ศิลปะแห่งการใช้อำนาจ อำนาจ คำนี้ช่างเป็นสิ่งหอมหวนยิ่งนักสำหรับผู้คนทุกยุคทุกสมัย หลายคนคิดว่าอำนาจสามารถบันดาลชื่อเสียง เกียรติยศเงินทอง ซึ่งเป็นที่มาของสิ่งที่สังคมเรียกว่า ความสุข ในขณะที่คนไร้อำนาจก็คิดว่าชีวิตนี้ช่างแสนทุกข์ เมื่ออำนาจถูกตีตราว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างสุขและกำจัดทุกข์เช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายจึงแสวงหาวิธีการทำให้ได้มาซึ่งอำนาจ โดยมองข้ามไปว่าวิธีการเหล่านั้นอาจสร้างความทุกข์ให้แก่ผู้อื่น และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ลืมใช้สติพิจารณาว่าอำนาจที่ได้มานั้นสามารถสร้างความสุขที่แท้จริงให้แก่ชีวิตได้จริงหรือ หากพูดถึง อำนาจ คนทั่วไปคงมองเพียงแค่ว่า เป็นเครื่องมือที่สามารถบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามความต้องการของตน บางคนรู้สึกว่าถ้ามีอำนาจ พวกเขาจะสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ หลายคนคิดว่าอำนาจสามารถทำให้การงานประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้คนรอบข้างรับฟังเขา บ้างก็ว่าอำนาจทำให้ร่ำรวยและทำให้เขามีอิสระในการทำสิ่งต่างๆ ในเมื่ออำนาจสามารถบันดาลได้ทุกสิ่งดังที่สังคมเชื่อ ผู้คนจึงพยายามแย่งชิงสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริงแล้วอำนาจเป็นสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในตัวตนของมนุษย์ทุกคน โดยไม่ต้องไปไขว่คว้าหามาจากไหน อำนาจที่ว่านั้นก็คือ อำนาจที่มาพร้อมกับบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเจ้านาย เป็นลูกน้อง เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นทหาร เป็นตำรวจ หรือแม้กระทั่งเป็นประชาชนคนเดินดินก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้าขึ้นชื่อว่าอยู่ในสังคมมาแล้วไซร้ ย่อมมีอำนาจเป็นของตนเอง เช่นพ่อแม่มีอำนาจในการสร้างครอบครัวครู อาจารย์มีอำนาจในการอบรมศิษย์ เจ้านายมีอำนาจในการดูแลลูกน้อง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการดูแลประเทศ ปัญหาเรื่องความไร้อำนาจจึงเป็นอันตกไป เหลืออยู่ก็แต่ว่า เราแต่ละคนจะใช้อำนาจอย่างไรให้ตนเองและผู้อื่นไม่ตกอยู่ในห้วงแห่งทุกข์ พร้อมทั้งสร้างความสุขให้เกิดขึ้นด้วย อำนาจที่แท้จริง อย่างที่เกริ่นไว้ว่า ไม่ว่าจะยุคใด สมัยใด ค่านิยมของสังคมคืออำนาจนำมาซึ่งความสุข แต่การจะดูว่าความสุขเหล่านั้นเป็นความสุขที่แท้จริงหรือความสุขจอมปลอมนั้น ท่านติช นัท ฮันห์ แห่งหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Art of Power ว่า หากอยากรู้ว่าอำนาจสามารถสร้างความสุขให้เราได้จริงหรือไม่ ให้เราหันหลังกลับมามองที่ครอบครัวเพื่อสังเกตว่าคนในครอบครัวมีความสุขไปกับเราด้วยหรือไม่ เพราะบางคนอาจจะกำลังพยายามทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ได้เงินมากๆ จะได้เลื่อนขั้นสูงๆ ทั้งนี้ก็เพราะเข้าใจว่าเงินทอง อำนาจ เกียรติยศ จะทำให้ครอบครัวมีความสุข จึงทุ่มเทให้การทำงานโดยไม่เหลือเวลาให้ครอบครัว ไม่เคยเลยที่จะได้กล่าวว่าราตรีสวัสดิ์กับลูกๆ ไม่เคยที่จะได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารเช้าที่ภรรยาตั้งใจปรุงให้อย่างสุดฝีมือ แต่เมื่อหันกลับมาดูจึงรู้ว่า สิ่งที่เขาทำอยู่เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่เขาต้องการนั้น ไม่ได้ช่วยให้คนรอบข้างมีความสุขขึ้นเลย แต่กลับเป็นการสร้างความทุกข์มหาศาลให้แก่คนในครอบครัวโดยไม่รู้ตัว ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวว่า อำนาจที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เงินทอง ชื่อเสียง หรือเกียรติยศ แต่ได้แก่ ๑. อำนาจแห่งการหยุด จิตใจคนเรานั้นไม่ต่างอะไรกับบ่อน้ำ เมื่อมีคนเดินลุยน้ำ น้ำก็จะขุ่น แต่เมื่อผ่านไปสักพัก น้ำก็จะตกตะกอนจนใส เช่นเดียวกับจิตใจของคนเรา บางครั้งการเมือง เศรษฐกิจ ชื่อเสียง และเงินทอง อาจเข้ามากวนจิตจนเรามองไม่เห็นว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร ดังนั้นอำนาจแรกที่สำคัญที่สุดก็คือ อำนาจแห่งการหยุด หยุดเพื่อเรียนรู้ที่จะทำให้น้ำใส และหยุดความวุ่นวายเพื่อใช้ชีวิตให้ช้าลง หลายคนมักบ่นอยู่เสมอว่าชีวิตนี้ช่างยุ่งเหลือเกินแต่ความจริงแล้ว ความยุ่งที่ว่าน่าจะหมายถึงความยุ่งทางใจมากกว่าความยุ่งทางกาย เช่น ในขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวอยู่อย่างพร้อมหน้ากับทุกคนในครอบครัว ในใจเรากลับคิดถึงเรื่องงาน นั่นก็แปลว่าเรากำลังยุ่ง หากเรามีอำนาจในการหยุด แล้วกลับมาตามสังเกตลมหายใจ สังเกตปัจจุบันขณะว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และจริงๆ แล้วเราควรทำอะไรกันแน่ ความยุ่งก็จะจางหายไป เหลือเพียงความสงบนิ่งเป็นสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำ หากเรากำลังกินข้าวอยู่ ก็ตั้งใจจดจ่ออยู่กับการกินข้าวเพียงอย่างเดียว หากเรากำลังรับโทรศัพท์ก็พุ่งสมาธิไปที่การพูดโทรศัพท์ เมื่อเรารู้ตัวว่าแต่ละขณะเรากำลังทำอะไรและควรจะทำอะไร เราก็จะไม่ยุ่ง ไม่ขุ่นมัว ทำให้สามารถทำในสิ่งที่กำลังอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงทำได้อย่างสมบูรณ์ How-to : กระจกแห่งการหยุด วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณหยุดอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันทำงานได้เป็นอย่างดีก็คือ การนำ กระจก บานเล็กๆ มาวางไว้ข้างโทรศัพท์เพื่อที่ว่าทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คุณจะได้หันไปมองกระจกเพื่อหยุดดูว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในอารมณ์ ไหนกำลังโมโหหรือโกรธใครอยู่หรือเปล่า และเมื่อคุณรู้ตัวแล้ว ก็ให้หยุดนิ่งแล้วหายใจเข้า-ออกสักสองสามครั้ง จากนั้นจึงยิ้มน้อยๆให้กระจกก่อนจะรับโทรศัพท์ วิธีนี้จะทำให้คุณมีสติมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้คุณส่งอารมณ์และความทุกข์ต่างๆไปยังบุคคลปลายสายอีกด้วย ๒. อำนาจแห่งการปฏิบัติ อำนาจแห่งการปฏิบัติเป็นอำนาจในการดับความทุกข์ บ่อยครั้งเรามักมีความทุกข์โดยที่ไม่รู้ว่าเราทุกข์เพราะอะไรหรือแม้จะรู้ว่าทุกข์เพราะอะไร แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะดับทุกข์ได้อย่างไรเช่น ผู้บริหารที่รู้ว่ากำลังเกิดวิกฤติขึ้นในองค์กร แต่ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของวิกฤติเลยว่าคืออะไรมาจากไป และจะแก้ไขวิกฤตินั้นได้อย่างไร เหมือนคนตาบอบที่ไม่สามารถหาทางออกจากทุกข์ได้ หลายปัญหาในสังคมเกิดขึ้นเพราะการไม่รู้ถึงเหตุแห่งปัญหาดังนั้นการแก้ปัญหาโดยไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงจึงไม่ได้สร้างความสุขที่แท้จริงให้เกิดขึ้น ซ้ำร้ายยังอาจจะกลายเป็นการสร้างความทุกข์ให้เพิ่มมากขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องใช้อำนาจในการปฏิบัติเพื่อดูแลความทุกข์ด้วยการหมั่นฝึกปฏิบัติภาวนา ไม่ว่าจะด้วยการตามดูลมหายใจเข้า-ออก การก้าวย่างอย่างมีสติ หรือการนั่งสมาธิ การปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิตจะทำให้เรารู้เท่าทันความทุกข์ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วก็จะโบกมือลาจากไป อีกทั้งยังช่วยให้เราตระหนักรู้ได้ว่า อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ และจะดับทุกข์ได้อย่างไร