คำถาม-คำตอบ ข้อ 2551-2600

2600.
สวัสดีค่ะอาจารย์สนอง

ดิฉันขอขอบคุณที่อาจารย์ช่วยตอบคำถามคลายข้อสงสัยให้กับดิฉันมาก่อนหน้านี้ (ข้อ 2597) อาจารย์คะ
ดิฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่อาจารย์แนะนำค่ะ และดิฉันจัดสรรเวลาก่อนนอนสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต
ดิฉันชวนลูกชายวัย 7 ขวบสวดมนต์และนั่งสมาธิด้วย
โดยให้เขานับลมหายใจเข้า-ออก นับ 1 หายใจเข้า-ออกนับ 2 ... และให้เขานับจนถึง 50 แล้วก็หยุด ดิฉันอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ 2 เรื่องด้วยกันค่ะ


1. การที่ดิฉันให้ลูกนั่งสมาธิด้วยวิธีการนี้ถูกต้องหรือเปล่าคะ **
   ขอคำแนะนำจากอาจารย์เรื่องการนั่งสมาธิสำหรับการเร่ิมฝึกหน่อยนะคะ

2. การนั่งสมาธินั้น ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำ สามารถทำได้หรือเปล่าคะ

ดิฉันขออภัยด้วยค่ะที่รบกวนเวลาของอาจารย์ และขอให้อาจารย์มีความสุขทั้งกายและใจนะคะ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

พิมพ์พร สุเชาว์อินทร์

คำตอบ
(๑) การนับลมหายใจดังที่บอกเล่าไป ถือว่าทำได้ถูกต้อง หากจิตมิได้ระลึกอยู่กับลมหายใจที่เป็นปัจจุบันขณะ ถือว่าไม่ถูกต้อง

(๒) เมื่อไม่มีครูบาอาจารย์ชี้แนะ แต่จิตสามารถระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันขณะที่ใช้เป็นองค์ภาวนา ถือว่าถูกต้อง ทำได้ครับ
  

2599.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ สนองค่ะ

หนูได้ฟังธรรมบรรยาย ของท่านอาจาย์บ่อยๆ และติดตามผลงานของท่านอาจารย์มาตลอดค่ะ

ตอนนี้ หนูมีคำถาม ที่อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะค่ะ

1. หนูทำงานที่บริษัท แห่งหนึ่ง หัวหน้าเราเป็นคนไม่พูดความจริง เช่น ลูกน้อง ไม่ชอบสีชมพู เขาก้อจะบอกคนอื่นว่า ลูกน้องคนนี้ ชอบสีชมพู และอีกอย่างคือไหลไปตามคนส่วนใหญ่ไม่ช่วยอะไรเรา เหมือนๆจะเข้าใจ แต่ไม่ลงมาช่วยเหลืออะไร ทำให้เราลำบากมากในการจะพูดจาอะไรเราต้องเป็นคนพูดโกหก เพื่อความอยู่รอดของเรา มันจะทำให้เราศีล5 พร่องด้วยไหมค่ะเพราะที่ทำงานแห่งนี้ พูดจาโกหกเพื่อความอยู่รอดของเขา เราควรจะปฏิบัติอย่างไรกับหัวหน้างานแบบนี้และ ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับเพื่อนร่วมงานแบบนี้


2. เราจะมีวิธี แก้ความฟุ้งซ่าน ได้อย่างไรค่ะ เป็นคนฟุ้งซ่านมากค่ะ หนูคิดว่าการที่เราฟุ้งซ่านมาก
จะทำให้เราสร้างเรื่องประติดประต่อไปมาก สร้างภพสร้างชาตินะค่ะ

รู้สึกเกรงใจท่านอาจารย์ แต่บางปัญหา ก็ ทำเอาเราสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะแก้ไขให้เข้ากับธรรมที่เรายึดถือค่ะ


ท้ายนี้ ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพ พลานามัยแข็งแรง อยู่เป็นมิ่งขวัญ แก่ชาวพุทธ ไปเรื่อยๆนะค่ะ และต้องขออโหสิกรรมด้วยนะค่ะ หากล่วงเกินท่านอาจารย์ไม่ว่า ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลังค่ะ

ขอขอบพระคุณค่ะ ท่านอาจารย์

คำตอบ
(๑) ผู้ตอบปัญหาในขณะบรรยายธรรม ได้พูดอยู่เสมอว่า “จงดูคนอื่นเป็นครูสอนใจ หากเขามีพฤติกรรม (คิด พูด ทำ) ไม่ดี มีพฤติกรรมผิดกฎหมาย ผิดศีล ผิดธรรม จงอย่าประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เลวเหมือนเขา ตรงกันข้าม หากเขามีพฤติกรรมดี จงทำเช่นเขา แล้วเราก็จะดีเหมือนเขา”

ผู้ร่วมงานนิยมพูดโกหก เราต้องไม่คลุกคลีและไม่พูดโกหกเหมือนเขา ตายแล้วจิตวิญญาณของเรา จะไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิเหมือนเขา

(๒) ผู้ถามปัญหาประสงค์กำจัดความฟุ้งซ่านของจิต สามารถทำได้สองแนวทางคือ พัฒนาจิต (สมถกรรมฐาน) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน แล้วความฟุ้งซ่านจะหายไปชั่วคราวขณะจิตทรงอยู่ในฌาน และวิธีที่สองดีที่สุด คือพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง (ญาณ ๑๖) จึงจะเรียกผู้นั้นว่า จิตมีสติสัมปชัญญะ แล้วจะกำจัดความฟุ้งซ่าน ให้หมดไปจากจิตได้อย่างถาวร

สุดท้าย ผู้ตอบปัญหา อโหสิกรรมให้ครับ
  

2598.
กราบอาจารย์สนองที่เคารพค่ะ

    หนูปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งจิตเกิดรู้ว่า จิตรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
(อ๋อ ! แบบนี้เหรอที่ครูบาอาจารย์บอกว่าการรับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง 6 เป็นแบบนี้นี่เอง)
มีสติสัมปชัญญะรู้ทั่วพร้อม รู้ว่ากายยืนอยู่ จิตรู้จิตแจ่มชัด การกำหนดอารมณ์ เห็นหนอ เสียงหนอ คิดหนอ รู้หนอ ดับทันที
ง่ายๆ มีสติรู้ทั่วพร้อมทั้งกายใจ อยู่กับสภาวะแบบนี้หลายวัน เป็นเวลาที่สงบมากค่ะ
เหมือนอยู่กรอบแก้วที่กั้นออกจากสิ่งภายนอก มีแต่จิตที่รู้ที่เห็น การเกิดดับเท่านั้น แต่สภาวธรรมเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นค่ะ

1.  สภาวธรรมแบบนี้เขาเรียกว่าปัญญา ใช่หรือเปล่าคะ

2.  อีกนานมั๊ยที่หนูจะเข้าถึงธรรมปิดอบายภูมิได้ (บรรลุโสดาบัน)

3.  จิตเกิดรู้ขึ้นมาว่า ถ้าตายตอนนี้จะไปเกิดที่สวรรค์ชั้นจุฬามณี จะเป็นจริงมั๊ยคะ

กราบขอบคุณอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ

คำตอบ
ผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งระดับต้นได้แล้ว แต่ยังไม่ครบทั้งหมด (ญาณ ๑๖) ปัญญาตัวนี้เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก จงเดินหน้าต่อไปแล้วจะดีเอง

คำว่า "สติ" เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของจิต ที่มีความหมายว่า ระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม

คำว่า "สัมปชัญญะ" เป็นตัวปัญญาเห็นแจ้ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของจิต มีความหมายว่า รู้ คิด นึก แต่รู้เหตุผลที่เป็นจริงแท้ ไม่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

(๑) ปัญญาที่เข้าถึงนั้นเป็นปัญญา (วิชชา) จากดวงจิต มิใช่ปัญญาจากสมอง (อวิชชา)

(๒) อีกนานไหมจึงจะปิดอบายภูมิได้ ขออภัย คนโง่ชอบถามคำถามนี้ แต่คนฉลาดเร่งความเพียรพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงญาณ ๑๖ (ปัจจเวกขณญาณ) สามารถรู้ เห็น เข้าใจว่า สังโยชน์ ๓ หมดไปจากจิตหรือยัง

(๓) ต้องขออภัยอีกครั้งที่ปรารถนาสมบัติด้อยค่า (จุฬามณี) พระพุทธโคดมมิได้ตรัสสอนให้พัฒนาจิตเพื่อสวรรคสมบัติและพรหมสมบัติ แต่ทรงสอนพุทธบริษัทผู้ศรัทธา ให้พัฒนาจิตตนเองจนเข้าถึงนิพพานสมบัติ แล้วชีวิตจึงจะปลอดจากภัยทั้งปวง
  

2597.
สวัสดีค่ะอาจารย์

ดิฉันขอคำแนะนำจากอาจารย์เพื่อคลายข้อสงสัยหน่อยนะคะ

ดิฉันเป็นแม่บ้านค่ะ ต้องดูแลลูกไปด้วยทำงานหารายได้ด้วย ดิฉันรับแปลภาษาค่ะ
ส่วนสามีดิฉันทำงานบริษัท ดิฉันจึงหาเวลาที่จะนั่งสวดมนต์หน้าพระไม่ค่อยได้ เพราะเวลาทำงานไม่ค่อยแน่นอน
เมื่อได้รับงานเวลาใดก็ทำตอนนั้นค่ะ ส่วนใหญ่ดิฉันตื่นนอนมาก็จะนึกสวดมนต์ในใจในขณะที่ทำงานบ้านไปด้วยค่ะ
คือเริ่มสวดตั้งแต่อะระหังจนกระทั่งแผ่เมตตาเลยค่ะ ไม่ทราบว่าใช้วิธีแบบนี้ถือเป็นการสวดมนต์เหมือนที่เรานั่งสวดต่อหน้าพระพุทธรูปหรือเปล่าคะ

การสวดมนต์กับการภาวนาต่างกันอย่างไรและให้ผลต่างกันอย่างไรคะ

ขอรบกวนเวลาของอาจารย์เพียงแค่นี้ค่ะ ขอให้อาจารย์มีความสุขกาย สบายใจตลอดไปค่ะ

ขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

พิมพ์พร สุเชาว์อินทร์

คำตอบ
งานที่มนุษย์ผู้ไม่ประมาท ต้องทำมีอยู่ ๒ งาน คืองานภายนอก (แปลหนังสือ) ที่ทำให้กับสังคม แต่เมื่อตายแล้วต้องไปเกิดอีก จึงต้องทำงานภายในให้กับตัวเอง มนุษย์ที่มุ่งทำงานภายนอก และไม่ได้ทำงานภายในก็นับว่าเป็น คนประมาท ทุกคนได้เวลามา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน แต่ผู้ประมาทเห็นว่า งานภายในไม่สำคัญ จึงไม่ทำหรือทำแบบเสียมิได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ไม่ประมาท นิยมแบ่งเวลาให้กับงานทั้งสองอย่างเหมาะสม ว่าจะทำงานให้สังคมกี่ชั่วโมง และทำงานให้กับตัวเองกี่ชั่วโมง

ขณะนี้มีประชากรโลกประมาณ ๗ พันล้านคน ทุกชีวิตต้องเกิด-แก่-ตาย ตามกฎธรรมชาติ ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ตายแล้วต้องไปคนเดียว จะไปชวนคนอื่น เขารังเกียจไม่ตายตามเราไปด้วย ฉะนั้น ต้องถามตัวเองว่า ตายแล้วจะไปเกิดใหม่ที่ไหน จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ต้องมีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น จะไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า ต้องมีการบำเพ็ญทานและรักษาศีลอยู่เสมอ จะไปเกิดเป็นพรหม ต้องพัฒนาจิต (สมถกรรมฐาน) จนเข้าถึงความตั้งมั่นระดับฌาน จึงจะมีโอกาสไปเกิดเป็นพรหมได้ หรือปรารถนาจะไม่ลงไปเกิดอยู่ในอบายภูมิ ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนากรรมฐาน) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วกำจัดอย่างน้อยสังโยชน์ ๓ ให้หมดไปจากใจ จึงจะปิดอบายภูมิได้ ฉะนั้นพึงเลือกทำเหตุให้ถูกตรงตามที่ชอบเถิดครับ
  

2596.
กราบเรียนถามท่านอ.ดร.สนองค่ะ

ดิฉันเป็นโรคเวียนหัว บ้านหมุน ครั้งแรก 20 ปีก่อน จากนั้นก็เป็นมาเรื่อยๆ เว้นห่างกัน 5-6 ปีต่อครั้ง แต่ละครั้งก็ไปหาหมอ กินยาก็จะหายเป็นปกติ แต่มาครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว ที่ดิฉันมีอาการเวียนหัว บ้านหมุน อาเจียน กำเริบขึ้นมา แต่ไปหาหมอ กินยา แล้ว ไม่หาย มีอาการตลอดมาจนถึงปีนี้ เปลี่ยนหมอมา 4-5 คนแล้วก็ยังไม่หาย ทั้งหมอแผนปัจจุบันและแผนจีน ดิฉันจึงกลุ้มใจมากเพราะเป็นโรคที่ทรมานมาก เวียนหัว มึนหัว ตลอดเลยค่ะ พยายามถวายยา (ยาสมุนไพรแผนโบราณ) เป็นสังฆทาน สวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วอธิษฐานให้หาย ก็ไม่หาย

จึงอยากขอเรียนถามอ. ถึงวิธี การที่ถูกต้องตามธรรม ที่จะช่วยให้หายจากโรคได้เร็ว มีอะไรบ้างคะ แล้วสาเหตุที่ครั้งนี้ ไปหาหมอแล้วไม่หาย เป็นเพราะอะไรคะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ผู้ปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมแล้ว จิตย่อมเป็นอิสระจากกาย จึงไม่ต้องพึ่งยารักษาโรคใดๆของร่างกาย นี่เป็นเครื่องบ่งชี้ผลของการพัฒนาจิต จงปฏิบัติธรรมกับครูผู้เห็นถูกตามธรรม โดยมีขันติ มีความเพียร มีสติและมีปัญญาเห็นแจ้ง เป็นเครื่องคุ้มรักษาใจผู้ไม่แพ้ใจ เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาโรคใดๆกับร่างกายอีกต่อไป ....สู้
  

2595.
กราบเรียนอจ.ดร.สนองที่เคารพค่ะ

หนูเพิ่งได้ตระหนักว่าความทุกข์ยากชีวิตหนูที่ผ่านมา เป็นเพราะหนูผิดศีลข้อสามค่ะ ไม่มีแฟนเหมือนใครเค้า ไม่สมหวังในความรัก โดนรังเกียจโน่นนี่ เป็นที่ริษยาของคนอื่น   และเจอแต่คนมีครอบครัวหรือเจ้าของแล้วมาทำกะลิ้มกะเหลี่ยม มาเข้าใกล้ชอบพอ

หลายๆคนพูดว่าอิจฉาหนูเพราะมีเสน่ห์เหลือเฟือ คนนั้นคนนี้มาชอบ และว่ามันเป็นบุญที่หนูทำ ทว่าเค้าไม่ทราบว่านั่นเป็นผลบาปกรรมต่างหาก มิเช่นนั้น หนูคงได้มีแฟน แต่งงาน สมหวังมีชีวิตคู่กับผู้ชายแสนดีคนนึงไปนานแล้ว

แม้กรรมต่างๆที่หนูประสบมา จะทำให้หนูมีใจต้องการรักษาศีลห้าให้ได้บริสุทธิ์ตามที่ท่านอาจารย์ได้ชี้ทางแนะนำสอนสั่ง ด้วยเมล็ดพันธุ์ที่ผิดเล็กๆเม็ดเดียว ผลทุกอย่างที่เกิดตามมา มันผิดหมดเลยค่ะ และตอนนี้หนูก็ต้องมานั่งรอเวลาที่จะตรวจเลือดและภาวนาให้ผลเลือดหนูปกติ ไม่ติดโรคร้ายใดๆจากเพศสัมพันธ์ที่ผิดนี้   หนูเองได้แต่ถามตัวเองว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมหนูจึงปล่อยให้ชีวิตตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์นี้  

หนูจึงเขียนมาเรียนอาจารย์เพื่อปลงอาบัติแก่ตัวเอง และเป็นข้อเตือนใจตัวเองและคนที่อาจได้อ่าน และหนูก็ตั้งใจในเรื่องการรักษาศีลห้าให้ได้มั่นคงในทุกขณะตื่น ตามที่ท่านอจ.แนะนำเรื่อยมา

ขอให้บุญกุศลที่หนูพากเพียรสร้างมา คุ้มครองรักษาท่านอาจารย์ให้มีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไม่ป่วยไม่ไข้ และอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นกัลยาณมิตรและที่พึ่งแก่พวกหนูด้วยค่ะ

หากมีกรรมใดที่หนูประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินท่านอจ.ไป จะด้วยกายวาจาใจก็ดี รู้ไม่รู้ก็ดี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอท่านอจ.ได้โปรดยกโทษอโหสิกรรมให้หนูด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
กิเลสกรรมที่ทำแล้ว ย่อมให้ผลเป็นอกุศลวิบากที่ยิ่งใหญ่เสมอ ด้วยเหตุนี้ การมีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น จึงดีกว่าการรักษาใจให้มีศีล 5 คุม เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะจิตมีกำลังของสติอ่อน จึงไม่สามารถต้านอำนาจของกิเลสมารได้ และเมื่ออกุศลวิบากเกิดขึ้นแล้ว ผู้ประพฤติอกุศลกรรมต้องชดใช้ ไปจนกว่าจะหมดหนี้เวรกรรม ผู้ฉลาดถึงเอาอกุศลวิบากเป็นบทเรียน ว่าในวันข้างหน้าจะไม่ประพฤติอกุศลกรรมเช่นนั้นอีก

ผู้เขียนได้อุทิศอโหสิกรรมให้กับทุกคนแล้ว โปรดอ่านข่าวสารกัลยาณธรรมฉบับสุดท้ายเองเถิดครับ
  

2594.
ขอกราบเรียนถามท่าน ดร.สนอง   วรอุไร ช่วยไขปมความทุกข์ให้ดิฉันด้วยค่ะ

ดิฉันและสามี   มาซื้อที่ไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เริ่มต้นอยากได้ที่แค่ 1 ไร่ไว้ปลูกบ้านอยู่กันเองตายาย
แต่จบลงที่ได้ที่แปลงใหญ่มาเพราะไม่มีที่เล็กขาย จนต้องมาทำธุรกิจ
คือเมื่อปลูกบ้านเราเสร็จแล้วก็ตั้งใจว่าจะตัดแบ่งที่ส่วนที่เหลือขาย หรือถ้าใครจะให้เราปลูกบ้านแบบที่เราอยู่เราก็จะสร้างให้   

แต่จวบจนปัจจุบันกลับกลายเป็นว่าเรามีบ้านอยู่ในที่บ้านเดียว พร้อมคนงาน ที่ต้องคอยดูแล  บอกขายทั้งบ้านทั้งที่อะไรทั้งหมด ก็ยังไม่ได้ซักอย่าง มีคนมาดูที่ดูบ้านอยู่เรื่อยๆ แต่เงียบไปทุกรายต่างก็ให้เหตุผลต่างกันไป การเมืองบ้าง เศรษฐกิจบ้าง ใหญ่ไปบ้าง แพงไปบ้าง ฯลฯ ทุนรอนที่มีกันทั้งหมดก็อยู่ที่ที่ดินและบ้านนี้ไม่มีรายได้อื่นกันเลย ไม่มีอะไรจะขายแล้วนอกจากที่นี่ ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆรายเดือนมากเหลือเกิน แต่ไม่มีรายได้อะไรเลยมาตลอด 10 ปีนี้  แต่เราสองคนก็ยังไม่เคยละความพยายาม ยังทำอยู่และจะทำจนกว่าจะสำเร็จ ในการติดต่อลูกค้าหาลู่ทางในการขายทั้งหมดที่มีอยู่ แต่จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่สำเร็จ  

ดิฉันอยากขอคำแนะนำและมุมมองและแง่คิดของท่านในการที่จะไม่ทุกข์กับปัญหาอันหนักอึ้งนี้ด้วยค่ะ ดิฉันก็ทำบุญ ปฏิบัติธรรม ถวายเพลทุกวันพระ   และปฏิบัติธรรมอื่นๆ ไม่ขาด ส่วนตัวก็สวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐาน แผ่เมตตาทุกวันไม่เว้นบุญทานอะไรที่ทำได้ดิฉันก็ทำหมดทุกอย่าง   

ดิฉันยังพร่องส่วนใดอยู่ ที่จะช่วยให้ชีวิตผ่านพ้นอุปสรรค์ที่ติดขัด หนักอึ้ง หรือสำเร็จในธุรกิจการงานที่ได้ตั้งใจไว้นี้ได้ค่ะ    

กราบขอบพระคุณท่าน ดร.สนอง ล่วงหน้า ที่เมตตาช่วยตอบคำถามค่ะ

คำตอบ
ด้วยเหตุที่ไม่ทราบรายละอียด ต้องขออภัยไม่สามารถตอบปัญหาของผู้ถามได้

คำว่า "เมตตา" หมายถึง ความรัก ความปรารถนา ให้ผู้อื่นได้ประโยชน์และความสุข ผู้มีเมตตามีอารมณ์สงบและเย็น (ไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด) การแผ่ที่ตนไม่มี (เมตตา) เป็นการกระทำที่สูญเปล่า (โมฆะ)

เคยมีเรื่องเช่นเดียวกันนี้เกิดในอดีต หลังจากพูดคุยกันแล้ว ผู้ทำหน้าที่ขายที่ดิน (นายหน้า) มาบอกกับผู้ตอบปัญหาว่า เขาประสบความสำเร็จในที่ดินแปลงนั้นแล้ว ด้วยการจุดธูปบอกกับเจ้าของที่เดิมว่า หากเขาขายที่ดินได้ จะนำเงินส่วนหนึ่งไปสร้างสถานปฏิบัติธรรม แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับอดีตเจ้าของเดิม ผลปรากฏว่า เขาสามารถขายที่แปลงนั้นได้ภายในเจ็ดวัน นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่ควรเชื่อตามหลักกาลามสูตร
  

2593.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

    กระผมได้มีโอกาสฟังธรรมของท่านอาจารย์ เพียงฟังครั้งแรกเท่านั้นผมก็ปฏิญาณกับตนเองเลยว่าผมจะรักษาศีล ๕ ตลอดชีวิต
    หลังจากนั้นผมก็ได้ผมก็ได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมเหยงคณ์ ในแต่ละวันก็จะให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาควบคู่กันไป
    ผมจึงมีคำถามที่จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ดังนี้

    ๑. บ่อยครั้งที่ผมเห็นว่า สภาวะที่เกิดกับร่างกายและจิตเข้าไปรับรู้ เป็นคนละส่วนกัน กายก็ส่วนกาย จิตก็ส่วนจิต รู้ก็สักแต่ว่ารู้ แบบนี้เรียกว่า แยกกายกับจิตถูกไหมครับ

    ๒. การพิจารณาตามกฏไตรลักษณ์ เพื่อให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง   อนัตตา ต้องพิจารณาโดยการคิด หรือว่าสิ่งเหล่านั้นจะปรากฏให้เห็นตามกฏไตรลักษณ์เอง

กราบขอบพระคุณอาจารย์ครับ

คำตอบ
(๑) ผู้ตอบปัญหาได้ถูกส่งให้ไปพัฒนาสมองมาจากต่างประเทศ จนเข้าถึงความรู้สูงสุดในทางโลก (ปริญญาเอก) เมื่อกลับสู่ประเทศไทย ได้ไปพัฒนาจิตจนเข้าถึงความรู้สูงสุด (ญาณ ๑๖) จึงได้พบเหตุผล (ความจริง) มาจนทุกวันนี้ การพัฒนาสมองสามารถรู้จำ แต่บัดนี้ไม่เป็นความจริง แต่การพัฒนาจิตเป็นความรู้จริงแท้

คำว่า “รู้สักแต่ว่ารู้” หากเกิดจากสมองสามารถวัดได้ด้วยพฤติกรรมที่ยังมีความเห็นแก่ตัว ยังคล้อยตามโลกธรรม ๘ ยังมีความโลภ ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง จิตยังเป็นทาสของกิเลสต่างๆเหล่านั้น ตรงกันข้าม คำว่า “รู้สักแต่ว่ารู้” หากเกิดจากดวงจิต จะไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่ติดในโลกธรรม ๘ จิตไม่เป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมมีพฤติกรรมเป็นอิสระ มีหูเสมือนเป็นคนหูหนวก มีตาเสมือนเป็นคนตาบอด มีปากเสมือนเป็นคนใบ้ แต่มีกำลังมาก สามารถนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารได้

สาธุ จงเอาศีลลงคุมให้ถึงใจ มีขันติ มีความเพียร มีสติ มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม .... แล้วบัวก็จะบานออกได้

 

2592.
พอดีที่บ้านไม่ทานเนื้อวัวเลย น่าจะมาจากการนับถือเจ้าแม่กวนอิมหรือเทพที่ห้ามทานค่ะ
หนูก็ไม่ทานเลยแต่บังเอิญเพิ่งซื้อกระเป๋าหนังวัวมาใช้โดยลืมไตร่ตรองให้ดีก่อนค่ะ
อยากทราบว่าจะเป็นบาปเป็นการละเมิดมั้ย แล้วต้องทำยังไงบ้างคะ

คำตอบ
ในครั้งพุทธกาล พาหิยะและทัพพะบรรลุอริยธรรมขั้นสูงสุด ขณะยังเป็นฆราวาส มีศีล ๕ ข้อคุมใจ อุตราและเสลาบรรลุอริยธรรมสูงสุด หลังจากบวชเป็นสามเณรี มีศีล ๑๐ ข้อคุมใจ ด้วยเหตุนี้ พระผู้ทรงความเป็นสัพพัญญู มิได้ทรงบัญญัติคำว่า มังสวิรัติ ไว้เป็นข้อห้าม เพียงแต่ทรงชี้แนะว่า ต้องไม่ทำชีวิตสัตว์ให้ตกร่วง ด้วยการไม่ได้สั่งให้เขาฆ่าเพื่อเรา ไม่เห็นเขาฆ่าสัตว์เพื่อเรา และไม่สงสัยในขณะบริโภคอาหารนั้น

