ครั้งหนึ่งในชีวิตกับการท่องเที่ยวภายในใจ เรื่องโดย Violet ใกล้สิ้นปีแล้ว คุณผู้อ่านได้ลาหยุดพักร้อนกันบ้างหรือยังคะ เมื่อไม่นานนี้ได้มีโอกาสต้นรับสมาชิกที่เข้าร่วมปฏิบัติธรรม ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ (เขาดินหนองแสง) จังหวัดจันทบุรี กันอีกครั้งหนึ่ง สมาชิกหลายท่านบอกเราว่า ได้เตรียมตัวเตรียมใจเขียนใบลาพักร้อนไว้ล่วงหน้านานแล้ว แต่เหตุผลการลา ไม่ใช่เพื่อการเดินทางเปลี่ยนบรรยากาศไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนๆ แต่เป็นการลาเพื่อจะได้เดินทางไปสำรวจกายในจิตใจตนเอง ครั้งนี้ได้รับความเมตตาจาก พระอาจารย์มานพ อุปสโม เป็นพระวิปัสสนาจารย์ให้เหมือนเช่นเคย ซึ่งท่านได้ออกปากชมเชยผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมคอร์สนี้ มีความตั้งใจปฏิบัติเป็นพิเศษ แต่เอ เห็นตั้งอกตั้งใจกันขนาดนี้ จริง ๆ แล้วพวกเรารู้สึกอย่างไรกันบ้างนะ สัมผัสที่เพิ่งเคยค้นพบ คุณกวี พีรพลานันท์ เจ้าของธุรกิจ ร้านขายยา ย่านประตูน้ำ สนใจการนั่งสมาธิมานานแล้ว แต่ไม่สามารถนั่งสมาธิได้อย่างสงบ จึงขอใช้โอกาสนี้เรียนรู้วิธีการนั่งสมาธิอย่างถูกต้อง จริงๆ แล้ว ที่นี่จะเน้นการเดินจงกรมมากกว่าการนั่งสมาธิ ตอนปฏิบัติวันแรกๆ ผมรู้สึกปวดเนื้อเมื่อยตัวมาก ยิ่งในการปฏิบัติช่วงค่ำซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของวันที่สาม ผมรู้สึกวุ่นวายใจมาก นึกอยากจะกลับบ้านท่าเดียว แต่สิ่งที่มหัศจรรย์คือ ในวันต่อมาผมรู้สึกว่าเดินจงกรมแล้วตัวเบา เมื่อนั่งสมาธิก็รู้สึกสงบอย่างประหลาด เช้าวันนั้นขณะที่ผมสวดมนต์บท บูชาพระคุณห้า คือการกราบขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งห้า ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา และครูบาอาจารย์ ตอนที่ผมสวดถึงท่อน บูชาบิดามารดา ที่เลี้ยงเรามาจนเติบใหญ่ และกราบลงไป น้ำตาก็ไหลออกมาเองเป็นความรู้สึกที่ละเอียดมากและเพิ่งเคยได้สัมผัสจากที่นี่จริงๆ เมื่อได้ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ ผมนึกถึงลูกชายครับ เพราะครอบครัวเราเหลือแต่ตัวผมกับลูกชายวัย 9 ขวบ ส่วนภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว ผมจึงอยากให้เขาได้มีโอกาสมาปฏิบัติธรรมบ้าง เขาจะได้มี ธรรมะ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในอนาคต
หายป่วยด้วยธรรมะ แม้ว่า คุณลนภา คล้ายมีปาน นักกายภาพบำบัดจากจังหวัดสมุทรปราการ จะเคยปฏิบัติธรรมกับเรามาแล้ว แต่กลายเป็นว่าการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ยากกว่าครั้งแรกเสียอีก ช่วงที่มาปฏิบัติธรรมครั้งที่สอง ดิฉันกำลังป่วยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ และมีอาการเหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็วขนาดอยู่เฉยๆ หัวใจยังเต้นเร็วถึง 90 ครั้งต่อนาที ดังนั้นการปฏิบัติธรรมในวันแรกๆ จึงรู้สึกเหนื่อยมาก อย่างไรก็ตาม ดิฉันพยายามตั้งใจปฏิบัติให้ได้มากที่สุดจนถึงวันที่สาม ดิฉันรู้สึกอาการเหนื่อยลดลงมาก และเมื่อถึงวันสุดท้าย ดิฉันมีโอกาสใส่บาตรพระสงฆ์ ที่บริษัทอมรินทร์ฯจัดให้ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ตัวเองหายป่วย ไม่รู้ว่าดิฉันคิดไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อกลับบ้านแล้ว ไม่รู้สึกเหนื่อยง่ายเหมือนเก่า ต่อมาเมื่อไปตรวจร่างกายผลเลือดก็ระบุว่า ค่า HP-3 ที่ใช้วัดการทำงานของไทรอยด์ลดลงจรๆง จาก 16 เหลือ 7 กว่า ตามปกติ ดิฉันจะบอกธรรมะให้ผู้ป่วยอยู่แล้ว เพราะหลายคนเคยเป็นถึงหัวหน้าครอบครัว แต่วันหนึ่งเขากลับช่วยเหลือตนเองไม่ได้ จนเกิดความท้อถอย การปฏิบัติธรรมครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ธรรมะฟื้นฟูร่างกาย ดิฉันตั้งใจจะเก็บไว้เล่าให้ผู้ป่วยฟังอีกด้วยค่ะ
สองครั้งยังไม่พอต้องขอสาม คุณนิภา วัฒนะวนิชกานนท์ เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยมาปฏิบัติธรรมและได้เห็นการเปลี่ยนแปลงร่างกายและจิตใจ เปรียบเทียบระหว่างครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองอย่างชัดเจน ดิฉันจำได้ว่าตอนที่มาปฏิบัติธรรมครั้งแรกนั้น เวทนาจะมารบกวนตลอด เช่น แม้ว่าจะตื่นทันเสียงระฆังตอนตีสี่ แต่ก็ง่วงนอนมาก มิหนำซ้ำพอเดินไปสักพักก็ปวดหลัง เพิ่งจะเดินได้ดีขึ้นตอนวันที่สี่ แต่พอวันรุ่งขึ้นต้องกลับเสียแล้ว การมาปฏิบัติธรรมครั้งที่สอง จึงนับเป็นการต่อยอดจากการปฏิบัติธรรมครั้งแรก แต่ใช่ว่าจะไม่ง่วงไม่เมื่อยเลย ช่วงวันแรกๆ ดิฉันยังง่วงนอนและปวดหลังอยู่ แต่ได้พยายามปฏิบัติตามคำสอนของพระอาจารย์มานพที่ว่า เวทนาหรือกิเลสก็หนีไม่พ้นกฎธรรมชาติ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ให้เราเฝ้าดูอาการที่เกิดไปเรื่อยๆ หลังจากวันที่สองดิฉันก็รู้สึกว่าเดินแล้วตัวเบา จิตใจสบาย และเดินได้นานอย่างที่พระอาจารย์บอกไว้จริงๆ ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ การเดินจงกรม การรับปรานอาหารอย่างมีสติและการได้ฟังธรรมทุกคืน เป็นสิ่งที่ดิฉันประทับใจมาก โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนๆ ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมมีความศรัทธากล้าอย่างคอร์สที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ดิฉันอยากกลับมาอีกเป็นครั้งที่สาม
5 วัน 4 คืน กับการท่องเที่ยวภายในใจ ดิฉัน วีนา อุ่นแอ ผู้ร่วมปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง จะขอเล่าให้ฟังถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นในคอร์สนี้ชนิดวันต่อวันเลยทีเดียวค่ะ วันที่ 1 รถบัสจอดแล้วหรือนี่ บรรยากาศช่วงอึมครึมเสียนี่กระไร นี่ฉันจะแจ๊คพ๊อตได้มาเจออะไรแปลกๆ อย่างที่เพื่อนบาบงคนเล่า ว่าเขาเคยไปปฏิบัติธรรมแล้วได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ไหม บรื๋อ เมื่อมาถึงศาลาปฏิบัติธรรม ปรากฏว่าบรรยากาศไม่ได้น่ากลัวอย่างที่แอบหวาดหวั่นในตอนแรก เพราะเป็นศาลาที่เปิดโป่ง แสงสว่างเข้าได้ทุกทิศทาง และอากาศดีมาก หลังจากแบ่งบ้านว่าใครจะได้อยู่กับใครเรียบร้อยแล้ว เพราะเราก็ได้รับชุดปฏิบัติธรรมคนละ 5 ชุด สรุปคือไม่ต้องซักเสื้อผ้าเลยสักวัน (ดีจังเลย) กินข้าวเสร็จก็ไม่ต้องล้างจาน (สบายกว่าอยู่บ้านอีก) ใครขาดเหลืออะไรก็ให้ไปบอกธรรมบริกร เขาจะคอยช่วยเหลือ ขอให้เราตั้งใจปฏิบัติจริงๆ เท่านั้น หลังจากสมาทานศีลแล้วฉันตั้งใจจะปิดวาจา ไม่พูดเลยตลอดห้าวัน ฉันต้องทำให้ได้ วันที่ 2 ฤกษ์ไม่ดี ตั้งแต่เช้า เพราะฉันตื่นสาย ทำให้เพื่อนร่วมห้องที่รอจะเดินมาด้วยกันพลอยไปทำวัตรเช้าช้าไปด้วย พวกเราเป็นกลุ่มที่มาถึงศาลาช้าที่สุด วันนี้ฉันเพิ่งค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษ คือเดินไปด้วยสัปหงกไปด้วยได้ ช่วงค่ำ พระอาจารย์มานพ แสดงธรรม ท่านบอกว่า ระหว่างการปฏิบัติ กิเลสจะสั่งให้เราไปดื่มน้ำ ทั้งๆ ที่ไม่หิวน้ำ ไปเข้าห้องน้ำทั้งๆที่ไม่ปวด โห ราวกับพระอาจารย์มานั่งอยู่ในใจฉันทีเดียว โดนกิเลสหลอกไปเต็มๆ เสียแล้วเรา วันที่ 3 สองวันที่ผ่านมาฉันรู้สึกว่าเดินจงกรมแล้วปวดท้อง ปวดเอวมาก เพิ่งรู้วันนี้ว่าฉันมีประจำเดือน ขณะเดินจงกรม ใจหนึ่งอยากจะเดินไปบอกธรรมบริกรว่าเราปวดท้องมาก แต่อีกใจคิดว่า เราเหลือเวลาปฏิบัติไม่มากแล้ว จึงแข็งใจเดินทีละก้าว ๆ ไม่น่าเชื่อ พอเดินไปเรื่อยๆ อาการปวดท้องก็หายไป คราวนี้เหมือนฟ้าสว่างหลังเมฆฝน ฉันทำได้แล้ว วันที่ 4 เช้านี้ ขณะที่ฉันเดินออกจากที่พักตอนรุ่งสาง รีบไปหน่อยจนเหยียบหอยทากตาย เสียใจจัง วันที่ 5 อ๊ะๆ หอยทากเจ้าเก่ามาดักรอดตรงบันไดขั้นเดิมเลยทีเดียว แต่ฉันเห็นเสียก่อน จึงหลบทัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมแล้วฉันคงลาจากสถานที่แห่งนี้ไปด้วยความอิ่มใจ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ฉันได้รับการดูแลอย่างดี ที่สำคัญ ฉันได้รู้ว่าชีวิต 26 ปีที่ผ่านมาที่ตัวเองคิดว่ามีสติอยู่แล้วแท้จริงไม่ใช่เลย ฉันเพิ่งจะได้อยู่กับลมหายใจของตนเองขณะทำกิจวัตรต่างๆ โดยไม่คิดนั่นโน่นนี่ จนสามารถกล่าวคำทักทายกับ สติ ได้อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
|