อำนาจแห่งการปฏิบัติจึงถือได้ว่าเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่เพราะเหตุนี้ How-to: สร้างอำนาจแห่งการปฏิบัติได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เราสามารถปฏิบัติภาวนาในชีวิตประจำวันได้ทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน บนรถเมล์ หรือแม้แต่ในที่ทำงาน เช่น เมื่อเราเดินก็ให้เดินอย่างเดียว เมื่อรู้ตัวว่าจะต้องพูดก็ให้หยุดเดินก่อนแล้วจึงพูด หรือหากจะพูดโทรศัพท์มือถือก็ไม่ควรพูดไปด้วยในขณะที่กำลังเดินอยู่ การทำตามวิธีง่ายๆ เช่นนี้เป็นประจำจนเป็นนิสัย จะทำให้เรามีสติรู้ตัวว่าขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่ และสามารถรู้เท่าทันอารมณ์ รวมทั้งเห็นเหตุแห่งทุกข์ได้ชัดเจนขึ้น การมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการทำสิ่งสิ่งเดียว ยังทำให้กิจการต่างๆ ลุล่วงไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ๓. อำนาจในการสร้างครอบครัวให้เป็นสุข การสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในครอบครัวนั้น เป็นอำนาจสำคัญที่จะสร้างสันติสุขให้แก่โลกใบนี้ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า หลายต่อหลายคนมักใช้อำนาจเพื่อสร้างฐานะ เงินทอง ชื่อเสียง โดยที่ไม่เคยหันกลับไปมองเลยว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความสุขที่แท้จริงสำหรับชีวิตหรือไม่ เพื่อสร้างหรือคงไว้ซึ่งอำนาจ หลายคนทีต้องออกไปทำงานแต่เช้าตรู่ แล้วกลับบ้านดึกดื่นทุกวัน แม้กระทั่งในวันหยุดสุดสัปดาห์และดำเนินชีวิตเช่นนี้จนเป็นนิสัยโดยที่ไม่เคยรู้ หรืออาจจะรู้ แต่ลืมไปว่า แท้จริงแล้วความสุขนั้นเกิดขึ้นง่ายๆ เพียงแค่คุณกลับไปกินข้าวกับที่บ้านสักมื้อเท่านั้น ดังนั้นก่อนที่เราจะให้อำนาจเพื่อสร้างผลกำไร สร้างความสงบสุขให้แก่องค์กร สังคม และประเทศชาติ เราทุกคนควรหันกลับไปมองก่อนว่า คนในครอบครัวของเรามีความสุขแล้วหรือยัง ทั้งนี้ก็เพราะครอบครัวเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม หากเราไม่สามารถดับทุกข์และสร้างสุขให้แก่คนในครอบครัวของตนเองได้ ก็ย่อมไม่สามารถสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในองค์กรหรือประเทศชาติได้เช่นกัน How-to : สร้างสุขให้ครอบครัวด้วย Dinner Meditation ลองเริ่มต้นสร้างความสุขให้แก่คนในครอบครัวของคุณ ด้วยการฝึกปฏิบัติภาวนาบนโต๊ะอาหาร เพื่อสร้างชุมชนเล็กๆ แห่งการปฏิบัติภาวนาให้เกิดขึ้น ด้วยการเป็นฝ่ายชวนสมาชิกในครอบครัวให้ร่วมกันพิจารณาอาหาร ว่าแต่ละจานมีที่มาจากไหน ต้องเดินทางไกลและแปรสภาพกี่ครั้งกว่าจะมาสู่จานอาหารของเรา จากนั้นก็ฝึกการหยุดและสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดขึ้น ด้วยการค่อยๆ เคี้ยวข้าวให้ได้ประมาณคำละ 30 ครั้ง เพื่อให้จิตจดจ่ออยู่กับการเคี้ยวในปัจจุบันขณะ และตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของอาหารแต่ละคำ บารมี 10 อำนาจที่คุณสร้างได้ ในทางพระพุทธศาสนา อำนาจ คือสิ่งที่จะแปรผันตาม บารมี และบารมี 10 คือหลักปฏิบัติที่เมื่อสั่งสมแล้วจะทำให้บุคคลเป็นผู้ประเสริฐสุด บารมีทั้งสิบประการที่ว่านี้ได้แก่ ๑. ทานบารมี คือ การให้ การเสียสละ ๒. ศีลบารมี คือ การรักษากายวาจาใจให้เรียบร้อย มีความประพฤติดีงามถูกต้องตามศีล ๓. เนกขัมมบารมี คือ การออกบวช หรือการงดเว้นจากความชั่วทางกาย วาจา ใจ ๔. ปัญญาบารมี คือ ความรอบรู้และเข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ๕. วิริยบารมี คือ ความเพียรพยายาม ๖. ขันติบารมี คือ ความอดทน สามารถใช้สติปัญญาควบคุมตนให้อยู่ในเหตุผล ๗. สัจบารมี คือ การพูดจริง ทำจริง และมีความจริงใจ ๘. อธิษฐานบารมี คือ ความตั้งใจมั่น การตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว และการดำเนินชีวิตตามจุดมุ่งหมายอย่างแน่วแน่ ๙. เมตตาบารมี คือ ความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ๑๐. อุเบกขาบารมี คือ การวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปด้วยความยินดียินร้าย บารมี 10 นี้เป็นหลักปฏิบัติที่แม้จะดูเหมือนง่าย แต่เชื่อไหมว่าน้อยคนนักจะสามารถปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอและครบถ้วน เพราะหากเราไม่หมั่นปฏิบัติภาวนาเพื่อสร้างความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นทุกขณะจิต ใจของเราก็จะวิ่งวุ่นและตกอยู่ในอำนาจของเงินตราชื่อเสียง และเกียรติยศ จนอาจลืมที่จะถามตัวเองว่า ในแต่ละสถานการณ์ที่เราต้องพบเจอในชีวิตประจำวัน เราได้ใช้อำนาจแห่งความรัก การให้ การเสียสละ ความอดทน ฯลฯ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของบารมีทั้งสิบอย่างครบถ้วนและเหมาะสมแล้วหรือยัง หากคำตอบของคุณคือ ยัง ก็จงมาเร่งสร้างอำนาจที่แท้จริงให้เกิดขึ้นเสียตั้งแต่บัดนี้ ด้วยการ หยุด-ปฏิบัติ-หันกลับไปสร้างสุขที่แท้จริง กันดีกว่า
อนาถบิณฑิกเศรษฐ๊ บุคคลผู้ทรงอำนาจ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่องบุคคลผู้หนึ่งว่าเป็นผู้ทรงอำนาจที่สามารถปกครองผู้คนให้อยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขและสร้างความเจริญให้แก่บ้านเมืองควบคู่กันไปได้ บุคคลผู้นั้นก็คือ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้ที่เกิดในตระกูลเศรษฐี มีบริวารมากมาย และได้ใช้อำนาจในทางที่ถูก ด้วยการใช้ความเป็นนายพยายามสอนหลักธรรมต่างๆ ให้แก่บริวาร และใช้หลักทศบารมีในการปฏิบัติต่อข้าทาสบริวาร รวมทั้งญาติมิตรทั้งหลาย อานิสงส์แห่งการใช้อำนาจในทางที่ถูกนี้ ทำให้อนาถบิณฑิกเป็นผู้ที่ไม่มีทุกข์แม้กระทั่งในยามตกยาก เพราะผู้คนที่อยู่รอบตัวเขาต่างพร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยโดยไม่ต้องร้องขอ ด้วยเหตุนี้อนาถบิณฑิกเศรษ ฐีจึงขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจ และเป็นที่รักไปพร้อมกันอย่างแท้จริง วิธีง่ายๆในการใช้อำนาจ อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ทุกคนล้วนมีอำนาจที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง แต่การจะใช้อำนาจอย่างถูกต้องหรือไม่นั้นต้องไม่ลืมองค์ประกอบ 3 ข้อดังต่อไปนี้ ๑. มีสติในการละทิ้งและตัดออก หมายถึงการละทิ้งและตัดกิเลสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉาริษยา ฯลฯ เพื่อที่กิเลสเหล่านั้นจะได้ไม่ชี้นำการใช้อำนาจของเรา ๒. มีปัญญา ปัญญาจะให้เราสามารถมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งและเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง จึงเข้าใจทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ และดับทุกข์ได้อย่างถูกวิธี ๓. มีพลังแห่งความรักและความเมตตา ความรัก ความเมตตา คือองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เราใช้อำนาจในทางที่ถูกต้อง เพราะหากปราศจากความรัก ความปรารถนาดีต่อกันแล้ว อำนาจก็จะกลายเป็นอาวุธร้ายที่ฉายไว้ด้วยความโกรธเกลียด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความทุกข์ อคติ ศัตรูของอำนาจ ศัตรูตัวฉกาจที่จะทำให้เราใช้อำนาจไปในทางที่ผิดโดยที่เราไม่รู้ตัวก็คือ อคติ 4 ประการ ได้แก่ ๑. ความลำเอียงเพราะความชอบพอรักใคร่ ๒. ความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง ๓. ความลำเอียงเพราะความกลัว ๔. ความลำเอียงเพราะความหลง อำนาจนั้น หนึ่งต้องได้มาโดยชอบธรรม สอง ใช้โดยมีธรรมกำกับ และสาม ต้องเกื้อกูลต่อความงอกงามของธรรม
|