานมาก และระหว่างที่เวียนหัวในสมาธินั้นมือจะเย็นมากและตัวผิวกายเหมือนจะรู้สึกว่าหนาวยะเยือกเย็นซ่า เหมือนจะอาการขนลุกแต่ก็ไม่ใช่ แต่จะเย็นที่ตัวซ่าวาบ และดิฉันจะรู้สึกแบบนี้บ่อยมากเมื่อนั่งนานได้ซักระยะหนึ่ง พอเริ่มอาการมือเย็นก็ต้องออกจากสมาธิทุกครั้งเพราะกลัวว่าจะเกิดอาการหัวหมุนตามมาอีก จึงเรียนถามอาจารย์ว่าอาการที่เกิดขึ้นคืออะไร และจะแก้ไขอย่างไรเพื่อให้การนั่งสมาธิพัฒนาต่อไปได้
 
ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างยิ่งค่ะ
สุรีย์ฉาย

คำตอบ
      การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งดีที่ผู้รู้จริงนิยมประพฤติ แต่ผู้รู้จริงไม่นิยมทำๆหยุดๆ เพราะนั่นคือเหตุให้เกิดความประมาท หากผู้ถามปัญหากลับมาปฏิบัติธรรมใหม่ แล้วเกิดอาการตามที่บอกเล่าไป นั่นเป็นตัวชี้ให้เห็นความขาดสติของจิต จึงไม่สามารถต้านอำนาจของมารได้

     วิธีแก้ไขที่ถูกตรงคือ ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย หลังสวดมนต์ให้เจริญอานาปานสติอย่างน้อย ๓๐ นาทีหรือมากกว่า เมื่อทั้งสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้ใดมีสัจจะประพฤติได้ถูกตรงตามนี้ทุกวันก่อนนอน ผู้นั้นจึงจะผ่านพ้นปัญหาตามที่บอกเล่าไปได้
   

2294.
เรียนถาม   ท่านอาจารย์ ดร.สนอง   วรอุไร ที่เคารพครับ
  
1 ผมอยากทราบว่าเด็กที่เป็นออทิสทิก จะสามารถบวชเณรได้ไหมครับ
2 การที่ลูกชายผมเป็นโรคนี้ เกิดจากกรรมของพ่อแม่รึเปล่าครับ
3 การที่ผมจะให้ลูกชายบวชเณร ช่วงปิดเทอมนี้จะสามารถช่วยให้กรรมลดลงได้ไหมครับ
4 ผมอยากทราบว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ตัวผม กับลูกชายให้มีชีวิตที่ดีขึ้นครับ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
ณัฐพงษ์

คำตอบ
      (๑)  ต้องขออภัยไม่ทราบว่าพระวินัยบัญญัติไว้เช่นไร แต่หากร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปรกติ อุปสรรคและปัญหาในการปฏิบัติธรรมย่อมเกิดขึ้น คือไม่สามารถเข้าถึงอริยธรรมได้

     (๒)  ทั้งพ่อแม่และลูก เคยประพฤติอกุศลกรรมร่วมกันมา เรื่องนี้จึงได้เกิดขึ้นเป็นอกุศลวิบากที่ต้องเสวย

     (๓)  แม้จะบวชเป็นสามเณร แต่ไม่สามารถใช้ร่างกายสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น โอกาสที่จะอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรจึงทำได้ยาก

     (๔)  เมื่อใดที่บุคคลได้กระทำกรรมไม่ดีไว้ก่อน เมื่ออกุศลวิบากเกิดขึ้นแล้ว ผู้ทำกรรมไม่ดีต้องเป็นผู้รับและชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น ดังนั้นผู้ร่วมทำกรรมควรสร้างบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) แล้วอุทิศผลบุญใหญ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น แล้วอกุศลวิบากจึงจะมีโอกาหมดไปได้
   

2293.
สวัสดีครับ ดร.สนอง

1. รบกวนอาจารย์แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมหรือวัดที่มีครูบาอาจารย์และมีการปฏิบัติที่ถูกตรงตามธรรม ด้วยครับ ผมอยู่กรุงเทพครับ (วัดต่างจังหวัดก็ได้ครับที่เน้นการปฏิบัติและมีครูบาอาจารย์คอยสั่งสอน)

2. ผมตั้งจิตอฐิฐานว่าชาตินี้ขอบรรลุพระโสดาบันเพื่อปิดอบายภูมิ ผมควรไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมระยะสั้นและกลับมาปฏิบัติต่อที่บ้าน หรือผมควรบวชพระดีครับ (ถ้าบวช ผมตั้งใจจะบวชประมาณ 3 เดือนครับ)

ผมเคยบวชพระแล้วครั้งนึง ผมบวชได้ 15 วัน แต่ครั้งนี้ถ้าบวชผมตั้งใจจะบวชประมาณ 3 เดือน เพื่อให้ได้ดวงตาเห็นธรรม และพัฒนาจิตจนบรรลุเป็นพระโสดาบัน รบกวนอาจารย์สนอง แนะนำผมด้วยครับ หากผมเคยล่วงเกินอาจารย์สนอง ผมขออโหสิกรรมด้วยครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
      (๑)  แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมทับทิมแดง (หลังตลาดไท) จังหวัดปทุมธานี

     (๒)  จะบวชเป็นภิกษุแล้วปฏิบัติธรรม หรือจะไปปฏิบัติธรรมระยะสั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับทำเหตุปัจจัยให้ลงตัว หากเหตุปัจจัยลงตัวแล้ว การเป็นพระโสดาบันจึงจะเกิดขึ้น

     เหตุก็คือนำตัวเองไปปฏิบัติกรรมฐาน หากปัจจัย (บุญบารมี) สั่งสมมาไม่มากนัก หรือคือมีปัจจัยไม่มาก ต้องประพฤติปฏิบัติธรรมให้มากและยาวนานอย่างถูกตรงตามธรรม เมื่อเหตุที่ทำไปบรรจบกับปัจจัยที่สั่งสมมาแต่อดีต จิตย่อมมีโอกาสเข้าถึงอริยธรรมเป็นพระโสดาบันได้ สุดท้ายอโหสิให้แล้วครับ
   

2292.
เรียน อาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ดิฉันเคยเขียนมาเรียนถามอาจารย์ไป 3 ครั้งแล้วค่ะ ก็ปฎับัติเองอยู่ต่อเนื่อง เนื่องจากยังต้องทำงาน รับผิดชอบครอบครัว เลี้ยงดูพ่อแม่อยู่ จึงไม่สามารถลางานไปปฏิบัติธรรมได้บ่อยๆ ได้ฝึกเองโดยการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก โดยใช้องค์ภาวนาว่า พุทโธ

มีเรื่องรบกวนเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. ดิฉันได้ฝึกภาวนาพุทโธไปตลอด โดยไม่ได้ทำแค่เฉพาะนั่งสมาธิเท่านั้น แต่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ไม่ว่าจะเดิน นั่ง กิน นอน ทำงาน ก็ตามดูลมหายใจเข้า-ออก จนหลังๆ คำภาวนาพุทโธหายไป มีแต่ความรู้สึกว่า ร่างกายหายใจ เข้า-ออก มันนิ่งๆ หัวว่างๆ ไม่มีความคิด ตั้งค่าหรือปรุงแต่ง อย่างนี้เรียกว่าทรงอารมณ์ เอกกัคตารมณ์ หรือเปล่าค่ะ

2. พอเกิดความคิดปุ๊บถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การงานที่ต้องทำในปัจจุบัน พอรู้ว่าคิด ดิฉันจะตามดูลมหายใจเข้า-ออกไปทันทีค่ะ หายใจเข้า-ออก ยาวๆ สัก 1 ชุด ความคิดที่ปรุงแต่ง ความคิดฟุ้งซ่าน มันหายไปเลยค่ะ ความคิดที่ผุดขึ้นนั้นหายไป อยากจะคิดก็คิดไม่ออกค่ะ ว่าสักครู่เราคิดอะไร กลายเป็นจิตจดจ่อกับปัจจุบันขณะแทน อย่างนี้เป็นผลมากจากการ ฝึกสมาธิหรือเปล่าค่ะ

3. ตามดูลมหายใจต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เหมือนเวลานั่งสมาธิ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็ภาวนาพุทโธ จนจิตมันสงบ คำว่าพุทโธหายไป ดิฉันต้องกำหนดพุทโธให้อยู่ตลอดไปไหมค่ะ หากว่าคำว่าพุทโธหายไป

4. อยากทราบว่า ปฏิบัติแบบนี้ไปเรื่อยๆ แบบนี้เรียกว่า สมถะ ใช่ไหมค่ะ แล้วจะทำวิปัสสนาได้อย่างไรค่ะ ที่แบบไม่ใช่ว่า เราคิดไปเอง เช่นการพิจารณาไตรลักษณ์ หากจิตยอมรับได้จริงว่า ไม่มีอะไรแน่นอน จิตเค้าจะปล่อยวางได้เองใช่ไหมค่ะ ถ้าแค่คิดว่าไตรลักษณ์จิตจะไม่วาง ดิฉันเข้าใจถูกต้องไหมค่ะ

5. ขณะนั่งสมาธิ พอเกิดเวทนาในขาที่ปวด ดิฉันก็อดทนไปจนภาวนาพุทโธไปจนความปวดขานั้นหายไปเอง เป็นความรู้สึกสบายเกิดขึ้นแทน พอนั่งอีกครั้งพอปวดก็อดทนไปจนมีความรู้สึกว่าร่างกายหายไป ไม่มีร่างกายแต่พอออกจากสมาธิ ความรู้สึกปวดขาเพราะนั่งนานกลับมาทันทีค่ะ ต้องขยับขาให้เลือดลมเดิน ไม่ทราบว่า เป็นการวิปัสสนาให้เห็นไตรลักษณ์หรือเปล่าค่ะ

6. บางทีนั่งสมาธิ ดิฉันมีความรู้สึกว่าร่างกายหนักมาก เหมือนมีอะไรหนักๆ มาทับบ่า แขน ตามดูตามรู้เฉยๆ ค่ะ พอออกจากสมาธิอาการดังกล่าวหายไป นำมาพิจารณาอย่างไรดีค่ะ

ขอขอบพระคุณค่ะ
    กานต์พิชชา

คำตอบ
      (๑)  คำว่า “เอกัคคตา” หมายถึง สภาวธรรมในดวงจิตมีอารมณ์เพียงหนึ่งเดียว หรือเป็นสภาวธรรมที่จิตมีความสงบประณีต ไม่มีสิ่งกระทบภายนอกใดๆมาทำให้จิตรับเข้าปรุงอารมณ์ได้ แม้แต่นิวรณ์ ๕ ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะที่จิตทรงอยู่ในเอกัคคตารมณ์ ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมจึงรู้ด้วยใจตัวเอง รู้ เห็น เข้าใจด้วยตัวเองเพราะเป็นปัจจัตตัง

     (๒)  ใช่ครับ เป็นผลที่เกิดจากจิตของผู้ถามปัญหา มีสติแล้วสมาธิย่อมเกิดตามมาเป็นอัตโนมัติ

      (๓)  ทำได้ครับ เมื่อคำภาวนาพุทโธหายไป ให้เอาจิตตามดูพุทโธที่หายไปว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดการหายไปของพุทโธ ดำเนินไปสู่ความเป็นอนัตตา การหายไปของพุทโธ จึงมิใช่ตัวใช่ตน แล้วพุทโธจะปรากฏขึ้นใหม่ ปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่หายไปก็จะเกิดขึ้น วิธีการใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ตามดูในลักษณะนี้ ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมนิยมประพฤติ

     (๔)  คำตอบในข้อ (๓) นั้นเป็นการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แต่เมื่อพุทโธหายไปแล้วยังกำหนดพุทโธอยู่ โมหะย่อมเกิดขึ้นผู้บริกรรม การประพฤติเช่นนั้นจึงมิใช่วิปัสสนาภาวนา อนึ่ง คำภาวนาพุทโธ แท้จริงแล้วเป็นคำสมมุติ เมื่อคำนี้ไม่ปรากฏในดวงจิต (อนัตตา) ปัญญาเห็นแจ้งในคำว่าพุทโธไม่มีอยู่จริง จิตจึงจะปล่อยวางและว่างเป็นอุเบกขาได้เองโดยอัตโนมัติ

     (๕)  อาการปวดเมื่อเกิดขึ้นที่ขา แล้วแก้ปัญหาตามที่บอกเล่าไป ถือว่าเป็นความเห็นผิด หากผู้ถามปัญหามีความเห็นถูกตรงตามธรรม ต้องเอาจิตตามดูอาการปวดขาว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการปวดขาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา อาการปวดจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เป็นผู้มีความเห็นถูกตามธรรม ดังนั้นผู้รู้จริงแท้จึงมิได้แก้ปัญหาตามที่บอกเล่าไป

     (๖)  ต้องนำอาการหนักที่เกิดขึ้นมาพิจารณาตามข้อ (๕)
  

2291.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร   ที่เคารพ

ดิฉันมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติของตัวเองจึงอยากสอบถามท่านอาจารย์  

     ขณะที่นั่งสมาธิดิฉันใช้การดูความรู้สึกพอมีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นหรือมีความคิดใดๆ ก็จะกลับมารู้ลม พอทำไปสักพักเหมือนจิตมันจะรวม มันจะนิ่งๆ แต่ดิฉันมีสติอยู่นะค่ะ คือรู้สึกตัวอยู่ไม่หลับ ก็ดูความนิ่งๆ นั้นจนเหมือนกับจิตมันถอนตัวขึ้นมา ดิฉันก็จะออกจากสมาธิแล้วนอนเลย  หรือบางครั้งจิตขึ้นมา แล้วลงไปใหม่ ประมาณ 2-3 ครั้ง ที่ดิฉันอยากถามคือ เมื่อจิตถอนตัวขึ้นมาแล้วดิฉันควรทำอย่างไงต่อ ทุกวันนี้ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร ก็นอนหลับไปเลยอยากจะขอคำแนะนำค่ะ

     กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
      สติเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับจิต ผู้มีสติคุมใจย่อมมีอารมณ์ลดน้อยลง สิ่งที่ผู้ถามปัญหาบอกไปว่า “ดิฉันมีสติอยู่นะคะ” จึงต้องหันกลับมาดูตัวเอง แล้วถามตัวเองว่า มีอารมณ์ลดลงไหม และยิ่งมีความคิดใดๆเกิดขึ้นแล้ว เอาจิตกลับมารู้ลม (หนีปัญหา) มิใช่เป็นการแก้ปัญหาด้วยการดับที่ต้นเหตุตามที่พระพุทธโคดมตรัสไว้ ผู้รู้จริงแท้ไม่หนีปัญหา แต่จะอยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาปัญหา (ความคิด) ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความคิดเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ความคิดจึงไม่ใช่ตัวใช่ตน แล้วปัญหาจึงจะดับลงได้ ดังนั้นผู้ถามปัญหาต้องปฏิบัติธรรมให้ถูกตรงตามธรรม แล้วมรรคผลแห่งธรรมที่ปฏิบัติ จึงจะเกิดขึ้น
  

2290.
กราบเรียนอาจารย์ที่นับถือ

เนื่องจากดิฉันปฏิบัติธรรม ให้ทาน รักษาศีล นั่งภาวนา มาตลอดเกือบ 30 ปีก็ก้าวหน้าไม่มากนัก แต่ความสงบมีมากกว่าเดิมสามารถใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ร่วมงานได้ดี โดยไม่ทำความเดือดร้อนให้กับตนเอง และผู้อื่นเท่าที่ทำได้ และลดลงไปมาก แต่มีปัญหาคือขณะนี้ได้ยินเสียงคลื่นในสมองอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้ใส่ใจอะไรก็อยู่กับมันได้ ยกเว้นเวลาปฏิบัติธรรมนั่งภาวนาคลื่นนี้จะรบกวน  เวลานั่งภาวนาต้องนั่งฟังธรรมะจากการเทศของพ่อแม่ครูบาอาจารย์จากเทป

อยากทราบวิธีการไม่ให้คลื่นดังกล่าวมารบกวน จะทำอย่างไร รองมาหลายวิธีก็ไม่สำเร็จ ก็เลยไม่สนใจ
คลื่นมันอยากมาก็ฟังมันไปเรื่อย ๆไม่หงุดหงิด แต่ไม่ก้าวหน้าเรื่องการปฏิบัติ

ขอบพระคุณค่ะ
ปรรณปวรรณ ปิ่นประดับ

คำตอบ
     ผู้ถามปัญหานั่งภาวนาแล้วมีคลื่นในสมองรบกวน (กิเลสมาร) นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า จิตมีกำลังของสติอ่อน จึงไม่สามารถต้านอำนาจของกิเลสมารได้ ขณะนั่งภาวนายังต้องนั่งฟังเทปของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ยิ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทาง ทั้งนี้จิตจะมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้นได้ ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งกระทบที่เป็นปัจจุบันขณะเพียงอย่างเดียว ดังนั้นผู้ตอบปัญหาจึงแนะนำว่า หากประสงค์จะพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องเอาศีลลงคุมให้ถึงใจ เร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรมให้มาก (๒๐ ชั่วโมงต่อวัน?) ทำทุกครั้งที่นึกได้ ทำทุกครั้งที่ว่างจากงาน หลังปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง แล้วปัญหาดังกล่าวจึงจะมีโอกาสหมดไปได้
  

2289.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

ขอขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์ได้นำธรรมมาสู่จิตใจของหนู และครอบครัวนะคะ หนูติดตามสื่อธรรมะของท่านอาจารย์มานานแล้ว และเวลาที่จิตใจไม่สบาย ก็คลายทุกข์ โดยอาศัยธรรมะที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดไว้เสมอ วันนี้หนูมีคำถาม 2 ข้อ จะขอความเมตตาจากท่านอาจารย์นะคะ

1) หนูระลึกถึงธรรมบรรยายของท่านอาจารย์เรื่อง "ตายแล้วฟื้นตื่นมาเล่า" ว่ามีผู้รอดจากนรก เพียงการเปล่งวาจาว่าจะงดเหล้าตลอดพรรษา หนูก็เลยเกิดแรงบันดาลใจชวนคุณแม่กับเพื่อนๆ   ตั้งสัจจะนั่งฌานสมาธิทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ชม.ตลอดพรรษาเช่นกัน อธิษฐานให้สำเร็จพระโสดาบันในชาตินี้ ปรากฏว่าพอเกือบจะครบเดือน หนูป่วยเป็นโรคสตรี ปวดท้องน้อยทรมานจนนั่งก็ไม่ได้ จึงอาศัยการนอนปฏิบัติเอา แต่ผลคือง่วงหลับ และเจ็บนิ้วเท้ามาก จึงหยุดปฏิบัติตอนยังไม่ครบเวลา คิดว่าตอนเช้าอาจจะมีอาการทุเลาลง จะได้นั่งปฏิบัติต่อตอนเช้ามืดให้ครบเวลา ชดเชยของคืนนี้ แต่ตอนเช้าหนูตื่นสาย สัจจะนั้นจึงขาดลง หนูก็อธิษฐานตั้งสัจจะใหม่ทันที และพยายามเพิ่มเวลาในการนั่งให้มากขึ้นในแต่ละครั้ง แต่ตอนนี้หนูก็ยังขจัดความผิดหวังในตัวเองไม่ได้ ขอให้ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะด้วยเถิดค่ะ ว่าหนูควรทำความเห็นอย่างไรจึงจะเลิกเจ็บใจตัวเองได้คะ ?

2) ตอนนี้หนูทำฌานได้ดีขึ้น ใช้วิธีเข้าและออกจากฌานตามลำดับขั้นของฌาน หนูเคยได้ยินที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า หากจะให้มีตาทิพย์คือ ให้เข้าฌานและออกจากฌานก็จะเกิดตาทิพย์พิสูจน์ธรรมะได้ ขอให้ท่านอาจารย์โปรดแนะนำวิธีออกจากฌานแล้วเกิดตาทิพย์กับหนูด้วยเถิด

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑)  ต้องประพฤติตนให้มีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น พัฒนาใจให้มีสัจจะ ยอมรับความจริงในเรื่องกฎแห่งกรรม ผลของกรรมมีจริง ผู้ทำกรรมไม่ดีไว้เป็นเหตุ เมื่อผลของกรรมเกิดขึ้น ผู้ทำกรรมไม่ดีต้องยอมรับ และชดใช้หนี้เวรกรรมไปจนกว่าจะหมดสิ้น ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ปฏิบัติดังนี้เรื่อยไป จนกว่าอกุศลวิบากจะหมดไป

     (๒)  การพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้เข้าถึงความทรงฌาน มิได้เป็นเหตุนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ แต่เป็นเหตุให้เกิดความรู้สูงสุด (ญาณ) ที่ยังข้องเกี่ยวอยู่กับวัฏฏะ ผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่ในระดับฌาน สามารถรู้ เห็น เข้าใจ ด้วยตัวเอง โดยมีตัวชี้วัดว่า ในขณะจิตทรงอยู่ในฌาน จิตจะไม่รับสิ่งกระทบภายนอกอื่นใด เข้าปรุงอารมณ์ แม้แต่อารมณ์ที่เป็นนิวรณ์ ๕ (ความพอใจในกามคุณ คิดร้ายผู้อื่น ความหดหู่ซึมเซา ความฟุ้งซ๋านและรำคาญ ความสงสัย) ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อนำจิตออกจากความทรงฌาน ความรู้สูงสุดที่ยังข้องเกี่ยวอยู่กับวัฏฏะที่เรียกว่า อภิญญา ๕ (ความรู้ที่ใช้แสดงฤทธิ์ หูทิพย์ รู้ใจคนอื่น รู้กำเนิดหนหลัง ตาทิพย์) มีจริง เป็นจริง และเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ กับผู้ที่พัฒนาจิตให้เป็นสมาธิระดับฌานได้
  

2288.
กราบเรียนถามท่าน อ.ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

กระผมมีปัญหาอยากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ครับ   
1. ต้องทำบุญอย่างไร และอธิษฐานเช่นไรถึงจะได้พบคู่ครองที่ดี หากกระผมยังปารถนาที่จะมีคู่ครอง    

2. ที่ผ่านมาชีวิตคู่ไม่ราบรื่น ต้องเลิกรากันไปทำให้ทุกข์มากครับ เป็นมาหลายครังแล้วจะมีวิธีทำบุญอย่างไรครับชีวิตคู่จะได้ราบรื่น   

3. เวลาทำบุญผมได้อธิษฐานว่า ขอให้ผมได้พบ และได้อยู่กับคู่ครองที่ดี ที่เป้นคู่สร้างคู่สม และให้ได้มาร่วมกันสร้างกุศล เพื่อก้าวสู่พระนิพพานด้วยกัน อยากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การอธิษฐานแบบนี้ถูกต้องหรือไม่อย่างไรครับ หรือควรอธิษฐานแบบไหนครับ   ปัจจุบันนี้บางโอกาสก็จะทำบุญ ทำทาน และนั่งสมาธิ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เป็นอุปสรรค ขัดขวางชีวิตคู่       

สุดท้ายนี้กระผมขอกราบขอให้ท่านอาจารย์อโหสิกรรมอดโทษให้กระผมด้วย ในสิ่งทีประมาทพลาดพลั้ง คิดล่วงเกินหรือจาบจ้วงต่อท่านอาจารย์ ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ครับ   

คำตอบ
     (๑)  ต้องทำเหตุสี่อย่างให้ถูกตรงคือ สร้างมหาทาน อธิษฐานพบคู่ครอง ประพฤติตนเป็นผู้มีเมตตา และมีชีวิตเป็นผู้ให้สิ่งดีงามกับผู้อื่น

     (๒)  ประสงค์มีชีวิตคู่ที่ราบรื่น ต้องปรับตัวเองและคู่ครองให้มีคุณธรรมสี่ข้อเสมอกัน คือ
       ก.   มีความเชื่อเสมอกัน (สมสัทธา)
       ข.  มีศีลเสมอกัน (สมสีคา)
       ค.  มีการสละบริจาคเสมอกัน (สมจาคา)
       ง.  มีปัญญาเสมอกัน (สมปัญญา)

     (๓)  เป็นความตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ที่สวนทางกัน บุคคลที่จะเข้าถึงนิพพานได้ ต้องมีจิตเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจ แต่ความปรารถนามีคู่ครอง เป็นการเอากิเลสเข้ามาทับถมใจ ดังนั้นความปรารถนาของผู้ถามปัญหา จึงไม่สามารถทำให้สำเร็จลงได้

     หากผู้ถามปัญหาปรารถนานำพาชีวิตเข้าสู่นิพพาน ต้องทำตนให้ได้เหมือนกับปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) กับ ภัทพา กาปิลานี ที่ทั้งสองคนมีจิตเป็นอิสระจากกาม และได้ยกสมบัติให้กับบริวาร และต่างคนต่างไปบวชเป็นภิกษุและภิกษุรีอยู่ในพุทธศาสนา ปฏิบัติจนมีจิตบรรลุอรหัตตผลด้วยกันทั้งคู่
   

2287.
เรียนถามอาจารย์สนอง ทีเคารพค่ะ
 
   ปัจุบันดิฉันอายุ 39 ปี และกำลังตกงาน ซึ่งการตกงานครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 ค่ะ สาเหตุการออกจากงานส่วนใหญ่เกิดจากหัวหน้างานบีบออกจากงาน
    ดิฉันมีความตั้งใจที่จะไปปฏิบัติกรรมฐานเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อขอเรื่องหน้าที่การงาน ดิฉันขอคำแนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรม  และจะมีวิธีที่จะทำให้ดิฉันได้งานทำที่มีความมั่นคงได้อย่างไรค่ะ
 
    ขอกราบขอบพระคุณ อ.สนอง วรอุไร มา ณ.ที่นี้ด้วย

คำตอบ
      ประสงค์เป็นผู้มีความสำเร็จในชีวิต ต้องพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพดังนี้
     (๑)  พัฒนาตนให้มีความรู้ทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) ให้สูงกว่าคนอื่น

     (๒)  พัฒนาตนให้มีคุณธรรมมากกว่าคนอื่น ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ จริยธรรมลูก จริยธรรมพ่อแม่ จริยธรรมผู้ทำงาน จริยธรรมพลเมือง ฯลฯ

     (๓)  พัฒนาตนให้เป็นผู้มีดวงดี ด้วยการปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา จนคุณธรรมดังกล่าวให้ผลเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ

     ผู้ใดประพฤติเหตุได้ถูกตรงตามที่เสนอแนะนี้ ผู้นั้นมีงานทำไม่รู้จบ ส่วนสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เหมาะกับสตรีเพศ คือ สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หรือที่ วัดมเหยงคณ์ อำเภอหันตรา จังหวัดอยุธยา
  

2286.
เรียนถามอาจารย์สนอง ทีเคารพค่ะ

พี่สาวของดิฉัน เดิมเป็นคนที่หากเชื่ออะไรแล้วจะเชื่ออย่างมาก ชอบนั่งสมาธิ นั่งครั้งละนานๆ   ศึกษาพุธศาสน   แนะนำให้คนอื่นสวดมนต์ แต่ไม่มีความสุขกับที่ทำงานโดยเล่าว่าเพื่อนร่วมงานไม่ดี และมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานอยู่มาก  ไม่นานมานี้น้องๆที่เคยอยู่ร่วมกันในบ้านย้ายออกมาอยู่หอกันหมด พี่สาวอยู่บ้านคนเดียวผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ กลับบ้านพบว่าพี่สาวมีอาการแปลกไปมาก คือ นิ่งขึ้น ไม่ค่อยพูด บอกว่ามีวิญญาณติดตามและห้ามคนในบ้านแผ่เมตตาให้ญาติ เจ้ากรรมนายเวร บอกว่าเดี๋ยววิญญาณจะตามไม่เลิก มีวิธีการดำเนินชีวิตที่แปลกจากเดิมมาก เช่น เดินอยู่บางทีก็หยุดนิ่งไป ก่อนเข้าบ้านทุกครั้งต้องล้างมือล้างเท้า แม่คุยด้วยก็ไม่ตอบ ตอนกลางคืนลุกขึ้นมาเปิดไฟในห้องนอนบ่อยเหมือนนอนไม่หลับ และบอกว่าเพิ่งรู้ตัวว่าที่ชีวิตที่ผ่านมาดำเนินชีวิตแบบขาดสติ (ถ้ามองสายตาแล้วไม่ได้ดูลุกลี้ลุกลนเหมือนคนโรคจิต) ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธ นิ่งเฉย ที่บ้านบอกให้ทำบุญหรือชวนกลับบ้านต่างจังหวัดไปอยู่กับพ่อแม่ก็ไม่กลับ ชวนไปหาหมอก็ไม่ไป บอกว่าอยู่ได้ ตอนนี้ที่บ้านเครียดและทุกข์ใจอย่างมาก ดิฉันเองศึกษาธรรมะอยู่บ้าง พยายามเปิดธรรมะให้พี่สาวฟัง แต่เมื่อดูพี่สาวแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเขาเผชิญอยู่กับอะไร เขายังมีสติจริงหรือไม่ และจะมีวิธีแก้ไขให้ดีขึ้นได้อย่างไรค่ะ  

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
     คนที่ศึกษาหาความรู้ในพุทธศาสนา ตามแนวทางคันถธุระ สามารถรู้ความรู้ในพระไตรปิฎกได้ แต่ยังเป็นความรู้ที่ไม่จริงแท้ (อวิชชา) ยังไม่สามารถนำความรู้นั้น นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ส่วนผู้ที่นำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาธุระ) เป็นผู้ที่รู้จริงแท้ และสามารถใช้ความรู้นั้นไปส่องนำทางชีวิต ไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

     พี่สาวของผู้ถามปัญหา เป็นผู้ที่รู้ความรู้ตามแบบคันถธุระ จึงสามารถแนะนำคนอื่นให้ทำความดีได้ แต่ตัวเองทำดีไม่ได้ ยังมีปัญหากับผู้ร่วมงาน มีปัญหากับคนในบ้าน มีจิตขาดสติอันเป็นเหตุให้เกิดความเห็นผิด แล้วใช้ความเห็นผิดนั้นส่องนำทางให้กับชีวิต พฤติกรรมที่แสดงออกจึงแตกต่างไปจากคนปรกติ

     หากประสงค์จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ผู้มีความเห็นผิดต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง คือสร้างศรัทธาในสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นก่อน ด้วยการนำตัวเองเข้าหาผู้ทรงคุณธรรม พูดคุยไต่ถามอยู่บ่อยๆ แล้วความศรัทธาในธรรมที่เป็นคุณจึงจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดความศรัทธาขึ้นแล้ว เขาย่อมนำตัวเองไปพัฒนาปัญญาเห็นถูกตามแนวทางวิปัสสนาธุระ เมื่อใดที่จิตเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้แล้ว ปัญหาความเห็นผิดจึงจะหมดไป แล้วพฤติกรรมจะถูกเปลี่ยนมาเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้องตามธรรม
  

2285.
กราบเรียนอาจารย์ ดร สนอง วรอุไร

หนูมีเรื่องอยากรบกวนถามท่านอาจารย์หนูอายุ 37 หนูปฏิบัตธรรมมา 6 ปี โดยไม่มีครูบาอาจารย์และไม่เคยไปปฏิบัตที่วัด หนูเริ่มปฏิบัตตอนลูกชายเกิด 3 เดือนพอลูกหลับหนูก็เข้าห้องพระสวดมนต์ บูชาพระรัตนตัย อิติปิโส พาหุงมหากา ชินบัญชร กรณียเมตตาสูตร แล้วนั่งสมาธิตอนแรกที่ทำมีคนบอกว่า บ้าไม่มีโครเขาทำกัน หนูไม่รู้รู้แต่ว่าต้องทำหนูไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยนั่งพูดกับพระในห้องพระว่าหนูบ้าอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า พอนอนหลับก็ฝันว่ามีพระพุทธรูปลอยมาจากท้องฟ้า สว่างมากหนูแบมือรับแล้วก็กำมือพระหายเข้าไปในมือหนู ความเย็นวิ่งเข้าที่หัวใจหนู ก็แบมือพระก็ยังตั้งเหมือนเดิมแล้วก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า และหนูก็ปฏิบัตมาตลอดแบบสมถกรรมฐาน จนปีนี้หนูเริ่มลองพิจารณาอสุภกรรมฐาน เริ่มจากกระดูกเข้าไปภายในจิตสงบ เหมือนลูกโป่งพองออกเรื่อยๆ แล้วก็สว่างเย็นทั้งตัวแล้วในหัวมันหมุน มีความคิดว่าร่างกายไม่เที่ยงเป็นอนัตตา เราอยู่ในโลกสมมุติและอีกมากหลาย จนสงสารตัวเองนำตาไหลคำมันผุดขึ้นมา หนูห้ามไม่ได้มันคิดเองแล้วก็ได้กลิ่นดอกไม้ หอมแบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนมันเย็นเข้าไปในจมูก หอมนานอยู่แล้วก็หายไปหนูรีบออกจากสมาธิแผ่เมตตา

ตอนนี้หนูเจอเรื่องแปลก ตอนกลางคืนจะไปที่ๆมีบ้านคนเค้าใส่ชุดขาวกันหมดแล้วนั่งฟังพระเทศ หนูยังเจอน้าที่เสียไปแล้วอยู่ที่นั่นด้วย หนูดีใจทักเขาแต่เขาไม่แปลกใจที่เจอหนู เค้าบอกว่าถ้าพระอรหันต์เทศที่ไหนเขาต้องมาฟังเพื่อเอาบุญ หนูจำพระองค์ที่เทศได้ท่านบอกว่า ท่านอยู่ที่เชียงใหม่ท่านแก่แล้วค่ะ ตอนหนูจะกลับน้าบอกว่าขอล้างเท้าหนู หนู ก็เลยให้ล้างฝันแบบนี้บ่อยมาก บางที่ก็มีคนมาเล่นดนตรีให้ฟัง บนนั้นเย็นมากหนูไม่รู้ว่าอะไร ตอนนนี้ก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆพิจารณากระดูกซากศพ ในใจมีธรรมตลอด

หนูมีคำถามอยากถามอาจารย์ดังนี้คะ
(1) หนูจะปฏิบัตอย่างไรต่อมีคนบอกว่า พิจารณาอสุภต้องเป็นพระหรือพวกปลีกวิเวก คนมีครอบครัวไม่เหมาะใช่ไหมค่ะ

(2) สิ่งที่หนูฝันคืออะไรเพราะบางทีก็เห็นด้วยตาเนื้อ

(3) เพื่อนพาไปดูดวง ทำไมเขาถึงบอกว่าไม่เห็นหาว่ามาลองของหนูกลัวมาก

(4) หนูอยากหลุดพ้น แต่มีครอบครัวคงอยากใช่ไหมค่ะ หนูเลยปฏิบัตเพื่อละกิเลสให้ได้มากที่สุดถูกไหมค่ะ  

หนูต้องขอโทษที่เขียนมาเยอะ เพราะตลอดเวลาหนูไม่รู้จะถามใคร ชอบอยู่แต่บ้านไม่ชอบคุยกับคนมากนัก

สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างที่สุดค่ะ
(นุชจรีย์)

คำตอบ
      (๑)  คนที่มีครอบครัว (ฆราวาส) และมีความปรารถนาแสวงหาความสุขจากจิตสงบ ด้วยการพิจารณาอสุภะนั้น ทำได้ถูกต้องและเหมาะสมแล้วกับผู้ที่มีอุปนิสัยเป็นราคจริต

     (๒)  เป็นสุภนิมิตที่เกิดจากกุศลกรรมที่สั่งสมไว้ในดวงจิต มาแสดงให้ปรากฏ แต่พึงระลึกอยู่เสมอว่า การเห็นสุภนิมิตนั้นมิได้เป็นเหตุนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ จึงควรอุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้กับสิ่งที่ถูกเห็น แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไป จนจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งนั้นดีที่สุด

     (๓)  การดูดวงเป็นดิรัจฉานวิชา พระพุทธโคดมไม่แนะนำผู้หวังความพ้นทุกข์ให้ประพฤติ ส่วนใครผู้ใดนำเอาดิรัจฉานวิชามาทำเป็นอาชีพ (มิจฉาอาชีวะ) ก็เป็นเรื่องของเขา ผู้รู้จริงแท้ไม่นิยมประพฤติ

     (๔)  หากยังต้องมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว การพัฒนาจิตให้พ้นไปจากวัฏฏะ จึงไม่สมควรประพฤติ ทำได้อย่างมากก็เพียงกำจัดกิเลสในดวงจิต (สังโยชน์) ให้มีสภาวธรรมเป็นอริยธรรมขั้นต้น ดังที่วิสาขาหรืออนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างอยู่ในครั้งพุทธกาล
  

2284.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพ

หนูขอสอบถามเรื่องการปฏิบัติตัวที่ถูกที่ควร กรณีที่มีคนที่ลบหลู่ดูหมิ่นผู้ที่เราเคารพ บางครั้งเราก็รู้สึกโกรธอยากด่ากลับแต่ระงับไว้ด้วยไม่อยากมีเวรกรรมต่อกัน ให้เขารับกรรมของเขาไป

แต่คนดีดีคนอื่นเขามองว่าเราดูดาย ไม่ปกป้องหรือ กตัญญูต่อผู้ที่เราเคารพ อันนี้ทำให้เรารู้สึกไม่ดีมากกว่า..กรณีแบบนี้เราควรทำตัวอย่างไรดีคะ ที่จะแสดงความกตัญญูต่อท่านที่เราเคารพ โดยที่ไม่สร้างเวรกรรมกับคนอื่นด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

จิตต์มา

คำตอบ
     เมื่อได้ยินเสียงกล่าวลบหลู่ แล้วจิตของผู้ได้ยินมีอารมณ์โกรธ นั่นเป็นเครื่องแสดงว่า ผู้ได้ยินมีจิตขาดสติ ระลึกไม่ทันเสียงที่เข้ากระทบจิต แต่เมื่ออารมณ์โกรธถูกระงับไว้ได้ แสดงว่าสติได้กลับมาหลังจากความโกรธได้เกิดขึ้นแล้ว จึงไม่กล่าววาจาโต้ตอบออกไป ... สาธุ

     ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ต้องฝึกจิตตัวเองให้มีกำลังสติกล้าแข็ง จนสามารถระลึกได้ทันคำกล่าวที่ขัดใจ (คำลบหลู่) แล้วอารมณ์โกรธจะไม่เกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผู้รู้จริงแท้นิยมประพฤติ

     คนในสังคมส่วนมากเป็นคนขาดสติ จึงใช้ความเห็นผิดส่องนำทางให้กับชีวิต จึงมองคนที่มีความเห็นถูกตามธรรมว่า เป็นคนนิ่งดูดายแล้วไม่ปกป้อง นั่นเป็นเรื่องที่เขามอง แต่ผู้รู้จริงแท้นิ่งเฉย ไม่นำเอาความเห็นผิดของคนอื่น มาปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดี อารมณ์บาป ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง พระพุทธโคดมเป็นผู้รู้จริงแท้ และรู้จริงในทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู) สอนพุทธบริษัทให้แก้ปัญหาที่ตัวเองแบบนี้
  

2283.
เรียนอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ผมเป็นคนลาว อายุ 24 อีก 2-3 เดือนผมจะ 25 เคยบวช 1 พันสา

สนใจธรรมะ ปัจจุบันทำ(ขนม/เค้ก)ขาย คือช่วยพี่สาว

1. ผมมีจริตราคะ ก้ามาก ผมถือศิล 5 เป็นประจำ ถ้ามีโอกาส ก็จะรักษาศิล 8 แต่อุปสรรค ปัญหาสําคัญเลยคือ ตัวกามะราคะ หลือ กามตัณหาราคะนี่ มันมีอำนาทเหนือใจ จนลนใจผมจริงๆ ผมจะทำยังไง เพือที่จะละหงับ และกำจัดอารมณ์นี่ให้หมดไปจากใจได้.

2. ผมได้ก่าววาจาสัตจะ ต่อน่าพระพุทธรูป และสิ่งสักสิต แต่กับคำคือทำไม่ได้ ตอนนี่ไม่สบายใจ ผมต้องทำไงดี

3. อีกไม่กี่เดือนผมจะ 25 ปีแล้ว เบญจเพสคืออะไร เกียวกับศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ยังไง.

ขอกราบขอบพระคุณ อ.สนอง วรอุไร มา ณ.ที่นี้ด้วย

คำตอบ
     (๑)  ผู้ถามปัญหามีจิตไม่สงบ เพราะเหตุแห่งอุปนิสัยเป็นราคจริต หากประสงค์ทำจิตให้สงบ ต้องพิจารณาอสุภะอยู่เนืองๆ หรือทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครเก็บศพ ได้เห็นซากศพอยู่บ่อยๆจนเกิดเป็นอสุภสัญญาได้เมื่อใด จิตจึงจะสงบลงได้เมื่อนั้น

     (๒)  ต้องไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วพัฒนาจิตให้มีสติระลึกได้ทันสิ่งกระทบ ฝึกสติทุกครั้งที่นึกได้ ฝึกทุกครั้งที่ว่างจากงานที่ทำ เมื่อมีสติกล้าแข็งแล้ว คุณธรรมที่เรียกว่า สัจจะ จึงจะเกิดขึ้นได้

     (๓)  คำว่า “เบญจเพส” หมายถึง ๒๕ เช่น คนที่มีอายุ ๒๕ ปี เรียกว่ามีวัยเบญจเพส ศาสนาพุทธมิได้ให้ความสำครัญกับเบญจเพส แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตให้มีสติ และมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม คำนี้จึงไม่มีความสำคัญในพุทธศาสนา ส่วนศาสนาอื่นไม่ทราบ
  

2282.
กราบเรียนท่านอาจาารย์ที่เคารพค่ะ

หนูขออนุญาตเรียนถามในสิ่งที่สงสัยเพื่อปฏิบัติตนทั้งใจและกายในที่ทำงานให้ถูกต้อง และมีความเห็นถูกทางธรรม

1.  การที่เราตั้งใจมีศีล ๕ คุมใจ แต่จิตไปมองคนอื่นที่ไม่มีศีลและวิเคราะห์ว่าเหตุที่เกิดวุ่นวายนั้นเป็นเพราะขาดศีลกัน หากพวกเขาเข้ามาอย่างเราก็ดีเนอะ... การคิดเช่นนี้ไม่สมควรใช่หรือไม่คะ ? หรือว่าสามารถคิดได้มองได้

2. การที่หนูยึดมั่นทางธรรมมากกว่าทางโลก คือว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวไม่สนใจสังคมรอบข้าง แต่จะเกี่ยวข้องในสิ่งที่จำเป็นเรื่องงาน เพราะไม่อยากเข้ากลุ่มที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม เพ้อเจ้อ ส่อเสียด นินทา บ่นโวยวายกันแทบทุกขณะ ซึ่งหากมองดูแล้วหนูเหมือนเป็นคนไม่มีเพื่อน เพราะที่ทำงานไม่มีใครสนใจปฏิบัติธรรมเลย สนใจแต่ลักษณะไปทำบุญแก้กรรมเวร อาจารย์คิดว่าหนูปฏิบัติตนเกินไปไหมคะ ?