ฉะนั้น การบริโภคใช้สอยกระเป๋าหนังวัว หากจิตไม่คิดว่าตนเป็นต้นเหตุแห่งการฆ่าวัว ไม่เห็นเขาฆ่าวัว และไม่สงสัยขณะใช้สอยกระเป๋าหนังวัวนั้น ถือว่ามิได้ประพฤติทุศีล
 

2591.
กราบเรียนถาม อจ.สนองที่เคารพ
ผมใคร่ถามว่า 

  การสวดมนต์ภาวนาเพื่่อสงบจิตใจในท่านั่งสมาธิ หรือ ในขณะที่นั่งสำรวมจิตบนเก้าอี้ โดยที่ไม่ได้ยกพนมมือ สามารถทำได้มั้ยครับ จะเป็นการควร/ไม่ควร ประการใด

กราบเรียนด้วยความเคารพครับ

โกเมศ

คำตอบ
อิริยาบถใด ที่ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย อิริยาบถนั้นควรทำอย่างยิ่ง ไม่ถือว่าผิดธรรม
  

2590.
เรียน ท่านอาจารย์สนองค่ะ

ก่อนอื่นหนูขอโทษท่านอาจารย์ด้วยนะค่ะและหนูขอให้อาจารย์อโหสิกรรมให้หนูด้วยนะค่ะหากประพฤติกาย วาจา ใจไม่ดีต่อท่านอาจารย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

หนูทำงานที่แห่งหนึ่งมานานกว่า 20ปีแล้วค่ะ มีปัญหาทางด้านความคิด ต้องทานยาทางจิตเวชเป็นประจำ แต่ก้อสามารถทำงานได้ แต่บางครั้งก้อมีอาการในตลอดการทำงาน ที่ที่ทำงาน ซึ่งหนูก็คิดว่า มันเป็นความเข้าใจผิดของหนู ทำให้หนูแสดงอาการอะไรแปลกๆออกมา บางครั้งก้อทำงานอยู่ก้อกลับบ้านไปโดยคิดว่าที่บ้านมีคดีความ ทำให้เราเดือดร้อน แต่ตอนนี้ หนูเข้าใจแล้วว่า ไม่มีปัญหาหรือคดีความใดๆ ในบ้านหนู ๆ เป็นบ้านที่รักกันมาก ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น

การที่หนูทำอาการแปลกๆ นี้ อาการนี้ ทางบริษัท ที่หนูทำงาน หาเรื่องมาเป็นข้ออ้างว่า หนูไม่ได้มาตรฐาน เลยทำให้ไม่ขึ้นเงินเดือน หรือให้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่า ที่ควรจะเป็น แต่คนอื่นๆ หนูเชื่อว่า คงจะขึ้นเงินเดือนดี ซึ่งหนูคิดว่า ตอนนี้ หนูมีความเข้าใจถูกแล้ว กับครอบครัว หนูจึงไม่มีอาการใดๆนั้นออกมาและก้อทานยา เพื่อให้ควบคุมให้ดี สิ่งที่ทำให้หนูเครียดคือมีคนในห้องนี้ ไม่เหมือนคนอื่น คอยข่มเรา มีความเห็นแก่ตัว ต่อการอยู่ในสังคมการทำงาน ทำให้สังคมไม่ก้าวหน้าไปไหน เขาทำหนู

ทั้งๆที่หนูก้อมีปัญหาเรื่องหัวหน้างาน หาว่าต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว (ซึ่งอันนี้ หนูใช้ความพยายามตั้งใจทำงาน ก้อคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร) แต่มันติดตรงที่ว่าคนในห้องนี้ เขาทำทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองดี สบาย พูดง่ายๆ คือเห็นแก่ตัว คอยแกล้งเราพูดจาไม่ดีใส่เรา และหัวหน้า ก้อไม่เข้าข้างเรา เพราะคิดว่า เราทำงานไม่ดี คิดต่ำกว่ามาตรฐาน

     1.  เราหมดกำลังใจจากการที่หัวหน้า พูดจาไม่ดีใส่เรา อันเนื่องจากผลงานเก่าๆ ที่ไม่ดี ซึ่งตอนนี้ เราเปลี่ยนใหม่แล้ว เขาก้อยังพูดจาไม่ดีใส่เรา

     2.  คนคอยซ้ำเติมใส่เรา ยิ่งหัวหน้า ทำไม่ดีใส่เรา พอหัวหน้า ทำใส่เรา เขาก้อทำใส่เรา ทำตามหัวหน้า

หนูคิดทีไร หนูรู้สึกท้อใจมาก การทำความดีมันยากเหลือเกิน ทางบ้านบอกว่า เราเพิ่งจะมาหายดี ก้อปี57 แต่ก่อน เรามีอาการอย่างนี้มาเกือบ20 ปี จะให้เขาเห็นเราดี มันเป็นไปได้ยังไง

ปัญหาคือ 1. หนูเกลียดคนในห้องนี้มาก เกลียดในความเห็นแก่ตัวของพวกเขามาก ไม่มีความจริงใจให้ จนหนูเครียด ทำอย่างไรดีหนูจึงจะทำงานได้อย่างมีความสุขค่ะ

หนูเจ็บปวดมากเวลาที่เขาคอยทำความเห็นแก่ตัวใส่หนู แล้วหนูโต้ตอบด้วยความมีเหตุผล แต่หัวหน้ากลับดูว่าหนูเป็นคนผิด(อันเนื่องมาจากเราไม่มีเครดิต)

หัวหน้าที่สูงสุดของห้อง ก้อพูดจาลอยๆ เวลาคนพูดถึงคนอื่น เขาก้อพูดว่า เราต้องพูดแบบนี้ เพราะเราไม่มีอะไรต่อกัน

คือมันไม่ใช่หลักที่ดีของหัวหน้าที่ดี ผิดกับหลักชาวพุทธต้องมีเมตตา พูดอย่างนี้ แสดงว่า สนับสนุนให้คนเขาพูดนินทากัน แบบไม่เอ่ยชื่อ (ซึ่งอาจารย์ว่ามันพูดดีหรือค่ะกับการพูดจาพูดโดยไม่เอ่ยชื่อ แต่รู้ว่าใคร สู้เราไม่พูดไม่ดีกว่าหรือ)

หนูได้ตั้งใจกับตัวเองว่า จะเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิวันละ ครึ่งชั่วโมง ภายใน1สัปดาห์ต้องให้ได้3.5 หรือ4 ชั่วโมง แต่ก็ไม่อาจทำให้หนูมีปัญญาเห็นแจ้งได้ขณะที่เราปัญญายังไม่เกิด แล้วขณะที่เกิดปัญหา เราไม่มีปัญญาเห็นแจ้ง เราไม่มีวิชชา แล้วเราจะเผชิญปัญหาอย่างไม่ทุกข์ใจได้อย่างไร หนูเจ็บปวดมากจนหนูเครียดมาก แก้ปัญหาไม่ได้ คนที่เห็นแก่ตัว มาอยู่กับเรา มันทำลายตัวเรา พูดจาใส่ร้ายเรา โวยวาย คนในห้องนี้เขาเป็นแบบนี้ เป็นส่วนใหญ่ ทางบ้านบอกว่า ให้เราอยู่กับมัน แต่อย่าไปตามกระแส เขา ดูเขา แต่เราไม่ต้องไปเป็นแบบเขา อย่าตามกระแส แต่หนูเจ็บปวดมาก จนบางครั้ง มีเวลาว่าง ก้อจะพยายามหาอาชีพ สำรองไว้

หนูชอบทางการปฏิบัติธรรมมากๆ ถ้าไม่มีงานทำ หนูก้อจะบวช หรือไม่ก้อทำงานอยู่กับบ้าน ยังจะมีความสุขกว่าอีกวันๆ คนในห้องนี้ ไม่มีอะไร มองโน่นมองนี้ เอาจิตส่งออกไปมองคนโน่นคนนี้ แต่หัวหน้ารัก เราก้มหน้าก้มตาทำงาน แต่เรากลับโดนหัวหน้าดุตลอด ต่อว่าตลอดอันเนื่องมาจาก เราไม่มีเครดิต เราควรทำงานอย่างไรดีค่ะ กับเพื่อนร่วมงานประเภทนี้

ทุกวันนี้ หนูเข้าใจความจริงมากขึ้น คือเข้าใจถูกซึ่งแต่ก่อนหนูมีความเข้าใจกับทางบ้าน เข้าใจผิด ซึ่งมีผลต่อการทำงานของหนู

2.หนูควรทำตัวอย่างไรดีค่ะกับหัวหน้างานทั้งหัวหน้างานระดับล่าง และหัวหน้าสูงสุดของห้อง

หนูคิดว่า ทำให้เต็มที่ อย่าไปหวังเรื่องเงิน หรือความก้าวหน้า เขาให้เราออกก้อดี เราก้อจะไปตามทางซึ่งเราตั้งใจจะทำงานที่เราชอบ หรือไม่ก้อบวชที่บ้าน

หนูไม่มีปัญหาเรื่องเงินทองเลย เพียงแต่อยากทำงานเพื่อให้ตัวเองมีคุณค่า มีประโยชน์แต่การที่เราต้องมาเจอสังคมการทำงานแบบนี้ ก้อไม่รู้จะพูดอย่างไรดีค่ะ

3 แม่หนูเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อมีนาคม57 การที่หนูนั่งสมาธิ และอุทิศบุญกุศลให้แม่ บุญจะสามารถถึงแม่ได้ไหมค่ะ

ท้ายนี้ บุญกุศลที่หนูทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ถึงปัจจุบันชาติ ขอให้ถึงขอแผ่ส่วนบุญกุศลนั้นให้แก่ท่านอาจารย์สนอง ขอให้ท่านอาจารย์สนองมีความสุข สุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ต่อไปนานๆค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

อรุณี

คำตอบ
(๑) ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับผู้ถาม เป็นเพราะผู้ถามปัญหามีปัญญาเห็นผิด (ขออภัย) ผู้รู้จริงแท้ไม่ทะเลาะกับโลก ผู้รู้จริงแท้มีหูเหมือนคนหูหนวก มีตาเหมือนคนตาบอด มีปากเหมือนเป็นใบ้ มีกำลังเหมือนเป็นคนอ่อนแอ

หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะเป็นคนกล้าแข็ง ต้องทำใจเหมือนกับผู้ตอบปัญหา คือ ไม่ทะเลาะกับโลก ใครว่าใครนินทาเป็นเรื่องของเขา มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องรับประทานยาให้เกิดมลพิษขึ้นกับร่างกาย จงดูทุกคนเป็นครูสอนใจ หากเขามีพฤติกรรมดี (คิด พูด ทำ ดี) เราจะทำอย่างเขา หากเขามีพฤติกรรมไม่ดี เราจะไม่ทำอย่างเขา แล้วเราก็จะไม่เลวเหมือนเขา ผู้มองสรรพสิ่งได้ดังนี้ ไม่ต้องรับประทานยาใดๆให้เกิดมลภาวะขึ้นกับร่างกาย

(๒) จงดูทุกคนเป็นครูสอนใจ อย่าเอาความไม่ดีของคนอื่น มาทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง

(๓) ถ้าแม่มาอนุโมทนาบุญได้ เขาย่อมได้รับบุญกุศลที่มีผู้ส่งไปให้ สุดท้าย สาธุ .... ผู้ตอบปัญหาจะอยู่เพื่อตอบแทนคุณของพระพุทธโคดม จนกว่ารูปนามจะแยกออกจากกัน

2589.
เรียนท่านอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันมีปัญหาอยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

หนึ่ง ดิฉันพบว่ามีโมหะอยู่มาก รู้สึกเป็นทุกข์อยู่ลึกๆในใจบ่อยๆ เพราะด้วยความไม่รู้ ความหลง ดิฉันได้เลิกดื่มแอลกอฮอร์ก็เพราะเหตุนี้ค่ะ ทำอย่างไรจึงจะสามารถเป็นที่พึ่งตนได้คะ ทำอย่างไรจึงมีความรู้เห็นในสิ่งต่างๆตามจริงและถูกต้อง มีวิธีฝึกอย่างไรและทีไหนที่ฆราวาสอย่างดิฉันควรไป

สอง เมื่อก่อนดิฉันตั้งจิตจะมีคู่ที่ใช่คนเดียว และก็ได้พบท่านหนึ่งตามที่ได้นึกคิดไว้ ทว่าจะด้วยกิเลสหรือบุญไม่ถึง ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา รวมทั้งความคิดเห็น ดิฉันมองเรื่องถึงเวลาของการแต่งงานมีครอบครัว ได้รู้จักคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อดิฉันทำจิตเป็นศีลเมื่อไรก็จะปะหน้ากันบ่อยๆ แต่เขาดื่มเหล้าคะ ดิฉันควรคิดตัดสินใจอย่างไร

 ขอท่านอาจารย์เมตตาชี้แนะด้วยค่ะ

ประการสุดท้าย ดิฉันเห็นแล้วว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากจิต เราทำของเราเอง เพราะความไม่รู้ความหลง พูดคิดทำ เราก็ต้องรับกรรมที่เกิด คือดิฉันป่วยเป็นโรคข้อต่อขากรรไกร ทำให้เกิดอาการไมเกรนที่หน้าซีกซ้าย เคยถึงกับต้องนอน ร้องไห้ ทำอะไรไม่ได้ ทุกข์มาก และพยายามสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญก็อธิษฐานขอให้หาย ขอให้รักษาได้ที่เหตุ

 และดิฉันก็พยายามหาวิธีรักษาต่างๆเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งน้องสาวโทรมาขอคุย ซึ่งเรามีเรื่องในครอบครัวกันอยู่ ดิฉันก็ได้บอกว่าดิฉันได้อโหสิกรรมให้เธอแล้ว เธอก็ได้เผยว่าเรื่องทีเธอผูกใจเจ็บพยาบาทเรื่องสมัยเด็กที่ดิฉันได้ไปตบหน้าเธอ ดิฉันพูดจนเธอได้กล่าวอโหสิกรรมให้ดิฉัน นี่ทำให้ดิฉันรู้สึกพรั่นพรึงมาก

 ถึงเหตุที่อาจทำให้ดิฉันได้เจ็บป่วยนี้ ปัจจุบันดิฉันได้ย้ายออกจากบ้านมาอยู่เองแล้ว ซึ่งมีความสบายใจขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่ ดิฉันควรทำเช่นไร เนื่องจากการทางบ้านก็มีปัญหาอยู่ พ่อแม่ก็มีปัญหากัน รวมไปถึงพี่น้องด้วย และหลังจากดิฉันได้เห็นถึงเหตุนี้ ดิฉันยอมรับว่าไม่ปรารถนาสร้างเหตุใหม่อีกที่จะทำให้เกิดกรรมระหว่างกัน

 ดิฉันคิดถูกทางหรือไม่ และควรทำอย่างไร

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ หากดิฉันได้ประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินท่านอาจารย์ไป จะด้วยกาย วาจา ใจ รู้หรือไม่รู้ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอท่านอาจารย์ได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ดิฉันด้วยค่ะ

ขอบพระคุณ

คำตอบ
(๑) ผู้ที่รู้ว่าตนเองหลงนั้นดีแล้ว โอกาสเป็นผู้ไม่มีความหลงจึงจะเกิดขึ้นได้

ความหลง (โมหะ) เกิดจากปัญญาที่ได้จากการพัฒนาสมอง ซึ่งมนุษย์ทั่วไปยังนิยมประพฤติกันอยู่ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ผู้ตอบปัญหาได้ไปพัฒนาจิต (สมถกรรมฐาน) จนจิตเข้าถึงอัปปนาสมาธิ (ฌาน) เมื่อถอนจิตออกจากฌาน โลกิยญาณที่เรียกว่า ปุพเพนิวาสาสติญาณ ได้เกิดขึ้น จึงได้เห็นการเวียนตายเวียนเกิดของตนเองมาไม่รู้จบ ขนาดบวชเป็นภิกษุยังทำให้น้ำตาหยดได้ ทั้งนี้เพราะรู้ว่าตนเองโง่ไปถนัดใจ ปัญญาจากสมองยังทำให้นำพาชีวิตวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่รู้จบ

ผู้ตอบปัญหาต้องขออภัยผู้ถามปัญหาและผู้อื่น ที่ยังนิยมพัฒนาสมองหรือผู้ที่พัฒนาสมองแบบคันถธุระ จนเข้าถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้แล้ว ก็ยังเป็นผู้มีความหลง (โมหะ) ดังที่มีระบุอยู่ในปฏิจจสมุปบาท ยังมองไม่เห็นโลกทิพย์ สัตว์กายทิพย์ ไม่เห็นวัฏสงสารจึงพ้นทุกข์ไม่ได้

(๒) ผู้ที่มีศีล ๕ ไม่ครบ ตายแล้วยังมีโอกาสที่จิตวิญญาณจะโคจรไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิได้ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธโคดมจึงมิได้ตรัสสอน แต่ทรงสอนมนุษย์ เทวดา พรหม ผู้มีศีลคุมใจให้พัฒนาจิตไปสู่การพ้นจากวัฏสงสาร แต่สัตว์ในอบายภูมินับแต่ภพติรัจฉานลงไปจนถึงภพนรก พระองค์มิได้ตรัสสอน

(๓) การเกิดโรคไมเกรน เหตุเป็นเพราะประพฤติศีลไม่ครบห้าข้อ คือไม่มีศีลคุมใจนั่นเอง ดังนั้นจึงต้องยอมรับผลของอกุศลกรรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชดใช้หนี้เวรกรรมได้หมด

วิธีชดใช้หนี้เวรกรรม คือประพฤติตนตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ โดยเฉพาะข้อภาวนา ต้องประพฤติบ่อย เพราะเป็นบุญใหญ่ ใช้หนี้เวรกรรมได้หมดสิ้นเชิง

อนึ่ง การปรนนิบัติต่อผู้มีพระคุณ (พ่อแม่) พึงประพฤติอยู่เสมอ ซึ่งผู้เจริญนิยมประพฤติกตัญญูกตเวที จึงมีชีวิตที่ปราศจากปัญหาและอยู่ในฝ่ายที่เจริญรุ่งเรือง

ผู้รู้ไม่เอากิเลสของคนอื่นมาเป็นของตน แล้วอกุศลวิบากก็จะไม่เกิดขึ้น

สุดท้าย อโหสิกรรมให้กับผู้ถามปัญหา
  

2587.
เรียนดร.สนอง

ผมได้อ่านหนังสือของท่านเมื่อไม่นานมานี้ ผมรู้สึกได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือของท่าน และทัศนคติในการดำรงชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป ผมเริ่มรู้จักและคุ้นเคยกับพุทธศาสนาเมื่อประมาณครึ่งปีมาแล้ว และก็ไปร่วมงานเกี่ยวกับธรรมะมาตลอด เช่นทอดกฐิน การบริจาคทำบุญ  

เมื่อสองปีที่แล้ว ธุรกิจของครอบครัวผมมีปัญหา เพราะโดยโกงโดยผู้ดูแลโปรเจ็กและพนักงานของผม มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหลายอย่างแต่บริษัทก็ยังคงอยู่รอดมาได้เพราะเพื่อนของครอบครัวผมให้ยืมเงิน และบริษัทของผมก็ทยอยคืนเงินให้เป็นรายเดือนพร้อมดอกเบี้ย

แล้วตอนนี้เงินหมุนเวียนของบริษัทก็ลดลงอีก และเพื่อนๆก็กำลังจัดการหาเงินมาช่วยธุรกิจของบริษัท ตอนนี้บริษัทกำลังพิจารณาว่าควรจะรับเงินของเพื่อนมาดีหรือไม่ ? หรือว่าควรจะเลิกไป(เพราะหากรับเงินเพื่อนมาช่วย ก็เหมือนเป็นการเอาเงินเพื่อนไปเสี่ยง เพราะมีโอกาสที่เงินจะสูญ) ขอรบกวนท่านช่วยออกความเห็นด้วยครับ

คำตอบ
เรื่องทำธุรกิจแล้วให้ผลเป็นลบ ผู้ตอบปัญหาเคยตอบนักธุรกิจแห่งหนึ่งว่า เมื่อทำธุรกิจคอบรอบปีแล้วพึงประเมินดูว่า ให้ผลเป็นบวกหรือลบ หากประเมินแล้วได้ผลเป็นกำไร จงดำเนินธุรกิจต่อไป หากประเมินแล้วให้ผลเป็นในทางตรงกันข้าม จงปรับแก้ไขตัวเอง ให้มีศีล (ศีล ๕) คุมใจ   อยู่ทุกขณะตื่น มีความขยัน มีความอดทน มีความซื่อสัตย์ต่อทุกคน มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มาใช้บริการ ฯลฯ   หากประพฤติเช่นนี้แล้ว ธุรกิจย่อมงอกงามไพบูลย์จงดำเนินต่อไป ตรงกันข้ามหากปรับตามนี้แล้วยังให้ผลเป็นติดลบ ต้องเลิกทำธุรกิจนี้ เพราะอกุศลวิบากยังให้ผลต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังให้ข้อคิดต่อไปอีกว่า จงทำบัญชีชื่อสิ่งของ ที่ตนปรารถนานำพาไปสู่ภพหน้า ว่ามีอะไรบ้างไหม ? เมื่อตายแล้วสามารถนำพาข้ามภพชาติได้   หลายคนที่พัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นจริงแล้ว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ (สนฺทิฏฐิโก) ว่า จะต้องเป็นบริหารจัดการกับชีวิตตนเองอย่างไร ?
  

2586.
กราบเรียนท่าน ดร.สนอง วรอุไร

                ขอเรียนถามว่า ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นบรรลุพระโสดาบันจะเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาตินั้น

หมายความว่า ชาติต่อมา เขาเกิดมาก็ได้โสดาบันแล้ว จึงบำเพ็ญเพียรต่อเป็นสกทาคามี(นับสอง)

โดยไม่ต้องนับหนึ่ง(ทำโสดาบัน)ใช่หรือไม่  หรือต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง นับสอง เหมือนกับการทำฌาน

ใช่หรือไม่อย่างไร  ผมอยากทราบครับ ขอขอบคุณครับ

                กรรมอันใดที่มีต่อกันข้าพเจ้าขออโหสิกรรมด้วยครับ

                                                                     สายัณห์

คำตอบ
ตอบว่าใช่ครับ เพราะปัญญาเห็นแจ้ง (ญาณ ๑๖) สามารถกำจัดสังโยชน์ ๓ ให้หมดไปจากใจได้อย่างถาวร

อนึ่ง ผู้ใดสามารถรู้ เห็น เข้าใจ ด้วยจิตว่า สรรพสิ่งในวัฏสงสารเป็นอนัตตา ผู้นั้นไม่มีโทษที่จะขอให้ผู้อื่นยกให้

 

2585.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

มีเรื่องจะเรียนถาม ดังนี้ค่ะ

1. การที่เราต้องทำงานกับคนที่เราไม่ชอบ จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไรคะ พยายามแผ่เมตตาแล้ว แต่ยังคงมีความรู้สึกไม่พอใจอยู่

ท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ จะต้องวางจิตอย่างไรคะ

2 เคยไปปฏิบัติธรรมที่ คณะ 5 วัดมหาธาตุ จนพอจะทราบว่ากายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปปฏิบัติต่อ
ที่เป็นเช่นนี้ หมายความว่าถูกจริตกับที่นี่ใช่ไหมคะ เพราะเคยไปที่อื่นก็ยังไม่เห็นผลชัดแจ้งเท่ากับวัดมหาธาตุค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

วัฒนี

คำตอบ
(๑) ผู้ไม่แพ้ใจตน ย่อมเป็นผู้ชนะได้ในวันข้างหน้า ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ (พ.ศ. ๒๕๑๘) บ่ายวันหนึ่งขณะเดินจงกรม เกิดอาการง่วงอยากนอนมาก และได้คิดว่า “ไม่หายง่วงนอน จะไม่หยุดเดินจงกรม” ในที่สุดความง่วงหายไป จึงได้ปฏิบัติธรรมจนค่ำมืด

(๒) ทำถูกแล้วครับ รักษาความดีให้คงอยู่ ด้วยการปฏิบัติกรรมอย่างต่อเนื่อง .... สู้
 

2584.
เรียนท่าน ดร สนอง

ข้าพเจ้าได้ฟ้งเทปบรรยายของท่านทาง INternet เรื่องการปฎิบัติธรรม และรู้สึกยินดีและปิติอยากที่จะมีดวงตาเห็นธรรม

ตอนนี้ข้าพเจ้าได้ฝึกทำสมาธิทุกคืนที่บ้าน และไปวัดไทยที่นี่บ้างเป็นครั้งคราว ถ้ามีโอกาส แต่การนั่งสมาธิแรกๆ ข้าพเจ้าอาจจะนิ่งเป็นสมาธิ แต่สักพักจิตก็เริ่มไม่มีสมาธิ เป็นอย่างนี้หลายที ไม่ทราบว่ามีการแนะนำในการปฏิบัติอย่างไร

คำถาม

ข้าพเจ้าอยากกลับไปบวชที่เมืองไทย ตลอดชีวิตและสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่หามาให้การกุศล ไม่ทราบว่ามีสถานที่ที่สำหรับบวชชีมั้ย และรบกวนแนะนำสถานที่ฝึกในการทำวิปัสนากรรมฐานที่ไหนบ้างอยากไปเรียนวิปัสสนาก่อนแล้วกลับมาฝึกพัฒนาเอง ข้าพเจ้าอยากมีดวงตาเห็นธรรม และรู้สึกว่าโลกมีแต่ความวุ่นวาย อยากมีดวงตาเห็นธรรมบ้าง. รบกวนช่วยโปรดข้าพเจ้าด้วย

