“ ที่” ที่ “ควรอยู่”
เรื่องของ อัจฉราวดี วงศ์สกล

     คุณเคยเล่นว่าวไหมคะ เวลาที่ว่าวติดลมมันจะลอยตัวสวยสง่าอยู่บนท้องฟ้า แต่เมื่อใดสายป่านขาด ว่าวตัวนั้นจะร่วงหล่นอย่างไร้ทิศไร้ทางและปักหัวลงสู่พื้นอย่างแรงจนหมดรูป

     ครั้งหนึ่งชีวิตของดิฉัน (อัจฉราวดี วงศ์สกล) เป็นเหมือนว่าวตัวนั้น ชีวิตที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จไปเสียทุกอย่าง กลับล่มสลายไปต่อหน้าในชั่วพริบตาเดียว

     ครั้งนั้นคือครั้งแรกที่ดิฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “กรรม” อะไรหนอที่ผลักดันให้ดิฉันต้องเจอกับมรสุมลูกแล้วลูกเล่าซัดโถมเข้ามาไม่มีหยุดหย่อน” เริ่มตั้งแต่การที่เติบโตมาในครอบครัวที่แตกแยก มีชีวิตวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก ขนาดจะเรียนมหาวิทยาลัยยังต้องทำงานส่งเสียตัวเอง ชีวิตคู่ครั้งแรกก็ล้มเหลว ลูกคนแรกเสียชีวิตตั้งแต่อายุ ๔ เดือน และขณะที่กำลังทำธุรกิจรุ่งเรืองเป็นร้อยๆล้าน จู่ๆก็มีเหตุให้บัญชีติดลบถึงสิบล้านบาท

     ต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นช่วงที่กราฟชีวิตของดิฉันดิ่งลงถึงจุดต่ำลง ดิฉันจึงตัดสินใจเข้าร่วมวิปัสสนากรรมฐานที่ ธรรมกมลา เพื่อหาคำตอบให้ความสงสัยข้างต้น ศูนย์ฯธรรมกมลาเป็นสถานปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ ท่านอาจารย์โกเอนก้า วิปัสสนาจารย์ชื่อดังชาวอินเดีย ดิฉันใช้เวลาฝึกทั้งสิ้นรวม ๑๐ วัน เนื้อหาหลักของวิธีปฏิบัติคือการเฝ้าดูเวทนาทั่วร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าและวางอุเบกขาต่อเวทนานั้น เช่น ร้อนก็ให้รู้ว่าร้อน ปวดก็ให้รู้ว่าปวด เป็นต้น

     เมื่อปฏิบัติถึงวันที่ ๗ ดิฉันเกิดความรู้สึกปวดหลังอย่างยิ่ง ปวดจนน้ำตาไหล แต่ได้ใช้ขันติวางเฉยและปฏิบัติต่อ จนถึงที่สุดความเจ็บปวดก็สลายไป ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจว่า “ที่เราทำธุรกิจล้มเหลว ทำอะไรเหมือนจะขึ้น แล้วจู่ๆ ก็ตก เป็นเพราะกรรมที่เราทำกับแม่นี่เอง”

     ดิฉันเพิ่งระลึกได้ตอนนั้นเองว่า ชีวิตที่ผ่านมาดิฉันทำให้แม่ร้องไห้บ่อยเหลือเกิน

     ดิฉันเลี้ยงแม่ได้แต่ “กาย” เท่านั้น ลืมเลี้ยงดู “ใจ” แม่ไปเสียสนิท ที่น่าสงสารมาก ท่านจมอยู่กับความทุกข์และใช้ชีวิตไม่เกินรั้วบ้าน เวลาที่ท่านทำอะไรให้ แล้วดิฉันรู้สึกไม่ถูกใจ ดิฉันมักจะตะคอกใส่ท่านอย่างลืมตัว บางทีก็ทำให้แม่ร้องไห้ แม้ดิฉันจะรู้ว่าตัวเองทำผิด แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องขอโทษ ดิฉันจะขอโทษแบบลูกที่ยังมีทิฐิมานะอยู่เต็มตัว ไม่เคยขอขมาท่านอย่างจริงจังเลยสักครั้ง

     หลังจากออกจากวิปัสสนากรรมฐาน ๑๐ วันนั้นแล้ว ดิฉันจึงได้แก้กรรมที่หนักที่สุดในชีวิต โดยนำพวงมาลัยไปกราบเท้าขอขมาแม่อย่างลูกที่สำนึกผิดจริงๆ หลังจากนั้นจึงได้พาแม่ไปวิปัสสนาด้วย เพราะการนำพ่อแม่เข้าถึงธรรมเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ดีที่สุดเท่าที่ลูกคนหนึ่งจะทำได้ นับแต่นั้นธุรกิจก็ประสบความสำเร็จมากขึ้นๆ แม้จะมีอุปสรรคบ้างก็ไม่หนักหนาเหมือนเคย