3. มีคนรู้จักใส่บาตรทุกเช้าและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยการกวาดบริเวณรอบโบสถ์ในวันที่สะดวกก่อนเข้าทำงาน หนูเห็นแล้วต้องการปฏิบัติตามที่เค้าชวนหนู เพราะต้องการเลี่ยงการอยู่ในห้องทำงานที่พูดถึงสารพัดปัญหา ไม่อยากเห็นพฤติกรรมของคนที่หงุดหงิด โวยวาย บ่นกันสนุกปาก ...ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติหรือไม่คะ ? ซึ่งมีคนบอกว่านั่นเป็นกิจของสงฆ์ไม่ควรทำ หนูไม่รู้จะอธิบายผู้พูดเช่นนี้อย่างไร ขอคำอธิบายด้วยค่ะ

4. จากคำถามที่ 3 เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ของเพื่อนร่วมงาน หนูจะคิดนึกเสมอว่า พวกเค้าน่าสงสารเพราะยังไม่เข้าถึงธรรม ขาดสติ จึงมีปัญหากับผู้บังคับบัญชาทุกเรื่อง ทั้งที่ไม่สามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้ตามที่ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องการ เป็นเพราะมุมมองต่างกัน เหตุปัจจัยต่างกัน ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ..หนูก็ได้แต่แนะนำว่า ในไม่ดีก็มีดี ในดีก็มีไม่ดี คิดในทางดีเพื่อรักษาใจดีกว่า หนูเลยถูกมองถูกต่อต้านว่าเป็นคนเข้าข้างผู้บังคับบัญชา ซึ่งหนูคิดว่าด้วยเหตุที่ว่าผลกรรมที่แต่ละคนสร้างมาจึงมาพบกันเช่นนี้ อาจารย์ว่าหนูคิดถูกหรือไม่คะ ?

5. มีลูกน้องไม่กระตือลือร้นทำงาน มาสาย กลับก่อน (เพราะเขามีอาชีพเสริมขายของจนดึก หนึงานไปซื้อของมาขาย) หนูจึงนำเรียผู้บังคับบัญชาขอเปลี่ยนคนที่พอมีความรับผิดชอบงานบ้าง สามารถทำแทนกันได้ในช่วงที่หนูลา ...สิ่งที่หนูทำนี้จะเป็นการพูดให้ร้ายเด็กหรือไม่คะ ? ( หนูคิดจะพัฒนาคน แต่เหนื่อยใจเปล่า สุดท้ายสงสารงบประมาณหลวงจริง ๆ)

ุ 6. หากการที่คนเราไม่เคยสร้างสมการเจริญจิตตภาวนา เป็นเหตุให้ปัจจุบันชาติไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วจะมีโอกาสสร้างคนใหม่ ๆ ให้เข้าหาธรรมเจริญสติภาวนาเพิ่มขึ้นได้อย่างไรคะ ? หรือว่าต้องให้ทุกข์ถึงที่สุดก่อน จึงจะเห็นแสงแห่งธรรม อาจารย์ช่วยอธิบายสักเล็กน้อยนะคะ

หนูขอรบกวนอาจารย์เพียงเท่านั้นก่อนนะคะ หากมีข้อสงสัยหนูขออนุญาตส่งคำถามถึงอาจารย์อีกนะคะ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑)  สามารถคิดได้ มองได้ ด้วยการเอาคนที่ไม่มีศีลคุมใจ เป็นครูสอนตัวเองว่า เราจะไม่ประพฤติทุศีลเช่นเขา แล้วเราจะไม่เป็นคนวุ่นวายเหมือนเขา

    (๒)  มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงต้องทำงาน ๒ อย่าง คืองานที่ทำให้กับสังคม เพื่อการอยู่ร่วมที่ดีกับสังคม และงานที่ทำให้กับตัวเอง เพื่อนำปัจจัยเดินทางไปเกิดใหม่ในปรภพ ดังนั้นที่บอกว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนทุศีลไร้ธรรมนั้นดีแล้ว เพราะเราจะไม่เป็นคนทุศีลไร้ธรรมตามเขาไปด้วย ตรงกันข้าม ในสังคมยังมีคนดีมีศีลมีธรรม ให้เราได้เข้าร่วม แล้วเราก็จะเป็นคนดีตามเขาไปด้วย

ถามไปว่า : การทำตัวเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติเกินไปหรือไม่

ตอบมาว่า : ตามความเห็นถูก เป็นการปฏิบัติที่ไม่เกินไป แต่ยังปฏิบัติน้อยไป ที่ยังไม่สามารถปิดอบายภูมิได้

     (๓)  การใส่บาตรและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เป็นการกระทำของคนดี ผู้ใดทำแล้ว ผู้นั้นมีบุญเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิต ซึ่งผู้มีความเห็นถูกนิยมประพฤติเช่นนี้ ส่วนใครจะมองการทำความดีของเราเป็นอย่างอื่น ก็เป็นเรื่องที่เขามอง ผู้รู้ไม่โต้ตอบหรือไม่อธิบายใดๆให้กับผู้มีความเห็นผิดไปจากธรรม

     (๔)  มงคล ๓๘ ที่พระพุทธโคดมตรัสแก่เทวดาที่วัดเชตวันในครั้งพุทธกาล ซึ่งหนึ่งในสามสิบแปดอย่างนั้นคือ ให้เว้นประพฤติข้องแวะกับคนพาล (อเสวนา จ พาลานัง) ได้แล้ว จะนำมาซึ่งเหตุแห่งความเจริญ (มงคล) นั้นเป็นเรื่องจริง ผู้เห็นถูกจึงไม่เสวนากับคนพาล และยังเห็นว่าผู้ทำกรรมไม่ดีไว้เป็นเหตุ ย่อมได้รับอกุศลวิบากเป็นสิ่งตอบแทน

     (๕)  หากไม่ใช่หน้าที่ ผู้รู้ไม่เข้าไปก้าวล่วงในเรื่องของคนอื่น แต่ผู้รู้ดูเขาเป็นครูสอนใจ ว่าตนจะไม่ประพฤติชั่วเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา

     (๖)  ความศรัทธาในธรรมจะเกิดกับผู้ใดได้ ผู้นั้นต้องมีปัจจัย (บุญบารมี) ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ เมื่อปัจจัยให้ผลในชาติปัจจุบัน เขาย่อมนำตัวเองเข้ามาเดินในทางธรรมโดยไม่ต้องมีผู้ชักชวน
  

2281.
เรียน อาจารย์สนอง ที่เคารพครับ

ขอถามอาจารย์ครับ

ขณะอยู่ในสมาธิเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ตนเองกำลังทำ มันบอกให้ผมเลิกทำซะ แต่ผมอยากทำ สู้กันอยู่ สักพักมันก็วนมาอีก  

ผมรู้ครับว่ามันเป็นกิเลสมาหลอก แต่ผมไม่มีกำลังพอจะต้านมันได้ ผมอยากถามอาจารย์ครับว่ามีธรรมะใดหรือวิธีการใดจัดการให้ความรู้สึกดังกล่าวนี้ ดับลงได้   หรือข้ามมันไปได้

ขอบคุณล่วงหน้าครับ

คำตอบ
     กิเลสมารมีอำนาจเหนือใจผู้ใด ความเบื่อหน่ายจึงเกิดขึ้น และทำให้ล้มเลิกการปฏิบัติธรรม ตรงกันข้าม ผู้ใดพัฒนาจิตจนมีกำลังพละ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) กล้าแข็ง ผู้นั้นย่อมมีจิตต้านทานอำนาจของกิเลสมารได้ หากผู้ถามปัญหาประสงค์กำจัดความเบื่อหน่ายให้หมดไปจากใจ ต้องทำเหตุให้ตรงคือพัฒนาจิตให้มีกำลังพละ ๕ กล้าแข็ง
  

2280.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์สนอง ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

การที่เราบริจาคอาวุธปืนให้แก่ข้าราชการทหารตำรวจ เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ฯในงานราชการ มันจะบาป และเป็นอกุศลกรรมไหมครับ

ที่เรียนถามท่านอาจารย์ด้วยคำถามโง่ๆ และน่าอับอายนี้ก็เพราะว่า เมื่อก่อนที่ผมจะได้ชีวิตใหม่จากพระพุทธองค์ กระผมมีอาวุธปืน (ถูกต้องตามกฎหมาย)
อยู่ 4 กระบอก   ซึ่งตอนนี้ำผมไม่ต้องการมีมันอีกแล้ว และไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดีครับ

กระผมจึงใคร่ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ให้ีคำชี้แนะด้วยครับ

คำตอบ
    แม้เป็นหน้าที่ราชการ หากผู้รับบริจาคนำไปทำให้รูปนามของสิ่งมีชีวิตอื่น ต้องพรากออกจากกัน หรือทำให้ได้รับบาดเจ็บทรมาน จัดว่าเป็นอกุศลกรรม ผู้บริจาคต้องมีส่วนร่วมในบาปนั้นด้วย ตรงกันข้าม ผู้บริจาคมีเจตนาให้นำไปใช้ในการกีฬา (ฝึกสมาธิ) และผู้รับนำไปใช้ได้ตรงตามเจตนาที่บริจาค การกระทำนั้นเป็นกุศลกรรม อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นบาป ดังนั้นจากปัญหาที่ถามไป ผู้บริจาคควรทำบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆจนบาปตามให้ผลไม่ทัน นั่นแหละดีที่สุด
  

2279.
กราบเรียนถามอาจารย์สนองที่เคารพครับ

กระผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านอาจารย์ดังนี้

1. ผมประสงค์จะสร้างมหาทาน โดยการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารพระและผู้มาปฏิบัติธรรม เป็นระยะเวลา 7 วัน  แต่ไม่ได้ออกค่าใ้ช้จ่าย และลงมือทำเองทั้งหมด (ออกค่าใช้จ่ายส่วนมากให้โดยในนามเราเป็นเจ้าภาพร่วมประมาณ 70%) จะถามว่า  เมื่อทำครบ 7 วันแล้ว   จัดว่าเป็นมหาทานโดยสมบูรณ์หรือไม่ครับ  

ขอขอบคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินอาจา่รย์ไป ข้าพเจ้าขอให้อาจารย์อโหสิกรรมให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
     เจตนาในการสร้างมหาทานที่ไม่สมบูรณ์ ผลของมหาทานที่สมบูรณ์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

     สุดท้าย อโหสิ ครับ
  

2278.
กราบเรียน อ. สนอง ด้วยความเคารพ

กระผมขอขมากรรม หากกรรมใดที่กระผมเคยล่วงเกินต่ออาจารย์ไว้ในอดีตชาิติ แสนโกฎ แสนกัลป์ และ ปัจจุบันชาติขออาจารย์ยกโทษอโหสิกรรมให้กระผมด้วยครับ..

อาจารย์ครับ ปัจจุบันผมได้ปฎิบัติธรรมมาเป็นระยะเวลา 4 ปี ชีวิตเจอบททดสอบมากมาย ซึ่ง ณ. ปัจจุบัน ก็ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน สภาพการเงินติดขัดอย่างมาก   ฯลฯ ( เรื่องต่าง ๆ จะจบลงเช่นไร)

ใคร่ขอความกรุณาอาจารย์ให้ีคำชี้แนะ และให้แนวทางในการปฎิบัติ กระผมพอจะมีโอกาสได้ทำงานช่วยเหลือคน หรือทำงานในการเผยแพร่หลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาฯ หรือปล่าวครับ.

ขอกราบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์เป็นอย่างสูง      

เอกวุฒิ

คำตอบ
     อโหสิครับ จากคำถามในตอนแรก เรื่องต่างๆจะจบลงด้วยความทุกข์กายและทุกข์ใจ ส่วนการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องพัฒนาตัวเองให้มีศีลลงคุมใจให้ได้ก่อน มีสัจจะและมีความเพียรในการปฏิบัติธรรม แล้วโอกาสนำพาชีวิตพ้นไปจากอุปสรรคและปัญหา จึงจะมีความเป็นไปได้

     ส่วนเรื่องการช่วยเหลือคนอื่นนั้น ต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน แล้วโอกาสช่วยคนอื่นให้พ้นอุปสรรคและปัญหา จึงจะเกิดผลเป็นจริงได้
  

2277.
กราบเท้าดร.สนองด้วยความเคารพอย่างสูง

      ดิฉันอยากขอคำแนะนำการสร้างจิตอาสาแก่นักเรียนมัธยม(ม. 1-6) ที่โรงเรียนกำลังประสบปัญหาของสังคมตัวใครตัวมันคะ เริ่มต้นจากครูที่เห็นแก่ตัว ไม่ค่อยใส่ใจนักเรียน ในการเรียนหรือทำกิจกรรมจะพบว่านักเรียนช่างนิ่งดูดายและเห็นแก่ตัว ทั้งที่บางทีครูก็ทำงานให้เห็นเป็นตัวอย่าง นักเรียนจะหลบหลีกหนี อาจารย์คะหนูรู้คะว่าการทำให้ดูดีกว่าพูด ถ้าในกรณีที่ครูทำให้ดูมีน้อย ดิฉันควรทำตัวอย่างไร ตอนนี้ก็พยายามไม่ให้จิตตกไปกับสภาพแวดล้อม พยายามดูลมหายใจพิจารณากฎไตรลักษณ์ นั่งสมาธิ เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็จะยอมปล่อยวาง ตอนนี้ดิฉันอยากถามอีกข้อว่า การที่เราฝันไปไหนมาไหน เราสามารถควบคุมความฝันได้ไหมคะ

ครูต๊อก

คำตอบ
     จะทำงานอยู่ในองค์กรใดก็ตาม หากตัวเองไม่มีตำแหน่ง หรือไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ผู้อื่นทำตามกติกาของสังคม และยิ่งมีอาชีพเป็นครูด้วยแล้ว ต้องพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพให้ได้ก่อน แล้วศิษย์ที่ถูกผลิตออกไปจากแม่พิมพ์ จึงจะมีคุณภาพตามได้ ในทางโลก ดร.โกลแมน ได้วิจัยแล้วพบว่า คนที่ประสบสำเร็จในชีวิต ต้องใช้ปัญญาไอคิว 20 % และใช้คุณธรรมมากถึง 80 %

     หมายเหตุ : คุณธรรมในทางโลกพัฒนาได้ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมลูกของพ่อแม่ จริยธรรมศิษย์ของครู จริยธรรมนักเรียนของโรงเรียน จริยธรรมพลเมืองของประเทศชาติ ฯลฯ

    ดังนั้นพึงดูตัวเอง แล้วพัฒนาตัวเองให้มีคุณภาพให้ได้ก่อน จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด

     ความฝันเป็นเรื่องของคนที่มีจิตขาดสติ (ด้อยคุณภาพ) ดังนั้นต้องพัฒนาจิตให้มีสติระลึกได้ทุกขณะที่จิตมีการเกิด-ดับ หากทำได้เช่นนี้แล้วจะไม่ฝัน และไม่จำเป็นต้องควบคุมความฝันให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
  

2276.
เรียนอาจารย์สนอง ที่เคารพ

หนูขอรบกวนสอบถามปัญหาอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1. หนูเคยบนและแก้บนโดยถือศีล 8 ทุกวันพระ ตอนหลังไม่สะดวกจึงเปลี่ยนมาเป็นทุกวันอาทิตย์แต่ทำได้ไม่ครบถ้วนเลย เช่นกินอาหารหลังเที่ยง , ทาครีมกันแดด   เกรงว่าจะเป็นบาป ไม่ทราบว่าหนูควรจะแก้ไขอย่างไรดีคะ หรือถ้าจะขอยกเลิกจะเป็นไปได้มั๊ยคะและควรทำอย่างไร

2. เคยอ่านคำตอบของอาจารย์เรื่องการปฏิบัติวิปัสสนาเองที่บ้าน ในครั้งแรกควรไปที่มีอาจารย์แนะนำหลังจากนั้นสามารถปฏิบัติเองที่บ้าน ถ้าเราจะปฏิบัติเองที่บ้านในครั้งแรกเลยโดยไม่มีอาจารย์ จะเป็นไปได้หรือไม่คะ

3. อาจารย์พอจะแนะนำสถานปฏิบัติธรรมหรือพระสายวิปัสสนาที่สามารถไปฝากตัวปฏิบัติด้วย ในจังหวัดนครสวรรค์พอจะมีหรือไม่คะ

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     ๑.  คำว่า “บน” หรือ “บนบาน” มีความหมายว่า ขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ถ้าสำเร็จจะให้สิ่งตอบแทน ตลอดระยะเวลานานถึง ๔๕ พรรษา ที่พระพุทธเจ้าออกเผยแพร่ธรรม พระองค์มิเคยสอนให้พุทธบริษัทประพฤติบนบาน แต่ทรงสอนให้บุคคลทำเหตุให้ตรง แล้วผลตรงตามที่ปรารถนาก็จะเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ปัญหาที่บอกเล่าไปจึงมิใช่ปัญญาเห็นถูกในพุทธศาสนา และมิใช่วิถีแห่งความพ้นทุกข์ หากผู้ถามปัญหาเป็นชาวพุทธที่แท้ ต้องไม่ประพฤติบนบานอีกต่อไป นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรงตามธรรม ส่วนที่เคยประพฤติผิดธรรม ย่อมให้ผลเป็นอกุศลวิบากที่ตนเองต้องรับ

    ๒.  ประสงค์พัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมเบื้องต้น ด้วยการปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน จะมีความเป็นไปได้ต่อเมื่อ ผู้ถามปัญหาต้องมีศีลคุมใจ มีสัจจะ และมีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน

     ๓.  ขออภัย ไม่มีประสบการณ์กับพระสุปฏิปันโนในจังหวัดที่ผู้ถามปัญหาเอ่ยถึง
  

2275.
กราบเรียนถามท่านดร.สนองด้วยความเคารพ

เดี๋ยวนี้ผมเลิกดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาดมาแล้วสองปี เมื่อก่อนดื่มในบ้านได้ จึงยังมีพวกไวน์และเหล้าอยู่ ผมอยากกำจัดให้หมด จะให้คนอื่นต่อก็รู้ว่าไม่ดี ก็เลยคิดจะนำมาประกอบอาหารด้วยความร้อนทั้งหมด ผมจึงขอถามว่า

- เอาเหล้าไวน์มาประกอบอาหาร หากว่าแอลกอฮอล์โดนความร้อน แล้วระเหยหมด เราเอาแต่กลิ่นขอมัน อาหารนี้ทานได้ ไม่ผิดศีลใช่หรือไม่

- หากไม่ผิดศีลในข้างต้น เราควรจะใช่เวลาเท่าใดในการให้ความร้อน เช่นถ้าผมทำซุปหอมฝรั่งเศส ผมเทไวน์ประมาณครึ่งขวด ควรต้มนานเท่าใดเพื่อแน่ใจว่า แอลกอฮอล์ระเหยหมด

สุดท้ายนี้ขอกราบขอพระคุณท่านอ.ที่เมตตาสอนสั่งให้ผมเข้าใจธรรม และช่วยให้ผมมีกำลังใจสู้กับกิเลส รักษาศีลและพัฒนาตนเองครับ

ขอกราบท่านครับ

ภูภัฏ

คำตอบ
     เจตนาเอาเหล้าไวน์มาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร ถือว่าผิดศีล ให้ผลเป็นบาป แม้แอลกอฮอล์ถูกความร้อนจนระเหยไปหมดแล้ว แต่ยังมีเจตนาเอากลิ่นของเหล้าไวน์มาเสพย์ ถือว่าผิดธรรม ซึ่งให้ผลเป็นบาปเช่นกัน ผู้รู้จริงไม่มีจิตเป็นทาสของกิเลส จึงเทเหล้าทิ้ง ดังนั้นเลือกเอาตามที่ชอบเถิด

  - เจตนาเริ่มต้นผิดศีลแล้ว ข้อนี้จึงไม่ตอบ ( ขออภัย )
  

2274.
เรียน ท่านอาจารย์ค่ะ

เนื่องจากหนูทำงานแล้วหัวหน้างานไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ท่านอาจารย์ค่ะ หนูอยากหางานทำท่านอาจารย์บอกว่า อาชีพที่ดีไม่ผิดศิล ไม่ผิดธรรม คือขายโลงศพ แล้วหนูเป็นผู้หญิง ควรประกอบอาชีพอะไรดีคะ เพราะหัวหน้างานให้ปรับปรุงภายใน 3 เดือน ถ้าไม่ดีขึ้นคงเอาหนูออกจากงานแน่นอนค่ะ

หนูรู้สึกกลัว ค่ะ ว่าจะไม่มีงานทำ จึงอยากให้ท่านอาจารย์แนะนำอาชีพให้หนู่ค่ะ

หนูจบป.ตรี ค่ะ และถ้าไม่มีงานทำจริงๆ หนูอยากบวช แต่หนูก็หาที่บวชไม่ได้ค่ะ

รบกวนท่านอาจารย์แนะนำที่บวชให้หนูด้วยนะค่ะ

ขอขอบคุณค่ะ

คำตอบ
     หากผู้ถามปัญหามีความประสงค์ทำงานอยู่ในสถานที่เดิม ต้องพัฒนาตัวเองให้มีความรู้ (IQ) ให้สูงสุด และพัฒนาตัวเองให้มีคุณธรรม ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพราะจากงานวิจัยของดร . โกลแมนพบว่า ผู้ประสพความสำเร็จในชีวิต ใช้ปัญญา IQ 20% และใช้คุณธรรมถึง 80% ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นชาวพุทธ และได้พัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีดวงดี ( ทาน ศีล ภาวนา ) ด้วยแล้ว ย่อมเป็นที่เรียกหาเรียกใช้ให้ทำงานอย่างไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้น จงคิด พูด ทำเหตุให้ถูกตรงในปัจจุบัน แล้วความสมปรารถนาก็จะเกิดขึ้น ตรงกันข้าม คนขาดสติย่อมคิดไปถึงงานในวันข้างหน้า ที่มีทั้งความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ พร้อมทั้งมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่รู้จบ
  

2273.
เรียนท่านอาจารย์ดร. สนอง วรอุไร

หนูชื่อคุณารัตน์ ศรีวีระ   ทำงานในรพ.เสาไห้ฯ จ.สระบุรี   หนูดีใจมากเลยค่ะเมื่อมีบุญได้ฟังคำบรรยายธรรมะของท่านอาจารย์ และมีคำถามให้ท่านอาจารย์ช่วยแก้ไข คือหนูเคยตั้งจิตอธิษฐานให้ชดใช้กรรมเวรกับเจ้ากรรมนายเวร ให้หมดชาตินี้ เพื่อให้หนูจะได้เข้าถึงพระนิพพานในเร็ววันชาตินี้ แล้วตั้งแต่นั้นมาหนูสังเกตว่ามีปัญหาอุปสรรค เกิดขึ้นกับการดำเนินชีวิตของหนูมาตลอดและเร็วมาก ทั้งๆที่หนูเป็นคนชอบสันโดษจะมีเรื่องเข้ามาเรื่อยๆ   ขอความเมตตาและบุญบารมีของท่านอาจารย์ช่วยตอบปัญหาให้หนูหลุดพ้นจากทุกข์ที่โง่เขลาในดวงจิตหนูด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

คุณารัตน์

คำตอบ
     ที่บอกเล่าไปเป็นการอธิษฐานที่ผิดทาง ผู้รู้ไม่นิยมอธิษฐานเช่นนั้น แต่ผู้รู้อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรเฉพาะที่เข้ามาทวงหนี้ อุทิศทุกวันที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ เจ้ากรรมนายเวรใดเข้ามาทวงหนี้ก่อน ต้องอุทิศให้ก่อน เจ้ากรรมนายเวรใดยังไม่เข้ามาทวงหนี้ ยังไม่ต้องอุทิศให้ ผู้รู้ไม่เชื้อเชิญให้ทุกเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้พร้อมหน้ากัน เพราะไม่สามารถต้านทานอำนาจของเจ้ากรรมนายเวรพร้อมๆกันได้ หากปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงนิพพานได้แล้ว แต่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ เจ้ากรรมนายเวรยังมีโอกาสเข้ามาทวงหนี้ได้ และเมื่อรูปดับนามดับเข้าสู่นิพพาน หนี้เวรกรรมที่ยังมีเหลืออยู่ เป็นอันถูกยกเลิก ( อโหสิ ) โดยปริยาย
  

2272.
เรียนอาจารย์สนอง   วรอุไร   ที่เคารพอย่างสูง

      1. ผมและครอบครัวอาศัยอยู่จังหวัดตรัง อยากสอบถามอาจารย์ว่า ที่ใกล้ ๆ บริเวณนี้มีครูอาจารย์ที่สอนสมถ
         กรรมฐานและวิปัสนากรรมฐานที่ถูกต้องตามธรรม มีในที่ใดบ้างครับ
      2. หากผมและครอบครัวได้เคยล่วงเกินหรือปรามาสท่านอาจารย์   ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาขอ               
         อโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
                                                                                                 ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     (๑) ศิษย์ที่ดีต้องแสวงหาครู ครูสอนกรรมฐานที่อยู่ใกล้ผู้ถามปัญหา คือ หลวงพ่อเอี้ยน แห่งสำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง

     (๒) อโหสิให้แล้ว
  

2271.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

     ผมได้เริ่มปฎิบัติธรรมมาประมาณ 1 ปี 6 เดือน ตอนแรก ผมได้สวดมนต์ และเดินจงกลม 1 ชม.และนั่งสมาธิ 1 ชม. เป็นประจำแต่จิตยังไม่เลื่อมใสในศีลมากนัก ต่อมามีความศรัทธาที่จะรักษาศีลและปฎิบัติ มหาสติปัฏฐาน คือพยามยามมีสติตลอด   และมีอยู่คืนหนึ่งกระผมนอนไปด้วยการดูท้องพองยุงและหลับไป มารู้สึกตัวอีกที จิตกำลังผุดมาบริเวณลิ้นปี่และรู้สึก คือกิเลสที่ย้อมจิตอยู่ไหลออกมาตายออกมา ความรู้สึกตอนนั้นจิตว่าวิมุติเห็นนิพพานแล้ว และก็กลับรู้ร่างกายเหมือนเดิม    และอีกครู่เดียวจิตก็ผุดอีก แต่ครั้งนี้ผุดมาเฉยๆไม่มีกิเลสตายคิดว่าบรรลุธรรมแล้วตอนนั้นจิตว่าเรามาถึงโดยไม่รู้ทางได้ยังไง และก็กลับมาที่ร่างกายตามเดิม   กราบเรียบถาม อาจารย์สนองว่า นี้ใช่ปัญญาเห็นแจ้งหรือ ดวงตาเห็นธรรมใช่หรือไม่ครับ เพื่อไม่ให้ความเห็นของผมเป็นความเห็นผิดครับ    กระผมจะเพียรปฎิบัติธรรมในองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป

ขอขอบคุณอาจารย์มากครับ      ด้วยความเคารพ

คำตอบ
    ที่บอกเล่าไปมิใช่ปัญญาเห็นแจ้ง และมิใช่ดวงตาเห็นธรรม คำว่า “ปัญญาเห็นแจ้ง” หมายถึง เห็นความจริงที่เป็นจริงแท้ ( ปรมัตถสัจจะ ) และไม่เนื่องด้วยกาลเวลา ครั้งแรกเมื่อเห็นกิเลสในใจไหลออกมาตาย และต่อมาเห็นว่าไม่มีกิเลสตาย อย่างนี้ไม่เรียกว่าปรมัตถสัจจะ

     ส่วนคำว่า “ดวงตาเห็นธรรม” หมายถึง ใจที่เห็นสรรพสิ่งเกิด ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด และเมื่อเหตุดับสรรพสิ่งย่อมดับไปด้วย ส่งผลให้ใจเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจ ( สังโยชน์ )

     (๑) หากใจเป็นอิสระจากสังโยชน์ ๓ เรียกว่า มีดวงตาเห็นธรรมขั้น โสดาปัตติผล

     (๒) หากใจเป็นอิสระจากสังโยชน์ ๓ แต่กามราคะ และปฏิฆะมีกำลังอ่อน อย่างนี้เรียกว่า มีดวงตาเห็นธรรมขั้น สกทาคามิผล

     (๓) หากใจเป็นอิสระจากสังโยชน์ ๕ เรียกว่า มีดวงตาเห็นธรรมขั้น อนาคามิผล

     (๔) หากใจเป็นอิสระจากสังโยชน์ ๑๐ เรียกว่า มีดวงตาเห็นธรรมขั้น อรหัตตผล
  

2270.
กราบเรียนถาม อาจารย์นะคะ

หนูมีเรื่องกังวนใจค่ะ หนูเรียนทำเค้กญี่ปุ่น เค้กบางชนิด ต้องใส่เหล้า 1-2 ช้อนโต๊ะ ถือว่าผิดศีลหรือเปล่าคะ อาจารย์ช่วยชี้ทางด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     ผิดศีลข้อ ๕ ครับ หากมีความจำเป็นต้องเรียนทำเค้ก ผู้รู้นิยมเรียนทำเค้กที่ไม่มีเหล้าเป็นส่วนประกอบ
  

2269.
สวัสดีครับอาจารย์สนอง

ถามเรื่องตอนปฏิบัติ อานาปานสติ เข้าใจว่าถ้าแค่พุธโธตามลมจะเป็นสมถะ แต่ถ้าเอาจิตตามลมเข้าออก จะเป็นกายนุปัสนาอยู่ในวิปัสนา ถูกหรือไม่ครับ ทีนี้ผมก็ตามลมเข้าตอนจิตจับที่ลมเข้าเมื่อลมเข้าไปได้เกือบสุด รู้สึกเหมือนขนลุกไปทั่วร่างเริ่มจากต้นคอถึงเท้า บางครั้งจิตตามไม่สุดก็ลุกแค่ที่ต้นคอถึงสันหลัง เมื่อหายใจออกไม่รู้สึกอะไร แบบนี้คืออะไรครับ ผมสงสัยว่าทำถูกหรือไม่ รบกวนอาจารย์ช่วยแนะแนวต่อด้วยครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
     การตามลมหายใจเข้าและตามลมหายใจออก ต้องมีจิตเห็นการหยุดหรือดับไป ( อนัตตา ) ของร่างกายที่สูดอากาศเข้า และเมื่อหายใจปล่อยอากาศออก ต้องมีจิตเห็นการหยุดหรือการดับไปของร่างกายที่ปล่อยอากาศออก อย่างนี้จึงจะเรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

     อาการขนลุกทั่วร่างกาย เป็นตัวบ่งชี้ว่า สติเคลื่อนออกไปจากการดูลมที่เข้าออกร่างกาย จิตจึงไประลึก ( สติ ) อยู่กับอาการขนลุก ผู้รู้นิยมกำจัดอาการขนลุกด้วยการบริกรรมว่า “ขนลุกหนอๆๆๆๆ” จนกว่าอาการขนลุกจะดับไป แล้วเอาใจไประลึกอยู่กับลมเข้าออกดังเดิมที่ทำอยู่
  

2268.
กราบเรียน อ.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

ผมได้มีโอกาสฟังธรรมจากซีดีของอาจารย์หลายเรื่องและหลายวาระ รู้สึกเข้าใจในธรรมะของพระพุทธองค์ได้มากยิ่งขึ้น ต้องขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ไว้ ณ ที่นี้ สำหรับธรรมทานที่อาจารย์ได้กรุณาแบ่งปันให้ อย่างไรก็ตาม ผมยังคงมีปัญหาในการปฏิบัติธรรมและการนำธรรมะของพระพุทธองค์ เข้ามาปรับใช้แก้ไขทุกข์ของตน และของบุพการี จึงใคร่ขอกราบเรียนถามเป็นธรรมท่านจากอาจารย์ เกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ ดังต่อไปนี้

1. ผมเป็นแพทย์ที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่งมาตลอด 8 ปี แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้เริ่มสังเกตเห็นความไม่เที่ยงของวัฏสงสาร ที่มนุษย์ทุกคนต้องพบพานอย่างเลี่ยงมิได้ ผมจึงได้เริ่มฝึกปฏิบัติธรรม (โดยไม่มีครูบาอาจารย์เลย) แต่อาศัยการฟังและอ่านหนังสือธรรมะของอาจารย์หลายๆท่านทุกๆวันอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอาจารย์ในสายหลวงปู่ชาและหลวงพ่อสุรศักดิ์ วัดมเหยงค์ และเริ่มต้นสวดมนตร์และรักษาศีลห้า รวมไปถึงการฝึกนั่งวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฎฐานสี่ โดยฝึกปฏิบัติทุกๆวัน วันละอย่างน้อย 5-60 นาทีขึ้นอยู่กับโอกาส เท่าที่ผ่านมา ผมไม่แน่ใจว่าตนเองได้มีความก้าวหน้าไปบ้างหรือไม่ในการเจริญสติ บ่อยครั้งก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่ โดยรู้สึกว่าผมขับรถด้วยความใจเย็นขึ้น มีเมตตาให้ทางแก่ผู้อื่น ไม่ลุแก่โทสะเหมือนอย่างเคย รู้สึกตนเองโลภน้อยลงไปมาก ผมได้เลิกทำงาน part-time รพ.เอกชนไปทั้งหมด ล้มเลิกความตั้งใจที่อยากร่ำอยากรวย ด้วยเห็นว่าเงินเป็นเพียงทรัพย์ภายนอก มิใช่อริยทรัพย์ที่แท้จริง และอยากใช้เวลาอยู่กับครอบครัว อบรมสั่งสอนบุตรให้เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ก็ยังมีบ่อยครั้งเช่นกันที่สติตามดูอารมณ์ไม่ทันเกิดความโกรธเป็นระยะๆได้ อย่างไรก็ตาม เวลานั่งกรรมฐาน ผมก็ไม่เคยเห็นนิมิตอันใดๆเลย มีแต่รู้สึกสงบเย็นเป็นบางครั้ง รู้ถึงความฟุ้งเป็นระยะๆ จึงเริ่มลังเลสงสัยว่า อันที่จริงแล้วผมมีความก้าวหน้าในการเจริญสติบ้างหรือไม่ จึงใครขอคำแนะนำในการปฏิบัติตนให้มีความก้าวหน้าในธรรมต่อไปจากอาจารย์ครับ

2. ปัจจุบันคุณพ่อของผมมีอายุราว 72 ปี แต่ยังคงทำงานเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างเล็กๆอยู่ เนื่องจากยังคงมีหนี้สินอยู่มากมาย คุณพ่อท่านได้ทำอาชีพนี้มาตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ผมเห็นกิจการของท่านล้มลุกคลุกคลานล้มละลายแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็ล้มอีก อย่างน้อย 3 รอบแล้ว เป็นอย่างนี้เกือบทุกๆ 10 ปี อันเนื่องมาจากถูกเขาเบี้ยวค่าก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็แก้ไขปัญหาผิดวิธีด้วยการก่อหนี้ใหม่ไปโปะหนี้เก่าอย่างนี้เรื่อยมา   ในขณะนี้ ที่ท่านกำลังพยายามล้างหนี้เดิม ก็เริ่มปรากฏเหตุแบบเดิมๆอีก แล้วท่านก็จะแก้ไขปัญหาแบบเดิมอีก ด้วยการกู้หนี้ยืมสินเพิ่มอีก ท่านได้เคยขอยืมเงินของผมไปหลายแสนบาท แล้วตอนนี้ก็เริ่มทยอยมายืมอีกเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่ผมก็ได้ให้ไปแม้รู้ว่าอาจไม่ได้เงินคืน ด้วยความรู้สึกว่าผมเป็นหนี้บุญคุณของบิดามารดาผู้ให้กำเนิดอย่างสูงสุด ใช้คืนอย่างไรก็ไม่หมด แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่ากิจการของท่านนั้นกำลังจะล้ม ในขณะที่รายได้ของผมก็ไม่ได้มากมายในระดับที่จะเข้าไปประคองกิจการ และหนี้สินอันมากมายของท่านได้ อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายในส่วนตนและบุตรธิดาอีกพอควรที่ต้องดูแล ผมรู้สึกมี conflict อยู่ในใจระหว่างความรู้สึกว่า เราต้องกตัญญูต่อบิดามารดาของตนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต และความรู้สึกเห็นแก่ตัว (การไม่ให้ยืมเงิน) ผมได้เคยพยายามชักชวนท่านเข้าวัดฟังธรรม แต่ท่านก็ไม่สนใจ ขณะนี้ท่านก็ได้เพียงแค่ทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ในตอนเช้าเท่านั้น ผมจึงใคร่ขอคำชี้แนะของอาจารย์ ในการแก้ไขปัญหานี้ ผมควรจะทำอย่างไรดี

3. ผมอยากตอบแทนบุพการี ด้วยการชักชวนท่านให้เข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์เท่าที่จะทำได้ ผมเคยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดหนึ่งมาเทศน์ และสอนปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐานที่บ้าน แต่ท่านก็ดูไม่สนใจเท่าไรนัก ผมได้ลองมอบ DVD และ CD ธรรมะให้ท่านไป แต่ท่านก็ไม่เคยเปิดฟัง ผมจึงใคร่ขอคำชี้แนะของอาจารย์ในชักชวนท่านเข้าสู่เส้นทางแห่งธรรม เพื่อเป็นเครื่องปกป้องตัวของท่านเองจากการตกไปสู่อบายภูมิด้วยครับ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ เป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้ บางคำถาม ผมอาจไม่สามารถเรียบเรียงเป็นคำพูดที่กระชับหรือเข้าใจง่ายๆได้ ต้องกราบขอประทานอภัยและอโหสิกรรมจากอาจารย์มาพร้อมนี้ด้วยครับ หากว่ากระผมได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ไปในส่วนใด ขอให้อาจารย์ได้โปรดกรุณาอโหสิกรรมให้กระผมด้วยครับ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
สุทัศน์

คำตอบ
     (๑) คำว่า “วัฏสงสาร” หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ อยู่ในภพต่างๆที่เป็นกายหยาบและกายทิพย์ มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องนำพาชีวิตไปสู่ตามแรงผลักของกรรม ตามที่บอกเล่าไปเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับปัญญาของผู้ถามปัญหา ที่เข้าถึงความจริงบางอย่างได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะทำให้ชีวิตเป็นอิสระ จากกิเลสที่ผูกมัดใจ ( สังโยชน์ ) ดังนั้น ผู้ไม่ประมาทจึงเร่งความเพียร ฝึกจิตให้มีกำลังสติและกำลังปัญญาเห็นแจ้ง ให้กล้าแข็งมากยิ่งขึ้น แล้วโอกาสที่จิตจะเป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมองย่อมเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะความโกรธเป็นกิเลสตัวใหญ่ ที่มีกำลังผลักดันจิตวิญญาณไปสู่ภพนรกได้ ดังนั้นควรกำจัดให้หมดไปด้วยการให้อภัยเป็นทาน ให้อภัยในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ แล้วอารมณ์สงบและเย็น ( เมตตา ) จึงจะเกิดขึ้นกับดวงจิตได้ อนึ่ง การไม่เห็นนิมิตใดๆ ถือว่าเป็นสิ่งดี ไม่ต้องเสียเวลามาทำให้นิมิตนั้นหมดไป

     (๒) ผู้เป็นลูกต้องทำความดีให้มีมาก จนพ่อศรัทธาในตัวลูกให้ได้ก่อน แล้วลูกจึงจะสามารถชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้กับผู้ที่เป็นพ่อได้ อานิสงส์ของการทำบุญใส่บาตรในตอนเช้า ยังไม่ใหญ่เท่ากับอานิสงส์ที่เกิดขึ้นจากการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเจริญอานาปานสติ อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่า เมื่อทั้งสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ผู้ที่ศรัทธา มีสัจจะ และปฏิบัติได้ถูกตรงตามนี้ ย่อมมีโอกาสพ้นไปจากหนี้เวรกรรมที่กำลังเสวยอยู่

     ส่วนการให้ทรัพย์กับพ่อนั้น เป็นสิ่งที่ผู้มีความกตัญญูกตเวทีควรกระทำ แต่ทำแล้วต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง การกระทำในลักษณะนี้จึงจะได้บุญ

     (๓) ศรัทธาในความดี เป็นต้นเหตุแห่งการเข้าใกล้พูดคุยไต่ถามกับผู้ทรงคุณธรรม หรือฟัง CD หรือดู DVD ดังนั้นผู้รู้จึงนิยมทำเหตุ ( ศรัทธา ) ให้เกิดขึ้นได้ก่อน แล้วความดีงามทั้งหลายจึงจะเกิดตามมาภายหลัง … . สุดท้ายไม่มีโทษใดๆต่อกันครับ
  

2267.
กราบเรียน ท่าน อ.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันมีคำถามอยากขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์รบกวนท่านกรุณาช่วยแนะนำด้วยค่ะ

ดิฉันได้ฝึกประฏิบัติธรรมเองที่บ้านตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา โดยการสวดมนต์และนั่งสมาธิ ซึ่งการนั่งสมาธินั้นได้หลักมาจากหนังสืออาณาปานสติ ของพระอาจารย์มิซูโอะ วัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี และลองปฏิบัติดูด้วยตนเองที่บ้าน แต่มีความรู้สึกว่ายากมาก ไม่สามารถทำได้อย่างที่ท่านได้แนะนำไว้ในหนังสือซึ่งเป็นการเน้นวิปัสสนา เช่นการใช้ปิติ มากำหนด เป็นต้น ค่ะ

จากนั้น ไม่นานมานี้ ได้พบหนังสือเกี่ยวกับการนั่ง กรรมฐาน ของหลวงพ่อสุธีร์ ชาคโร วัดป่าเหล่ากกหุ่ง จ.ขอนแก่น ซึ่งเน้นหนักไปทางนั่งให้เห็นทุกขเวทนา ต้องนั่งไม่ขยับขา 3 ชม. ขึ้นไป ซึ่งก็ทำไม่ไหวอีกค่ะซึ่งนั่งได้อย่างมากสุดก็ 2 ชม.ครึ่ง ค่ะ  

รบกวนถาม

1. ดิฉันควรจะปฏิบัติอย่างไรดีค่ะ ควรจะใช้การปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะแก่ตนเอง ค่ะ

2. ดิฉัน เคยได้รับรู้มาว่าคนเรามีจริตต่างกันไป ดิฉันควรค้นหาจริตของตน แล้วจึงค่อยหาทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเองหรือไม่ ค่ะ

3. ถ้าเป็นอย่างใน ข้อ 2 แล้วดิฉันจะทราบได้อย่างไรค่ะว่าดิฉันมีจริตอย่างไร รบกวนท่านอาจารย์ แนะนำด้วยค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณ อ.สนอง วรอุไร มา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ  

จิราวรรณ

คำตอบ
     (๑) ควรปฏิบัติตามที่ได้ชี้แนะไว้ในข้อ ๒๒๖๓ ( ๑ ) มาเป็นองค์บริกรรม เมื่อใดที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิที่สมควรแล้ว จึงนำจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ในภายหลัง

     (๒) จริตของคนมี ๖ อย่าง ( ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธิจริต และวิตกจริต ) ทั้ง ๖ อย่างของจริตนั้นเหมาะที่จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งในอรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม แล้วจิตจึงจะมีโอกาสตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ … . พิสูจน์ดูสิครับ

     (๓) แนะนำแล้วในข้อ (๒)
  

2266.
กราบเรียน ท่าน ดร.สนอง วรอุไร คะ

สวัสดีคะ  
หนูมีคำถามอยากจะสอบถามเพื่อความกระจ่างแจ้งแก่จิตของหนูที่ตอนนี้ มีคำถามแต่มิได้คำตอบนะคะ

หนูได้ไปนั่งวิปัสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน เป็นเวลา 8 วัน หนูได้อ่านหนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อจรัญ ว่านิ่งได้ทนได้จะดีเอง หนูได้อ่านหนูก็สัญญาว่าหนูจะอดทนจะนั่งแล้วไม่ขยับจนกว่าจะหมดเวลา แต่เมื่อหนูได้นั่งไปวันแรกกับวันที่สองหนูไม่สามารถทนได้

มาวันที่สามหนูตัดสินใจแน่วแน่ว่าวันนี้จะไม่ขยับ เมื่อถึงเวลาหนูได้นั่งสมาธิ ขณะนั่งเวทนามีมาก จนหนู ตัวสั่น เหงื่อออกมากมีความรู้สึกทรมานอย่างมาก ใจบอกว่าให้ขยับแต่หนูไม่ขยับ ใจก็หวนคิดว่าเราไปทำอะไรทำไมมันถึงได้ทรมานขนาดนี้  