ขอให้ ดร มีสุขภาพแข็งแรงอยู่ช่วยพวกเราไปนานๆ

คำตอบ
อยากมีดวงตาเห็นธรรม ถือว่าเป็นกิเลส หากผู้ใดทำเหตุให้ตรง (วิปัสสนาภาวนา) การมีดวงตาเห็นธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ คำว่า “มีดวงตาเห็นธรรม” หมายความว่า จิตเห็นสรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตจึงจะเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุ ซึ่งดูได้จากพฤติกรรมที่แสดงออก มีตาเป็นเหมือนคนตาบอด มีหูเหมือนเป็นคนหูหนวก มีปากเหมือนเป็นคนใบ้ มีกำลังเหมือนเป็นอ่อนแอและเจ็บป่วยมากน้อยแค่ไหน ยังลุกขึ้นทำประโยชน์ได้

การปฏิบัติธรรมทำได้ทุกสถานที่ที่เหมาะสม และทำได้ทุกอิริยาบถ เมื่อจิตเข้าถึงธรรมแล้ว ย่อมมีพฤติกรรมเป็นดังข้างต้น

อนึ่ง มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ พรหมสมบัติ ล้วนเป็นของกำพร้า คนที่มีจิตเข้าถึงธรรมแล้ว ย่อมมีจิตเป็นอิสระจากสิ่งกำพร้าทั้งปวง

ในกรณีที่เป็นสุภาพสตรี แนะนำให้ไปฝึกกับภิกษุณี นันทญาณี ที่ดอยสะเก็ด เชียงใหม่ หรือไปฝึกที่สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม อำเภอจอมทอง จะปลอดภัยครับ
  

2583.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพ

               หนูได้มีโอกาสไปอ่านเจอข้อความหนึ่งระบุว่าโพชฌังคปริตรนั้นต้องให้ผู้อื่นสวดให้คนป่วยฟัง

ถ้าคนป่วยสวดเองจะไม่มีผลและไม่ควรสวดปริตรนี้บ่อยเกินไป   ส่วนตัวหนูไม่เชื่อในข้อที่ว่าไม่ควรสวดบ่อย

เกินไป   แต่ในส่วนที่ต้องให้ผู้อื่นสวดให้ฟังนั้นไม่แน่ใจค่ะเพราะเมื่ออ่านคำแปลของปริตรนี้ก็พบว่าแม้แต่เวลา

ที่พระพุทธเจ้าประชวรเองท่านก็รับสั่งให้พระจุนทเถระกล่าวโพชฌงค์ถวาย จึงขอความกรุณาอาจารย์ช่วย

ไขข้อข้องใจในปัญหานี้ทีนะคะ

              กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
โพชฌงค์ ๗ เป็นองค์คุณธรรมแห่งการตรัสรู้ การที่พระพุทธโคดม สั่งให้พระจุนทเถระ (น้องชายของพระสารีบุตร) สวดบทมนต์โพชฌงค์ ๗ ให้ฟัง เป็นความจริง เมื่อพระพุทธองค์ได้ฟังบทมนต์ แล้วมีจิตสงบพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง (โยนิโสมนสิการ) จิตจึงเกิดปีติอย่างมาก โรคภัยไข้เจ็บจึงได้หายเป็นปลิดทิ้ง

เหตุที่ให้คนอื่นสวดโพชฌงค์ ๗ ให้ฟัง เพราะผู้สวดมีกำลังของจิตมากกว่าคนเจ็บป่วย ผู้ป่วยเพียงแต่รับฟังอย่างเดียว ย่อมเกิดปีติขึ้นกับจิตของผู้ป่วยได้มาก การเจ็บป่วยจึงหายได้ ดังนั้นการสวดมนต์ยังไม่สำคัญเท่ากับการเกิดปีติของผู้รับฟัง แล้วโยนิโสมนสิการบทมนต์จะดีกว่าครับ
 

2582.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไร

ก่อนอื่นดิฉันขออนุโมทนาบุญหลายๆอย่าง ทั้งการแสดงธรรม เผยแพร่ธรรมะ เป็นต้น ที่ท่านอาจารย์ได้กระทำไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศลนะคะ

ปัญหา: ดิฉันพยายามนั่งสมาธิค่ะ แต่ที่ใจคือมันหนักอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ไม่ได้นั่งก็เป็นนะคะ เมื่อทำบาปก็เก็บมาว่าราได้ทำบาปอีกแล้ว พอนั่งสมาธิ (พยายามบริกรรมพุทโธแต่ยังไม่แน่ใจว่าควรตั้งจิตไว้ที่ไหนค่ะ) มันก็ร้อน หนัก ไปหมด จิตใจไม่เป็นสมาธิ อันนี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุนะคะ คือตอนนี้เป็นเกือบตลอดเวลาเลยค่ะ ตอนทำบุญเราก็อยากให้จิตเป็นเกษม เรารู้ว่าเราไดัทำดีอีกแล้ว แต่จิตมันคับ อึดอัด แห้ง เผา ร้อน เครียด หนัก อย่างนี้อ่ะค่ะ

คำถาม:
1. อยากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่ามีวิธีกำจัดตัวนี้ยังไงคะ หรือว่าเรากังวลระวังการทำบาปมากไปเลยเหมือนเป็นการบีบใจให้คับ ให้อึดอัดอ่ะค่ะ อาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำด้วยนะคะ

2. และให้ช่วยแนะการทำสมาธิแบบขั้นต้นที่ถูกต้องด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณในเมตตาของท่านอาจารย์และอนุโมทนาในบุญนั้นด้วยค่ะ

คำตอบ
การให้ธรรมะเป็นการ เป็นการให้ที่สูงสุด เพราะผู้รับมีโอกาสนำพาชีวิตสู่นิพพานได้

การนั่งสมาธิ (สมถภาวนา) เป็นการพัฒนาจิตให้มีสติ แล้วสมาธิย่อมเกิดขึ้น

การเจริญจิตภาวนา (วิปัสสนาภาวนา) เป็นการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง หรือคือปัญญาที่เห็นถูกตรงตามความเป็นจริง

(๑) วิธีกำจัดความกังวลให้หมดไปจากใจ ต้องพัฒนาใจให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น และกำจัดให้หมดไปชั่วคราว ด้วยการพัฒนาจิตตามแนวของสมถกรรมฐาน เมื่อใดจิตมีความตั้งมั่นแน่วแน่จนเป็นฌานได้แล้ว ความวิตกกังวลจะหมดไปชั่วคราวที่จิตตั้งมั่นเป็นฌาน และหากประสงค์กำจัดความกังวลให้หมดไปอย่างถาวร ต้องพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งทั้งสิบหกตัว

(๒) การทำสมาธิแบบขั้นต้นที่ถูกต้อง ควรปฏิบัติดังนี้

   ก. พัฒนาจิตตามแนวไตรสิกขา (ศีล – สมาธิ – ปัญญา)

   ข. ทำตัวเป็นคนโง่ แล้วทำตามผู้เข้าถึงธรรมชี้แนะจนเกิดผล

   ค. เร่งความเพียรในการพัฒนาจิต

     -ผู้ที่มีความเพียรมาก ปฏิบัติธรรมวันละ ๒๐ ชั่วโมง

     -ผู้ที่มีความเพียรปานกลาง ปฏิบัติธรรมวันละ ๑๐-๒๐ ชั่วโมง

     -ผู้ที่มีความเพียรน้อย ปฏิบัติธรรมวันละ ๕-๖ ชั่วโมง

สรุป ผู้ที่มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมมาก บรรลุผลเร็ว ผู้ที่มีความเพียรน้อย บรรลุผลช้า ดังนั้นจงดูจุดอ่อนของตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกตรง ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้
 

2581.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ลูกควรทำอย่างไร เมื่อแม่ปฏิบัติกับลูกแบบนี้

1. ตอนเด็ก เข้าไปได้ยินแม่พูดกับพี่ว่า "มากินมะม่วง แล้วอย่าไปบอกน้องล่ะ" พอเห็นว่าเราเดินเข้าไปได้ยินก็ไม่ยินดียินร้าย ไม่เข้ามาปลอบหรือแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น

2. ตอนเด็ก ชอบนินทาเรื่องเราให้กับพี่น้องตัวเองฟัง จนวันหนึ่ง น้าสาวพูดอย่างรังเกียจต่อหน้าแม่ว่า"รู้ตัวไว้นะว่าแม่เขารักพี่มากกว่า เขาไม่รักเราหรอก" พอมองหน้าแม่ แม่มีสีหน้าบึ้งตอบกลับมา ไม่สนใจเลยว่าลูกที่ยังเด็กจะเศร้าเพียงใด

3. ตอนเด็ก แสดงกิริยาโกรธเกรี้ยวเราที่มาช่วยซักผ้าช้า และพูดว่า "ปากดีนักนะ บอกจะมาช่วยแล้วมาช้า" โดยที่พี่ชายไม่ต้องทำงานหรือช่วยงานบ้านใดๆ ตื่นสายนอนดึก ขี้เกียจตัวเป็นขน แต่แม่ก็ห่วงและดูแลเป็นพิเศษ

4. ตอนที่เราไม่มีเงิน เพราะมีหนี้สิน แต่ไม่เคยขาดเรื่องให้เงินแม่ทุกเดือน กลับโดนตะคอกว่า " เอาเงินมาสิ หมดแล้ว" ทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งกลางเดือน และพี่ชายไม่ต้องให้เงิน แต่ที่ไม่พอเพราะเอาเงินไปให้น้องตัวเองที่ไม่มีงานทำ เพราะไม่ยอมทำงาน

5. ตอนที่ขายที่ดินที่พ่อยกให้เป็นมรดกได้ แม่ไม่นึกถึงเราเลย กลับบอกว่า " แบ่งเงินให้พี่เขาด้วยล่ะ และก็เอาเงินมาให้ด้วยจะไปไถ่ของ" เราให้หมดเลย ไม่ขอมีส่วนแบ่ง เพราะทำงานแล้วตั้งใจว่า อะไรที่ไม่ใช่ของเรา แม้จะเป็นของพ่อแม่ก็ไม่เอา ทั้งที่ตอนนั้นแทบไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมเรียนโท

6. ขณะกินข้าวอยู่ แม่เดินมาพูดแบบน้ำเสียงไม่พอใจที่เห็นเรากินเยอะว่า" อย่ากินหมด แบ่งให้พี่เขาด้วย " ทั้งๆ ที่แม่ก็รู้ว่า เราไม่ใช่คนกินจุ ตอนนั้น กินข้าวเปล่ากับน้ำตาแทนเลย ตอนนั้นเงินซื้อข้าวยังแทบไม่มี ต้องหางานพิเศษทำเลิกดึก

7. แม่มักคิดถึงแต่น้องของตัวเองก่อน ไม่สนใจความรู้สึกของลูกว่า เสียใจแค่ไหน แต่น้องตัวเองไม่มีเงิน ก็มาเอาจากลูก ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง แม่ลูกจะเสียใจแค่ไหน ไม่เคยรับรู้ มีแต่จะบอกว่า จะเอามาให้เขาได้เมื่อไหร่ล่ะ และไม่เคยได้รับเงินคืนเลยสักบาทเดียว แม่ก็ไม่สนใจด้วยว่าน้องตัวเองจะคืนมั้ย มีแต่บอกว่า ให้เขาไป เขาก็ไม่มี ที่ไม่มีแต่เอาเงินเป็นล้านจากพี่ๆ ไปลงทุนแล้วเจ๊ง และไม่ยอมทำงานอะไรบอกว่าไม่ถนัดไม่ชอบงานนี้ พอไม่มีเงินมาขอแม่ที่เกษียณแล้ว จะเอาจากไหนถ้าไม่ใช่จากลูก

8. แม่เอาเงินที่เราเสียสละไม่เอาส่วนแบ่งจากขายที่ดิน ไปซื้อรถใหม่ให้พี่ที่ขับรถคันเก่าไปชนเสาไฟฟ้า เพราะขับซิ่ง โดยไม่สนใจว่า เราตั้งใจให้แม่ฝากสหกรณ์ไว้กินตอนแก่ แล้วสุดท้ายเมื่อไม่มีเงิน ก็มาไถจากเรา โดยที่พี่ชายไม่ต้องทำอะไรเลย ได้ทั้งเงินส่วนแบ่ง ได้ทั้งรถ 2 คันรวมคันแรกที่ซื้อให้ตอนเรียน ปวช. เพราะอยากมีรถ สุดท้ายลูกชายก็ขับไปซิ่งจนเละ ไม่มีการต่อว่าจากแม่สักคำ แม่ยังคงเห็นว่าพี่ชายทำอะไรไม่เคยผิดเสมอ

9. ตอนเรียน เรามีเงินเก็บ แม่ชอบเข้าไปค้น เพื่อดูว่ามีเท่าไหร่จะได้เอามา และพอมีใครอยากได้เงินเพื่อซื้อของฟุ่มเฟือย ก็จะมาบอกให้มาเอาจากเรา และไม่คืนด้วย

10. ตอนที่แยกบ้านออกมาแล้ว แม่ต้องการห้องน้ำใหม่ พอเรายังไม่ทำให้ ก็โกรธหาว่าแต่งงานแล้วเปลี่ยนไป ทั้งที่ความจริง เรายังไม่มีเงิน แต่กับพี่ชายที่อยู่ด้วยกันไม่ไปบอกให้ทำ เงินก็มีแล้ว กลับมาโกรธใส่เราที่ให้เงินเดือน พาไปหาหมอเอกชน เพราะไม่อยากให้แม่ลำบากไปคอย รพ.รัฐ เสียเงินแพงไม่รู้กี่เท่า ทำไมไม่นึกถึง กลายเป็นว่า เราเป็นคนแรกที่อยากได้อะไรจากเราต้องได้แบบนั้น แม่ไม่เคยไปเอาจากลูกชายจากน้องของตัวเองเลย ไม่เคยทำกิริยาไม่ดีกับคนอื่นยกเว้นเรา

11. พ่อต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา แม่มาบังคับให้เสียเงิน 4 หมื่นบาทเพื่อพาไปเอกชน แต่เราไม่ยอม เพราะใช้สิทธิ 30 บาทได้ เสียไม่เกินสามพัน แม่โกรธมาก หาว่าเงินแค่นี้ให้ไม่ได้ ทั้งที่ความจริง อยากเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะแม่เป็นโรคเรื้อรัง ที่ต้องเสียเงินอีกเยอะ โกรธเรามากถึงขนาดไปบ้านแล้วเดินหนีเข้าห้อง มันมีเหตุผลมั้ย ที่เราพยายามทำดีกับแม่ เพราะโรคที่แม่เป็นมันอยู่ได้ไม่นาน เราพยายามทำทุกวินาทีให้ดีที่สุด แต่ทำไมสิ่งที่ได้ตอบกลับมาเป็นแบบนี้

12. แม่เพิ่งจะทำดีกับเรามาไม่นาน หลังจากที่เราทำดีกับแม่เสมอมา ทำให้เราคิดว่า ทำไมต้องมีเงื่อนไขถึงจะดีกับเราหรือ น้อยใจและเสียใจมาก

ปัจจุบันลูกแต่งงานแยกออกมาแล้ว คอยดูแลแบบห่างๆ ไม่เข้าไปใกล้ชิดเหมือนเก่า เพราะยิ่งใกล้ยิ่งทำให้เจ็บช้ำน้ำใจเรื่อยมา แต่แผลในใจไม่เคยหายไปเลย บางครั้งอยากให้แม่บอกว่า ขอโทษ แต่ก็คิดว่าบาปเปล่าๆ พยายามคิดว่า แม่อาจทำไปด้วยความไม่รู้ตัว แต่ความเสียใจไม่หายไปสักทีค่ะ ยังคงร้องไห้เมื่อคิดถึงขึ้นมา ร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นแม่ของคนอื่นดีกับลูกของตนเอง แล้วมาเปรียบเทียบกันยิ่งทำให้เสียใจ

พยายามคิดว่า สิ่งที่เราเจอมามันคือวิบาก ที่ต้องชดใช้ และคิดว่า หากไม่มีความกดดันเหล่านั้น เราคงไม่ได้ดีและไม่เข้าหาธรรมะอย่างเช่นวันนี้ค่ะ แต่สิ่งที่ผ่านมามันช่างโหดร้ายเหลือเกิน ใครทำร้ายเรามันไม่เจ็บเจียนตายเท่าคนในครอบครัวจริงๆค่ะ

อาจารย์สนอง ช่วยชี้แนะให้ลูกทีค่ะ สิ่งที่ลูกทำมันถูกแล้วใช่มั้ยคะ ที่ไม่เข้าไปใกล้ชิดเหมือนเก่า คอยดูห่างๆ ดีกว่า ยังไงก็ไม่ได้ทอดทิ้งนะคะ

ลูกเข็ดแล้วค่ะ แต่ลูกคิดว่าทำดีให้ถึงที่สุดแล้ว ไม่อยากเจอกันอีกเลยค่ะ ทำอย่างไรดีคะ สิ่งที่ลูกเจอน่าจะเพียงพอได้แล้วในชาตินี้นะคะ ตอนนี้พยายามภาวนาเพื่อหนีจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย และไม่อยากเจอแบบนี้อีกเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) ผู้รู้นิยมให้อภัยในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ เมื่อทำได้แล้ว จิตย่อมมีแต่ความสงบเย็น (เมตตา)

ในครั้งพุทธกาล พระมหากัจจายนะ เป็นผู้มีอารมณ์สงบเย็น ซ้ำยังมีสติสัมปชัญญะ อันเนื่องมาจากโยนิโสมนสิการธรรมที่ได้ยินได้ฟังจากผู้รู้จริงมาบอกกล่าว จนจิตบรรลุอรหัตตผล และมีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นกับดวงจิต ท่านมีหูเหมือนเป็นคนหูหนวก มีตาเหมือนเป็นคนตาบอด มีปากเหมือนเป็นคนใบ้ มีกำลังเหมือนเป็นคนอ่อนแอ

ลักษณะต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นกับพระมหากัจจายนะ จึงทำให้ชีวิตมีแต่ความสวัสดี ด้วยเหตุนี้ ผู้ถามปัญหาไม่พึงเอาคำกล่าวที่ไม่ดีมาเป็นของตน ด้วยการให้อภัยเป็นทานและพัฒนาจิตจนเกิดสติสัมปชัญญะได้เมื่อใดแล้ว โชคดีย่อมเกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา

(๒) จงเอาคำพูดที่ได้ยินจากปากน้าสาว มาทำให้เกิดเป็นบุญกับตัวเอง ตามข้อ (๑) .... สาธุ

(๓) และ (๔) จงเอาคำพูดของแม่มาเป็นครูสอนใจ ว่าเราจะไม่พูดเช่นเขา และเราก็จะไม่มีบาปเหมือนเขา

(๕) เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามกับผู้อื่นหรือสัตว์อื่นได้ ย่อมได้ชื่อว่าเกิดมาไม่สูญเปล่า ผู้รู้จึงนิยมประพฤติ ส่วนผู้ที่ไม่รู้ นิยมทำตนเบียดเบียนและหวงสิ่งของ แสวงหามนุษยสมบัติอันเป็นสมบัติกำพร้า นำติดตัวไปไม่ได้เมื่อตายลง ด้วยเหตุนี้ พึงเลือกเอาตามสติปัญญาของตนเองเถิด

(๖) สาธุ .... เขาสอนให้เรารู้ว่า การหวงสิ่งของและการเบียดเบียน เป็นการสร้างเหตุให้นำพาชีวิตลงไปเกิดเป็นสัตว์นรกเป็นอย่างมาก หรือหากเบียดเบียนไว้น้อย ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นเปรตอสุรกายได้

(๗) และ (๘) จงดูเขาเป็นครูสอนใจ ว่าเราจะไม่ประพฤติเยี่ยงเขา แต่ประพฤติให้อภัยเป็นทานในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ แล้วจิตของเราจะมีความสงบเย็น (เมตตา) .... สาธุ

(๙) จงดูคนที่ชอบไปก้าวล่วงในชีวิตของคนอื่น ว่าเป็นครูที่ไม่ดี พร้อมกับให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ การดูในลักษณะนี้เป็นการเรียนรู้พฤติกรรมของคนที่ตายลงวันใด จะมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ .... จึงต้องขอบคุณเขาที่เป็นครูอยู่ใกล้ตัว ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องเสียเวลา ไปหาครูที่อยู่ห่างไกลยังไงล่ะ

(๑๐) หนี้เวรกรรมบางอย่างให้ผลข้ามชาติ จงก้มหน้าก้มตาชดใช้หนี้กรรมให้หมดไป จะได้ไม่ต้องเกิดมาพบกับสภาวะเช่นนี้อีก

ผู้ฉลาดนิยมนำตัวเองไปปฏิบัติธรรม แล้วขอความเมตตาผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมช่วยอุทิศบุญใหญ่ที่ตนมี ชดใช้หนี้เวรกรรมแทนให้ แล้วหนี้กรรมย่อมจบสิ้นได้เร็ว

(๑๑) การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นอกุศลวิบากของการประพฤติทุศีลที่ทำไว้แต่อดีต คือประพฤติตนเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นมาก่อน ผู้รู้ไม่นิยมประพฤติเช่นนั้น แล้วการเจ็บไข้ได้ป่วยจะไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง

อนึ่ง กรรมเป็นของเฉพาะตน ผู้ที่ทำกรรมไม่ดี (เบียดเบียน) กับผู้อื่นสัตว์อื่น จึงต้องเสวยอกุศลวิบากที่ไม่ดี (เจ็บป่วย) จนกว่าจะหมดหนี้เวรกรรม ผู้รู้จึงนิยมวางเฉยพร้อมกับอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเขา
 

2580.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

กราบขออภัยที่รบกวนอาจารย์ครับ ผมมีปัญหาพ่อกับแม่ทะเลาะกัน (พ่อกับแม่อายุประมาณ 70 ปีแล้ว) ซึ่งปัญหาเริ่มก่อตัวมาหลายปีพอสมควรแล้ว แต่ช่วงหลังชักจะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะทั้งสองท่านสะสมความไม่พอใจซึ่งกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเป็นคนกลางก็พอจะมองออกว่าทั้งสองคนนั้นมีอัตตาแรงพอๆ กัน ทั้งสองคนต่างมีทิฐิที่ไม่ดีต่อกัน ผมก็พอจะมองออกว่าคนไหนมีอะไรที่จะต้องแก้ไขบ้าง แต่ผมก็บอกท่านไม่ได้เพราะกลัวจะเป็นการสอนพ่อแม่ ดังนั้นเมื่อไห ร่ ที่ท่านทะเลาะกันจนไม่มองหน้ากันหลายวัน (บางครั้งพ่อก็หนีไปอยู่บ้านย่าหลายวันจึงจะกลับมา) ผมก็ได้แต่ขอร้องให้หยุดทะเลาะกัน จากปัญหานี้ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า การที่ผมทำอยู่ปัจจุบันนั้นถูกต้องหรือไม่ครับ และผมสามารถทำอะรได้มากกว่านี้หรือเปล่าครับ เพื่อให้ทั้ง 2 ท่านดีต่อกันแบบยั่งยืน

ขอขอบพระคุณอาจารย์ครับ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
ผู้เป็นลูกไม่มีสิทธิ์จะไปว่ากล่าวตักเตือนพ่อแม่ หากมีความเห็นผิดไปดุด่าว่ากล่าวผู้มีอุปการคุณแก่ตน ถือว่าเป็นผู้มีความอกตัญญู ที่ส่งผลถึงความวิบัติของชีวิตของผู้เป็นลูก ผู้รู้จริงวางเฉยและดูท่านทั้งสองเป็นครูสอนใจ ว่าตนจะไม่ประพฤติเช่นนั้น พ่อแม่ได้พัฒนาสมอง (ปัญญาทางโลก) พร้อมกับมี ego หรืออัตตาเกิดตามมา ปัญญาทางโลกเห็นเพียงความจริงชั่วคราว (สภาวสัจจะ) เมื่อกาลเวลาผ่านเนิ่นนานไป ความจริง (เหตุผล) ที่เคยเป็นจะไม่เป็นจริงอีกต่อไป แต่มนุษย์ยังมีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตตนเองให้เข้าถึงความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ความจริงแท้เช่นนี้จะคงเป็นความจริงตลอดไป และไม่เนื่องด้วยกาลเวลา

ส่วนความเห็นแก่ตัว ( ego ) จะเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติจากการพัฒนาสมอง หรือการพัฒนาปัญญาทางโลก ทางโลกนิยมประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้องอยู่ตลอดชีวิต แล้ว ego หรือความเห็นแก่ตัว จะถูกกลบฝังไม่ให้แสดงออก ตรงกันข้าม ผู้ที่ปรารถนาจะเข้าถึงปัญญาสูงสุดที่เป็นปัญญาเห็นแจ้ง ต้องพัฒนาจิตตนเองด้วยวิปัสสนา แล้ว ego หรือความเห็นแก่ตัว จะถูกกำจัดให้หมดไปจากใจได้อย่างถาวร

ผู้ที่พัฒนาจิตจนเข้าถึงความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ได้แล้ว ย่อมเข้าถึงต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหา เมื่อใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับต้นเหตุของปัญหา การทะเลาเบาะแว้งจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้ หากผู้เป็นลูกประสงค์ให้พ่อแม่หยุดการทะเลาะเบาะแว้ง ลูกต้องนำพ่อแม่ไปเปลี่ยนความเห็นผิดให้กลับมาเป็นความเห็นถูก ในทางโลกต้องให้พ่อแม่ประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้องตลอดชีวิต แต่ดีที่สุด ลูกต้องพาพ่อแม่ได้มีโอกาสเข้าหาและสนทนาอยู่กับผู้มีความเห็นถูกอยู่เสมอ แล้วความคิดที่ผิด รวมถึงความเห็นแก่ตัว จึงจะหมดไปได้

สรุป
๑. จงดูท่านเป็นครูสอนใจตนเองว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่มีพฤติกรรมไม่ดีเหมือนเขา

๒. จงนำท่านเข้าหา พูดคุย สนทนาอยู่กับสมณะผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมอยู่เสมอ แล้วปัญหาที่บอกเล่าไปจึงจะหมดไปได้
 

2579.
รบกวนท่านอ.สนอง ครับ ผมรักษาคนไข้แล้วเกิดผลแทรกซ้อนตามมา หดหู่ใจ มีหลักธรรมแนะนำผม