     ด้วยความที่ดิฉันเชื่อว่า คนเราต้องหมั่นทำบุญ เหมือนที่ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท พระสุปฏิปันโณเคยเทศน์ให้ดิฉันฟังว่า “บุญเหมือนเงินฝากธนาคาร เบิกใช้ทุกวันก็หมด” ยิ่งดิฉันเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยแล้วยิ่งกลัวบุญหมด ดิฉันจึงปฏิบัติวิปัสสนาทั้งเช้าและเย็นเป็นประจำ และทุกสามเดือน ดิฉันจะเข้าคอร์สกรรมฐานหนึ่งครั้ง เพื่อจะได้ชำระล้างบัญชีใจให้หมดจดทุกไตรมาส

     อย่างไรก็ตาม ช่วงปีแรกๆ ดิฉันไม่สามารถรักษาศีล ๕ ได้อย่างมั่นคง ตอนจัดงานแฟชั่นยังสั่งไวน์ให้ลูกค้าดื่ม หรือยังพูดไวท์ไลส์ ( White Lies ) คือการพูดไม่จริงเพื่อให้คนอื่นมีความสุข ฯลฯ แต่เมื่อปฏิบัติไปนานวัน นานเดือน นานปี ศีลก็มั่นคง ธรรมะมั่นคง มีหิริโอตตัปปะ คือ ความละอายชั่วกลัวบาปอยู่ทุกขณะจิต กระทั่งไม่สามารถทำบาปใดๆ ได้เลย ดิฉันจึงหันกลับมาพิจารณาชีวิตตัวเองอีกครั้งว่า ธุรกิจที่ทำอยู่ทีจริงแล้วเป็นงานที่เกี่ยวกับการปรุงแต่งบำรุงให้ผู้อื่นเกิดกิเลสอยากสวย อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่สิ้นสุด และผลกรรมจากธุรกิจนี้ ทำให้ดิฉันกลายเป็นคนที่หยุดไม่ได้ ปีนี้ธุรกิจโต ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ปีหน้าต้องโต ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ต้องทะยานขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆปี

     “ความหมายของชีวิตเรามีแค่เรื่องกำไรและขาดทุนเท่านี้หรือ”

     เมื่อเริ่มคำถาม คำตอบก็ตามมาทันทีว่า ขนาดดิฉันซึ่งยังใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ยังดูภาพยนตร์และรับประทานอาหาร ฯลฯ เหมือนคนทั่วไป ก็ยังสามารถปฏิบัติธรรมไปด้วยได้ ใครๆก็น่าจะทำได้เหมือนดิฉัน และค้นพบหนทางสู้ความสุขที่แท้จริงได้เหมือนกัน ดิฉันจึงเกิดความคิดอยากสอนธรรมะ เพื่อแบ่งปันความดีงามและประสบการณ์ชีวิตให้ผู้อื่น

    ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนแห่งชีวิต โรงเรียนสอนธรรมะและหลักในการดำเนินชีวิตจึงเปิดตัวขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยดิฉันรับหน้าที่สอนแต่เพียงผู้เดียว เพราะคนที่จะสอนธรรมะได้ต้องมีศีล ๕ มั่นคงและฝึกสมาธิมาระดับหนึ่ง มิฉะนั้นจะไม่มีพลังในการถ่ายทอดเพียงพอ ช่วง ๒-๓ ปีแรกดิฉันยังทำธุรกิจควบคู่ไปด้วย แต่ในที่สุดก็ขายธุรกิจที่ปลุกปั้นมากับมือ และหันมาทุ่มเทกับการสอนเพียงอย่างเดียว

     ดิฉันเชื่อว่าเด็กคือพลังของชาติ หากเราสามารถสอนเด็กๆ ให้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง อนาคตของประเทศไทยย่อมดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ดังนั้นโรงเรียนแห่งชีวิตจึงมุ่งสอนเด็กและเยาวชนเป็นหลัก โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ การสอนวิธีคิดโดยมีศีลและธรรมเป็นเครื่องกำหนด ทำให้เด็กๆ เข้าใจว่า ทำไมการคิดถึงส่วนรวมและความดีงาม คือกุญแจที่จะทำให้เขามีความสุข