หนูก็เพ่งไปที่เวทนาและ จี้ตามเวทนาที่ปวดนั้น แล้วนึกแต่ว่าคลายหนอๆๆๆ จนถึงช่วงนึงหนูแทบทนไม่ไหวแต่จิตนึกไปถึงคำของหลวงพ่อจรัญ ว่าถ้านั่งแล้วจะต้องตายก้อให้ตายไป หนูก็บอกกับตัวเองว่า ถ้าจะตายก็ตายอยากได้เอาไปเลย เราให้ชีวิตนี้ยกให้แล้ว แล้วร่างกายหนูก็ระเบิดอธิบายไม่ถูก ต้องเย็นไปทั้งกาย มีความสุขมาก แล้วขณะนั้นในสมองก็ปรากฏภาพในอดีต ที่ญาติๆกับหนูเคยทำบาปเอาไว้ โดยไม่รู้ว่าทำแบบนั้นแล้วมันบาปไหลออกมาว่าหนูใช้ก้านมะยมไปหวดปลาเข็มบางตัวสลบบางตัวตาย และเอาไม้แบทไปตีแมลงปอจับใส่ถุงตาข่ายเล่นอีกไม่นานพระอาจารย์ก็บอกให้คลายสมาธิคะ  

1- หนูอยากทราบว่าอาการที่หนูเป็นตอนนั่งวิปัสนากรรมฐานคืออาการอะไรคะแล้วอาการนี้จะกลับมาอีกไหม  
2- ตอนนี้ใครว่าอะไรหนูหนูจะนิ่ง เสมือนอาการโกรธจะดับเร็วมากคะ แค่วิเดียวที่เหมือนจะมีอาการโกรธเข้ามากระทบหนูอาการนั้นจะแวบหายไปทันทีคะ  

อาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรคะ   อาการนี้จะหายไปไหมคะ หนูอยากให้อยู่กับหนูไปตลอดต้องทำอย่างไรคะ

3- หนูอยากรู้อดีตชาติของตนเองมาก   หนูพึ่งรู้จักดร.สนองได้ไม่นานแต่อ่านประวัติของ ดร.แล้วอยากได้อภิญญาอย่าง ดร. บ้างนะคะ จะเป็นกิเลส  หรือเป็นมิจฉาทิฐิ หรือไม่คะ

4- ไหว้พระจำเป็นต้องจุดธูปหรือไม่คะ แล้วที่บ้านหนูต้องไหว้บรรพบุรุษ ต้องสั่งฆ่าเป็ดฆ่าไก่เพื่่อเซ็นไหว้บรรพบุรุษ เสร็จแล้วจึงอัญเชิญ อากงอาม่ามาที่บ้านมารับของเซ็นไหว้นะคะจะบาปไหมคะ หนูกลัวบาปและไม่เห็นด้วย และหนูไม่คิดจะกินสัตว์มีขาอีกเลยนอกจาก ไข่และสัตว์ทะเลเท่านั้นคะ

5- เวลานั่งสมาธิหนูไม่มีนิมิตอะไรเลย อย่างนี้ ดีหรือไม่คะ  

6- การที่เราถือศิล 5 แล้ว เผลอไปฆ่าหมัด ศิล 5 ของหนูจะเป็นอะไรไหมคะ แล้วมีวิธีแก้ให้ศีลของหนูไม่มัวหมองไหมคะ ถ้ามดกัดเราแล้วเราไปลูบแล้วมดตัวเล็กมาก เราแค่จะจับออกหรือลูบออกไปไม่ให้กัดเราแล้วพอดูที่มือเรามดได้ตายแล้ว แต่เราทำไปไม่เจตนาอันนี้บาปไหมคะ หรือให้เขากัดเราไปเรื่อยๆแล้วเพ่งสมาธิไปที่ๆเจ็บ แล้วกำหนดว่าปวดหนอไปเรื่อยๆคะ   ตอนนี้หนูกลัวบาปกลัวกรรมมากคะ   

7- พระโสดาบันทำได้ยากไหมคะ หนูจะพยายามเท่าที่บุญบารมีหนูจะสามารถทำได้ แต่หนูอยากรุขั้นตอนการจะทำให้ได้นะคะ หนูไม่อยากเกิดมาแล้วคะ

8- ตอนนี้หนูได้มานั่งวิปัสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุ คณะ 5 แล้วนะคะ ถึงได้รู้จัก ดรสนองคะ  

ขอบคุณคะ หนูจะรอคำตอบจาก ดร.สนองนะคะ

คำตอบ
   
(๑) ตามที่บอกเล่าไป จิตของผู้ถามปัญหาได้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุด ( อัปปนาสมาธิ ) หรือเป็นสมาธิระดับฌานนั่นเอง การไปเห็นปลาเข็มถูกหวดด้วยก้านมะยม หรือเห็นแมงปอถูกตีด้วยไม้แบดมินตั้น ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก หากปลาเข็มและแมงปอยังไม่เลิกจองเวร ผู้รู้จึงชี้แนะให้อุทิศบุญกุศลให้กับสัตว์ที่ถูกเห็น ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ

     (๒) อารมณ์โกรธหายไปรวดเร็วเป็นสิ่งที่ดี … . สาธุ เมื่อมีเหตุขัดใจเข้ากระทบจิต แล้วอารมณ์โกรธไม่เกิดขึ้นนั้นดีที่สุด ทั้งนี้เป็นด้วยเหตุ มีกำลังสติกล้าแข็ง สามารถระลึกได้ทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต แล้วปัญญาเห็นแจ้งเห็นสิ่งกระทบดับไป ( อนัตตา ) ตามกฎไตรลักษณ์ หากผู้ถามปัญหาปรารถนาเข้าถึงภาวะเช่นนี้ ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติ และมีกำลังของปัญญาเห็นแจ้งให้กล้าแข็งยิ่งขึ้น

     (๓) การอยากรู้อดีตของตัวเองถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะรู้แล้วมิได้เป็นเหตุนำทางสู่ความพ้นทุกข์ ผู้รู้จริงจึงไม่แนะนำให้ผู้ใดมีความปรารถนาเช่นนี้

     (๔) ไหว้พระไม่จำเป็นต้องจุดธูป เพราะควันจากธูปทำให้อากาศเกิดมลภาวะ การสั่งให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์เพื่อจุดประสงค์ใดก็ตาม ถือว่าผู้สั่งฆ่าเป็นต้นเหตุของการประพฤติผิดศีลข้อปาณาติบาต ให้ผลเป็นบาป อนึ่ง ผู้ถามปัญหาไม่ประสงค์บริโภคเนื้อสัตว์ตามที่บอกเล่าไป แม้มิได้เป็นผู้สั่งให้ฆ่า แต่ยังมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมนั้น ย่อมรับผลของบาปนั้นด้วย

     (๕) ดีครับ

     (๖) การทำให้ทั้งหมัดและมดต้องตายจากไป ยังถือว่ามีศีล ๕ ขาดทะลุ แม้มิได้มีเจตนาทำให้สัตว์ต้องตาย แต่หากสัตว์นั้นยังจองเวรกับผู้ที่ทำให้เขาต้องตาย ผู้ถูกจองเวรยังต้องรับผลของบาปนั้น ผู้รู้ไม่หนีหนี้เวรกรรม แต่ผู้รู้นิยมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น

     (๗) การพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นต้น สามารถทำได้ง่ายต่อเมื่อมีบุญบารมีเก่าสั่งสมมามาก ตรงกันข้าม ทำได้ยากหากมีบุญบารมีเก่าสั่งสมมาน้อย ดังนั้น เนยยบุคคลจึงไม่ย่อท้อต่อการพัฒนาชีวิต จนกว่าจะพ้นไปจากภาวะความเป็นปุถุชน

     (๘) เป็นเพียงบอกเล่าสูกันฟัง มิได้ถามปัญหาจึงไม่มีคำตอบ
  

2265.
กราบน้อมไหว้อาจาร์ยด้วยความเคารพ

หนูขอกราบไหว้พระคุณของอาจาร์ยที่มีให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคน และขออนุโมทนาบุญกับอาจาร์ยที่ได้บอกทางดำเนินของชีวิต ทางสายเอก ของคนที่ได้โอกาสเกิดมา ซึ่งคำสอน คำบอกกล่าวของอาจาร์ยได้ทำให้หนูหันมาบอกใจตนเอง ได้สวดมนต์ ไหว้พระ กำหนดลมหายใจ หลังเลิกจากทำงานในแต่ละวัน หนูอยากถามอาจาร์ยว่าถ้าชาตินี้หนูจบชีวิต แล้วถ้ายังไม่มีดวงตาเห็นธรรม

แต่มีความตั้งใจจะตามขึ้นไปฟังธรรม และปฏิบัติธรรม เพื่อทางสิ้นสุดของกิเลส ของชีวิตบนสวรรค์เบื้องบน หนูต้องปฏิบัติตัว และเตรียมตัวอย่างไรคะ หนูขอกราบไหว้ขอบพระคุณอาจาร์ยด้วยความเคารพอย่างสูง .

คำตอบ
     การมีดวงตาเห็นธรรม จะเกิดขึ้นได้ต้องมีเหตุปัจจัยลงตัว เหตุคือมีจิตพิจารณาธรรมโดยแยบคาย ( โยนิโสมนสิการ ) หรือนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมให้ถูกตรงตามธรรมวินัย ส่วนปัจจัยคือบุญบารมีเก่าที่ทำสั่งสมไว้ในดวงจิตแต่ครั้งอดีต เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัวแล้ว โอกาสเกิดดวงตาเห็นธรรมย่อมมีความเป็นไปได้ และคนฉลาดย่อมทำเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อมในชาติปัจจุบัน เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นความปรารถนาของหมู่เทวดา ผู้หวังพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์
  

2264.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ขอโอกาสสอบถามท่านอาจารย์ดังนี้ครับ
1. ทำไมเวลาผมโมโห จึงควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เช่น เวลาสอนการบ้านลูก (อายุ  8 ขวบ เขามีปัญหาขาดสมาธิ ไม่ค่อยนิ่ง ไม่ focus หมอบอกว่าเป็นกลุ่มสมาธิสั้น แต่ไม่รุนแรง) แล้วเขาไม่เข้าใจ ผมจะขึ้นเสียงดัง และตะคอกใส่   ซึ่งผมก็รู้สึกแย่มาก ๆ   ที่ทำแบบนี้ต่อลูก   หรือบางทีเขาบ่น ๆ เรื่องที่ได้ไม่ดังใจ ไม่ยอมหยุด ผมรำคาญก็จะตะคอกเสียงดังใส่เขา เขาก็จะสะดุ้ง และตกใจกลัว บางครั้งก็รู้สึกเวลามีความโกรธ แต่มันเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ มันต้องแสดงออกมา   
ผมคิดว่าส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากความเครียดเรื่องงาน ที่สะสม  

ทำอย่างไรจึงจะลดความโกรธให้ลดลงได้ครับ  
 
2. ตอนผมบวชเป็นพระ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในกุฏิห้องที่นอน มีกล่องยาที่ญาติโยมถวาย วางทิ้งไว้ก่อนที่ผมจะบวชและมาอยู่ที่ห้องนี้ ผมได้หยิบยาดมจากกล่องนั้นมาใช้หนึ่งหลอด โดยไม่ได้บอกพระพี่เลี้ยง หรือพระอาจารย์ที่ดูแล อย่างนี้อาบัติ และบาปไหมครับ และจะแก้ไขได้อย่างไรครับ   

3. ผมได้เคยฟังการบรรยาย ของอาจารย์ จาก ซีดี และเคยพูดกับญาติ ๆ ว่า "อาจารย์บรรยายสนุกดี แต่บรรยายเรื่องประสบการณ์ ไม่ได้สอนวิธีปฏิบัติ เช่นไม่ได้บอกว่าจะต้องอย่างไรจึงมีความเห็นถูก เห็นตรง   หรือทำอย่างไรในการนั่งสมาธิ จึงจะได้บรรลุญาณ ฯลฯ" เช่นนี้ ผมรู้สึกว่าเป็นความผิด เป็นการนินทาครูบาอาจารย์  

จึงขอโอกาสในการขอขมา อาจารย์ ไว้ ณ ที่นี้  

กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ใด ๆ ที่ผมได้ล่วงเกิน อาจารย์ สนอง ผมกราบขอขมา และขออโหสิกรรม อาจารย์ และขอให้อาจารย์โปรดเมตตา ยกโทษ และอโหสิกรรมให้แก่ผมด้วยครับ

กราบขอขอบคุณท่านอาจารย์อย่างสูง ในความเมตตาครับ

ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง อยู่ช่วยเหลือ ชี้แนะ สั่งสอน และเผยแผ่ธรรมไปนาน ๆ ครับ

วรรณพงศ์

คำตอบ
     (๑) ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เป็นเพราะจิตขาดสติกำกับ ผู้มีสมาธิสั้นสามารถฝึกให้มีสมาธิยาวได้ ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ให้เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก นานประมาณ ๘ นาที เมื่อกิจกรรมทั้งสองแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง หากผู้ภาวนามีสัจจะและทำตามวิธีที่เสนอแนะให้ได้ทุกวัน โอกาสที่จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิยาวนาน ย่อมเกิดขึ้นได้

     ผู้ถามปัญหาตั้งใจจะลดความโกรธลงให้ได้ ต้องมีศีล ๕ คุมใจ มีกาย วาจา ใจ ตรงกัน แล้วให้อภัยเป็นทานให้ได้ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจ จิตย่อมสงบเย็นและเมตตาจะเกิดและสั่งสมอยู่ในดวงจิต

     (๒) บาปโดยมิได้เจตนา บาปเช่นนี้จะหมดไปได้ต้องขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และต้องทำใจให้มีศีล ๕ และมีสัจจะอยู่ทุกขณะตื่น

     (๓) คำว่า “ความเห็นถูกตรง” ต้องถามว่าถูกตรงของใคร หากเป็นความเห็นถูกของพระพุทธโคดมแล้ว ความเห็นนั้นต้องถูกตรงตามธรรมที่เป็นจริงขั้นปรมัตถสัจจะ และการจะเข้าถึงความเห็นเช่นนี้ได้ ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ แล้วโอกาสที่จิตจะเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น ผู้มีปัญญาเห็นแจ้งอยู่ในดวงจิต เป็นผู้มีความเห็นถูกตรงตามธรรม ดังนั้นการปรามาส ( ดูถูก ) ผู้ทรงคุณธรรม ย่อมแพ้ภัยตัวเองด้วยเดชของศีลเป็นต้นเหตุ … . ผู้ตอบปัญหาได้ยกโทษให้กับผู้ถามปัญหาแล้ว
  

2263.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

     ผมได้ทิ้งงานทางโลก ไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นเวลา 8 วัน 8 คืน ด้วยความตั้งใจอย่างมาก เจริญสติตลอดเวลา นั่งสมาธิ เดินจงกรม เหนื่อยมากก็นั่งเฉยๆ แต่ทำความรู้สึกตัวให้มีสติตลอดเวลา วันละ 18 ชั่วโมง เวลานั่งสมาธิใช้วิธีดูลมหายใจที่มากระทบโพรงจมูก ภาวนา พุทธ-โธ ผลที่เกิดขึ้น วันแรก รู้สึกตึงและปวดเล็กน้อยบริเวณขมับและระหว่างคิ้ว วันที่ 2 มีอาการปวดเกร็งที่สมองบริเวณขมับและหน้าผากอย่างมาก วันที่ 3 นั่งสมาธิไม่ไหวเนื่องจากปวดมาก คือไม่ต้องให้นั่งสมาธิแค่หลับตาแล้วคิดว่าจะดูลมหายใจก็ปวดแล้ว วันที่ 4 ท้อมาก ฟุ้งมากคิดหาวิธีนั่งสมาธิแบบอื่น เพราะคิดว่าที่ผ่านมาคงเพ่งลมหายใจมากไป แต่การเดินและการเจริญสติอย่างอื่นยังทำอยู่ วันที่ 5 นั่งสมาธิโดยดูลมหายใจ แต่ดูแบบเบาๆ เบลอๆ ก็จะไม่ปวด แต่พอจิตเริ่มแนบกับลมหายใจก็ปวดอีก หรือถ้าดูเบาๆ มากก็จะเผลอจิตเข้าสู่ภวังค์ (หลับ) วันที่ 6 ตัดสินใจไม่ดูลมหายใจ ใช้วิธีนั่งเฉยๆ ไม่คิดอะไร แต่พอเริ่มนิ่งก็เริ่มเห็นลมหายใจ อาการปวดสมองก็เริ่มเขม็งเกลียวขึ้นมาอีก ต้องคอยขยับกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและหน้าผากเพื่อไล่ออกไป และทำอยู่อย่างนี้จนครบ 8 วัน จิตไม่ได้นิ่งจนเข้าสมาธิได้ เนื่องจากต้องคอยไล่อาการปวดเป็นช่วงๆ จนออกจากวัดกลับบ้าน ขณะขับรถถ้าขับนิ่งๆ แบบมี่สมาธิในการขับอาการปวดที่ยังค้างอยู่ก็ยังคอยปรากฏเป็นช่วงๆ ที่เล่ามาทั้งหมดอยากจะถามอาจารย์ว่า

1. การดูลมหายใจเป็นวิธีที่ไม่เหมาะกับผม หรือว่าผมเริ่มต้นปฏิบัติดูลมหายใจโดยไม่ถูกวิธีเลยทำให้ปวด

2. ถ้าผมจะทดลองปฏิบัติด้วยวิธีอื่น คือการเพ่งกสิณสี โดยอ่านจากตำราแล้วทำไม่มีอาจารย์คอยดูแลจะเกิดอันตรายหรือไม่ ถ้าทำเองได้อาจารย์มีข้อแนะนำอะไรบ้าง ควรระวังอะไรบ้าง

     ขอขอบคุณอาจารย์มากครับ

     ด้วยความเคารพ

คำตอบ
     (๑) การเจริญสมถกรรมฐาน ต้องทำให้ถูกกับจริตของผู้ภาวนา แล้วอาการที่เกิดจากมารจะไม่เข้ามารบกวน ฉะนั้นควรเปลี่ยนไปใช้การบริกรรมอย่างอื่น เช่น นั่งหลับตาแล้วกำหนดอากาศเป็นช่องว่างที่ไม่มีสิ้นสุดเป็นอารมณ์ วิธีการนี้เหมาะกับทุกจริตของคน สามารถทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ การภาวนามิได้ทำเฉพาะอิริยาบถนั่งเท่านั้น ทุกอิริยาบถสามารถนำมาใช้ภาวนาได้

     (๒) จะใช้กสิณสีใดสีหนึ่ง ( สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว ) ย่อมทำได้ หากนำมาบริกรรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ กสิณสีนั้นย่อมเหมาะกับผู้ถามปัญหา ตรงกันข้าม หากใช้กสิณสีมาบริกรรมแล้ว จิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรเลิกวิธีการเช่นนั้น และไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
  

2262.
กราบเรียน อ.สนองที่เคารพ
 
ผมเริ่มปฏิบัติธรรม 4 ปี แต่มีความเพียรน้อยทำให้มีปัญญาน้อยเกิดปัญหามีทุกข์มาก จึงขอคำแนะนำจากอาจารย์ ดังนี้ครับ
 
 1. ผมมีความทุกข์ที่เกิดจากการใช้ชีวิตในสังคม ผมรู้สึกได้ถึงการถูกกระทำจากบุคคลรอบตัว ที่ไม่เหมาะสม เช่น การพูดจาดูถูก พูดจาไม่ดี ปฏิบัติด้วยอย่างไม่ดีเป็นต้น โดยผมสังเกตว่า การถูกปฏิบัติในแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เช่นหากเป็นคนที่ดูน่าเกรงขาม ก็จะไม่ถูกต่อว่ามากเท่าคนที่ดูอ่อนโยน หรือมีเมตตาหรือเป็นคนไม่สู้คน เพราะฉะนั้น ผมควรจะปฏิบัติตัวหรือวางใจอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือทั้งหมดเกิดจากวิบากกรรมใดๆของผมทำให้ได้รับผลเช่นนี้
 
  2. การสร้างบุคลิคให้มีผู้ให้ความเคารพ ปฏิบัติด้วยอย่างเสมอกัน ไม่ถูกดูถูกดูแคลน มีความน่าเชื่อถือ   ควรจะต้องใช้หลักธรรมข้อใดครับ
 
  3. พี่สาวของผมมีปัญหาอกหัก และไม่สามารถปล่อยวางจากแฟนคนดังกล่าวได้ ทำให้เป็นคนเครียด นอนไม่หลับ กินยาประชดชีวิต ออกจากงาน
มีความเชื่อเรื่องโชคลางและการพยากรณ์ดวงชะตา บูชาพระราหู บางอย่างมีความงมงายมาก ไม่เชื่อคนใกล้ตัวที่เป็นห่วงมีพฤติกรรมหลายอย่างน่าเป็นห่วง ทำให้ผมและแม่ไม่สบายใจเป็นทุกข์ ในฐานะที่ผมเป็นน้อง ผมจะมีวิธีใดที่จะช่วยได้หรือไม่ อย่างไรครับ เพราะหากจะใช้คำว่าสัตว์โลกย่อมเป็นตามกรรม แต่ในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน หากปล่อยไปเรื่อยๆไม่สร้างเหตุที่เหมาะสม ผมคงต้องเสียพี่คนนี้ไปครับ
 
  4. มีปัญหากันมากมายระหว่างสมาชิกในบ้าน โดยเฉพาะตั้งแต่พ่อเสียไป ได้แก่ แม่กับป้า ป้ากับน้องผม พี่สาวกับน้องสาว ถึงขนาดไม่คุยกัน หรือถ้าพูดจะกระแทกใส่กันประชดประชัน เหล่านี้มีเหตุจากอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้างครับ หรือควรสร้างเหตุอย่างไรให้คนในบ้านปรองดองกัน
 
กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
     (๑) ผู้ถามปัญหาโชคดีที่มีครูอยู่ใกล้ ไม่ต้องเดินทางไปหาครูที่อยู่ห่างไกลที่ไหน ครูพูดจากดูถูก พูดจาไม่ดี เราจะไม่กล่าววาจาเช่นเขา แล้วเราจะไม่มีพฤติกรรมไม่ดีเช่นเขา จะทำอย่างนี้ได้ต้องพัฒนาจิตตนเอง ให้มีสติระลึกได้ทันเสียงที่ได้ยิน และมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ( มีสติสัมปชัญญะ ) เช่นเดียวกับภาพที่เข้ากระทบประสาทตา ( จักขุประสาท ) หากเป็นภาพดี เราจะประพฤติเหมือนเขา แล้วเราจะมีพฤติกรรมดีเช่นเขา ทั้งหมดนั้นเป็นเหตุที่ทำได้ ทำให้เราได้พัฒนาจิตตนเอง จึงเรียกว่าเป็นผู้มีโชคดี

     (๒) ต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีศีล มีสัจจะ มีเมตตา มีสติ และมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้

     (๓) เอาพี่สาวเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าเราจะไม่ทำตัวให้เป็นคนเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) เช่นพี่สาว และเราจะได้ไม่ต้องเสวยอกุศลวิบากเหมือนเขา เรื่องของพี่สาวเป็นเรื่องของเขา จะมีพระพุทธเจ้ามาโปรดสักกี่องค์ก็ไม่สามารถช่วยได้ พี่สาวต้องบริหารจัดการชีวิตของตัวเองด้วยตัวเอง ปัญหาต่างๆจึงจะหมดไปได้ ผู้รู้ไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น แต่ผู้รู้ดูเขาเป็นครูไม่ดี ที่เราจะไม่ทำเช่นเขา แล้วเราจะไม่เป็นเหมือนเขา

     (๔) เรื่องที่บอกเล่าไปมีต้นเหตุมาจาก สมาชิกครอบครัวไม่นำตนให้มีศีลคุมใจ ไม่ประพฤติเมตตาต่อกัน อกุศลวิบากจึงได้เกิดขึ้น
   

2261.
เรียน ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

  หนูมีข้อคำถามที่ต้องการให้ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาให้คำแนะนำ ดังนี้ค่ะ

  ขณะนี้ หนูรู้สึกว่าแม้กระทั่งจิตใจของเราเอง เรายังไม่สามารถบังคับ หรือสั่งให้มันเปลี่ยนแปลงหรือคงที่ได้เลย แล้วอย่างนี้เราจะสามารถบังคับหรือสั่งอะไรได้จริงบ้าง แล้วมันก็เกิดความรู้สึกที่ว่าทุกอย่างที่เราได้พบเจอมาบนโลกนี้ มันเป็นเหมือนสสาร คลื่นพลังงาน หรือมวลอณูอะไรเล็กๆ แค่นั้นแล้วแท้จริงโลกมันคืออะไรกันแน่ แล้วสิ่งที่มากระทบกับประสาทสัมผัสของเราทั้งหมดที่ผ่านมา มันคืออะไรกัน แล้วตัวหนูจริงๆ มันคืออะไร

  ตอนนี้หนูกำลังเรียนอยู่ค่ะ พอคิดแบบนี้ หนูก็รู้สึกว่า หนูกำลังเรียน มันก็มีตัวหนูเกิดขึ้นมาตัวนึง ฉะนั้น บทบาทที่หนูสวมหน้ากากอยู่ตอนนี้ (รู้สึกเหมือนคนกำลังแสดงละคร) คือ ต้องตั้งใจเรียนให้จบ แต่ในความรู้สึกลึกๆ มันก็ยังรู้สึกว่า มันก็ไม่ใช่ตัวหนูอยู่ดี แล้วสิ่งที่กำลังทำอยู่มันก็ไม่ใช่ของจริงอยู่ดี(คือ สับสนยังไงบอกไม่ถูก และกำลังรู้สึกงงๆว่าแล้ว แท้จริง หรือสิ่งที่เป็นของจริงๆ มันคือ อะไรกันแน่)

  ตอนนี้ มันรู้สึกเหมือนโล่งๆ ว่างๆ นิ่งๆ ลอยๆ อยู่ยังไงบอกไม่ถูกค่ะ ทราบแต่เพียงว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ถ้ามันไม่มีเหตุ มันก็ไม่มีผล แล้วจริงๆหนูควรจะทำเหตุยังไงดีกันแน่ หรือไม่ควรทำเหตุ หรือควรจะยังไงดี ไม่รู้เลยค่ะ

  หนูจึงต้องการเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

  1. ที่รู้สึกอยู่ในขณะนี้มันคืออะไรคะ

  2. แล้วมันเป็นความคิดความเห็นที่ถูกหรือไม่คะ

  3. แล้วแท้ที่จริง สิ่งจริงแท้ สิ่งที่เป็นของจริง มันคืออะไรกันแน่คะ

  4. หนูควรจะทำยังไงต่อไปดีคะ

  จึงเรียนมาเพื่อท่านอาจารย์โปรดช่วยกรุณาให้คำชี้แนะด้วยค่ะ

  ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

ชไมพร 

คำตอบ
     โลกคือที่เกิด ที่อยู่อาศัย ที่ทำกิจกรรมของชีวิต

     สิ่งที่มากระทบกับประสาทสัมผัสเรียกว่า อายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่เข้ากระทบผิวกาย ( เย็น ร้อน อ่อน แข็ง )

     ตัวของผู้ถามปัญหา คือ รูปนามที่มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์

     สิ่งที่ปรากฏอยู่ในภพต่างๆของวัฏฏะ เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วหายไป ผู้ใดพัฒนาจิตจนเป็นอิสระจากสมมุต ย่อมนำพาชีวิตพ้นไปจากการเวียนตาย - เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร หรือพูดได้ในอีกแนวทางหนึ่งว่า เป็นผู้ที่พัฒนาจิตจนหมดสิ้นจากอาสวะใดๆปนเปื้อนอยู่ในดวงจิต นั่นคือตัวจริงของผู้ที่ปรารถนานำพาชีวิตไปสู่ความสูงสุด และผู้ถามปัญหาจะพบกับตัวจริงของตนได้ ต่อเมื่อต้องกำจัดกิเลส ( สังโยชน์ ๑๐ ) ให้หมดไปจากใจ

     (๑) ที่รู้สึกอยู่ขณะนี้คือความรู้หรือปัญญาที่เห็นผิดไปจากความเป็นจริงแท้

     (๒) การแสวงหาความรู้ที่ชาวโลกนิยมพัฒนากันคือ การฟัง การอ่าน ที่มีผู้รู้ไม่จริงมาบอกกล่าว หรือเขียนไว้ในตำราคัมภีร์ ( สุตมยปัญญา ) เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากการฟังการอ่านไปวิจัยเรียกว่า จินตามยปัญญา ความรู้หรือปัญญาทั้งสองประเภทนี้ เข้าถึงความจริงได้เพียงสภาวสัจจะ หรือความจริงที่ยังเป็นสมมุติ แต่มีคนจำนวนน้อยพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาสูงสุด ( ภาวนามยปัญญา ) ย่อมมีโอกาสเข้าถึงความจริงแท้ ( ปรมัตถสัจจะ ) ที่ไม่เนื่องด้วยกาลเวลา

     คนที่มีปัญญาทางโลกยอมรับว่า ความจริงที่เป็นสภาวะ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนคนที่มีปัญญาสูงสุด ยอมรับว่า สภาวะสัจจะ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ( มิจฉาทิฏฐิ ) แต่ปรมัตถสัจจะเท่านั้นถูกต้อง ( สัมมาทิฏฐิ ) เพราะเป็นความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

     (๓) สิ่งที่เป็นจริงแท้ คือ ปรมัตถสัจจะ หรือคือสิ่งที่พ้นไปจากสมมุตินั่นเอง

     (๔) ควรพัฒนาปัญญาเห็นถูกตามธรรมให้เกิดขึ้น ด้วยการพัฒนาจิตตามแนวทางของวิปัสสนากรรมฐาน
  

2260.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร

จากที่หนูเคยรบกวนถามท่านอาจารย์ไปแล้วในครั้งก่อน กระทู้ที่ 2255  ครั้งนี้ หนูขอรบกวนอาจารย์อีกเพียงเล็กน้อย เพื่อเป็นประโยชน์และเป็นแนวปฏิบัติให้แก่พระบวชใหม่

เนื่องจากคราวก่อนที่ถามท่านอาจารย์ว่า พระบวชใหม่จะย้ายวัดที่จำพรรษาเพราะวัดที่บวช และพระร่วมวัดไม่เอื้ออำนวยในการปฏิบัติธรรมตามที่ท่านอาจารย์ได้เมตตาตอบคำถามว่า ถ้าพระอุปัชฌาย์อนุญาตก็ย้ายวัดที่จำพรรษาได้

หนูขอรบกวนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. หากพระอุปัชฌาย์วัดที่บวชไม่อนุญาตให้พระบวชใหม่ไปจำพรรษาที่ใดเกิน 6 วัน พระบวชใหม่ควรทำอย่างไรดีคะ เพื่อที่จะทำให้ท่านเปลี่ยนความคิด และอนุญาตให้พระบวชใหม่ไปจำพรรษาที่อื่นเป็นการชั่วคราวอาจจะแค่ 1-2 อาทิตย์ (เพราะพระอุปัชฌาย์ท่านมีอายุมากแล้ว ท่านมีความเชื่อเดิมๆว่าหากไปจำพรรษาที่อื่นเกิน 6 วัน จะทำให้ขาดพรรษาค่ะ)

2. ถ้าพระอุปัชฌาย์ไม่อนุญาตให้พระบวชใหม่ ย้ายไปจำพรรษาที่วัดอื่นเด็ดขาด พระใหม่ต้องจำพรรษา ณ วัดเดิมที่พระรูปอื่นสูบบุหรี่ ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ไม่นั่งสมาธิ ไม่เจริญกรรมฐาน มีการจุดไฟเผาหญ้าในบริเวณวัด ทำให้พระบวชใหม่ไม่สามารถนั่งสมาธิได้เลย

ขอความกรุณาจากท่านอาจารย์ได้โปรดให้แนวคิด หลักคำสอนเพื่อเป็นแนวทาง และกำลังใจให้แก่พระบวชใหม่ เพื่อจะได้ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ที่เป็นอุปสรรคอันหนักหน่วงที่พระบวชใหม่ต้องเจอในปัจจุบันนี้ค่ะ

3. พระบวชใหม่บอกว่าเวลานั่งสมาธิในตอนกลางคืน มักนั่งได้ไม่นาน บางครั้งก็ปวดขา-ปวดเอว บางครั้งก็ถูกมดกัด บางครั้งก็ง่วงนอนจนทนนั่งสมาธิต่อไม่ไหว ซึ่งก่อนนั่งท่านก็ตั้งใจว่าจะนั่งให้นานที่สุดแต่ก็ทำไม่ได้ ทำอย่างไรจึงจะทำให้พระบวชใหม่ นั่งสมาธิได้นานๆ ดับกิเลส ชนะเวทนาได้บ้างค่ะ

4. ในการที่พระบวชใหม่จะบรรลุธรรมแต่ละขั้น พระบวชใหม่ต้องปฏิบัติตนยึดหลักธรรมคำสอนใด เพื่อที่จะบรรลุธรรมได้ดวงตาเห็นธรรม (เพียงเล็กน้อยก็ยังดีค่ะ) เพื่อเป็นกำลังใจให้พระบวชใหม่ในการปฏิบัติธรรมต่อไปในอนาคต

5. การปฏิบัติธรรมของพระบวชใหม่ หากท่านไม่มีครูอาจารย์ที่คอยชี้แนะ สั่งสอนว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรนั้น จะทำให้พระบวชใหม่บรรลุธรรมอย่างพระรูปอื่นๆ ที่ท่านมีครูอาจารย์คอยชี้แนะ สั่งสอนได้มั้ยคะ

6. พระบวชใหม่บวชเป็นเวลาเกือบ 4 เดือน สึกประมาณ 26 พย. หากต้องจำพรรษาที่วัดเดิมที่บวช ซึ่งมีอุปสรรคมากมาย   พระบวชใหม่กลัวจะไม่ได้อะไรเลยจากการบวชครั้งนี้ ตอนกลางวันก็ได้แต่กำหนดรู้ตามความรู้สึก ตอนกลางคืนก็ได้นั่งสมาธิเพียง 1 ชม. ตอนนี้พระบวชใหม่รู้สึกท้อใจมากๆเลยค่ะ เพราะทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ก่อนบวช พระบวชใหม่ควรทำเช่นไรเพื่อให้พ้นจากสภาะจิตที่ขุ่นมัว หมดกำลังใจและท้อถอยเช่นนี้คะ

7. พระบวชใหม่เคยตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้เวลาบวชได้เจอกับอาจารย์ที่คอยแนะนำ และชี้แนะตลอดการบวชในพรรษานี้ แต่การที่พระไม่สามารถไปจำพรรษาที่ใดได้ย้ายวัดจำพรรษาไม่ได้   และวัดที่บวชก็ไม่มีพระรูปใดจะคอยชี้แนะ พระบวชใหม่เลย เพราะวัดนี้เน้นการสวดมนต์ ไม่เน้นปฏิบัติกรรมฐานเลย   พระบวชใหม่ควรทำตนอย่างไรดีคะ  ( คำถามข้อใดที่ไม่ชัดเจน หนูต้องกราบขอโทษท่านอาจารย์ ดร.สนอง ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ทุกคำถามมาจากเจตนาดี ภายในใจเพียงต้องการคำตอบ และหลักคำสอนของท่านอาจารย์ ดร.สนองเพื่อเป็นหลักคำสอน แนวปฏิบัติเพื่อให้พระบวชใหม่ได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ตลอดระยะเวลาการบวชพรรษานี้ เนื่องจากพระบวชใหม่รักและเคารพ เชื่อฟังในคำสอนของท่านอาจารย์ ดร.สนองมากๆค่ะ)                                                 

    ด้วยความเคารพอย่างสูง
      กราบขอบคุณท่านอาจารย์ ดร.สนองค่ะ ที่เมตตาสละเวลาอันมีค่าของท่านตอบคำถามของหนู

คำตอบ
     (๑) ต้องเรียนต้นเหตุของปัญหาให้อุปัชฌาย์รับทราบ เมื่ออุปัชฌาย์ตัดสินอย่างไร ต้องปฏิบัติตามนั้น ผู้รู้ไม่นิยมหนีปัญหา เพราะหนีใจตัวเองไม่พ้น แต่ผู้รู้นิยมเอาปัญหามาเป็นบทเรียน ให้ตนได้พัฒนาจิตจนมีขันติ เมตตา สติ และปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้นได้ ปัญหาจึงจะหมดไปได้

     (๒) เมื่อใดมีสิ่งเข้ากระทบจิต แล้วทำให้เกิดเป็นอารมณ์ที่ไม่ปรารถนา ( อนิฏฐารมณ์ ) บางคนเอาเวลาที่ปลอดจากสิ่งกระทบที่ไม่ดี มาพัฒนาจิตตนเอง เช่น เวลาที่คนอื่นนอนหลับ เวลาที่คนอื่นไม่จุดไฟเผาหญ้า เวลาที่คนอื่นไม่สูบบุหรี่ ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เรียกว่าหนีปัญหาหรือเลี่ยงปัญหา ตรงกันข้ามผู้รู้นิยมพัฒนาจิตตนเอง จนมีกำลังของสติกล้าแข็ง แล้วย่อมอยู่กับสิ่งกระทบที่ไม่ดี แต่ไม่เกิดปัญหาขึ้นกับจิตได้

     (๓) สิ่งที่เป็นจริงแท้ คือ ผู้ถามปัญหามีกำลังของสติอ่อน ปัญหาต่างๆจึงได้เกิดขึ้นให้ตนต้องเสวย

     (๔) หากประสงค์จะผ่านปัญหาที่บอกเล่าไปให้ได้ ต้องพัฒนาจิตตนเอง ตามที่พระพุทธโคดมได้ตรัสกับภิกษุทั้งสามรูปในทำนองที่ว่า “ผู้ไม่ประมาท พึงระลึกอยู่เสมอว่า เราเป็นอยู่ได้ชั่วขณะ หายใจเข้าแล้วหายใจออก และระลึกว่า เราเป็นอยู่ได้ชั่วขณะ หายใจออกแล้วหายใจเข้าเท่านั้น”

     (๕) เป็นไปได้ต่อเมื่อต้องมีปัจจัย ( บุญบารมี ) เก่าสั่งสมมามาก ดังตัวอย่างของบรรดาพุทธสาวกที่มีชีวิตอยู่ในครั้งพุทธกาล ได้ฟังธรรมแล้วโยนิโสมนสิการ ก็สามารถเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้

     (๖) แก้ปัญหาตามข้อ (๔)

     (๗) ต้องช่วยตัวเอง ด้วยการพัฒนาจิต ตามข้อ (๔) แล้วโอกาสที่ปัญหาจะหมดไปได้ ยังมีอยู่
  

2259.
เรียน ดร.สนอง วรอุไร

ดิฉันเคยเขียนมาเรียนถามท่านอาจารย์ 2 ครั้งแล้วค่ะ   หลังจากที่อาจารย์ได้ให้คำตอบเพื่อความกระจ่างในการปฎิบัติธรรมไปแล้ว ดิฉันได้ปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง เกิดความสงสัยในการปฎิบัติ   จึงขออนุญาตเรียนถามเกี่ยวกับการปฏิบัติ สมถะวิปัสสนา ดังนี้ค่ะ

1.  ปกติดิฉันจะสวดมนต์ ไหว้พระก่อนแล้วจึงเดินจงกรมและนั่งสมาธิต่อ แต่ระยะหลังนี้ รู้สึกว่าเดินจงกรมขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ รู้สึกว่า กำหนดไม่ทันกับกริยาที่กำลังก้าวเดิน รู้สึกว่า การเดินของตัวเราช้าไป ทั้งๆ ที่เมือก่อนตอนไปฝึกที่วัดอัมพวัน ทำได้ เป็นไปได้ไหมค่ะว่า โดยปกติ ดิฉันกำหนดเดิน ขวา ซ้าย เอามาใช้ในชึวิตประจำวันเป็นการกำหนดรู้ตามอิริยาบทเดิน เพราะถ้าไม่เดินนั่งอยู่ก็จะกำหนดพุทโธ ตามลมหายใจเข้าออก ยิ่งช่วงนั่งรถไฟฟ้านี่ จิตจดจ่อกับลมหายใจตลอด พอเผลอคิดก็ดึงกลับมากำหนดใหม่ ไม่ทราบว่า ทำแบบนี้จะได้ไหมค่ะ  

2. เมือต้นเดือน ก.ค. ดิฉันได้ประสบปัญหากับการตกงานแบบไม่ได้เตรียมตัว ต้องปรับตัวปรับใจไม่ให้เครียด   และเป็นทุกข์กับสิ่งที่กำลังประสบอยู่ และอาจจะเพราะดิฉันพอจะมีบุญกุศลที่ได้ทำมาบ้าง ได้พบกัลยาณมิตรทางธรรม ได้แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมระหว่างว่างงานสักคอร์สหนึ่ง ซึ่งมิตรผู้นี้ได้ชวนและพาไปปฏิบัติที่สำนักพุทธสาวิกา ชลบุรี เป็นเวลา 4 วัน ถือศีล 8 ระหว่างปฏิบัติได้เข้าสู่สมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ ตามลำดับ จนได้เห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ผิวดำ ผมหยิก กำลังเตรียมทำอาหารไปใสบาตร เกิดสงสัยในจิตว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ได้มีเสียงบอกว่า นี่แหละตัวเมิงในอดีตชาติ ไม่ทราบว่า เกิดจากทิพจักขุ หรือเปล่าค่ะ

3. ระหว่างปฎิบัติที่สำนักพุทธสาวิกา ช่วงเวลาประมาณ ตี 1-2 ขณะที่ดิฉันกำลังหลับ รู้สึกตัวว่าได้ถูกดึงผ้าห่มออกจากร่างกายทางปลายเท้า ซึ่งดิฉันก็ดึงสู้ มองไปทางปลายเท้าไม่เห็นอะไร เห็นแต่กัลยาณมิตรที่มาด้วยกันนอนหลับอยู่อีกด้านของมุมห้อง พอดิฉันดึงผ้าห่มกลับมาก็มีเสียงเป็นผู้ชายถามดิฉันว่า จะมาปฏิบัติธรรมอีกไหม ดิฉันนึกในใจว่า แล้วเป็นใครเนีย มาถามดิฉันทำไม เสียงผู้ชายคนนั้นก็ถามอีกว่า แล้วจะไปปฏิบัติธรรมที่ไหนต่อไป ดิฉันนึกในใจตอบกลับไปว่า อาจจะไปสวนโมกข์พลาราม แล้วเสียงก็หายไป สักพักดิฉันก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง หายใจไม่ค่อยออก มีอะไรหนักๆ มาทับที่บริเวรณหน้าอก ร่างกายขยับไม่ได้ เลยสวดมนต์แผ่เมตตาไป สักพักก็ขยับได้เป็นปกติ จนได้ยินเสียงระฆังตีเวลา ตี3 ปลุกให้ตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้าค่ะ   ไม่ทราบว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากญาติ หรือเจ้ากรรมนายเวร มาขอให้ส่วนบุญกุศลหรือเปล่าค่ะ

4. ดิฉันอยากทราบว่า หากว่าดิฉันปฏิบัติได้ถูกต้องจนเข้าถึงสมาธิในองค์ฌานได้แล้ว ควรปฏิบัติอย่างไรต่อไปเพื่อพัฒนาจิตให้หลุดพ้นจากวัฎสงสารค่ะ

5. ดิฉันได้ยินมาว่า การที่เราปฎิบัติได้ในระดับนี้ย่อมต้องเกิดจากสะสมของเก่ามาจากอดีตชาติ ที่เคยได้กระทำมาแล้ว สั่งสมไว้ ไม่ทราบว่า อันนี้เป็นเรื่องจริงไหมค่ะ เพราะตั้งแต่เด็ก ดิฉันเป็นคนที่เวลาอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมักมีจิตจดจ่อกับเรื่องนั่นๆ โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ถ้าเรียกชื่อจะไม่ได้ยินค่ะ และดิฉันเพิ่งเคยเข้าคอร์สปฎิบัติธรรมเพียงแค่ 2 ครั้งจากวัดอัมพวัน และล่าสุดไปปฏิบัติที่สำนักพุทธสาวิกาค่ะ โดยครั้งแรกเกิดปิตี ครั้งที่สองเกิดสมาธิตามลำดับที่เคยได้เขียนมาเรียนถามอาจารย์ค่ะ

6. กัลยาณมิตร ได้เคยเล่าให้ฟังว่า การปฏิบัติต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ สอน บางทีท่านอาจารย์ก็จะเมตตามาสอนในสมาธิของเรา แล้วดิฉันจะทราบได้อย่างไรว่า เรามีครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เมตตาสอนเราได้บ้างค่ะ

7. ล่าสุดดิฉันนั่งสมาธิ พอจิตสงบก็รู้ว่าจิตคิด บางเรื่องก็คือเรื่องคาใจ และบางเรื่องไม่เกี่ยวกับตัวดิฉันเลย พอระลึกรู้ว่า ส่งจิตออกนอก ก็ดึงกลับมาที่ความรู้สึกลมหายใจ พุทโธๆ ต่อ รู้สึกได้ว่าจิตเบา บาง สบาย พอจิตออกไปนอกก็ตามดูว่าจิตเค้าไปไหน แล้วดึงกลับมาที่ลมหายใจต่อ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ทราบว่าเป็นวิธีปฎิบัติที่ ถูกต้องไหมค่ะ ที่จิตออกนอกนี่เป็นเรื่องธรรมชาติของจิตใช่ไหมค่ะ หากว่าดิฉันปฏิบัติไม่ถูก ไม่ทราบว่าจะแก้ตรงจุดนี้ได้อย่างไรค่ะ

ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้ความกระจ่างมา ณ ที่นี้ค่ะ หากว่าดิฉันได้ล่วงเกินอะไรไป ขอให้อาจารย์อโหสิกรรมให้ด้วยค่ะ

ขอแสดงความนับถือ

กานต์พิชชา

คำตอบ
     (๑) การปฏิบัติธรรม ( สมถภาวนา ) ตามที่บอกเล่าไป วิธีใดนำมาประพฤติปฏิบัติแล้ว มีจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ จิตย่อมสงบจากอารมณ์ปรุงแต่ง ( สมาธิ ) วิธีการนั้นถือว่าปฏิบัติได้ผลถูกตรงตามธรรม จงดำเนินต่อไป

     (๒) เกิดจากจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ ( อัปปนาสมาธิ ) หรือที่เรียกว่า สมาธิระดับฌาน เมื่อจิตถอนออกจากฌาน อภิญญาตัวที่เรียกว่า ความรู้เป็นเครื่องระลึกถึงรูปขันธ์ที่จิตเคยใช้อยู่อาศัยในชาติก่อน ( ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ) จึงเกิดขึ้น ความรู้แบบนี้มิได้เรียกว่า ทิพพจักขุญาณ และมิได้เป็นเหตุนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏฏะ

     (๓) บุคคลผู้มีจิตไม่เกิด - ไม่ดับ เรียกว่า ภวังคจิต ( หลับ ) จึงไม่สามารถรับรู้สิ่งใดๆทั้งสิ้น พลังงานจิตที่พัฒนาสมควรแล้ว จึงสามารถสัมผัสกับเสียงที่เป็นทิพย์ได้ การอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้าของเสียงที่ได้ยินนั้น ถือว่าเป็นการสร้างพันธไมตรีที่ดีต่อกัน ผู้รู้จึงนิยมประพฤติเช่นนี้

     (๔) ผู้ที่ปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ หรือที่เรียกว่า สมาธิระดับฌาน หากถอนจิตออกจากความทรงฌาน ให้มาตั้งเป็นสมาธิระดับจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) แล้วนำจิตไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ว่าเหล่านี้ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ เมื่อผัสสะที่เกิดขึ้นในดวงจิต ดำเนินไปสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะนั้นย่อมเกิดขึ้น ทุกผัสสะต้องพิจารณาตามนี้ จนเห็นว่าแต่ละผัสสะเป็นสิ่งที่มิใช่ตัวใช่ตน ( อนัตตา ) แล้วโอกาสที่จิตจะเข้าถึงภาวะ ความเป็นอริยบุคคลจึงจะเกิดขึ้นได้

     (๕) เสียงที่ได้ยิน เป็นผลที่มาจากบุญบารมีเก่าที่เคยทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ ผู้รู้ไม่นิยมบริโภคของเก่าที่เป็นเหตุนำพาชีวิตเวียนตาย - เวียนเกิดอยู่ในวัฏฏะ แต่ผู้รู้นิยมบริโภคของใหม่ ที่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

     (๖) เริ่มแรกต้องสร้างมหาทาน แล้วอธิษฐานให้ครูบาอาจารย์ผู้รู้และมีธรรม มาช่วยชี้ทางเดินของชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาในสิ่งที่อธิษฐาน จึงจะเกิดขึ้นได้

     (๗) ธรรมชาติของจิตที่ขาดสติควบคุม ย่อมเคลื่อนออกไปจากตัว แล้วไปรับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ดี ( ขยะ ) เข้าปรุงอารมณ์ ส่วนจิตที่พัฒนาดีแล้ว ( มีสติ ) ย่อมระลึกอยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วเรื่องข้องคาใจรวมถึงเรื่องอื่นๆจะไม่เกิดขึ้นให้จิตรับเข้าปรุงเป็นอารมณ์ที่ไม่ดี ดังนั้นการแก้ปัญหาตามที่บอกเล่าไป ผู้ถามปัญหาปฏิบัติได้ถูกตรงแล้ว … . สุดท้าย ทั้งผู้ถามและผู้ตอบปัญหาไม่มีโทษใดๆต่อกัน
   

2258.
เรียน ดร.สนอง ที่เคารพ
 
คือหนูมีเรื่องรบกวนสอบถามค่ะ คือว่าหนูมีปัญหาว่าครอบครัวอยากให้หนูทำงานของครอบครัว ทั้งๆที่หนูก็ไม่ได้อยากทำ และเมื่อมาทำ ก็พบกับการต่อว่าทั้งๆที่ไม่ได้ผิดหรือเรื่องอื่นๆ หนูก็อดทนมาคิดว่าเป็นเพราะว่ากรรมเก่าที่เคยทำกันมา...
 