ผมทำงานด้านผิวหนัง เลเซอร์ผู้ที่มีปัญหาฝ้าบนใบหน้า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาแทรกซ้อนอะไรกับคนไข้ เนื่องจากผมทำตามแนวทางการรักษาตลอด แต่ก็เกิดความผิดพลาดขึ้นมาจนได้ เมื่อเครื่องเลเซอร์ส่งพลังงานแรงกว่าค่าพลังงานที่เราตั้ง ซึ่งผมจะยึดค่าพลังงานเป็นหลัก เชื่อถือในตัวเครื่องมือ ไม่คิดว่าเครื่องมือมันจะส่งพลังงานเกินค่าที่ตั้ง เวลาผมทำเลเซอร์ ผมจะถามคนไข้ว่าร้อนมั้ยทุกคน แต่ คนไข้ก็บอกพอทนได้ ซึ่งพลังงานที่ตั้งค่านี้ก็ต่ำมากไม่เคยมีปัญหา เลยไม่ได้ถามย้ำคนไข้จนผมทำเลเซอร์ทั่วหน้า ผลสุดท้าย วันนั้นมีคนไข้หน้าไหม้กลับมาหาผม 3 คน ซึ่งไหม้ระดับไม่รุนแรง แต่ผลคือจะเกิดสะเก็ดรอยดำ และหลุดไป หลังหลุดจะเกิดรอยด่างขาว แล้วตามด้วยรอยดำ

ซึ่งถ้าคนไข้โดนแดดจะเสี่ยงที่รอยดำจะจางยากอยู่หลายปี แต่ถ้าไม่โดนแดด รอยดำจะจางไปเองภายในครึ่งปี ตรงจุดนี้ทำให้ผมกังวลมากๆ กลัวคนไข้ดูแลหน้าไม่ดี จนเกิดรอยดำนาน ผมรู้สึกหดหู่ สงสาร อยากร้องไห้ รู้สึกผิดตลอดเวลา รู้สึกกังวลแทนคนไข้ตลอดเวลา กลัวจะดูแลหน้าไม่ดี จนผมไม่มีอารมณ์ในการทำงาน ผมขอความกรุณา ท่าน อ.สนอง แนะนำธรรมะ วิธีคิด และวิธีทำใจต่อจากนี้ จักขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
เครื่องมือทุกชนิดที่ใช้ความรู้ทางโลก (ทางวิทยาศาสตร์) มาประดิษฐ์คิดค้นให้เกิดขึ้น ย่อมมีการแปรเปลี่ยนไปจากความจริงตลอดเวลา เพียงแต่ว่าความจริง (เหตุผล) ที่แปรเปลี่ยนไปนั้น จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับความรู้และคุณภาพของวัสดุที่นำมาใช้สร้างเครื่องมือนั้น เครื่องมือเลเซอร์ที่แพทย์นำมาใช้กับคนไข้ ก็เป็นไปในลักษณะนี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป (ผิดไปจากเป้าหมายเดิม)

ผู้ที่เข้าถึงความรู้ที่เป็นจริงเช่นนี้ ย่อมรู้และยอมรับอายุขัยการใช้งานของเครื่องมือ คือรู้ว่า ไม่มีเครื่องมือใดในทางโลก สามารถใช้งานให้คงมาตรฐานเดิมได้ตลอดไป

ผู้ที่เข้าถึงความจริงในความรู้ทางโลก ต้องยอมรับผลของการกระทำ (อกุศลวิบาก) แล้วกลับตัวเสียใหม่ หันไปพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ได้แล้ว ปัญหาความผิดพลาดจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
 

2578.
กราบเรียนท่าน ดร. สนอง วรอุไร

      แต่ก่อนหนูก็เคยไปฟังธรรมที่ชมรมกัลยณธรรมจัดค่ะ แต่ตอนนี้หนูไม่ได้ไปแล้วนานแล้วค่ะ

ตอนนี้หนูมีข้อสงสัย และมีความทุกข์ใจอย่างมากว่าหนูจะเลือกทางไหนดีเรื่องของหนูมีอยู่ว่า มีคนมาแนะให้หนูสวดมนต์ที่เป็นของนิกายมหายานค่ะ ที่มี อยู่ 6 คำ สวดซ้ำๆ ที่ต้องไปสมาคมด้วยอ่ะค่ะ แล้วหนูก็สวดได้ประมาณ 1 เดือนครึ่งแล้ว

หนูรู้สึกคิดถึงตอนที่หนูเคยได้ทำบุญ ไหว้พระ หนูก็อยากจะหยุดสวด แต่ถ้าหากหนูหยุดสวดก็กลัวว่า ชีวิตหนูจะดิ่งลง หนูควรจะทำอย่างไรดีคะบางครั้งมันทำให้หนูอยากกลับมาสวดมนต์ไทยเหมือนเดิม แล้วหนูก็กลัวเสียสัจจะคำอธิฐานไป หนูกลัวบาป หนูไม่รู้จะเลือกทำอย่างไรดีคะ ช่วยชี้ทางสว่างให้หนูด้วยค่ะ

ขอท่านอาจารย์ช่วยชี้นำหนูให้ถูกทางด้วยนะคะ หนูยังรู้สึกสับสนในตัวเองมากเลยค่ะ ถ้าหนูเป็นคนเลวในสายตาคนอื่นหนูจะยังไหว้พระทำบุญได้ไหมคะ ที่หนูเปลี่ยนมาสวดมนต์อันนี้เพราะหนูกลัวคนอื่นมาแย่งแฟนหนูค่ะ เพราะหนูรักแฟนหนูมาก ชะตาชีวิตหนูเหมือนต้องเสียบางอย่างเพื่อให้ได้มาค่ะ หรือว่าหนูคิดมากไปเองก็ไม่รู้ตอนนี้หนูจะกลับมาทำบุญหินยานเหมือนเดิมได้ไหมคะ หนูต้องทำขอขมาหรือทำอย่างไรบ้างคะ แล้วหนูต้องทำยังไงบ้างคะเหมือนหนูตายจากเดิมไปแล้ว ก่อนหน้านี้หนูก็เคยไปไหว้ศาลหลักเมืองที่กรุงเทพ ตั้ง 4 ครั้ง ภายใน 1 เดือน เพราะหนูไม่สบายใจหนูก็ไปไหว้พระอีก แล้วอยู่ ๆ หนูก็มาสวดมนต์อันนี้ แล้วหนูควรจะทำอย่างไรดีคะ เหมือนกรรมมันกำลังตามหนูอยู่หนู ก็เลยสวดมนต์อันนี้เหมือนหนูตายจากอันเดิมไปแล้ว หนูอยากได้ดีมีควมสุขกับเขาบ้าง เหมือนหนูไม่มีดีเลยหนูต้องทำอย่างไรบ้างคะ เหมือนหนูมาไกลแล้วเขาบอกว่าอย่าหยุดสวด หนูรู้สึกกลัวจังเลยค่ะกรุณาให้คำตอบ

ถ้าหากหนูเขียนไม่ถูกต้องหรือผิกยังไงอโหสิกรรมให้หนูด้วยนะคะ

ขอขอบคุณความเมตตาที่อาจารย์ให้คำตอบหนูด้วยนะคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
ก่อนอื่นต้องรู้ว่า พุทธศาสนาที่ถูกเผยแพร่ไปทางประเทศธิเบต จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นความรู้สายมหายาน เป็นการพัฒนาตนให้เป็นผู้สอนธรรม ให้รู้การประพฤติพิธีกรรม เช่น สวดมนต์ อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่องบ่นมนตรา ให้เกิดเป็นมงคลขึ้นกับชีวิต ตลอดจนพัฒนาชีวิตให้เข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งสามารถเรียกการมีพฤติกรรมเช่นนี้ว่า พระโพธิสัตว์

ส่วนความรู้ในพุทธศาสนาที่ถูกเผยแพร่ไปสู่ประเทศลังกา พม่า ไทย ฯลฯ เป็นสายหินยานหรือเถรวาท ในสายนี้พุทธศาสนิกสามารถเข้าถึงความรู้ในพระพุทธศาสนา (พระไตรปิฎก) ได้สองแนวทาง คือ แนวทางที่เรียกว่า คันถธุระ หรือปริยัติ เป็นการพัฒนาสมองให้เกิดปัญญารู้จำ (สัญญา) โดยมีเปรียญธรรม ๓-๙ เป็นเครื่องรองรับปัญญาสัญญาที่พัฒนาได้ แม้จะพัฒนาสมองจนมีความรู้ได้มากเพียงใด ก็ไม่สามารถสัมผัสกับสิ่งอันเป็นทิพย์ได้ ไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่พระนิพพานได้ เว้นไว้แต่ว่า พุทธศาสนิกจะพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาสูงสุดโลกิยญาณและโลกุตรญาณได้แล้ว จิตจะสามารถสัมผัสกับสิ่งอันเป็นทิพย์ และสามารถนำพาชีวิตไปสู่การพ้นทุกข์ (นิพพาน) ได้ สรุปได้ว่า สายเถรวาทสามารถรู้และมีความรู้ในพระไตรปิฎก

บุคคลมีชีวิตเป็นเอกสิทธิ์ของตัวเอง จึงสามารถเลือกการดำเนินชีวิตได้ด้วยตัวเอง เมื่อรู้ว่าดำเนินชีวิตผิดพลาดไปแล้ว สามารถแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง ด้วยการสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วยกเลิกอธิษฐานเดิม ทั้งอธิษฐานใหม่ การประพฤติเช่นนี้มิได้ถือว่าเป็นการเสียสัจจะ

อนึ่ง การสวดมนต์มีเป้าหมายอู่ที่การพัฒนาจิตให้มีสติ และหากโยนิโสมนสิการ จนจิตเข้าถึงธรรมในบทมนต์ได้แล้ว โอกาสที่จิตจะพัฒนาไปสู่ความเป็นอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ การสวดมนต์มิได้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ป้องกันมิให้คนอื่นมาแย่งแฟน ผู้รู้จริงทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู) ตรัสว่า “มนุษย์มีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ” ดังนั้นบุคคลจะทำตัวให้สูญเสียอิสรภาพก็เลือกเอาตามที่ชอบเถิด

สุดท้าย พระผู้ทรงความเป็นสัพพัญญูยังตรัสว่า คนอื่นจะพูดอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่เขาพูด แต่ความเป็นจริงแท้แล้ว อยู่ที่การกระทำของเรา ด้วยเหตุนี้ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมาณพ จึงได้พัฒนาตนเองให้มีจิตเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุทั้งปวง อุปติสสะ (พระสารีบุตร) ในสมัยที่เป็นพราหมณ์หนุ่ม จึงได้มีจิตปริวรรตจากปุถุชน ไปเป็นอริยบุคคลโสดาบัน เมื่อได้ฟังพระอัสสชิกล่าวว่า “พระศาสดาทรงสอนว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้น ล้วนเกิดจากเหตุ และตรัสถึงความดับแห่งเหตุนั้นไว้ด้วย” พระศาสดามีปกติตรัสดังนี้

.... จริงไหมครับ
 

2577.
เรียนท่านอาจารย์ดร.สนอง(และทีมงาน)

ก่อนอื่นดิฉันต้องขออมาต่อทุกท่าน หากได้เคยล่วงเกินกันมานะคะ  

พ่อแม่ของดิฉันต้องการให้ดิฉันอยู่กับเขาตลอดเวลา ดิฉันก็มีพี่น้อง(เป็นผู้ชายอีก 3 คน และมีน้องสะใภ้อีกสองคนคะ) ดิฉันตระหนักได้ว่าพี่น้องของฉันจำเป็นต้องมาดูแลพ่อแม่บ้างแล้วเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ(กตเวที) เพราะพ่อแม่แก่ลงทุกทีทุกที บางครั้งดิฉันเองก็มีธุระและไม่ได้ดูแลพ่อแม่ในบางเวลา ซึ่งพี่น้องของฉันก็จะเข้ามาดูแลแทน ดิฉันคิดไปเองว่าดิฉันมีเหตุอันสมควรที่จะไปทำธุระบ้าง เพราะตลอดเวลาดิฉันก็ทำตัวเป็นลูกที่ดีและดูแลพ่อแม่ เวลาที่พี่น้องคนอื่นๆไม่อยู่ พี่น้องและสะใภ้ก็ดูมีความสุขที่ได้ดูแลพ่อแม่เหมือนกันคะ

1. ท่านอาจารย์คะ ดิฉันควรบริหารจัดการในการแบ่งเวลา(อย่างชาญฉลาด)ให้กับพ่อแม่และตัวเองอย่างไรดีคะ ?

 2. การไม่ได้ดูแลพ่อแม่ในบางเวลา ถือว่าอกตัญญูหรือไม่คะ ?   แต่ถ้าดิฉัน จะไม่ดูแลพ่อแม่ไปเลย จะถือว่าอกตัญญูหรือไม่คะ ?

3. เวลาที่ดิฉันไม่ได้อยู่กับครอบครัว ดิฉันก็แผ่เมตตาให้เขา อย่างนี้ทดทนการดูแลที่บ้านได้มั้ยคะ ?

  ในบางครั้งที่สมาชิกในครอบครัวฉันกำลังเศร้ากับปัญหา แต่ดิฉันไม่ได้รู้สึกรู้ร้อนตามไปด้วยคะ ดิฉันสัมผัสได้ถึงความทุกข์ที่เขามีแต่ดิฉันไม่ได้ทุกข์ไปด้วย ดิฉันทำได้แค่แผ่เมตตาไปให้เพื่อให้บรรเทาทุกข์เขาไปบ้าง แต่มันทำให้ดิฉันรู้สึกแย่คะ เพราะดิฉันรู้สึกว่าดิฉันเห็นแก่ตัว คนในครอบครัวมีความทุกข์ขนาดนั้นแต่ตัวดิฉันยังปกติ พวกเขาสงสัยว่าทำไมฉันถึงยังกิน ยังหัวเราะได้ อยู่ปกติ

4. หลังจากที่ดิฉันได้เจริญสติ หรือทำกุศลกรรม ดิฉันแผ่เมตตาให้กับพี่น้องของฉัน เขาเป็นะเร็งคะ และพ่อแม่ของดิฉันก็เศร้าเอามาก ดิฉันอธิษฐานให้พวกเขาเปิดใจและให้เข้าถึงปัญญา ดิฉันตั้งจิตอธิษฐานให้พวกเขามีจิตเป็นกุศล และแข็งแรง แต่ดิฉันก็เห็นได้ว่าพวกเขาดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีที่จะบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาคะ

คำตอบ
(๑)  มนุษย์เกิดมามีงานต้องทำอยู่สองอย่างคือ
   ก.   งานภายนอก ได้แก่งานที่ทำให้กับสังคมส่วนรวม ครอบครัว เป็นสังคมที่ใกล้ตัว ที่ผู้รู้ไม่เว้นประพฤติ ความเป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เป็นยอดของคุณธรรม ดังตัวอย่างพระพุทธโคดม พระสารีบุตร หมอชีวกโกมารกัจจ์ ฯลฯ ล้วนต่างเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ความดีงามของชีวิตจึงได้เกิดขึ้น

  ข.  งานภายใน ได้แก่งานที่ทำให้กับตัวเอง เพื่อนำปัจจัยคือบุญไปเกิดใหม่ในปรโลภที่เป็นสุคติภพ ผู้รู้จึงนิยมประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ตลอดชีวิต

(๒)  ผู้รู้นิยมประพฤติกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ให้ได้มากที่สุด ตรงกันข้าม ผู้ไม่รู้นิยมให้ผู้อื่นดูแลพ่อแม่แทนตน แล้วความเสื่อมของชีวิตย่อมเกิดตามมา

(๓)  ขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วลูกแผ่เมตตาให้เพียงอย่างเดียวยังไม่ถือว่าเป็นความกตัญญูกตเวทีที่เป็นรูปธรรม

(๔)  โรคมะเร็งเกิดจากเหตุประพฤติเบียดเบียนสัตว์ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จึงนิยมประพฤติศีล ๕ ให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่น

พ่อแม่เศร้าใจที่เห็นลูกเป็นมะเร็งก็เป็นเรื่องของพ่อแม่ จงดูพ่อแม่เป็นตัวอย่าง แล้วอย่าประพฤติเช่นท่าน

การช่วยเหลือผู้เป็นมะเร็งแล้วอาจช่วยไม่ได้ แต่ผู้มีความรู้ทางโลกช่วยบรรเทาอาการได้ ดังนั้นญาติจึงนิยมส่งต่อให้หมอเป็นผู้ดูแลคนไข้แทนตน

การช่วยเหลือที่ดีที่สุดต้องสอนญาติให้ระวังรักษาตนมิให้เป็นมะเร็งด้วยการประพฤติศีล ๕ ตลอดชีวิต

 

2576.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ  

ตัวลูกได้มีโอกาสย้ายสายงานไปทำในแผนกที่สนใจ ทำให้ต้องไปที่ทำงานใหม่ ตอนไปก็เตรียมใจไว้แล้วค่ะว่า ทุกที่ล้วนมีทั้งคนดีและคนไม่ดี เราเน้นทำงานให้ดีที่สุด พัฒนาตัวเองดีกว่า แต่พออยู่ไปซักพัก ใจที่เตรียมตั้งรับไว้ก็รู้สึกหดหู่ค่ะ เพราะได้เจอคนที่ทำตัวเป็นเจ้าถิ่น คอยบังคับคนนู้น คนนี้ ไม่ให้ช่วยเหลือเรา และแสดงให้เห็นต่อหน้าเลยว่าเขาไม่ให้ใครช่วยเรา มันทำให้รู้สึกอึดอัดมากค่ะ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เคยมีความประสงค์ร้ายอะไรกับเขาเลย รู้สึกโดดเดี่ยวมาก และก็หดหู่ใจด้วยค่ะ (ที่ทำงานเก่าลูกก็เจอคนที่ทำตัวเป็นเจ้าถิ่นเช่นนี้เหมือนกัน)
อยากเรียนถามอาจารย์ว่า

1. ลูกควรมีแนวคิดอย่างไร เพื่อช่วยให้ลูกมีสติสามารถตั้งรับเหตุการณ์เช่นนี้ได้   ไม่ให้ใจหดหู่และเศร้าหมองยามเมื่อสิ่งเหล่านี้มากระทบใจ

2. ลูกควรปฏิบัติตนอย่างไรกับคนที่เป็นเจ้าถิ่นคนนี้ดีคะ  

3. ผู้หญิงเมื่อเจอใครที่มีฐานะดีกว่า หรือมีชาติตระกูล หรือมีหน้าตาดีกว่า ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบและจับกลุ่มต่อต้าน ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายหรือเป็นศัตรู แต่ผู้หญิงเหล่านี้ก็ไม่ชอบ   เหตุการณ์แบบนี้เมื่อเจอกับตัวเอง ควรจะวางตัวอย่างไรดีคะ ถ้าเรายอมเขาตลอด เขาก็เหยียบย่ำเรา แต่ถ้าเราแข็งก็จะเป็นการทำให้เกิดความแตกแยก ลูกไม่รู้ว่าควรวางตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ดีค่ะ

3. ลูกจะมีวิธีไหน ให้ตัวเอง ได้ทำงาน ห่างไกลจากคนจิตใจไม่ดี และรายล้อมกับบุคคลผู้มีคุณธรรม และ เป็นกัลยาณมิตรกับลูกคะ

4. คนสอนงานลูก มีอายุและตำแหน่งไล่เลี่ยกับลูก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สอนอย่างเต็มที่ ลูกถามหาความรู้แต่ละครั้งก็อึดอัด จึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี หากจะไปถามความเข้าใจงานกับหัวหน้าโดยตรง ก็กลัวจะโดนมองว่าประจบสอพลอ แต่หากเราไม่รีบเรียนรู้งาน เมื่อหัวหน้าเรียกถามเรียกใช้
จะไม่สามารถทำงานให้กับหัวหน้าได้ เหตุการณ์เช่นนี้ลูกควรทำเช่นไรดีคะ

5. ลูกพบเจอหัวหน้าผู้ชายบางคน พูดจาละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว อย่างไม่มีมารยาท คนเช่นนี้ หากไม่ตอบ ตัวเราจะถูกมองว่าไม่เคารพผู้ใหญ่ พยายามเลี่ยงไม่พบเจอ แต่ก็หนีไม่พ้นในบางครั้ง บุคคลเช่นนี้ลูกควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับเขาดีคะ

6. ที่ทำงานใหม่ ลูกควรไหว้พระ , เจ้าที่เจ้าทาง , สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรคะ เพื่อช่วยให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครองลูกให้ห่างไกลคนไม่ดีเหล่านี้

7. ลูกมีความประสงค์อยากสอบชิงทุนไปต่างประเทศ เพื่อนำความรู้มาพัฒนางานในสายตัวเอง หากแต่ก็กลัวว่าจะสอบไม่สำเร็จ เนื่องจากต้องแข่งขันกับคนจำนวนมาก อีกทั้งแผนกที่ลูกอยู่ก็ไม่นิยมให้ไปเรียนเมืองนอกหากไม่มีเส้นสายที่ใหญ่จริง ลูกควรใช้หลักธรรมใดในการปฏิบัติเพื่อพาลูกไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งหวังไว้ดีคะอาจารย์

สุดท้ายนี้ กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงสำหรับความเมตตาตอบคำตอบของลูกค่ะ  
ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ช่วยชี้ทางสว่างให้กับลูกศิษย์ไปนานๆนะคะ
ทุกครั้งที่ลูกหลงทาง ลูกจะยึดแนวทางการทำงานของอาจารย์ที่อุทิศทั้งงานทางโลกและทางธรรมมาเป็นกำลังใจ
ให้เราตั้งใจทำงานทางโลกให้ดีที่สุด โดยไม่หวังตำแหน่งใดๆให้ใจหลง และละเลยการมุ่งเน้นทำงานอย่างแท้จริง

กราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งค่ะ

คำตอบ
การดูคน ให้ดูที่พฤติกรรม (คิด พูด ทำ) คนดีต้องมีพฤติกรรมดี ไม่ผิดกฎหมาย หรือไม่ผิดศีล หรือไม่ผิดธรรม หากเป็นไปในทางตรงกันข้ามเรียกว่า คนไม่ดี

มนุษย์มีงานสองชนิดให้ทำคือ งานภายนอกที่ทำให้กับสังคม ส่วนงานภายในต้องทำให้ให้กับตัวเอง หากประสงค์ไปเกิดดีในสุคติภพ ต้องสั่งสมบุญเพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางสู่สุคติปรภพ

(๑)  มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ ก่อนนอนสวดมนต์ หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ แล้วปัญญาเห็นถูกตามธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้ ผู้มีสติสัมปชัญญะ ดูคนอื่นเป็นครูสอนใจ หากเขามีพฤติกรรมดี จงทำอย่างเขา แล้วเราก็จะดีเหมือนเขา หากเขามีพฤติกรรมไม่ดี จะไม่ทำอย่างเขา แล้วจิตของเราจะสั่งสมบุญอยู่ทุกขณะตื่น

(๒)  ประพฤติอ่อนน้อมต่อคนดีนั้นดีที่สุด หากพบกับคนไม่ดี จงคิด พูด ทำ เท่าที่จำเป็น แล้วทำตัวให้อยู่ห่างไกลนั้นดีที่สุด

(๓)  คนดีย่อมประพฤติอ่อนน้อม คนดีนิยมให้สิ่งดีเป็นทานอยู่เสมอและไม่หวังผลตอบแทน คนดีมีศีลห้าคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น คนไม่ทำการงาน (ชอบคุย) คนที่ประพฤติต่อต้านสังคมเป็นคนไม่ดี ฉะนั้น พึงเสวนากับคนดีเท่านั้น หากเราประสงค์จะเป็นคนดี

(๔)  ในข้อ (๓) บอกวิธีดูคนดีและคนไม่ดีให้แล้ว เราจะเป็นคนแบบไหน พึงเลือกคบหาสมาคมด้วยตัวเองครับ

(๕)  คำว่า “ประสบสอพลอ” หมายถึง การประจบประแจงผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีฐานะสูงกว่า ด้วยการให้ร้ายป้ายสีผู้อื่นเพื่อเอาประโยชน์ตน หากผู้ถามปัญหามีเจตนาเพื่อเรียนรู้เพียงอย่างเดียว จึงมิได้ถือว่าเป็นการประจบสอพลอ หมายเหตุ สิ่งที่อยู่รอบข้างสามารถเป็นครูสอนใจได้ทั้งนั้น

(๖)  ควรคบค้าสมาคมเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การทำงานสำเร็จลุล่วง

(๗  หากผู้ถามปัญหาใช้เหตุผลถูกตรงตามธรรม สิ่งไม่ดีทั้งหลายจะไม่แผ้วพาน ส่วนการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งที่ประสาทไม่สามารถสัมผัสได้ เป็นเรื่องของปัญหาที่บุคคลสามารถสัมผัสได้ จึงไม่เกี่ยวกับคนอื่น

(๘)  ความกลัว เกิดจากความไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว ดร.โกลแมน วิจัยไว้ในต่างประเทศว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ใช้ปัญญาไอคิวร้อยละ ๒๐ แต่ใช้คุณธรรม ( EQ ) ถึงร้อยละ ๘๐ ดังนั้นจึงต้องพัฒนาตัวเองให้ถูกตรง อนึ่ง ชาวพุทธที่นิยมบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตภาวนา ย่อมทำให้ตัวเองเกิดดวงดี (ชะตาดี) ความสมปรารถนาในที่ที่มุ่งหวัง ย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีดวงดี
  

2575.
มีข้อสงสัยอยากจะถามค่ะ

คือเป็นคนชอบนั่งสมาธิอยู่เเล้ว เลยนั่งมาตลอด แต่พออ่านหนังสือธรรมเล่มหนึ่งเเล้วเขาบอกว่าถ้าเรานั่งไปเรื่อยๆพัฒนาจิตจนละเอียด จะสามารถเห็นวิญญาณได้ คือเลยทำให้กลัวมากจนไม่กล้าทำสมาธิอีก เพราะปกติเป็นคนกลัวผีมากถึงมากที่สุด ทำไงดีคะ ? คือมีวิธีที่เวลาปฏิบัติธรรมไปเเล้วไม่ต้องเห็นมีไหมคะ ? ไม่ต้องการมีญาณพิเศษอะไรทั้งนั้นค่ะ ขอให้แค่ได้นั่งสมาธิเท่านั้นล่ะค่ะ  
รำคาญตัวเองเหมือนกันค่ะว่ากลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว แต่มันก็กลัวอยู่ดีอ่ะ พยายามทำใจไม่ให้กลัวแล้วแต่ก็กลัวอยู่ดีค่ะ ทำไงดีคะ ?