     การสอนให้เด็กๆ คิดถึงส่วนรวมก็ไม่ต้องเริ่มจากที่ไหนไกล ดิฉันจะสอนให้เด็กๆ คิดถึงการกระทำที่ผ่านมาของเขาเอง ให้ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นบทเรียนแทนการเรียนจากชีวิตของคนอื่น และจะสอนให้คิดถึงพ่อแม่ของเขาซึ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุด

     เชื่อไหมว่า เด็กๆสมัยนี้หลายคนไม่รู้ว่าการด่าพ่อแม่เป็นบาป เพราะพ่อแม่ไม่เคยสอน (ดังนั้นนอกจากสอนเด็กๆ ให้รู้ถึงบุญคุณพ่อแม่แล้ว เราจะสอนพ่อแม่ให้ “ทวงบุญคุณลูก” ด้วย เพื่อเป็นอุบายให้เด็กๆ รู้จักหน้าที่ของความเป็นลูก) เด็กๆ จะรู้เพียงว่า พ่อแม่ต้องเลี้ยงดูเขาและทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อเขาสารพัด ฯลฯ พูดให้เข้าใจง่ายคือ เด็กมักเข้าใจว่า โลกทั้งใบมี “ฉัน” เพียงคนเดียว

     อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่สอนเด็กมาแล้วกว่า ๔,๐๐๐ คน ดิฉันพบว่า เมื่อเด็กๆ ได้รับการชี้แนะว่าพ่อแม่มีบุญคุณกับเขาขนาดไหน เขาจะรู้สึกสำนึกขึ้นมาทัน และเชื่อไหมว่า หากเราบอกว่า “สวดมนต์นะลูก สวดให้ตัวเอง จะได้มีความสุข” เด็กจะรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าบอกว่าการสวดมนต์จะเป็นประโยชน์ต่อพ่อแม่ เพื่อนๆ คุณครู และประเทศชาติ เขาจะรู้สึกตื่นเต้นและอยากมีส่วนร่วมมากกว่า เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่า 24 ชั่วโมง ของเขาเป็นเวลาที่มีคุณค่ามากมายเหลือเกิน

     นอกจากการเป็นคนดีแล้ว เราต้องสอนเด็กๆ ให้เป็นคนเข้มแข็งด้วย เพราะถ้าคนดีถูกเบียดให้ไปอยู่ในมุมมืดเสียแล้ว โลกทั้งใบคงไม่มีทางพบแสงสว่าง

     เวลาที่เราต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือคำสั่งไม่ชอบธรรม ให้ถามตัวเองว่า ถ้าเราไม่คัดค้าน ไม่ยืนยันสิทธิ์ของตัวเอง หรือไม่แก้ไขให้ถูกต้อง ในอีก ๓ ปีข้างหน้า เราจะเสียใจไหม ถ้าคำตอบคือ “เสียใจ” ก็ให้ทักท้วงเสียตั้งแต่วันนี้ แม้ว่าการทักท้วงอาจทำให้เราลำบากหรือต้องเดินออกจากที่ตรงนั้นก็ตาม

    แต่นี่แหละที่เรียกว่าความเข้มแข็ง

     จงเลือกที่จะอยู่ในแบบที่ควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่เถิด

 

     คุณอัจฉราวดี วงศ์สกล หรือครูอ้อย เป็นนักปฏิบัติวิปัสสนาที่หาได้ยากยิ่ง การได้เข้าถึงธรรม ทำให้ครูอ้อยวางมือจากธุรกิจโดยสิ้นเชิง เพื่อทำหน้าที่สอนธรรมะแก่เยาวชนและผู้สนใจ

     โรงเรียนแห่งชีวิตเปิดอบรมธรรมะสำหรับเด็กและเยาวชน โดยแบ่งเป็นสองรุ่น คือ อายุ 8-13 ปี และ 14-20 ปี คอร์สหนึ่งใช้เวลาเรียน 3 วัน (สัปดาห์และหนึ่งวัน) หากผู้ปกครองท่านใดสนใจส่งบุตรหลานมาอบรมธรรมะที่นี้ สามารถคลิกเข้าไปดูตารางเรียนและรายละเอียดที่ www.schooloflifethailand.org หรือโทร 02-6347461-3 ทั้งนี้ โรงเรียนไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อีกทั้งยังเลี้ยงอาหารว่างและอาหารกลางวันด้วย ขอเพียงผู้เรียนมีสัจจวาจา สมัครแล้วต้องมาเรียนจนจบคอร์ส มิฉะนั้นจะเป็นการตัดสิทธิ์ของผู้อื่น