แต่เมื่อเวลาผ่านมา 3 ปีแล้ว มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น หนูอยากได้วิธีในการดูแลใจตัวเองอ่ะค่ะ ว่าเราควรจะทำยังไง
ให้ผ่านทุกอย่างไปได้ หนูรู้สึกว่า พอดูใจตัวเองแล้วมันมัวมากเลยค่ะ บางครั้งก็จิตอกุศลน่ะค่ะ
 
ด้วยความเคารพ

คำตอบ
    มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอาศัยปัจจัยจากสังคม ชีวิตจึงจะอยู่รอด ด้วยเหตุนี้จึงต้องตอบแทนคุณของสังคม ( ครอบครัว ) ด้วยการทำงานให้กับครอบครัว และเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณต้องโคจรไปเกิดเป็นรูปนามใหม่ จึงจำเป็นต้องทำงานให้กับตัวเอง คือเตรียมสร้างและสั่งสมปัจจัย ( บุญ ) เดินทางไปสู่ภพภูมิที่ดี สรุปได้ว่า เกิดเป็นมนุษย์ต้องทำงานสองอย่างคือ ทำงานให้กับสังคมและต้องทำงานให้กับตัวเอง

     จงมองให้ออกว่า งานภายนอกที่ทำแล้วไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม ถือว่าเป็นงานดี ผู้รู้จึงนิยมเลือกทำแต่งานดีโดยใช้อิทธิบาท ๔ ใช้ความเพียร ใช้ขันติ และทำงานด้วยใจ ด้วยวิธีการอันเลิศโดยไม่หวังผลเลิศ เป็นเครื่องสนับสนุนการทำงาน หากทำได้เช่นนี้แล้ว ความสำเร็จในการเรียนรู้คน เรียนรู้วิธีทำงาน ก็จะเกิดขึ้นกับชีวิต เป็นประสบการณ์ของชีวิต

     ส่วนการทำงานภายในเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ต้องทำเมื่อมีเวลาว่างจากงานของสังคม ผู้ใดทำงานทั้งสองประเภทนี้ครบถ้วยสมบูรณ์ คุณค่าของชีวิตย่อมเกิดขึ้น
  

2257.
กราบเรียนอาจารย์สนอง ที่เคารพ

เนื่องจากหนุได้ดูรายการทีวี รายการหนึ่ง ซึ่งเชิญผู้หญิงคนหนึ่งมาออกรายการ และผู้หญิงคนนี้ร่ำรวยมากและนับถือชูชก สาเหตุที่เธอนับถือเนื่องจากเธอไม่สบาย และได้ขอชูชกไว้แล้วหาย และหลังจากนั้นมาก็ขอได้เรื่อยๆ ทำให้เธอรวยขึ้นมา จากทั้งอาชีพที่เธอทำ จากกาำรเล่นหวย และเปิดให้ผู้อื่นมาขอหวย ซึ่งเธอได้บอกว่าสาเหตุที่ถูก เพราะชูชก มาเข้า ฝันและบอกเลข แต่จากการที่หนูได้ศึกษาพระพุทธศาสนามาบ้าง และฟังธรรมของชมรมกัลยาณธรรมมา ทำให้หนูมีความคิดว่า

1. ชูชก คือพระเทวทัต ซึ่งตอนนี้อยู่ในอเวจีมหานรก ใช่ไหมคะ หากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เข้าฝันนั้นคืออะไร หรือเป็นบุคคลที่เคยเกี่ยวข้องกับหญิงคนนั้นและบุคคล ต่างๆ ที่มาขอในสิ่งที่ต้องการ

2. การที่เธอร่ำรวยขึ้นมามาก เธอรู้สึกว่าเป็นเพราะเธอขอชูชก และดูแลรูปเหมือนของชูชกเป็นอย่างดี จึงขออะไรก็ได้ แต่หนูคิดว่าอาจจะเป็นเพราะบุญเก่าของ เธอเองที่ทำให้เธอรวยขึ้นมา และเธอก็แจกทานเสมอ หนูคิดถูกต้องหรือไม่คะ

หนูมีความคิดว่าหากผู้ดูรายการ ไม่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนามาบ้าง ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะหลงเชื่อเพราะอยากรวยและพากันไปขอหวย ซึ่งหนูคิดว่าขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งให้เราพี่งตนเอง มากกว่าการบนบานนะคะ

สุดท้ายนี้่ขอให้อาจารย์มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง (ส่วนสุขภาพใจหนูคิดว่าอาจารย์คงแข็งแรงดีมากอยู่แล้ว) อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเรานานๆนะคะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑) จิตที่ขาดสติย่อมถูกพลังงานจิตของอมนุษย์หลอกให้เห็นผิด จึงมีจิตเป็นทาสของลาภสักการะ

     (๒) หากผู้ถามปัญหาเชื่อในกฏแห่งกรรม บุคคลจะมีทรัพย์ไ ต้องให้ทรัพย์เป็นทาน เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากอดีตของผู้หญิงคนนี้ เคยให้ทรัพย์เป็นทาน เมื่อกรรมให้ผลเป็นวิบาก เขาย่อมเป็นผู้ร่ำรวยทรัพย์

     อนึ่ง หากผู้ดูโทรทัศน์ประสงค์พิสูจน์สัจธรรมนี้ ต้องแสวงหารูปชูชกหรือรูปเทวฑัตมาบูชา และทำตัวเป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ให้ทรัพย์เป็นทาน ย่อมไม่สามารถร่ำรวยทรัพย์ได้แน่นอน
   

2256.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพครับ

ผมมีสิ่งที่ไม่เข้าใจในภาวะที่เกิด จากการปฏบัติครับ ขอถามเป็นข้อๆเลยนะคับ

1. ตอนผมนั่งสมาธิ ดูลมหายใจเข้า - ออก มีเสียง มโหรีแว่วๆมาจากใหนก็ไม่รู้คับ ผมก็เลยปล่อยการดูลมหายใจ มาจับที่หู เพื่อสังเกตุเสียง ก็ยังได้ยินอยู่ครับ แต่เสียงเบามาก ( เสียงเบา แต่ชัด ) ผมก็เลยออกจากสมาธิ แล้วก็พยายาม ฟังเสียงนั้นอีก ว่ามาจากใหนก็ไม่ได้ยินอีกเลยคับ หูผมแว่วไปเองใช่ใหมครับ..

2. อีกครั้งหนึ่งตอนนั่งสมาธิ ดูลมหายใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังๆ ว่า ต้อมๆ ( เหมือนเสีบงตะโกนเรียกชื่อเพื่อน จากด้านล่างคับ ) ได้ยินเรียกประมาณ 2-3 ครั้ง ผมก็เลยหลุดจากสมาธิ กลับกลายเป็นว่าเสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงสุนัขมันเห่า โฮ่งๆ ดังมากครับ แต่ในสมาธิ ผมกลับ ได้ยินมันเรียก ต้อมๆ ( ชัดมากๆ ฟังเป็นเสียงคนครับ )   ผมหูเพี๊ยนไปเองหรือเปล่าคับ ท่านอาจารย์

3. ตอนนั่งสมาธิ ช่วงที่สงบมากๆ จนไม่สามารถดูลมหายใจได้ เหมือนลมหายใจมันค่อยๆยาวมาก แล้วหายไปเลยครับ เลยกำหนดดูที่ ท้องแทนแต่แผ่วมาก สุดท้ายก็หายไปอีก ต่อจากนั้น ผมจะชอบมากครับ มันเป็นความสงบ ที่สุขมากๆ แต่พอเปลี่ยนจากตรงนี้ซิครับ ทำไมเหมือนมี หินก้อนใหญ่ๆมาทับที่มือ ทั้งหนักทั้งปวด ทรมานมากๆ เลยครับ เหมือนร่างกายจะแตกสลาย จะหลุดเป็นชิ้นๆ พอเราทนไม่ได้จะออกจากสมาธิ ทำไมเหมือนมันจะออกยากขึ้นครับ เหมือนต้องใช้เวลา จะเป็นอันตราย หรือผมทำผิดวิธีครับ

    กราบขอบคุณในความกรุณาของท่านอาจารย์ เป็นอย่างสูงครับ..

คำตอบ
     (๑) หูเนื้อหูหนังมิได้แว่ว แต่ผู้มีบุญบารมีเก่าสั่งสมย่อมได้ยินเสียงด้วยหูทิพย์ ( ทิพพโสต ) ผู้รู้ไม่เอาจิตเข้าไปเป็นทาสของเสียงที่ได้ยิน เพราะมิได้เป็นเหตุนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์

     (๒) หูที่ได้ยินเป็นเรื่องของหูทิพย์ ผู้ที่มิได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงโลกิยญาณ ( ทิพพโสต ) ย่อมสัมผัสไม่ได้ จึงเข้าใจว่า การได้ยินเช่นนี้เป็นความเพี้ยน

     (๓) การปฏิบัติธรรมไม่ผิดวิธี หากผู้ปฏิบัติเจริญสติให้มีกำลังระลึกได้ทันขันธมาร เอาการหนักปวดที่มือจะหายไปได้เอง
  

2255.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

หนูมีคำถามข้อสงสัยดังนี้ค่ะ
หากพระที่บวชใหม่ช่วงเข้าพรรษา ได้บวชที่วัดนี้และระหว่างจำพรรษา พระรู้สึกว่าพระรูปอื่นในวัดมิได้มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม มีการสูบบุหรี่ พูดจาไม่สำรวม ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับการเป็นพระ ดูทีวี ไม่นั่งสมาธิ รวมทั้งมีการพูดจาเสียดสี ก่อกวนทำให้พระบวชใหม่รู้สึกจิตขุ่นมัว ซึ่งก่อนบวชพระบวชใหม่ได้สนใจและศึกษาการปฏิบัติตนของพระป่ามาโดยตลอด จึงทำให้รู้สึกว่าลักษณะการปฏิบัติตนของพระวัดดังกล่าวเป็นลักษณะพระบ้าน ซึ่งไม่ถูกกับจริตของตน บวชมาเกือบ 20 วันท่านรู้สึกว่าไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างที่ตั้งใจ เพราะสภาพแวดล้อมและพระร่วมวัดไม่เอื้ออำนวย

( พระบวชใหม่มีความมุ่งมั่นที่จะปิดอบายภูมิในชาตินี้ ก่อนบวชเมื่อมีเวลาว่างท่านจะนั่งสมาธิเสมอ สวดมนต์ทุกคืน พระมีโอกาสไปร่วมฟังธรรมะบรรยายของชมรมกัลยาณธรรมมา 2 ครั้ง และได้เข้าไปกราบท่านอาจารย์ ดร.สนองว่าจะลาบวช พระดีใจมากที่ได้กราบลาบวชกับท่านอาจารย์)

วันที่ 1-7 กันยายนนี้ พระจะมีโอกาสไปปฏิบัติธรรม กับพระอาจารย์นวลจันทร์ที่บ้านธรรมทาน จ.พิษณุโลก และไปธุดงค์ที่จังหวัดเลยเป็นเวลา 4 วัน หากว่าจบหลักสูตรนี้ ถ้าพระจะขอจำพรรษาต่อที่บ้านธรรมทาน ไม่กลับไปจำพรรษาที่วัดที่บวชจะถือว่าพระประพฤติผิดวินัยสงฆ์ ผิดศีล ขาดพรรษาและการบวชครั้งนี้จะเป็นบาปมั้ยคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
กราบท่านอาจารย์ดร.สนองที่เมตตาตอบคำถามค่ะ

คำตอบ
     ก่อนที่พระบวชใหม่จะปลีกตัวไปปฏิบัติกับพระรูปอื่น ต้องขออนุญาตและพระพระอุปัชฌาย์มีความเห็นดีด้วย จึงจะทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นบาป และการจะไม่กลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมที่ตนบวช ต้องได้รับอนุญาตจากพระอุปัชฌาย์ด้วยเหมือนกัน บาปจึงจะไม่เกิดขึ้น
  

2254.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพค่ะ

     หนูกำลังฝึกนั่งปฏิบัติธรรมได้ไม่นาน และปรารถนาปิดอบายภูมิได้ในชาตินี้ แต่จากการสำรวจตัวเองพบว่าสิ่งที่ยังขาดอยู่มากคือความเพียรค่ะ ในครั้งนี้ หนูมีข้อสงสัยสอบถามท่านอาจารย์เพิ่มเติมเพื่อจะได้สิ้นข้อสงสัย และเป็นกำลังใจในการฝึกปฏิบัติ ดังนี้ค่ะ
 
1. ท่านอาจารย์บอกว่าผู้จะปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมได้นั้น จะต้องมีบารมีเก่าด้วย หนูจึงสงสัยว่าหากหนูมีบารมีสั่งสมมาน้อย จะมีโอกาสบรรลุโสดาบันในชาตินี้ได้หรือไม่คะ

2. หากยุงกำลังดูดเลือดเรา การปัดไล่เขาจะเป็นการทำร้ายเขาหรือไม่ หรือเราควรปล่อยให้เขาดูดเลือดจนอิ่ม แล้วจะบินไปเอง
 
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาเป็นอย่างยิ่งค่ะ หนูจะตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อไปค่ะ
 
บุศรา..

คำตอบ  
     (๑) ผู้ใดมีบารมีเก่า ( ปัจจัย ) สั่งสมมาน้อย หากเร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรม ( เหตุ ) ให้มาก และปฏิบัติได้สมควรแก่ธรรม ผู้นั้นมีโอกาสเข้าถึงอริยธรรมได้ในวันข้างหน้า ( ชาติปัจจุบัน )

     (๒) ยุงดูดเลือเอาไปเลี้ยงชีวิต ดูดเลือดไปเพียงน้อยนิดก็อิ่ม แล้วบินจากไป ผู้รู้ไม่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับการดูดเลือดของยุง แต่นิยมให้เลือดเป็นทาน ผู้มีความเห็นถูกเช่นนี้ กิเลสในดวงจิตย่อมถูกบำบัดให้หมดไปได้ง่าย
  

2253.
กราบสวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ กราบด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

        หนูขอรบกวนคำถามนะคะ
1. หนูมีความปราถนาอย่างยิ่ง ในการนำพาพนักงานผู้ร่วมงานในบริษัทของหนู ให้หันมาสนใจในการพัฒนาจิต มีแนวคิด ในการกำหนดลงไปในนโยบาย เช่น การปฏิบัติธรรม เพื่อการพัฒนาคน และเพื่อการพัฒนาระบบงานค่ะ หนูเคยตั้งเงินรางวัล สำหรับผู้ที่ไปปฏิบัติธรรม ปรากฏว่า มีผู้ให้ความสนใจน้อยมาก ผู้ที่สนใจก็จะเป็นคนเดิม ๆ ค่ะ แต่ประธานบริษัท คือ สามีหนู เขาบอกไม่ชอบ วิธีการนี้ เหมือนการบังคับให้ไปปฏิบัติธรรมค่ะ ไม่น่าจะได้ผล นี่เป็นความเห็นของเขาค่ะ แต่หนูเห็นหลาย ๆ บริษัท ใหญ่ ๆ เขาก็กำหนดลงในนโยบาย ก็ดีนี่คะ ทำเป็นประเพณีกันทุกปีค่ะ หนูขอคำแนะนำ จากท่านอาจารย์ค่ะ ว่าควรจะทำอย่างไรดีคะ ใช้วิธีไหนดีคะ
    เนื่องจาก หนูเห็นวิถึชีวิต ของพนักงานแล้ว รู้สึกได้เลยว่า หลาย ๆ คน สนใจแต่ตัวเลข ยอดขาย ที่ทำให้ได้ค่าคอม
เยอะ ๆ ค่ะ มีการเบียดเบียนบริษัทด้วยค่ะ แต่ทำหลักฐานให้ดูว่าถูกตรง พูดเท็จก็มีค่ะ รังแกเพื่อนก็มีค่ะ ไม่ได้รักเพื่อน
จริงค่ะ หนูเป็นห่วงว่า พวกที่ไม่รักษาศีล 5 จะมีชีวิตที่รุ่งเรืองได้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ พวกนี้ ได้เงินมากกว่าคนอื่นค่ะ และ
มีการเลียนแบบกันอีกค่ะ และไม่เคยรู้เลย ว่าเกิดมาทำไม สนใจแต่เงินค่ะ น่าสงสารค่ะ  

2. ถ้าจะตั้งดัชนีชี้วัด คนดี ความดี ของพนักงาน เป็นตัวเลข จะตั้งยังไงคะ เพราะเป็นนามธรรมค่ะ เช่น ถ้าไปปฏิบัติธรรม หรือไปทำโครงการจิตอาสา จะได้กี่คะแนน แต่ก็ไม่แน่นี่คะ กลับมาอาจจะมีพฤติกรรมไม่ดี เห็นแก่ตัวก็ได้ค่ะ หนูอยากให้เป็น คะแนนจิตสำนึกดีค่ะ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนอื่น ๆ ค่ะ และเนื่องจาก บริษัทหนู มีพนักงานมาก กระจายอยู่ ต่างจังหวัดก็มี ไม่ได้เห็นพฤติกรรมกันตลอดค่ะ

3. ท่านอาจารย์คะ ทำอย่างไร จึงจะทำให้พนักงานทุกคน กล้าที่จะรายงานทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในบริษัท ที่เป็นเรื่องจริง กล้าพูด กล้าสื่อสารให้เรารู้ว่า เรื่องจริงเป็นอย่างไร ที่ผ่านมา มีหลายคนที่ไม่กล้าค่ะ ทำให้พนักงานถูกรังแกก็มีค่ะ กว่าจะรู้ ก็ถูกไล่ออกไปแล้วค่ะ หนูเป็นห่วงคนที่ซื่อตรง ไม่เคยได้พูดคุยกัน ถามก็ไม่กล้าพูดค่ะ
    หนูและสามี ทำตัวอย่าง ให้เห็นในเรื่อง ทาน และทำโครงการต่าง ๆ เพื่อคนอื่น หลายโครงการ นำพาพนักงานเข้าร่วมด้วย แต่ได้ไม่ทั้งหมด การดูแลคนจำนวนมาก ให้เป็นคนดี ต้องทำอย่างไรคะ ที่เจอบ่อย คือ ดูเหมือนเป็นคนดี พูดดี พอลับหลัง ไม่ใช่อย่างที่เห็นค่ะ ทุกคนชอบที่นี่ เพราะสวัสดิการ การเงินดีมาก เมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ เพราะหนูให้เงินตามความสามารถ ไม่ได้ดูวุฒิการศึกษาค่ะ บางคนจบแค่มัธยมต้น ได้เงินเทียบเท่า ป.โท ก็มีค่ะ สิ่งที่หนูรู้สึกเฮิตร์มาก คือ สิ่งที่ไม่ได้สอนกลับทำ สิ่งที่สอนให้ทำดีไม่ทำค่ะ

    หนูอยากให้พนักงานทุกคน เป็นคนดีจริง ๆ ค่ะ ไม่ใช่หลง ๆ ติดแต่วัตถุ กับเงินค่ะ

     หนูกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์นะคะ ที่ให้แสงสว่างแก่หนูมาตลอด ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาล
ให้ท่านอาจารย์และครอบครัว มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ....และขอให้ท่านอาจารย์ มีร่างกายแข็งแรง อายุยืนค่ะ เพื่อโปรดสัตว์โลก ให้พ้นจากวัฏสังสารนะคะ....ช่วยส่องนำทาง แก่สัตว์โลก ตราบนานเท่านานค่ะ

คำตอบ
     (๑) วิธีการที่เสนอมาเป็นเรื่องดี แต่พนักงานต้องมีศรัทธาในความดีให้ได้ก่อน ยิ่งท่านประธานไม่เห็นดีด้วย ถือว่าทำได้ยาก ผู้ตอบปัญหาได้เห็นความเสื่อมของคนรออยู่ในวันข้างหน้า เมื่อแก้ปัญหาที่ตัวคนไม่ได้ จึงต้องบัญญัติวินัยของบริษัทขึ้นมาใช้ บัญญัติวินัยให้เข้มข้นและเด็ดขาด โดยเฉพาะผู้เป็นใหญ่ของแต่ละหน่วยงาน ต้องแต่งตั้งจากคนดีขึ้นเป็นหัวหน้าคุมคนไม่ดี ก็พอที่จะช่วยให้บริษัทดำเนินไปได้

     (๒) พระพุทธโคดมสอนฆราวาสที่เป็นพุทธบริษัทให้อยู่กับทุกข์ โดยมีทุกข์เท่าที่จำเป็น ความดีของพนักงานในทางโลก สามารถประเมินได้ด้วยการให้คะแนนพฤติกรรม ( คิด พูด ทำ ) เป็นตัวเลขจากน้อยไปหามาก เช่น 1-10 อาทิ

          พฤติกรรมดีในการคิด
           - คิดทำประโยชน์ให้บริษัท
           - คิดทำบริษัทให้เจริญ
           - คิดช่วยเหลือผู้ด้อยกว่า
           - คิดให้อภัย
             ฯลฯ

          พฤติกรรมดีในการพูด
           - พูดไม่เท็จ พูดไม่หยาบ พูดไม่ส่อเสียด พูดไม่เพ้อเจ้อ
           - พูดประสานน้ำใจ พูดแล้วเกิดแรงจูงใจให้ทำความดี
              ฯลฯ

          พฤติกรรมในการกระทำ
           - รับผิดชอบงาน ทำงานได้ผลสำเร็จ งานเสร็จทันเวลา ผลงานเข้าตา
           - ไม่เอางานอื่นมาทำในเวลาของบริษัท
           - ไม่สร้างข้อมูลอันเป็นเท็จ
           - ให้อภัยผู้อื่น ประพฤติตนมีศีล มีสติสัมปชัญญะ
             ฯลฯ

     ดังนั้น ลองสร้างแบบประเมินพฤติกรรม แล้วแจ้งให้พนักงานทราบและถือปฏิบัติ พร้อมทั้งเผยแพร่พนักงานที่ดีด้วยการติดบอร์ดให้ทุกคนทราบ

     (๓) ให้พนักงานกรอกแบบประเมิน หัวหน้าหน่วยงานต้องวิเคราะห์ข้อมูล แล้วเสนอเป็นสิ่งปกปิดให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
  

2252.
กราบเรียนท่านอาจารย์พ่อ ดร.สนอง วรอุไร

   ผมนายศราวุธ โพธิราช เกิด 1 ธค 30

  1) . ผมปฏฺบัติธรรมโดยไม่มีครูอาจารย์เลย ไม่รู้แนวเลย เลยกำหนดตามใจชอบโดยภาวนา พุทโธ ปฏิบัติเองได้ 2 จะเข้า 3 ปี และเห็นปรากฏการณ์ไม่ทราบว่าถูกหรือผิดจึงต้องขอคำแนะนำจากอาจารย์ เช่นก่อนยังไม่ปฏิบัติ เหมือนหลับและฝันไป เห็นอดีตชาติของตนเองโดยมีเสียงผู้ชายพูดนำว่าจะพาไปดู อดีตชาติแต่ไม่เห็นตัวคนพูดครั้งแรก เป็นเจ้าเมืองที่ทำผิดศิลข้อกาเมชาตินี้เลยต้องมาชดใช้กรรมไม่สมหวังในเรื่องความรักมีเสียงบอก และอีกชาติเป็นพญานาคตัวสีดำเห็น 2 ชาติ และผมก็เริมอยากนั่งสมาธิเอง นั่งสมาธิไม่รู้ว่าถึงไหน พอจิตสงบเห็นไรฝุ่นตัวทองๆ ไต่ตามยั๊วเยี๊ยะเต็มไปหมดจนไม่กล้านอน ขยะแขยงมากครับ และพอกลับบ้านนอกที่สกลนคร บ้านมีริมน้ำลมโชยมาไฟฟ้าในหมู่บ้านดับพอดี เลยไปนั่งริมน้ำมืดๆคนเดียว แต่ทำสมาธิแบบลืมตาครับ พอจิตสงบ เห็นกระแสลมเป็นสีทอง ตามความแรง แต่ก็ไม่เชื่อตัวเองว่าเห็นได้จริงหรือ พอเข้ามาอยู่ในบ้านก็กำหนดดูอีกสรุปเห็นจริง สามารถเห็นลมเห็นอากาศได้ อยากดูลมดูอากาศตอนไหน ก็เห็นได้เสมอเมื่อจิตนิ่งกำหนดปุ๊บเห็นปั๊บ พอไปเล่าให้ใครฟังเขาก็ไม่เชื่อ ดูสายตาเขาเหมือนผมเพ้อเจ้อและไม่เห็นด้วย ในการปฏิบัติของผมเพราะหลายคนบอกว่าอายุ แค่ 25 จะมาปฏิบัติได้ไง อายุเยอะก่อนค่อยทำ แต่ผมก็ไม่เชื่อต้องทำเพราะ ผมคิดว่าสิ่งนี้ถูก ผมคิดถูกไหมครับ

   2) ภาวนาแล้วหลับไป เห็นเส้นทางของคนทำบุญกับเส้นทางของคนไม่ทำบุญต่างกันมาก เห็นสมุดบัญชีบุญ บัญชีบาปไม่เห็น เห็นนรกต้นงิ้ว นรกที่ทำโทดคนโกหกกับดื่มสุรา มีเสียงพาผมไปแต่ไม่รู้ว่าเสียงใครครับ   และภานาหลับไปเห็นพระชอบแสดงฤทธิ์ให้ดู และมีพระมาสอนให้พิจารณากาย ผมยังไมค่อยเชื่อเพราะทำไมไม่เห็นตอนนั่งสมาธิครับทำไมต้องเห็นตอนนอนภาวนาแล้วหลับ   หรือเกิดจากอุปทานในจิต ผมครับ อาจารย์พอเล่าเรื่องแบบนิให้คนฟังอีกก็เหมือนตัวเองเพ้อเจ้ออีกแบบเขามอง

   3) ทำไมนั่งสมาธิแล้วสว่างตลอดเวลา ไม่ยอมหายสักทีครับสว่างทองๆทั่วกายครับ พอสงบเข้าก็เป็นดวงกลมนวลเกิดขึ้น ใจผมเต็นครับเพราะตื่นเต้นและเอาความรู้สึกเข้าไปมองดวงกลมๆ พอจิตเคลื่อนดวงกลมก็หายไปครับ   แล้วมีอีกอาการ คือพอจิตสงบ เหมือนมีอีกร่างที่อยู่ในกายเนื้อ ยืดซ้าย ยืดขวา ยืดบน ยืดล่าง เหมือนจะออกจากร่าง พอออกไม่ได้ก็หมุนในกายเนื้อเหมือนเครื่องซักผ้าเลยผมควรทำอย่างไรดีครับ ลืมตาทำสมาธิก็เห็นอากาศเป็นสีทอง พอจิตสงบ ก็เป็นดวงสว่างแปบเดียวจิตเคลื่อนก็หายไปเหมือนเดิมครับ ควรทำอย่างไร เพราะทำสมาธิได้ทั้งลืมตาและไมลืมตาควรเลือกแบบไหนดีครับเพราะเหมือนทำสมาธิฤาษี ไม่มีการพิจารณาอะไรเลย เพราะพิจาณณาไม่เป็นครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ

   4) ผมพยายามรักษาศิล 5 ให้ครบครับ แต่พอจะครบทีไร เดียวก็มีัหลายๆอย่างเข้ามา ทำให้ผิดศิลและผมกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้สนุกเหมือนวัยรุ่นคนอื่นเลยยั้งตัวเองไว้ครับ เป็นความคิดที่ผิดมากใช่ไหมครับ ผมควรคิดอย่างไหนครับ เพื่อไม่ให้ตัวเองอยากสนุกผิดศิลผิดธรรมครับเพราะตอนนี้รู้สึกว่าเป็นอะไรไม่รู้จิตเข้าใจอะไรๆกับธรรมชาติได้หลายอย่าง พอพักหลังๆมาก โทษะมาจากไหนไม่รู้เพิ่มทวีคูณมากกว่าเดิมอีกจนผมรู้ตัวว่าไม่เหมือนเดิมจนกลัวตัวเองครับ แก้อย่างไรดีครับ  

     สุดท้ายนี้หากผมมีบุญร่วมกับอาจารย์ขอให้คำถามนี้ถึงอาจารย์พ่อ ดร.สนอง วรอุไรด้วยเทอญ...สาธุ

     ผมกราบขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับที่ พิมพ์ภาษาพูด อาจจะไม่เข้าใจ

     ขอให้สมาชิกชมรมกัลยาณธรรม ทุกท่านทุกคนมีความสุขและถึงซึ่งพระนิพพานทุกท่านด้วยเทอญ

คำตอบ
      (๑) สิ่งที่บอกเล่าไป เป็นเรื่องของคนที่มีปัจจัย ( บุญบารมี ) สั่งสมมาแต่อดีตชาติ การเห็นด้วยทิพพจักขุ มิได้ทำให้พ้นทุกข์ ดังนั้นผู้รู้จริงแท้ จึงไม่เอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของสิ่งที่ถูกเห็น

     (๒) บุคคลผู้นั่งภาวนาแล้วหลับไปขณะมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมมีโอกาสเห็นหรือได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ การเห็นและการได้ยินเป็นเรื่องของจิตสัมผัสที่ยังอยู่ในโลกสมมุติ

     (๓) เมื่อเห็นร่างกายหมุน ต้องแก้ปัญหาตัวหมุนด้วยการกำหนดว่า “หมุนหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนอาการดังกล่าวดับไป แล้วจึงเอาจิตมาจดจ่ออยู่กับองค์บริกรรมเดิม อนึ่ง การหลับตา - ลืมตา แล้วเห็นอากาศเป็นสีทองหรือเป็นดวงสว่าง เรียกการเห็นเช่นนั้นว่า นิมิตติดตา ( อุคคหนิมิต ) ต้องแก้ปัญหาด้วยการกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าการเห็นจะดับไป ให้กำหนดทุกครั้งที่มีอาการเช่นนี้เกิดขึ้น

     (๔) หากผู้เห็นผิดนำตัวเข้าปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนา ย่อมมีจิตเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ คือยังมีพฤติกรรมเป็นปุถุชน

    ผู้รู้แก้ปัญหาอารมณ์โทสะได้ ๒ วิธี คือ การให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ ผู้ให้อภัยได้แล้วย่อมมีอารมณ์สงบและเย็น ( เมตตา ) เกิดขึ้นในดวงจิต และในอีกวิธีหนึ่งคือ พัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับขันธ์ ๕ ตามกฏไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) เมื่อขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา อัตตาที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ ย่อมดับตามไปด้วย
  

2251.
กราบเรียน ท่านาอาจารย์.ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

หนูมีเรื่องรบกวนท่านอาจารย์...ได้โปรดเมตตาในคำถามด้วยนะคะ

     หนูได้ไปปฎิบัติธรรมที่คณะ ๕ มาสักพัก และกลับมาปฎิบัติต่อเมื่อมีโอกาสที่บ้านคะ ในช่วงแรกๆ หนูรู้สึกว่าหนูอยากปฎิบัติมากและทำติดต่อมาเรื่อยๆ แต่ระยะหลังมานี้ หนูรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิในขณะปฎิบัติ คิดฟุ้งซ่าน มีความขี้เกียจเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญคือว่าหนูรู้สึกว่าในตัวหนูมีอยู่ 2 คน คือว่า เวลาหนูตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ล้วนขัดแย้งกันเองในเรื่องนั้นๆ จนเป็นปัญหามาหลายครั้งหลายหนทั้งกับคนรอบข้างและกับตัวเอง (หนูไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นค่ะ)   หนูตั้งใจและพยายามที่จะแก้ไขแล้วในหลายครั้งที่ผ่านมา แต่ไม่สำเร็จคะ ตอนนี้ หลายคนเค้าบอกว่าหนูมีปัญหาเป็นอย่างมาก ไม่สามารถเข้ากับคนอื่นไมได้ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนหนูไม่เคยเป็นอย่างนี้ ท่านอาจารย์ได้โปรดแนะนำหนูด้วยคะ

     อีกเรื่องคือว่า เมื่อปีที่แล้วหนูไปรับขันธ์ครูหมอโนราห์มาคะ (หนูเป็นผู้ถูกเลือกนะค่ะ) ในความเชื่อและความศรัทธาหนูไม่กล้าที่จะลบหลู่ หนูไม่เข้าใจเลยคะว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยสาเหตุอะไร จริงๆแล้วเรื่องนี้มันส่งผลกับเรื่องข้างบนด้วยมั้ยคะ เมื่อปีที่แล้วหนูโดยรถชนไป 3 ครั้งคะ อีกเรื่องคือหนูมีปัญหากับตัวเองมาตลอดค่ะ

     ปล...หนูเชื่อและศรัทธาในพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ซึ่งพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวเอง หนูไม่เข้าใจ สับสน มืดมิด หนูไม่เข้าใจตัวตน ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้เลยคะ หนูอยากเป็นผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงคะ จากคำสอนของท่านพระอาจารย์ท่านทั้งหลาย หนูพอเข้าใจ แต่ทำไม่หนูปฎิบัติได้ หนูควรทำอย่างไรคะ เพื่อให้มีสติและรู้ปัจจุบัน อยู่ทุกขณะจิตค่ะ ท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาหนูด้วยค่ะ หนูฟัธรรมะของท่านอาจารย์มาแต่ใช้มันไม่ได้เลยคะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงคะท่านอาจารย์

คำตอบ
     การปฏิบัติธรรม ( สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ) ถือว่าเป็นการทำความดีขั้นสูงสุด เพราะทำให้สภาวธรรมในดวงจิตเปลี่ยนเป็นอริยบุคคลได้ การทำความดีย่อมมีมารขัดขวาง มนุษย์มีกิเลสเป็นมาร ( กิเลสมาร ) มีขันธ์ ๕ เป็นมาร ( ขันธมาร ) มีจิตปรุงแต่งเป็นมาร ( อภิสังขารมาร ) มีเทวดาเป็นมาร ( เทวปุตตมาร ) และมีความตายเป็นมาร ( มัจจุมาร ) ผู้ใดพัฒนาจิตจนมีกำลังของพละ ๕ ( ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ) กล้าแข็งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีจิตต้านอำนาจของมารได้ แล้วการพัฒนาจิตย่อมเกิดผลก้าวหน้า ยิ่งมีจิตมั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ด้วยแล้ว ย่อมมีโอกาสเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้

     ดังนั้นการไปรับขันธ์กับครูหมอมโนราห์ ( จิตไม่มั่นคงในพระรัตนตรัย ) จึงไม่มีโอกาสเข้าถึงธรรมที่ทำให้เป็นอริยบุคคลได้
  

2250.
กราบเรียน อาจารย์ดร.สนอง วรอุไร
  
    กระผมมีเรื่องสอบถามว่า ตอนบวชผมติดทั้งสังฆาทิเสสอยู่นับไม่ท้วน เอาเงินไปเล่นการพนัน
เก็บเงินได้ในวัดเอาไปให้มารดา ผมจะตกนรกนานไหมครับ แต่ผมปรารถจะเป็นพระพุทธเจ้าผมกลัวที่จะตกนรก
และจะตกนรกนานไหม ผมเป็นบ้าเข้าครีธัญญามาแล้วครับในชาตินี้ แต่ผมก็ยังปรารถนาที่เป็นพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะอยากรู้เรื่องกรรม รู้กำเนิดของโลกความเป็นมาต่างๆ ผมไม่กำหนดเวลาเพราะผมไม่ชอบการทะเลาะกัน แต่ผมติดในเรื่องกามอย่างเดียว อยากให้อาจารย์ชี้แนะหน่อยครับ ว่าจะมีโอกาสได้เป้นหรือไม่ สำรับคนเป็นบ้า

ขอบคุณครัับ

คำตอบ
      คำว่า “เก็บเงินได้” หากมิได้หมายถึง เงินที่มีผู้ทำตกหล่น หลงลืมไว้ในวัด แล้วผู้ถามปัญหาเก็บเงินได้ ตรงกันข้าม มีผู้นำเงินมาถวายกับผู้ถามปัญหา เงินนั้นย่อมเป็นของผู้ถามปัญหาโดยชอบธรรม เมื่อนำเงินไปให้มารดาย่อมไม่ตกนรก

     การประพฤติ สังฆาทิเสส หรือนำเงินไปเล่นการพนัน มิได้ถือเป็นอาบัติปาราชิก แต่อาบัติดังกล่าวจะพ้นไปได้ด้วยการเข้าปริวาสกรรม

     คนบ้ามีกำลังสติอ่อน จึงรับสิ่งกระทบรอบด้านมาปรุงเป็นอารมณ์ ที่ผิดเพี้ยนไปจากอารมณ์ของคนปกติ จึงเรียกว่าเป็นคนบ้า

     คนที่ประสงค์จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือประสงค์เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ( ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ) ให้ครบถ้วนทั้งสามระดับคือ บารมีธรรมดา อุปบารมี และปรมัตถบารมี จึงต้องใช้เวลาอบรมสั่งสมบารมียาวนานนับหลายแสนอสงไขยแสนกัป และต้องไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพภูมิต่างๆของวัฏสงสาร ผู้ทำเหตุได้ถูกตรงครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
  

2249.
สวัสดีอาจารย์สนองที่เคารพและผู้เป็นแรงบรรดาลใจ

ช่วงนี้กำลังฝึกกสิณน้ำอยู่ โดยได้แนวปฏิบัติมาจาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ท่านอัดเสียงไว้ เริ่มแรกข้าพเจ้าก็เอาน้ำใส่แก้ว มองน้ำและจำภาพน้ำแรกๆจำไม่ได้มองยากเพราะน้ำมันใส ตอนนี้เริ่มจำภาพได้นึกภาพออกแต่อยู่ได้ไม่นานก็หายไปภาพที่เห็นน้ำไม่อยู่นิ่งขยับไปมาซ้ายขวา เล็กบ้างใหญ่บ้างมีครึ่งภาพบ้างเต็มภาพบ้าง ภาพที่เห็นไม่ชัดนัก ภาพในใจมันอธิบายยาก ถ้าว่างอาจารย์ช่วยนั่งดูให้หน่อยว่าข้าพเจ้าทำถูกไหม พยามทำวันละ 1-2 ชม.ช่วง 9 โมงและบ่าย 2 ได้วันที่สามแล้วตอนเขียนจดหมายนี้ แต่ผู้ใหญ่รู้เข้าก็มาตักเตือนว่าอย่าฝึกกลัวจะเพี้ยน ตอนนี้ข้าพเจ้าสับสนและยังก็มีข้อสงสัยอยู่ในแนวปฏิบัติแต่ผู้สอนมรณะภาพแล้วไม่อย่างนั้นจะฝากตัวกับท่านซะเลย
จึงไม่รู้จะถามใครเพราะยังไม่เห็นผู้รู้จริง