คำตอบ
กลัวผีเป็นด้วยเหตุไม่รู้จริงเรื่องผี ผู้ตอบปัญหาเคยกลัวผี มาตั้งแต่วัยเด็กที่จำความได้ แม้กระทั่งบวชเป็นพระภิกษุก็ยังไม่เลิกกลัวผี จนวันหนึ่งได้เข้าไปปฏิบัติธรรม (พองหนอ-ยุบหนอ) อยู่ในวิหารร้างของวัดมหาธาตุฯ ลำพังเพียงรูปเดียว ในห้วงเวลาประมาณตีสองถึงตีสาม ได้ถูกผีบีบคอจนแทบจะหายใจไม่ออก จึงได้พูดออกไปว่า "ขอยอมตาย แต่ให้ได้ปัญญาเห็นแจ้งก็แล้วกัน" ผียอมแพ้จึงเลิกบีบคอ นับตั้งแต่คืนวันนั้นจนกระทั่งบัดนี้ ไม่กลัวผีอีกเลย ซ้ำยังชอบคบผีเป็นเพื่อนอีกด้วย เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ตอบปัญหาเข้าถึงความจริงเรื่องผีจึงไม่กลัวผีอีกต่อไป

ผู้ใดปรารถนาไม่กลัวผี ไม่กลัวอมนุษย์ ไม่กลัวสิ่งลวงตาลวงใจใดๆ ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความรู้จริงแท้ในสิ่งที่กลัวจะไม่เกิดขึ้น
 
2574.
เรียนท่านอาจารย์ดร.สนอง

ดิฉันได้รู้จักท่านจากเพื่อนรักของดิฉัน เพื่อนของดิฉันช่วยแนะนำฉันเกี่ยวกับเรื่องปัญหาชีวิตแต่งงานของดิฉันคะ ดิฉันได้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษของท่านแล้ว และมีกำลังใจที่ศึกษาธรรมะเพื่อการมีชีวิตอย่างมีสติคะ

1. เมื่อไม่นานมานี้ดิฉันพึ่งรู้ว่าสามีของดิฉันแอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงอื่นมาถึงห้าปีแล้วคะ ผู้หญิงคนนี้ทำงานเป็นลูกน้องของสามีฉันคะ เธอช่วยเหลืองานของสามีดิฉันเยอะเลยคะ อย่างไรก็ดีดิฉันก็ได้เตือนสามีฉันหลายครั้ง เพราะดิฉันรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้ชอบสามีของดิฉันคะ (ซึ่งดิฉันรู้สึกได้เมื่อ 12 ปีที่แล้ว) ดิฉันจับพิรุธได้ครั้งหนึ่งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนเขาบอกว่าเขากำลังทำงานอยู่ แต่จริงๆแล้วอยู่บนรถกับผู้หญิงคนนั้นคะ ดิฉันก็ยังเชื่อเขาอยู่และให้อภัยในครั้งนั้น 4 เดือนที่แล้วดิฉันพบว่าเขาแอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันคะ เพราะฉันไปเจอข้อความในมือถือของเขาคะ มันเป็นข้อความแบบที่คู่รักส่งถึงกัน ดิฉันเสียใจและโกรธมากคะ

ดิฉันคิดที่จะจบความสัมพันธ์ไปเลย จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากับผู้ชายคนนี้ แต่ว่าเรามีลูกด้วยกันสองคนคะ และนี่เป็นสิ่งทีทำให้ฉันยังคงอยู่กับเขา แต่ว่าดิฉันไม่สามารถให้อภัยเขาได้เลย(เพราะดืฉันเคยบอกเขาแล้วว่าอย่าติดต่อกับผู้หญิงคนนี้) ดิฉันคิดว่าเราแต่งงานกันอย่างมีความสุขถึง 16 ปี.. ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ ?

2. ตั้งแต่เด็กๆ เวลาที่ฉันรวบรวมสมาธิ  ดิฉันมักจะมีความรู้สึกถึงความเป็นตัวตนของฉันในโลกนี้ โลกนี้เป็นของจริงคะ นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึก แต่จะรู้สึกได้เพียงแค่ไม่เกินนาทีคะ ดิฉันกลัวและรู้สึกไม่สบายใจเวลาที่ฉันรู้สึกถึงตัวตนของดิฉันในร่างกายนี้ นี่คือความรู้สึกอะไรคะ ? ดิฉันควรจะทำสมาธิและฝึกจิตอย่างไรดีคะ ?

ขอบคุณมากคะ

คำตอบ
(๑) บุคคลผู้พัฒนาจิตจนเข้าถึงความรู้สูงสุดระดับโลกิยญาณ ย่อมรู้ เห็น เข้าใจว่า รูปนาม (สัตว์) ที่เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในภพต่างๆของวัฏสงสาร หากสภาวธรรมในดวงจิตเป็นปุถุชน คือมีกิเลสกามสั่งสมอยู่ในดวงจิต ยังสามารถมีคู่ครองได้หลายคน ยกเว้นจิตที่เป็นพระอนาคามีขึ้นไป ย่อมมีจิตเป็นอิสระจากกาม จึงปฏิเสธการมีครอบครัวอย่างเด็ดขาด

ดังนั้น เรื่องที่บอกเล่าไป จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ที่ยังมีจิตเป็นทาสของกาม (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย) ผู้รู้จริงแก้ปัญหานี้ด้วยการพัฒนาจิตตนเองให้มีความสงบและเย็น (เมตตา) ด้วยการให้อภัยเป็นทานแก่สามีที่เป็นเหตุทำให้ขัดใจ และดูแลรักษาครอบครัวให้คงอยู่ด้วยการประพฤติจริยธรรมการเป็นแม่ที่ดีของลูก และจะดีที่สุด หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตตนเองให้สามารถปิดอบายภูมิได้ แล้วการเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ จะไม่สูญเปล่า

(๒) โลกธรรมและวัตถุเป็นของที่มีอยู่จริงตามที่ตาเห็น ตรงกันข้าม ผู้ที่พัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมเห็นด้วยจิตว่า สรรพสิ่งในโลก ล้วนเป็นของไม่มีอยู่จริงแท้ สรุปได้ว่า ปัญญาเห็นผิดหรือความไม่รู้จริง (อวิชชา) ย่อมเห็นโลกธรรมและวัตถุเป็นของที่มีอยู่จริง แต่ความรู้ที่เป็นจริงแท้ เห็นสรรพสิ่งในโลกเป็นของว่างเปล่า นี่เป็นปัญญาสูงสุดหรือปัญญาเห็นแจ้งที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ บัดนี้ประชากรโลกมีประมาณเจ็ดพันล้านคน ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย และทิ้งมนุษยสมบัติไว้เบื้องหลังให้เป็นของกำพร้า .... พิสูจน์ไหม?
 

2573.
กราบสวัสดีคุณอา ดร.สนอง ครับ

กระผมเป็นคนนึงที่เจริญสติ ในแบบสติปัฎฐานสี่ มาจากวัดอัมพวัน(หลวงพ่อจรัญ)ครับ

ก่อนอื่นกระผมขอกล่าวก่อนว่า ที่กระผมจะแนะนำ สภาวะธรรมตัวเองต่อไปนี้ กระผมมิได้ตอบตามตำราครับ เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นจริงกับตนเองล้วนๆครับ

กล่าวแบบคร่าวๆนะครับ กระผมปฏิบัติมา 2 ช่วงครับ คือครั้งแรกที่ปฏิบัติ ต่อเนื่องมาได้ 8 เดือน สภาวะธรรมถึงเห็นชัดในการเกิดดับของรูปนามที่กำหนดรู้อยู่ ไหลรื่นต่อเนื่องได้ดี แต่ยังไม่ถึงกับเห็นมันดับไปสนิท ไม่มีการเกิดให้เห็นเลย และหยุดไป 4 เดือน ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ ไหว้พระสวดมนต์เลย เนื่องจากไปทำธุรกิจขายตรงเจ้านึง กลับบ้านดึกๆมากทุกวัน เลยมาพิจารณาเห็นความเสื่อมถอยต่ำลงของจิตใจตนเองหลายอย่าง จึงเลิกธุรกิจขายตรงและกลับมาเริ่มปฏิบัติใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็ผ่ า นสภาวะธรรมเดิมๆครับ จนมาเห็นความดับไปของรูปนาม ยกตัวอย่างคือท้องพองยุบ ไม่เห็นท้องพองยุบ ไม่เห็นอิริยาบทการก้าว ยกย่างแม้แต่น้อย ก็ทนปฏิบัติต่อไป ทำแบบไม่เห็นนั่นแหละครับ สัก 2 เดือน เกิดความเบื่อหน่ายแบบสุดขีด ง่วงหงาวหาวนอน จนคิดจะเลิกปฏิบัติอีก แต่ก็คิดว่า เอาน่ามาไกลขนาดนี้แล้วจะเลิกไปใย บังคับตนเองไปวัดอัมพวัน ปฏิบัติ 5 วัน วันสุดท้ายออกมาเริ่มมีรูปนามปรากฏจางๆให้เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ก็ยังดี ปฏิบัติมาเรื่อยๆ เวทนา เล็กๆน้อยๆ คันยุกยิก ปวดไม่มากนักแต่ก็ไม่หายปวด ผ่านมา จนเริ่มเห็นการเกิดดับของรูปนาม ไหลรื่นดีขึ้นเรื่อยๆ สมาธิมีมากเป็นพิเศษ กำหนดอะไรก็คล่องไปหมดบางครั้งมากไปจนไม่เห็นอิริยาบทของรูปนาม ทุกขเวทนาก็มีน้อย นั่งก็ดิ่งเข้าฌานไปเลยต้องถอยออกจากฌานบ่อยๆ ต้องเดินจงกรมให้มากๆ ถึงจะพอเอาอยู่ปักสติแรงๆด้วยครับ

เลยตัดสินใจไปวัดอัมพวันอีกครับ ปฏิบัติอีก 5 วันพึ่งกลับมาจากวัดเมื่อวานครับ กลับมาถึงบ้านที่กาญจนบุรี ตอนเย็นก็เปิดธรรมะที่หลวงพ่อท่านเจ้าคุณโชดกท่านได้แสดงไว้ เลยลองกำหนดเสียงเป็นวิปัสนาให้ได้ยินในรูหู (ประสาทหู) ปรากฏว่าเห็นการเกิดดับของเสียงในรายละเอียดของเสียงก็เห็นเกิดดับอีกด้วย เห็นไหลรื่นต่อเนื่อง จนถี่เข้าๆ หน้าเกร็งปากเบี้ยว กรามขากรรไกรล่างของปากบิดไปจนสุดจนปวดกราม กำหนดก็ไม่ทันมันถี่และเร็วแต่เห็น สักครู่ก็คลายลงมา กำหนดได้ยินต่อ ก็เกิดรู้เห็น ถี่เข้าๆต่อเนื่องไปอีก ครานี้หนักขึ้น +กับความอ่อนเพลียมาจากการเดินทางและการปฏิบัติเคร่งตลอด 5 วัน เลยหยุดกำหนด นอนฟังไปไม่กำหนด เลยเผลอหลับไป

เช้ามาปฏิบัติต่อ เดินจงกรมได้ราว 50 นาที ก็เกิดอาการเกร็งขา(จริงเริ่มเกร็งนาทีที่ 20) เกร็งจนเดินต่อได้ยาก เห็นการเคลื่อน ยก ย่างเหยียบ เอียงตัวไปมา เห็นไหลลื่นดีมาก เลยต้องกำหนดนั่ง ดูพองยุบไป สัก 10 นาทีก็เริ่มออกอาการเกร็งหน้าท้อง เริ่มพองยาวนานขึ้นเริ่มเห็นท้องพองนานและละเอียดขึ้นมากเรื่อยๆ แต่ท้องยุบไม่นาน และละเอียดน้อยกว่าท้องพอง แต่ก็ยังถือว่าละเอียด เห็นถี่เข้าๆ กำหนดไม่ทัน พยายามหายใจให้เป็นปกติ แต่ก ็ ยิ่งพองยาวและเกร็งหน้าท้องขึ้นไปเรื่อยๆ ทรงตัวบ้าง แล้วก ็ หนักขึ้นไปเรื่อย แล้วก็ลดฮวบ คลายลงมาได้สัก 4-5 วินาทีก็เริ่มถี่ขึ้นๆอีก เป็นอยู่ 3 รอบก็หมดเวลาปฏิบัติก่อนครับ จริงๆก็คิดว่าเป็นสภาวะธรรมหนึ่งที่ต้องเจอและก็ผ่านไปได้เหมือนที่เคยๆเจอหลายๆอย่างมานั่นแหละครับ แต่ก ็ อยากให้คุณอา แนะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอะไร ที่เผื่อจะมีอะไรพอแนะนำครับ ผมจะกำหนดยืนหนอน้อยๆครับช่วงนี้ ถ้ายืนหนอมากแล้ว สมาธิมันมากไปมันจะล้ำหน้าสติครับ

สุดท้ายนี้ขอให้คุณอา ดร. มีสุขภาพแข็งแรงครับ ถ้าจะกรุณาตอบผม ก็ขอตอบเท่าที่ผมจำเป็นต้องทราบนะครับ กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
ที่ผู้ถามปัญหาเขียนบอกเล่าไปทั้งหมด ถึงผลการปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน นั้นทราบแล้ว ต้องขออภัยผู้ถามปัญหาที่จะต้องพูดว่า การปฏิบัติสมาธิแบบพองหนอ-ยุบหนอ ผลที่ถูกทางจิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ ส่วนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ผลที่ถูกตรงจิตต้องเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่า สรรพสิ่ง (ผัสสะ) ที่เกิดขึ้นในดวงจิต เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ที่สุดแล้วผัสสะไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) จึงเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า จิตรู้ เห็น เข้าใจ (สนฺทิฏฐิโก) ดังนี้แล้ว ย่อมปล่อยวาง และว่างเป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบจิต แต่ผลการปฏิบัติที่บอกเล่าไป จิตขาดสติจึงไประลึกอยู่กับอาการเกร็ง อาการปวด อาการหนักตัว อาการคัน ฯลฯ เหล่านี้เป็นการปฏิบัติธรรมที่ให้ผลไม่ถูกทาง คือ จิตยังเข้าไม่ถึงการมีสติ และจิตยังเข้าไม่ถึงการเกิดปัญญาเห็นแจ้ง

ฉะนั้น จึงขออนุญาตแนะนำว่า

  (๑) การปฏิบัติธรรม ต้องดำเนินตามกฎไตรลักษณ์

  (๒) ไม่ใช้สมองคิด แต่ใช้จิตตามดูจนเห็นว่า สรรพสิ่งล้วนตางดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ในที่สุดไม่มีตัวตน

  (๓) ทำตัวเป็นคนโง่ แล้วปฏิบัติให้ถูกตรงตามคำชี้แนะของครูสอนกรรมฐานที่มีดวงตาเห็นธรรม

  (๔) เร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านเจ้าคุณโชดกได้ชี้แนะไว้ว่า

     -ผู้มีความเพียรมาก ปฏิบัติธรรมวันละ ๒๐ ชั่วโมง

     -ผู้มีความเพียรปานกลาง ปฏิบัติธรรมวันละ ๑๐-๑๒ ชั่วโมง

     -ผู้มีความเพียรน้อย ปฏิบัติธรรมวันละ ๕-๖ ชั่วโมง

  (๕) ผู้ที่เอาชนะใจตนเองได้ ย่อมไม่มีอะไรที่จะต้องแพ้อีก ฉะนั้น .... สู้และปรับความเห็นให้ถูก

สุดท้าย ขอบใจที่อวยพรให้
 

2572.
ถามปัญหาธรรม กราบสวัสดีท่านอาจารย์ สนอง วรอุไร

หนูปฏิบัติธรรมมา 8 ปีแล้วโดยไม่เคยไปนั่งที่วัดเลยนั่งที่บ้านตลอดสวดมนต์ และนั่งสมาธิก่อนนอนนั่งโดยใช้พิจรณากาย กับอสุภะ ตอนนี้หนูมีปัญหาถามท่านค่ะ

1. พิจรณาจนจิตสงบเห็นตัวเองและมีพระล้อมรอบใส่จีวรสีกละ และมีเสียงนุ่มๆพูดว่าเอหิภิกขุ คืออะไรคะไม่รู้จักมาก่อนค่ะ

2 . เมื่อเวทนาเกิดมากก็ทนจนหายไป พออีกวันนั่ง ใหม่ก็ไม่ปวดเหมือนเดิม แต่มีบ้างมีเสียงบอกว่า รู้แล้วว่างและว่างแล้วหนูจะทำไงต่อคะ

3 . การสื่อจิตมาสอนคืออะไรคะ

4 . ตอนนี้มีคนบอกว่าเพี้ยนค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) หากนำจิตไปสนใจกับสิ่งที่ถูกเห็น เรียกว่า โมหะ ดังนั้นจึงขออภัยไม่ตอบ เพราะไม่เป็นเหตุให้พ้นทุกข์

(๒) เมื่อจิตว่างจากอารมณ์ปรุงแต่ง แล้วต้องใช้จิตตามดูความว่าง ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความว่างเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตย่อมไม่ว่างดังที่ถามไป แล้วปัญญาเห็นในความว่างจึงจะเกิดขึ้น

(๓) สิ่งที่บอกเล่าไปแล้วถามไป เป็นความรู้ขั้นสูง (โลกิยญาณ) ไม่สามารถกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์) ได้

(๔) หากเป็นการเพี้ยนดี เพี้ยนสู่การเปลี่ยนสภาวธรรมในดวงจิต จากปุถุชนไปเป็นอริยบุคคล เพี้ยนสู่การนำพาชีวิตไปสู่สุทธาวาสพรหมโลก หรือเพี้ยนไปสู่การนำชีวิตหลุดพ้นไปจากวัฏสงสาร จงเพี้ยนต่อไป

ผู้มีสัมทิฏฐิรู้ว่า ชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องเลือกทางชีวิตให้กับตัวเอง ใครจะพูดอย่างไรเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราอยู่ที่การกระทำดีด้วยตัวเอง นั่นแหละดีที่สุด
 

2571.
กราบเรียน อ.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ก่อนอื่นกระผมต้องขออโหสิกรรมต่อท่านอาจารย์หากได้เคยล่วงเกินท่านด้วยกายวาจาใจคะ
ขอเรียนสอบถามดังนี้ครับ
1. การที่เราได้โหลดหนังในเว็บไซต์ทั่ว ๆ ไปที่ให้บริการให้ดูหนังออนไลน์นั้น ผิดศีลไหมครับ ถ้าไม่ผิดศีลจะผิดธรรมไหมครับ
2. ในวัฏสงสารไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องบังเอิญ จริงไหมครับ แต่สิ่งที่เกิด เช่น ฝนตก เหตุใดจึงสามารถพิสูจน์ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ได้เช่นกันครับ
3. การที่จิตเราจะนิ่งเป็นสมาธิได้นั้นศีลต้องบริสุทธิ์ ศีลของเราต้องบริสุทธิ์อยู่ยาวนานเท่าใดจนกว่าจิตนั้นจะนิ่งเป็นสมาธิ หมายความว่าถ้าเราตั้งใจจะปฏิบัติในอีก 5 วันข้างหน้า ภายในเวลาก่อน 5 วันถ้าเรามีศีลบริสุทธิ์ เพียงพอหรือไม่ครับ
4. การที่เราเคยคิดว่าอยากทำอาชีพต่าง ๆ หลาย ๆอย่าง แล้วเราได้ทำอาชีพต่างๆ นั้น เรียงลำดับมา หมายความว่าเกิดจากการอธิษฐานของเราหรือไม่ครับ   ถ้าอาชีพที่เราทำไม่สามารถสร้างรายได้ให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีได้ เราควรทำอย่างไรครับ
5. หากเราไม่มีโอกาสที่จะไปปฏิบัติกรรมฐานในที่ที่สมควร จะต้องฝึกที่บ้านอย่างไรครับ
6. ในจังหวัดจันทบุรีมีพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐานถูกต้องตามธรรมไหมครับ
กระผมขอกราบขอบพระคุณ อ.สนอง วรอุไรเป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
(๑) ไม่ผิดศีล หากเจ้าของลิขสิทธิ์อนุญาตให้ก๊อปปี้ (โหลด) ไปดูได้ ส่วนผิดธรรมนั้นมีแน่ เพราะจิตตกเป็นทาสของกาม

(๒) ในวัฏสงสาร ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ดังนั้นจึงไม่มีความบังเอิญ หากประสงค์จะพิสูจน์ด้วยปัญญาทางโลก ต้องพัฒนาสมองด้วยการอ่าน การฟังและการวิจัย ตรงกันข้าม หากประสงค์จะพิสูจน์ด้วยปัญญาสูงสุด ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้เป็นสมาธิ และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง จึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล

(๓) ปุถุชนที่ประสงค์จะมีจิตนิ่ง ต้องเอาศีลมาคุมใจในห้วงเวลาที่ประสงค์จะให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

(๔) ความคิดอยากทำอาชีพต่างๆเป็นความเห็นถูกทางโลก แต่เป็นความเห็นผิดในทางธรรม เพราะความอยากเป็นกิเลส (ตัณหา) จึงไม่สามารถพัฒนาจิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารได้

คำว่า "อธิษฐาน" หมายถึง การตั้งจิตปรารถนาในสิ่งที่ดี หากตั้งจิตปรารถนา เลี้ยงกบ เลี้ยงปลา ขายเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ในทางธรรมไม่ถือว่าเป็นการอธิษฐาน แต่หากมีจิตปรารถนาประกอบอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม โดยใช้อิทธิบาท๔ ใช้ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และมีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ความสำเร็จจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

(๕) สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน หลังสวดมนต์ เจริญอานาปานสติไปจนหลับ ตื่นขึ้นตอนเช้า จึงจะอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้ที่ทำได้ถูกตรงตามนี้ ความสมปรารถนาจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

(๖) แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมาบจันทร์ จังหวัดระยอง (นอกความต้องการ) หรือที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเขาดินหนองแสง อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี แต่จะเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นหลัก
 

2570.
กราบเรียน ดร สนอง ที่เคารพ

              เรียนอาจารย์ ดร. สนองคะ ตอนนี้ดิฉันเป็นทุกข์กับงานมากค่ะ ตอนนี้มีอาชีพรับราชการครู แต่เป็นงานที่แม่กับน้องชายเลือกให้เพราะอยากให้รับราชการ   ตั้งแต่ทำงานมาเกือบสองปี ดิฉันทำตามหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด   เหมือนที่อาจารย์กล่าว แต่งานที่ทำนั้นบางอย่างมันขัดหลักของศีลธรรม และกฎหมาย แต่ก็ต้องทำเพื่อองค์กร ตัวดิฉันเองศรัทธาในคำสอนของพระพุทธองค์ สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำและรักษาศีล 5  จึงมักเกิดความสึกขัดแย้งในใจตัวเองตลอดเวลาว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผิดศีล ทำให้ดิฉันไม่มีความรักในงานที่ทำอยู่เลย   อีกทั้งเพื่อนร่วมงานขาดความสามัคคี แตกแยกกันเป็นหลายกลุ่ม ชอบนินทา และไม่ให้ความร่วมมือในการทำงาน   เมื่อไม่มีคนที่จริงใจยิ่งรู้สึกไม่มีกัลยาณมิตรปรึกษาใครก็ไม่ได้ รู้สึกแปลกแยก ไม่ค่อยคบใครเพราะคิดว่าในเมื่อหากัลยาณมิตรไม่ได้ก็อยู่คนเดียวดีกว่า

            เมื่อตอนกันยายนปีที่แล้วตั้งใจจะลาออกจากราชการ บอกแม่ไปว่าดิฉันเป็นคนมีความรู้มีความสามารถ และขยันทำงานยังไงก็ไม่ตกงานแน่นอน แต่แม่ก็เป็นทุกข์ใจกับดิฉันมาก ท่านเครียดเป็นเดือนๆ   ดิฉันก็เครียด เรามีมุมมองในการทำงานไม่เหมือนกัน แม่ก็จะอยากรับราชการเพราะมีความมั่นคงมีสวัสดิการมาก แต่ดิฉันมองความรักในงานมาก่อน เพราะถ้าได้ทำงานที่รักและมีประโยชน์มีคุณค่าต่อตน และคนอื่นแล้วต่อให้หนักหนาทุกข์ยากเพียงใดดิฉันก็มีกำลังใจในการทำงาน อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นแม่ทุกข์ใจเพราะตัวเองนานขนาดนั้น ดิฉันก็รู้สึกผิดเพราะในชีวิตนี้ทำเพื่อแม่มาตลอดและตั้งใจจะทดแทนพระคุณแม่ให้มากที่สุด   เป็นคนที่เชื่อในเรื่องของความกตัญญูมาก   ตอนนั้นจึงเอาพวงมาลัยไปขอขมาแม่ ให้อโหสิกรรมในบาปที่ทำให้บุพการีต้องทุกข์ใจ แล้วก็ตั้งใจว่าจะกลับมารับราชการต่อ