อยากให้อาจาร์ช่วยอธิบายเรื่องการฝึก   จะติดต่ออาจารย์ได้อย่างไรเพื่อความต่อเนื่องในการฝึก ด้วยความเคารพ  
( ฝึกเพื่อได้ณานสมาบัติวิชาสามและอภิญญา)

คำตอบ
      การพัฒนาจิตโดยเอาน้ำมาเป็นองค์บริกรรม ( อาโปกสิณ ) เหมาะกับผู้มีจริตอย่างหนึ่งในจริต ๖ หากทำได้ถูกตรง จิตสามารถตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้ เมื่อถอนจิตออกจากความทรงฌาน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และจุตูปปาตญาณ ( โลกิยญาณ ) ย่อมเกิดขึ้น แต่ตัวสุดท้ายของวิชชา ๓ คือ อาสวักขยญาณ เป็น โลกุตตรญาณ เป็นญาณที่สามารถกำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจได้ ผู้ตอบปัญหาขออภัยที่ยังไม่มีประสบการณ์ตรงในปัญญาสูงสุดตัวนี้ จึงมิอาจเป็นครูของใครผู้ใดได้
  

2248.
ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์สนองที่เคารพ
 
ผมฟังธรรมะบรรยายของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง ท่านกล่าวถึง
ขันธ์ 5 ในการเจริญวิปัสสนาว่า วิญญาณ จะไปรับรู้ ในอีก 4 ขันธ์
ทำให้เป็นที่เกิด ของวิญญาณ หากวิญญาณรับรู้เพียงกาย ในขณะเจริญสติรู้ลมหายใจ
หรือรับรู้กายแต่เพียงอย่างเดียว หากกายดับไป จะไม่มีสิ่งที่ทำให้วิญญาณไปเกาะ
จะเหลือเพียงวิญญาณ นั่นคือนิพพานใช่ไหมครับ
หากไม่ใช่ จะเหลือเพียงวิญญาณ แล้วจะเรียกว่าอะไรครับ แล้วจะดับวิญญาณ
ได้ไหมครับ หากดับ ขันธ์ 5 หมด เรียกว่า นิพพานใช่ไหมครับ
บางครั้ง

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ใช้คำว่าจิตไปรับรู้อารมณ์ ต่างๆ จิตในที่นี้คือวิญญาณใช่ไหมครับ
คำว่าจิต เช่น จิตไปรับรู้ ในความร้อน หนาว ชอบ เกลียด กับ วิญญาณในขันธ์ 5
เป็นตัวเดียวกันใช่ไหมครับ

อีกอย่างหนึ่งครับ ตอนกำหนดจิตรู้ลมหายใจเข้าออก ผมกำหนดรู้ตอนจังหวะเปลี่ยนลมหายใจที่ยาวๆมันมีจังหวะหยุดหายใจนิดหนึ่งด้วยไม่ใช่เข้าปุ๊ปออกปั๊ป จะกลายเป็นคิดมากไปหรือเปล่าครับ แล้วกำหนดรู้แบบนี้ได้ไหมครับ คือผมรู้ตามลมทุกจังหวะครับ
 
ขออาจารย์ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วยครับ
ผมชอบอาจารย์ที่ให้ธรรมะแบบที่ปุถุชนสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อบุญกุศล
ที่สูงสุดเท่าที่ฆราวาสจะสามารถทำได้
สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์มีสุขภาพกายแข็งแรงสมบูรณ์ไม่เจ็บไม่ไข้มีอายุยืนนานครับ

คำตอบ
     ผู้ตอบปัญหามิได้ศึกษามาทางด้านคันถะธุระ แต่เข้าถึงความรู้ที่มุ่งตรงสู่ความพ้นทุกข์ ( วิปัสสนาธุระ ) ดังนั้นต้องขออภัยที่ไม่สามารถแสดงความเห็นแบบคันถะธุระ ( รู้จำ ) ได้
  

2247.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

  หนูมีข้อสงสัยต้องการสอบถามท่านอาจารย์    ดังนี้ค่ะ

  โดยธรรมชาติจิตของหนูนั้นเป็นจิตที่ชอบคิดมาก หรือชอบทำงานทางใจ มักจะไม่ค่อยอยู่นิ่งสักเท่าไรนัก จะนิ่งก็เฉพาะช่วงที่ทำสมถะเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ จิตของหนูมีอาการแปลกไปจากเดิม คือ จิตจะนิ่งได้เร็วและแม้กระทั่งยังไม่ทันได้ทำสมถะก็เกิดนิ่งแล้ว หรือเมื่อคิดเรื่องราวต่างๆ ที่จากเดิมเคยคิดแล้วเกิดความวุ่นวายขึ้นในจิต แต่ ณ เวลานี้เมื่อคิดแล้วจิตจะกลับมาอยู่ที่ตัว ไม่ออกนอกไปตามเรื่องราวต่างๆเหมือนครั้งที่ผ่านมา เป็นเช่นนี้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง

  ปัญหาที่ต้องการให้ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาตอบ คือ ตอนนี้หนูรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรให้คิด หรือมันไม่มีการทำงานทางจิตเหมือนเมื่อก่อนหน้า แล้วมันทำให้หนูเกิดอาการเบื่อ บางครั้งก็เฉยๆ หนูจึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า หนูควรจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ คือ วิธีที่ใช้อยู่ตอนนี้ คือ เบื่อก็รู้ว่าเบื่อ ก็ดูมันไป เฉยก็รู้ ก็ดูมันไป ( แต่ว่าด้วยความที่ตัวเองน่าจะมีนิสัยประมาณถ้าไม่คิดแล้วมันรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้จิตทำงาน ก็เลยทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เมื่อจิตมันไม่ทำงานอย่างที่เคยเป็น)

  จึงใคร่ขอความกรุณาท่านอาจารย์เมตตาช่วยตอบข้อคำถามของหนูด้วยนะคะ

  ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
      ชไมพร

คำตอบ
    จิตที่ไม่มีอะไรให้คิด แล้วเกิดเป็นความเบื่อ อย่างนี้เรียกว่า ยังเป็นผู้รู้ไม่จริง หากเป็นความเบื่อหน่ายในกองทุกข์ ( นิพพิทาญาณ ) จะเกิดปัญญาโลกุตตรญาณที่เรียกว่า มุญจิตุกัมยตาญาณ ตามมาเพื่อพัฒนาจิตให้พ้นไปจากความทุกข์นั้น

     ดังนั้นในกรณีนี้ พึงพิจารณาความเบื่อด้วยจิต จนกระทั่งเห็นว่า ความเบื่อดำเนินไปตามกฏไตรลักษณ์ เมื่อความเบื่อเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะไม่เบื่อหน่ายอีกต่อไป
   

2246.
เรียนถามเรื่องอดข้าวตายบาปไหมครับ

ถ้าเราโดนใส่ร้าย ยัดเยียดข้อหา แล้วโดนจับขัง แต่เรารู้ตัวดีว่าไม่ได้ทำสิ่งที่คนเหล่านั้นยัดเยียดให้
เราจิตใจเบิกบาน ไม่กินข้าวจนตาย เพราะไม่ยอมลงให้กับความอยุติธรรม แบบนี้จะเป็นบาปฐานฆ่าตัวตายหรือเปล่าครับ

คำตอบ
    ไม่กินข้าวจนตาย แต่มีจิตใจเบิกบาน ถือว่าเป็นบุญ ผู้ที่ทำได้เช่นนี้ไม่มีบาป แต่หากต้องการเอาชนะความอยุติธรรม ยังถือว่าเป็นบาปได้
  

2245.
กราบเรียน อ.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

กระผมมีเรื่องสงสัยอยากจะขอคำแนะนำจาก ท่านอาจารย์

1.  เมื่อก่อนกระผมสวดมนต์ก่อนนอนไม่ค่อยได้ครับ เพราะว่าเวลาสวดมนต์จะรู้สึกว่า เริ่มตัวร้อนและเหงื่อจะไหลออกมาตามแขนและลำตัว

แม้แต่ขณะที่อาบน้ำมาใหม่แล้ว เริ่มสวดมนต์ก็เป็นเปิดพัดลมใส่ก็เป็นเหมือนกันครับ แต่ตอนเช้าไม่เป็นและเดียวนี้ไม่เป็นแล้วครับ กระผมเคยบอกตัวเองว่าให้เหงื่อมันไหลไปยังไงก็จะไม่เลิกสวดมนต์ กระผมอยากทราบว่านี้มันเป็นอาการของอะไรครับ (กระผมสวดมนต์ตามคำแนะนำของหลวงพ่อจรัญ )

2.  กระผมขออนุญาตินำธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ นำไปไรล์ลง ซีดีเพื่อฟังเองและให้กับบุคคลที่สนใจ

      ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     (๑) เป็นอาการที่เนื่องมาจากขันธมาร เข้ามาขัดขวางการทำความดีในระยะต้น แต่เรื่องนี้ผู้ถามปัญหาสามารถเอาชนะมารด้วยความเพียรและสัจจะ

     (๒) อนุญาตครับ
  

2244.
กราบเรียน อ.สนอง วรอุไร ที่เคารพ โปรดเมตตาชี้ทางธรรมให้กระผมได้เกิดปัญญาด้วยครับ

มีโอกาสได้ฟังอาจารย์บรรยายอยู่บ่อยครั้ง อาจารย์แนะว่า ศีล 5 เป็นศีลขั้นพื้นฐานให้เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์
หลังจากนั้นผมจึงพยายามรักษาศีล 5 มาโดยตลอด ..

หากเป็นเช่นนี้แล้ว บุคคลใด ไม่ว่าเชื้อชาติศาสนาใด หากศีล 5 ไม่ครบแล้ว (เช่น ยังดื่มเหล้า) ต่อให้เค้าทำบุญ ทำทานสักเพียงใด ภพ ภูมิ ต่อไปก็จะยังเกิด "ต่ำกว่ามนุษย์" อยู่ดีใช่หรือไม่ครับ.

กราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ

คำตอบ
     ตอบว่าใช่ สัตว์บุคคลทั่วไปที่ยังมีจิตประพฤติละเมิดศีล ๕ ตายแล้วย่อมถูกพลังของบาป ผลักดันจิตวิญญาณให้โคจร ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ ( นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน )

     ตอบว่าไม่ทราบ เพราะไม่มีประสบการณ์ ตามความรู้ เห็น เข้าใจของผู้ที่ทรงไว้ซึ่งสัพพัญญุตญาณ ( พระพุทธเจ้า ) ที่ตรัสกับพระเจ้ามหานามะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ในครั้งพุทธกาลในทำนองที่ว่า

     พระพุทธโคตมะ : ดูกร มหาบพิตร อุบาสกผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งตลอดกาลนาน และเป็นผู้ที่ไม่มีปัญญาเฉียบแหลม ไม่ประกอบด้วยเจโตวิมุตติ แต่มีจิตพ้นไปจากสังโยชน์ ๓ ( สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ) ถึงพระอริยบุคคลโสดาบัน ตายแล้วย่อมไม่นำพาชีวิต ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ ( ปิดอบายภูมิ ) เจ้าสรกานีศากยราช แม้เสวยน้ำจัณฑ์ ( เหล้า ) เป็นปกติ แต่เวลาใกล้ตาย มีจิตพ้นไปจากสังโยชน์ ๓ เราตถาคตจึงพยากรณ์เช่นนั้น
  

2243.
กราบเรียน อ.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ผมขออนุญาตเรียนถามและขอคำชี้แนะจากอาจารย์ดังนี้ครับ ผมเจริญภาวนาโดยใช้อานาปาณสติ และใช้ คำว่าพุทโธ กำกับเมื่อนั่งไปสักพักก็เกิดอาการค้น ผมค้นหาคำตอบที่อาจารย์เคยตอบมาแล้วว่า ให้กำหนดว่า คันหนอๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการคันจะหายไป

คำถามคือว่า การกำหนดคันหนอ คือการเอาจิตที่จดจ่อกับลมหายใจไปรับรู้อาการคัน แล้วเปลี่ยนคำบริกรรมจากพุทโธ มาเป็น คันหนอ จนกว่าอาการจะหายไป หรือว่าตามดูลมหายใจต่อ แต่เปลี่ยนคำบริกรรมมาเป็น คันหนอ ครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ครับ และหากผมได้ทำการล่วงเกินอันใดต่ออาจารย์ ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

กราบขออโหสิกรรมจากอาจารย์ด้วยครับ

คำตอบ
     ต้องเอาจิตมาจดจ่ออยู่กับอาการคันและกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการคันจะหายไป ( ไม่เลิกคัน ไม่เลิกกำหนด ) เมื่ออาการคันหายไปแล้ว ให้เอาจิตกลับมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออกดังเดิม
  

2242.
เรียนอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ หนูขอถามดังนี้ค่ะ

1. หนูคำถามที่จะถามต่อไปนี้คงเป็นคำถามที่ไม่มีอะไรต่างไปจากคำถามเรื่องความรักของผู้ถามท่านอื่นๆ นอกเสียจากการกระทำเมื่อครั้งอดีต

หนูคบกับผู้ชายคนหนึ่ง เดิมเราเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนค่ะ ตอนสมัยเรียนเรายังไม่คบกันค่ะ แต่ช่วงนั้นหนูกลับรู้สึกดีกับเขามาก เพราะเห็นว่าเขาเปนคนวางตัวดีและจิตใจดี

แต่พอเรียนจบเราก็คบกัน จากนั้นก็มีปัญหากันเรื่อยมา และรุนแรงขึ้นทุกวัน ถึงขั้นลงไม้ลงมือจนกระทั่งเกือบฆ่ากันก็มี เดิมเค้าเหมือนเปนคนดีมากๆ เลยนะคะ แต่หลังๆ เค้าจะติดเรื่องกามราคะมากผิดปกติจึงทำให้ทะเลาะกัน และทุกครั้งหนูก็เสียใจอย่างมาก แต่ก็หายโกรธเค้าเร็ว จนเขาได้ใจ ขณะนี้หนูตัดสินใจแยกทางกัน แต่ก็แอบกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนอีกเมื่อเขามาทำดีและขอโทษ จึงอยากทราบว่า หนูเคยทำกรรมใดไว้กับเขาหรือใครจึงมีกรรมแบบนี้ต่อกัน และกรรมระหว่างหนูกับเขาหมดกันหรือยังค่ะ หากต้องการหมดเวรกรรมต่อกันหนูจะต้องทำอย่างไร และเค้ามีบุญจะได้บวชตลอดชีวิตหรือไม่ หนูสามารถเปนส่วนหนึ่งในการช่วยให้เขากลับมาดีได้หรือไม่ค่ะ

หนูกราบขอความเมตตา กรุณาจากอาจารย์ ช่วยชี้นำแนวทางด้วยนะคะ หากพอมีหนทางแก้ไข

2. ครอบครัวหนูตกต่ำลงเรื่อยๆ มีทางแก้ไข หรือปฏิบัติหรือไม่ค่ะ สงสารครอบครัวมากๆ ค่ะ

3. หนูมีใจอยากปฏิบัติธรรมะสายพระป่า หนูยังมีบุญพอที่จะมีโอกาสเข้าถึงสมาธิที่แท้จริงได้บ้างไหมค่ะ

4. หนูแนะนำเพื่อนคนหนึ่งไปบวชเพื่อปฏิบัติธรรมที่ วัดป่ามัชฌิมาวาส จ. กาฬสินธุ์ ประมาณ 3 เดือน โดยหนูก็ดีใจมากที่เพื่อนจะได้ไปอยู่กับคพระผู้ปฏิบัติดี แต่หนูก็เปนทุกใจอยู่เนื่องจาก เพื่อนทานเจ แต่ที่วัดไม่มีเจ และที่วัดก็มีการทำงานภายนอกมากหน่อย เลยเกรงว่าเพื่อนจะไม่ได้ปฏิบัติมากอย่างที่ตั้งงใจไว้ ก็เลยกังวลและขอโทษเพื่อนอยู่บ่อยๆ กรณีนี้หนูจะบาปไหมค่ะที่ทำให้เพื่อนไม่สะดวกดังข้างต้นที่กล่าว

ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ ที่กรุณามีเมตตาและตอบคำถามของคนกิเลสหนา ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
     (๑) อดีตกรรมที่บุคคลทั้งสองได้กระทำไว้ต่อกัน คือ เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน และผลของกรรมจะหมดไปได้ ต้องทำเหตุปัจจุบันให้ขาดจากกัน ด้วยการประพฤติธรรมที่ตรงกันข้าม ผู้รู้จริงแท้ ( พระพุทธโคดม ) สอนมิให้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่ปัญหาจะหมดไปได้ ต้องดับเหตุที่ตัวเอง

     (๒) ทุกคนในครอบครัวต้องมีศีล ๕ คุมใจ และมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ แผ่นดินเกิด ฯลฯ เมื่อใดทุกคนประพฤติได้ถูกตรงตามนี้ ความเจริญของครอบครัวจึงจะเกิดขึ้นได้

     (๓) บุญบารมี เป็นปัจจัยที่บุคคลได้กระทำและเก็บสั่งสมมาแต่อดีต หากปัจจุบันทำเหตุให้ถูกตรง คือ เอาศีล ๕ คุมใจ ประพฤติตนให้มีสัจจะ และเร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรม ( สมถภาวนา ) จิตย่อมมีโอกาสตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

     (๔) บาปให้ผลเป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ หากเกิดขึ้นกับผู้ใด เรียกได้ว่าผู้นั้นมีบาปให้ผล อนึ่ง การทำงานหากบุคคลมีสติอยู่กับงานที่ทำ ถือได้ว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม ส่วนเรื่องการบริโภคอาหารเจ มิได้เป็นเหตุแท้จริงให้บุคคลเข้าถึงธรรม ผู้บริโภคเนื้อสัตว์ ยังสามารถบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ เว้นไว้แต่ว่าการบริโภคเนื้อสัตว์นั้นต้องถูกตรงตามธรรมวินัย
  

2241.
กราบสวัสดี อาจารย์ สนอง ที่เคารพอย่างสูงค่ะ

     ดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมเดินจงกรม นั่งสมาธิ ทุกวันอย่างน้อยวันละ ๑ ชม มาได้ ๙ เดือนแล้วค่ะ เมื่อทำไปเรื่อยๆ เกิดความรู้สึกขี้นมาว่า จะพยายามทำ ทาน ศีล และ ภาวนาให้ได้ดีที่สุด มีข้อสงสัยเมื่อฟังเรื่องมหาทานค่ะ ที่อาจารย์บอกว่า การทำบุญเลี้ยงพระทั้งวัดเป็นเวลา ๗ วันเป็นมหาทาน อานิสงส์มาก อยากทราบว่า

    ๑ ต้องเลี้ยงพระ ๗ วันรวดเลยหรือเปล่า หรือ ถ้าเรามีวัดหยุด เสาร์ อาทิตย์ เราค่อยๆ ทยอย ทำทีละวัด ไปจนครบ ๗ วัดแต่อาจใช้เวลา ๒ เดือน  หรือไม่คะ

     ๒ เข้าใจว่าบุญที่สูงสุดจริงๆคือ วิปัสสนาถูกต้องไหมคะ

     ๓ แต่ก็มีกรณีในสมัยพุทธกาลซึ่งมีเจ้าหญิงองค์นึงเป็นโรคผิวหนังรักษาไม่หาย ท่านเลยเลี้ยงพระทั้งวัดติดต่อกัน จนหายดี ในกรณีนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็น เจริญ สมถะ หรือวิปัสสนาติดต่อกัน จะได้ผลเหมือนกันหรือเปล่าคะ

     อยากให้อาจารย์ อธิบายเรื่ืองมหาทานด้วยค่ะ
        ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      (๑) บุคคลในครั้งพุทธกาล เช่น พระอนุรุทธะ ในอดีตเคยถวายทานแด่ประปทุมุตตรพุทธเจ้าและสาวก นานติดต่อกัน ๗ วัน แล้วจึงตั้งจิตปรารถนาขอมีตาทิพย์ พระสีวลี ในอดีตถวายทานแด่พระปทุมุตตรพุทธเจ้าและสาวก นานติดต่อกัน ๗ วัน แล้วตั้งจิตปรารถนามีลาภมาก พระปฏาจาราภิกษุณี ในอดีตได้ถวายทานแด่พระปทุมุตตรพุทธเจ้า นานติดต่อกัน ๗ วัน แล้วตั้งจิตปรารถนาให้มีความทรงจำพระวินัยมาก หลังจากนั้นต้องทำเหตุให้ตรง ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้

     เหตุตรงของพระอนุรุทธะ ผู้มีตาทิพย์ คือ

     ก. ได้ถวายประทีปบูชา พระเจดีย์ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า

     ข. ถวายประทีปเป็นพุทธบูชาแด่พระสุเมธพุทธเจ้า

     ค. ให้ถาดใส่เนยใสจุดไฟสว่างถวายพระกัสสปพุทธเจ้า

    ด้วยเหตุสามอย่างนี้ เมื่อเกิดมาในครั้งพุทธกาล จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพุทธสาวกผู้มีตาทิพย์

    คำว่า “มหาทาน” หมายถึง การบริจาคทานอันยิ่งใหญ่ จึงมีปัญหาว่า ทานอันยิ่งใหญ่ของใคร

    - พระพุทธสาวกและพระพุทธสาวิกาของพระพุทธโคดม เชื่อว่าการถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวก ๗ วันติดต่อกันเป็นมหาทาน เพราะสามารถเข้าถึงธรรมและมีความเป็นผู้ยอดเยี่ยม ( เอตทัคคะ ) ได้

     - พรหม เชื่อว่า การให้อภัยเป็นทาน ทำให้จิตตั้งมั่นระดับฌาน จึงเชื่อว่าการให้อภัยเป็นทาน จัดว่าเป็นมหาทาน เพราะสามารถผลักดันจิตวิญญาณเข้าสู่พรหมโลกได้

     - เทวดา เชื่อว่า การประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ อยู่เนืองนิตย์ จัดว่าเป็นมหาทาน เพราะสามารถผลักดันจิตวิญญาณเข้าสู่เทวโลกได้

     - มนุษย์ เชื่อว่า การประพฤติศีล ๕ จนมีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น จัดว่าเป็นมหาทาน เพราะสามารถผลักดันจิตวิญญาณเข้าสู่มนุสฺสโลกได้

     ฉะนั้น พึงพิจารณาดูด้วยตัวเองเถิดว่า พฤติกรรมใดเป็นมหาทาน พฤติกรรมใดมิได้เป็นมหาทาน แล้วเลือกประพฤติตามที่ชอบเถิด
  

2240.
กราบเรียน อ.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

กระผมขออนุญาตเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

1. กระผมต้องการสถานที่ปฏิบัติกรรมฐานที่มีคนน้อย ๆ หรือไม่พลุกพล่าน หรือเป็นส่วนตัว

2. มีครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานถูกต้องตามธรรม

3. การปฏิบัติธรรมควรใช้เวลาอย่างน้อยกี่วัน ในกรณีที่เราไปปฏิบัติ ณ สถานที่ที่ปฏิบัติโดยตรง (ถ้าไม่นับว่าเราสามารถทำได้ที่บ้านหรือทุกที่ที่เราใช้ชีวิตประจำวัน) เนื่องจากกระผมไม่เคยไปรับกรรมฐานมาก่อนครับ

4. กระผมวางแผนไว้ประมาณเดือนตุลาคม ปีนี้ ว่าอยากไปปฏิบัติกรรมฐานอย่างเต็มที่ครับ

ขอบพระคุณอาจารย์ สนอง   วรอุไร ที่เมตตากระผมครับ

คำตอบ
     (๑) จากประสบการณ์ของผู้ตอบปัญหาเคยพบพระป่าทางอีสาน ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าเพียงรูปเดียวในกุฏิ หากผู้ถามปัญหามีจิตศรัทธาแรงกล้า จะประพฤติเช่นนั้นก็ไม่ผิดธรรมวินัย ดูตัวอย่างของชาวไทยใหญ่ ( หลวงพ่อธี ) ปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดเขาลำพังคนเดียว จนสามารถบรรลุดวงตาเห็นธรรม แล้วจึงได้มาบวชเป็นพระสงฆ์

     (๒) หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานที่ถูกต้องตามธรรม ต้องนำตัวเองไปเป็นศิษย์ของหลวงพ่อธี ที่ถ้ำวัวอนัตตาราม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

     (๓) เวลามิใช่เป็นเครื่องกำหนดการเข้าถึงธรรม แต่เหตุปัจจัยเท่านั้นเป็นตัวกำหนด เหตุคือต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เช่น เอาศีลคุมใจให้ได้ก่อน ใจจึงจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ใจที่เป็นสมาธิในระดับที่สมควร จึงจะมีโอกาสเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ เมื่อใช้จิตที่ตั้งมั่นสมควรแล้ว ไปพิจารณาผัสสะว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ทั้งนี้มีศีล มีสัจจะ มีความเพียรเป็นแรงสนับสนุน ส่วนปัจจัยคือต้องมีบุญบารมีเก่าสนับสนุน ดวงตาเห็นธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้ ดูตัวอย่างการเข้าถึงธรรมของผู้ตอบปัญหาจากหนังสือทางสายเอกที่เขียนบอกไว้

     การปฏิบัติธรรมเริ่มแรก ควรไปรับกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ก่อน แล้วจึงนำมาทำต่อที่บ้านได้

     (๔) สาธุ
  

2239.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพ กระผมขอเรียนถามว่า

๑ ถ้าต้องการฝืนร่างกายให้นอนน้อยเพื่อทำงานหรือปฎิบัติธรรมมีแนวทางปฎิบัติอย่างไรครับ

เพราะบางครั้งกระผมฝืนแล้วเกิดอาการหวิวๆบ้าง สมองตื้อๆบ้าง บางครั้งคิดไม่ออก บางครั้งถึงกับมืนหัวครับ ทานอาหารไม่ค่อยได้ ง่วงเป็นธรรมดาครับ

๒ จากการฝืนดังกล่าวตามข้อ๑ กระผมทานกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังเช่นกระทิงแดงถูกต้องไหมครับ (ผมคิดว่าสติผมอ่อนเลยหาตัวช่วย แต่คิดว่ามันน่าจะทำลายสุขภาพครับ)

๓ บางครั้งผมหายใจเข้ายาวๆแล้วเกิดอาการเหมือนไม่หายใจหรือหายใจเบามาก และรู้สึกว่าศีรษะกับตัวโยกไปโยกมาครับ (เป็นอาการเหมือนตอนนั่งทำสมาธิแต่ผมอยู่ในอริยาบทปรกติครับ)

ไม่ทราบว่ามันคืออาการอะไรครับ   ทำบ่อยๆดีไหมครับ

๔ ตอนนี้ผมทำงานบริษัทไม่ค่อยมีวันหยุด ทำงานหนักมากเลิกงานดึกเกือบทุกวัน มีแต่ความกดดัน ผมขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วยครับ
( บางครั้งอยากจะลาออก แต่ผมถึงท่านอาจารย์ " หนีไปไหนหนีใจตัวเองไม่พ้นหรอก อยู่แล้วสู้สิ ")

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงและอนุโมทนากับท่านอาจารย์ด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

เทิดศักดิ์

คำตอบ
     (๑) การฝืนร่างกายให้นอนน้อย มิใช่ทางที่ผู้รู้แนะนำให้ประพฤติ ตรงกันข้าม ผู้รู้แนะนำให้รักษาสัจจะในการกำหนดห้วงเวลานอน

     (๒) ถูกต้องทางโลก

     (๓) เหตุเป็นเพราะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิขั้นต้น ( ขณิกสมาธิ ) อาการตัวโยกไปมาจึงเกิดขึ้น ฉะนั้นพึงกำจัดต้นเหตุด้วยการกำหนดว่า “โยกหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่า อาการตัวโยกจะดับไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ทำอยู่ วิธีนี้เป็นการเพิ่มกำลังของสติให้มากขึ้น ดังนั้นผู้รู้จึงแนะนำให้กำหนดทุกครั้งที่มีอาการเช่นนี้เกิดขึ้น

     (๔) วิธีแก้ปัญหาที่บอกเล่าไป ต้องทำงานด้วยใจ และต้องใช้วิธีการอันเลิศโดยไม่หวังผลเลิศ ทำได้เมื่อใด ปัญหาหมดไปเมื่อนั้น จะพิสูจน์ไหมครับ
  

2238.
กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

               ช่วงฟุตบอลยูโร 2012 ผมนอนดึก แล้วตื่นสายเนื่องจากกลัวจะไปทำงานช้า ผมเลยไม่ทานข้าวเช้า   จนวันหนึ่งผมปวดท้องหนักจนหน้ามืดเป็นลม จนเพื่อนต้องพยุงตัวไปที่โรงพยาบาล หมอก็ให้นอนบนเตียง แต่อาการปวดท้องก็ยังไม่หาย ผมรู้สึกทรมานมาก พอดีผมมีพื้นฐานการฝึกกรรมฐานมาก่อนที่วัดอัมพวัน (หลวงพ่อจรัญ)ผมจึงเลี่ยงความเจ็บปวดด้วยการกำหนดรู้ไปที่บริเวณที่ปวด จนหัวใจเต้นช้าลง ลมหายใจละเอียดขึ้นจนบางครั้งไม่มีลมหายใจ แล้วระดับความปวดก็จางลงไปจนอยู่ในระดับที่ผมนอนบนเตียงได้อย่างสบาย แต่แท้ที่จริงแล้วความปวดทรมานไม่ได้หายไปไหน เพราะพอผมคลายสมาธิออกก็ยังปวดอยู่เหมือนเดิมครับ ถามว่า

              - การที่ผมใช้ สมถกรรมฐานกดความปวดไว้อย่างนี้จะเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ไหมครับ

              - ถ้าไม่ได้แสดงว่าผมต้องรับความปวดนั้นไว้ในสภาวะปกติตลอดเลยหรือครับ

              - ถ้าถึงวาระที่ผมต้องตาย แล้วผมใช้วิธีการกำหนดความเจ็บปวดทรมานลงลึกเข้าไปเรื่อย ๆจนจิตผมหลุดออกจากร่างแล้วผมจะไปไหนต่อครับ

              ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ด้วยครับ

คำตอบ
      การใช้สมถภาวนากดอาการปวด เป็นการใช้สมาธิในทางที่ผิดไปจากธรรม การกระทำเช่นนั้นเป็นการลดอาการปวดหรือระงับอาการปวดได้ชั่วคราว ปัญญาเห็นแจ้งจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อใดที่จิตคลายออกจากสมาธิ อาการปวดนั้นยังมีอยู่ วิธีนี้เป็นการหนีอาการปวดได้ชั่วคราว พระพุทธโคดมมิได้สอนให้ภิกษุประพฤติ หากกำหนดอาการปวดให้ลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตหลุดออกจากร่าง ย่อมถูกพลังสมาธิระดับฌานอย่างอ่อน ผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปโอปปาติกะอยู่ในพรหมโลกชั้นปาริสัชชาภูมิ
  

2237.
สวัสดีครับ อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ผมมีปัญหารบกวนถามอาจารย์ ดังนี้ครับ

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ช่วงเวลาทุ่มกว่าๆ ผมขับมอร์เตอร์ไซไปซี้อเจลลดไข้ให้ลูก ในขณะที่ขับอยู่ ช่วงขณะจิตก็รู้สึกว่า ตัวเราเมื่อกี้นี้กับตอนนี้ไม่ได้เป็นคนๆเีดียวกัน คืออยู่ดีๆมันก็รู้สึกขึ้นมาเองหนะครับ

ความรู้สึกคือ อนาคตมันก็ไม่มี อดีตมันก็ไม่มีหนิ มีแต่ปัจจุบันล้วนๆ เราเมื่อห้านาทีที่แล้ว กับเราตอนนี้มันไม่ได้เป็นคนๆเดียวกันหนิ มันมีแต่ปัจจุบัน แม้คิดเรื่องงานที่ค้องทำในวันพรุ่งนี้ มันก็มีแต่ปัจจุบัน คือรู้ว่าพรุ่งนี้มีงาน แต่รู้แค่ปัจจุบัน มันไม่ได้รู้สึกถึงพรุ่งนี้หนะครับ ในขณะที่จิตรู้สึกแบบนี้อยู่ ใจรู้สึกสบาย โปร่ง   รู้ทุกกริยาบทที่กายดำเนินไป จะก้าวก็มีปัุจจุบัน จะพูดก็มีแต่ปัจจุบัน ในขณะที่เช็ดตัวให้ลูกมันก็มีแต่ปัจจุบัน มันมีแต่ความสุขในใจ แล้วก็มาพิจารณาต่อว่า เวลามันก็ไม่มีอยู่จริงหนิ มีแต่ปัจจุบันที่ดำเนินไป   รู้สึกแบบนี้อยู่นานพอสมควร จนลูกนอน ผมก็ลงมาพิจารณาต่อ ดูการก้าวเดินของเราว่า ในขณะเดิน

ในขณะย่างก้าว มันไม่มีก้าวที่แล้วเลย มันมีแต่เท้าที่เคลื่อนอยู่ มันมีแต่ตอนนี้ มีแต่เีดี๋ยวนี้ ไม่มีเมื่อกี่แล้ว แต่มันไม่รู้สึกถึงการเกิดดับคือไม่เห็นการเกิดดับหนะครับ จนสักพักก็เลิกพิจารณามาดูที่วีรายการที่ชอบ ดูจนจบ ก็อาบน้ำสวดมนต์ไหว้พระ แต่ตอนนั่งสมาธิเนี้ยซิครับ ความรู้สึกแต่ปัจจุบันมันหายไปหมดเลย มันหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ จะทำให้รู้สึกแบบให้มีแต่ปัจจุบันไม่ได้แล้ว เพราะตอนรู้สึกว่ามีแต่ปัจจุบันมันเกิดขึ้นเองครับ ไม่ได้ทำให้มันรู้สึก นั่งสมาธิก็ไม่ได้   จิตมันฟุ้งไปหมด เลยยอมแพ้ เข้านอน ปรกติเวลานอนก็กำหนดพุธโทตลอด แต่คืนเกิดเหตุกำหนดไม่ได้ด้วยมันยังฟุ้งอยู่ ก็ปล่อยให้หลับไปเลยโดยไม่ได้กำหนดหนะครับ

คำถามคือ: ในขณะที่จิตรู้สึก ที่มีแต่ปัจจุบันโดยที่มันเกิดขึ้นเอง พร้อมกับความรู้สึกสบายกาย สบายใจ ในใจมีแต่สุข มีแต่อิ่บเอิบ เป็นผลมาจากการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือเปล่าครับ แล้วถ้าเำกิดขึ้นอีกจะรักษาความรู้สึกนี้ให้ได้นานๆต้องปฏิบัติยังไงต่อครับ แต่หากเกิดจากการปฏิบัติไม่ถูกต้องควรแก้ไขอย่างไรครับ แล้วที่รู้สึกว่าเวลาไม่มีอยู่จริงมีแต่ปัจจุบันสิ่งที่ได้รู้สึกเป็นจริงหรือเปล่าึครับ

รบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ ที่เล่าและถามไปไมู่้รู้อาจารย์จะเข้าใจหรือเปล่า คือผมไมู่้รู้จะอธิบายยังไงให้อาจารย์เข้าใจในสิ่งที่ผมรู้สึกครับ เป็นกังวลครับ

ใจหนึ่งก็อยากถาม แต่อีกใจก็ไม่อยากถามเพราะกลัวว่ารู้คำตอบแล้วใจมันจะทิ้งปัญหานี้ไปเลย โดยที่ไม่ได้พิจารณาเิพิ่มเติมให้มันแจ้งด้วยใจ แต่ถ้าไม่ถามก็กลัวจะติดอยู่กับความรู้สึกนั้น ถ้าอาจารย์คิดว่าเป็นประโยชน์ที่จะตอบเพื่อคนอื่นๆที่เข้ามาอ่านก็ตอบนะครับ แต่ถ้าคิดว่าไม่ตอบแล้วแนะนำแนวทางในการพิจารณาก็แล้วแต่ความกรุณาของอาจารย์นะครับ

ผมปฏิบัติมาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนเดี๋ยวนี้ก็ 35 ปี สิบกว่าปีมานี้ก็ปฏิบัติบ้าง ไม่ปฏิบัติบ้าง ช่วงที่ปฏิบัติก็เพราะได้อ่านหนังสือธรรมะแล้วเกิดกำลังใจแล้วก็ปฏิบัติอยู่ก็เป็นปี หลังจากนั้นก็เบื่อเหมือนหมดกำลังใจ

แล้วก็ไม่ปฏิบัติ ก็นานเลยครับ จนได้ไปเจอไปอ่านหนังสือธรรมะอีก เกิดกำลังใจอีกก็ปฏิบัติอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอด แต่ไม่เคยพิจารณาในการปฏิบัติเลย จนกระทั่งได้ฟังการบรรยายของอาจารย์เนี้ยแหละครับ จึงมีำกำลังใจที่จะปฏิบัติให้ถูกทาง ได้ฟังเทศน์ของท่านเจ้าคุณโชดก เรื่องเทศน์ลำดับญาน แล้วก็ของพระอีกหลายรูป ที่ได้มีการโพสไว้ใน ยูธูป จนถึงตอนนี้ก็เริ่มจะรู้สึกเบื่ออีกแล้ว ไปปฏิบัติธรรมที่ วัดถ้ำสุมโน ก็รู้สึกวุ่นวายกับคนหมู่มาก อยากอยู่ที่เงียบๆ เคยคิด เห็นภาพตัวเองอยู่ในป่า ในเขา ในถ้ำแล้วรู้สึกมีความสุข จะรู้สึกศรัทธามากกับพระป่า พระธุดงค์ เป็นความรู้สึกที่มีมาตั้งแต่จำความได้ ใจอยากบวชไปอยู่ในป่า ในเขามาก แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ต้องใช่กรรมที่สร้างมาอีกนาน แต่ก็อธิษฐานไว่ว่า ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกไม่ว่าในชาติไหน ก็ขอให้ได้เกิดมาพบพุทธศาสนา และได้บวชปฏิบัติธรรมตั้งแต่เป็นเด็กๆอธิษฐานทุกครั้งที่ระลึกได้ครับ ที่อธิษฐานแบบนี้ถูกไหมครับ ถ้าไม่ถูกควรเพิ่มเติมประโยคใดอีกในคำอธิษฐานครับ

ผมได้ดาวน์โหลดการบรรยายธรรมของอาจารย์ที่โพสไว้ในยูธูปมาฟังเยอะมากครับ ต้องขมา ให้อาจารย์อโหสิกรรม ยกโทษให้ด้วยนะครับ  

สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ได้อยู่เป็นกำลังใจให้ผู้ใฝ่ในการปฏิบัติไปนานๆนะครับ

ตุลย์เมธี   สุวรรณพัสวี

กราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.สนอง   วรอุไร อย่างสูงครับ

คำตอบ
      การระลึกได้ว่า มีอยู่แต่ปัจจุบัน นั่นเป็นอาการที่เกิดกับจิตที่มีสติกำกับ ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะรักษาภาวะเช่นนี้ไว้ให้ได้ ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ ทำทุกครั้งที่นึกได้ และทำทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอกที่ทำให้กับสังคม และหากเมื่อใดมีจิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ จิตจะไม่ระลึกถึงกาลเวลาอื่นใดทั้งสิ้น ( ไม่มีกาลเวลา )

     อนึ่ง ความกังวล เป็นอาการที่จิตขาดสติกำกับ ต้องแก้ปัญหานี้ตามที่บอกมาข้างต้น

     คนที่ปฏิบัติธรรมบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง เรียกว่าเป็นคนที่มีความประมาท จึงทำให้กิเลสครอบงำจิต ( เบื่อ ) ได้ ส่วนเรื่องการอ่านหนังสือธรรมะ จัดว่าเป็นคันถะธุระ คือสามารถรู้สิ่งต่างๆที่มีคนเขียนบอกไว้ในตำราหรือคัมภีร์ เรียกความรู้ที่เกิดขึ้นว่าเป็นความจำ ( สัญญา ) แต่หากนำตนไปปฏิบัติธรรม การประพฤติเช่นนี้เป็นวิปัสสนาธุระ จิตย่อมเข้าถึงความจริงแท้ ที่สามารถปิดอบายภูมิหรือนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ฉะนั้นจะประพฤติอย่างใด จงเลือกเอาตามที่ชอบเถิด

     ไปอยู่ในถ้ำ แล้วรู้สึกวุ่นวายกับคนหมู่มาก ให้กำหนดว่า “วุ่นวายหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าความวุ่นวายจะหายไปจากใจ

     การอธิษฐานตามที่บอกเล่าไปดีแล้ว แต่จะสมปรารถนา ต้องทำเหตุให้ตรง คือประพฤติไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) อยู่เสมอ
  

2236.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ผมมีเรื่ยงสงสัยเกี่ยวกับการสวดบทบังสกุลตายคือว่าคนที่ไม่ได้บวชเป็นพระสามารถสวดบทบังสกุลตายได้หรือไม่ แต่ไม่ได้ไปสวดในงานศพเพราะบ้างครั้งไม่ว่าผมจะทำงาน ขับรถ หรือกิจวัตรประจำวันนึกขึ้นได้ ผมจะสวดบทบังสกุลตายเป็นประจำแต่เป็นการสวดในใจ เหตุที่ผมสวดเพราะเมื่อสมัยเป็นเด็กผมเคยไปดูพี่ชายที่บวชเป็นเณรไปสวดบังสกุลตายที่ป่าช้า ก็เลยจำบทสวดนั้นได้และเป็นบทสวดแรกๆที่ผมจำฝังใจ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ สนอง มากครับ

คำตอบ
      คำว่า “บังสุกุล” หมายถึง ผ้าที่ภิกษุชักจากศพ การสวดบังสุกุลตาย หมายถึง สวดมนต์เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับผู้ตาย ดังนั้นจะสวดเมื่อใดย่อมสามารทำได้ แต่สวดแล้วต้องไม่เป็นเหตุให้ขาดสติ เช่น ขณะขับรถยนต์พร้อมกับการสวดมนต์ เป็นเหตุให้จิตหันมาจดจ่อกับบทสวดมนต์ ทั้งๆที่ตัวเองยังขับรถอยู่บนถนน อุบัติเหตุยังสามารถเกิดขึ้นได้ ผู้มีสติย่อมไม่ประพฤติเช่นนี้ แต่หากเป็นผู้ที่นั่งโดยสารไปในรถยนต์ ไม่ถือว่าขาดสติ สามารถสวดได้
  

2235.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร ผมมีคำถามดังนี้

1. อยากทราบว่าการทำบุญกับพระเพียงรูปเดียว ตั้งใจให้รูปเดียวโดยก่อนออกมาจากบ้าน ตั้งใจว่าไม่ว่าเจอกระรูปไหนจะให้รูปนั้นก่อน แบบนี้จะเป็นสังฆทานได้มั้ยครับ

2. ถ้าออกมาจากบ้านเหมือนข้อก่อน แต่ให้ของหลายชิ้น แต่พระเมื่อกลับไปที่วัดแล้ว ได้นำไปให้พระรูปอื่นฉันด้วย จะกลายเป็นสังฆทานได้มั้ยครับ เพราะเราเจตนาตอนให้ให้รูปเดียว

**** ขอบคุณท่านอาจารย์สนองมากๆ ครับ

คำตอบ
      (๑) ผู้ที่ทำอาหารไปใส่ลงในบาตร ( ทำบุญ ) โดยมีความตั้งใจถวายพระเพียงรูปเดียว เจตนาเช่นนั้นเป็นปุคคลิกทาน แต่เมื่อพระที่รับบิณฑบาตกลับถึงวัด ได้นำอาหารไปรวมไว้เป็นส่วนกลางของสงฆ์ พฤติกรรมนั้นเป็นสังฆทาน ดังนั้นปัญหาที่ถามไปจึงมีความเป็นไปได้

     (๒) ถ้านำอาหารจากการบิณฑบาตไปแบ่งให้พระรูปอื่น ยังถือว่าเป็นปุคคลิกทาน แต่หากไปรวมไว้เป็นส่วนกลางของสงฆ์ทั้งวัดสามารถนำไปใช้ได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นสังฆทาน
  

2234.
สวัสดีครับ ท่าน ดร สนอง 

ผมมีคำถามอย่างหนึ่งเป็นข้อกังขามานานแล้วครับ อยากเรียนถามว่า บุญกุศลที่เราปฏิบัติสามรถเปลี่ยนแปลงดวงชะตาราศี ได้หรือไม่ครับ ?

คือผมมิได้เป็นข้าราชการแต่ฝันอยากเป็นข้าราชการจึงไปดูหมอที่ค่อนข้างมีชื่อในความแม่นยำ เขาก็บอกว่าดวงผมไม่สามารถเป็นข้าราชการได้เพราะว่าดาวบางดวงเสียอะไรทำนองนี้

ผมก็กลับมานึกกับตัวเองว่า ใครเป็นคนกำหนดชีวิตเรา ? ดวงชะตา อย่างนั้นหรือ แล้วความดีที่ผมเพียรพยายามทำมา กอปรกับบุญกุศลที่เราคิดดี ทำดี ปฏิบัติดี สามรถช่วยหนุนให้เรามีดวงชะตาชีวิตที่เปลี่ยนไปได้หรือไม่ครับ... ?

คำถามจากผู้ยังรู้น้อย...

คำตอบ
      เปลี่ยนได้ครับ จงดูพฤติกรรมของเหลี่ยวฝานเป็นตัวอย่าง

     ผู้ใดประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ได้จนเป็นปกตินิสัย เมื่อใดที่เหตุปัจจัยถึงพร้อม ความสมปรารถนาในสิ่งที่ตนต้องการ ย่อมเข้าถึงได้ ทั้งนี้ต้องเว้นอกุศลกรรมใดๆ แล้วความสมปรารถนาย่อมเกิดได้ง่าย
  

2233.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ผมมีเรื่องจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ผมปฏิบัติสมาธิมานาน และเริ่มตั้งใจแน่วแน่ต่อการปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาตั้งแต่ปี ๕๐  

เมื่อตุลาคมปี ๕๓ ขณะเดือนจงกลมอยู่จิตรวมไปตั้งอยู่ที่กระหม่อม หลังจากนั้นมีความรู้สึกถึงการไม่มีกายอยู่ หลังจากนั้นเป็นต้นมา

เวลาที่มีสติ จิตจะไปตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อมทุกครั้ง จะรู้สึกเย็นวาบ ปัจจุบันในระหว่างวันก็มีอาการเช่นนี้อยู่ตลอดทั้งวัน

รบกวนท่านอาจารย์แนะนำว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป

กราบขอบพระคุณครับ
   วิสูจน์

คำตอบ
      จิตมิได้จดจ่ออยู่กับเท้าที่ก้าวย่าง ( สติหลุด ) หากประสงค์ให้จิตมีสติมากขึ้น เมื่อรู้สึกเย็นวาบที่กลางกระหม่อม ต้องกำหนดว่า “เย็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการเย็นจะหมดไป แล้วดึงจิตมาจดจ่ออยู่กับอิริยาบถใหญ่ที่เป็นปัจจุบันขณะ
  

2232.
กราบท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

   หนูได้ฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ ทาง youtube ค่อนข้างมาก ทำให้หนูเข้าใจ ธรรมะ ได้ดียิ่งขึ้น    หนูตั้งใจจะเป็นคนดี    เพราะหนูเชื่อมากๆ ว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อจะไม่เกิด หนูระวังเพื่อรักษาศีล 5 ให้ครบ ตอนอยู่ต่างประเทศรักษาไม่ยาก สำหรับหนู ตอนนี้อยู่เมืองไทยศีลมีพร่อง บ้างเนื่องจากมีมดเล็กๆ

   หนูมีคำถาม ว่าเมื่อหนูรักการปฏิบัติธรรม ชอบอยู่เงียบๆ หนูควรจะมีลูกไหมคะ หนูเริ่มจะเป็นทุกข์เนื่องจากหนูอายุ 40 แล้วค่ะ (ทางครอบครัวอยากให้มี เพราะอยากมีหลานเป็นลูกครึ่งค่ะ ) ถ้าคำถามของหนูทำให้ท่านอาจารย์ ลำบากที่จะตอบ หนูกราบขอขมา ขอท่านอาจารย์อโหสิกรรมให้หนูด้วย นะคะ
ด้วยความเคารพและศรัทธาอย่างสูง

   ชนัญชิดา

คำตอบ
      ตลอด ๔๕ พรรษาที่พุทธโคดมเผยแพร่ธรรม พระองค์ไม่เคยสอนให้ไปแก้ไขปัญหาที่คนอื่น แต่ทรงสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ดังนั้นความอยาก ( ตัณหา ) ของคนอื่นก็เป็นกิเลสของผู้อยาก หากประพฤติตามความอยากของผู้อื่น ปัญหาย่อมเกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหาได้ และที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “มนุษย์มีทรัพย์เป็นห่วงผูกขา มีสามี / ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตร / ธิดาเป็นห่วงผูกคอ” ฉะนั้นผู้ถามปัญหาพึงพิจารณาด้วยตัวเอง แล้วเลือกทำตามที่ชอบเถิด
  

2231.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพเป็นอย่างสูง

ผมทำสมาธิด้วยการ ภาวนา   นะมะพะทะ แบบ อนุโลม ปฏิโลม จนรู้สึกว่าจิตละเอียด จดจ่อกับคำภาวนา และ คำภาวนาหายไป จิตมาจับอยู่ที่อารมณ์ ความรู้สึกภายนอกน้อยมาก เหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่มีความรู้สึกตัวอยู่ ต่อจากนั้นก็ไม่รับรู้อารมณ์อะไร เลยเหมือนกับจิตดับไป สักพัก ก็กลับมารู้สึกตัวพร้อมกับดึงคำภาวนากลับมา  

เมื่อภาวนาไปได้สักพัก ก็เข้าสู่สภาวะเดิมอีก   เป็นอย่างนี้ อยู่ 3 ครั้ง จึงถอนจากสมาธิ แล้วอุทิศบุญกุศลแล้ว ล้มตัวลงนอน (ผมนั่งสมาธิอยู่บนที่นอนครับ) รู้สึกว่าขาขวา เป็นเหน็บชา เริ่มปวดขามากขึ้น ตอนแรกจะทำเหมือนทุกครั้ง คือนอนปวดขา ไปจนกว่าจะหาย แต่นึกถึงคำสอนของ ท่านอาจารย์สนอง  ว่าเมื่อเลิกทำสมาธิให้เจริญปัญญาต่อ   ก็ไปเห็น จิตที่มันกระวนกระวาย ว่าขากำลังปวด แล้วก็ไปดูเวทนาเห็นความปวดเกิดขึ้น  จิตเห็นว่า ขาไม่ได้ปวด แต่จิตเป็นตัวปรุงแต่งว่า ขามันปวด แล้วเหมือนเห็นเวทนาความปวดอยู่รอบๆ ขา เหมือนกำลัง ขยุ่มขาอยู่

ต่อจากนั้นผมก็ กำหนดปวดหนอ ปวดหนอ ไปเรื่อยๆ พอความปวดเริ่มหาย มีความรู้สึกดีใจ ก็ กำหนดดีใจหนอ ดีใจหนอไป เรื่อยๆจนขาหายปวด รู้สึกว่าครั้งนี้ ขาหายปวดจากเหน็บชาเร็วกว่าทุกครั้งครับ

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้

1. ผมสงสัยว่า ตอนที่ผมทำสมาธิ อาการที่เหมือนจิตดับ แบบนี้ทำผิดหรือเปล่าครับ เป็นการขาดสติเผลอหลับไปหรือไม่ครับ หากเป็นการขาดสติเผลอหลับไปจะแก้ไขอย่างไรครับ

2. ผมปรารถนาเดินทางสายพุทธภูมิ ได้ อธิฐานขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์   ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวะโร เพื่อจะปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องไม่ทราบว่า ทำอย่างไร การอธิฐานจะสำฤทธิ์ผลครับ

ผมเคยสอบถามท่านอาจารย์ เรื่องลูกตอนที่ภรรยาตั้งครรภ์ ตรวจอัลตราซาวน์ แล้วพบถุงน้ำ ตอนนี้ลูกของผมคลอดมาได้ 6 เดือนแล้วครับ ไม่พบถุงน้ำเหมือนตอนอัลตราซาวน์ สุขภาพแข็งแรงดี แต่มีวิบากบางอย่างที่ติดตัวมาด้วย ก็คงเป็นผลกรรมที่ต้องชดใช้  แต่ก็มีสิ่งอัศจรรย์ เกิดขึ้นให้เห็นหลายอย่างครับ

ถ้าคำถามนี้เป็นการรบกวนผมขอให้ท่านอาจารย์สนอง ได้ยกโทษอโหสิกรรมให้ผมด้วยครับ

ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ธรรมใดที่ท่านอาจารย์เห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นธรรมนั้นด้วยครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ สนอง มากครับ
จีรภัทร

คำตอบ
     ปัญญาที่เห็นว่าขามิได้ปวด แต่เห็นว่าเป็นเพราะจิตรับสิ่งกระทบไม่ดีเข้าปรุงอารมณ์ อาการปวดขาจึงเกิดขึ้น การเห็นในลักษณะนี้เรียกว่าเห็นถูก แต่หากเมื่อใดจิตเอาอาการปวดขามาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ แล้วอาการปวดขาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ทุกขเวทนา ( ปวดขา ) ย่อมไม่มีอยู่จริง ปัญญาที่เห็นเช่นนี้เรียกว่า ปัญญาเห็นแจ้งในทุกขเวทนา ไม่เพียงเห็นแค่สามครั้งเท่านั้น ผู้ไม่ประมาทต้องเห็นให้ได้ทุกครั้ง แล้วสภาวะปุถุชนจึงจะพ้นไปได้

     อนึ่ง กำลังของสมาธิในดวงจิตของผู้ถามปัญหามีมากพอแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบริกรรมคำว่า “ปวดหนอ” อีกต่อไป แต่ควรใช้จิตตามดูอาการปวดว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น

     (๑) คำว่า “จิตดับ” หมายถึง จิตที่ไม่มีการเกิด - ดับ ( ภวังค์ ) อารมณ์ใดๆจึงเกิดขึ้นไม่ได้ คนที่มีสติกล้าแข็ง จิตจะไม่ดับ การหลับจึงเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น คำว่า “เผลอ” จึงหมายถึงจิตที่ขาดสติกำกับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ หากประสงค์จะแก้ปัญหานี้ ต้องเจริญสติทุกครั้งที่นึกได้ เจริญสติทุกครั้งที่ว่างจากงานของสังคม

     (๒) คำว่า “อธิษฐาน” หมายถึง การตั้งจิตปรารถนา ให้ตัวเองเข้าถึงสิ่งดีงาม ( ความเป็นพระพุทธเจ้า ) ในวันข้างหน้า ความสมปรารถนาจะเกิดขึ้นได้ต้องทำเหตุให้ถูกตรง คือต้องบำเพ็ญบารมีทั้งสิบตัวให้ครบทั้งสามระดับ ( บารมีธรรมดา อุปบารมี ปรมัตถบารมี ) การประพฤติเช่นนี้เรียกว่า นำพาชีวิตเดินทางในสายพุทธภูมิ
  

2230.
น้อมกราบ อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ในคุณความดีที่อาจารย์ได้อุทิศตนเพื่อเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ด้วยใจนอบน้อมครับ

สวัสดีครับ อาจารย์ ผมชื่อ ตุลย์เมธี สุวรรณพัสวี อายุ 35 ปีครับ

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนผมอายุประมาณ 20 ปี ผมได้ปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง เพราะได้เกิดศรัทธาจากที่ได้อ่านหนังสือของ ท่านอาจารย์ พุทธทาสภิขุ  

ครั้งแรกที่นั้งสมาธิ ในห้องนอน นั่งเลยนะครับไม่ได้สวดมนต์ ปิดไฟด้วย ขณะนั่งผมก็คิด ทำไมคนเราต้องเกิด ทำไมต้องมีเนื้อ มีหนัง ทำไมต้องมีความรู้สึกทางกาย ทางใจ ความรู้สึกมันเกิดมาจากไหน

ทำไมไม่ดับสูญ ขณะที่คิดก็ทำความรู้สึกตามไปด้วย ทำอย่างนี้ไปได้สักพัก ความรู้สึกทางกายมันหายไปหมดเลย ลมหายใจก็ไม่มี มีแต่ว่างกับความคิดล้วนๆครับ มันเหมือนว่า ลอยอยู่ ไม่มีตัวตนเลย

แวบนึงความรู้สึกกลัวก็เข้ามา ผมก็ลืมตาเลยเพราะงง สงสัย แต่ก็ไม่รู้จะถามใคร สภาวะแบบนี้ เรียกว่าอะไรครับ เกิดขึ้นได้เพราะเหตุใดครับ

เท่าที่อ่านเวปตอบปัญหาของอาจารย์ ส่วนมาก จะเข้าถึงสภาวะแบบนี้ได้แค่ครั้งเดียว ร่วมทั้งผมและเพื่อนอีกสองคน เป็นเพราะเหตุใดครับถึงไม่สามารถเข้าสภาวะเช่นนี้ได้อีก

ในช่วงอายุเดียวกันนั้น ที่ยังปฏิบัติธรรมอยู่ เช้าวันหนึ่ง ตอนผมเดินออกจากบ้านไปหน้าปากซอย ระยะทางก็ไกลพอสมควร เพื่อขึ้นรถโดยสารไปทำงาน ตอนนั้นมีเงินติดตัวอยู่ 5 บาท

ในระหว่างที่เดิน ขณะจิตนึง ความรู้สึกสุขก็เกิดขึ้นกับใจ มันเป็นความสุขที่อธิบาย หรือเขียนเป็นตัวหนังสือไม่ได้เลยครับ มันอิ่มใจไปหมด สุขที่สุดในชีวิตที่เคยเจอมาเลย มันแปลกที่อยู่ดีๆมันก็เกิดขึ้นเอง

สุขขึ้นมาเอง เดินไป ยิ้มไป ตัวเบาโปร่ง สว่างยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกครับ ใครเห็นเข้าคงนึกว่าผมบ้าแน่ๆ สภาวะของสุขที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่าอะไรครับ แล้วเกิดขึ้นได้เพราะเหตุใดครับ

ผมเป็นช่างซ่อมมือถือนะครับ วันหนึ่งมีเครื่องซ่อมเข้ามา พอผมรู้อาการเสีย ความคิดก็เข้ามาเลย ว่าจะคิดเงินลูกค้าเท่าไหร่ ตอนนั้นค่าซ่อมยังแพงมาก กำไรเยอะ ช่วงแวบนึงของขณะจิต ผมสัมผัสได้ถึงตัวโลภ  

ผมหมายถึง ตัวโลภนะครับ ไม่ใช่ความโลภ ผมมั่นใจเต็มร้อย ผมรู้สึกได้เลยว่ามันเป็นตัว เป็นตนเลยครับ สัมผัสได้จริงๆครับ แต่อธิบายรูปร่างไม่ได้ คือเหมือนใจเราไปสัมผัสมันได้เลย ตัวโลภที่ผมสัมผัสได้

มันมีอยู่จริงไหมครับ ถ้ามีอยู่จริง เพราะเหตุใดผมถึงสัมผัสมันได้ครับ

เมื่อปี 54 ผมตั่งใจที่ทานอาหารมังสวิรัติ และไม่มีเพศสัมพันธ์ ตั้งใจ 1 ปี แต่ทำได้ 10 เดือนครับ รักษาสัจจะไม่ได้อีกตามเคย เรื่องสัจจะผมพร่องเป็นอย่างมาก อาจารย์มีวิธีทีที่จะแนะนำให้ผมนำไปปฎิบัติเพื่อให้เป็นแนวทาง

ในการรักษาสัจจะบ้างมั้ยครับ รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ

ในช่วงปี 54 คืนหนึ่งผมนอนภาวนากำหนดลมหายใจอย่างเช่นทุกคืน สักพัก ขณะจิตนึง ผมเห็นบางอย่างเกิดขึ้นในใจ มันชัดมาก มีความรู้สึกว่าเป็นดวงๆ กระพริบๆ เกิด-ดับๆ เยอะและเร็วมาก ในขณะที่มันกระพริบอยู่นั้น รู้สึกได้ถึงความกระเพื่อม สั่นไหว วิ่งไปทั่วร่างกาย เกิดขึ้นไม่กี่วินาทีหรอกครับ แต่มันเห็นและรู้สึกได้ชัดเจนมากครับ สภาวะอย่างนี้เรียกว่าอะไรครับ เกิดขึ้นได้เพราะเหตุใดครับ

ทุกเหตุการณ์ที่เล่ามานี้ เป็นความจริงที่เกิดกับผมครับ แต่เวลาไปเล่าให้เพื่อนๆ หรือใครฟัง รู้สึกได้เลยว่าคนฟังจะรู้สึกแปลกๆกับผม

ตอนเด็กๆ ผมได้ขโมยเงินที่เค้าร่วมกันใส่ซองทำบุญ แต่จำไม่ได้ว่าทอดผ้าป่า หรือทอดกฐิน เป็นจำนวนไม่เยอะครับ ประมาณพันกว่าบาท ผมได้ฟังที่อาจารย์ได้บรรยายตอนหนึ่ง เรื่องการย้ายฐานเจดีย์ ตอนนี้ผมเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นอย่างดีแล้วครับและในเวลานี้ก็กำลังชดใช้อกุศลกรรมวิบาก ที่มันให้ผลอยู่ ผมยอมรับในผลของกรรมที่ได้สร้างไว้เป็นอย่างดี แล้วก็ปล่อยให้กรรมนั้นดำเนินไปตามกฏตามเหตุ ตามปัจจัยของมันครับ ผมมีความทุกข์น้อยมากครับถ้าเทียบกับสภาวะกรรมที่มันส่งผลอยู่ในขณะนี้ ตัวผมก็ปฏิบัติธรรมไปตามสติกำลัง ที่พึงจะปฏิบัติได้ ที่อยากจะถามอาจารย์คือ ผมต้องทำบุญแบบไหนครับ เพื่อให้สมเหตุกับกรรมที่ได้ขโมยเงินทำบุญที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ครับ รบกวนอาจารย์แนะนำด้วยครับ

ข้าพเจ้าตั้งจิตขอขมา อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่ได้ล่วงเกินอาจารย์ด้วยใจ ขออาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร อโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเทิด พร้อมกันนี้ บุญกุศลใดที่อาจารย์ได้สร้างมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ขออนุโทนาในบุญนั้นด้วยเทอญ สาธุ สาธุ

คำตอบ
      ที่จำเป็นต้องเกิดอีกและมีส่วนประกอบของร่างกาย เป็นเพราะจิตยังมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ

     ที่จิตไปรู้ เห็น เข้าใจในความเป็นจริงแท้ เพราะเห็นว่า สรรพสิ่งเป็นของมิใช่ตัวใช่ตน ( อนัตตา ) เช่น เห็นร่างกายไม่ใช่ตัวใช่ตน ลมหายใจไม่ใช่ตัวใช่ตน ทั้งสองจึงไม่มีอยู่แท้จริง จิตจึงปล่อยวางและว่างจากอารมณ์ปรุงแต่ง สภาวะที่เห็นเป็นเช่นนี้เพราะจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง

     การเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ส่วนมากเข้าถึงได้เพียงครั้งเดียว เป็นเพราะจิตมีกำลังสติอ่อน เมื่อใดจิตระลึกทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต และเห็นทุกสิ่งดับไปตามกฏไตรลักษณ์ เมื่อนั้นปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดขึ้น แล้วปัญหาของผู้ถามและเพื่อนอีกสองคนก็จะหมดไป

     ความสุขที่เกิดขึ้น เนื่องจากจิตเป็นอิสระจากสิ่งกระทบ ผู้ไม่ประมาทพึงรักษาจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นแจ้ง จนสามารถนำพาชีวิตพ้นไปจากสมมุติได้เมื่อใด เมื่อนั้นจิตย่อมเข้าถึงวิมุตติสุขได้

     โลภะ เป็นกิเลสมารตัวใหญ่ที่คอยขัดขวางบุคคลไม่ให้ทำความดี จงมองโลภะด้วยจิต จนเห็นว่ากิเลสตัวนี้ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตจึงจะมีอิสระจากโลภะได้ ตรงกันข้าม ผู้มีปัญญาเห็นผิดย่อมเห็นว่า โลภะเป็นตัวตน ( อัตตา ) จึงไขว่คว้าแสวงหาโลภะมาไว้กับตน เมื่อโลภะถูกเก็บสั่งสมในดวงจิตจนมีกำลังมากแล้ว โอกาสเข้าใกล้ความเป็นเปรตย่อมเกิดขึ้น เช่น ลักขโมยเงินไปทำบุญ เป็นเพราะจิตมีโลภะครอบงำ หากบุคคลประพฤติให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ หยุดการไปเอาของที่เจ้าของยังมิได้อนุญาตยกให้ หนทางสู่ความเป็นเปรตย่อมไม่เกิด

     สุดท้าย อโหสิให้แล้ว
  

2229.
กราบ อ. ดร. สนอง วรอุไร

หนูได้เรียนถามปัญหากับอาจารย์ไป คำถามของหนูข้อ   2224  อาจารย์ได้แนะนำวิธีการแก้ไขให้ซึ่งหนูพยายามทำตาม และอาจารย์บอกว่าหนูยังไม่ถึงสภาวะปรมัตถ์ ให้ย้อนดูคำถามที่ 2147 ข้อ 1. สภาวะปรมัตถ์มันจะปล่อยของมันเอง ซึ่งข้อ 2147 ก็คือหนูเองที่เป็นคนถาม

           1.    หนูรู้สึกว่าการปฏิบัติมันไม่อยู่ตัวเลย เดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดี เปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์ หลุดง่าย หมายถึงว่าเราย่อหย่อนไปใช่ไหมค่ะแต่พอหนูคิดแล้วปวดศรีษะหนูก็รีบตัดใจปล่อยเรื่องนั้นทันทีมันก็หายปวด   ถูกไหมค่ะ   ( พยายามเจริญสติให้ทันการกระทบตั้งแต่ทีแรกด้วย)

           2.   ถ้าเรายังต้องอยู่ในสังคม ทำงานหาเงิน ต้องกินต้องใช้ เป็นพยาบาล พบเจอแต่สังคมผู้หญิง หลายครั้งหนูก็รู้อยู่ว่าต้องละอย่างไร ทำอย่างไร แต่มันก็ยาก ยากมากเลย เวลาที่ไม่ได้อยู่ในห้องกรรมฐาน มันละยาก อาจารย์มีวิธีใดที่จะปฏิบัติไปได้โดยสบายในสังคมที่วุ่นวายไหมค่ะ

           3.    หนูอยากบวชแต่ยังบวชไม่ได้ เพราะมีแม่ต้องดูแล แม่หนูอายุ 56 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราควรดูแลมารดาผู้มีพระคุณก่อนใช่ไหมค่ะ

           4.   ออกจากกรรมฐานมาครั้งนี้    มีเพื่อนที่เรียนธรรมมาด้วยกันท่่านหนึ่ง และมีครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่งซึ่งหนูเคราพมากเป็นฆารวาส  สอนธรรมตั้งแต่หนูปฏิบัติครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน ท่านบอกว่าหนูน่าจะปฏิบัติผิดแนวพระพุทธเจ้า ควรเลิกปฏิบัติ เพราะหนูขาดสติ แต่หนูว่าไม่น่าจะใช่ เพราะปฏิบัติแล้วเราดีขึ้น   ช่วงที่เราไม่ดี คือช่วงที่เราขาดสติไม่ทันกิเลส หนูคิดถูกไหมค่ะ   หนูก็เลยปฏิบัติแนวเดิมของหนูต่อไป   

            กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ที่ช่วยแนะนำสั่งสอนค่ะ  

คำตอบ
      (๑) อาการที่บอกเล่าไปมีสาเหตุมาจากจิตมีกำลังของสติอ่อน พระพุทธโคดมมิได้สอนพุทธบริษัทให้ประพฤติหนีปัญหา แต่ทรงสอนให้อยู่กับปัญหา แล้วดับที่ต้นเหตุ ปัญหาจึงจะหมดไปได้ ดังนั้นเมื่อปวดศีรษะ แล้วรีบตัดใจปล่อยอาการปวดศีรษะทิ้งไป จึงเป็นการแก้ปัญหาผิดทาง ผู้รู้จริงมิได้ประพฤติเช่นนั้น

     (๒) ในครั้งพุทธกาล พระพุทธโคดมตรัสถามภิกษุที่นั่งอยู่ใกล้ดังนี้
        พระพุทธโคดม : ภิกษุ เธอเจริญสติบ่อยแค่ไหน
        ภิกษุรูปที่ ๑ : หม่อมฉัน เจริญสติทุกครั้งที่ออกบิณฑบาต
        พระพุทธโคดม : แล้วเธอล่ะ ( หันมาตรัสถามภิกษุรูปที่ ๒ )
        ภิกษุรูปที่ ๒ : หม่อมฉัน เจริญสติทุกครั้งที่ฉัน ( กิน ) คำข้าว
        พระพุทธโคดม : เธอทั้งสองยังเป็นผู้ประมาท ตถาคตเจริญสติ ( อานาปานสติ ) อยู่ทุกลมหายใจเข้า - ออก

     ดังนั้นผู้ใดพัฒนาจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมอยู่สงบในสังคมที่วุ่นวายได้

     (๓) จงดูพระพุทธโคดมและพระสารีบุตรเป็นตัวอย่าง ได้พัฒนาจิตจนบรรลุสภาวธรรมสูงสุด แล้วจึงหันมาช่วยผู้อื่น เช่น พระพุทธโคดม ช่วยพระเจ้าสุทโทธนะ ( พระราชบิดา ) จนบรรลุอรหัตตผล ช่วยพระนางปชาบดี ( เชษฐภคินีของพระนางมหามายา ) จนบรรลุอรหัตตผล ช่วยราหุล ( พระราชบุตร ) จนบรรลุอรหัตตผล ช่วยสิริมหามายาเทพบุตรจนบรรลุโสดาปัตติผล และพระสารีบุตรช่วยนางสารีผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ให้กลับมามีสัมมาทิฏฐิและบรรลุโสดาปัตติผลได้

     (๔) เครื่องชี้วัดการเข้าถึงธรรม
         ก. ปฏิบัติสมถกรรมฐาน จิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ
         ข. ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จิตต้องเกิดปัญญาเห็นแจ้ง

     ดังนั้นคนที่พูดว่า ผู้ถามปัญหาขาดสติ เป็นการพูดที่ถูกตรงครับ
  

2228.
กราบเท้า อ.สนองที่เคารพ
 
1. การทาสีวัด ได้อานิสงค์ อะไรบ้างคะ
2. ถ้าเราตายขณะรับศีล 5 เราจะไปสุคติภูมิไหมคะ ถ้าไม่ จะไปที่ไหนคะ
3. การทำบุญใหญ่ ต้องทำบ่อยแค่ไหน กรรมถึงจะเบาบางลงคะ
 
กราบขอบคุณอาจารย์ที่เมตตาค่ะ

คำตอบ
      (๑) ทาสีให้วัดเป็นกุศลกรรม เมื่อกรรมดีให้ผล ผู้ประพฤติย่อมมีผิวพรรณงาม มีบริวารมาก และได้รับการยกย่องสรรเสริญ

     (๒) ผู้ใดมีจิตจดจ่ออยู่กับศีลที่ตนรับ และจิตทิ้งขันธ์ลาโลกในขณะนั้น จิตวิญญาณจะถูกพลังของสติผลักดันให้โคจรไปสู่สุคติภพ จึงสามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก

     (๓) บุญใหญ่ ( จิตตภาวนา ) ที่มีผลทำให้จิตเปลี่ยนสภาวธรรมจากปุถุชนไปเป็นอริยบุคคล ( ปิดอบายภูมิ ) ผลกรรมย่อมเบาบางลงได้ และผลของกรรมย่อมหมดไปได้ ( อโหสิกรรม ) เมื่อละโลกเข้าสู่ภาวะนิพพาน
  

2227.
เรียน ดร. ครับ

ผมเองเคยเป็นมิจฉาธิฐิมาก่อน ไม่เคารพพระสงฆ์ องค์เจ้ามองเรื่องธรรมะเป็นเรื่องไร้สาระ เคยทำผิดศีลมาแล้วทุกข้อ เริ่มมามีธรรมะเอาเมื่อ อายุได้ 29 ปี ปฏิบัติธรรมยังได้แค่รู้สึกวูบวาบเป็นบางขณะ การเคยผิดศีลและเป็นมัจฉาธิฐิมาก่อน เป็นอุปสรรคไหม แล้วมีวิธีลบล้างความชั่วเดิมๆให้เบาลงได้ไหม ทางเห่งการทำดีปิดไปหรืยัง กลับตัวตอนนี้ยังทันไหมครับ
 
       ลือชา 

คำตอบ
     ในครั้งพุทธกาล สิริมา ( น้องหมอชีวก ) มีอาชีพโสเภณี เมื่อนางรู้ว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ จึงเลิกประกอบอาชีพนั้น แล้วหันมาปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา จนจิตบรรลุโสดาปัตติผล ( ปิดอบายภูมิได้ ) และอีกคนหนึ่งคือ ฉันนภิกษุ เป็นคนดื้อรั้น ชอบกล่าววาจาเสียดสีพระอัครสาวกและภิกษุอาวุโสอื่นอยู่เป็นประจำ เมื่อถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ ( ไม่ว่ากล่าว ไม่ตักเตือน ไม่พร่ำสอน ไม่คบหาสมาคม ) แล้วเกิดสำนึกผิด เปลี่ยนพฤติกรรม หันมาเคารพเชื่อฟังพระผู้ใหญ่ จึงได้ปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุอรหัตตผล

     ดังนั้นปัญหาที่ถามไป สามารถแก้ไขได้ ด้วยการหยุดประพฤติพฤติกรรมชั่วทั้งปวง แล้วหันมาพัฒนาจิตให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น อุปสรรคอันเป็นผลมาจากกรรมชั่วที่ทำไว้แต่อดีต ย่อมแก้ไขได้ แต่ต้องใช้หนี้เวรกรรมไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดสิ้น ด้วยการทำดีอยู่เสมอ คือสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ให้เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก ( อานาปานสติ ) เมื่อกิจกรรมทั้งสองแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกวัน เมื่อใดที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้ว ให้นำตัวเข้าปฏิบัตตามสำนักที่เปิดสอน องคุลีมาลประพฤติชั่วมามาก ยังกลับตัวได้ ประสาอะไรกับผู้ถามปัญหาจะทำไม่ได้ล่ะครับ
  

2226.
กราบเรียน อ.ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง ,

     เนื่องด้วยกระแสวัตถุนิยม และ พฤติกรรมรุนแรงที่สื่อถ่ายทอดออกมา รวมถึงกระแส social media ที่ไม่คัดกรองสิ่งที่ถูกต้องครอบครัวของพี่ชายหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้ แม้ทางบ้านจะแนะนำให้ไปฟังธรรมหรือปฏิบัติธรรม ก็ถูกปฏิเสธเสมอมา จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ครอบครัวของพี่ชายมีปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ๆหลาน ๆ มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น ไม่ค่อยสนใจเรียน ล่าสุดพี่ชายเดินหลงผิดทาง ผิดศีลข้อ 3 พี่สะใภ้เหม่อลอยคิดจะทำร้ายตัวเองและคิดแค้นใจพี่ชายลึก ๆพี่ ๆ ที่บ้านพยายามค่อย ๆ พูดเตือนสติ พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลาน ๆ แต่ดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม โดยส่วนตัว ไม่รู้จะช่วยอะไรให้ดีขึ้นกว่านี้ ได้แต่ดูกายดูจิตดูใจตัวเอง และแนะนำได้เท่าที่แนะนำ แต่ดูเหมือนจะไร้ผลเพราะพี่ชายไม่ค่อยฟังใคร ยิ่งถ้าเป็นน้อง ยิ่งไม่ฟัง ส่วนตัวได้แต่รู้สึกสังเวชใจ ทุกคนมีกรรมเป็นของ ๆ ตนจริง ๆจึงได้แต่แผ่บุญกุศลที่ตนเองได้สั่งสมมา และแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสัตว์ รวมถึงทุกคนในครอบครัวด้วย เผื่อจะดลจิตดลใจให้เขาคิดถูก พูดถูก ทำถูก ไม่หลงผิดทาง ไม่ถลำลึกไปกว่านี้

     จึงขอกราบเรียนถามอาจารย์ด้วยความเคารพว่าพอจะมีคำแนะนำเพิ่มเติมที่พอจะช่วยให้พี่ชายพี่สะใภ้ และ หลาน ๆ ให้ออกห่างจากโลกมืดได้อย่างไร

     กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
      ผู้มีความเห็นผิดไปจากธรรม ย่อมศรัทธาในสิ่งที่เป็นสมมุติเช่น โลกธรรมและวัตถุ จึงเอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของสิ่งที่เป็นอกุศลดังที่บอกเล่าไป ในครั้งพุทธกาล พระพุทธโคดมเผยแพร่ธรรม โดยมิได้เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด พระองค์ทรงชี้ทางชีวิตที่นำไปสู่ความเจริญ และทรงชี้ทางชีวิตที่นำไปสู่ความวิบัติ ผู้ใด้รับการชี้แนะต้องเลือกทางปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ ความศรัทธาในสิ่งดีงามจะกิดขึ้นกับใครผู้ใด ผู้นั้นต้องมีปัญญาเห็นถูก เขาจึงจะประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ดีงามได้ ดังตัวอย่างของนางสารี แม่ของพระสารีบุตร ได้เกิดปัญญาเห็นถูก แล้วจึงหันมาศรัทธาประพฤติตนให้ดีงามตามหลักของพุทธศาสนา จึงมีจิตบรรลุดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันได้ ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป
  

2225.
เรียน ท่านอาจารย์สนองที่เคารพ

     ดิฉันอยากขอความเมตตาจากอาจารย์ ช่วยแนะนำวิธีการสวดมนต์ ทำสมาธิ และปฏิบัติธรรมแบบง่าย ๆ รวมถึงการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลเป็นภาษาอังกฤษ เนื่องจากตอนนี้สามีของดิฉันเป็นชาวต่างชาติมีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับการตกงาน กำลังหางานใหม่ ซึ่งบางครั้งเหมือนว่าจะได้งาน แต่ก็พลาดหวังไปโดยไม่คาดคิด ทั้งที่เขาเป็นคนมีความสามารถมาก เช่น เมื่อไปสัมภาษณ์งานเขาผ่านทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติแต่ทางบริษัทบอกว่าต้องขอโทษด้วย เนื่องจากตำแหน่งงานเต็มแล้วมีคนครบหมดแล้ว ซึ่งถ้าบริษัททราบเรื่องนี้ก่อนและแจ้งให้สามีทราบ ก็คงจะไม่เดินทางไปและยังไม่ลาออกจากงานเดิม (สาเหตุของการลากออกจากงานเดิม เนื่องจากบริษัทไม่มีการให้เซ็นสัญญาในการเป็นพนักงาน สามีคิดว่าไม่มีความมั่นคงบริษัทจะให้ออกวันใดก็ได้ จึงพยายามหางานที่มีความมั่นคงมากกว่า) เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงพอสมควร ต้องเดินทางข้ามประเทศ (ดิฉันกับสามีอยู่ต่างประเทศ) จนเป็นเหตุให้เขารู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่ไม่สามารถเลี้ยงดูเราให้ดูได้ คิดว่าเขาไม่ดีพอสำหรับเรา ดิฉันให้กำลังใจและพยายามบอกให้เขาคิดถึงปัจจุบันว่าเรายังมีเงิน เนื่องจากดิฉันยังมีเงินเก็บอยู่บ้าง ยังพอใช้จ่ายได้อีกถึงสองสามปี ดิฉ้นพยายามแนะนำว่าให้เขาลองสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิดู เขาถามว่ามีวิธีง่าย ๆ แนะนำหรือไม่ ซึ่งหากเป็นภาษาไทยดิฉันพอแนะนำได้เนื่องจากได้สวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรมอยู่เกือบทุกวัน สำหรับภาษาอังกฤษดิฉันพอแนะนำได้บ้าง แต่เกรงว่าจะไม่ครบสมบูรณ์ ดิฉันได้พยายามหาข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษตามเว็บไซต์ แต่ยังไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจน หรือจะมีวิธีการใดที่ีจะเป็นจุดเริ่มต้นแบบง่าย ๆ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเรียนรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงขอความกรุณาจากอาจารย์ ช่วยชี้แนะแนวทาง

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
      จากงานวิจัยที่ทำโดยดร.โกลแมนพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ต้องใช้ปัญญา 20% แต่ใช้ EQ สูงถึง 80%

     จากผู้รู้จริงในพุทธศาสนา คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีการบำเพ็ญทาน มีการรักษาศีล

และมีการเจริญจิตตภาวนาอยู่ทุกขณะตื่น เมื่อเหตุปัจจัยทั้งสามถึงพร้อม

ผู้น้นย่อมมีดวงดี(ชะตาดี) ผู้มีดวงดีย่อมประสบกับความสำเร็จในสิ่งที่ปราถนา

     คำว่าทานคือการให้ทุกสิ่งที่ดีงาม

ศีลหมายถึงการเว้นหรือไม่ประพฤติฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์

ไม่ประพฤติผิดลูกเมียคนอื่น ไม่พูดเท็จ

และไม่ดื่มสิ่งที่มีแอลกอฮอลปนเปื้อน ส่วนการภาวนาหมายถึงการพัฒนาจิต

ต้องสวดมนต์ก่อนนอนหลังสวดมนต์แล้วเสร็จให้ลองจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออกที่ปลายจมูก

เมื่อจิตสงบจากอารมณ์แล้วให้ใช้จิตพิจารณาทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต

ดำเนินไปสู่ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแท้จริง

แล้วจิตจะปล่อยวางแล้วว่างเป็นอุเบกขารมณ์ นี่คือการภาวนา

ดูคำตอบใน website ชมรมกัลยาณธรรม ภาคภาษาอังกฤษ
  

2224.
กราบ อ. ดร. สนอง วรอุไร

หนูเข้ากรรมฐานครึ่งเดือน วันสุดท้ายก่อนออกพระวิปัสสนาจารย์รับรองว่าหนูได้สภาวะปรมัตถ์ล้วน สภาวะที่เป็นคือ ความชัดเจนของธาตุ 4 ที่เกิดกับกายอยู่ดีๆมันก็หายไปหมดเลย การดูใจก็หายหมดมองไม่เห็นต้นจิตเลย แต่พระอาจารย์ก็ไม่พูดว่าอะไร บอกแค่ว่าดีแล้ว

วันต่อมาก็ออกจากกรรมฐานด้วยมีความรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง มีปัญหาเรียนถามอาจารย์

1.  เวลาเดินจงกรมในสภาวะปรมัตถ์แล้วเท้าเคลื่อนล่องลอยไปเองหลายทิศ ควบคุมไม่ค่อยได้ ไม่ลงตัวกับจังหวะที่เดินจงกรมอยู่ต้องทำอย่างไรค่ะ

2.   เวลากราบพระกราบช้าเห็นสภาวะปรมัตถ์จริงๆแล้วหนูเกิดกลัวๆบ้าง หลอนๆ คือรู้อยู่ว่ามันไม่ใช่เรา แต่มันหลอนเหมือนใคร อะไรสิงประมาณนี้ (ถ้ามันเป็นของจริงทำไมถึงกลัว) หนูดูแล้วกำหนดกลัวหนอ ๆ แล้วก็ใจสู้ดูๆไป ทำๆไป ถึงมันเคลื่อนไป ไม่ใช่เราเคลื่อนก็ดูๆไปถูกไหมค่ะ

3.  ออกมาทำงานในสังคมปกติแล้วอกุศลจิตมันก็มาเพียบพร้อมเหมือนเดิม กิเลสก็ยังมีอยู่ แต่ก็ละง่ายขึ้น บางอย่างที่อารมณ์หรือปัญหามันใหญ่หน่อย แล้วหนูคิดๆ แล้วมันปวดศรีษะเหมือนมันก็ยื้ออยู่ไม่ยอมให้คิด อยากคิด ก็คิดไม่ออก เกิดจากอะไร คิดได้ไหม หมายถึงคิดเพื่อจะหาทางออก หรือต้องแก้ไขอย่างไรค่ะ

4.  สภาวะปรมัตถ์นี้ยังคงต้องกำหนด หมายถึงบริกรรมควบคู่ไปด้วยไหม ถ้าไม่บริกรรมแล้วจะหลุดไหมค่ะ

5.  สภาวะปรมัตถ์นี้เทียบได้กับโครตภูญาณหรือเปล่า แล้วถ้าอินทรีย์ไม่สมดุล หรือกำลังตก มีโอกาสที่จิตจะตกสู่ฝ่ายปุถุชนไหมคะ

6.  มีอีกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปมากคือ หนูกลัวการทำผิดมาก แล้วถ้าเราเผลอไปชั่วครั้ง ชั่วคราวจะทำอย่างไรค่ะ ถ้าต้องการบรรลุธรรมในชาตินี้ แต่ผิดบ้างเล็กน้อยนี่มีบ้างไหมค่ะ

     เช่น หนูดูแลผู้ป่วยเจ็บป่วยอยู่ เขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ ไอตลอดไม่มีเสมหะแต่ก็ยังจะไอ ให้คำแนะนำให้จิบน้ำอุ่น+พักผ่อนเขาไม่ทำตาม จนหลอดลมตีบ เหนื่อย ต้องพ่นยา หนูก็เกิดโทสะ ว่า ดุ บ่น   หลังจากนั้นอีกแค่ 30 นาทีต่อมาอยู่ดีๆ หนูเองเกิดอาการเหนื่อยเหมือนหายใจไม่สะดวก หายใจตื้นแล้วมีเสมหะติดคอ ต้องไอขับเสมหะออก เป็นอยู่ชั่วครู่เดียวไม่ถึง 5 นาทีก็หาย หนูเองกลัว และก็แปลกใจมาก ทำไมผลกรรมมันแรงและเร็วมากเลยค่ะ อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรม ถ้าเทียบกับคนอื่นทั่วๆไป เขาทำผิดมากมาย แต่เขาอาจจะไม่ต้องรับผลที่หนักเหมือนคนปฏิบัติธรรม

      กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
      (๑) การที่จิตมิได้จดจ่อ ( ขาดสติ ) อยู่กับเท้าที่ย่างก้าว มิได้เรียกว่าเป็นสภาวะปรมัตถ์ หากประสงค์จะแก้ปัญหาการขาดสติ ต้องกำหนดว่า “รู้หนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการขาดสติจะดับไป แล้วจิตจึงจะมาจดจ่อ ( มีสติ ) อยู่กับเท้าที่ก้าวเดิน

     (๒) คนที่เกิดอารมณ์กลัว เป็นคนไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว ผู้ที่เข้าถึงปรมัตถธรรม ( อริยบุคคล ) ย่อมไม่กลัวในสิ่งใดๆ ดังนั้นอารมณ์กลัวจึงมีต้นเหตุมาจากจิตขาดสติ จึงไปรับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์กลัว