            หลังจากนั้น ดิฉันก็พยายามปรับตัว อดทนกับงานที่ทำ แต่ยิ่งอดทนก็รู้สึกว่าทำไปวันๆ ไม่ใช่งานที่ชอบ ที่ทำอยู่ก็เพื่อแม่เท่านั้น   นานเป็นปีที่ดิฉันทำงานหามรุ่งหามค่ำ บางวันกลับดึกมาก เกิดความเครียด เหนื่อยใจ ร้องไห้บ่อยมาก เพราะระบายกับใครก็ไม่ได้   บางทีก็คิดว่าเป็นวิบากกรรมของเราที่มาตกในถิ่นที่ปัจจัยแวดล้อม ไม่ได้เกื้อหนุนในทางธรรมเลยค่ะ ขาดกัลยาณมิตร ทุกข์ท้อก็ไม่อยากให้แม่รับรู้เพราะกลัวท่านจะทุกข์ไปด้วย จนบางทีก็กลัวตัวเองจะเป็นโรคประสาท   พยายามหันหน้าเข้าหาธรรมะ   แต่ก็ช่วยได้บางครั้งเพราะจิตฟุ้งมากค่ะ   ดิฉันรู้สึกท้อแท้กับชีวิตค่ะ ถ้าจะเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก็ทำให้แม่ต้องทุกข์ใจ   แต่ถ้าทำเพื่อแม่ ตัวเองก็เป็นทุกข์เหลือเกิน จึงมีคำถามเรียนถามอาจารย์ให้ช่วยชี้แนะดังนี้ค่ะ

1. ถ้าต้องทำงานที่บางครั้งผิดกฎหมายผิดศีลธรรม ยังจะถือว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ หรือไม่

2. การคิดว่าเมื่อไม่มีกัลยาณมิตร เราก็อยู่กับตัวเองเป็นกัลยาณมิตรให้ตัวเองนั้น เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่

3. ขอความเมตตาอาจารย์ได้ชี้แนะแนวทางในการตัดสินใจเลือกว่าควรจะทำเพื่อแม่หรือเพื่อตัวเองคะ

4. ทำอย่างไรจะได้พบกัลยาณมิตรในทางธรรมคะ

5. หากต้องทำงานอยู่ต่อไป ดิฉันควรจะใช้หลักธรรมใดในการทำให้อดทนและไม่ท้อแท้กับงาน และอยู่ร่วมกับคนที่แตกแยกอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่เมตตาค่ะ

คำตอบ
(๑) ผู้มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) เลือกทำแต่งานดี (ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม) โดยมีอิทธิบาท ๔ (ทำด้วยใจรัก ทำด้วยความพากเพียร ทำด้วยมีจิตจดจ่อ และใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำ) เป็นแรงสนับสนุน

ผู้มีความเห็นถูก เลือกทางดำเนินชีวิตด้วยตนเอง

ผู้มีความเห็นถูก มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ ด้วยการประพฤติจริยธรรมลูกที่ดีต่อพ่อแม่

ดังนั้น หากผู้ถามปัญหามีความเห็นผิดไปจากธรรม (ทำตามใจแม่) บาปย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีความเห็นผิด หากจำเป็นต้องทำตามใจผู้อื่น ต้องประพฤติบุญใหญ่อยู่เสมอ เพื่อให้บาปตามส่งผลไม่ทัน หรือดีที่สุดต้องพัฒนาจิต แล้วปิดอบายภูมิให้ได้ หรือหนีไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก หรือหนีไปอยู่ในพระนิพพาน

คำว่า "ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่" ต้องรู้ให้ได้ว่า หน้าที่ที่ทำนั้นให้ผลเป็นบุญหรือบาป หากเป็นบุญจงทำ หากเป็นบาปจงงดเว้นไม่ทำ ด้วยเหตุนี้ ผู้รู้จึงเลือกทำหน้าที่ในงานที่ดีครับ

(๒) ในครั้งพุทธกาล พระอานนท์ได้กล่าวไว้ในทำนองที่ว่า "ไม่มีใครเป็นกัลยาณมิตรได้เท่ากายคตาสติ" ดังนั้นความคิดเห็นของผู้ถามปัญหาจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ .... สาธุ

(๓) ผู้มีความเห็นถูก นิยมตัดสินใจเลือกทำงาน (งานดี) ด้วยตัวเอง และไม่ลืมประพฤติจริยธรรมต่อผู้มีอุปการคุณ

(๔) ต้องเข้าหาและสนทนาธรรม กับผู้มีความเห็นถูกอยู่เสมอ

(๕) งานที่ทำหากให้ผลเป็นบาป ต้องประพฤติกุศลธรรมอยู่เสมอ เพื่อให้บุญใหญ่กว่าบาป แล้วจึงจะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย
 

2569.
กราบเรียนอาจารย์ ดร. สนอง ครับ

เรียนอาจารย์ครับ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมพระน้องชายซึ่งบวชได้ไม่นานที่วัด และได้มีโอกาสสนทนากัน ผมก็ได้แนะนำให้พระได้ฝึกสมาธิ วิปัสสนา เล่าให้พระฟังว่า ตอนบวชผมปฏิบัติอย่างไร และก็พูดแนะนำ และก็พูดว่าบวชเพื่อให้ได้บุญในมุมองของผม คือบวชแล้วตั้งใจฝึกปฏิบัติ ให้มากเพราะอยากให้พระปฏิบัติให้มาก และก่อนกลับก็พูดว่า "ให้ท่านปฏิบัติให้ดี ให้ปฏิบัติชอบ ให้สมกับที่ญาติโยมได้กราบไหว้" การพูดแนะนำอย่างนี้ถือเป็นบาปหรือไม่ครับ

ด้วยความเคารพอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
คำว่า "บุญ" หมายถึง ความดี กุศล ความสุข ฯลฯ บวชแล้วหากมีพฤติกรรมเป็นบุญ กายวาจาใจต้องตรงกัน คือ ประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่างถูกต้องชอบธรรมดังนี้

๑. การให้สิ่งดีงาม

๒. การรักษาศีลและประพฤติดี

๓. การเจริญจิตตภาวนา

๔. การประพฤติอ่อนน้อม

๕. การขวนขวายรับใช้

๖. การเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น

๗. เมื่อเห็นผู้อื่นทำดี แล้วมีความยินดี

๘. การฟังธรรม

๙. การสั่งสอนธรรม

๑๐. การทำความเห็นให้ตรง

ดังนั้น หากแนะนำผู้บวชใหม่ให้ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ถือว่าเป็นการแนะนำให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ .... เป็นบุญครับ สาธุ
 

2568.
สวัสดีคะท่านอาจารย์ดร.สนอง
ก่อนอื่นดิฉันต้องขออโหสิกรรมต่อท่านหากได้เคยล่วงเกินท่านด้วยกายวาจาใจคะ

ตั้งแต่ปี 2009 ดิฉันตั้งใจที่จะพัฒนาสติ ทำบุญ(โดยการเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม และรวมถึงการเจริญสติในชีวิตประจำวัน) ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองนั้นยังเด็กมากในทางธรรม ดิฉันขอถามคำถามท่านดังต่อไปนี้คะ

1. ดิฉันได้ยินท่านสอนถึงเรื่องการไม่เอาธุระของคนอื่นมาเป็นของตน (ท่านกล่าวถึงคนอายุ 93 ที่ยังแข็งแรง ปีนต้นไม่ได้สบาย ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตน) ขอรบกวนท่านช่วยยกตัวอย่างและแนะนำวิธีด้วยคะ ดิฉันควรจะทำอย่างไรที่จะไม่เอาธุระของคนอื่นมาเป็นของตน และยังคงทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์ต่อคนทีสำคัญในชีวิต เช่น บิดามารดา

2. จากที่ท่านได้กล่าวถึงการอธิษฐาน ท่านบอกว่าหากตั้งโปรแกรมจิตไว้ในทางบวก ก็จะได้ในสิ่งนั้นในที่สุด สำหรับดิฉัน มีหมอดูเคยทักว่ายังก็จะไม่อดอยาก ดิฉันก็ระลึกถึงสิ่งนี้ได้ หลายๆครั้งที่ดิฉันเดินทางไปที่ที่ไม่มีใครรู้จัก โดยแทบจะไม่มีเงิน ดิฉันก็สามารถรอดมาได้

2.1 ดิฉันอยากทราบว่าสิ่งที่ดิฉันได้กล่าวมานั้นถือเป็นการตั้งโปรแกรมจิตในทางบวกหรือไม่คะ ?

2.2 ดิฉันจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตั้งโปรแกรมจิตเรื่อยๆ เพื่อให้สัมฤทธิ์ผล หรือว่า ดิฉันจะต้องทำอะไร เพื่อให้อธิษฐานสัมฤทธิผลคะ ?

2.3 การตั้งโปรแกรมจิตนั้นจะคงอยู่ตลอดไปมั้ยคะ ? อะไรที่จะทำให้มันหยุดคะ ?

2.4 หากโปรแกรมจิตในทางลบ จะเป็นอย่างไรคะ ?

3. ดิฉันคบกับผู้ชายคนนึงมาหลายปีคะ เวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็มีคบกับคนอื่นคะ เขาเป็นคนที่โลเล ตัดสินใจไม่ได้คะ ดิฉันเลยเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม และแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาคะ หวังว่าเขาจะได้เป็นคนที่ไม่โลเลเสียที

ดิฉันเอง ยอมรับได้แม้กระทั่งเด็กที่เกิดกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาคบเมื่อปีที่แล้ว ดิฉันเริ่มที่จะยอมรับอะไรๆได้มากขึ้น ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่มา แล้วจู่ๆดิฉันก็เกิดรู้สึกเฉยๆกับเหตุการณ์พวกนี้และดิฉันก็สามารถวางได้คะ

3.1 ดิฉันสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ดิฉันถึงเจ็บปวดกับเรื่องนี้น้อยลงคะ ?
3.2 ดิฉันเคยได้ยินว่า ศีลของคนที่เป็นคู่กันต้องเสมอกัน ในกรณีคู่ของดิฉัน ดูเหมือนว่าจะไม่เสมอกัน ดิฉันเข้าใจถูกมั้ยคะ ? ( อย่างไรก็ดี ดิฉันก็จะยังคงปฏิบัติต่อไปและแผ่เมตตาให้ทุกคน)

ดิฉันรู้สึกขอบพระคุณท่านอย่างสูงที่กรุณาช่วยตอบคำถามให้กับดิฉันและคนหมู่มากนะคะ ขอให้พวกเราได้ถึงพระนิพพานกันคะ ขอบพระคุณมากคะ

คำตอบ
ก่อนตอบปัญหา ได้อโหสิกรรมให้กับผู้ถามปัญหาแล้ว

๑.  คำว่า “ไม่เอาเรื่องคนอื่นมาเป็นของตน” หมายความว่า ไม่เอากิเลสของคนอื่นมาเป็นของตน ตัวอย่างเช่น เรื่องของนาย ก. นิยมประพฤติคอร์รัปชั่น แล้วยังได้รับอุปโลกน์ให้เป็นใหญ่เป็นโต มีบริวารมาก มีอำนาจมาก ฯลฯ เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องของนาย ก. แล้วก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เอาเรื่องของนาย ก. มาคิด หรือมาทำให้จิตเกิดจินตนาการต่อเนื่อง ส่วนนางสาว ข. มีหุ่นดี มีหน้าตาสวยงาม เรียนอยู่ในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง ฯลฯ เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องของนางสาว ข. แล้วไม่เอาเรื่องของนางสาว ข. มาคิด หรือไม่เอามาจินตนาการต่อเนื่อง อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นของตน ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้จิตต้องมีสติและมีความเห็นถูกตามธรรม

ส่วนเรื่องของบิดามารดา หากท่านเจ็บป่วย ผู้เป็นบุตรธิดา ต้องดูแลต้องพาไปให้ผู้มีความรู้ (หมอ) ในด้านการเจ็บป่วยรักษา อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นลูกกตัญญู ส่วนอาการเจ็บป่วยของท่านจะหายหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของท่าน ผู้เป็นบุตรธิดาไม่เอาจิตมาจินตนาการให้เศร้าหมอง เพราะเราในฐานะลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่านแล้ว ส่วนจะหายจากอาการเจ็บป่วยหรือไม่เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ที่ท่านได้ทำเหตุไว้ก่อน

๒.  การตั้งโปรแกรมจิตไว้ในทางบวกหรือทางที่เป็นกุศล เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ย่อมเกิดเป็นกุศลวิบาก (บุญ) ให้ผู้ที่กระทำเหตุดีได้รับ (เสวย)

ส่วนเรื่องหมอดูเคยทัก วิสัชนาว่า ศาสนาพุทธของผู้รู้จริงแท้ ผู้รู้จริงแท้ ไม่เคยสอนให้พุทธบริษัทเชื่อในคำพูดของคนอื่น แต่สอนให้เชื่อในการกระทำของตนเอง ผู้ใดทำเหตุไว้ดีเมื่อกรรมให้ผล ย่อมได้รับผลดีตอบกลับคืนมา

  ๒.๑  ศาสนาพุทธไม่สอนให้เชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผลแต่สอนให้มีปัญญา (กาลามสูตร) ให้ใช้ปัญญาพิจารณาจนเห็นว่าคำกล่าวนั้นเป็นบุญเป็นกุศลหรือไม่ คำกล่าวนั้นมีโทษหรือไม่มีโทษแก่ผู้ปฏิบัติตาม ในฐานะที่ผู้ตอบปัญหารู้และมีธรรมอยู่ในใจตนเอง จึงบอกว่า ผู้ใดพัฒนาจิตจนสามารถเข้าถึงอภิญญา ๕ (แสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ รู้ใจคนได้ ระลึกชาติหนหลังได้ มีตาทิพย์) และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ แล้วกาลามสูตรย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

  ๒.๒  อยากเป็นอะไรหรืออยากได้รับผลเช่นไร ต้องทำเหตุให้ถูกตรงกับสิ่งที่ปรารถนานั้น บางคนปรารถนาไปเกิดเป็นเทวดาต้องบำเพ็ญทานรักษาศีลอยู่เสมอ บางคนปรารถนาไปเกิดเป็นพรหม ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา)ให้เป็นสมาธิแน่วแน่ (ฌาน) แล้วตายในฌาน พลังของของฌานจึงจะผลักดันจิตวิญญาณให้ไปโอปปาติกะเป็นพรหม ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้ สุดท้าย บางคนปรารถนาปิดอบายภูมิ เหตุตรงคือ ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอย่างน้อยสังโยชน์ ๓ ให้หมดไปจากใจ โอกาสฝึกอบายภูมิจึงจะเกิดขึ้นได้

  ๒.๓  การตั้งโปรแกรมจิต หมายถึงการตั้งจิตปรารถนา จะคงอยู่ตลอดไป หากได้รับพยากรณ์จากพระผู้ทรงความเป็นสัพพัญญู หรือมีสติมั่นคงที่จะกระทำเหตุให้ตรง

การตั้งโปรแกรมจิตหยุด คือไม่ได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนา เหตุเป็นเพราะมีจิตขาดสติ อันเนื่องมาจากการประพฤติสัจจบารมียังไม่เข้มแข็ง จึงไม่สามารถประพฤติเหตุให้ตรงกับสิ่งที่ตั้งปรารถนาไว้

  ๒.๔  ผู้ที่ตั้งโปรแกรมจิตในทางลบ เช่น เผาพริก เผาเกลือ สาปแช่งให้ผู้อื่นวิบัติ เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว อกุศลวิบากที่เป็นลบ (บาป) ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่มีความเห็นผิดเช่นนั้น ตรงกันข้ามหากผู้ที่ถูกสาปแช่งมีคุณธรรมสูง มีศีล มีสติคุ้มรักษาใจ บาปย่อมเกิดได้เร็วกับผู้สาปแช่ง (ตั้งโปรแกรมจิตในทางลบ)

๓.  การแผ่ส่วนกุศล (บุญ)ไปให้ผู้อื่น หากผู้ที่ถูกกล่าวถึงไม่มาอนุโมทนาบุญ เขาย่อมไม่ได้รับผลบุญที่มีผู้แผ่ไปให้นั้น

สาธุ ที่ไม่เอาเรื่องของคนอื่น มาทำให้จิตของตนต้องสูญเสียอิสรภาพ (เศร้าหมอง) พระอริยบุคคลนิยมประพฤติเช่นนั้น อุปติสสะ (พระสารีบุตร) ได้ฟังธรรมของพระพุทธที่พระอัสสชินำมาบอกกล่าว ในคำนองที่ว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดจากเหตุ ตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และตรัสถึงความดับไว้ด้วย ตถาคตมีปกติตรัสดังนี้” คือเห็นด้วยใจที่สงบว่าสรรพสิ่งไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) จึงปล่อยวาง แล้วจิตว่างเป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบจิต ผลที่เกิดตามมาคือจิตได้ปริวรรตเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลได้ขณะที่ยังอยู่ในเพศฆราวาส

  ๓.๑  เหตุเพราะจิตเป็นอิสระมากยิ่งขึ้น

  ๓.๒  คู่สร้างคู่สมมีคุณธรรมสี่อย่างใกล้เคียงกัน
   (๑) สมสัทธา
   (๒) สมสีลา
   (๓) สมจาคา
   (๔) สมปัญญา

หากคุณธรรมทั้งสีมีความห่างกัน ก็เป็นคู่ปากคู่กัด คู่จองเวร

หมายเหตุ : ผู้ที่มีจิตเป็นทาสของกาม (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย) ตายแล้วยังต้องไปเกิดอยู่ในกามภพ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา) เป็นพระอริยบุคคลหรือเข้านิพพานไม่ได้


2567.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง ครับผมมีขอสงสัยเกียวกับธรรม

หลังจากสวดมนต์ตอนเช้าเสร็จแล้วผมตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าผมเกิดชาติใดๆก็เกิดพบพระพุทธศาสนา และได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรม และเข้าถึงพระนิพพานนี้เป็นการตั้งจิตอธิฐานที่ถูกต้องหรือเปล่า

คำตอบ
คำว่า "อธิษฐาน" หมายถึง การตั้งจิตปรารถนาในสิ่งดีงาม ดังนั้นที่ถามมา จึงเป็นการอธิษฐานที่ถูกต้องครับ

การสวดมนต์ หากสวดช้าๆและมีใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด สติย่อมเกิดขึ้น ขณะสวดมนต์ต้องมีจิตระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคุณของพระธรรม และระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ (อริยสงฆ์) ย่อมมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิและบุญเข้า ยิ่งไปกว่านั้นหากใช้จิตพิจารณาความหมายของบทมนต์ที่สวด ย่อมเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง (โลกุตตรญาณ) ได้ ทั้งสติและปัญญาเห็นแจ้งสามารถปริวรรตจิต ให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ ผู้รู้จึงนิยมสวดมนต์ก่อนนอน และยิ่งเป็นนักบวชแล้ว ต้องสวดมนต์เช้า-เย็น (ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น) การสวดมนต์ยังเป็นการให้เสียงเป็นทานแก่มนุษย์ เทวดา และสรรพสัตว์ที่ได้ยินได้ฟังอีกด้วย

การเข้าถึงจุดหมายสูงสุดในพุทธศาสนานั้น หากผู้ถามมีศีลคุมใจ มีสัจจะ มีความเพียรอยู่ทุกขณะตื่น ย่อมมีโอกาสเข้าถึงสิ่งที่ปรารถนาในวันข้างหน้าได้
 

2566.
กราบเรียนท่านอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ

รบกวนเล่าและสอบถามคำถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

ดิฉันโดนเข้าใจผิดและใส่ร้ายมาเป็นเวลานานแล้วจากคนกลุ่มนึง และแผ่ขยายวงกว้างเรื่อยๆ

ดิฉันศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่จึงเข้าใจว่าเป็นวิบากของตัวเอง ดิฉันจึงนึกย้อนไป และได้ไปก็ขออโหสิกรรมกับบางคนที่ทำได้

ความผิดอีกอย่างนึงที่พอจำได้คือ ได้เคยล่วงเกินคุณแม่ทางมโนกรรมครั้งนึง ซึ่งสำหรับดิฉันค่อนข้างแรงเนื่องจากครั้งนั้นโกรธท่านมาก ดิฉันไม่ได้เล่าแต่ได้กราบท่าน และขออโหสิกรรมจากท่านเรื่อยมา เช่นวันปีใหม่ สงกรานต์ เป็นต้น คุณแม่มักพูดว่าแม่ไม่ได้คิดอะไรกับลูก

ดิฉันขอความเมตตารับคำแนะนำจากท่านอาจาย์ว่า พอจะมีหนทางใดบ้างไหมคะที่จะทำให้วิบากเบาบางลงบ้าง เนื่องจากนับวันยิ่งดูเหมือนเหตุการณ์ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ

คำตอบ
ผู้รู้ รู้ว่า ปุถุชนพูดได้ทั้งดีและชั่ว แต่จะดีหรือชั่วอยู่ที่การทำตัวของเรา หากเขาชั่วดังที่เขาพูด เขาย่อมเป็นครูผู้มีพระคุณที่เราจะได้พัฒนาตัวเองให้ดี ตรงกันข้าม หากเรามีพฤติกรรมดีแล้ว แต่เขาพูดว่าเราไม่ดี เขาย่อมเป็นครูที่เห็นผิดสอนเราว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นคนเห็นผิดเหมือนเขา

กฎแห่งกรรมมีจริง และมีอิทธิพลเหนือชีวิตของสรรพสัตว์ในวัฏสงสาร ดังนั้น เมื่อถูกคนเข้าใจผิดกล่าววาจาให้ร้าย ต้องให้อภัยเขา เพราะเขามีพระคุณที่ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี ได้สร้างเมตตาบารมี ได้สร้างปัญญาบารมี ฯลฯ ในครั้งพุทธกาล ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี พระพุทธโคดมได้ตรัสกับภิกขุที่นั่งอยู่แวดล้อม ในทำนองที่ว่า "ตถาคต หมดราคะ โทสะ โมหะแล้ว จึงมิได้หวั่นไหวและมิได้หนีไปไหน"

เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ ที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ ท่านเจ้าคุณโชดก ได้กล่าวกับผู้ตอบปัญหาว่า "คุณ เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในรอบวัน ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร" ด้วยเหตุนี้ ผู้ตอบปัญหาจึงได้ปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ เรื่อยมาจนทุกวันนี้

ผู้ใดมีพฤติกรรมล่วงเกินผู้มีอุปการคุณ (คุณแม่) ในชาตินี้ ต้องขออโหสิกรรมและไม่ประพฤติล่วงเกินท่านอีก แต่บุคคลยังมีแม่ในชาติที่ผ่านมาแล้วอีกนับไม่ถ้วน หากหลงลืมมิได้อุทิศบุญให้ หรือมิได้ขอขมากรรม ผู้รู้จริงแท้จึงมิบังอาจทำตัวเป็นศัตรูกับใครผู้ใด ตรงกันข้าม ทำตัวเป็นกัลยาณมิตรกับสรรพสัตว์ในวัฏสงสาร

อนึ่ง พระสารีบุตรกล่าวว่า "สติ เป็นรากฐานแห่งคุณธรรมทั้งปวง" ซึ่งหมายความว่า ผู้ใดมีสติกำกับใจอยู่ทุกขณะตื่น กุศลธรรม (บุญ) ย่อมเกิดและสั่งสมอยู่ในดวงจิต ด้วยเหตุนี้ ผู้ไม่ประมาทพึงสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ แล้วอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ชีวิตจึงจะพบกับความสวัสดี
 

2565.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพค่ะ

     หนูจะสอบถามเรื่องอาชีพประกันค่ะ ถ้าเรารู้แล้วว่า

- ประกันชีวิต ไม่สามารถประกันชีวิตเราให้มั่นคงได้

- คนที่ทำประกันเพราะคิดล่วงหน้าไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เป็นความกังวลไปเองของคนที่จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน

- ทำประกันเพื่อลดหย่อนภาษี   ( เป็นหน้าที่ที่เราต้องเสียภาษีอยู่แล้ว แต่คนที่ทำก็เพื่อจะเสียภาษีให้น้อยลง)

- ฝากเงินประกันเพื่อเน้นดอกเบี้ย (เป็นการลงทุน)

     ถ้าเรายังอยู่ในอาชีพนี้ โดยที่ไม่ได้ไปขายประกันให้ลูกค้า แต่ลูกค้าโทรมาซื้อประกันเอง แล้วเราก็เสนอไปตามที่ลูกค้าต้องการ โดยที่ให้ลูกค้าคิดเอง ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ และเราก็บอกรายละเอียดตามความเป็นจริงทุกอย่าง (แต่ไม่มีลูกค้าทำประกันกับหนูเลยค่ะ ตั้งแต่หนูทราบความจริงในอาชีพประกัน)  ทำอย่างนี้ถูกต้องมั้ยค่ะ

     ทุกวันนี้ หนูยังมีชื่อเป็นตัวแทนประกันชีวิต และหนูก็ปฎิบัติธรรมด้วยค่ะ ถ้าหนูปล่อยงานประกันไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ส่งงานเลย หนูก็ยังได้กินคอมมิชชั่นจากลูกค้าเก่าอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาประเมินยอด ถ้าหนูประเมินไม่ผ่าน หนูก็จะหลุดจากอาชีพประกันค่ะ   อยากทราบว่า หนูควรปล่อยไปหลุดจากอาชีพ หรือเราลาออกเอง (เร็วขึ้น)   หรือมีสติอยู่กับปัจจุบันดีกว่าค่ะ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุ และผลของมันค่ะ

    ท่านอาจารย์มีงานแบบไหนที่น่าจะเหมาะกับคนอย่างหนูบ้างไหมค่ะ ก็ไม่ได้ดิ้นรนหางานค่ะ แต่ก็ต้องหาไปตามหน้าที่ค่ะ   

   ขอแสดงความเคารพอย่างสูงค่ะ     

คำตอบ
พระผู้ทรงความสัพพัญญูตรัสไว้ในทำนองที่ว่า ผู้ที่ปรารถนามีชีวิตที่ปกติสุข หรือปรารถนาพ้นทุกข์ ต้องมีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันสามารถดับต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาได้ สิ่งที่ผู้ถามปัญหาเขียนบอกเล่าไป เป็นการสร้างเหตุให้ชีวิตผูกติดอยู่กับมนุษยสมบัติ (ทรัพย์กำพร้า) ผู้รู้จริงจึงไม่ทำประกันด้วย หากผู้ถามปัญหา ปรารถนานำพาชีวิตของตนไปสู่อิสรภาพที่สมบูรณ์ (พ้นทุกข์) ต้องไม่เอาจิตไปผูกติดเป็นทาสของสิ่งที่เป็นของกำพร้า ตายแล้วต้องทิ้งไว้กับโลก ผู้ตอบปัญหาจึงไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้ถามปัญหา ดังนั้นจึงเป็นได้เพียงผู้ชี้ทางฯ ผู้ถามปัญหามีเอกสิทธิ์ในชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องเลือกทางชีวิตให้กับตัวเองครับ
 