     (๓) คนที่มีสติกล้าแข็งในดวงจิต ย่อมระลึกได้ทันอายตนะภายนอกที่เข้ากระทบจิต แล้วปัญญาเห็นแจ้งย่อมเห็นสิ่งกระทบจิตดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตจึงปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ( อนัตตา ) และจิตผันเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ อาการต่างๆของจิต เช่น ปวดศีรษะหรือคิดไม่ออก จะไม่เกิดขึ้น คือพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ให้มีสติ และพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วปัญหาก็จะหมดไปได้

     (๔) ยังไม่สามารถเรียกว่าเป็นสภาวะปรมัตถ์ วิธีที่จะเข้าถึงสภาวะปรมัตถ์ ต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วปัญญาเห็นแจ้งย่อมเข้าถึงสภาวะปรมัตถ์ด้วยตัวของมันเอง ( ดูคำตอบเพิ่มเติมจาก ข้อ ๒๑๔๗ (๑))

     (๕) สิ่งที่ผู้ถามปัญหาถามไป ยังเข้าไม่ถึงสภาวะปรมัตถ์ และยังมิใช่โลกุตตรญาณที่เรียกว่า โคตรภูญาณ ครับ

     (๖) คนที่กลัวการทำผิด ยังเป็นคนที่มีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นปุถุชน ยังมีอารมณ์โกรธ มีอารมณ์อยู่ใต้อำนาจของกิเลสมาร ( ด่าว่า ดุ บ่น ) ส่วนอริยบุคคลเป็นผู้รู้แจ้ง จึงไม่รับเอากิเลสมารต่างๆที่กล่าวมามีอำนาจเหนือใจ รวมถึงความอยุติธรรมใดๆ ย่อมไม่ปรากฏกับอริยบุคคลอีกด้วย
  

2223.
สวัสดีครับ ท่านพระอาจารย์

     คือผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาชีพที่ผมทำอยู่ครับ
ปัจจุบันผมทำงานในโรงงานเอทานอล อยู่ในแผนกของการหมักครับ
โดยใช้ molasses + ยีสต์ เพื่อให้ได้ alcohol และกลั่นอกกมาเป็น
 99.98% ซึ่งจะนำไปใช้ผสมกับน้ำมัน เป็นแกสโซฮอต่อไปครับ
ไม่ทราบว่าอาชีพนี้บาปหรือไม่ครับ (เพราะเป็นการฆ่ายีสต์)

ขอบพระคุณท่านพระอาจารย์มากครับ
ชัชวาลย์ แซ่ลี้

คำตอบ
      พระพุทธโคดมบัญญัติบริขาร ๘ ( อัฐบริขาร ) ไว้ให้ภิกษุได้บริโภคใช้สอย หนึ่งในบริขาร ๘ คือ กระบอกกรองน้ำ ด้วยมีจุดประสงค์ให้ภิกษุกรองน้ำก่อนนำมาบริโภค ( ยีสต์ผ่านเครื่องกรองน้ำได้ ) ภิกษุผู้ประพฤติแล้ว ย่อมไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาต และอีกประการหนึ่งคือ ผลผลิตที่ได้จากการทำงานของยีสต์คือสารแอลกฮอล์ ได้ถูกนำไปใช้ทำเชื้อเพลิงขับเคลื่อนยานพาหนะ จึงไม่ถือว่าเป็นบาปกับผู้ทำกรรมดังที่กล่าว
  

2222.
กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร

ข้าพเจ้าชื่อจุฑามาศ ก่อนหน้านี้ประมาณ 2-3 ปี ได้เคยอ่านหนังสือที่อาจารย์เขียนหลายเล่ม และประมาณปีที่แล้วได้ไปฟังอาจารย์บรรยายที่โรงแรมเฟิร์สท ประตูน้ำ ช่วงแรกๆเคยมีความสงสัยในตัวของอาจารย์ ข้าพเจ้าขอกราบขออโหสิกรรมจากท่านอาจารย์ในสิ่งที่เคยล่วงเกินจะด้วยกาย วาจา ใจก็ดี ขออาจารย์ได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย

ข้าพเจ้าขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้

1). ข้าพเจ้ามีความปรารถนา ที่จะบวชเป็นสามเณรี เพื่อสัมผัสชีวิตนักบวชและศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนตามโครงการฯระยะสั้น (ในอนาคตเมื่อเหตุปัจจัยลงตัวอยากจะละทางโลก แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเป็นในทางใด) แต่ด้วยข้าพเจ้ามีความรักชอบในเพศเดียวกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆจนทุกวันนี้อายุ 42 ปี และเคยทราบว่าพระวินัยห้ามบุคคลที่เป็นบันเฑาะห์บวช เกรงว่าจะผิดพระวินัยและเป็นบาป ขออาจารย์เมตตาให้ความกระจ่างด้วย

2). ข้าพเจ้าเริ่มเข้าสู่เส้นทางธรรม ในปี 51 ปฏิบัติธรรมครั้งแรก ตามแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า และเคยไปปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถานครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็นำแนวทาง ของท่านโกเอ็นก้ามาปฏิบัติเองที่บ้าน แต่ก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ถูกจริตของตัวเองนัก และคิดเสมอว่าเราควรมีครูบาอาจารย์เพื่อสั่งสอนแนะนำและสอบถามความก้าวหน้าตลอดถึงสิ่งที่สงสัยไม่เข้าใจ ทุกวันนี้ตั้งใจถือศีล 5 ทุกวันตลอดชีวิต 2-3 ปีที่ผ่านมาสวดมนต์ นั่งสมาธิสม่ำเสมอ วันละ 1-1.5 ชม. ชีวิตดีกว่าเมื่อตอนยังไม่มีธรรมอย่างเห็นได้ชัดกับตนเอง แม้จะดูแปลกในสายตาคนอื่น และขาดเพื่อนที่เคยมีไป ก็ไม่เป็นไร ปีนี้รู้ตัวว่าหละหลวม มีเพียงระลึกรู้ลมหายใจ และสติในระหว่างวันเท่าที่ทำได้ และไม่เคยขาดตอนก่อนนอน แต่ความตั้งใจยังมีอยู่เต็มเปี่ยม จะขอมีดวงตาเห็นธรรมให้ได้ในชาตินี้ลึกๆรู้สึกเสมอว่าเรามีครูบาอาจารย์ แต่ยังไม่พบ หลายครั้งคำตอบทางธรรมได้พบโดยบังเอิญผ่านหนังสือที่ไม่ได้ตั้งใจอ่าน และผ่านการถามธรรมของผู้อื่นกับข้าพเจ้า จึงอยากจะขอความเมตตาอาจารย์แนะนำครูบาอาจารย์และหรือสถานที่ให้ด้วย

ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

จุฑามาศ  

คำตอบ
      อโหสิให้แล้วครับ

     (๑) การศึกษาหาความรู้ในพุทธศาสนาทำได้ ๒ ทางคือ การศึกษาเล่าเรียน ( สุตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา ) เพื่อให้เกิดเป็นความรู้แบบจำได้ และในอีกแนวทางหนึ่ง เป็นการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เพื่อให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ซึ่งสามารถนำพาชีวิตไปสู่การพ้นทุกข์

คนที่รับชอบในเพศเดียวกัน ยังเป็นผู้มีศีลด่างพร้อย จึงสามารถเรียนรู้แบบแรกได้ แต่เมื่อนำตัวเองไปปฏิบัติธรรมแล้ว ย่อมเข้าไม่ถึงปัญญาเห็นแจ้ง ที่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์

     (๒) หากผู้ถามปัญหา ประสงค์พัฒนาจิตให้ถูกับจริตของตน ให้ดูคำตอบใน www.kanlayanatam.com ข้อ ๒๒๒๐ แล้วประพฤติให้ถูกตรง ย่อมมีโอกาสทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ อนึ่ง ผู้ใดประพฤติอย่างน้อยศีล ๕ โดยมีกาย มีวาจา และมีใจตรงกัน ผู้นั้นย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว ย่อมมีโอกาสเข้าถึงธรรมได้ สุดท้ายแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์ จังหวัดอยุธยา
  

2221.
กราบเรียนท่านอาจารย์

     ดิฉันได้ปฏิบัติธรรมมาแล้วเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปี ตามแนวสติปัฏฐานสี่ ขณะนี้มีสภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนั่งสมาธิตั่งแต่ ตัวโยก หน้าสะบัด ตัวกระตุ๊ก ได้ปรึกษากับวิปัสนาจารย์ท่านก็ให้กำหนดรู้ตามอาการนั่นๆ

     ขณะนี้รู็สึกว่ามีสภาวธรรมบางอย่างติดออกมาหลังจากคลายสมาธิแล้ว เช่น อาการกระตู๊กที่ใบหน้า   อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร    และสภาวธรรมที่เกิดเป็นเรื่องปกติใช่ไหม และควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง เพราะรู้สึกว่าบางทีตั้งใจจะนั่งสมาธิ กำลังอธิษฐานเข้าสมาธิยังไม่ทันเสร็จสภาวะนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว   และรู้สึกว่าสภาะดังกล่าวเกิดเป็นฐานกายและชัดเจนแล้วเราไม่ค่อยได้พิจารณาฐานอื่นเป็นอะไรไหม   บางทีวิปัสนาจารย์กำลังพาเดินจงกรมบางครั้งกำลังเดินจงกรมกำลังจะกำหนดขวาย่างหนอ   แต่หน้าสะบัดทำให้ต้องมากำหนดสะบัดหนอแทน ทั้งที่ดำลังเดินอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่าค่ะ ช่วยชี้แนะแนวทางดิฉันด้วยค่ะ

     ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงและขออนุโมทนาบุญกับทุกบุญที่ท่านอาจารย์ได้ทำมาค่ะ
         ผาคำ

คำตอบ
      การปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน ๔ มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง มิใช่เพื่อให้เกิดอาการต่างๆตามที่บอกเล่าไป

     อาการกระตุกที่ใบหน้า เกิดขึ้นเพราะจิตเข้าถึงสมาธิระดับต้น ( ขณิกสมาธิ ) วิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “กระตุกหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการกระตุกที่ใบหน้าจะดับไป อาการกระตุกที่ใบหน้า เป็นเรื่องปกติของบางคนที่ปฏิบัติสมถกรรมฐาน เช่นเดียวกันการเดินจงกรม เป็นการฝึกจิตให้มีสติ คือเอาจิตจดจ่ออยู่กับเท้าที่ย่างก้าว เมื่อใดจิตไประลึกรู้อยู่กับการสะบัดของใบหน้า แสดงว่าจิตขาดสติ ( สติหลุดจากเท้าที่ย่างก้าว ) จึงต้องกำหนดว่า “สะบัดหนอๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอากาดังกล่าวจะดับไป แล้วเอาจิตมาจดจ่ออยู่กับเท้าที่ย่างก้าวดังเดิม ( ผู้ถามปัญหาทำถูกแล้ว ) วิธีการเช่นนี้เป็นการเพิ่มกำลังสติให้มีมากขึ้น ผู้ใดทำตัวเป็นคนโง่ ประพฤติตามคำชี้แนะของผู้มีประสบการณ์เข้าถึงธรรมได้แล้ว ผู้นั้นย่อมประสบกับความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ตรงกันข้าม ผู้ใดทำตัวเป็นเหมือนน้ำชาล้นถ้วย ไม่เชื่อและไม่ทำตามผู้รู้จริงมาบอกกล่าว ผู้นั้นย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ … . ขอภัยที่พูดตรง
   

2220.

หนูมีคำถามที่สงสัยมานานแล้ว เรื่องการฝึกสมาธิให้ตรงกับจริต จริตมีกี่แบบคะอาจารย์ หนูจะรู้ได้อย่างไรคะว่า อย่างไหนที่ตรงจริตเรา

กราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
      คำว่า “จริต” หมายถึง ความประพฤติ พื้นนิสัยหรือพื้นเพของจิต ( มนุษย์ ) ที่หนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง มีอยู่ ๖ ประเภท ได้แก่

     ๑. ราคจริต มีความประพฤติ รักสวย รักงาม ละมุนละไม หากปรารถนาให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในอสุภะ ๑๐ หรือ อรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม

     ๒. โทสจริต มีความประพฤติปกติ ใจร้อน หงุดหงิดรุนแรง หากปรารถนาให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ หรือ กสิณ ๑๐ มาเป็นองค์บริกรรม

     ๓. โมหจริต มีความประพฤติปกติ เหงาซึม งมงาย เชื่อคนง่าย หากปรารถนาให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณดิน ๑๐ ( เว้นวรรณกสิณ ) หรืออานาปานสติ หรือ อรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม

     ๔. สัทธาจริต มีความประพฤติซาบซึ้ง ชื่นบาน เลื่อมใสง่าย หากปรารถนาให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรนำอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณอื่น ( เว้นวรรณกสิณ ) หรือ อนุสติ ๖ ข้อแรก หรือ อรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม

     ๕. พุทธิจริต มีความประพฤติปกติ ใช้ความคิดพิจารณา ค้นหาความจริง หากปรารถนาให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณอื่น ( เว้นวรรณกสิณ ) หรือ อุปสมานุสติ หรือ มรณัสสติ หรือ อาหาเรปฏิกูลสัญญา หรือ จตุธาตุววัฏฐาน หรือ อรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม

     ๖. วิตกจริต มีความประพฤติปกติ คิดวกวน จับจดฟุ้งซ่าน หากปรารถนาให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณอื่น ( เว้นวรรณกสิณ ) หรือ อานาปานสติ หรือ อรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม

     จากรายละเอียดที่ชี้แจงมา ผู้ถามปัญหาดปรดพิจารณาดูด้วยตัวเอง แล้วเลือกกรรมฐานที่ถูกตรงกับจริตมาบริกรรม โดยมีศีลคุมใจ แล้วเร่งความเพียรปฏิบัติธรรม ( สมถภาวนา ) ทำทุกครั้งที่นึกได้ ทำทุกครั้งที่ว่างจากงานสังคม แล้วผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาจิตย่อมเกิดขึ้นได้
  

2219.
เรียน ดร.สนอง   ที่เคารพ

               ดิฉันอยากทราบว่าถ้าใครทำไม่ดีกับเราแล้วเราพยายามเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเป็นการโต้ตอบ และพยายามให้อภัย เพราะคิดว่าใครทำอะไรไว้สุดท้ายก็จะได้รับสิ่งนั้นเอง   เป็นการคิดที่ถูกต้องหรือไม่   ถ้าเราให้อภัยแล้ว สุดท้ายเขายังได้รับผลแห่งการกระทำของเขาหรือไม่    ขอบคุณค่ะ

               ขออนุโมทนาบุญกับงานบุญของ ดร. สนอง ด้วยค่ะ

คำตอบ
     ถูกต้องครับ เป็นความคิดที่ถูกตรงตามกฎแห่งกรรม ด้วยเดชของศีลที่มีอยู่ในใจของผู้ให้อภัย ผู้ประพฤติเบียดเบียน ( ทำไม่ดีกับเรา ) ยังต้องรับผลของกรรมนั้นด้วย
  

2218.
กราบบเรียนท่านอ.ดร.สนอง

     ก่อนอื่นหนูต้องขอชมชมรมกัลยาณธรรมที่อ.ดร.สนองเป็นประธานนะคะว่าได้สร้างโอกาสให้หนูและเพื่อนๆได้ฟังธรรม ปกติหนูอยู่บ้านก็ฟังธรรมบรรยายจาก youtube ที่อ.ดร.ได้ให้เมตตาเป็นประจำ ฟังซ้ำๆจะได้เกิดปัญญาฟังแล้วรู้สึกสนุกไม่เบื่อเลย และหวังว่าตัวเองจะทำได้อย่างนั้นสักวันหนึ่ง

     คำถามของหนูมีอยู่ว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาคือการจัดฟังธรรมครั้งที่ 23 ที่ผ่านมาหนูมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเทวดาชั้นจตุมหาราชิกา คือท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 ผู้ปกครองโลกทั้ง 4 ทิศ มีท้าววิรูปักษ์ จอมนาค ครองทิศใต้ ข้อสงสัยของหนูก็คือ (หนูไม่ได้ลบหลู่นะคะ) ความรู้เดิมของหนูคือเทวดาที่อยู่ในตระกูลพญานาคนี้ท่านเป็นเทวดากึ่งสัตว์ (ไม่รู้ว่าถูกหรือป่าวเพราะไม่ได้เปิดอ่านพระไตรปิฎก) แต่วันที่หนูฟังธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถ้าหนูจำไม่ผิดอ.ดร.บอกว่าพญานาคเป็นสัตว์เดรัจฉาน เลยทำให้หนูสังสัยว่า พญานาคที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน แตกต่างกับเทวดาที่เป็นพญานาคอย่างไร  

     คำถามขอหนูอาจจะเป็นคำถามที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหนูไม่ได้ถามข้อสงสัยนี้ก็จะทำให้หนูรำคาญใจ และเป็นข้อสงสัยหนูไปเรื่อยๆ

     สุดท้ายหนูหวังว่าอ.ดร.ให้ความเมตตาต่อหนูช่วยอธิบายให้หนูเกิดปัญญา เพราะคำถามแบบนี้ไปถามผู้ไม่รู้ ความรู้หนูก็ไม่แจ้งนะคะ หนูขอความเมตตาจากอ.ดร.นะคะ

     กราบขอขอบพระคุณอ.ดร.สนองเป็นอย่างสูงค่ะ
        เกณิกา

คำตอบ
      ความแตกฉานในธรรม เกิดขึ้นจากการฟังซ้ำๆหลายครั้ง ฉะนั้นจงดำเนินต่อไป แล้วสักวันหนึ่งจะสามารถใช้ปัญญาส่องทางชีวิตให้กับผู้อื่นได้

     พญานาคเป็นสัตว์เดรัจฉาานกายทิพย์ มิได้เป็นเทวดาตามที่เข้าใจ ด้วยเหตุที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน พระพุทธโคดมจึงมิได้ทรงอนุญาตให้พญานาคบวชเป็นภิกษุ สัตว์เดรัจฉานมีศีลไม่ครบและมีความหลง ( โมหะ ) สั่งสมอยู่ในดวงจิต จึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ตายแล้วจึงไปเกิดได้ไม่เกินภพสวรรค์

     ที่ตอบมานี้อย่าปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะพิสูจน์สัจธรรมนี้ ต้องพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ให้เข้าถึงความตั้งมั่นสูงสุด ( ฌาน ) แล้วความรู้สูงสุดระดับโลกิยญาณ จึงจะรู้ เห็น เข้าใจ เรื่องพญานาคด้วยตนเองได้
  

2217.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์

1. หนูก้มกราบพระพุทธเจ้าด้วยใจระลึกถึงท่าน   เมื่อได้ทำครั้งใดจิตใจก็เปี่ยมด้วยความสุข นี้เกิดเป็นบุญใช่มั๊ยคะ

2. การกราบพระพุทธเจ้าด้วยใจระลึกถึงท่าน  มีอานิสงค์เหมือนกันหรือน้อยกว่ากับผู้ที่ได้กราบพระองค์จริงของท่านในสมัยพุทธกาลคะ

ขอบคุณมากค่ะ

คำตอบ
     (๑) ใช่ครับ

     (๒) อานิสงส์ที่เกิดจากการกราบพระพุทธเจ้า จะมีมากหรือน้อย ให้ดูที่ขนาดของความอิ่มใจ ( ปีติ ) กราบแบบไหนมีปีติเกิดขึ้นมากกว่า การกราบแบบนั้นได้บุญมากกว่า หากเป็นไปในทางตรงกันข้ามได้บุญน้อยกว่า
   

2216.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

ตอนนี้หนูมีความกังวลใจมากเลยค่ะ หนูไปซื้อกระต่ายมาเลี้ยงในหอพัก

พอแม่หนูทราบเข้า แม่หนูเป็นกังวลว่า กลัวหนูจะดูแลกระต่ายไม่ดี เพราะมันเป็นลุกกระต่าย อายุ เดือนครึ่งค่ะ

แม่หนูบอกว่า ลูกกระต่ายต้องการแม่ แม่บอกให้หนูเอากระต่ายไปคืนที่ร้านค่ะ แต่หนูคิดว่าถึงคืนไปอย่างไร กระต่ายก็ไม่ได้เจอหน้าแม่อยู่ดี เพราะคนขายก็จะเอาไปขายต่อ

หนูสงสารมันมากเลยค่ะ หากมันต้องเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ หนูสับสนลังเลว่า หนูควรเอากระต่ายไปคืนที่ร้านหรือไม่อะค่ะ

หนูก็ไม่ทราบความคิดกระต่ายมันหรอกนะคะ ว่ามันอยู่กับหนูแล้วมันมีความสุขรึเปล่า แต่หนูคิดว่า มันก็ค่อนข้างผูกพันธุ์กับหนูอยู่พอสมควรนะค่ะ หนูอยากเลี้ยงมันไว้ อยากเห็นมันมีความสุข

หนูขอความกรุณาอาจารย์ช่วยแนะแนวทางให้หนูด้วยนะคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
      พฤติกรรมใดกระทำแล้วเกิดเป็นความไม่สบายกายไม่สบายใจ ผลของพฤติกรรมนั้นเป็นบาป หากเป็นไปในทางตรงกันข้ามถือว่าเป็นบุญ ดังนั้นผู้ถามปัญหาพึงเลือกปฏิบัติตามที่ตนเองชอบเถิด
  

2215.

เมื่อไม่นานมานี้ หนูได้ร่วมทำบุญ ..โครงการบูรณะปรับปรุงที่ประสูตรของพระพุทธเจ้า... ถือว่าเป็นบุญใหญ่ ไหมคะอาจารย์ แล้วบุญใหญ่ต้องประกอบด้วยอะไรบ้างคะ

คำตอบ
      การร่วมบูรณะที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถุ ( พระพุทธเจ้า ) มีบุญเกิดขึ้นและส่งผลให้เข้าถึงสวรรคสมบัติ

     การปฏิบัติสมถกรรมฐาน มีอานิสงส์ส่งถึงพรหมสมบัติ ซึ่งถือว่าเป็นบุญใหญ่ ส่วนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มีอานิสงส์ให้เข้าถึงนิพพานสมบัติ ซึ่งถือว่าเป็นบุญใหญ่ที่สุด
  

2214.
กราบสวัสดีอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูงค่ะ 

     หนูขอกราบเรียนถามอาจารย์ดร.สนอง ในเรื่องของการปฏิบัติ หลังจากฟังธรรมของอาจารย์ และได้เข้ามาเริ่มสนใจทางธรรม ได้ลองเรียนรู้ฟังซีดีธรรมมะและนำแนวทางมาลองปฏิบัติเองบ้าง หาที่ฝึกปฏิบัติสมาธิเองบ้าง และเคยไปเรียนทำสมาธิหลักสูตรหลวงพ่อวิริยังมานั้น ตอนนี้ หนูมาตระหนักว่าหนูควรจะใส่ใจในการปฏิบัติและสังเกต และเร่งพัฒนาจิตใจยิ่งๆขึ้นได้แล้ว ไม่ควรรอให้เนิ่นนานไป จึงมาขอความเมตตาอาจารย์เมตตา ชี้แนวทางที่ถูกคลายความลังเลสงสัยที่มีในตอนนี้ค่ะ

     1. ในชีวิตประจำวันทุกวันนี้ เวลาไปทำงาน หรือดำเนินชีวิตปกติประจำวัน สิ่งที่หนูพยายามทำคือ ตื่นมาพยายามระลึกรู้กาย หรือใจ เท่าที่ระลึกได้ คือรู้สึกตัวตามดูกายใจว่านั่งหรือเดิน หรือดูความรู้สึกความคิด...บ้างก็เห็นความไม่เที่ยงของมันเช่นเดี๋ยวอยากเดี๋ยวไม่อยาก และบางครั้งก็สัมผัสได้ว่า มันไม่ใช่ของเรา ไม่สามารถห้ามได้ มันคิดเองตามเรื่องของมัน หนูคอยทำแบบนี้ ระลึกรู้แบบนี้ไปเรื่อย บ่อยครั้งมากก็หลงพลัดไปกับมันยาวนานกว่าจะกลับมารู้สึกตัว นานๆๆครั้งที่จะเห็นเฉยๆและดับไปต่อหน้า หนูทำมาสิ่งที่หนูเห็นประโยชน์จากการรู้สึกตัวเช่นนี้คือ ทำให้บางครั้งก็ไม่ไปเชื่อความคิดตัวเองนักเพราะมันไม่เที่ยง บางครั้งการเห็นความไม่เที่ยง หรือเห็นว่ามันไม่ใช่เราเพราะไม่สามารถบังคับอะไรได้ ก็ทำให้ปล่อยวาง แต่ไม่ได้คิดได้ตลอดค่ะ หนูควรทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หรือควรปรับปรุงอย่างไรคะ

     หนูใช้หลักคำสอนของพระอาจารย์ไพศาล , อาจารย์กำพล ในเรื่องรู้สึกตัวเป็นแนวทางในการปฏิบัติ และพระอาจารย์ปราโมชย์ในการฝึกดูกายดูจิต เป็นแนวทางเดียวกันใช่ไหมคะ  

     2. พอกลับถึงบ้านก่อนนอน หนูจะพยายามสวดมนต์ และทำสมาธิ และแผ่เมตตา , การทำสมาธิของหนูนั้นเนื่องด้วยเคยฝึกแนวของหลวงพ่อวิริยัง (แนวพุทโธ) มา เวลานั่งสมาธิหนูจะกำหนดพุทโธๆๆวางฐานของจิตไว้ที่หัวใจ บางครั้งก็เกิดความลังเล อยากเปลี่ยนมากำหนดลมหายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ เพราะเวลาที่กำหนดพุธโธๆๆยังไม่รู้สึกว่ามันนิ่ง เข้าใจว่าอาจเป็นเพราะความเพียรน้อย แต่เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุงนั่งสมาธิตอนเช้า ตอนนั้นยังไม่ได้เรียนสมาธิหลักสูตรของหลวงพ่อวิริยัง หนูจะกำหนดหายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ แล้วจำได้ว่าจิตเคยนิ่งมาก นิ่งปิ๊ง แบบนิ่งไม่ง่วงเลย สดชื่น

     จริตหนูควรจะไปแนวไหนดีคะ หนูเคยลองจะเปลี่ยนไปกำหนดลมเข้าพุธ ลมออกโธ จิตก็กำหนดได้สองสามครั้ง และก็จะกลับไปที่พุทโธๆๆๆที่ฐานของใจใหม่ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองสับสนค่ะ

     และการฝึกเดินจงกรมด้วยนั้น หากจริตหนูเหมาะกับการฝึกแนวหายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ การเดินจงกรม หนูควรฝึกแบบ รู้ย่างหนอ เดินหนอ ยกหนอ หรือ ฝึกนึกในใจพุทโธๆๆ ขณะเดินไปเรื่อยๆดีคะ

     3. มีคนที่รู้จักกันเขาทักว่าหนูทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรไหม เขาบอกว่าเขาเห็นผู้หญิงตามหนูมา ผมยาว ตาขวาง เขาเลยให้หนูทำบุญตอนเช้า และกรวดน้ำให้เขา หนูก็ทำบุญตามที่เขาแนะนำโดยกรวดน้ำ พร้อมระลึกระบุขอผลบุญให้ถึงแด่เจ้ากรรมนายเวรที่มาจองเวรปองร้าย เขาจะได้รับไหมคะ หนูทำถูกไหมคะ หลังๆมาเวลาหนูทำบุญหนูจะไม่ค่อยได้กรวดน้ำได้แต่ระลึกเอา พี่เขาบอกว่ามันไม่ถึงค่ะ และพี่เขาแนะนำให้ทำในตอนเช้า หากทำตอนบ่ายจะเหมือนทำให้แก่ตัวเราเอง แต่หนูไม่ว่าทำเช้าบ่ายก็จะระลึกเสมอไปก่อนเลยค่ะ   และการทำสมาธิและนึกอุทิศให้แด่เจ้ากรรมนายเวร โดยไม่ได้กรวดน้ำ เขาจะได้ผลบุญนี้ไหมคะ ในบางโอกาสด้วยความจำกัดของเวลาหนูก็จะระลึกสั้นๆว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์

     บางครั้งจิตหนูก็กลัวมาก กลัวเขาโผล่มาให้เห็น เขาสามารถเข้าบ้านเราได้ไหมคะ บางครั้งขาดสติจินตนาการจนกลายเป็นไม่กล้านั่งสมาธิ หนูควรเสริมกำลังใจอย่างไรดีคะ  

     4. การที่เราำปฏิบัติธรรมที่วัด เวลาที่จะอุทิศบุญกุศล... เรากับเพื่อนรวมใจกันน้อมขอบุญนี้ ให้ส่งผลถึงแด่เจ้ากรรมนายเวรของแต่ละคน อย่างนี้จะช่วยให้มีพลังบุญมากขึ้นไปถึงเขาใช่ไหมคะ

     5. หนูแต่งงานแล้วตอนนี้วางแผนมีลูก ทีแรกตั้งใจว่าจะไม่มีเพราะฟังธรรมแล้วคิดว่าการเกิดเป็นทุกข์ แต่ไปๆมาๆคิดใหม่ว่าครอบครัว หากมีลูกหนึ่งคนเหมือนเราเลี้ยงดูเขา และเผื่อในยามแก่เฒ่าเขาได้ดูแลเรา อธิษฐานไว้เหมือนเป็นกัลยาณมิตรต่อกันและใช้ชีวิตนี้พัฒนาตัวเองเป้าหมายเพื่อการไม่กลับมาเกิดอีก    เป็นมิจฉาทิฐฐิไหมคะ , ในเพศฆราวาสแบบนี้จะมีดวงตาเห็นธรรม หรือมีโอกาสบรรลุธรรมหรือปิดอบายภูมิได้ไหมคะ  
      กราบขอบพระคุณอาจารย์ดร.สนองในความเมตตาชี้แนวทางพ้นทุกข์ให้กับพวกเราทุกคนค่ะ

         ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
      (๑) จงใช้จิตตามดูพฤติกรรมของกายและใจต่อไป แล้วปัญญาเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ก็จะเกิดขึ้น อนึ่ง คำสอนของครูบาอาจารย์ที่เอ่ยถึงนั้น เป็นไปในแนวเดียวกัน และจบลงที่เห็นแจ้งในกายและใจว่า ทั้งสองเป็นสิ่งที่มิใช่ตัวมิใช่ตน ( อนัตตา )

     (๒) คำว่า “อาจ” ไม่มีในพุทธศาสนา แต่มีคำว่าเหตุและผลเท่านั้น ปฏิบัติสมถกรรมฐานจะโดยวิธีใดก็ตาม เมื่อปฏิบัติได้ถูกตรงแล้ว จิตย่อมมีสติและเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ดังนั้นพึงเลือกปฏิบัติเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จะได้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

     (๓) พระพุทธโคดมไม่เคยสอนให้เชื่อ เช่น สอนชาวกาลามะ มิให้เชื่อในเรื่อง ๑๐ อย่าง ( กาลามสูตร ) ดังนั้นบุคคลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการกระทำของตน บุคคลประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ในห้วงเวลาไหนๆย่อมมีบุญเกิดขึ้น ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญให้กับผู้อื่นได้ในทุกเวลาที่ต้องการ และเมื่ออุทิศบุญแล้ว จะกรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำ บุญนั้นย่อมส่งไปถึงผู้ที่ถูกอุทิศให้ได้ หากเขาอยู่ในสภาวะที่มาอนุโมทนาบุญได้ เขาก็ได้รับบุญนั้น ตรงกันข้าม ถ้าไม่มาอนุโมทนาบุญ เขาก็ไม่ได้รับบุญนั้น

     ความกลัว มีเหตุจากความไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว ฉะนั้นพึงแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ผู้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งในสรรพสิ่ง ( ดวงตาเห็นธรรม ) ย่อมไม่มีความกลัวในสิ่งใดๆทั้งสิ้น

     (๔) ใช่ครับ

     (๕) ผู้เห็นถูกตามธรรม ไม่หวังพึ่งสิ่งอื่นใดนอกจากธรรมะ การหวังพึ่งผู้อื่นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วนการพัฒนาจิตจนพ้นไปจากวัฏฏะเป็นสัมมาทิฏฐิ

     ในครั้งพุทธกาล พระนางเขมา มเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร , กัญจนะ บุตรของปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต , พาหิยะ ลูกพ่อค้า ฯลฯ มีดวงตาเห็นธรรมระดับอรหัตตผล ขณะยังอยู่ในเพศของฆราวาส นับประสาอะไรที่คนในยุคปัจจุบัน จะเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมไม่ได้
  

2213.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

กระผมมีความสงสัยจะขอเรียนถาม ท่านอาจารย์ ดร. สนอง ดังนี้ครับ

     1. ผมไปปฏิบัติธรรม เมื่อเดินจงกรมแล้ว ก็นั่งสมาธิ ไม่รู้ว่านั่งใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ตอนนั้งปวดแบบไม่เคยนั่งปวดขนาดนั้น ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกร้อนที่ต้นคอ เพราะบอกกับตัวเองว่า อาจจะไม่ได้นั่งแล้วปวดมากขนาดนี้อีก ก็พยายามสูดลมหายใจเข้าออก ช้าๆ ร่างกายจะร้อนที่ต้นคอ ตอนที่นั่งปวดมากๆ อยากจะเลิกแต่ก็กลัวเสียสัจจะ ก็นั่งกำหนดต่อไปได้เรื่อยๆ พอใกล้จะหมดเวลา เหมือนจิตจะกำลังศึกษาอะไรสักอย่างจะเห็นจิตเบาในขณะที่ปวดอยู่ กำลังกำหนดต่อไปเวลาหมดทุกทีครับ(พระอาจารย์ ให้คลายออกจากสมาธิ) ทำให้ตอนนี้เป็นอย่างนั้นตลอดเลยครับ เป็นเพราะอะไรหรือครับ

     2. เวลาที่จะออกไปทำธุระหรือเดินทาง ผมจะสวดมนต์และจะนั่งสมาธิ สักพักหนึง แต่เมื่อนั่งแล้ว ไม่อยากจะลุกเพราะเคยกับการนั่ง 1 ชม. ปกติจะเดินจงกรมก่อนนั่ง เมื่อมานั่งเลย จิตจะเบาเร็วมากครับ สูดลมหายใจเข้าลึก หายใจออกได้ยาว เห็นได้ชัด เป็นเพราะอะไรหรือครับ

     ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ล่วงหน้าที่กรุณาตอบครับ

คำตอบ
      (๑) เหตุเกิดเพราะมีมารเข้ามาขัดขวางการทำความดีของผู้ถามปัญหา

     (๒) ถือว่าเป็นความก้าวหน้าระดับหนึ่งในการพัฒนาจิต
  

2212.
เรียนอาจารย์สนองครับ

ผมเคยเขียนไปถามเรื่อง บวชวัดที่ใกล้บ้าน แถวประชาชื่นใกล้ซอยสามมัคคี
ที่สอนให้ผมรู้เข้าใจและปฏิบัติในทางที่ถูกได้ และอาจารย์ได้แนะนำให้ฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าอาวาสวัดสังฆทานซึ่ง ณ ขณะนี้คือหลวงพ่อสนอง

แต่เมื่อกลางวันผมไปที่วัดมาเพื่อปรึกษาเรื่องบวช ทราบว่าท่านป่วยและไม่ค่อยมีเวลาพูดคุยกับศิษย์วัด ผมจึงกลัวจะเป็นการรบกวนท่าน

เพื่อให้ความตั้งใจของผมที่จะศึกษาธรรมและปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมของผมในครั้งนี้ เป็นไปอย่างถูกตรงและสำเร็จโดยเร็วที่สุด

จึงมาถามอาจารย์อีกครับ ว่าพอมีที่อื่นอีกหรือไม่ โดยของขยายวงเป็นในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อความสะดวกของญาติโยมในการไปมา หรือถ้าไม่มีจริงๆแล้วจะเป็นวัดป่าเลยก็ได้ครับ ผมตั้งใจไว้ว่าจะบวชวันที่ 20 ก.ค. 2555 หรือช่วงนั้นครับ

และอีกเรื่องครับ การบวชในช่วงเข้าพรรษาผมห้ามสึกก่อนออกพรรษาหรือครับ เพราะจริงๆไม่ได้วางแผนว่าจะสึกตอนไหน แต่เห็นพ่อบอกว่า ถ้าในช่วงเข้าพรรษายังบวชอยู่ จะต้องสึกหลังจากออกพรรษามิเช่นนั้นถือว่าแหกพรรษา

อยากทราบว่าหลักการดังกล่าวจำเป็นแค่ไหน หรือว่าเอาตามสะดวกเราสึกตอนไหนก็ได้

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
      เหตุที่แนะนำเจ้าอาวาสวัดสังฆทาน เพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มีปฏิปทาถูกตรงตามธรรมวินัย

     หากผู้ถามปัญหาปรารถนาเข้าถึงธรรมอย่างถูกตรงและเร็วที่สุด ต้องประพฤติตามหลักไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) โดยเร่งความเพียร และมีบุญเก่าส่งผล เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ผลการเข้าถึงธรรมย่อมเกิดได้เมื่อนั้น

     ครูบาอาจารย์ที่เป็นสุปฏิปันโนอีกท่านหนึ่ง คือ เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ จังหวัดอยุธยา

     ผู้ที่มีจิตยึดติดกับการไปมาที่สะดวกของญาติโยม ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นเหตุให้ยากต่อการเข้าถึงธรรม และการทำความดีไม่ขึ้นอยู่กับฤกษ์ยาม ดังนั้นจะบวชเป็นภิกษุหรือลาสิกขา จะทำเวลาใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้ถามปัญหา การแหกพรรษาเป็นเรื่องที่ออกจากปากคนที่ไม่รู้จริง พระพุทธโคดมมีเหตุผลถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ พระองค์มิได้ตรัสเช่นนั้น
  

2211.
กราบเรียนอาจารย์สนองครับ

ทุกวันนี้ก่อนนอนประมาณ 1- 1.5 ชั่วโมง ผมจะสวดมนต์ เรียงลำดับตั้งแต่
  1. สวดสรรเสริญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
  2. บทพาหุง-มหากา
  3. บทอิติปิโส เท่าอายุ
  4. บทคาถาชินบัญชร
  5. บทพระคาถาเงินล้าน
  6. บทแผ่เมตตา - กรุณา
  7. หลังจากนั้นก็พยายามปฏิบัติพระกรรมฐาน-มโนมยิทธิ (นะมะ พะธะ) (ที่ได้ไปอบรมมา ตอนไปอบรมไป 3 ครั้ง ไม่สามารถมองเห็นอย่างที่คนอื่นๆ เขาทำได้) อีก ประมาณ 20 นาที
  8. บทอุทิศส่วนกุศล

     เฉพาะข้อ 1-6 และ 8 ผมทำเกือบทุกคืน ได้มากว่า 3 ปี แล้ว
ส่วนข้อที่ 7 ทำมาประมาณ 3-4 เดือน ผมมีความรู้สึกว่า
ผมไม่มีความพัฒนาในด้านใดๆ ที่เห็นได้ชัดเจนเลย ยังคงมีความรัก โลภ โกรธ
หลง เหมือนเดิม จะมีก็แต่พยายามรักษาศีลให้มากขึ้น พยายามหลีกเลี่ยง
ตอนนี้ไม่ได้ดื่มเหล้ามานานกว่า 1 ปีแล้ว พอจะโกรธ ก็รีบจับอารมณ์
พอจะวิจารย์คนอื่นๆ ก็รีบหยุด อาการที่หยุดนี้เป็นอาการเหมือนคนอดกลั้นครับ ไม่ใช่เป็นแบบรู้ว่าไม่ดี ความตั้งใจปรามาสพระรัตนตรัยแทบจะไม่มี

     อยากจะขอเรียนถามอาจารย์ว่าผมควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปดีครับ
เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้าในทางธรรม ตอนนี้ผมพอเห็นบ้างแล้วว่า
ชีวิตมีแต่ความทุกข์ ไม่มีอะไรยังยืนเลย

     ผมขอรบกวนอาจารย์ช่วยผมแก้ปัญหาด้วยครับ
     กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ ด้วยครับ หากสิ่งที่ผมเรียนท่านอาจารย์ไป เป็นการแสดงความไม่เหมาะสมใดๆ จะด้วยรู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี ต่ออาจารย์ ขอให้อาจารย์อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ

     ขอบคุณครับ

คำตอบ
     การสวดมนต์เป็นการพัฒนาจิตให้เกิดสติ เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่เรียกว่าภาวนา การอุทิศบุญกุศลก็เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ เช่นกัน ทั้งสองกิจกรรมนี้ ผู้ใดประพฤติแล้ว บุญย่อมเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิตของผู้นั้น

    ส่วนการพัฒนาจิตตามข้อ ๗ ที่ถามไป ถือได้ว่าเป็นการกระทำให้เกิดบุญใหญ่ แต่เงื่อนไขมีอยู่ว่า ผู้ปรารถนาเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ ต้องมีศีล ๕ คุมใจทุกขณะตื่น ( กาย วาจา ใจ ตรงกัน ) พร้อมทั้งมีอิทธิบาท ๔ สนับสนุน ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้
   

2210.
กราบเรียนถาม ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

     ขอความเมตตาท่านอาจารย์ ชี้ทางให้กระจ่างกับกระผมด้วยครับ คือว่าตัวกระผมมีครอบครัวหน้าที่การงานในกรุงเทพ มีพี่น้องอยู่ภาคใต้ ส่วนคุณพ่อคุณคุณแม่กระผมได้เสียชีวิตไปนานแล้วที่จังหวัดภาคใต้ เราทำคุณพ่อฮวงซุ้ยให้คุณพ่อ ส่วนคุณแม่ท่านมีดำริว่าเป็นความยุ่งยากของลูกหลานท่านจึงสั่งให้จัดการเผาเมื่อเสียชีวิต พวกเราได้เก็บอัฐิท่านไว้ที่วัดภาคใต้ ทุกปีก็จะทำบุญตามประเพณีวันเช็งเม้งที่ใต้ และวันสำคัญให้ท่านทั้งสองทั้งกรุงเทพและที่ภาคใต้

     ปัญหามีอยู่ว่า ในช่วงุ6-7ปีหลัง กระผมไม่ได้เดินทางไปภาคใต้ในวันเช็งเม้ง แต่ก็ได้ทำบุญ อุทิศให้ท่านทั้งสองในวันสำคัญๆเสมอที่วัดกรุงเทพ รวมทั้งระลึกบุญคุณท่านและอุทิศให้เกือบทุกวันด้วยการสวดมนต์

     ผมประพฤติดังข้างต้นนี้ สมควรหรือไม่อย่างใดครับ เพราะเพื่อนฝูงพี่น้องเห็นว่ายังทำไม่ถูกต้องตามประเพณี? และอกตัญญูต่อบุพการีหรือไม่ครับ?

       กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
      สาระของการทำบุญวันเช็งเม้ง ผู้ทำได้บุญและได้อุทิศบุญที่ตนมีให้กับบรรพบุรุษ ( พ่อแม่ ) นับได้ว่าเป็นการประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดี มีผลเป็นความกตัญญู ผู้มีความกตัญญูย่อมมีชีวิตเจริญรุ่งเรือง หากเป็นเจตนาที่มีเหตุผลและไม่ยึดติดในประเพณี จะทำเช็งเม้งที่ไหนย่อมให้ผลเหมือนกัน คือ มีการทำบุญ มีการอุทิศบุญให้กับผู้ล่วงลับ
   

2209.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร สนอง ที่เคารพอย่างสูง

คนที่ไม่ผิดศีล 5 แต่เป็นคริสเตียน ไม่ได้ทำบุญเค้าจะตกนรกใหมครับ

     ผมมีน้องสาวหนึ่งคน เธอเป็นคนดีมากครับ แต่เธอเป็นคนคริสเตียนไม่ได้ทำบุญเพราะผิดกฏศาสนา ต่อมาเกิดอุบัติเหตุและป่วยหนัก ก็ได้ทำบุญทางพุทธเพื่อต่อชะตาชีวิตบ้าง ใส่บาตร ปล่อยนกปล่อยปลาบ้าง ครับ เป็นระยะๆ ~ 1 ปี

     เธอไม่ได้ถือศีล 5 แต่ก็ไม่เคยผิด ศีล 5 ... แต่เธอกลับฝันถึงที่ๆมีการลงโทษ และ ท่านยมบาล ตอนนี้เธอคงอยู่ได้อีกไม่นา่นแล้วครับ จึงกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ทำไมคนไม่ผิดศีล 5 แล้ว ยังต้องตกนรกอีกหรือครับ

     กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสุงครับ

คำตอบ
       คำว่า “ไม่ประพฤติผิดศีล ๕” หมายถึง กาย วาจา และใจ ต้องตรงกันคือไม่ละเมิดศีล ๕ ข้อ ชาติปัจจุบันไม่ละเมิดศีล ๕ แต่ชาติก่อนเคยละเมิดศีล ๕ แล้วกรรมตามให้ผลในชาติปัจจุบัน ความวิบัติย่อมเกิดได้เช่นกัน ดังตัวอย่างชาติอดีตเคยออกล่าสัตว์ป่าร่วมกับหมู่พวก แต่กรรมตามมาให้ผลทันในชาติปัจจุบัน จึงนั่งรถยนต์ไปด้วยกันและเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน มีผู้ที่นั่งไปในรถคันนั้นตายไปถึงสี่คน
  

2208.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

     กระผมเป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ทั้งที่หอประชุม มช.และที่อื่นๆ รวมทั้งได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือที่ท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นกุศลอย่างมหาศาลมากครับ พอดีเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 10 มิถุนายน 2555 ผมเห็นท่านอาจารย์นั่งที่เก้าอี้หน้าห้องประชุม มช.กะว่าจะไปปรึกษาหารือเรื่องการดำเนินชีวิต สังเกตว่าท่านอาจารย์มีแขกที่เข้าไปปรึกษาหลายคนเลยไม่ไปรบกวนอาจารย์ แต่ขอปรึกษาอาจารย์ทางเมลล์ครับ กราบขอโทษท่านอาจารย์หน่อยครับ
     1. ผมชื่อสุวิทย์ พัฒนกิติ เกิดวันพุธ ที่ 30 พฤษภาคม 2505 ปีขาล ผมรับราชการมาเกือบ 30 ปีครับ แต่ว่านิสัยผมเป็นคนตรง ยอมหักไม่ยอมงอ คิดเสมอว่า เราเป็นข้าราชการของในหลวง ปฏิบัติราชการแทนพระเนตร พระกรรณ์ ต้องซื่อตรง โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่โกง ไม่คอรัปชั่น แต่ชีวิตราชการไม่ค่อยจะรุ่งครับ เพื่อนๆร่วมรุ่นเดียวกันเขาเงินเดือนเกือบเต็ม 40,000 บาท แต่ผมพึ่งแตะ 30,000 บาท แต่เงินมิใช่ปัญหาหรือปัจจัยสำคัญครับท่านอาจารย์ เพียงแต่ว่า
- ผมอยากรู้ว่าผมมีกรรมอะไรที่ทำให้ชีวิตไม่รุ่งเรื่องเหมือนอย่างเพื่อนๆ (ทั้งที่เขามีนิสัยชอบโกง คอรัปชั่น กินเหล้า สูบบุหรี่ฯลฯ) ผมจะได้มีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการอีกไหมครับ นานไหมครับถ้ามีโอกาส (เพาะผมเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวส่วนราชการระดับอำเภอมาเมื่อ ปี2551 เป็นได้ปีเดียว ผู้บังคับบัญชาปลด เนื่องจากไม่สามารถทำงานร่วมกับนายอำเภอได้ (นายอำเภอคนนี้เป็นอิสลาม ชอบกินเบียร์ และมักจะเอาใจตนเอง พร้อมทั้งมักตั้งด่านกับ อส.ขูดรีดเงินพม่าเสมอ)
- ผมเคยไปปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระตลอด มีเกจิอาจารย์หลายๆท่านเขาทักว่า ชาตินี้ผมไม่มีโอกาสบรรลุธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สู้ภรรยาผมไม่ได้ แต่ผมไม่ท้อครับ หมั่นสร้างกรรมดี ทาน ศีล ภาวนาตลอดครับ คิดเสมอว่า องค์คุลีมาลย์ ท่านฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ท่านยังสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ ใช้ความเพียรเสมอครับ ผมอยากได้คำแนะนำจากท่านอาจารย์เรื่องการปฏิบัติให้ได้ผลในชาตินี้ เพราะผมตั้งปณิธานไว้ว่า จะไม่ขอกลับมาเกิดอีกแล้วครับ

     2. ภรรยาผม เกิดวันพฤหัสบดี ที่ 14 ธันวาคม 2515 ปีชวด ก็รับราชการเหมือนกัน และฝึกปฏิบัติทั้งทาน ศลี ภาวนาตลอดครับ แต่มีคนทักว่าจะสำเร็จบรรลุในชาตินี้ แต่การรับราชการมักจะไม่ค่อยรุ่งเหมือนผมครับ มีคนปรองร้ายร้ายเสมอครับ และก็มีโรคประจำตัว คือ กระดูกทับเส้นประสาท ไปผ่าตัดรักษาแล้วเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แต่มักมีอาการกำเริบเสมอครับ ไม่ทราบเป็นเพราะกรรมอันใด ภรรยาผมมักตัดพ้อตนเองเสมอว่าทำไมมีกรรมขนาดนี้ แต่อยู่ไปเพราะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ครับ

     อีกอย่างครับท่านอาจารย์ เวลาผมกับภรรยาไปปฏิบัติธรรมที่ไหน หรือไปไหนเป็นคู่ๆ มักมีแต่เรื่องประหลาดใจทุกทีครับ เช่น
     - ไปปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำตอง อำเภอจอมทอง กำลังรับศีล 8 เข้าสู่ข้อที่ 2 ก็เกิดไฟฟ้าดับเกือบทั้งวัด หลวงพ่อสุชินบ่นว่า (ไอ้สองคนนี้มันมาแรงจริงๆ ไม่เคยมีไฟฟ้าดับอย่างนี้) ผมกับภรรยาก็ไม่สนใจตั้งหน้ารับศีล 8 จนจบ แล้วนั่งภาวนาให้ไฟฟ้ามาปรกติเถิด ได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ช่างไฟที่เป็นพระก็บอกว่ามันไม่มีอะไรทำไมไฟถึงดับ พอเลิกเก็บเครื่อง ไฟฟ้าก็มาปรกติครับ
     - อีกครั้งไปงานศพที่วัดปากทาง อำเภอแม่แตง เขาเอาศพไว้ศลาวัดครับ ผมกับภรรยาไปถึงเวลา 19.00 น. พระยังไม่เทศ เห็นทางวัดเปิดไฟที่บริเวณในพระเจดีย์ ซึ่งมีพระพุทธรูป และรูปปั้นอดีตเจ้าอาวาส ประดิษฐานอยู่ภายในพระเจดีย์ ก็พากันไปกราบ แล้วคิดว่า จะใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมงนั่งภาวนาในพระเจดีย์นี้น่าจะดี เพื่อรอพระมาสวดและเทศนาธรรม เพียงแค่คิดแล้วสบากัน อยู่เบรกเกอร์ไฟฟ้าก็เด้ง ไฟดับ ผมพยายามขึ้นเบรกเกอร์แต่กดอย่างไรก็เด้งกลับ เลยพากันลงมา เจ้าอาวาสเห็นว่าไฟในพระเจดีย์มันดับ เลยบอกให้เด็กผู้ชายอายุประมาณ 7 ขวบ ไปขึ้นเบรกเกอร์ ทีเดียวไฟฟ้าก็สว่างครับ
     - ล่าสุดก็นั่งรถไปกราบพระมา ตีดไฟแดงอยู่สี่แยกกาดสังขะยอม เห็นฝรั่งผู้หญิงนั่งมอเตอร์ไซด์ เกล้สผมจุกขึ้น ใส่หมวกกันน็อคแบบไม่ปลอดภัย ผมชี้ให้ภรรยาผมดู อยู่ๆก็ยางล้อหน้ามอเตอร์ไซด์ของเขาแตก

     ท่านอาจารย์ครับ มันเป็นปฏิหารย์หรืออะไรครับ ผมกับภรรยามักนั่งปรึกษากันว่า มีอะไรเกิดกับเรา สงสัยอยู่ทุกวันนี้ครับ อีกอย่าง ผมกับภรรยาแต่งงานมาเกือบ 20ปีไม่มีบุตรครับ ไปทำอีกซี่ที่ตึกศรีพัฒน์ หมดไปเกือบ สองแสนก็ไม่ได้ครับ

     ผมคงรบกวนท่านอาจารย์มามากแล้วครับ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

       ขอแสดงความเคารพนับถือ

คำตอบ
     (๑) ผู้ใดมีจริตคล้อยตามกิเลสในทางโลก ผู้นั้นจึงมีโอกาสเข้าถึงความเจริญในทางโลก แต่ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม เห็นพฤติกรรมเช่นนั้น เป็นความเสื่อมของจิตวิญญาณของมนุษย์ ผู้รู้ย่อมรู้ เห็น เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไปข้ามภพชาติ มิได้ยืนยาวเท่าที่ตาเนื้อตาหนังเห็น จึงมีจิตเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุ ( ไม่คล้อยตามกระแสโลก ) ดังนั้นผู้ถามปัญหาพึงเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเองเถิด

     เกจิอาจารย์หลายปากพูด ยังไม่เท่ากับการกระทำของตน หากผู้ถามปัญหาปรารถนานำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์แล้ว การบำเพ็ญทาน รักษาศีล และการทำจิตตภาวนา ยังเป็นหนทางที่องคุลีมาล ( จอมโจรแห่งแคว้นโกศล ) นำมาประพฤติปฏิบัติ แล้วมีจิตบรรลุอรหัตตผลได้ อัมพปาลี ( โสเภณีแห่งแคว้นวัชชี ) ปฏิบัติแล้วยังบรรลุอรหัตตผลได้ สิริมา ( โสเภณีแห่งแคว้นมคธ ) ปฏิบัติแล้วมีจิตบรรลุโสดาปัตติผล ( ปิดอบายภูมิ ) ได้ ฯลฯ ประสาอะไรกับผู้ถามปัญหา หากปรารถนาความเจริญสูงสุดของชีวิต พึงมีศรัทธาประพฤติตามบุคคลที่ยกตัวอย่างมาให้ดู โดยมีศีล มีสัจจะคุมโต แล้วเร่งความเพียรประพฤติปฏิบัติธรรมดังกล่าว แล้วความสมปรารถนาย่อมเข้าถึงได้

     (๒) ผู้มีจิตเห็นถูกตามธรรม ย่อมไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ไม่คิดในทางลบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต และไม่ท้อถอยในการทำความดีให้มีกำลังยิ่งขึ้น

     ไฟฟ้าดับเป็นเรื่องภายนอก ผู้รู้ย่อมมีสติไม่เอาจิตไประลึกอยู่กับแสงสว่างของไฟฟ้า ตรงกันข้าม เอาจิตไประลึกอยู่กับเรื่องที่เป็นปัจจุบันขณะ แล้วจิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

     เรื่องเด็กเจ็ดขวบไปขึ้นเบรกเก้อ (breaker) ไฟฟ้า หรือเรื่องฝรั่งนั่งรถมอเตอร์ไซด์ ก็เป็นเรื่องของเขา มิใช่เรื่องของเรา ( สามีภรรยา ) ที่ปรารถนาจะสร้างศรัทธา และนั่งภาวนาให้จิตมีความก้าวหน้าในทางธรรม ฉะนั้นพึงเว้นไม่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอันมิได้เป็นสาระกับชีวิตเช่นนั้น
  

2207.
เรียน ท่านอาจารย์สนองที่นับถือ

ดิฉันเคยเขียนมาถามอาจารย์เกี่ยวกับสภาวะธรรมครั้งนึง ครั้งมีมีข้อสงสัยดังนี้ค่ะ
     1. หลังจากกลับจากปฎิบัติธรรมครั้งแรก ในวันอาทิตย์ เช้าวันจันทร์มาทำงานตามปกติ เปิด facebook ดูรูปเพื่อนไป แล้วเกิดความฟุ้งซ่าน น้อยใจ ว่าทำไมไม่ส่งรูปให้เรา ปรุงแต่งไปในทางอกุศล ระหว่างนั้นก็มีเสียงในหัวเกิดขึ้นว่า คิดไปแล้วได้อะไร คิดไปเพื่ออะไร ความฟุ้งซ่านอาการทางจิตหายไปทันที เหมือนใครดับไฟ ไม่ทราบว่าเสียงที่เกิดขึ้นในหัว คืออาการทางจิตที่มีสติมาคุมหรือเปล่าค่ะ

     2. และอีกเหตุการณ์ค่ะ ปกติดิฉันเป็นคนฟุ้งซ่านมากๆ ต้องภาวนาด้วยการกำหนดให้พึงมีสติรู้ตัว ด้วยการกำหนดหนอตลอดเวลาที่นึกได้ ทุกอิริยาบทที่นึกได้ก็ทำทันที ช่วงนี้พอเกิดอาการฟุ้งซ่านก็หันมารู้สึกกายรู้สึกทึบอึดอัดไม่แจ่มใส แน่นๆ เวลาที่ฟุ้งซ่าน ตามดูอาการด้วยความรู้สึกไปด้วยระหว่างที่เกิดความคิดฟุ้งซ่าน คิดไม่ดี จนเวลาผ่านไปสักชั่วโมง ได้เกิดเสียงที่หัวดังขึ้นว่า คิดไปแล้วได้อะไร มันเกิดขึ้นหรือยัง ความคิดฟุ้งซ่านดับไปทันที จิตว่างๆ โปร่ง รู้สึกโล่ง จะคิดเรื่องเดิมที่ฟุ้งซ่านก็คิดไม่ได้เหมือนลืมไปทันทีเลยค่ะ ไม่ทราบว่าอาการนี้คืออาการปล่อยวางทางจิตที่มีสติมาคุมหรือเปล่าค่ะ

     3. ไม่ทราบว่าดิฉันเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า ว่าตนเองได้เคยเห็นการดับไปเองของจิตค่ะ เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่ดิฉันได้เข้าไปปฏิบัติธรรมนะค่ะ คือระหว่างที่ฟุ้งซ่าน ปรุงไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องเป็นราว สุดท้ายเรื่องที่ฟุ้งมันดับไปเอง รู้สึกเหมือนใครปิดไฟทันทีนะค่ะ แล้วเรื่องฟุ้งซ่านก็เหมือนถูกลบออกไปจากจิตนะค่ะ ไม่เก็บมาคิดต่อ เหมือนถูกลืมนะค่ะ เหตการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งเดียว จากนั้นมาดิฉันไม่เคยประสบอีกเลย จนเพิ่งมาประสบในคำถามข้อ 1 และ ข้อ 2 ค่ะ

     4. ดิฉันเป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระเกือบทุกวัน หากว่าวันไหนเลิกงานกลับบ้านไม่ดึก หรือเหนื่อยจนเกินไปจะไม่ได้สวดค่ะ และช่วงที่สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำจะเป็นช่วงประมาณ 2-3 ทุ่มค่ะ ระหว่างที่สวดมนต์ดิฉันมีความรู้สึกเหมือนดิฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องพระ มีดวงจิตดวงอื่นอยู่ด้วยค่ะ เวลาแผ่เมตตามีความรู้สึกขนลุกในช่วงแรกที่สวด แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าดิฉันฟุ้งซ่านหรือคิดไปเองหรือเปล่าค่ะ สวดมนต์เสร็จแล้วแผ่เมตตา ขออโหสิกรรมทุกครั้ง แตพอปฎิบัติในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์จะเป็นช่วงประมาณ 8- 9 โมง จะสวดมนต์ เดินจงกรมและนั่งสมาธิ กลับไม่มีความรู้สึกถึงการสัมผัสได้จากดวงจิตดวงอื่นค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรค่ะ

     ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้ความกระจ่าง มา ณ ที่นี้ค่ะ
       กานต์พิชชา

คำตอบ
      (๑) เหตุเพราะมีสติระลึกได้ทันความคิด แล้วปัญญาเห็นถูกตามธรรมตามมาให้ผล ความคิดที่เป็นอกุศล จึงได้ดับไปตามกฎไตรลักษณ์

     (๒) เหตุเพราะจิตขาดสติ อารมณ์ฟุ้งซ่านจึงเกิดขึ้นยาวนาน แต่เมื่อจิตตามระลึกได้ทันความคิด และปัญญาเห็นแจ้งตามมาให้ผล จึงได้เห็นว่า ความคิดที่เป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ( อนัตตา ) จิตจึงปล่อยวางความคิดที่ไม่ดีลงได้

     (๓) คำว่า “ดับ” หมายถึง สูญสิ้นไป จิตเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่ไม่เคยดับ แต่กิเลสที่สั่งสมอยู่ในดวงจิตสามารถทำให้ดับไปได้ เช่น ทำสัญญาและเวทนาดับลงชั่วคราว ( สัญญาเวทยิตนิโรธ ) หรือทำให้สังโยชน์ ๑๐ ดับไปจากจิตได้อย่างถาวร แล้วมีผลทำให้จิตพ้นไปจากการวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร

     (๔) ขณะสวดมนต์จิตมิได้จดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด แต่จิตไปจดจ่ออยู่กับสิ่งกระทบภายนอก อย่างนี้เรียกว่า จิตขาดสติ อารมณ์ฟุ้งซ่านจึงได้เกิดขึ้น ตรงกันข้าม ขณะสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ แล้วจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่กล่าว อย่างนี้เรียกว่า จิตมีสติกำกับอิริยาบถ
  

2206.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

กระผมขอเรียนถามคำถามดังนี้
     1.การปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ศีลไม่บริสุทธิ์ มีความกำหนัดใคร่ในกาม เล่นหวย ซื้อลอตเตอรี่ ดูภาพโป๊เปลือย จำหน่ายเหล้าเบียร์เล็กน้อย ชอบนั่งสมาธิ ดูลมหายใจ สังเกตุอิริยาบทยืนเดินนั่งนอน ดูความโลภ โกรธ หลง ตามกำลัง ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ควบคู่กันจะมีผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้าง โรคภัยไข้เจ็บ เวรภัยต่างๆ จะหนักกว่าคนที่ไม่ปฏิบัติธรรมหรือไม่ครับ

     2.ผมมีอาการตึงที่หน้าผาก เกือบจะตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาอยู่นิ่งๆ ยืน นั่ง นอน จะตึงมากเหมือนมีการดึงกันไปมาระหว่างตากับโพรงจมูก เป็นเพราะการปฏิบัติไม่สมควรแก่ธรรมหรือเปล่าครับ

     3.บางครั้งมีอาการเจ็บแปลบ แปลบที่หัวใจ ร้อนที่หน้าอกด้านซ้ายเป็นเวลานานๆ สามารถลืมตาได้นานๆ โดยไม่กระพริบตา นั่งนานๆ โดยไม่เปลี่ยนท่า ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะส่งผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้างครับ

     4.ผมนอนแค่ 2-3 ชั่วโมงก็ต้องตื่น เพราะนอนต่อไปก็ไม่หลับ แต่ก็ไม่กังวล ทราบว่าเป็นเพราะวิปัสสนา แต่ถ้าฝันว่าจะโดนทำร้าย หรือจะเกิดอุบัติเหตุ จะมีอาการวูบๆ เหมือนตกจากที่สูง แล้วก็มารู้สึกถึงร่างกายที่นอนอยู่ ว่าลักษณะท่าทางการนอน แขนขาอยู่อย่างไร จะรู้สึกชาที่มือทั้งสองข้างทุกครั้ง อย่างนี้เป็นเพราะวิปัสสนาหรือเปล่าครับ
ผมอายุ 35 ปี เริ่มปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันประมาณ 4 ปี 1ปีหลังเน้นนั่งสมาธิมากเป็นพิเศษ ครั้งละครึ่งชั่วโมงถึง 1ชั่วโมงครึ่ง ไม่เดินจงกรม ไม่สวดมนต์ ทำงานกลางคืนรีเซฟชั่นโรงแรม นอนกลางวัน ทานวันละ1หรือ2หรือ3มื้อตามกำลัง ออกกำลังกายบ้าง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ครับ

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง
       ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

คำตอบ
     (๑) พฤติกรรมที่บอกเล่าไป หากยังมีอยู่กับใครผู้ใด ผู้นั้นจะยังปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมมิได้ และกรรมไม่ดีใดๆที่ทำแล้ว ย่อมมีโอกาสให้ผลเป็นอกุศลวิบากที่รุนแรง เมื่อเทียบกับคนที่มิได้ปฏิบัติธรรม

     (๒) คำว่า “ปฏิบัติธรรม ไม่สมควรแก่ธรรม” นั้นหมายความว่า ไม่ปฏิบัติธรรมให้เป็นไปตามขั้นตอน ที่ผู้มีความเป็นสัพพัญญูตรัสไว้ พระพุทธโคดมสอนภิกษุให้ปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) หากไม่เอาศีลลงคุมให้ถึงใจ เมื่อปฏิบัติสมถกรรมฐาน จิตย่อมไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตที่ไม่เป็นสมาธิ เมื่อนำไปพัฒนาต่อด้วยวิปัสสนากรรมฐาน จิตย่อมไม่เกิดปัญญาเห็นแจ้ง อย่างนี้เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ไม่สมควรแก่ธรรม

     (๓) หากยังคงทำเช่นนี้ต่อไป จะเกิดผลในทางที่ไม่ดีกับชีวิต คือทำให้จิตมีความเห็นผิดมากขึ้น ส่งผลให้อวัยวะของร่างกายต้องทำงานหนัก โดยมิได้นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์

     (๔) อาการที่บอกเล่าไป มิได้เป็นเหตุเนื่องมาจากวิปัสสนา แต่เป็นเหตุที่เนื่องมาจากจิต ยังเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ )
  

2205.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูงค่ะ

     ด้วยดิฉัน ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ใน จ.เชียงใหม่ ได้ติดตามการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ ดร.สนอง ทั้งจากเว็บไซต์กัลยาณธรรมและ การบรรยายธรรมที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 10 มิุถุนายน 2555 ที่ผ่านมา และในโอกาสนี้ดิฉันมีเรื่องที่จะ ขอรบกวนท่านอาจารย์ โปรดเมตตาชี้แนะแนวทางปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ บิดาของดิฉัน โดยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่กำลังทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บซึ่งยังอยู่ในระหว่างการตรวจวินัจฉัยโรคจากแพทย์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็น โรคมะเร็งตับ โดยเพิ่งปรากฎอาการมาได้ 3 เดือน ทั้งนี้บิดาของดิฉัน ท่านกำลังจะมีอายุ 59 ปี ซึ่งตัวท่านเองหมั่นเพียรรักษาศีล 5 อยู่เสมอ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ประกอบสัมมาอาชีพ และควรมีอายุยืนยาวจนถึงแก่วัยชรา เพื่อจะได้มีโอกาสสั่งสมบุญ สร้างกุศลต่อไป จึงขอเมตตาจากท่านอาจารย์ โปรดชี้แนะทางสว่างให้แก่ดิฉัน ดังนี้ด้วยค่ะ

     1.) ตอนกลางคืนก่อนเข้านอน ดิฉันจะปฏิบัติบูชาสวดมนต์ไหว้พระ สวดบทพาหุงมหากา,สวดพระคาถาชินบัญชร, สวดบทโพชฌังคปริตร (9 จบให้แก่บิดา),ขอสมาทานพระกรรมฐานต่อพระพุทธเจ้าแล้วจึงเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ตามหลัก ยุบหนอ พองหนอ หลังจากนั้นจึงแผ่เมตาให้แก่ตนเอง สรรพสัตว์ อุทิศส่วนบุญกุศลให้บิดามารดาตลอดจนถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วจึงอธิฐานบารมี จากพระรัตนตรัยให้บิดาหายป่วย กลับมามีสุขภาพแข็งแรง ขอให้มีปาฏิหารย์จากผลบุญกุศลที่บุตรได้อุทิศให้แก่บิดา ให้ปราศจากโรคร้ายไข้เจ็บ จึงขอกราบเรียนถามว่า บุตรสามารถขอ ขมากรรมจากเจ้ากรรมนายเวรของผู้เป็นบิดา แทนได้หรือไม่ แล้วหากทำไ้ด้ ดิฉันควรปฏิบัติอย่างไรคะ

     2.) ในกรณีที่บุตรปฏิบัติบูชาแทนบิดา ในการอุทิศบุญกุศลหลังการสวดมนต์ ทำสมาธิ ผู้เป็นบิดาสามารถรับอนุโมทนาต่อบุญจากบุตร แล้วใช้บุญกุศลนั้น ขอขมากรรมจากวิบากกรรมและเจ้ากรรมนายเวรได้หรือไม่คะ

     3.) ดิฉันควรไปปฏิบัติธรรมและรักษาศีล 8 ในสำนักปฏิบัติธรรมสักแห่ง โดยตั้งใจจะปฏิบัติเืพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่บิดา ควรไปปฏิบัติอย่างน้อยกี่วันคะ แล้วควรอธิษฐานบารมีอย่างไร เพื่อให้บิดา หายป่วย

     4.) เมื่อดิฉันปฏิบัติบูชาด้วยศรัทธาในพุทธฤทธิ์แล้ว ธรรมย่อมคุ้มครองคนดีเสมอใช่มั๊ยคะ

     กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.สนอง ค่ะ

คำตอบ
     (๑) ผู้เป็นบุตรสามารถขอขมาจากเจ้ากรรมนายเวรของบิดาได้ แต่เจ้ากรรมนายเวรของบิดา จะยกเลิกการจองเวรหรือไม่ เป็นสิทธิส่วนตัวของเจ้ากรรมนายเวร ผู้อื่นไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงในกฎแห่งกรรมนั้นได้ เว้นไว้แต่ว่า เจ้ากรรมนายเวรจะยกเลิกการผูกพยาบาทด้วยตัวของเขาเอง ดังนั้นสิ่งที่ควรทำ คือผู้ถูกจองเวร ( บิดา ) ควรสร้างบุญใหญ่ให้เกิดขึ้นกับตัวเองด้วยการเข้าปฏิบัติธรรม แล้วขอความเมตตาจากผู้ร่วมปฏิบัติธรรม ช่วยกันอุทิศบุญใหญ่คือการปฏิบัติธรรม ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของบิดา วิธีการเช่นนี้ เคยมีพยาบาลห้องผ่าตัดได้ประพฤติแล้ว มีผลทำให้ตัวเองได้รับการยกเลิกจองเวร และไม่ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์นรก

     (๒) บิดาสามารถอนุโมทนาบุญ ที่ผู้เป็นบุตรอุทิศให้ได้ และเมื่อบิดาได้รับบุญแล้ว สามารถส่งบุญต่อให้กับเจ้ากรรมนายเวรได้ แต่เจ้ากรรมนายเวรจะยกเลิกการจองเวรหรือไม่นั้น เป็นสิทธิ์ของเขา

     (๓) การเข้าปฏิบัติธรรม บุญใหญ่ย่อมเกิดขึ้นกับผู้เข้าปฏิบัติ ส่วนจำนวนวันที่เข้าปฏิบัติธรรม ยังไม่สำคัญเท่ากับสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในดวงจิตของผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นอริยบุคคล ถือว่าบุญใหญ่ได้เกิดขึ้นกับผู้นั้นมากกว่าวันเวลาที่เข้าปฏิบัติ

     (๔) พระพุทธโคดมได้ตรัสไว้ในทำนองที่ว่า “ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติ ( มี ) ธรรม” นั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน ดังนั้นผู้ใดประพฤติธรรมแล้วมีพฤติกรรม ( คิด พูด ทำ ) ถูกตรงตามธรรมวินัยอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีธรรมคุ้มรักษาชีวิตมิให้วิบัติได้
  

2204.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร

ผมชื่อ นายมติ วงศ์ทาเครือ อายุ 30 ปี ภูมิลำเนา เกิดที่ จังหวัดลำปาง แต่ขณะนี้ทำงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอกราบเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ
    กระผมเคยไปปฏิบัติธรรมมาบ้างแล้ว ที่วัดถ้ำตอง อำเภอจอมทอง เชียงใหม่ แต่ใช้เวลาแค่ 1-2 วันเท่านั้น จากนั้นก็มาปฏิบัติเองที่หอพัก แต่ก็ยังไปคืบหน้าเท่าไหร่ อยากให้อาจารย์ ช่วยแนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมที่อื่นให้กระผมด้วยครับ เพื่อว่ากระผมจะได้พัฒนาการฝึกสติ สมาธิให้มากขึ้นกว่านี้ครับ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาจากอาจารย์ดร.สนอง มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

คำตอบ
       แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอรัญญวิเวก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ แต่โปรดสังเกตว่า การปฏิบัติธรรมจนจิตเข้าถึงธรรม มิได้ขึ้นอยู่กับวัดหรือครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนธรรมแต่เพียงอย่างเดียว ยังต้องขึ้นอยู่กับความเพียรของผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมต้องสมควรแก่ธรรม ( เอาศีลคุมใจให้ได้ก่อน จิตจึงจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิ โอกาสจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดขึ้นได้ ) และสุดท้ายต้องมีบุญเก่าสนับสนุน
  

2203.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์สนองค่ะ

ดิฉันมีเรื่องขอคำแนะนำว่าการปฏิบัติตามนี้ถูกต้องหรือไม่ค่ะ
     1. ดิฉันควรจะเอาตัวเองให้รอดก่อนจะช่วยผู้อื่นหรือไม่คะ ควรจะปฏิบัติธรรมให้ตั้งมั่น มีศีลบริสุทธิ์ก่อนไปช่วยคนอื่น แม้จะเป็นบิดาและมารดา หรือญาติ เพราะดิฉันได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะให้พวกเขาหันหน้ามาปฏิบัติอย่างจริงจัง ด้วยวัยที่ชราแล้ว ควรจะสั่งสมคุณความดีเพื่อความเจริญในชาติหน้า แต่ก็ไม่เป็นผล ดิฉันควรจะปล่อยวางแล้วตั้งใจมั่นทำกิจของตนให้ลุล่วง แต่การวางอุเบกขาที่ดี ควรจะทำเช่นไรคะ เพราะเวลาสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ ใจก็ประหวัดคิดแต่ว่า เราดูแลเขาไม่เต็มที่ รู้สึกผิด

     2. การที่เราช่วยคนทั้งทางตรงทางอ้อม ด้วยใจสงสาร แต่นับวันยิ่งทำให้เขางอมืองอเท้า ไม่พยายามช่วยตนเอง อย่างนี้ จะเป็นการส่งเสริมคนให้ยิ่งเสียหรือไม่ค่ะ ดิฉันจึงต้องหยุด เพื่อให้เขาสำนึกได้ ทำแบบนี้ถูกหรือไม่ค่ะ เพราะดิฉันมาคิดว่า การช่วยเหลือคน ถ้าเป็นการส่งเสริมให้เขายิ่งทำผิดๆ น่าจะบาป

     3. การที่ดิฉันพบเจอกับสิ่งเลวร้ายในชีวิตที่เกิดจากการกระทำของพ่อแม่และญาตินั้น ดิฉันถือว่าเป็นวิบากของตนเอง ดังนั้นตั้งแต่เด็กดิฉันจึงปฏิญาณตนว่า จะไม่ทำให้ใครต้องเจ็บช้ำน้ำใจเพราะดิฉัน มุมานะพยายามเพื่อยืนด้วยตนเอง และจะพยายามชักจูงให้เขาเหล่านั้นเห็นชอบ รวมถึงมีน้ำใจช่วยเหลือหลายอย่าง ดิฉันคิดเสมอว่า ดิฉันจะทำดีกับคนที่ทำเลว เพราะไม่ต้องการต่อยอดหนี้กรรมกันอีก แต่ดิฉันเริ่มเหนื่อยกับการทำแบบนั้นแล้ว เพราะเหมือนแบกพวกเขาเหล่านั้นไว้บนหลัง และดูเหมือนว่าจะคิดกันไม่ค่อยได้
       3.1 ดิฉันควรวางพวกเขาลง แล้วให้พวกเขาเผชิญชะตาชีวิตกันเองดีกว่ามั้ยคะ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
       3.2 ในมงคล 38 หัวข้อสงเคาระห์ญาติ บอกว่า จะช่วยเหลือญาติเมื่อเขาได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือตัวเองแล้ว และควรมีขอบเขต ดังนั้นดิฉันจะหยุดค่ะ เพราะพวกเขาไม่เคยพยายามกันต็มที่เลย ในเมื่อมีมือเท้าครบ แต่ไม่ทำงาน ดิฉันทำถูกมั้ยคะ

     4. ขอคำแนะนำการวางอุเบกขาด้วยค่ะ ดิฉันตั้งใจมั่นแล้วว่า จะปฏิบัติธรรมอย่างแน่วแน่ พวกญาติที่ไม่ยอมช่วยตนเอง จะไม่สนใจแล้ว ขึ้นกับบุญกรรมของพวกเขาเองค่ะ

     5. การอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปทุกครั้งหลังสวดมนต์ ว่า บุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขออุทิศให้กับบิดามารดาและ (ชื่อญาติ) ช่วยเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ข้าพเจ้่าไม่ต้องพบเจอกันอีกในชาติต่อๆไป บุญกุศลทั้งหมดนี้ ช่วยเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความเจิญในธรรมเพื่อความก้าวหน้าจนถึงนิพพาน ข้าพเจ้าขอเลือกเส้นทางธรรมนี้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้นอีกต่อไป เป็นการยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราเขาหรือเปล่าคะ ถ้าทำด้วยใจวางอุเบกขาไม่คิดเคียดแค้นแล้ว

     6. ถ้านั่งสมาธิแล้วจิตใจฟุ้งซ่าน แต่ไม่สะดวกเดินจงกลม มีอุบายอื่นที่จะทำให้จิตสงบตั้งมั่นมั้ยคะ เพ่งกสินได้หรือไม่คะ

     สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาชี้แนะด้วยค่ะ

คำตอบ
     (๑) จากข่าวโทรทัศน์ คนที่ยังว่ายน้ำไม่เป็น ยังว่ายน้ำไม่แข็ง แต่มีเจตนาดีหวังช่วยคนตกน้ำให้พ้นจากการจมน้ำตาย ผลปรากฏว่า ต้องจมน้ำตายด้วยกันทั้งสองคน ซึ่งตรงกันข้ามกับเจ้าชายสิทธัตถะ หนีครองครัวไปบวชเพื่อพัฒนาตนเอง จนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงหวนกลับไปช่วยพระเจ้าสุทโธทนะ ( พระราชบิดา ) ไปช่วยพระปชาบดีโคตมี ( พระน้านาง ) ไปช่วยพระยโสธราพิมพา ( พระมเหสี ) ไปช่วยราหุล ( พระราชบุตร ) ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร และสุดท้ายได้ใช้อิทธิวิธีขึ้นไปช่วยพระสิริมหามายาเทพบุตร ( พุทธมารดา ) จนเป็นพระโสดาบัน มิให้ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกต่อไป จากตัวอย่างที่ยกมาบอกเล่าให้ฟัง สรุปลงได้ว่า ต้องช่วยตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยได้ก่อน แล้วจึงจะช่วยผู้อื่นให้อยู่รอดปลอดภัยได้

     (๒) มิเพียงแต่มีความรู้เรื่องสงสาร ( กรุณา ) แต่ยังต้องพัฒนาตนเองให้มีความสงสารอยู่ในจิตตนเองให้ได้ก่อน ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม พระพุทธองค์ทรงสอนทางอยู่รอดของชีวิต ให้พุทธศาสนิกผู้ศรัทธานำไปประพฤติปฏิบัติด้วยตัวเองแล้ว ผลสัมฤทธิ์ในสิ่งที่ตนปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้ ตรงกันข้าม ผู้ใดรู้ทางที่พระองค์ทรงชี้แนะแล้ว แต่ไม่นำไปทำด้วยตนเอง พระองค์ก็ทรงปล่อยวางจนใจว่างเป็นอุเบกขา ( ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ) ทั้งนี้เพราะผู้รู้จริงแท้รู้ว่า สัตว์บุคคลมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย บุคคลจะดี จะชั่ว จะเลว จะหยาบ ขึ้นอยู่กับการกระทำ ( กรรม ) ของตัวเองเป็นต้นเหตุ

     (๓) ผู้ใดมีจิตคิดช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ เรียกผู้นั้นว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้มีจิตแน่วแน่อยู่ในปฏิปทาเช่นนี้ ย่อมต้องผจญกับความยากลำบากของชีวิต หากมีขันติสามารถอดทนได้ บารมีย่อมเกิดตามมาให้ผู้นั้นได้รับ

       (๓.๑) จะปล่อยวางหรือจะเอาชีวิตของผู้อื่นมาเป็นภาระ ( แบก ) ก็อยู่ที่ความปรารถนาของผู้ถามปัญหา พระนิยตโพธิสัตว์ทรงแบกภาระของสัตว์โลก เพื่อหวังความสำเร็จโพธิญาณในวันข้างหน้า ตรงกันข้าม พระอนิยตโพธิสัตว์ มีจิตท้อแท้ต่อความยาวนานของการบำเพ็ญบารมี จึงต้องลาพุทธภูมิ ดังที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

       (๓.๒) ถูกครับ ช่วยเท่าที่ช่วยได้ เพราะแต่ละคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ตามกำลังศรัทธาของแต่ละคนที่ทำสั่งสมมาแต่อดีต

     (๔) วางจิตให้เป็นอุเบกขาชั่วคราว สามารถทำได้ด้วยการพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนเข้าถึงรูปฌานที่ ๔ ( อุเบกขา เอกัคคตา ) และหากปรารถนาให้จิตปล่อยวางเป็นอุเบกขาอย่างพระ ต้องพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาทุกสิ่งที่เข้าสัมผัสจิต ว่าล้วนต่างดำเนินไปสู่ความเป็นอนัตตาได้แล้ว จิตย่อมปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช้ตัวตน แล้วความว่าง ( อุเบกขา ) จึงจะเกิดขึ้น

     (๕) ผู้ใดทำกรรมปัจจุบันไว้เป็นเหตุที่ไม่เหมือนกับผู้อื่น เมื่อกรรมให้ผลเป็นวิบาก ผู้นั้นย่อมเสวยวิบากของกรรมที่ต่างจากผู้อื่น หรือจะพูดได้ในอีกทางหนึ่งว่า ศรัทธานำมาซึ่งการกระทำ ( กรรม ) ผู้มีศรัทธาที่แตกต่างกันย่อมทำกรรมไว้เป็นเหตุที่ไม่เหมือนกัน

     (๖) ท่านเจ้าคุณโชดก เคยพูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “ถ้าไม่เอาศีลลงคุมให้ถึงใจ จิตย่อมไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ” ดังนั้นผู้ถามปัญหาพึงดูตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกตรงได้เมื่อใด เมื่อนำจิตไปพัฒนา ( สมถภาวนา ) จิตย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ ตามหลักของไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) นั่นเอง
  

2202.
กราบเท้า ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูงค่ะ

เนื่องจากคุณพ่อเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 2 ปีค่ะ และมีปืนในครอบครองอย่างถูกกฎหมาย 3 กระบอก คุณพ่ออยู่ชมรมยิงปืนค่ะ ตอนนี้หนูกับน้องชายมีความเห็นไม่ตรงกัน เพราะน้องชายอยากให้ขาย เพราะยังไงเราก็ไม่ได้ใช้ หนูก็บอกว่าไม่สบายใจ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ไม่ให้ขายอาวุธ ถึงแม้ว่าเราจะเจตนาแค่ขายเพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่ถ้าคนที่ซื้อไปเอาไปฆ่าหรือทำร้ายใคร เราจะมีส่วนในบาปนั้น(หนูเข้าใจผิด ถูกอย่างไรค่ะ) น้องชายก็บอกว่า หนูเข้าใจผิดแล้ว เราไม่ได้ขายเป็นอาชีพ และก็เอาเงินที่ได้มาจะเอาไปทำบุญบริจาคอุทิศส่วนกุศล ให้กับพ่อพี่ที่เป็นคนซื้อมาก็ได้ ส่วนคนที่ซื้อไปถ้าเขาจะเอาไปทำบาปก็เป็นบาปของเขาเราไม่เกี่ยว และก็มีเหตุผลอื่นๆมาบอกหนูดังนี้ค่ะ

1) เราขายให้กับคนที่เค้ามีอาชีพนี้จริงๆ เช่น ตำรวจ ทหาร หรือขายให้กับสนามยิงปืน เพราะเค้ามีจุดประสงค์ให้ใช้สำหรับการยิงปืนภายในไม่ได้นำออกไปยิงคนข้างนอก

2) เราไม่ได้เบียดเบียนใคร

3) อย่าเอาของไม่เป็นมงคลเก็บไว้กับตัว สมมุติคนอื่นมาบ้าน มาเด็กมาบ้าน คนไม่รู้เรื่องมา มันอันตราย ( หนูแยกเก็บลูกกระสุนไว้อีกบ้านหนึ่งแล้วเพื่อความปลอดภัยค่ะ)

รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะ ให้หนูด้วยค่ะ ไม่อยากผิดศีลหรือผิดธรรมเลยค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
  ปิติพร

คำตอบ
      การเข้าไปมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมใดๆ ผู้มีส่วนร่วมย่อมต้องได้รับผลแห่งบาปนั้นด้วย ดังนั้นความเข้าใจของผู้ถามปัญหาถูกตรงตามความเห็นของผู้รู้ในทางธรรมแล้ว

     (๑) กรรมอยู่ที่เจตนา หากมีเจตนาขายที่มิได้เป็นไปในทางที่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม ถือว่าการซื้อขายนั้นมีเจตนาเป็นกุศล

     (๒) การไม่ประพฤติเบียดเบียนสัตว์บุคคล ถือว่าเป็นกุศลกรรม

     (๓) การกระทำที่บอกเล่าไปเป็นพฤติกรรมดี ( กุศลกรรม ) ผู้หวังความสวัสดีของชีวิต สามารถทำได้
  

2201.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ผมมีเรื่องสงสัยที่จะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ ผมเคยได้ฟังอาจารย์ยกตัวอย่างในการบรรยายธรรมเกี่ยวกับ "โตเตยพราห์ม" ที่มีมิจฉาทิฏฐิจนทำให้ไปเกิดเป็นลูกสุนัข และผมได้รู้มาว่าโตเตยพราห์มนั้นเป็นนิยตโพธิสัตว์ (ไม่แน่ใจว่ารู้มาถูกหรือไม่) จึงมีความสงสัยว่า ผู้ที่เป็นนิยตโพธิสัตว์ ยังติดในโลกธรรมจนมีความเห็นผิดอย่างนั้นได้ด้วยหรือครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
     การได้ยิน ได้ฟัง สิ่งใดแล้ว หากใช้กาลามสูตรเป็นเครื่องคัดกรอง ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ได้สัมผัสนั้น เป็นความจริงมีเหตุผลรองรับ หรือเป็นความไม่จริง ไม่มีเหตุผลรองรับ ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงโลกิยญาณ (อภิญญา ๕) และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงโลกุตตรญาณ (ญาณ ๑๖) ได้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีกาลามสูตรเป็นเครื่องมือ คัดกรองความไม่จริงออกจากความเป็นจริงได้อย่างศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นความสงสัยของผู้ถามปัญหาจะหมดไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาจิตตนเอง
  

 

 

 

 

 

 

 

browser stats