2564.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร 

กราบเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้เป็นพุทธสานิกชนที่ดีงามและถูกต้องตามธรรมค่ะ

1. ปุธุชนคนธรรมดา ไม่ได้สมาทานศิล ไม่ได้เป็นนักบวช สามารถสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ได้หรือไม่คะ หรือ สามารถสวดได้เฉพาะผู้ที่สมาทานศิลเป็นนักบวชเท่านั้น ส่วนปุธุชนต้องนำบทสวดอื่นๆสวดมนต์แทนคะ

2. เมื่อสวดมนต์และปฏิบัติสมาธิจิตสงบแล้วแผ่เมตตาแผ่ส่วนกุศลให้ตามบทแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล ดิฉันสงสัยว่าการที่เราแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้าที่เจ้าทางดูแลบ้านเรือน ถ้าเป็นวิญญานเจ้าที่ก็เป็นธรรมดา แต่ดิฉันสงสัยว่าถ้าบ้านเรือนที่อาศัยนั้นมีเจ้าเป็น งู (เช่นที่เป็นข่าวตามสื่อต่างๆที่นำเสนอ เช่น งูเจ้าที่) จะมีผลอย่างไรคะ เราควรสวดบทแผ่ส่วนกุศลอย่างไรให้ถูกต้องค่ะ  

3. เมื่อพบหรือได้อ่านธรรมเทศนาแล้วเห็นว่าเป็นธรรมเทศนาที่ดีมีประโยชน์กับแนวทางปฏิบัติกายใจ แล้วนำไปโพสท์ บทสาธยายธรรมของหลวงพ่อท่านเทศน์ ให้บุคคลอื่นในกลุ่มไลน์ได้อ่าน ได้อนุโมทนาบุญ สามารถทำได้มั้ยคะ เนื่องจากไม่ได้ขออนุญาติกับท่าน  

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาค่ะ

คำตอบ
คำว่า "ปุถุชน" หมายถึง คนที่จิตหนาแน่นไปด้วยกิเลส และคำว่า "พุทธศาสนิกชน" หมายถึง ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ

ดังนั้นการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีงาม ต้องมีศีลธรรมคุ้มครองใจ คือมีอย่างน้อย เบญจศีล (ศีล ๕) และมีเบญจธรรมคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น

(๑) ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดมหาธาตุ ท่านเจ้าคุณโชดกได้พูดว่า "คุณ ถ้าไม่เอาศีลลงคุมให้ถึงใจ ใจจะไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ" ซึ่งหมายความว่า ถ้าจิตไม่มีศีลคุมแล้ว จะพัฒนาจิตให้มีสติย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ และในครั้งพุทธกาล พระพุทธโคดมได้ตรัสกับภิกษุในทำนองที่ว่า การประพฤติตามกฎไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เป็นหนทางของการนำจิตสู่ความพ้นทุกข์ นั่นคือจิตหรือใจที่มีศีลคุม เมื่อนำไปพัฒนา (สมถภาวนา) แล้วสมาธิจึงจะเกิดขึ้นได้ และจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิที่สมควรแล้ว จึงจะพัฒนา (วิปัสสนาภาวนา) ไปสู่การเกิดปัญญา (เห็นแจ้ง) ได้

ด้วยคำกล่าวดังข้างต้นนี้ ฆราวาสที่ไม่มีศีลคุมใจ สามารถสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นได้ แต่จิตไม่สามารถเข้าถึงมรรคผล (สมาธิ) ได้ แม้จะนำบทมนต์อื่นมาสวดแทน ก็เป็นการสวดมนต์ที่สูญเปล่า คือจิตไม่เกิดสมาธิที่เป็นไปเพื่อการเกิดของปัญญาเห็นแจ้ง

(๒) คำว่า "จิตสงบ" หมายถึง สงบจากอารมณ์ปรุงแต่งใดๆ จิตสงบประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ) เป็นจิตที่อารมณ์ปรุงแต่งหลากหลาย จิตสงบจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) เป็นจิตที่มีอารมณ์ปรุงแต่งอันเนื่องจาก กาย เวทนา จิต ธรรม (สติปัฏฐาน ๔) และสุดท้ายจิตที่สงบแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ไม่มีสิ่งกระทบภายนอกใดๆสามารถทำให้จิตเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นได้ แม้แต่นิวรณ์ ๕ (กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) ก็ไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อใดจิตถอนออกจากอัปปนาสมาธิ (ฌาน) แล้ว ความรู้สูงสุดที่เรียกว่า โลกิยญาณ หรือ อภิญญา ๕ (อิทธิวิธิ ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ ทิพพจักขุ) ย่อมเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ แต่ไม่สามาถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

ผู้ที่มีจิตสงบ ย่อมเป็นผู้มีบุญ แต่มิใช่เป็นบุญสูงสุด ผู้ที่ใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์ ๑๐) ได้ เป็นผู้ที่มีบุญมากกว่า จนถึงมีบุญสูงสุด เมื่อกำจัดกิเลสที่เป็นสังโยชน์ ๑๐ ให้หมดไปจากใจได้

คนที่มีเมตตา มีอารมณ์สงบและเย็น (ไม่มีโทสะ) สัตว์ (รูปนาม) กายหยาบหรือสัตว์กายทิพย์ย่อมเข้าใกล้ ด้วยเหตุนี้บ้านเรือนที่มีงูเจ้าที่คุ้มรักษา ย่อมสัมผัสกับบุญกุศลที่มีผู้อุทิศให้ได้ง่ายกว่าสัตว์ที่อยู่ห่างไกล

(๓) สามารถทำได้ครับ เพราะหลวงพ่อท่านมีเจตนาให้ธรรมะเป็นทาน และผู้โพสต์คำบรรยายมิได้ทำเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์เงินทอง หรือความโลภ
 

2563.
กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ขณะนี้ใน Social Network เช่น Facebook มีผู้ทำบุญในงานต่าง ๆ แล้วนำมาเผยแพร่ ให้ผู้คนได้มาอนุโมทนากันมากมาย กระผมอยากทราบว่า
   - เป็นบุญที่ถูกต้องตามบุญกิริยาวัตถุ 10 หรือไม่
   - ได้บุญเท่ากับการที่ไม่ได้บอกกล่าวหรือไม่

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ 

คำตอบ
- ถูกต้องตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ข้อที่ว่าด้วยมีความยินดีในความดีของผู้อื่น (ปัตตานุโมทนามัย)

- หากมีเจตนาเฉลี่ยความดีให้คนอื่นมาอนุโมทนาบุญที่ตนทำ ไม่ถือว่าเป็นบาป ซ้ำยังทำให้มีบุญเพิ่มมากขึ้น ตรงกันข้าม หากการบอกกล่าวนั้นมีเจตนาโอ้อวด ว่าตนได้ทำบุญแล้ว ถือว่าเป็นบาป การกระทำในลักษณะนี้ จึงได้ทั้งบุญและได้ทั้งบาป
 

2562.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

ดิฉันมีข้อสงสัยว่า กรรมที่ผู้หญิงต้องมานั่งเสียใจเพราะผู้ชายมีภรรยาน้อย และกรรมที่ผู้หญิงบางคนต้องมาเป็นภรรยาน้อยคนอื่นเขา

กรรมนี้เป็นกรรมใหม่ที่ผู้ชายและภรรยาน้อยสร้างขึ้นใหม่ หรือ เป็นกรรมเก่าที่ภรรยาหลวงต้องชดใช้ จึงทำให้ผู้ชายนอกใจคะ

สงสัยมากเลยว่า สมมติว่าการต้องมาเป็นภรรยาน้อยคนอื่นเขา บาปหรือไม่ หรือเป็นกรรมที่กำลังใช้อยู่คะ. ที่ทำให้ไม่สามารถมีคู่ครองของตนเองได้

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
เพราะทั้งชายและหญิงมีกำลังของสติอ่อน จิตจึงเป็นทาสของกามทุกข์

กรรมคือการกระทำ ที่เขียนถามไปเป็นทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่

ถือว่าเป็นบาปทั้งสองฝ่าย เหตุเป็นเพราะจิตไม่สามารถต้านกิเลสมารได้
 

2561.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

รบกวนอาจารย์กรุณาช่วยคลายความสงสัยด้วยนะคะ พอดีตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องนรก-สวรรค์อยู่ มีความคับข้องใจมากค่ะ

1. เทวดานางฟ้าบนสวรรค์ ในแต่ละชั้น สามารถมีคู่ครองเรือนกันได้หรือไม่

2. สงสัยเรื่องเทวดากับบริจากา(ภรรยา) ที่เทวดาบางรูปมีภรรยาถึง 500-1000 รูปที่เกิดมาพร้อมตอนจุติ

- ต้องเกิดสวรรค์ชั้นใดบ้างถึงได้บริจากา

- การมีภรรยาของเทวดาหลายๆคนเหตุใดจึงไม่บาปคะ ทั้งๆที่บนโลกมนุษย์สามารถครองคู่ได้เพียงคนๆเดียว และสามารถเลือกคู่ครองคนเดียวได้หรือไม่คะ

- มีหน้าที่อะไรบ้าง บริจากาทุกคนต้องมีหน้าที่สู่สมหรือไม่ อ่านเจอทราบมาว่า การกอดกันคือการสมสู่บนเทวโลก

- เหตุใดการเกิดเป็นเทพบุตรจึงมีบริจากา และนางฟ้า มีบริจากาด้วยหรือไม่

- เทวดาผู้มีความปรารถนาที่จะบรรลุธรรม แต่ยังมีบริจากาคอยดูแลอยู่ สามารถละเว้น และมุ่งปฏิบัติธรรมได้หรือไม่ อย่างเทวดาบางรูปจุติพร้อมบริจากา แต่ถ้าบรรลุโสดาบัน สกิทาคามี เหล่าบริจากาจะหายไปหรือไม่

2. มีความปรารถนาเกิดบนเทวโลก แต่ไม่อยากมีบริจากา เพราะเห็นว่ามากแก่กาม ถ้าหากบุญไม่ถึงชั้นพรหม เพราะไม่สามารถนั่งถึงฌานได้ มีเทวดาชั้นใดบ้างที่มีกามน้อยและมุ่งปฏิบัติธรรม

3. หากล่วงเกินอาจารย์ไว้ ทางใดก็ตามขออโหสิกรรมจากอาจารย์ด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
เป็นปก

ติธรรมดาของชาวพุทธที่สงสัย หากศึกษาพระไตรปิฎกตามหลักคันถธุระ (ปริยัติ) ตรงกันข้าม ผู้ที่ศึกษาตามแบบวิปัสสนาธุระ จะไม่มีความสงสัย ทั้งนี้เป็นเพราะสามารถรู้ เห็น เข้าใจ ด้วยจิตของตนเอง

ทุกคำถามเป็นเรื่องของกาม (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย) หากจิตยังเป็นทาสของกาม จะเข้านิพพานไม่ได้

(๑) เทวดาที่เป็นนางฟ้า มีวิมานอยู่อาศัยยังเสพกามได้ แต่มีลักษณะเป็นทิพย์

(๒) คำว่า "บริจากา" ไม่มีในพจนานุกรม แต่มีคำว่า "บริจาริกา" หมายถึง หญิงรับใช้

ในสวรรค์ทุกชั้นมีบริจาริกาไม่เท่ากัน ตามความจำเป็นในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์เทวดามีบาทบริจาริกามากกว่าชั้นอื่น

เหตุที่เทวดามีภรรยาหลายคน แล้วไม่บาป เป็นเพราะสมมติบัญญัติของเทวดาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของตน ถือว่าเป็นของตนโดยปริยาย ส่วนจะมีคู่ครองคนเดียว หลายคน หรือไม่ปรารถนาคู่ครอง ขึ้นอยู่กับสภาวธรรมในดวงจิตของเทวดา

บาทบริจาริกา ทำหน้าที่รับใช้ทุกอย่างที่เทวดาเพศชายต้องการ และเทพนารี (นางฟ้า) มีบาทบริจาริกาได้

เทวดาโสดาบันมีในทุกชั้นของสวรรค์ ยังเสพกามได้ เทวดาสกทาคามีไม่นิยมเสพกาม และพรหมอนาคามีไม่เสพกาม

จิตมิได้สูญหายไปไหน จิตที่มีสภาวธรรมต่างกัน ย่อมโคจรไปเกิดในภาพที่ต่างกัน พระป่าเล่าให้ฟังว่า จิตมิได้สูญอย่างที่มนุษย์คิด แต่จิตที่บริสุทธิ์ (ปราศจากสังโยชน์ ๑๐) ยังสามารถโคจรมาสู่วัฏสงสารได้ แต่ไม่มาเกิดเป็นรูปนามอยู่ในวัฏสงสารอีกต่อไป .... ต้องพิสูจน์

(๒) เทวดา (นางฟ้า) ชั้นยามา มุ่งปฏิบัติธรรมมากกว่ามุ่งเสพกาม

(๓) อโหสิให้แล้วครับ
 

2560.
ต้องกราบขออภัยและขอขมากรรมหากสิ่งใดล่วงเกินอาจารย์ทั้งกาย วาจา และใจค่ะ   ขออาจารย์ได้โปรดเมตตาและอโหสิกรรมให้ด้วยค่ะ

  ๑ หนูตั้งใจกินแต่ผักมาได้แปดปีแล้ว เพื่อฝึกตนเอง เคยเครียดกับตัวเองขนาดที่ว่าอดข้าวเพราะหาอาหารที่เป็นผักไม่ได้
ร้องไห้และอึดอัดหากมีชิ้นเนื้อสัตว์เข้าปาก เคยดูถูกคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ ฯลฯ
ทำให้ทั้งกายและใจไม่สบายอย่างมาก เมื่อได้ศึกษาเพิ่มเติมและรู้ว่าถึงแม้ตัวไม่กินเนื้อสัตว์
แต่ใจไม่สงบ กุศลก็ไม่เกิด หรือเกิดน้อย จนปัจจุบันนี้ หากจำเป็นจริงๆหนูจึงอนุญาตให้ตัวเองเลือก(เขี่ย) กินอาหารที่เหลือแล้วจากที่ผู้อื่นกิน(ส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว) เนื่องจากคิดว่าเป็นอาหารที่เขาให้ทานมา หากไม่กินก็จะต้องถูกทิ้ง เสียของ ก่อนกินก็จะแผ่เมตตาให้น้องเนื้อสัตว์ แล้วพิจารณาใจตัวเองว่ารู้สึกอะไรอยู่ ถ้ารู้สึกอยาก ก็จะรู้ๆๆจนความอยากหมดไป และเริ่มกิน ขณะกินก็สังเกตว่ารู้สึกอะไร ก็บริกรรมตามนั้น   การที่หนูอนุญาตให้ตัวเองเขี่ยกินแบบ "รู้" นี้ เหมาะสมตามหลักไปนิพพานหรือไม่อย่างไรคะ

  ๒ เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่มักจะเขียนร้องเรียน หรือแสดงความคิดเห็นในด้านต่างๆเพื่อปรับปรุงการทำงานของหน่วยงานนั้น โดยเฉพาะภาครัฐด้วยความเกลียด รำคาญ ดูถูก ฯลฯ   แต่ช่วงหลังๆ หนูจะกันอกุศลเกิดด้วยการนั่งดูใจก่อนเขียน พอว่างๆเบาๆก็เริ่มเขียน พอเขียนไปแล้วใจอกุศลด้วยความเกลียด หมั่นไส้ รำคาญ ก็จะหยุด "รู้"   แต่บางครั้งก็ไม่บริกรรม   และรอจนว่างๆ เฉยๆ   แล้วก็จะเขียนต่อจนเสร็จ   

   - การแสดงความคิดเห็น โดยมีสติ "รู้" อยู่เรื่อยๆแบบนี้ ถือว่าเป็นการทำให้อกุศลเกิดมั้ยคะ ต้องปรับปรุงอย่างไร   หรือว่าหนูเลิกไปดีกว่า แล้วรอให้"ธรรมชาติ"ดูแลไป (ทำอะไรก็จะได้อย่างนั้น)  

          ตั้งใจไปนิพพานค่ะ จึงพยายามลดอกุศลใหม่ ใช้กรรมอกุศลเก่า และสร้างกุศลใหม่ให้มากที่สุดไปเรื่อยๆ  

          ขอให้ความดีงามที่อาจารย์และผู้ถามทุกคนได้ทำร่วมกัน เป็นปัจจัยให้ถึงพร้อมส่งพวกเราทุกคนไปนิพพานในที่สุดด้วยเทอญ สาธุ

คำตอบ
(๑) การเว้นบริโภคเนื้อสัตว์นั้นเหมาะกับร่างกายของบางคน แต่หากจำเป็นต้องบริโภคเนื้อสัตว์ ต้องไม่สั่งให้เขาฆ่าสัตว์นั้นเพื่อเรา ต้องไม่เห็นเขาฆ่าสัตว์เพื่อเรา และขณะบริโภคต้องไม่สงสัยว่าเราเป็นต้นเหตุให้เขาฆ่าสัตว์ เพื่อนำเนื้อมาปรุงเป็นอาหารให้เรา

หากเป็นไปในลักษณะดังกล่าว บุคคลสามารถบริโภคได้โดยไม่ถือว่าเป็นปาณาติบาต

อนึ่ง หากบริโภคเนื้อสัตว์ แล้วทำให้เจ็บป่วย ต้องเว้นไม่บริโภคเนื้อสัตว์

การนำพาชีวิตไปสู่พระนิพพานนั้น ต้องใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์ ๑๐) ให้หมดไปได้แล้ว จิตวิญญาณจึงจะสามารถโคจรพ้นไปจากวัฏสงสารได้

(๒) ผู้ที่ยังมีจิตข้องอยู่กับสังคมหรือผู้อื่น ไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงภาวะนิพพานได้ สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นมิจฉาสติสั่งสมอยู่ในดวงจิต ตรงกันข้าม หากเป็นสัมมาสติแล้ว ต้องเอาจิตไประลึกรู้อยู่กับอย่างใดอย่างหนึ่งในสติปัฏฐาน ๔ (รูป เวทนา จิต ธรรม) ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อเห็นผัสสะเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น แล้วโอกาสที่จิตวิญญาณจะโคจรพ้นไปจากวัฏสงสาร ย่อมมีได้เป็นได้

สุดท้าย .... สาธุ
 

2559.
สวัสดีค่ะอาจารย์

หนูมีประเด็นตรงที่ว่าหนูเห็นว่าการมีครอบครัวนั้นเป็นทุกข์มาาาาาาาาาก   ไม่อยากมีสามี ไม่อยากมีลูก และจะดูแลพ่อแม่พี่น้องที่มีอยู่ให้ดีที่สุด   แต่แอบอธิษฐานไว้(เผื่อมีเจ้ากรรมนายเวรในรูปของสามีและลูก หลังจากที่เชื่อและศรัทธาเอาจริงว่าเจ้ากรรมนายเวรมีจริง)ว่า ถ้าชาตินี้จะมีคู่ครองขอให้เขาเป็นคนมีธรรม เป็นคู่บุญ และจะครองเรือนตามหลักธรรม เพื่อเกื้อหนุนกันไปพบนิพพานในที่สุด 

      จนปี ๕๓ ก็ได้พบและคบกับคู่คนปัจจุบันซึ่งเป็นชาวยิว ซึ่งเขาก็อยากมีครอบครัวที่มีพระเจ้า (หลักธรรม) นำทาง แต่ติดตรงที่หนูไม่ใช่ยิว เขาจึงไม่นับหนูเป็นภรรยาตามหลักศาสนายูดาย แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ได้เอาหลักธรรมของสองฝ่ายมาปรับใช้ ชวนกันทำบุญตามแนวทั้งสองศาสนา (ให้ทาน วิปัสสนา ฟังธรรม (วันอาทิตย์วัดอุโมง ค์ ) ตักบาตร เป็นอุปปัฏฐากแก่สงฆ์ คิดดี ทำดี ฯลฯ) รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อธรรมตามศาสนาอยู่เนืองๆ

        และตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน หนูก็จะย้ำกับเขาตลอดว่าหนูปรารถนาให้เขามีครอบครัวยิวที่ดีนะ (รู้ตัวว่าไม่ใช่หนูแน่นอน  ^^ เพราะลูกจะเป็นยิวได้ ต้องเกิดจากแม่ที่เป็นยิวเท่านั้นค่ะ) จนครั้งที่เขากลับไปประเทศบ้านเกิดปลายปี ๕๕ ดิฉันก็บอกเขาว่า "ไม่ต้องห่วงทางนี้ กลับไปคราวนี้ขอให้ได้เจอผู้หญิงยิวที่ดีและมีครอบครัวที่ดี และเดินในทางของพระเจ้านะ" เพราะหนูไม่ต้องการผูกเวรผูกกรรมกับเขา หากเขาอยากคบและสร้างครอบครัวกับผู้หญิงยิวขึ้นมา   จนวันหนึ่งเขาก็บอกว่ากำลังคบกับผู้หญิงยิวคนหนึ่ง

                จากนั้นดิฉันก็ฝึกปฏิบัติวิปัสสนา ฟังธรรม มากขึ้นกวาปกติ (พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ^^ เพื่อดูแลใจตัวเอง และแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเขาทั้งคู่) แต่ผู้หญิงก็ท้องขึ้นมาและขอเลิกกับเขา เขาจึงกลับมาเมืองไทย เพื่อวางแนวที่จะสร้างครอบครัวกับหนู และตอนนี้เขากำลังอยู่ที่บ้านเกิดเพื่อจะจัดการทุกอย่างให้จบลง(ด้วยดี) และกลับมาสร้างครอบครัวที่เมืองไทย   จึงใคร่เรียนถามว่า

          ๑ เพราะเหตุใดความปรารถนาของหนูในเรื่องมีคู่ชีวิตที่ดี จึงมีอุปสรรคคะ (หนูคบกับเขา แต่เขาก็ได้คบผู้หญิงอื่น)

          ๒ เป็นไปได้หรือไม่ อย่างไรคะ ที่เขาได้มีโอกาสเจอกับผู้หญิงอีกคนนั้นเพราะมาจากแรงปรารถนาของหนู

          ๓ เพราะเหตุใดความปรารถนาของหนูในเรื่องให้เขามีคู่ชีวิตที่ดี จึงมีอุปสรรคคะ (เขาเลิกกัน)

          ๔ ถ้าหนูจะอธิษฐานอย่างให้มีกิเลสน้อยที่สุด ในเรื่องที่จะสร้างครอบครัวกับเขาต้องทำอย่างไรคะ และมีปัจจัยอะไรที่เกี่ยวข้องกับการนี้บ้างที่จะทำให้ถึงพร้อม

          ๕ หลังจากที่ห่างกันไปอีกครั้งในรอบนี้ บางครั้งก็รู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องมีครอบครัวนะ เดินบนทางของเราไป(นิพพาน) ที่ผ่านมาทำดีที่สุดกับทั้งตัวเองและทั้งสองคนแล้ว   แล้วปล่อยทุกอย่างไปตามวิบากของใครของคนนั้น แผ่เมตตาอโหสิกรรมให้กันไป....นี่หมายถึงว่าชาติก่อนๆหนูปรารถนาว่าขอนิพพานและขอให้มีอุปสรรคน้อยลง ซึ่งมีกำลังแรงกว่าความปรารถนาที่จะมีครอบครัวรึเปล่าคะ

          ๖ การแผ่เมตตาให้ผู้อื่นทั้งๆที่ตัวเองยังอ่อนแอทางใจอยู่นี่ เหมาะสมหรือไม่อย่างไรคะ และควรทำอย่างไรให้เหมาะสม

          ๗ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรที่่ทำให้เราสามคนต้องมาพัวพันกันอย่างไรดีคะ ให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน แบบเจ้ากรรมนายเวรไม่ผูกใจเจ็บทุกคน

          ๘ ตอนนี้ต้องมาเฝ้าพี่ชายในโรงพยาบาลที่กวางโจว รู้ตัวว่ามีความกังวลเรื่องพี่ชาย เรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องการสร้างครอบครัวฯลฯ จึงตั้งใจว่าพอมีเวลาว่างจะบังคับให้ตัวเองวิปัสสนา แบบว่ามีพระธรรมเป็นที่พึ่ง แนวยุบ พอง สามหนต่อวัน หนละชั่วโมง แต่ไม่ได้เดินจงกรม อาศัยรู้หนอในกิริยาและความรู้สึกให้ได้มากที่สุด   จนรู้สึกตึงเปรี้ยะขึ้นมาในวันที่สี่ เครียด อึดอัดจนร้องไห้ พอวันที่ห้าขอเลิกทุกอย่าง แล้วมีสติกับกิริยาและความรู้สึกให้บ่อย สวดมนต์แล้วแผ่เมตตา และอธิษฐานเรื่องการสร้างครอบครัว

          - หนูต้องปรับการปฏิบัติธรรมอย่างไรในสถานการณ์นี้คะ

            รู้ตัวว่ายังมีกิเลสค่ะ "อยาก"มีเพื่อนเดินไปพบนิพพาน เลยรบกวนถามอาจารย์ให้ช่วยชี้ทางให้ผู้ที่ยัง"อยาก"ครองเรื่อน เพราะรู้สึกว่าพอมีคู่แล้วมีแรงเดินไปนิพพานมากขึ้น เหมือนมีสังฆะอยู่ใกล้ตลอดเวลาหน่ะค่ะ  

                                            ขอขอบพระคุณค่ะที่สละเวลามาตอบจดหมายของหนูผู้มีกิเลสแต่แอบใฝ่ดี สาธุค่ะ

คำตอบ
(๑) ผู้มีความเป็นสัพพัญญูตรัสว่า คู่ครองที่อยู่ด้วยกันและมีความสุข ต้องมีธรรมะสี่ข้อใกล้เคียงกัน คือ

- สมสัทธา

- สมสีลา

- สมจาคา

- สมปัญญา

ฉะนั้น จงนำชีวิตด้วยสติปัญญา และเป็นผู้ที่ไม่แพ้ใจตัวเอง ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้

(๒) และ (๓) ไม่ใช่แรงปรารถนาของผู้ถามปัญหา แต่เป็นแรงใจของเขาที่มีกำลังของสติอ่อน จึงไม่สามารถต้านกิเลสมารได้

(๔) อิสรภาพของชีวิต มีความสุขมากกว่า ความสุขที่เกิดจากกิเลสกาม หากผู้ถามปัญหาไม่แพ้ใจตนเอง ประพฤติตามข้อ (๑) ได้แล้ว ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้น

(๕) ผู้ใดชนะใจตนเองได้ ผู้นั้นจึงจะมีความสุข

(๖) การให้อภัยเป็นทาน ย่อมเกิดผลเป็นความสงบและเย็น และยังถูกเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิตเป็นเมตตาบารมี

คนที่มีเมตตาจะไม่เกิดโทสะ ปฏิบัติสมถกรรมฐาน แล้วยังมีโอกาสไปเกิดเป็นพระพรหมได้

(๗) ทุกครั้งที่บุคคลพัฒนาจิต (ปฏิบัติธรรม) ย่อมเกิดอานิสงส์เป็นบุญใหญ่ สามารถไปเกิดเป็นพรหม หรือเปลี่ยนสภาวธรรมในดวงจิตเป็นอริยบุคคลได้ ฉะนั้น พึงมีสติและอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง อุปสรรคและปัญหาของชีวิตย่อมลดน้อยลง และหมดไปได้ในที่สุด

(๘) ผู้ถามปัญหาควรแสวงหาที่เหมาะสม (สัปปายะ) แล้วปฏิบัติธรรมกับครูสอนกรรมฐานที่เข้าถึงธรรม โดยมีสัจจะ มีขันติ มีความเพียรเป็นแรงสนับสนุน และชีวิตอิสระจึงจะเกิดขึ้นได้

อนึ่ง ผู้ที่มีจิตเป็นทาสของกาม (อยากครองเรือน) ไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงสภาวะนิพพานได้ครับ
 

2558.
กราบเรียนถามท่านอ.ดร.สนอง

หนูเป็นคนที่ชอบโดนเซลหลอกขายของที่มีตำหนิให้ค่ะ เคยซื้อกล้องก็โดนเซลหลอกเอากล้องมีปัญหามาให้ หนูก็มาตรวจเจอตอนหลังก็ช้ำใจค่ะ ครั้งล่าสุดนี้หนูซื้อมอเตอไซด์ เซลบอกว่าเป็นรถใหม่ แต่พอซื้อแล้ว ถึงเพิ่งมารู้ว่าเป็นรถเก่า หนูเห็นเอกสารภายหลังว่าจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2555 ทั้งๆที่หนูก็ซื้อกับบริษัทที่เชื่อถือได้แต่ก็มาเจอเซลที่ทำงานในบริษัทนั้นๆแบบนี้ตลอดๆเลยค่ะ เซลอ้างว่าตัวแทนจำหน่ายมอเตอไซค์ยี่ห้อนั้นไม่ได้บอกเขา อยากกราบเรียนถามท่านอจ.ดังนี้ค่ะ

1 เวลาหนูเจอกรณีแบบนี้ หนูควรแจ้งร้องเรียนกับฝ่ายบริการหลังการขาย เพื่อให้เขาทราบพฤติกรรมของเซลคนนั้นๆไหมคะ เขาจะได้ไม่ประพฤติเช่นนี้กับลูกค้าคนอื่นอีกต่อไป หรือว่าหนูควรคิดว่ามันเป็นกรรมของหนู ที่ชาติก่อนอาจเคยทำมาค้าขายแล้วหลอกลวงลูกค้าไว้มากมาย ควรวางอุเบกขา คิดว่าชดใช้กรรมไป ไม่ต้องทำอะไร   โปรดชี้แนะด้วยค่ะ

2 หนูอยากได้เงินคืนบางส่วน เพราะเขาแจ้งว่าเป็นรถใหม่ แต่นี่ปรากฏว่าเป็นรถเก่า 2 ปีแล้ว หนูเห็นราคาที่ประกาศขายในท้องตลาดจะลดลงประมาณ 40-50% หนูควรจะเจรจากับเขา เพื่อขอเงินคืนบางส่วนไหมคะ หรือคิดว่าชดใช้กรรมแล้วปล่อยไป โปรดชี้แนะด้วยค่ะ

3 การที่หนูซื้อของที่ราคาแพงๆ แล้วเจอแบบนี้บ่อยๆ หนูจะทำบุญอะไรที่จะแก้ไขได้บ้างคะ ที่ต่อไปจะไม่ต้องเจออีกค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอ.อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ข้อ (๑) และ (๒) เรื่องที่บอกเล่าไปแก้ปัญหาได้สองทาง

ก. หากจะชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดไปชั่วคราว ต้องให้อภัยเป็นทาน และต้องยุติการซื้อสิ่งของ จากร้านหรือบริษัทดังกล่าวอีกต่อไป

ข. หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะผูกเวรต่อเนื่อง ต้องร้องเรียนผู้มีอำนาจเหนือกว่า ให้เขาจัดการให้
 

2557.
รบกวนเรียนสอบถามดังนี้ครับ
 
1. ถ้าเรานับถือเจ้าแม่กวนอิม จำเป็นไหมที่ต้องไม่ทานเนื้อ จำพวก เนื้อโค หรือเนื้อ กระบือ
2. สัญญาณใดที่แสดงให้เรารู้ว่าบุญได้ส่งผลแล้ว
3. เราควรอธิษฐานอย่างไรเมื่อต้องออกจากบ้านเดินทางไปที่ต่าง ๆ
4. เมื่อไม่นานมานี้กระผมได้ให้เงินบิดา ( 500 บาท) และบิดาข้าพเจ้าดีใจมาก โดยแสดงออกถึงความดีใจอย่างมาก และกระผม ก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นอย่างมากเช่นกัน กรณีเช่นนี้ได้บุญหรือไม่ครับ เมื่อเงินที่ให้เพียงเล็กน้อย
5. ถ้าเรารู้ว่าการที่เราให้เงินบิดา-มารดาไป แล้วท่านนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี เราจะไม่ให้ได้หรือไม่ครับ

สุดท้ายนี้ ถ้ากระผมได้ล่วงเกินอาจารย์ทางกาย วาจา ใจ ทั้งที่เจตนาก็ดี มิได้เจตนาก็ดี กราบขออภัยและขออโหสิกรรมด้วยครับ

ธนภัทร

คำตอบ
(๑) จำเป็นครับ

(๒) เมื่อบุญได้ส่งผลแล้ว ความสุขกายสุขใจย่อมเกิดขึ้น

(๓) คำว่า "อธิษฐาน" หมายถึง การตั้งจิตปรารถนาในสิ่งที่ดีงาม บุคคลสามารถบรรลุคำอธิษฐานได้ต่อเมื่อ ต้องมีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น และยิ่งมีสัจจะด้วยแล้ว คำอธิษฐานย่อมศักดิ์สิทธิ์

ก่อนเดินทางออกจากบ้าน ต้องมีสติคุมใจ พร้อมทั้งอธิษฐานให้เดินทางด้วยความสะดวก ราบรื่นและปลอดภัย ทั้งไปและกลับ

(๔) การให้ทรัพย์เป็นทานต่อบิดาผู้มีอุปการคุณ เมื่อให้แล้วย่อมเกิดบุญกับผู้ให้ และยิ่งบิดาอนุโมทนาการให้ทานของบุตร บุญย่อมเกิดเพิ่มมากขึ้น พระสารีบุตรเปลี่ยนความเห็นผิดของแม่ (นางสารี) จากปุถุชนมาเป็นอริยบุคคลโสดาบัน ถือเป็นการให้ทานสูงสุด

(๕) เมื่อรู้ว่าทรัพย์ที่บุตรให้แก่บิดามารดานั้น ถูกนำไปใช้ในทางที่เป็นอกุศล แล้วบุตรยุติการให้ทรัพย์แก่พ่อแม่ ไม่ถือว่าเป็นบาป
  

2556.
สวัสดีท่านอาจารย์ที่เคารพ และกราบอนุโมทนากับอาจารย์ที่ชี้หนทางแห่งการพ้นทุกข์ให้กับที่เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด.  

ตอนนี้อยากจะถามอาจารย์ว่า พอปฎิบัติแล้วยิ่งเบื่อในการเรียนบทเรียนชีวิตพอเห็นคนก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย   มีแต่ความโลภ  โกรธ.   หลงคิดว่าไฟสามกองนี้มันร้อนจึงหาวิธีที่จะดับไฟสามกองนี้ก็หันเข้ามาปฎิบัติ  พอปฎิบัติถามตัวเองอยู่เพื่ออะไรไปเพื่อไร สมัยก่อนไม่รู้จักตัวเองรูแต่เรื่องของคนอื่น ไม่เคยโทษตัวเองเลยโทษแต่คนอื่นแต่พอปฎิบัติจริงเราเดินทางผิด ทางที่พระพุธทเจ้าบอกว่าถ้าอยากพ้นทุกข์ให้ดูที่ตัวเองค้นหาตัวให้ได้ว่าตัวเรามีอะไร พอค้นหาก็มีแต่ธาตุและขันธ์หรือรูปกับนามไม่เห็นมีตัวเราเลย พอปฎิบัติก็เห็นการเกิดมันเป็นทุกข์  จึงหาหนทางดับการเกิดการแก่การตาย ไม่อยากกับมาเรียนบทเรียนอีกถึงมันจะยากแต่ถ้าเรามีความเพียรตอนที่ทำอยู่ คือทานศีลภาวนาครั้งนี้พิมพ์ครั้งแรกถ้าพิมพ์ผิดก็ขอโทษด้วยนะคะ

อยากให้อาจารย์ชี้แนะด้วยคะเพื่อเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ขอกราบอนุโมทนากับอาจารย์จะรอคำตอบ

คำตอบ
คนขาดสติ นิยมเอาเรื่องที่ไม่ดีของคนอื่นมาทับถมใจตัวเอง คนที่ใช้อารมณ์นำพาชีวิต ย่อมมีความโลภ ความโกรธ ความหลง สั่งสมอยู่ในจิต หากตายลงในวันใด กิเลสใหญ่ทั้งสามนั้นมีพลังผลักดันจิตวิญญาณ ไปสู่ภูมิที่ปราศจากความเจริญ (อบายภูมิ) ตรงกันข้าม บุคคลที่ใช้สติสัมปชัญญะ ส่องนำทางให้กับชีวิต ตายแล้วพลังของกุศลธรรม (บุญ) ย่อมผลักดันจิตวิญญาณสู่สุคติภพ ดังนั้นการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และใช้สติสัมปชัญญะ ส่องนำทางให้กับชีวิต ต้องทำงานภายนอกที่ดีให้กับสังคมส่วนรวม และยังต้องทำงานภายในให้กับตัวเอง เพื่อสั่งสมบุญเดินทางไปสู่ปรโลกที่เป็นสุคติภพ

ผู้ที่ใช้สติสัมปชัญญะส่องนำทางชีวิต ย่อมรู้ว่า ชีวิตเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตน จึงต้องเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเอง ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระผู้ทรงความเป็นสัพพัญญูออกเผยแพร่ธรรม พระพุทธองค์มิได้เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของคนอื่น แต่พระองค์เป็นได้เพียงผู้ชี้ทางสู่คติและสู่ทุคติ ให้พุทธศาสนิกเลือกประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง ดังนั้น ผู้ถามปัญหาจะนำพาชีวิตไปทางไหน ต้องเลือกด้วยตัวเองครับ
 

2555.
กราบสวัสดีค่ะ

1. จะถามเรื่องพ่อค่ะ  เวลาว่างๆ ของพ่อ   พ่อชอบไปตกปลา ตกกุ้ง ค่ะ ทำอย่างไรจะให้พ่อเลิกตกปลา ตกกุ้งค่ะ เพราะตอนเช้าท่านก็ทำงาน ช่วงหลังเที่ยงเป็นต้นไปก็ว่าง  เป็นแบบนี้ทุกวันค่ะ    เลยเป็นข้ออ้างของพ่อค่ะว่าว่างไม่มีอะไรทำ   ตกได้ปลาได้กุ้งมาก็นำมาทำอาหารทานค่ะ (ทั้งๆ ที่ สามารถหาซื้อทานเองได้ค่ะ)    เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม พ่อก็คงเลิกไปเองน่ะค่ะ แค่ต้องการทราบว่ามีทางไหนช่วยให้ท่านเลิกได้เร็วขึ้นค่ะ  เมื่อก่อนเคยบอกพ่อไปหลายครั้งแล้วค่ะ ว่าสงสารปลา กุ้ง แต่ปัจจุบันก็แค่รู้เฉยๆ ค่ะ ว่าพ่อ ไปตกปลา ตกกุ้ง ถ้าเห็นกุ้ง ปลา ที่พ่อตกมา ที่ยังไม่ตาย ก็เคยนำไปปล่อยกลับลงสู่คลองหลายครั้งแล้วค่ะ ถ้าพ่อโกรธหรือด่าเราที่นำปลา กุ้ง ของท่านไปปล่อย (บาปไหมค่ะ)  

2. เวลานั่งสมาธิ เมื่อต้องอุทิศบุญ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเราก่อนทุกครั้ง แล้วจำเป็นต้องอุทิศให้เทวดาประจำตัวไหมค่ะและต้องการทราบว่า บุคคลอื่นๆ (ภูตผีปีสาททั้งหลาย เทพบุตรเทพธิดาทุกๆ พระองค์ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย) ต้องอุทิศทุกครั้งหลังจากที่นั่งสมาธิหรือทำบุญอะไรก็ตาม หลังจากที่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรแล้วใช่มั้ยค่ะ จำเป็นต้องเน้นให้เจ้ากรรมนายเวรเราก่อนและอุทิศบ่อยๆ  ส่วนบุคคลอื่น ควรอุทิศตอนไหนบ้างค่ะ จำเป็นต้องอุทิศทุกวันไหมค่ะ(บุคคลอื่นๆ)   ช่วยอธิบายด้วยค่ะ  

           ขอแสดงความเคารพอย่างสูงค่ะ  

คำตอบ
(๑) วิธีแก้ปัญหาที่บอกเล่าไป ลูกต้องนำพ่อเข้าวัดและสนทนากับพระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมบ่อยๆ แล้วผู้เป็นพ่อก็จะเลิกตกกุ้งตกปลาไปเอง

การขัดใจแล้วทำให้ผู้อื่นบันดาลโทสะ (โกรธ) ผู้เป็นต้นเหตุขัดใจได้รับผลบาปครับ

(๒) การบำเพ็ญจิตตภาวนา เป็นบุญใหญ่สุด เพราะสามารถนำพาชีวิตไปสู่พระนิพพานได้ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จึงนิยมทำตัวเป็นผู้ให้สิ่งดีงาม (อุทิศบุญ) แก่สรรพสัตว์ เพราะให้สิ่งดีงามแก่ผู้อื่น ย่อมได้รับความเป็นเพื่อนตอบกลับคืนมา ผู้รู้จริงนิยมอุทิศบุญทุกครั้งที่นึกได้ หรืออุทิศบุญก่อนนอนทุกวัน ส่วนการอุทิศบุญให้กับสัตว์ (รูปนาม) ใดนั้น ขึ้นอยู่กับการระลึกได้ของผู้อุทิศ
 

2554.
กราบเรียนท่านอ.ดร.สนอง วรอุไรครับ

- ครั้งหนึ่งผมมีกิจกรรมที่ต้องไปค้างคืนนอกสถานที่ ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้จุดธูปเพื่อบอกกล่าวเจ้าที่และ เทวดาที่อารักขา ณ บริเวณนั้น ว่าจะมีกิจกรรมเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนั้น และผมมีจุดประสงค์ที่จะสวดมนต์บทธารณปริตร ให้เหล่าเทวดาที่อารักขาอยู่ได้ฟังด้วย แต่ในขณะที่ผมสวดอยู่ ผมมีอาการร่างกายและเสียงสั่นเองไปโดยอัตโนมัติ โดยจิตภายในก็รู้อยู่ ว่าตัวเองกำลังสั่น แต่ก็ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ จึงอยากเรียนถามว่า อาการเช่นนี้ เกิดจากอะไร ทำไมอาการแบบนี้จึงเกิดขึ้นและ มีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ
- เหตุการณ์ต่อมา คำถามนี้อาจจะเป็นคำถามไร้สาระสักหน่อยครับ ในช่วงกลางคืน มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น เช่น โปรเจคเตอร์เปิดได้เอง จอเลื่อนลง-ขึ้นเอง เป็นต้น เหตุการณ์เช่นนี้ผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากความผิดพลาดของอุปกรณ์เอง หรือจากสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ถ้าเกิดจากสิ่งเหล่านี้จริง ผมอยากทราบว่า เกิดจากอะไร และเขาเหล่านั้นต้องการอะไรหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ ผมได้กรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้ไปแล้วครับ

ขอบคุณอาจารย์ที่เมตตาครับ

คำตอบ
ร่างกายสั่น เสียงสั่น เหตุเป็นเพราะ จิตมิได้จดจ่อ (ขาดสติ) อยู่กับคำที่ใช้ในบทสวดมนต์ แก้ไขโดยการสวดมนต์ด้วยใจจดจ่อ แล้วจะทำให้การสวดมนต์ช้าลง และต้องสวดไม่ผิดไปจากอักขระของบทมนต์

ตอนท้ายที่ถามไป เหตุเป็นเพราะ ผู้ถามปัญหามิได้เอาจิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ ตรงกันข้าม เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับการเปิด การเลื่อนจอภาพขึ้น-ลงของคอมพิวเตอร์ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงเกิดเป็นจินตนาการของจิตไปต่างๆนาน .... ผิดทางครับ
 

2553.
สงสัยเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ

ดิฉันขอรบกวนท่านช่วยตอบข้อสงสัย เนื่องจากมีปัญหาในการทำสมาธิค่ะ ดิฉันนั่งสมาธิเจริญภาวนาเป็นประจำทุกวัน   โดยเดินจงกรม 30 นาที   แล้วนั่งสมาธิ 30 นาที   จนวันหนึ่งเหมือนกับตัวเองมองดูตัวเองทุกอากัปกิริยา ตั้งแต่เดินจงกรม นั่งสมาธิ เหมือนกับคนที่เดิน-นั่งอยู่นั้นไม่ใช่ตัวเอง และมีอยู่ชั่วหนึ่ง รู้สึกสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ผุดออกมาจากรูขุมขนทุกรูขุมขน และมีอาการเช่นเดิมเป็นเวลาเกือบ   1 อาทิตย์ แล้วก็ไม่มีอาการเช่นนั้น   หลังจากนั้นมานั่งสมาธิแล้วแทบไม่รู้สึกอะไรเลย นิ่งมาก เหมือนนั่งเฉยๆ เหมือนไม่ได้อะไรเลย จะแก้ไขได้อย่างไร ขอขอบคุณค่ะ

ขอบคุณค่ะ
เสาวนีย์   หีตลำพูน

คำตอบ
ตามที่บอกเล่าไป ผู้ถามปัญหาดำเนินมาได้ถูกทางแล้ว แต่มีแก้ไขเล็กน้อยคือ ขณะจิตนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดๆเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า "นิ่งหนอๆๆๆๆ" ไปเรื่อยๆ จนกว่าความนิ่งจะหายไป แล้วเอาจิตมาสู่การบริกรรมเดิมที่ทำอยู่
 

2552.
กราบเรียนท่าน อ.ดร.สนอง วรอุไร
 
ผมสังเกตว่าตัวผมเองนั่งสมาธิใช้คำบริกรรมแล้วฟุ้งซ่านได้ง่ายกว่าไม่ใช้คำบริกรรมแต่ตามลมหายใจอย่างเดียว
ทั้งนี้มีความรู้สึกว่าเวลาใช้คำบริกรรม จิตไปอยู่กับคำบริกรรม ยุบหนอ พองหนอ หรือ พุท โธ มากกว่าเอาจิตไปอยู่ที่ท้อง หรือ ลมหายใจจริงๆ แล้วก็กลายเป็นว่า ในหัวท่องคำบริกรรมไป แต่ใจยังหลุดไปคิดเรื่องอื่น แต่พอลองไม่ใช้คำบริกรรมมาดูลมหายใจอย่างเดียวกลับรู้สึกว่าจิตเป็นสมาธิได้ง่ายกว่า เพราะโฟกัสจุดเดียวที่ลม ที่ท้องไปเลย ทั้งนี้ผมก้อเพิ่งเริ่มฝึก ไม่ได้ฝึกมานาน  ( คนละกรณีกับบริกรรมจนถึงจุดที่คำบริกรรมหายไปเอง)   ไม่ทราบว่าผมมาถูกทางหรือไม่ เพราะ ได้ยินว่าช่วงแรกคำบริกรรมจะช่วยดึงจิตไว้ได้ดีกว่าสำหรับผู้เริ่มฝึกใหม่   ถ้าไม่บริกรรมจะฟุ้งซ่านได้ง่าย  ( แต่ผมตรงข้าม)  

อยากให้ท่านอาจารย์ให้คำแนะนำ ว่าควรฝึกแบบนี้ต่อไปหรือไม่ ถ้าควร โดยหลักผมต้องตามลมหายใจทั้งสาย หรือ ตามเฉพาะท้องยุบ ท้องพอง แล้วถ้าไปคิดเรื่องอื่น หรือ ปวด คัน ง่วง ต้องพิจารณา หรือกำหนด อย่างไร
ทั้งนี้ถ้าผมถูกจริตกับวิธีการนี้ จะไปศึกษา ปฏิบัติ ปรึกษาหรือสอบอารมณ์ได้กับท่านไหน ที่ไหนได้บ้าง เพราะโดยมากสำนักต่างๆจะสอนให้ใช้คำบริกรรม

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
วิธีการใดที่นำมาบริกรรมแล้วจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย จงใช้วิธีการนั้น ตรงกันข้าม วิธีการใดนำมาใช้แล้วมีจิตฟุ้งซ่าน จงเลิกใช้วิธีการนั้น

ถามไปว่า : ดำเนินปฏิปทาถูกทางหรือไม่

ตอบมาว่า : ผิดทางครับ ผู้ที่ดำเนินปฏิปทาได้ถูกทางมีผลเป็นดังนี้

ก. เจริญสมถกรรมฐานแล้ว จิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ

ข. เจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้ว จิตต้องเกิดปัญญาเห็นแจ้ง

ถามไปว่า : ควรฝึกแบบนี้ต่อไปหรือไม่

ตอบมาว่า : วิธีการใดที่นำมาใช้พัฒนาจิตแล้ว ทำให้จิตตั้ง มั่นเป็นสมาธิ จงใช้วิธีการนั้น

ผู้ที่เข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้ง่าย ต้องปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา คือต้องเอาศีลบริสุทธิ์คุมใจให้ได้ก่อน แล้วเร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรม (๕-๖ ชั่วโมงต่อวัน) ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
 

2551.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

ดิฉันมีความทุกข์ใจเนื่องจากสามีนอกใจมีหญิงอื่น เพื่อนแนะนำให้ฟังธรรม ก็ได้ search มาเจอการบรรยายธรรมะของท่่าน รู้สึกเลื่อมใสการเผยแพร่ธรรมของท่านอจ.มาก ก่อนหน้านี้ก็เคยอ่านหนังสือของท่านอจ.  

ดิฉันอยากเรียนถามท่านอจ.ว่าชีวิตครอบครัวจะแตกแยกหรือไม่   ดิฉันควรทำอย่างไรดี ลูกสาวก็ไม่อยากให้ครอบครัวแตกแยก ลูกสาวตอนนี้เรียนปริญญาตรีที่ london จบเดือนมิยนี้แล้วอยากจะเรียนฝังเข็ม ถ้าดิฉันตัดสินใจพลาด เกรงว่าจะกระทบอนาคตลูก ดิฉันอยู่ต่างประเทศค่ะ สามีก็เป็นคนต่างประเทศ

อยากขอความเมตตาจากท่านอจ.ช่วยแนะนำค่ะ

ขอแสดงความเคารพอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
พระผู้ทรงความเป็นสัพพัญญู ได้ตรัสในทำนองที่ว่า ผู้ใดปรารถนามีชีวิตคู่ที่ดีงาม ต้องทำเหตุสี่อย่างให้มีกำลังใกล้เคียงกัน

๑. มีความเชื่อพอๆกัน (สมสัทธา)

๒. มีศีลเสมอกัน (สมสีลา)

๓. มีการสละบริจาคพอๆกัน (สมจาคา)

๔. มีปัญญาใกล้เคียงกัน (สมปัญญา)

นอกจากนี้พระผู้ทรงความเป็นสัพพัญญู ยังได้ตรัสในทำนองที่ว่า

๑. มนุษย์มีสมบัติ เป็นห่วงผูกขา

๒. มนุษย์มีสามี/ภรรยา เป็นห่วงผูกมือ

๓. มนุษย์มีบุตร/ธิดา เป็นห่วงผูกคอ

และพระผู้ทรงความเป็นสัพพัญญู ยังได้ตรัสไว้อีกว่า

"มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ พรหมสมบัติ เป็นสิ่งที่ครอบครองได้ชั่วคราว ตายแล้วต้องทิ้งไว้ให้ ไร้เจ้าของ (กำพร้า) แต่นิพพานสมบัติ (วิมุตติสุข) เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน สามารถครอบครองได้ตลอดไป"

ดังนั้นผู้ถามปัญหาพึงเลือเอาเองตามสติปัญญาเกิด

เส้นทางชีวิตของลูกจะดำเนินไปอย่างไร ผู้รู้จริงแท้ไม่เข้าไปก้าวล่วง บุคคลมีชีวิตเป็นของตนเอง จึงต้องเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเอง