1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1201-1250
1250.
กราบเรียนอาจารย์ค่ะ

คำถามที่หนูจะเรียนถามอาจารย์เป็นเหตุการณ์ที่ต่อจากคำถาม ที่ 1241 ค่ะ มีดังนี้

   1. การที่ท้องยุบ(รูป หรือร่างกาย) ตลอดเวลาจนทำให้จิตรับรู้ว่ารูปจะดับหรือเปล่า หรือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะ ที่ผ่านมา 7 วัน 8 คืนหนูปฏิบัติเคร่งไปทำให้ จิตเป็นสมาธิมากเกินไป จนกระทั่งหลับไม่ได้ร่างกายไม่ได้พักผ่อน มีสมาธิอยู่ตลอดเวลากำหนดอยู่ตลอดเวลาทำให้มีผลต่อ ร่างกายที่ไม่ประสานกับจิตจนทำให้ร่างกายน๊อค

จนสุดท้ายจิตบอกตัวเองว่ากำลังจะตาย หรือเป็นเพราะกำลังของสติอ่อนคะ

   2. หลังจากนั้นหนูเข้าใจว่า ตัวเองได้ตายจากโลกมนุษย์ (ดูเหมือนว่าจิตเข้าใจอย่างนั้น ) กรณีนี้เป็น เพราะกำลังสติอ่อนทำให้จิตเตลิดหรือเปล่าค่ะ หรือเป็นประเภทจิตวิปลาสค่ะ

   3. เมื่อจิตเข้าใจว่าร่างกายดับแล้ว จิตบอกว่าร่างกายคนเราก็เหมือนการที่เราเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เราต้องสละเสื้อผ้าชุดเก่าทิ้งไป ไม่อาลัยอาวรณ์เสื้อผ้าชุดเก่า เป็นเพราะอะไรคะ ?

   ในช่วงเวลานี้ หนูเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเองแต่เป็นคนอีกคนหนึ่ง และพูดไม่ได้เหมือนกลับไปเป็นเด็ก แม้ขณะนั่งอยู่เฉย ก็เหมือนมีภาพในหัวตลอดเวลา เหมือนเห็นคนเป็นเด็กแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็แก่แล้วก็ตาย แล้วก็เห็นพระภิกษุสงฆ์เดินตามกันไป เป็นแถวเรียงหนึ่งไปแล้วที่ๆพระภิกษุสงฆ์ไป ก็จะมีเป็นระดับชั้น ที่หนูไม่เข้าใจก็คือว่า มีพระภิกษุอยู่รูปหนึ่งไม่เดินไปไหน แต่เดินเป็นวงกลมอยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะอะไรคะ ?

   4. เพื่อนเอาของคาวมาให้กิน ไม่อยากกินจะกินแต่ของที่ไม่มีจิตวิญญาณ และจิตตัวเองรู้ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่สกปรกมาก จนไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะเปรียบเทียบได้

   5. หลังจากนั้นเพื่อนกลัวว่าหนูจะเป็นบ้า จึงพาหนูไปหาอาจารย์วิปัสนากรรมฐานท่านหนึ่ง และมีคนพูดว่าหนูไม่รับพุทธศาสนา ตอนนั้นหนูไม่ได้พูดกับเขาแต่ชูมือ 3 นิ้วซึ่งตัวหนูเองหมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

   6. เพื่อนหนูถามอาจารย์วิปัสนากรรมฐานว่า ต้องพาหนูไปรับขันธ์อะไรหรือเปล่า (ความเชื่อของเพื่อนหนู) อาจารย์บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลยอีก 7 วันหนูจะกลับมาเป็นปกติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

   ขณะนี้สำหรับหนูเป็นอดีตไปแล้ว แต่ที่หนูข้องใจก็คือว่า หนูปฏิบัติเคร่งไปจนกลายเป็นวิปัสนูปกิเลสหรือเปล่า เพราะกำลังสมาธิมากไป แต่กำลังสติอ่อนหรือไม่ทำให้เกิดอาการแบบนี้ค่ะ

   หลังจากครบ 7 วันหนูถึงรู้ว่าตัวเองยังไม่ตายยังอยู่ในโลกมนุษย์ และรู้ว่าตัวเองจะดำรงชีวิตอยู่ เพื่อพัฒนาตัวเองไปสู่ทางพ้นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่ผ่านมาเพราะไม่มีค่าอะไรเลย สุดท้ายคนเราก็ไม่ได้อะไรติดตัวไปสักอย่างเดียว ขนตาเส้นเดียวก็นำติดตัวไปไม่ได้มีเพียงบุญ และบาปเท่านั้นที่ติดไปกับดวงจิตที่ยังมีกิเลสอยู่ สิ่งที่หนูค้นพบเป็นเพียงหนทางที่เริ่มต้นเดินเท่านั้น หนทางสายนี้ยังอยู่อีกยาวไกลนัก

   สุดท้ายนี้ หนูขอให้อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่าหนูควรปฏิบัติอย่างไร จากจริตของหนูๆชอบนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสมอ โดยเฉพาะบทสวด

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ตติยัมปิ ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ

ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ขอกราบขอบพระคุณในเมตตาธรรมของอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

    ธนพร

คำตอบ
    (๑) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) จึงจะเรียกว่าจิตมีสมาธิมากเกินไป ไม่สามารถนำมาพิจารณาให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ แต่ที่บอกเล่าไปเป็นเพราะจิตขาดสติ จิตเคลื่อนออกจากการระลึกรู้ในอาการยุบของผนังหน้าท้อง แล้วจิตเกิดจินตนาการว่า รูปจะดับหรือเปล่า ที่บอกเล่าไปจึงเป็นเพราะจิตมีกำลังของสติอ่อนนั่นเอง

   (๒) ผู้ถามปัญหาเข้าใจเอาเองว่าได้ตายจากโลกมนุษย์ ทั้งๆที่ยังมิได้ตายไปไหน ยังเขียนมาบอกเล่าอาการและยังถามปัญหาได้ อย่างนี้เรียกว่า จิตเกิดจินตนาการที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริง ขอแนะนำว่า ควรหาครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติธรรมและเข้าถึงอริยธรรมได้แล้ว มาเป็นผู้ชี้แนะและแก้ไขการปฏิบัติที่ผิดทาง แล้วมรรคผลแห่งการปฏิบัติธรรมก็จะเกิดได้ถูกตรง

   (๓) เป็นการเข้าใจผิด ทั้งๆที่ร่างกายยังคงอยู่ให้จิตใช้งานได้ คนที่จะเห็นร่างกายดับได้ ต้องพัฒนาสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงปุพเพนิวาสานุสติญาณได้แล้ว จึงจะเห็นการดับของร่างกายในอดีตได้ ดังนั้นที่บอกเล่าไปจึงเป็นจินตนาการที่ผิดของจิต

   อนึ่ง การเห็นภิกษุสงฆ์เดินตามกันเป็นแถวเรียงหนึ่ง และเดินเป็นวงกลม เป็นเพียงจินตนาการของจิตที่ขาดสติ

   (๔) กิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง อาหารคาว อาหารหวาน เนื้อสัตว์และพืช ล้วนต่างเป็นสิ่งสกปรกโสโครก (ปฏิกูล) ฉะนั้นที่บอกเล่าไป จึงเป็นจินตนาการของจิตที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงแท้

   (๕) คำว่า “ บ้า ” หมายถึง จิตมีสติฟั่นเฟือน คือมีอาการของจิตผิดไปจากจิตของคนปรกติ เมื่อจิตทำหน้าที่สั่งร่างกาย จึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ผิดไปจากพฤติกรรมของคนปรกติ ฉะนั้นเพื่อนที่พาผู้ถามปัญหาไปหาอาจารย์ให้ช่วยแก้อาการที่ผิดปรกติให้นั้น เขาเป็นเพื่อนที่ดี

   (๖) อาจารย์ที่สอนวิปัสสนากรรมฐานพูดถูกแล้ว เมื่อใดปล่อยให้จิตรับสิ่งกระทบภายนอกเข้าปรุงอารมณ์ ก็จะกลับมาเป็นอารมณ์แบบคนปรกติได้

   อนึ่ง จิตของผู้ใดมีกำลังของสติอ่อน ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิตผู้นั้น ย่อมอ่อนตามไปด้วย ความศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นทรัพย์อันประเสริฐ เพราะบุคคลจะข้ามพ้นการเวียนว่าย-ตายเกิดได้ ต้องมีศรัทธาเป็นตัวนำ และต้องมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเป็นเครื่องส่องนำทางให้กับชีวิต ความบริสุทธิ์ของจิตจึงจะเกิดขึ้นได้
   

1249.

    1.เวลานั่งสมาธิหรือเดินจงกรม เมื่อปฏิบัติได้สักระยะหนึ่งเกิดอาการเหมือนสะอื้นออกมาเบา (แต่ไม่ได้ร้องไห้หรือมีนำตา) ก็กำหนดว่าสะอื้นหนอ อาการที่สะอื้นนั้น เหมือนสะท้อนใจเหมือนสำนึกผิด อยากทราบว่าเป็นอาการทางกายทั่วไปหรือเกิดจากอะไรคะ เพราะจะเป็นบ่อยๆเวลาปฎิบัติธรรมคะ

    2.ได้เข้าปฏิบัติธรรม ที่สถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในช่วงวันที่ 3 ของการปฏิบัติ (ซึ่งตรงกับวันเกิดของตนเอง) ในบัลลังก์ตอนเย็นเมื่อเดินจงกรมเสร็จนั่งสมาธิ ขณะนั่งได้ปฏิบัติเหมือนทุกครั้งคือกำหนดรู้ท้องพอง-ยุบ และสภาวะธรรมที่เกิด แต่ครั้งนี้สามารถกำหนดรู้ได้ถูกตรง พอดีกับสิ่งที่ปรากฎ แรกๆเหมือนกำหนดได้ทันสิ่งที่เข้ามากระทบ แต่ผ่านไปเหมือนเราไม่ต้องกำหนด แต่เป็นการรู้สิ่งที่มากระทบ รู้แล้วก็ดับไปแล้วก็รู้อีกดับไปอีก จนเห็นเหมือนมีสิ่งๆหนึ่งที่เข้าไปรู้ วิ่งทำงานมิได้หยุดหย่อน และเร็วมากเหมือนมี 2 อย่าง คือ สิ่งที่ทำหน้าที่รู้ ก็ทำหน้าที่รู้ไป แล้วก็มาอีกสิ่งหนึ่งเห็นการทำงานของสิ่งที่เข้าไปรู้ ซึ่งขณะนั้นไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกความคิดอะไร จะรู้ขึ้นมาโดยไม่ต้องตั้งใจกำหนด หรือนึกคำกำหนดเลย และทุกๆการรู้จะแจ่มชัด คม ฉับไว เป็นอยู่อย่างนั้นสักระยะหนึ่ง แล้วก็คลายไป คือกลับมากำหนด ทันบ้างไม่ทันบ้างเหมือนเดิม ขณะนั้นรู้สึกว่าไม่คงที่ ไม่เที่ยง ก็กำหนดไปตามนั้น ว่า"ไม่เที่ยงหนอ" "อนิจจังหนอ" ความรู้สึกต่อมา รู้สึกตื้นตัน ปิติ กำหนดตามนั้นจนนำตาปริมที่ขอบตา ก็กำหนด ต่อมารูสึกรัก อยากขอบคุณ ผู้มีพระคุณทุกคน รวมถึงสรรพสัตว์ ก็กำหนดตามนั้น แต่ได้อธิษฐาน แผ่บุญกุศลออกไปให้กับทุกคน ทุกผู้ทุกนาม (ไม่ทราบว่า ทำถูกหรือไม่)
  อยากทราบว่า "สภาวะที่เกิดคืออะไรคะ" ช่วยอธิบายา และแนะนำด้วยคะ

คำตอบ
    (๑) เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรเก่าตามทวงหนี้ วิธีแก้ปัญหาตามที่บอกเล่าไปทำถูกต้องแล้ว แต่ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกครั้งหลังจากได้ทำบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ) แล้วเสร็จ อุทิศบุญไปเรื่อยๆจนกว่าอาการดังกล่าวสงบไป

   (๒) สภาวะที่เกิดขึ้น เป็นการตามรู้ของจิตที่ระลึกได้กับทุกสิ่งที่เข้ากระทบ ผู้ใดรักษาสภาวะเช่นนี้ไว้ได้ตลอดไปทุกขณะตื่น ผู้นั้นได้ชื่อว่ามีธรรมรักษาใจ ความดีใดเมื่อเกิดขึ้นแล้ว หากรักษาความดีนั้นไว้ไม่ได้ก็ไม่มีความหมาย การรักษาความดีให้คงอยู่ตลอดไป ต้องเจริญพละ ๕ อยู่ทุกขณะตื่น แล้วจะทำให้ใจมีกำลังรักษาความดีให้คงอยู่ตลอดไปได้
        

1248.
เรียนอาจารย์ ดร.สนอง

   กระผมทำงานอยู่ในโรงงานผลิตยาตำแหน่งหัวหน้างาน วันหนึ่งได้มีโทรศัพท์มาขู่ว่า "ตอนกลับบ้านให้หลบลูกปืนดีๆ" ต่อมาทราบภายหลังว่า ผู้ที่โทรมาขู่คือพนักงานในแผนกช่าง ซึ่งผมไม่เคยคุยกับเขาเลย และไม่ทราบว่าเขามีความไม่พอใจอะไรในตัวผม อย่างไรก็ดี กระผมตระหนักดีในคำสอนของอาจารย์ที่กล่าวไว้ว่า "ในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเหตุุ ก็ต้องมีผลที่เกิดจากเหตุนั้น" ในกรณีนี้กระผมไม่มีความโกรธแค้นอะไรในตัวผู้กระทำ และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าต้องเกิดขึ้นจากเหตุที่ผมได้เคยกระทำไว้เองในอดีตถึงปัจจุบัน กระผมขอเรียนถามอาจารย์ถึงวิธีการแก้ไขปัญหานี้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายในอนาคต และวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกตามแนวทางที่ถูกตรงตามธรรม

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
    กรรมที่ทำไว้แล้วแต่อดีต ไม่มีใครแก้ไขได้ แต่ทำดีในปัจจุบัน เมื่อกรรมดีให้ผล วิบากดีย่อมเกิดขึ้นให้ผู้ทำกรรมได้รับ กรรมดีที่ควรประพฤติอยู่ทุกขณะตื่น คือสวดมนต์ บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วตามด้วยสวดมนต์บทพาหุงฯ พร้อมกับเจริญเมตตาด้วยการให้อภัยในทุกเรื่องที่เป็นเหตุขัดใจ ผู้ใดประพฤติแล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรตามที่แนะนำได้แล้ว ไฟ ยาพิษ ศาสตรา ไม่แผ้วพาน ซ้ำยังมีเทวดาคุ้มรักษาอีกด้วย
    

1247.
กราบเรียนท่านอ.ดร.สองที่เคารพยิ่ง

   อ.คะดิฉันได้ฟังบรรยายธรรมของอ.ในเวปอย่างสม่ำเสมอ และได้น้อมนำคำสอนที่ท่านอ.ได้สอน มาปฎิบัติในชีวิตประจำวันอย่างสมำเสมอ ชีวิตทุกวันนี้ดีขึ้นมากค่ะ เพราะในครอบครัวชอบที่จะฟังธรรมะบรรยาย

   จากการที่ฟังนั้นดิฉันก็เปิดฟังโดยไม่สนใจว่าลูกจะฟังหรือไม่ แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าสุดยอดมาค่ะ เราฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง แต่ผลก็คือลูกเราได้รับธรรมะนั้นไปด้วยค่ะท่านอาจารย์ ดิฉันคิดที่จะเรียนต่อป.โทที่มหาจุฬาสาขาพระพุทธศาสนา เรียนเพื่ออยากศึกษาเกี่ยวกับศาสนาค่ะอ. แต่ที่เคยได้ฟังอ.บรรยายมาทำให้รู้สึกว่าการที่เราเรียนสูงๆนั้น เป็นการพัฒนาปัญญาเพียงภายนอกเท่านั้น ทำให้ลังเลว่าจะเรียนดีหรือไม่ จึงขอเรียนปรึกษาท่านอาจารย์ค่ะ


กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอให้อาจารยืมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดไปนะคะ

คำตอบ
    มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม จึงต้องใช้ความรู้ทางโลกทำงานให้กับสังคม ผู้รู้ไม่ปฏิเสธการเรียนรู้ตามที่บอกเล่าไป แต่ต้องไม่ลืมว่าตายแล้วต้องไปเกิดใหม่ งานภายในคือพัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จึงจำเป็นต้องทำเพื่อไปเกิดในภพภูมิที่ดี
    

1246.
กราบเรียน อาจารย์สนอง ที่เคารพ..เมตตาช่วยไขปัญหาด้วยค๊ะ

   เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 หนูได้คลอดลูก และเกิดการแท้ง ทั้ง ๆที่ระมัดระวัง เป็นอย่างดี เด็กอายุได้ 7 เดือน คุณหมอกำลังหาสาเหตุโดยบอก เคร่า ๆ ว่าเกิดจากเชื้อโรค และ น้ำคร่ำรั่ว และจะนัดตรวจอีกครั้งหนึ่ง

   หนูเสียใจมาก ๆ ๆ เพราะต้องการลูก ( หนูตั้งใจจะมีลูกคนแรก) โดยซื้อของเตรียมไว้ทุกอย่างให้ลูก ปัจจุบันได้สวดมนตร์ ตักบาตรตอนเช้าทุกวันให้ลูกและเจ้ากรรมนายเวร เป็นห่วงลูก..สงสารลูกมาก ..ๆๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง.. อยากเรียนถามว่า.....

1.การแท้งลูกเป็นบาปหรือเปล่า

2.การแท้งลูก อดีตเคยทำกรรมอะไรไว้

3.แนวทางการแก้ไขตามหลักศาสนาพุทธที่ถูกต้องทำอย่างไร

...... เมตตาช่วยไขปัญหาด้วยค่ะ....
...หนูพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างเพราะเชื่อในเรื่องการเกิด-ตั้งอยู่-ดับไป เพื่อจะได้มีภพชาติใหม่ที่ดีขึ้น...และหมดกรรม

ขอบพระคุณค๊ะ

เมตตา แก้วสม จ.สงขลา

คำตอบ
    (๑) จิตวิญญาณที่มาอาศัยท้องแม่เป็นที่เกิด แต่ต้องตายไปเมื่อมีอายุได้เจ็ดเดือน ถือว่าลูกและแม่เคยมีกรรมที่เป็นบาปร่วมกันมาแต่อดีต จึงทำให้เด็กต้องตายไปด้วยการแท้งของแม่

   (๒) ทั้งแม่และลูกเคยร่วมกันทำให้ชีวิตของสัตว์ต้องตกล่วงไปขณะอยู่ในท้องได้เจ็ดเดือน

   (๓) ดูวิธีบริหารหนี้เวรกรรม จาก website kanlayanatam.com ข้อ 728
   

1245.
เรียนถามท่านอาจารย์สนองที่เคารพครับ

   1 ผมได้ฟังจากอาจารย์ว่า หลังจากเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วอาจาย์ได้อภิญญา 6 เช่น มีตาทิพย์เป็นต้น จึงอยากเรียนถามว่า จำเป็นไหมที่ทุกคนที่ผ่านจุดนี้ จะมีความสามารถที่พิเศษนี้ ผมมิได้หวังว่ามีอำนาจพิเศษ เพียงแต่ว่าผมปฏิบัติเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วหลายครั้ง แต่สภาวะธรรมขณะนี้มีเพียงความรู้ว่า จิตและกายไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงพองยุบในรูปแบบต่างๆ เห็นการเกิดดับของพองยุบ มีความรู้สึกว่าบางครั้งสมาธิลึกไปจนถึงอัปปนาสมาธิ แล้วถอยมายังสมาธิเบื้องต้น แล้วขณะจิตนี้พยามน้อมนำมาสู่วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ทราบว่าผมทำถูกหรือไม่ครับ

    2 เราจะมีวิธีสังเกตุอย่างไรว่า เรามีจริตในการปฏิบัติแบบไหน เนื่องจากแนวทางการบรรลุธรรมมีหลายแบบเช่น สุขขวิปัสสโก,เตวิชโช เป็นต้น

    3 กรณีบรรลุธรรมตามแนวสายสุขขวิปัสสโก เราจะมีวิธีสังเกตอย่างไรว่าเราก้าวหน้าในทางธรรมจริงๆ เพราะกระผม มองว่าตัวเอง มีสติ มากขึ้น มี โลภ โกรธ หลง ลดลงจากเมื่อก่อน แต่กล้วว่าตนเองอาจมีมิจฉาทิฐฐิ โดยอาศัยอำนาจของพลังสมาธิข่มกิเลสไว้ เหมือนก้อนหินทับหญ้าเอาไว้ครับ โดยการเฝ้าสังเกตตนเองจากการปฏิบัติมาหลายปี แต่อยากให้มีครูอาจาร์ชี้แนะครับเพื่อมีสัมมาทิฐฐิ ในการปฏิบัติต่อไปครับ


   กราบขอบคุณท่านอาจาย์ครับ
     ศุภฤกษ์

คำตอบ
    (๑) ฟังผิดฟังใหม่ให้ถูกได้ ผู้ใดเข้าถึงอัปปนาสมาธิ (ฌาน) เมื่อนำจิตออกจากฌาน อภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ) ย่อมเกิดขึ้น การรู้ว่าจิตและกายมิใช่เป็นสิ่งเดียวกัน มิได้เป็นเครื่องบ่งชี้สภาวะของจิตที่เข้าถึงอัปปนาสมาธิ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาประสงค์จะพัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ควรนำตัวเองเข้าเป็นศิษย์ฝึกกรรมฐานกับครูผู้ผ่านประสบการณ์การเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมมาก่อน การพัฒนาจิตจึงจะสัมฤทธิ์ผล

    (๒) จริตของมนุษย์มี ๖ อย่าง คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธจริต และวิตกจริต บุคคลมีจริตแบบไหนยังไม่สำคัญเท่ากับ เมื่อนำกรรมฐาน (ดูกรรมฐาน ๔๐) มาบริการรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้นั้นสำคัญยิ่งกว่า บทกรรมฐานที่เหมาะแก่การฝึกจิต อาทิ

     อสุภะ กายคตาสติ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีราคจริตนำ

     พรหมวิหาร ๔ กสิณ อรูป ๔ เหมาะกับผู้มีโทสจริตนำ

     อานาปานสติ อรูป ๔ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีโมหจริตนำ

     การระลึกถึงคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณของศีล ฯลฯ เหมาะกับผู้มีสัทธาจริตนำ

     มรณสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน ๔ เหมาะกับผู้มีพุทธจริตนำ

     อานาปานสติ กสิณ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีวิตกจริตนำ    

    (๓) การบรรลุธรรมตามแนวสุกขวิปัสสก มีข้อบ่งชี้ความก้าวหน้าในทางธรรม ที่ผู้เข้าถึงได้แล้วได้ทำเป็นตัวอย่างให้ดู คือจิตเห็นสิ่งที่เข้ากระทบ ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตปล่อยวางทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมตตา ความมีสติ ความมีปัญญา ฯลฯ (เจตสิกดับ) และไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌานได้ ความเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสกจึงจะเกิดขึ้น
     

1244.
กราบสวัสดีคุณลุง ดร.สนอง ที่เคารพ

  ตอนนี้หนูกำลังฝึกปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางของพระสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ค่ะ (โดยการฟังจากเวปไซด์, ซีดีและได้ฟังเทศน์จากท่านโดยตรงเพียงไม่กี่ครั้ง ) หลังจากทดลองปฎิบัติตามที่ท่านสอนหนูรูสึกว่าตัวเองมีสติมากขึ้น ฯลฯ
เหตุผลที่หนูเลือกปฎิบัติตามแนวของท่านเพราะ ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าท่านหนูรู้สึกศรัทธา และเคารพในตัวท่านอย่างบอกไม่ถูก (และมีความรู้สึกเชื่อมั่นขึ้นมาทันทีว่า ท่านนี้แหละ จะเป็นผู้นำทางหนูไปสู่หนทางหลุดพ้นจากวัฎฎสงสารได้ ถึงหนูจะไม่เคยได้ยินใครกล่าวถึงท่านว่า ท่านบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้แล้วก็ตาม) จากนั้นก็เริ่มสนใจฟังการเทศน์ของท่านตลอดมา


   แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ หนูเริ่มคิดและเกิดความลังเลสงสัย และเกิดคำถามต่าง ๆ ขึ้นมาในใจมากมายเกี่ยวกับท่าน

จึงขอเรียนถามคุณลุง ดร.สนอง ดังนี้ค่ะ

   1. หากพระสงฆ์รูปที่หนูกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ ท่านยังไม่ได้เป็นอริยบุคคล หรือท่านกำลังบำเพ็ญเพียรตามแนวทางของ พระโพธิสัตว์ (ที่ว่าหากท่านกำลังบำเพ็ญเพียรตามแนวทางของพระโพธิสัตว์นั้น -----> หนูคิดไปเองค่ะ เท่าที่ทราบมา หนูก็ไม่เคยได้อ่านหรือได้ยินใครกล่าวถึงท่านแบบนี้เลยค่ะ) แล้วท่านจะสามารถสอนให้หนูเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้หรือไม่คะ

   2. แล้วหนูจะมีวิธีทราบได้อย่างไรคะ ว่าพระสงฆ์รูปใดที่จะเป็นครูบาอาจารย์ของหนูจริง ๆ ไม่ได้เกิดจากการคิดไปเอง


    ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
    (๑) พระโพธิสัตว์ยังมีสภาวะของจิตปุถุชน หากสอนได้ถูกตรงตามธรรม เมื่อศิษย์นำคำสอนไปปฏิบัติ ย่อมเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้

    (๒) ผู้ใดพัฒนาจิต จนบรรลุดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว มนุษย์และอมนุษย์ รวมถึงสรรพสิ่งที่เข้ากระทบใจ ย่อมเป็นครูสอนใจที่แท้จริง
    

1243.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง

   หนูเคยได้ยินมาว่า การนั่งสมาธิควรทำ ช่วงตั้งแต่ตะวันขึ้น ถ้าตะวันตกดินไปแล้ว จะมีภูตผี วิญญาณ ต่างๆ มาขอส่วนบุญ และถ้าไม่ได้จะทำให้วิญญาณต่างๆ ไม่พอใจ และจะเป็นเจ้ากรรม นายเวรของผู้ที่กำลังนั่งสมาธินั้น จริงหรือไม่คะ ทำให้หนูไม่กล้านั่งสมาธิหลังตะวันตกดินไปแล้ว
เพราะมีเวลานั่งสมาธิได้ตอนกลางคืน

   รบกวนอาจารย์ ดร.สนอง อธิบายด้วยคะ ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
    จริงตามปากของคนที่พูด แต่ไม่จริงตามคำสอนในพุทธศาสนา ที่แนะนำบุคคลให้ทำกรรมดีได้ในทุกโมงยามที่มีความพร้อม
    

1242.
เรียนอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

กระผมทำงานในตำแหน่งหัวหน้างาน ซึ่งต้องมีการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา กระผมขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่าจะทำอย่างไรให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม เพื่อให้ทุกการตัดสินใจถูกต้องและไม่เกิดโทษแก่ตัวผมเอง

กราบขอบพระคุณอาจารย์
วิสิฐ

คำตอบ
  ความสมปรารถนาในสิ่งที่เป็นกุศลที่ถามไปจะสำเร็จได้ ผู้ถามปัญหาต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน จนจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว การตัดสินใจที่ถูกตรงตามธรรม และไม่มีโทษบาปเกิดขึ้น จึงจะบรรลุความปรารถนา
   

1241.
กราบเรียนอาจารย์ค่ะ

   ลูกเป็นศิษย์อาจารย์จากการอ่านหนังสือที่อาจารย์เขียน หนูเคยปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานมาประมาณ 3 ครั้ง ครั้งที่1-2 ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักเพราะมัวแต่ง่วงนอนมากๆ

   ครั้งที่ 3 ได้มีโอกาสปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเป็นเวลา 7 วัน 8 คืน สามวันแรกของการปฎิบัติ ทุกข์ทรมานจากการง่วงนอนมากจิตไม่เป็นสมาธิเลย

   วันที่ 4 ของการปฎิบัติจิตเริ่มเป็นสมาธิมากขึ้น เมื่อจะถอนจากสมาธิตัวแข็งต้องใช้เวลานานมาก ในการถอนจากสมาธิ

ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้

1). วันที่ 6 และวันที่ 7 มีอาการเหมือนจิตครองร่างกายไม่ได้ เหมือนจิตจะหลุดออกจากร่าง
อยากเรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเพราะอะไร

2). มีอาการเหมือนจิตเศร้าหมอง จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น และเหมือนมีคนสองคนอยู่ในตัวของเรา บอกว่าเราผิดที่เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าแต่ไม่ให้อภัยคน ที่ทำไม่ดีกับเรากลับไปอาฆาตพยาบาลเขา รู้สึกเหมือนตัวเองถูกลงโทษอย่างหนัก

3). หลังจากครบ 7 วัน 8 คืน หนูกลับไปพักกับเพื่อน ขณะกำลังกินข้าวเกิดอาการเหมือนมี คนสองคนโต้ตอบกันในจิตของเรา
คนที่1 บอกว่าเราได้ทำผิดที่เราเคยเอาเนื้องูไปถวายพระอรหันต์ ทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนาอย่างมาก

4).หลังจากนั้น หนูก็ไปนอนเกิดอาการท้องยุบตลอดเวลา ไม่ยอมพองแล้วจิตตัวที่1ก็ถามเราว่า เรากำลังจะตายเราจะเอาอะไรไปด้วยหรือเปล่า จิตตัวที่ 2 บอกว่าไม่เอาอะไร จะเอาแต่บุญกุศลที่ได้สร้างมาไปเท่านั้น หลังจากเหมือนตัวเองปล่อยลมออกจากทวารหนัก และจิตบอกว่าร่างกายของเรากำลัวถูกเผา รู้สึกร้อนตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า และสติดับวุบไป หลังจากนั้นตื่นขึ้นมาเพราะเพื่อนมาปลุก หนูยังไปต่อว่าเพื่อนทิ้งให้หนูอยู่คนเดียว หนูเหมือนได้กลับบ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าบ้านที่ไหน และเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว เหมือนเราตายแล้วเราได้กลับบ้าน

   หนูขอเรียนถามอาจารย์เพียงเท่านี้ก่อน เหตุการณ์หลังจากนี้มีอะไรเกิดขึ้นมาก จนหนูเข้าใจว่าตัวหนูเองปฏิบัติเคร่งไปทำให้เกิดอาการแบบนี้ ทำให้ทุกวันนี้ หนูไม่กล้านั่งสมาธิให้จิตมีสมาธิมาก หนูกลัวว่าจะเป็นเหมือนที่เคยเป็น

  หนูรอคำอธิบายจากอาจารย์อยู่ค่ะเพราะหนูไม่รู้จะไปสอบถามจากครูบาอาจารย์ท่านใด

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

ธนพร

คำตอบ
    (๑) เป็นเพราะจิตได้รับการพัฒนาจนรู้เห็นว่า จิตกับร่างกายเริ่มจะแยกออกเป็นคนละส่วนกัน

    (๒) ความผูกใจเจ็บและอยากแก้แค้น (พยาบาท) เป็นกิเลส ผู้ใดเก็บไว้กับจิต ย่อมมีผลเป็นบาป (ร้องไห้) เกิดขึ้น

    (๓) ผู้ใดพัฒนาจิตจนมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น ย่อมมีโอกาสระลึกได้ในอกุศลกรรมที่ทำไว้แต่อดีต ซึ่งไม่มีใครผู้ใดสามารถแก้ไขอดีตได้ ผู้รู้จึงไม่ประพฤติอกุศลที่เคยทำแล้วให้เกิดซ้ำขึ้นอีก

    (๔) ผู้ใดระลึกได้ว่า ตัวเองถูกเผาแล้วรู้สึกร้อน นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เคยเผาสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ตายด้วยความร้อน ผู้รู้จึงไม่ประพฤติตนในชาติปัจจุบัน ให้สัตว์ต้องตายด้วยการเผาอีกต่อไป
     

1240.
คุณพ่ออาจารย์คะ หนูขออนุญาติเรียกอย่างนี้นี้นะ เพราะหนูมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

   คุณพ่ออาจารย์คะ หนูได้ฟังธรรมจากที่คุณพ่อบรรยาย ทำให้หนูกลัวการทำชั่ว และจะระวังตัวอยู่ตลอดค่ะ หนูมีปํญหาเรียนถามค่ะ

   คุณพ่อกับคุณแม่หนูเลิกกันต่างฝ่ายต่องมีใหม่ คุณแม่มีลูกใหม่ คุณพ่อไม่มี มีแต่ลูกติด หนูได้เรียนน้อยเพราะต้องให้น้องเรียนด้วยแม่ส่งเสียไม่ไหว เมื่อได้ทำงานก็ได้ช่วยเหลือคุณแม่ ส่วนคูณพ่ออยู่กับครอบครัวใหม่ ขณะนี้หนูมีครอบครัวแล้ว หนูรับราชการ คุณพ่อใช้สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของหนู หนูก็ดีใจนะคะที่ได้ทดแทนบุญคุณ ส่วนคุณแม่นั้นพ่อเลี้ยงรับราชการค่ะ    พ่อหนูเอาสมบัติของพวกหนูทั้งหมดไปขายให้กับครอบครัวใหม่และลูกติด ซึ่งพวกเราไม่ได้เลย แต่เวลานี้ครอบครัวพ่อลำบากมากค่ะ หนูคิดว่าแม่เลี้ยงหนูกำลังใช้เวรอยู่

หนูมี ๔ เรื่องเรียนถามด้งนี้ค่ะ

   1. การที่พ่อมาขอเงินหนูแล้วเอาเงินไปให้กับแม่เลี้ยง ถ้าหนูไม่ให้คุณพ่อหนูจะบาปไหมคะ

   2. หนูไม่ค่อยได้ไปหาคุณพ่อเลย นานๆๆไปครั้ง เพราะว่าเมื่อไป แม่เลี้ยงก็จะเข้ามาว่าคอยดูว่าคุยอะไรกัน ทำให้ไม่อยากไป แต่กับคุณแม่ไปหาทุกเดือน ซื้อของที่คุณแม่ต้องการทุกอย่างไปให้ ตามที่ต้องการคือว่าเลี้ยงดูคุณแม่อย่างดี เพราะพ่อเลี้ยงเค้าก็เลี้ยงดูเรา และไม่เคยเข้ามายุ่งเวลาหนูกับคุณแม่คุยกัน หนูทำผิดไหมคะ และควรจะทำอย่งไรคะถึงจะถูกต้อง

   3. หนูแปลกใจตัวเองว่าถ้าให้เงินพ่อหนูจะเสียดายมาก เพราะพ่อเอามาให้ครอบครัวใหม่เค้าหมด หนูเคยคิดว่าเค้ารักพวกเราหรือหรือเปล่า หนูควรทำอย่างไร

   4. ถ้าเราไม่ได้เลี้ยงดูคุณพ่อ แต่เลี้ยงดูคุณแม่คนเดียวบาปไหมคะ

คำตอบ
    (๑) ผู้ถามปัญหาให้เงินกับพ่อแล้ว รู้ว่าผู้เป็นพ่อนำเงินไปส่งต่อให้แม่เลี้ยง แล้วทำให้ตนเองไม่สบายใจ ถือว่าการให้เงินนั้นได้ผลเป็นบาป ตรงข้ามถ้าให้แล้วสบายใจ การให้นั้นเป็นบุญ

   (๒) ผู้ใดเดินเข้าตลาดแล้วผ่านร้านขายปลาร้า เมื่อจมูกรับสัมผัสกับกลิ่นเหม็น ย่อมเกิดอารมณ์ไม่ดี หากเดินเลี่ยงไม่ผ่านร้านขายปลาร้า ย่อมไม่เหม็น ผู้รู้จึงนิยมไม่ประพฤติเหตุที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น

   (๓) ผู้ใดให้เงินแล้วรู้สึกเสียดาย การให้เช่นนั้นเป็นบาป ตรงข้ามให้เงินแล้วสบายใจถือว่าเป็นบุญ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องเลือกด้วยตนเองว่า จะประพฤติแบบไหน เลือกประพฤติได้ตามที่ชอบ

   (๔) เมื่อใดมีจิตระลึกถึง การมิได้ประพฤติจริยธรรมของลูกที่มีต่อพ่อ เมื่อนั้นบาปได้เกิดขึ้น
  

1239.
กราบอ.ดร.สนอง ที่เคารพรักและศรัทธาเป็นอย่างสูง

   หนูขอรบกวนถามปัญหาอาจารย์อีกครั้งค่ะ คือเมื่อช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมานี้ หนูได้ไปปฏิบัติธรรม บวชเนกขัมมะที่วัดอ้อน้อย เป็นเวลา 4 - 5 วัน ช่วงที่มีเวลาว่าง หนูก็ไปช่วยขายของสังฆทานให้กับ ทางวัด เงินเข้าวัดทุกบาททุกสตางค์ค่ะ หนูช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ คือคิดแค่อยากช่วยเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มีแม่ชีท่านหนึ่งซึ่งช่วยทำงานอยู่ที่วัดเช่นกัน ได้มาบอกหนูว่า ไม่ควรไปช่วยขาย ของสังฆทาน เพราะเป็นของหนัก ทำไปแล้วจะเป็นกรรมหนัก ต้องรับกรรมหนัก อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ และยังบอกอีกว่า ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆของทางวัด ให้ช่วยทำอย่างอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง เงินๆทองๆจะดีกว่า แม่ชีท่านนี้บอกว่า ถึงแม้เราจะช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจก็จริง แต่ถ้ามีคนอื่นมากล่าว หาเราว่าเราคดโกง เราก็เสียแล้วและต้องตกลงต่ำ แม่ชีบอกว่าคนมีบุญมักจะมีมารมาฉุดให้ตกลงต่ำ

หนูจึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า


   1. สิ่งที่แม่ชีท่านนี้พูด อาจารย์มีความคิดเห็นเช่นไรคะ ในเมื่อเราช่วยงานทางวัดด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำไมจึงทำไม่ได้

   2. ในเมื่อเราไม่ได้คดโกง ถ้ามีคนอื่นมากล่าวหาเรา เราก็ต้องตกลงต่ำเลยหรือคะ ทำไมแม่ชีท่านนี้ จึงพูดเช่นนี้คะ

   หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่ได้ตอบคำถามหนูทุกครั้ง หากหนูได้พูดและทำสิ่งใดผิดพลาดไป ขออาจารย์โปรดอโหสิกรรมให้หนูด้วยค่ะ


กราบมาด้วยความเคารพรักและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

คำตอบ
   (๑) เป็นความเห็นถูกของแม่ชีจึงพูดออกมาเช่นนั้น แต่พฤติกรรมของแม่ชีที่บอกเล่าไป เป็นความเห็นผิดในมุมมองของผู้รู้ตามแนวพระพุทธะ ที่ว่า “ บุคคลจะเป็นเช่นไร มิได้อยู่ที่คำพูดของผู้อื่น แต่อยู่ที่การกระทำของตัวเอง ”

   (๒) บุคคลตกต่ำด้วยการประพฤติทุศีลไร้ธรรม เหตุที่แม่ชีพูดเช่นนั้น เพราะจิตของแม่ชียังมีโปรแกรมบาปเก็บบันทึกอยู่
  

1238.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่นับถือ

   ดิฉันมีความสงสัยอยู่มากว่า ถ้าเรารู้สึกว่า คน หรือสัตว์ต่าง ๆ ที่เราเคยเบียดเบียน เขามาทวงหนี้เรา แล้วเราอยากแผ่เมตตาให้เขา เราจะต้องใช้บทสัพเพ สัตตาฯ หรือว่าบทไหนในการแผ่เมตตาคะ (ถ้าใช้บท สัพเพ สัตตาฯ แล้วเขาจะรู้หรือคะว่าเราให้เขา) ขอรบกวนอาจารย์โปรดเมตตาตอบให้ดิฉันคลายติดขัดในใจด้วยเถิดค่ะ

ขอขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์ค่ะ    

คำตอบ
    เมตตาคือความปรารถนาให้ผู้อื่น สัตว์อื่น ได้รับประโยชน์และมีความสุข ผู้ใดมีเมตตา ผู้นั้นมีจิตสงบเย็นปราศจากโทสะ ผู้มีเมตตาสามารถแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์แล้ว เวรย่อมไม่เกิดขึ้น ผู้มีเมตตามีจิตไม่หวั่นไหว จึงสามารถแผ่เมตตาที่ตนมีให้กับมนุษย์หรือสัตว์ที่ประสงค์ร้าย ด้วยการพูดว่า “ จงเป็นสุข ไม่มีเวรต่อกัน ” หรือจะกล่าว คำว่า “ สัพเพ สัตตา ฯ.... ” ย่อมทำได้
  

1237.
เรียนถามพระอาจารย์

   พี่สาวถูกข่มขืน และเกิดตั้งท้อง พ่อพาไปทำแท้งเมื่อนานมาแล้วร่วม 20 ปี แต่พี่สาวไปดูดวงพร้อมเพื่อน ซึ่งหมอดูทักเพื่อนเค้าว่าเคยทำแท้ง มีวิญญาณเด็กตามอยู่ แต่ของพี่สาวหมอดูไม่ได้ทัก พี่สาวเลยสงสัยว่า วิญญาณเด็กไปเกิดและอโหสิกรรมให้เธอแล้ว

การที่เหตุเป็นเพราะถูกข่มขืน และผลไปทำแท้งนั้น ทำให้เธอบาปมากหรือไม่คะ และเธอควรทำบุญให้เด็กอย่างไร

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์

คำตอบ
    การถูกจองเวรจากเด็กที่ถูกทำแท้ง จะให้ผลออกมาในรูปของความวิบัติในงานที่ใช้เป็นอาชีพเลี้ยงตัว ความวิบัติในชีวิต เช่น ทะเลาะเบาะแว้ง ประสบอุบัติเหตุ ยากเข็ญ สูญทรัพย์ เสียเพื่อน ฯลฯ หากพี่สาวของผู้ถามปัญหามีชีวิตปลอดจากสิ่งเหล่านี้ และไม่ระลึกถึงการทำแท้งในอดีต เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ให้เห็นถึงการไม่มีเวรผูกพันกับเด็กที่ถูกทำแท้ง หากเป็นในทางตรงข้าม ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงเวรที่ยังผูกพันกันอยู่ จึงต้องบริหารหนี้เวรกรรม ตอบคำถามใน website ข้อ 728
      

1236.
กราบเรียน อาจารย์ ดร. สนอง

   1. เมื่อนั่งกำหนดไปแล้วรู้สึกสติเริ่มจางๆ จนในที่สุดก็หมดความรู้สึกทางกายและทางจิต จนเมื่อเวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง ความรู้สึกทางกายและทางจิตจึงกลับมาใหม่ รู้สึกเวลาหายไป และเมื่อเลิกกำหนดแล้วรู้สึกสบายทั้งกายและใจ เช่น ถ้าเป็นไข้หวัดตัวร้อนน้ำมูกไหล หลังจากออกจากสภาวะดังกล่าวแล้วรู้ว่าน้ำมูกหยุดไหล ไข้ลดลง สภาวะดังกล่าวนี้เป็นสภาวะที่เรียกว่าเป็นการเข้าภวังค์ หรือเข้าสมาบัติครับ และจะสังเกตุความแตกต่างของสภาวะทั้งสองอย่างไร

   2. ก่อนเข้าภวังค์นั้น จะต้องมีความคิด และขณะที่เข้าภวังค์จะต้องมินิตอยู่ด้วย แต่ไม่สามารถรู้สึกตัวได้เนื่องจากสติเบาบางมาก อันนี้ถูกผิดประการใดครับ

   3. สภาวะจิตก่อนเข้าภวังค์ สำหรับการทำสมาธิ เหมือนหรือแตกต่างอย่างไรกับกับสภาวะจิตก่อนหลับ หรือก่อนที่จะตายครับ

   4. ในบางครั้ง ผมได้ทำเมตตาภาวนาควบคู่ไปกับการเจริญสติปัฎฐานสี่ โดยใช้คำภาวนาว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขกายสุขใจ เมื่อภาวนาไปได้ซักพักหนึ่ง คำภาวนาจะหายไป หลังจากคำภาวนา หายไปแล้วนั้น จะกำหนดจิตอย่างไรและเอาจิตไปไว้ที่ไหนครับ

   5. หากผมต้องการทำเมตตาภาวนาให้ได้อัปปมาฌาณ
แต่ไม่ต้องการให้จิตไหลเข้าสภาวะดังข้อ 1. จะมีวิธีแก้อย่างไรครับ

   6. สภาวะของผลสมาบัติ นั้นสามารถมีเวทนาจางๆ และความคิดจางๆ ได้หรือไม่ครับ

   7. สมถะภาวนานั้น ไม่ว่าจะอยู่ในฌาณระดับไหนก็ตามจะต้องมีนิมิตเสมอ ( เพ่งในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเสมอ หรือจะต้องมีความคิดเสมอ ) ส่วนความรู้สึกทางกาย อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับระดับของฌาณ ใช่หรือไม่ครับ และถ้าเทียบกับสภาวะของผลสมาบัตินั้น จะแตกต่างกันคือความรู้สึกทางกาย และความรู้สึกทางจิตหายไป หมดความรู้สึกนึกคิด เวลาหายไป ใช่หรือไม่ครับ

   8. สภาวะในวิปัสนาญาณ เหมือนหรือแตกต่างอย่างไรของสภาวะที่เกิดจากการทำสมถะภาวนา (เช่น ใน มุญจิตุกัมยตาญาณ จะมีสภาวะคันมากเลิกทำแล้วก็ยังคัน บางคืนไม่ได้หลับเลยคันทั้งคืน ในขณะที่ผู้ทำสมถะ บางท่านก็เกิดอาการคันเหมือนกันโดยกล่าวว่าเป็นอาการของปิติ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ในภังคญาณ ที่กำหนดไปแล้วตัวหาย อาการเช่นเดียวกันนี้ ก็เกิดในผู้ทำสมถะเหมือนกัน)

ขอแสดงความเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
    (๑) อาการหมดความรู้สึกทางกายและทางจิต เป็นสภาวะที่จิตเข้าสู่ภวังค์ จึงไม่สามารถระลึกถึงอารมณ์ได้

   ส่วนจิตที่เข้าสู่สภาวะของฌานสมาบัติ จิตไม่สามารถรับกระทบข้างนอก (อายตนะภายนอก) ใดๆเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ แต่อารมณ์ภายใน (อารมณ์ฌาน) ยังคงมีอยู่และจิตสามารถระลึกได้

   (๒) ก่อนที่จิตเข้าสู่ภวังค์ จิตยังเกิด-ดับ ยังทำงานได้ ยังคิดได้ ยังมีนิมิตให้ปรากฏได้ การที่จิตไม่สามารถระลึกได้เป็นสภาวะที่ไม่เกิด-ไม่ดับ

   (๓) สภาวะจิตก่อนเข้าสู่ภวังค์ กับสภาวะจิตก่อนหลับมีสภาวะเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งต่างไปจากสภาวะของจิตก่อนเคลื่อนออกจากร่าง จิตสามารถระลึกได้ชัดเจน เหตุเพราะจิตยังเกิด-ดับ คือยังทำงานได้

   (๔) การเจริญเมตตาภาวนา เป็นการระลึกถึงความปรารถนาให้สัตว์อื่นได้ประโยชน์และมีความสุข ซึ่งใช้เป็นฐานให้จิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เมื่อใดที่จิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงจะสามารถนำจิตไปตามดูสติปัฏฐาน ๔ ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดเห็นว่า องค์กรรมฐานที่นำมาพิจารณาผันเข้าสู่ความมิใช่ตัว มิใช่ตน (อนัตตา) ปัญญาเห็นแจ้ง หรือเห็นถูกตามธรรมก็จะเกิดขึ้น จิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ทำให้จิตเป็นอิสระและว่างเป็นอุเบกขา นี่คือผลที่เกิดจากการพิจารณาสติปัฏฐาน

   ส่วนคำภาวนาที่หายไป คือสติระลึกไม่ได้ในคำภาวนา แก้ไขโดยสร้างอิริยาบถใหญ่ให้เกิดขึ้น เช่น เปลี่ยนจากการนั่งภาวนามาเป็นเดินจงกรม เมื่อใดที่จิตมีกำลังสติเพิ่มมากขึ้น คำภาวนาจะไม่หายไป

   (๕) ขออภัย คำว่า “ อัปปมาฌาน ” ไม่เคยปรากฏในจิตสำนึกของผู้ตอบปัญหา จึงแสดงความเห็นไม่ได้

   (๖) คำว่า “ ผลสมบัติ ” ไม่มีในจิตสำนึก จึงแสดงความเห็นไม่ได้ แต่หากผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ หรือ อนุปุพพวิหารสมาบัติ หรืออนุปุพพนิโรธ ได้แล้ว สัญญาและเวทนา ย่อมดับไปจากจิต ผู้ใดยังมีเวทนาจางๆ ยังมีความคิดจางๆ เกิดขึ้นกับจิต ผู้นั้นยังพัฒนาจิตเข้าไม่ถึงสภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ

   (๗) คำว่า “ นิมิต ” หมายถึง เครื่องหมาย, เค้า, มูล, ลาง, เหตุ ผู้ใดมีปัญญาเห็นผิด ย่อมมีความรู้สึกทางกาย ฉะนั้นผู้ที่พัฒนาจิต จนเข้าถึงรูปฌานได้ ยังมีความรู้สึกทางกายได้ หากพัฒนาจิตจนเข้าถึงอรูปฌานแล้ว ความรู้สึกทางกายย่อมไม่มี

   ส่วนคำว่า “ ผลสมาบัติ ” โปรดดูคำตอบข้อ (๖)

   (๘) ผู้ใดพัฒนาจิตด้วยวิธีสมถภาวนา จะไม่สามารถเข้าถึงมุญจิตุกัมยตาญาณ (ญาณหยั่งรู้ที่ทำให้ต้องการพ้นไปจากสังขารที่น่าเบื่อหน่าย) ได้ เพราะญาณดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น ส่วนอาการคันเป็นผลมาจากจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ

   อนึ่ง ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา แล้วเห็นตัวหายไป ไม่เรียกว่า ภวังคญาณ ส่วนผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่อเข้าถึงเฉพาะปรีชาหยั่งรู้เฉพาะความดับของสังขารเด่นชัดขึ้นมา ว่าสังขารทั้งปวง ล้วนต้องแตกสลายด้วยกันทั้งสิ้น อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ภังคญาณ หรือ ภังคานุปัสสนาญาณ.
  

1235.
กราบเรียนท่าน ดร.สนอง วรอุไร

   จากที่เคยฟังบรรยายจากท่าน ดร.สนอง จากทางเว็ปไซค์ ในหัวข้อของ "จิต" จิตมีหน้าที่รู้ คิด นึก (สมองเป็นเครื่องมือ) ถ้าจิตเรารับสิ่งกระทบเข้าปรุงแต่งเป็นอารมณ์จากทางหู เช่น เค้าพูดดีกับเรา เราก็อารมณ์ดี เค้าด่าเรา เราก็โกรธ
   ดิฉันรบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำวิธิฝึกจิตเพื่อไม่ให้เรารับสิ่งกระทบมาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ เนื่องจากว่าดิฉันถูกต่อว่าจากเพื่อนสนิทในที่ทำงาน (เกี่ยวกับหน้าที่การงาน) ดิฉันเข้าใจว่าเพื่อนหวังดี แต่ด้วยวิธีพูดของเค้า (หยาบคาย) มันทำให้จิตของดิฉันรับมาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ (โกรธ,น้อยใจ) ดิฉันคิดเอาเองว่าเค้าน่าจะให้กำลังใจ ปลอบใจ เพื่อให้ดิฉันมีกำลังใจปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง แต่กับเป็นคำหยาบคาย ดิฉันเข้าใจว่ามันเป็นแค่คำพูด แต่มันก็มีผลต่อจิตใจค่ะ

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ


กราบขอบพระคุณ

คำตอบ
    ผู้ใดพัฒนาตนให้มีศีลห้าบริสุทธิ์ และไม่พร่องลงคุมใจได้แล้ว นำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน สติและปัญญาเห็นแจ้งจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ผู้ใดมีสติระลึกทันเสียงหยาบคายและปัญญาเห็นแจ้งว่า เสียงที่หยาบคายดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตจะไม่ยึดเอาเสียงมาปรุงเป็นอารมณ์โกรธหรือน้อยใจได้ ฉะนั้นแก้ปัญหาที่ตัวเอง พัฒนาจิตให้กำลังของสติและปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น ปัญหาที่ถามและปัญหาอื่นที่จะตามมา ย่อมไม่เข้าไปรบกวนใจให้หวั่นไหวได้
    

1234.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่นับถือ

    ดิฉันยังไม่อาจเจริญสติจนเกิดปัญญารู้แจ้งกฎไตรลักษณ์ จึงขอรบกวนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

   1. ถ้ามีคนมาทำกรรมไม่ดีมากๆกับเรา แต่เราต่างอโหสิซึ่งกันและกันแล้ว อยากทราบว่าคนคนนั้นต้องไปรับกรรมจากคนอื่น(ในแบบเดียวกับที่ทำให้เราทุกข์)อีกหรือเปล่าคะ เพราะเคยอ่านเจอว่า แม้เราจะอโหสิให้แล้ว เราจะพ้นวงจรกรรมกับเขา แต่เขาก็ยังคงต้องไปรับผลต่อกับคนอื่นอยู่ดี

   และกรณีที่เขาเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา กรรมที่เขาทำกลับคืนเรา จะถือว่า"เจ๊า"กันไปหรือเปล่าคะ คือเขาไม่ต้องไปรับผลจากคนอื่นอีก

   2. หนังสือยิ่งกว่าสุข เมื่อจิตเป็นอิสระที่อาจารย์เขียน ทำให้ชีวิตของดิฉันเปลี่ยนไปมากๆ (ไม่อย่างนั้นคงลงเหวไปแล้วเพราะความไม่รู้ ก่อนหน้าดิฉันอ่านหลายเล่มก็ยังทำใจกับทุกข์ไม่ได้)
    ตอนนี้ดิฉันไม่สนใจเรื่องตำแหน่งฐานะเลย จะนับถือใครก็ที่คุณธรรมความดีของเขา ทำบุญกิริยาวัตถุ 10 สม่ำเสมอ ทำทานทุกวัน (ถ้าวันไหนไม่มีโอกาสก็จะหยอดใส่กล่อง รวบรวมไปทำบุญอีกที ) สวดมนต์ทุกคืน นั่งสมาธิอยู่เนืองๆ (เพราะสถานที่ไม่สัปปายะค่ะ) ในชีวิตประจำวันก็คอยดูจิตใจ ดูความรู้สึกของตัวเองไปด้วย ดิฉันตั้งใจรักษาศีล 5 มากๆ แต่มักจะมีเหตุการณ์มาทดสอบดิฉันมากเหลือเกิน เช่น ตอนไปทำงานตจว. พี่ที่ทำงานคะยั้นคะยอให้กินเหล้า จิบเดียว แต่ยังไงดิฉันก็ยืนยันไม่กิน เค้าจึงเททิ้งทั้งหมดโดยไม่มีคนอื่นได้กิน (ตอนนั้นดิฉันตกใจ ภายหลังก็ไม่มีอะไร) และมีมาทดสอบอีกหลายเรื่องค่ะ ซึ่งการที่ดิฉันเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ดูทีวี ไม่อ่านนสพ. (ไม่อยากดู/อ่านไปเอง) พูดน้อยลง (เพราะส่วนใหญ่พูดไปก็ไม่มีสาระ) ทำให้ที่ทำงานมองว่าดิฉันแปลกๆ และมองว่าวัยอย่างดิฉันยังไม่ควรมาศึกษาธรรมะ ยิ่งพอดิฉันพูดว่ากรรมที่เราทำเป็นประจำทุกวันสำคัญมาก เพราะตอนตายถ้าไม่มีกรรมหนักหรืออาสัญกรรมให้ผล อาจิณกรรมก็จะส่งผล เค้าก็ตกใจกันใหญ่ที่ดิฉันพูดถึงเรื่องความตาย และวันนี้ก็มีน้องที่ทำงานพูดว่ายังไงเราตายไปแล้วเกิดใหม่ก็ไม่ใช่คนเดียวกับเค้า ณ ตอนนี้แล้ว

   ขอถามว่า ทำไมเวลาที่เราตั้งใจจะเป็นคนดี ถึงต้องมีเรื่องทดสอบเรามากมายล่ะค่ะ บางทีก็ทำให้เหนื่อยและท้อมาก (เมื่อก่อนดิฉันทำตัวแทบจะตรงข้ามกับตอนนี้เลยค่ะ) ได้แต่อาศัยการอ่านข้อธรรมของครูบาอาจารย์(รวมถึงท่านอาจารย์ด้วย) ทุกคืนๆ ที่จะช่วยให้ดิฉันเดินบนทางนี้ต่อไปได้ (เพราะคนที่บ้านและที่ทำงาน ไม่มีใครสนใจคำสอนของพระพุทธองค์เลย ไม่ว่าเขาจะมีทุกข์แค่ไหน และมองว่าดิฉันเริ่มเพี้ยน หลังๆดิฉันเลยไม่ค่อยแสดงออกเรื่องนี้มาก)

   3. ดิฉันรู้จากการอ่าน
     รู้ว่า...ขันธ์ 5 เป็นทุกข์
     รู้ว่า...ทุกสิ่งในโลก ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
     รู้ว่า...สามีและลูกคือห่วง
     รู้ว่า...ชีวิตนี้เป็นของชั่วคราว และน้อยนัก

   แต่เนื่องจากยังไม่ปัญญาเห็นจริงด้วยตัวเอง จึงขอถามว่า เวลาที่อยู่บนโลกมนุษย์(ถ้าไม่มีกรรมตัดรอน) ของดิฉันอาจเหลือประมาณ 50 ปี หากไม่มีคู่ ดิฉันจะสามารถทำแต่กรรมดีๆแบบนี้ไปทุกวันๆ โดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมากได้ไหมคะ พี่ที่ทำงานบอกว่า ถ้าตอนนี้ดิฉันไม่คิดมีคู่ เลยวัยนี้ไปแล้วจะมาเสียใจทีหลัง ขอความเห็นของอาจารย์เรื่องนี้ได้ไหมคะ เพราะบางครั้งดิฉันก็รู้สึกเหงามากๆ แต่ก็ไม่อยากมีทุกข์เพราะความรักอีก

   4. เทวดา ท่านสามารถดลจิตใจมนุษย์ให้คิด หรือทำอย่างที่ท่านปรารถนาได้ไหมคะ ถ้าได้ จะไม่เป็นการแทรกแซงกรรมของมนุษย์ผู้นั้นหรือคะ

   จากที่ดิฉันมีโอกาสไปฟังธรรมครั้งแรก วันที่12 ก.ค. เห็นเด็กๆรุ่นใหม่ไปกันเยอะมาก (ชื่นใจ) แต่ในสายตาคนนอก (ที่ไม่ได้สนใจธรรมะ) กลับมองว่า เพราะคนเหล่านั้นต้องมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งถึงสนใจธรรมะ ดิฉันอธิบายเท่าไหร่ ก็ไม่เชื่อจนดิฉันต้องนิ่งไป คงอย่างที่อาจารย์บอกว่ามีบัวหลายเหล่า และหลวงปู่ดูลย์ บอกว่าธรรมะไม่ใช่ของที่จะไปยัดเยียดให้ใครนะคะ ทุกวันนี้ดิฉันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดี ยิ่งกลับคิดว่าขยะยังอยู่ในใจเต็มเลย แต่ดิฉันก็เชื่อว่าได้มาเดินบนหนทางที่ถูกต้อง ดีงามแล้วค่ะ

    ขอบพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณกับดิฉันอย่างมากเหลือเกิน

   จันทร์นภัส ธีระวิทย์

คำตอบ
    (๑) ผู้ใดทำกรรมที่เป็นเวรไว้กับคนอื่นสัตว์อื่น หากยังไม่ได้รับการยกโทษให้ (อโหสิ) เวรกรรมของเขาทั้งสองยังผูกกันอยู่ ผู้ใดชดใช้หนี้เวรกรรมให้กับผู้จองเวรได้หมดสิ้น หนี้เวรกรรมของสัตว์บุคคลทั้งสองย่อมหมด (เจ๊า) กันไป ไม่มีหนี้เวรกรรมเหลือตกค้างให้ต้องกลับมาชดใช้กันอีก

   (๒) การทำความดีย่อมมีมารขัดขวาง ความเหนื่อยกายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องมี แต่ผู้ใดมีธรรมคุ้มครองใจ ความท้อแท้ใจย่อมไม่เกิดขึ้น ผู้ใดมีพฤติกรรมไม่เหมือนพฤติกรรมของคนปกติทั่วไป เรียกผู้นั้นว่า “ เพี้ยน ” ที่มีคนพูดว่าผู้ถามปัญหานั้นเป็นคนเพี้ยน เป็นการพูดถูกของเขา แต่ผู้ที่ถูกพูดถึงมีพฤติกรรมเพี้ยนไปสู่ความสวัสดีของชีวิต ผู้รู้ไม่หยุดเพี้ยน ดีให้ถึงที่สุด ฉะนั้นจงเพี้ยนต่อไป

   (๓) ผู้ใดมีธรรมะคุ้มครองใจ ความเหงา ความรู้สึกโดดเดี่ยว ย่อมไม่มีกับผู้นั้น

อนึ่ง พี่ที่ทำงานพูดถูกตามความเห็นของเขา แต่ไม่ถูกตามความเห็นของผู้รู้จริง พระพุทธะตรัสในทำนองที่ว่า มนุษย์มีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตรธิดาเป็นห่วงผูกคอ ผู้ถามปัญหาจะผูกชีวิตไว้กับสิ่งใด เลือกได้ตามใจปรารถนา หรือไม่เอาสิ่งใดมาผูกมัดให้ขาดความเป็นไท อยู่ที่ต้องตัดสินใจเอาเอง เพราะบุคคลมีสิทธิในชีวิตที่ต้องบริหารจัดการด้วยตัวเอง

   (๔) ผู้ใดมีศีลมีธรรมคุ้มครองใจ ผู้นั้นมีเทวดาคอยคุ้มรักษา เทวดาเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ ฉะนั้นเมื่อเทวดาดลใจ จะไม่ดลใจให้ทำชั่ว แต่จะดลใจผู้มีศีลมีธรรมให้ทำแต่กรรมดี ถือว่าเป็นการแทรกแซงกรรมได้
  

1233.
   อยากเรียนถามอาจารย์ว่าการที่คนเราจะอยู่โดดเดี่ยวในทุกๆสังคม ทั้งๆที่ปฏิบัติตัวด้วยดีกับผู้อื่น เช่น การมีน้ำใจ การไม่ดูดายเมื่อผู้อื่นต้องการความช่วยเหลือ การรู้จักเกรงใจ ไม่เอาแต่ใจ (แต่อาจจะไม่ใช่คนพูดเก่งหรือคุยสนุก) คนที่เป็นแบบนี้ทำกรรมอะไรมาคะ พยายามทำบุญตามกำลัง รักษาศีล 5 สวดมนต์มาตลอดแต่ก็ไม่ค่อยมีมิตรแท้ ทั้งๆที่หลายคนมักบอกว่าดิฉันเป็นคนดี เมื่อนานๆเข้ารู้สึกเบื่อๆ

  อยากเรียนถามอาจารย์ว่าควรแก้ไขวิบากกรรมนี้อย่างไรคะ อยากมีเพื่อนที่ดีๆเข้ามาบ้างค่ะ

คำตอบ
    มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องพึ่งอาศัยผู้อื่นเพื่อชีวิตอยู่รอด แม้แต่พระสงฆ์ผู้อยู่ตามป่า,น้ำ ฤาษีชีไพร คนจรจัดที่หลับนอนตามที่สาธารณะ เหล่านี้ หากจะถือว่าเป็นผู้อยู่โดดเดี่ยวก็เป็นเพียงชั่วคราว เพราะยังต้องพึ่งคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร ดังนั้นพฤติกรรมที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไป จึงมิใช่เป็นการอยู่โดดเดี่ยว

บุคคลจะรู้ว่าตัวเองดีหรือไม่ดี มิใช่ตัวเองเป็นผู้ดูเป็นผู้ตัดสิน ต้องให้ผู้อื่นเป็นคนดูเป็นคนตัดสิน และต้องดูกันนานๆ จึงจะรู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่

ผู้ใดประพฤติตนให้อย่างน้อยมีเบญจศีล (ศีล ๕) มีเบญจธรรม (เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะและสติสัมปชัญญะ) คุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น สัตว์เดรัจฉานยังอบอุ่นใจ ไว้วางใจ นำตัวเข้าใกล้ ยังมีเทวดาคุ้มรักษา

ผู้ใดพัฒนาตัวเองให้มีความเห็นถูก ย่อมแสวงหาธรรมะมาเป็นมิตรแท้คุ้มครองใจ ตัวอย่างเช่นพระสารีบุตรมีกายคตาสติเป็นมิตรแท้ ฉะนั้นปัญหาที่ถามไปสรุปลงได้ว่า มีความเห็นผิดเป็นเหตุให้เกิด
   

1232.
เรียน ท่านอาจารย์สนองที่เคารพเป็นอย่างสูง

   ดิฉันได้อ่านคำตอบของท่านในคำถามที่ 1227 ที่ผู้ถามได้ถามเกี่ยวกับการทำกรรมไว้เพียงครั้งเดียว แต่ผลของกรรมนั้นทำไมจึงมากมายหลายเท่านัก ท่านได้ตอบไว้ว่า คนที่มีจิตค่อนข้างบริสุทธิ์ แล้วไปทำบาปให้เกิดขึ้น ผลของบาปที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต จะถูกระลึกถึงได้ง่ายและถูกระลึกถึงได้มาก เมื่อใดที่กรรมให้ผล จึงให้ผลรุนแรงและให้ผลในปริมาณมากกว่าบาปที่ตนกระทำ

   ดิฉันมีความสงสัย จึงรบกวนขอสอบถามเพิ่มเติมว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น อย่างนี้ก็เท่ากับว่าคนดีและคนชั่วหากทำบาปลักษณะเดียวกัน คนดีซึ่งมีจิตที่บริสุทธิ์กว่า มีหิริโอตตับปะมากกว่าจะโดนเล่นงานจากวิบากมากหนักกว่าใช่หรือไม่ อย่างนี้จะเป็นการขัดกับกฎแห่งกรรมหรือไม่ และทำอย่างไรเราจึงจะป้องกันในเรื่องนี้ได้ค่ะ หากดิฉันตีความที่ท่านแนะนำผิดพลาด ขอกราบขออภัยและขออโสหิกรรมด้วยค่ะ สุดท้ายนี้ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ และเผยแผ่ความรู้และการปฏิบัติในทางธรรมต่อไปตราบนานเท่านาน ขอบพระคุณมากค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะจิตที่มีบุญสั่งสมอยู่มากมีความไว (Sensitive) ต่อการรับกระทบบาปได้มากกว่า เมื่อใดที่บาปให้ผล ย่อมให้ผลได้รุนแรงกว่า ส่วนจิตที่มีบาปสั่งสมอยู่มาก มีความไวต่อการรับกระทบบาปได้น้อยกว่า เมื่อใดที่บาปให้ผล จึงให้ผลได้อ่อนกว่า เหตุผลนี้มิได้ผิดไปจากกฎแห่งกรรม ฉะนั้นผู้ที่มีความดี (บุญ) สั่งสมอยู่ในจิตมาก พึงระมัดระวังในการทำกรรมไม่ดี ต้องใช้สติสัมปชัญญะเป็นตัวชี้นำการประพฤติกรรม สติคือระลึกได้ สัมปชัญญะเป็นตัวปัญญา เมื่อรู้ว่าดีแล้วทำ รู้ว่าไม่ดีแล้วไม่ทำ แล้วบาปใหม่จะไม่เกิดขึ้น เรื่องนี้ท่านเจ้าคุณโชดก เคยพูดกับผู้ตอบปัญหาว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมและเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมแล้ว หากไปทำกรรมชั่วเพียงครั้งเดียว ผลของกรรมย่อมรุนแรงกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังเข้าไม่ถึงมรรคผลของธรรม เป็นหลายเท่า
  

1231.
กราบสวัสดี ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูงค่ะ หนูขอคำปรึกษาด้วยค่ะ

- ถ้าหนูจะทำธุรกิจการค้าเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำ ไม่ทราบว่า ธุรกิจนี้จะเป็นการสร้างผลกรรมไม่ดีประการใดบ้างหรือเปล่า หรือมีอานิสงฆ์อย่างไร เนื่องจากหนูเคยได้ยินมาว่า “ ทองคำ ” เป็นเสมือนทรัพย์ของแผ่นดิน อาจส่งผลกระทบให้คนทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำนี้ มีชีวิตที่ไม่สงบสุข ที่หนูต้องการคำปรึกษาแนะนำนี้ หนูเพียงแต่ไม่ต้องการสร้างอกุศลเพิ่มขึ้นโดยไม่เจตนาค่ะ

   สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านอาจารย์ ดร.สนอง สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย อยู่เป็นที่พึ่ง เป็นแสงสว่างทางธรรมให้กับเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้ ให้นานเท่าที่จะนานได้ค่ะ และหนูขออนุโมทนาในทุกบุญกุศลที่ท่านอาจารย์สร้างด้วยนะคะ

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
   ธุรกิจที่บอกเล่าไป ผู้ใดประพฤติแล้ว ย่อมนำจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของวัตถุ ความหลงย่อมเกิดเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อนำตัวเข้าปฏิบัติธรรมแล้ว โอกาสพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบที่เหตุของความหลงยังไม่หยุดกระทำ
  

1230.
กราบเท้าดร.สนองที่เคราพ

   ดิฉันอยากสอบถามเกี่ยวกับ

   1.เรื่องศีล ข้อ 3 ดิฉันมีสามีแล้ว แต่บางทีเจอคนถูกใจชอบแอบนำมาคิด หรือจินตนาการทางเพศ อยากทราบว่าถือว่าผิดศีลข้อ3และข้อ 3ในศีล 8 หรือไม่คะ

   2. การมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้น เพราะชาติที่แล้วดิฉันผิดศีลข้อ 5 ใช่หรือไม่คะ

   3.ดิฉันนั่งสมาธิจนนิ่งแล้ว จะผลิกเข้าสู่วิปัสสนาได้อย่างไร ตอนนี้พอจิตสงบ ก็จะนำเหตุการณ์ต่างๆมาคิดตามกฎไตรลักษณ์ เช่นอาการเกิดดับของเหน็บชาที่เกิดขึ้นจริง อารมรณ์โกรธที่หายไป อารมรณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวัน ดิฉันทำถูกต้องหรือผิดไปจากหลักกรรมฐานไหมคะ

รักและเคราพ/คนช่างสงสัย

คำตอบ
    (๑) ที่บอกเล่าไป เป็นการประพฤติทุศีลข้อ ๓ ทางใจ เป็นมโนทุจริต ผิดทั้งศีล ๕ และผิดทั้งศีล ๘

   (๒) เป็นไปได้

   (๓) ผู้ใดมีจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออารมณ์ดับไป (อนัตตา) จิตจะปล่อยวางอารมณ์ แล้วจิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา หากมีผลถูกตรงตามนี้ ถือว่า วิปัสสนาภาวนาดำเนินไปถูกต้อง  
  

1229.
เรียนอาจารย์สนอง ที่เคารพ

   ดิฉันมีข้อสงสัยจึงอยากให้อาจารย์ช่วยไขปัญหาให้กระจ่างด้วยค่ะ
   1. ดิฉันเป็นคนกังวลไปในทุกๆเรื่อง สมองจึงคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอด ดิฉันไม่สามารถนั่งสมาธิแล้วทำจิตใจให้สงบได้ อีกอย่างคือดิฉันไม่เข้าใจคำบอกกล่าวของหลายคน ดิฉันพยายามจะถามหลายๆคนแล้วว่าเวลานั่งสมาธิแล้วให้คิดถึงสิ่งใด บางคนบอกให้ไม่ต้องคิดอะไรให้กำหนดลมหายใจแล้วรู้ว่าเราหายใจเข้า-ออก ดิฉันเลยสงสัยว่า ถ้าอย่างนั้นบางคนบอกว่านั่งสมาธิแล้วจิตว่างไปเลย คือไม่คิดถึงอะไรเลย(ที่ถือว่าเป็นขั้นสูงแล้ว) แล้วคนนั่งสมาธิเค้าจะถือว่ามีสมาธิอยู่หรือคะ มันไม่ใช่เป็นการจดจ่อกับสิ่งใด แล้วเราจะมีสติอยู่หรือคะ

   2. การให้สัญญา หรือตั้งจิตมั่นปฏิญาณกับพระพุทธรูป ว่าเราจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ได้ แล้วในตอนหลังดิฉันไม่สามารถปฏิบัติได้ บางสิ่งดิฉันก็ลืมไป จะเป็นบาปหรือส่งผลอะไรต่อดิฉันไหมคะ แล้วมีทางแก้ไขไหมคะ (โดยเฉพาะบางสิ่งที่เราเคยให้สัญญาไปแล้ว แต่ลืมคำสัญญาไปนะคะ)

   3. ดิฉันทำในหลายเรื่องที่ผิดศีล ทั้งๆที่รู้ว่าผิดแต่ดิฉันก็ยังทำ และดิฉันก็จะกังวลกับมันตลอด (อย่างที่บอกในข้างต้นแล้วว่าดิฉันเป็นคนที่ขี้กังวลมาก) ทั้งที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ฉันกลัวบาปมาก กลัวความเจ็บปวด ทุกวันนี้ดิฉันอยู่อย่างไม่มีความสุข จะกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอด ทั้งเรื่องการเรียน การเงินและอีกมากมาย ทั้งที่ดิฉันก็เรียนได้เกรดค่อนข้างดี ทางบ้านก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ดูเหมือนดิฉันจะยึดติดกับหลายๆสิ่งจนทำให้ใจเป็นทุกข์ ทั้งๆที่ดิฉันก็รู้ว่าตายไปแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ ดิฉันรู้ว่าใจคิดอย่างไร แต่ดูเหมือนจะบังคับให้ใจปล่อยวางไม่ได้สักที ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ เวลาฉันไปไหว้พระที่วัด ก็มักจะขอท่านให้ดิฉันสามารถเข้าถึงธรรมได้ เห็นธรรมได้ ปล่อยวางได้ แต่ดูเหมือนดิฉันก็ไม่สามารถบังคับใจตัวเองได้สักที และบางครั้งดิฉันเห็นคนอื่นทุกร้อน หรือมีเรื่องเศร้า แต่ใจดิฉันกับไม่ได้รู้สึกสงสาร บางครั้งก็คิดว่าไม่เห็นทุกข์เท่าไหร่เลย (ออกแนวไม่ใส่ใจ+ไม่สงสาร) ดิฉันรู้สึกว่าจิตใจตัวเองทำไมแย่เป็นอย่างนี้ แล้วดิฉันก็จะพยายามคิดว่า ถ้าเราเจอเรื่องอย่างนั้นมั่งจะต้องทุกข์มากๆๆๆ ทำให้บางครั้งดิฉันรู้สึกเกลียดตัวเองมากๆ ทุกครั้งที่เจอเรื่องแบบนี้แล้ว ดิฉันไม่สงสารดิฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเลวร้ายมาก ทั้งๆที่ตอนเป็นเด็ก ดิฉันไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย ดิฉันพยายามทำใจให้สงสารทุกครั้งที่เห็นความทุกข์ของผู้อื่น แต่จะเหมือนมีอีกใจที่ขัดแย้งว่าใจของดิฉันไม่ได้ทุกข์กับเรื่องเหล่านั้นเลย เลยอยากให้อาจารย์ช่วยบอกดิฉันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน และดิฉันควรทำอย่างไร จึงจะสามารถมีจิตใจที่ดีได้

สุดท้ายนี้หากไม่เป็นการรบกวนอาจารย์จนเกินไป

ขอบคุุณมากค่ะ

คำตอบ
    (๑) ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ผลแห่งการปฏิบัติย่อมไม่เกิดขึ้น หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตตนเอง ให้มีศีล ๕ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย และให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่นได้แล้ว การพัฒนาจิต (สมถกรรมฐาน) ให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ และพัฒนาจิต (วิปัสสนากรรมฐาน) ให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

   (๒) การประพฤติตนเป็นคนไร้สัจจะ ถือว่าเป็นบาป ผู้ไม่มีสัจจะไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมขั้นสูงได้ ผู้ใดประสงค์แก้ปัญหาความไร้สัจจะให้หมดไป ต้องไปขอขมาต่อพระรัตนตรัยให้ยกโทษให้ และต้องไม่ประพฤติไร้สัจจะให้เกิดขึ้นอีก

                  (๓) ผู้ใดมีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจ จิตย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นได้ง่าย และผู้ใดหมั่นเจริญพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) อยู่เสมอ ความสงสารคิดช่วยเหลือผู้อื่นย่อมเข้าถึงความสำเร็จได้
   

1228.
กราบเรียน พระอาจารย์

   หนูมีปัญหาในชีวิตที่ทำให้ทุกข์ใจมาได้ 19 เดือนแล้ว
กราบขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ด้วยคะ

   หนูกับแฟนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน อยู่กินกันมา 10 กว่าปีจนเมื่อ 19 เดือนที่แล้วเค้าไปมีคนใหม่ เราก็เลิกกัน แต่พอ 6 เดือนหลังเค้ากลับมาวนเวียนอีกแล้ว อยากขอเป็นเพื่อนกันอีก หนูขอร้องให้เค้าเลิกมาเค้าก็ไม่ฟัง หนูก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆๆ ฟุ้งซ่านมาก หนูอยากให้ตัวเองรักเค้าแบบเมตตา และเห็นหน้ากันได้โดยหนูไม่เจ็บแต่หนูทำไม่ได้

   หนูพยายามที่จะแก้ปัญหาความเจ็บปวดด้วยการหันหน้าเข้าพึ่งพระธรรม เดิมทีก็ปฎิบัติอยู่บ้างแล้วคะ หนูพยายามปฎิบัติเพื่อให้จิตเดินทางสู่ความสงบ ซึ่งไม่ค่อยประสบผลนัก หรือเป็นเพราะผลกรรมเก่าที่หนูเป็นแบบนี้ ทำให้หนูไม่สามารถบรรลุ หรือ เข้าใจในธรรมของพระพุทธองค์ บางวันก็ท้อแต่ก็ยังเชื่อว่าน่าจะทำได้บ้าง หนูก็ทำไปรู้สึกมากบ้าง น้อยบ้างก็ทำไป อย่างน้อยขอให้มีสติสัมปัญชญะมากขึ้น แต่อาการหลงโกรธ หลงรัก มีมาก จนกระทั่งหนูคิดว่า หนูมาถูกหรือผิดทางกันแน่ ไม่มีบุญพอหรืออย่างไร ถึงปฎิบัติไม่ก้าวหน้า
หนูฝึกแบบรู้สึกตัว + ตามลมหายใจ (ตามที่พระอาจารย์ มานพ อุปสโม)

   หนูเที่ยวไปฝึกกับครูบาอาจารย์ บางครั้งไปฝึกก็ครุ่นคิดแต่เรื่องเดิม ครั้งล่าสุด ฝึกกับพระอาจารย์มานพ รู้สึกปัจจุบันมากขึ้นแต่กลับมาบ้านทีไรก็เป็นเหมือนเดิม รู้สึกตัวน้อย หลงมาก หลงนาน รู้คะแต่หยุดไม่ได้

    รบกวนขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ ว่าหนูควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้รับธรรมโอสถ แล้วพ้นจากการตกนรกทั้งเป็น ต้องทำบุญอย่างไรดีคะ หนูอยากบวชเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น (หนูเข้าใจว่าถ้าหนูอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งอิงอาศัยทางใจกับใคร)
การบวชน่าจะช่วยได้ให้หนูได้ฝึกติดต่อและต่อเนื่อง หนูเข้าใจผิดรึเปล่าคะ

   ทุกวันนี้ทรมานมาก ผอมมาก กินได้น้อย นอนไม่ค่อยหลับ ฝันร้าย ทำงานทำการไม่ค่อยได้ เพราะว้าวุ่นใจตลอด สมาธิไม่มี บางวันก็อยากจบชีวิตซะที เป็นอาการของจิตที่ตก และจมอยู่อย่างนั้น ย้ำคิดย้ำทำ วนเวียนอยู่นั่น

ขอความเมตตาจากพระอาจารย์ชี้แนะทางพ้นจากทุกข์ให้หนูหน่อยคะ
ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
    พุทธวจนะ “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด เมื่อเหตุดับสิ่งนั้นย่อมดับไปด้วย ”

   ฉะนั้นผู้ถามปัญหาประสงค์แก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับชีวิต ต้องหาเหตุให้พบและดับที่เหตุนั้น

   สิ่งขัดใจเป็นต้นเหตุให้เกิดเป็นความโกรธ สิ่งขัดใจดับได้ต้องให้อภัยเป็นทาน ให้อภัยได้แล้วเมตตาจึงจะเกิดขึ้น ผู้ใดมีเมตตาผู้นั้นไม่มีความโกรธ

   ความหลงคือรู้ไม่จริง คืออวิชชา ความหลงหมดไปได้ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาความหลงว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดความหลงเข้าสู่อนัตตา ความหลงจึงไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางความหลง แล้วว่างเป็นอุเบกขา ความหลงก็จะหมดไปจากใจได้

   ปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า มีเหตุมาจาก

     ๑. อกุศลวิบากตามให้ผล และจิตยังชดใช้หนี้เวรไม่หมด

     ๒. ศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ และไม่เอาศีลมาคุมใจ

     ๓. ความเพียรในการปฏิบัติธรรมย่อหย่อน

     ๔. ไม่มีสัจจะคุมใจ

   ผู้ใดดับเหตุทั้ง ๔ นี้ได้ การปฏิบัติธรรมได้ผลก้าวหน้าแน่นอน


  
1227.
เรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพยิ่ง

   ดิฉันเคยศึกษาเรื่องราวของธรรมะมาบ้าง จากการอ่านและฟังธรรมะจากท่านผู้รู้หลายท่าน รวมถึงหนังสือของท่านอาจารย์สนองด้วยค่ะ ทำให้ได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์มากขึ้น และที่ดิฉันสนใจมากคือเรื่องกฎแห่งกรรม ทำกรรมสิ่งใดไว้ ผลของกรรมนั้นย่อมตามสนอง ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่ว แต่มีเรื่องสงสัยบางอย่างที่ต้องเรียนถาม ขอท่านอาจารย์เมตตาให้ความกระจ่างด้วยค่ะ

   1 การทำกรรมไว้เพียงครั้งเดียว แต่ผลของกรรมนั้นทำไมจึงมากมายหลายเท่านัก อย่างเช่นนะคะ (ที่เคยอ่านเจอมา) คนที่ฆ่าสัตว์เพียงครั้งเดียว จะต้องไปเกิดในนรกใช้กรรมหลายล้านปี พอขึ้นมาก็ต้องมาถูกฆ่าอีก 500 ชาติ ทำไมมากมายนัก ที่ถามก็เพราะว่าเกิดความกลัว ไม่ทราบว่าฆ่าใครมาแล้วบ้างในอดีตชาติ และชาติปัจจุบันก็เคยฆ่าสัตว์เหมือนกัน และถ้าปัจจุบันเลิกฆ่าสัตว์และตั้งหน้าตั้งตาปฎิบัติธรรม พอที่จะหนีพ้นวิบากกรรมเก่าเหล่านั้นได้บ้างหรือไม่ค่ะ ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกปฏิบัติธรรม ตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช โดยการดูจิตอยู่ค่ะ ก็ทำไปเรื่อยๆเนืองๆ ในชีวิตประจำวันเพราะว่ายังไม่ค่อยได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมในสถานปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และก็ใส่บาตรตอนเช้าอยู่ประจำ

   2 ดิฉันปรารถนาให้พ่อและแม่ หันมาสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมบ้าง แต่ดิฉันปัญญาน้อย ก็อาศัยอ่านหรือเปิดเทปบรรยายธรรมให้ท่านฟัง ดูเหมือนท่านจะยังไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าที่ควร ดิฉันเคยท้อและเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้มาก แต่ก็ได้คำสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ ก็เลยคลายความทุกข์ได้บ้าง ดิฉันควรทำอย่างไรให้ท่านหันมาสนใจให้มากขึ้น เพราะสิ่งเดียวที่ดิฉันจะตอบแทนท่านได้เต็มที่ ในฐานะลูกก็คงจะมีทางนี้ทางเดียว

ขอรบกวนเท่านี้ก่อนนะคะ    ขอกราบอนุโมทนาในเมตตาของท่าน ที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้พ้นจากทุกข์ค่ะ

คำตอบ
    (๑) คนที่มีจิตค่อนข้างบริสุทธิ์ แล้วไปทำบาปให้เกิดขึ้น ผลของบาปที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต จะถูกระลึกถึงได้ง่ายและถูกระลึกถึงได้มาก เมื่อใดที่กรรมให้ผล จึงให้ผลรุนแรงและให้ผลในปริมาณมากกว่าบาปที่ตนกระทำ

ปัจจุบันได้หยุดฆ่าสัตว์แล้ว ถือว่าเป็นการกระทำที่ดี เพราะไม่เติมเชื้อบาปให้เพิ่มมากขึ้น ผู้ถามปัญหาประสงค์หนีไปให้พ้นจากวิบากที่เกิดจากการฆ่า สามารถหนีได้ชั่วคราว ด้วยการพัฒนาใจให้มีศีลห้าอยู่เสมอ และบำเพ็ญทานอยู่เสมอ หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ อยู่เสมอ หรือเจริญอานาปานสติจนจิตตั้งมั่นเป็นฌาน แล้วตายในขณะจิตทรงฌานจะไปเกิดเป็นพรหม หรือจิตทิ้งร่างในขณะมีสติคุมใจ ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เป็นการกระทำที่สามารถหนีพ้นวิบากจากการฆ่าสัตว์ได้ชั่วคราว และจะดีที่สุด ต้องพัฒนาจิตจนสามารถปิดอบายภูมิได้ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์อย่างน้อยสามตัวแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด จึงจะสามารถพ้นจากอกุศลวิบากที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ได้เป็นที่แน่นอน

   (๒) เมื่อใดผู้ถามปัญหาพัฒนาตัวเอง ให้มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจให้ได้ทุกขณะตื่น พฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย วาจา ใจ ย่อมดีงาม ความศรัทธาของผู้อยู่ใกล้ย่อมเกิดขึ้น และหากพัฒนาจิตจนเข้าถึงอริยธรรมได้แล้ว ความศรัทธาของพ่อแม่จะเกิดขึ้นได้ง่าย แล้วพ่อแม่จะมีความเห็นถูก หันมาสนใจธรรมเอง  
  

1226.
เรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ

โปรดช่วยชี้ทางสว่างให้กับนักศึกษาคนนี้ด้วยค่ะ

   ขณะนี้ดิฉันกำลังศึกษาระดับปริญญาเอก ด้านสิ่งแวดล้อม อยู่ที่ต่างประเทศค่ะ เป็นความโชคดีมาก ที่ได้มาฟังเสียงบรรยายธรรมของอาจารย์ผ่านเวบไซต์ ทำให้ดิฉันมีกำลังใจในการเจริญศีลภาวนาและตั้งใจว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆค่ะ เพราะดิฉันมีความเห็นเช่นเดียวกับอาจารย์ว่า ปัญญาทางโลกเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาชีวิตทำให้ใจเป็นสุขได้

   ตอนนี้ดิฉันกำลังจะต้องทำวิจัย โดยศึกษาพิษวิทยาของดิน ที่ปนเปื้อนด้วยสารตะกั่วโดยใช้ไส้เดือนค่ะ ซึ่งจากการทดลอง ทำให้ดิฉันต้องฆ่าไส้เดือนหลายร้อยตัว (freeze dry) เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารตะกั่วในตัวใส้เดือน ซึ่งงานนี้เป็นงานที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ที่ปรึกษาค่ะ ดิฉันไม่มีทางเลือกอื่น อยากเรียนถามอาจารย์ว่า

   1) ผลกรรมที่จะได้รับจากการกระทำนี้คืออะไรบ้างคะ

   2) ถ้าดิฉันกล่าวขอขมาไส้เดือนก่อนที่จะฆ่า จะทำให้เวรกรรมเบาบางลงบ้างไหมคะ หรือหากอาจารย์จะกรุณาชี้แนะวิธีอื่นๆ เพื่อก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ที่กรุณาสละเวลาและสายตาอ่านและตอบคำถามของดิฉัน

คำตอบ
    (๑) เมื่อใดที่กรรม (เหตุ) ที่ทำให้ผล จะให้ผลเป็นความเจ็บป่วยและมีอายุไม่ยืนยาว

   (๒) ไส้เดือนเป็นสัตว์ที่มีรูปนาม การขอขมากรรมย่อมทำได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ผู้ถูกแช่แข็งแห้ง (ไส้เดือน) จะยกโทษให้หรือไม่ หากไส้เดือนยกโทษให้ ผู้ที่นำเขาไปแช่แข็งแห้ง ไม่ต้องรับผลของกรรมนั้น ตรงกันข้ามถ้าจิตวิญญาณของไส้เดือนไม่ยกโทษให้ อกุศลวิบากตามข้อ (๑) ย่อมเกิดขึ้นกับผู้กระทำ

   อนึ่ง การวิจัยที่มีการฆ่าสัตว์ เป็นส่วนประกอบแห่งความสำเร็จในการศึกษา แม้จะรู้ว่าเป็นบาป จงทำต่อไป เมื่อใดความรู้ที่เกิดขึ้น ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก บุญย่อมเกิดขึ้นจากผลของวิจัยนั้น และจะดีที่สุด เมื่อการทำวิจัยจบสิ้นลงแล้ว ผู้ถามปัญหาต้องหยุดประพฤติทุศีลดังที่เคยทำมาก่อน แล้วพัฒนาจิตให้มีบุญสั่งสมมาก จนบาปตามให้ผลไม่ทัน ด้วยการประพฤติทาน ศีล ภาวนา ตลอดชีวิต
  

1225.
สวัสดีคะอาจารย์ ขอเล่าข้อข้อสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร

   หนูได้เริ่มปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆ เมื่อเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา เช่น ถือศีลแปดที่วัด 3 วัน สวดมนต์เย็นนั่งสมาธิ บางวันก็ไปทำวัตรเย็นที่วัด และตื่นตี4.30 บ้างตี 5 สวดมนต์นั่งสมาธิโดยใช้ภาวนาพุทโธ กระทำเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน ได้มีเหตุการณ์ดังนี้

   -อาทิตย์แรกของการนั่งสมาธิ หนูเจ็บหูมากจนหูข้างหนึ่งแทบไม่ได้ยิน ไปหาหมอ หมอบอกว่าหูบวม เวลาผ่านมาอีก 1 อาทิตย์ถึงหาย

   -เกิดอาการตาเจ็บมาก เหมือนมีอะไรละคายเคืองในตา ไปหาหมอ ก็หาไม่เจอ เวลาผ่านมาอีก 1 วันถึงหาย

   -ระหว่างนั่งสมาธิ จะมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ตอม หนูก็พยายามกำหนด คันหนอ บ้าง เจ็บหนอบ้าง สักพักแล้วก็หายไป

   -หนูได้ฟัง ซีดี ของหลวงพ่อปราโมทย์ แล้วมีความรู้สึก มีความมานะพยายาม เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าบุญถ้าไม่ทำไม่ได้

   -มีอยู่วันหนึ่ง มีพี่ของน้องที่ทำงานเขาดูลายมือได้ (ปกติหนูเป็นคนไม่ชอบดูหมออยู่แล้ว )เขาดูลายมือให้ เขาบอกว่ามือข้างหนึ่งมีเป็นรูปใบโพธิ์ หนูบอกเขาว่าหนูไปถือศีลแปดมา แล้วเขาถามว่า หนูปวดในช่องท้องบ้างหรือเปล่า (ปกติปวด) เขาบอกว่าเหมือนมีอะไรในช่องท้องและหน้าอก หนูได้ฟังแล้วหนูใจคอไม่ดีเลย ทุกข์ใจมาก (เพราะพ่อแม่ พี่ชาย 2 คนหนู สียเพราะโรคมะเร็ง) แล้วเขาไปนั่งสมาธิมา เขาบอกว่า เจ้ากรรมนายเวรหนูอดีตชาติหนูไปฆ่าเขามา เจ้ากรรมนายเวรเขาจองเวร พี่เขาแนะนำให้เวลาสวดมนต์และนั่งสมาธิแล้ว ให้อุทิศส่วนบุญไห้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ณ วันนั้นหนูกลับบ้านสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิเสร็จแล้วแต่หนูยังไม่ได้ถอนจากนั่ง (เปลี่ยนอิริยาบท) หนูอุทิศส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ที่เมื่อในอดีตชาติไปฆ่าเขามา หนูมีความรู้สึกเสียใจมากจนร้องไห้ น้ำตาใหลออกมา ขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวร เป็นความรู้สึกที่เสียใจจริงๆ หลังจากนั้นกำหนดว่ารู้สึกเสียใจแล้วหยุดร้องให้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

   -ทุกวันนี้ช่วงหัวค่ำ เข้าห้องพระสวดมนต์สวดพาหุงมหากา อิติปิโสเท่าอายุบวกหนึ่ง ชินะบัญชร มงกุฏพระเจ้า 3 จบ คาถาหว่านทราย 7 จบ
กำแพงแก้ว 7 ชั้น เมตตัญจะฯ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญ

   -เช้ามืดสวดยอดพระกัณฐ์ไตรปิฏก มงกุฏพระเจ้า 3 จบ คาถาหว่านทราย 7 จบ กำแพงแก้ว 7 ชั้น (7 จบ) เมตตัญจะฯ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญ

   -ช่วงเช้าใส่บาตร รวมถึงวันพระทุกวันพระ ทำบุญที่โบสถ์หลวงพ่อเพชร (พิจิตร)

   อาจารย์คะ หนูอ่านหนังสือทางสายเอกของอาจารย์แล้ว    หนูจะขออาจารย์เป็นผู้จุดความมานะพยายามให้กับหนูนะคะ

ขอบคุณอาจารย์มากคะ

คำตอบ
    เมื่ออาการรู้สึกเสียใจเกิดขึ้น แล้วกำหนดให้หายไปได้ แสดงว่าสติได้กลับคืนมา ไม่ส่งจิตออกไปรับเอาเรื่องในอดีตมาปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์เสียใจ การหยุดร้องไห้จึงเป็นผลตามมา ดังนั้นทุกครั้งที่มีอารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ผู้ที่ยังมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็งนัก ต้องกำหนดให้ถูกตรงกับเหตุ แล้วสติจะกลับคืนมาอยู่กับปัจจุบันขณะได้

                  อนึ่ง การสวดมนต์บทต่างๆที่บอกเล่าไป ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติภาวนา เป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ที่มีผลทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ การนำอาหารไปใส่ลงในบาตรพระเป็นการบำเพ็ญทาน และเพื่อให้จิตเข้าถึงอารมณ์ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว และเข้าถึงสมาธิขั้นสูงได้ ควรรักษาใจให้มีศีลอย่างน้อยห้าข้อคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ต้องเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย แล้วผลบุญจะผลักดันให้ผู้ประพฤติ บรรลุในสิ่งที่ตนปรารถนาได้
   

1224.
กราบสวัสดีครับ คุณพ่อสนอง ด้วยรักและเคารพยิ่ง

   ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้ไปฟังการบรรยายธรรมของคุณพ่อที่ มศว เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา

   ผมมีความสุขเหลือล้น และวันนั้นผมก็ตั้งจิตเชิญเจ้ากรรมนายเวรไปฟังกับผมด้วยครับ
แต่พอมาถึงช่วงที่คุณพ่อพูดถึง คนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ไม่สามารถจะเข้าสู่ฌาน หรืออะไรสักอย่างนี่ละครับ ผมฟังแล้วก็รู้สึกทุกข์ใจ เพราะผมบอกตรงๆเลยนะครับ ว่าผมเองก็เป็นบุคคลหนึ่งที่มี พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ผมเป็นเกย์ครับ คุณพ่อ

   ผมทรมานเหลือเกินครับ ที่เกิดเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ไม่เคยไปสร้างกรรมกับผู้หญิงในชาตินี้เลยนะครับ เพราะผมไม่อยากสร้างบาป ผมเชื่อว่าการเป็นเกย์ ของผมนั้นเกิดจากกรรมเก่า แต่ทุกคืนผมก็ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกคืนเลย ไม่เคยว่างเว้น ทำบุญทำทาน รักษาศีลทุกวัน

   คุณพ่อครับ แต่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมทุกคนล้วนแต่ทำให้ผมเจ็บช้ำใจ ทุกคนเลยครับ ผมปวดใจ ร้องไห้ทุกครั้ง ตอนนี้ผมไม่คิดไรแล้วครับ ปล่อยวางพยายามสะสมบุญบารมีให้มากที่สุด คุณพ่อครับ ผมไม่อยากเกิดเป็นเกย์อีกแล้วในชาติหน้า คุณพ่อแนะนำผมหน่อยได้ไหมครับ ว่าผมควรทำเหตุอะไร ถึงจะได้ตรงกับผลที่จะเกิดในภพหน้า

   หลังจากที่คุณพ่อบอกว่า คนที่เป็นเบี่ยงเบนทางเพศมีวิบากกรรมมาก ไม่สามารถเข้าสมาธิอะไรได้เนี่ย ทำให้ผมรู้สึกบั่นทอนใจเหมือนกัน คุณพ่อครับ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่าผมควรทำตัวอย่างไร

    ผมอายุ 24 ครับแต่ผมแอบดีใจอย่างหนึ่งคือ ผมรู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้าได้เร็ว และเข้าใจถึงหลักกรรมในเวลาช่วงวัยรุ่น เพื่อความไม่ ประมาทคุณพ่อสนองกรุณาช่วยผมด้วยนะครับ

ด้วยความเคารพยิ่ง

คนมีกรรม

คำตอบ
    ชาติปัจจุบัน เว้นประพฤติทุศีลข้อสามได้ ถือเป็นการประพฤติถูกตรงกับหนึ่งในเรื่องของความเพียรสี่อย่าง คือเพียรยับยั้งบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ไม่เติมเชื้อบาปให้มีมากขึ้น

                  อนึ่ง ผู้รู้ยอมรับความจริงถึงกรรมไม่ดี (เหตุ) ที่ตนเองเคยทำไว้ก่อน เมื่อกรรมส่งผลเป็นวิบากไม่ดี (เป็นเกย์) ให้ผู้ทำกรรมต้องรับ ผู้รู้ไม่หนีอกุศลวิบาก ผู้รู้ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะจบสิ้น หากผู้ถามปัญหา ไม่เติมเชื้อบาปให้เกิดขึ้นอีก แล้วหันมาประพฤติตนให้เป็นผู้บำเพ็ญทานอยู่เสมอ รักษาศีลห้าให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่น สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต ์เจริญอานาปานสติ จนสามารถคุมจิตไม่ให้ส่งออกไปนอกตัวได้ แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ ชีวิตปัจจุบันย่อมไม่มีทุกข์ ชีวิตหน้าเสวยทิพยสุขแน่นอน
  
1223.
กราบสวัสดีค่ะ อาจารย์ ดร.สนอง ที่รักและเคารพ

หนูเคยไปปฏิบัติธรรม 2 ครั้ง ฟังบรรยาย มีเหตุให้ต้องออกมาก่อนทุกครั้ง
  • ครั้งแรก ไป 3 วัน หลวงพ่อจรัล วันสุดท้ายอีกไม่กี่ชั่วโมง เพื่อนที่ไปด้วยกันขอให้พาเขากลับ(หนูเป็นคนขอให้เขาไปเป็นเพื่อน)
      
  • อีกครั้งหนึ่ง 10 วัน ที่ของท่านอาจารย์โกเอ็นกา ตอนไปได้ฟังบรรยายธรรมในเทปก่อน ศรัทธามาก ๆๆ ไป 2 วันแรก ขอกลับ เขาไม่ให้กลับ ตกลงอยู่ต่อ ถึงวันที่ 7 ดีใจรู้สึกทำอย่างที่ท่านสอนได้ นิ่ง สงบ พอตกกลางคืน มีเสียงคนเดินรอบห้อง เปิดประตู ได้ยินเสียงอะไรทั้งคืน บวกกับได้ยินเสียงสวดมนต์ ไวต่อสัมผัสมาก กลัวมากเพราะเป็นคนกลัวผี แล้วต้องนอนคนเดียวในห้อง ตอนนั้นมีความรู้สึกเหมือนอยู่ไม่ได้แล้ว ในใจคิดว่าเค๊าจะเอาเราไปทำร้ายด้วย ทนถึงวันที่ 8 ตอนเย็นไม่ไหว พอนั่งได้ยินเสียง ออกไป ออกไป ได้ยินเสียงคนกระซิบ กลัวมากถึงมากที่สุด ต้องดื้อกลับ แล้วตอนกลับมาได้ยินเสียงอะไรดังมากมาย เวลารถวิ่ง เสียวหัวใจแปล๊บ ๆ ทุกอย่างอึกทึกไปหมด เหมือนจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ กว่าจะปรับตัวได้ นานพอควร
      
  • แล้วเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ไปฟฟังธรรมที่ ม.ศรีนค่รินทร์วิโรฒ ต้องต้องออกมาก่อนอีกแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ต้องมีเหตุให้ออกก่อน เพราะสามีมีประชุมด่วน เสียดายมาก ๆ เพราะตั้งใจจะขอไปกราบท่าน ดร. และมีคำถามนี้จะถามท่านว่า เหตุใดถึงมีอุปสรรคไม่สำเร็จทุกครั้ง ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าการปฏิบัติรรมดีกับชีวิตและต้องปฏิบัติชั่วชีวิต แต่เวลาหนูอยู่บ้านครึ่งวันเช้าคือเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม แล้วช่วงบ่ายจะทำงานค่ะ พยายามไปวัด ไปถือศีลอุโสบถ ทำสังฆทาน ให้ทานคนยากจน ดูแลพ่อแม่อย่างดี หรือเพราะว่าหนูทำเวรกรรมไว้มาก มันจะไม่สำเร็จอย่างนี้ตลอดไปรึเปล่าค่ะ
      
    ขอให้อาจารย์ช่วยหนูด้วยนะคะ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
        การทำความดี โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรม (ภาวนา) เป็นบุญใหญ่สุด ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในรอบวัน ต้องอุทิศบุญใหญ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวร อุทิศบุญไปเรื่อยๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะจบสิ้น การอุทิศบุญที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมลำพังเพียงคนเดียว ยังเป็นบุญที่ไม่มากพอสำหรับผู้ที่จองเวรไว้มาก ผู้รู้จึงขอความเมตตาจากครูฝึก บอกผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมร่วมกันอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเรา วิธีนี้เป็นการชดใช้หนี้เวรกรรมด้วยบุญก้อนใหญ่ ซึ่งจะใช้หนี้ได้หมดเร็วกว่าการอุทิศบุญของตนเพียงคนเดียว ผู้ถามปัญหาประสงค์จะหมดปัญหาที่ถูกจองเวร ต้องประพฤติตามที่แนะนำอยู่เสมอ
      

1222.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง

เมตตาช่วยแก้ปัญหาให้ด้วย...ทุกข์ มาก ๆ

เป็นทุกข์มาก เมื่อฟังธรรม เรื่องการโกงกินทรัพย์หลวง เขาบอกว่าเป็นกรรมหนักมาก มาก ๆ
กระผมทำงานยึดในความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอด เมื่อปีที่แล้วได้แต่งงานชีวิตก็มีความสุขดี
แต่มารู้ภายหลังว่าสมบัติของภรรยา เป็นป่าสงวนสัตว์ไม่มีสิทธิถือครอง จำนวนมาก โดย
คุณพ่อตา คุณแม่ยายซึ่งมีอาชีพเป็นครูได้บุกรุกป่าสงวนสร้างสวนยางพารา ทั้งสองคนได้ใช้
สร้างฐานะมาตลอดชีวิตจนร่ำรวยและปกปิดกระผม และภรรยามาตลอด พึ่งมารู้เมื่อพ่อตาเป็น
โรคมะเร็งร้ายเมื่อปีที่แล้ว ทำให้กระผมต้องดูแลสวนยางแทน ก็พบหลักฐานที่ไปโกงทรัพย์หลวง
พอกลับบ้านรู้สึกตัวเองว่าเป็นทุกข์มาก ๆ สวดมนต์ก็ไม่ค่อยจะถูก ทั้ง ๆ ที่สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ

จะทำอย่างไรดี เมตตาช่วยแก้ปัญหาให้ด้วย.....ขอขอบพระคุณครับ...

คำตอบ
    ผู้ใดร่วมกระทำอกุศลกรรม โดยระลึกไม่ได้ในต้นเหตุมาก่อน เมื่อใดที่กรรมให้ผล ผู้ร่วมทำกรรมย่อมได้รับบาป คือมีทรัพย์ไม่ปลอดภัย ความทุกข์ใจ ทุกข์กาย ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น

ผู้รู้ยอมรับความจริง เรื่องกฎแห่งกรรมและบริหารหนี้เวรกรรมดังนี้

   ๑.  เมื่อใดที่กรรมตามทัน ต้องยอมชดใช้หนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ไปจนกว่าจะหมดหนี้

   ๒.  เมื่อกรรมตามทัน ต้องพัฒนาตัวเองให้มีบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) แล้วอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้ให้เจ้ากรรมนายเวร ทำให้หนี้เวรกรรมจบลงได้เร็ว

   ๓.  คิด พูด ทำดีทุกขณะตื่น เพื่อหนีหนี้เวรกรรมที่ยังตามให้ผลไม่ทัน

   ๔.  หนีเข้านิพพานได้เมื่อใด หนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมด เป็นอันยกเลิก

พุทธวจนะ : มนุษย์สมบัตินำความคับแค้นใจมาให้

   ข้อความข้างต้น ยังคงเป็นจริงอยู่จนทุกวันนี้ ลองดูตัวอย่างของ ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) อดีตลูกเศรษฐีที่มีมรดกมากมาย มีผืนที่ดินกว้างใหญ่เกือบสองร้อยตารางกิโลเมตร มีเหมืองสูบน้ำอยู่หลายสิบเหมือง มีโรงเรือนเก็บเครื่องมือทำการเกษตร และเก็บผลผลิตอยู่หลายโรง หลังจากพ่อแม่ทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว ปิปผลิมาณพและภรรยา (ภัททกาปิลานี) ได้ยกสมบัติกำพร้าทั้งหมดให้กับบริวารเอาไปบริหารจัดการกันเอง แล้วทั้งสองได้นำตัวเองไปบวชเป็นภิกษุและภิกษุณีอยู่ในพุทธศาสนา บวชได้ไม่นานได้บรรลุอรหัตตผล นำพาชีวิตเข้าถึงสมบัติอมตะ คือพระนิพพานได้เป็นเบื้องสุด
  

1221.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์สนองด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

   ก่อนอื่นหนูขออนุโมทนาบุญกับการเผยแพร่ธรรมะของอาจารย์ค่ะ /|\ เวลาว่างจากการเรียน หรือเมื่อมีข้อสงสัยหนูมักแวะเข้ามาที่เว็บ kanlayanatam เสมอ ทำให้ใจเป็นกุศลยิ่งนัก

   หนูฝึกวิปัสสนากรรมฐานได้ประมาณ สองปีแล้วค่ะ ไปเข้าคอร์สก็หลายครั้งแล้ว นอกจากนั้นก็นั่งสมาธิ หรือพยายามเจริญสติให้มากที่สุดในแต่ละวัน ทานและศีลก็ไม่พร่อง ตั้งใจว่าแต่ละวันต้องทำ ทาน ศีล และภาวนาให้ครบ หนูเองเห็นได้ชัดว่าใจเปลี่ยนไปมาก มีสติมากขึ้น รับรู้เท่าทันอารมณ์ได้ดี

   ตอนนี้หนูยังเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ และที่ไปเข้าคอร์สประจำคือวัดที่เป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ของหลวงพ่อชา พระอาจารย์ที่นั่นท่านแนะนำให้ทำสมถะควบคู่กับวิปัสสนา แต่หนูสังเกตว่าจริตตนเองนั้นเหมาะกับวิปัสสนามาก คือเห็นการเกิดดับ การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ หรือเห็นไตรลักษณ์ได้เร็ว แต่ถ้าบังคับจิตให้นิ่งเป็นสมถะหนูมักจะทำได้ไม่นานเลย แต่ถ้าตามรู้ตามดูการเกิดดับไปนั้นจิตจะสบายมาก นั่งสมาธิได้นาน


   หนูทราบว่า อาจารย์ฝึกกรรมฐานแล้วได้อภิญญาภายในเจ็ดวันหลังจากบวช และใช้การบริกรรม หนูขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

     - ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยบอกเทคนิค การทำจิตให้นิ่งด้วยค่ะ หนูไม่แน่ใจว่าถ้าจริตหนูไม่อำนวยทางนี้แล้ว หนูก็จะทำได้แค่วิปัสสนาหรือเปล่าค่ะ เพราะเท่าที่อ่านที่ฟังมา ก็มีพระอริยะที่บรรลุธรรมได้แต่ไม่ได้อภิญญา
     - ขอความกรุณาอาจารย์แนะนำวัด หรือพระอาจารย์ที่สามารถสอนสมถะกรรมฐานให้ด้วยค่ะ เมื่อหนูกลับเมืองไทยจะได้เข้าไปเรียนไปฝึก

   กราบขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
    การมีศีลคุมใจและเจริญสมถภาวนาอยู่เสมอ ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจนแน่วแน่ได้แล้ว โอกาสเห็นไตรลักษณ์จึงมีได้ การที่พระอาจารย์แนะนำให้ทำสมถภาวนาควบคู่กับวิปัสสนาภาวนานั้น ท่านแนะนำถูกต้องแล้ว ผู้ถามปัญหาได้เจริญสมถภาวนามาก่อน จึงสามารถนำจิตเข้าพัฒนาวิปัสสนาภาวนาได้ทันที ด้วยการพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ จนเห็นว่าองค์กรรมฐานที่นำมาพิจารณาดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ตัวอย่างเช่น ใช้จิตที่ตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ ตามพิจารณาดูรูปร่างกายว่าประกอบขึ้นจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ต่างมาประชุมเข้าเป็นร่างกาย แล้วจิตจึงได้เข้าอยู่อาศัย เมื่อใดที่จิตรู้ เห็น เข้าใจว่า ร่างกายเป็นสิ่งที่มีความไม่คงที่ (อนิจจัง) ร่างกายเป็นภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง) และร่างกายเป็นสิ่งที่มิใช่ตัวมิใช่ตน มีความดับสลาย (อนัตตา) เป็นเบื้องสุด จิตที่รู้ เห็น เข้าใจถูกตรงตามนี้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งในร่างกายย่อมเกิดขึ้น จิตจะปล่อยวางร่างกายที่มิได้มีอยู่จริง แล้วจิตมีความว่างเป็นอุเบกขา ส่วนกรรมฐานอื่น (เวทนา จิต และธรรม) ให้พิจารณาในรูปแบบเดียวกันนี้ ผู้ใดมีจิตเห็นถูกตรงตามนี้ สามารถบรรลุธรรมที่นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์ประเภท สุกขวิปัสสกะ จึงไม่จำเป็นต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้เข้าถึงความตั้งมั่นในระดับฌานแต่อย่างใด

   การพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน มิได้ทำให้พ้นทุกข์ เพราะผู้ที่พัฒนาจิตจนบรรลุ ฌานสมาบัติ (รูปฌาน ๔ + อรูปฌาน ๔) เมื่อถอยจิตออกจากฌานแล้ว ความรู้สูงสุดฝ่ายโลกิยะที่เรียกว่า อภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปรยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ) ย่อมเกิดขึ้น ความรู้สูงสุดทั้งห้านี้ ไม่สามารถนำจิตเข้าถึงอริยธรรม และยังเป็นตัวถ่วงให้เนิ่นช้า ในการนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งปวงอีกด้วย จึงไม่แนะนำตามความประสงค์ที่ถามไป .... ขออภัย
  

1220.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันมีข้อคำถามจะเรียนถามอาจารย์เพื่อนำไปปฏิบัติดังนี้ค่ะ

1. ดิฉันสัมผัสได้กับวิญญาณ ที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ แต่ก่อนยังไม่สามารถสัมผัสได้มากอย่างปัจจุบัน จึงเกิดปัญหาว่า ดิฉันเหนื่อยมาก(มาปลุกตี 2 ตี 3 ) เพราะเขาจะมาหา มาบอก มาขอ ให้ทำอะไรให้ เนื่องจากเขาไม่สามารถสื่อกับญาติเขาได้ ดิฉันควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร

2. หากดิฉันไม่ต้องการเห็นสิ่งเหล่านี้ ดิฉันจะทำอย่างไร หรือหากต้องทำในสิ่งที่เขาต้องการ ดิฉันควรจะปฏิบัติอย่างไร ดิฉันเกรงว่า หากมากๆเข้า ดิฉันจะเหมือนคนบ้า ดิฉันไม่ต้องการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญณาญกับมนุษย์ สิ่งที่เกิดกับดิฉันเป็นหน้าที่หรือไม่ อาจารย์กรุณาแนะนำด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตา
ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่อาจารย์เพียรให้ความรู้เป็นวิทยาทาน
สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยความเคารพ

คำตอบ
    (๑) จิตของผู้ใดมีสติกล้าแข็ง ผู้นั้นมีจิตไม่เป็นทาสของสิ่งกระทบอื่น หากผู้ตามปัญหาประสงค์ไม่เป็นทาสรับใช้ให้กับจิตวิญญาณอื่น ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีบุญเพิ่มมากขึ้น ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญจิตตภาวนา เช่นกำหนดลมหายใจเข้าออกแล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ประพฤติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ บุญย่อมมีเพิ่มมากขึ้นแน่นอน และไม่ต้องเสียเวลาเป็นข้ารับใช้วิญญาณอื่นอีกต่อไป

(๒) หากผู้ถามปัญหาปรารถนาไม่เป็นข้ารับใช้ฯ ต้องประพฤติตามคำแนะนำในข้อ (๑) ส่วนที่ว่าเป็นหน้าที่หรือไม่ ตอบว่า ไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็นหนี้เวรกรรมที่ต้องชดใช้ให้หมดไป ผู้รู้เลือกที่จะอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้ เพื่อนำเวลามาใช้ในการปฏิบัติธรรม ซึ่งได้บุญมากกว่า
  

1219.
เรียน อาจารย์ สนอง ที่เคารพ

   ผมฝึกปฏิบัติสมถภาวนาด้วยตัวเองอยู่ที่บ้าน โดยการดูลมหายใจแล้วภาวนา พุทธ-โธ ผมมีข้อสงสัยที่จะเรียนถามอาจารย์ดังนี้

   1.ท่านัง นั่งเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ลำตัวตั้งตรง ผมมีข้อสงสัยว่า ลำตัวตั้งตรงนี้ ขณะปฏิบัติเมื่อลำตัวตั้งตรงแล้วนั่งปล่อยสบายๆ หรือต้องเหยียดตัวให้ตรงแล้วเกร็งไว้นิ่งๆ เพราะว่าที่ผมปฏิบัติ ถ้าปล่อยตัวสบายๆ สักพักหนึ่งลำตัวมันจะหย่อนลงมาเองแล้วหลังจะงอเล็กน้อย

    2.จุดโฟกัสของสายตา ในขณะที่นั่งหลับตา ในความมืดนั้นตาก็ยังต้องการโฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่ง ผมอยากถามอาจารย์ว่า วิธีที่ถูกควรให้สายตามองไปที่จุดใดในความมืดนั้น เพราะเวลาปฏิบัติถ้าผมมองที่ปลายจมูกแล้วดูลมหายใจ ลักษณะการมองใกล้ใบหน้าแบบนี้ส่งผลให้ตัวเอียงไปข้างหลังเล็กน้อยโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อระลึกถึงท่านั่งจึงรู้ว่าตัวเราเอียงไปข้างหลัง

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
    (๑) คำว่า “ นั่งลำตัวตรง ” หมายถึงนั่งแล้วทำให้กระดูกสันหลังตั้งตรงเป็นแนวดิ่ง ถ้านั่งแล้วหลังงอ ไม่ถือว่าเป็นการนั่งลำตัวตรง

   (๒) ผู้ที่นั่งหลับตาแล้ว ไม่สามารถโฟกัสการมองเห็นไปยังจุดใดได้ แต่ที่บอกว่า “ มองไปที่ปลายจมูก ” นั้นหมายความว่า เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจที่กระทบปลายจมูก และขณะมีจิตระลึกได้ว่าตัวเอียงไปข้างหลัง นั่นแสดงว่า จิตเคลื่อนออกไปจากลมหายใจ (ขาดสติ) แล้ว ไม่มีสติระลึกอยู่กับลำตัวที่เอียงไปด้านหลัง
  

1218.
เรียนอาจารย์ ดร สนอง ที่เคารพ

มีคำถามรบกวนท่านอาจารย์ดังนี้ครับ
   1.ผมเคยฟังบรรยายของอาจารย์เกี่ยวกับการบูชาเทวดา เจ้าที่ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการค้าขายและความเจริญในชีวิต จึงอยากเรียนถามว่าหากมีร้านค้าอยู่ 2 ร้าน โดยร้านแรกหมั่นไหว้บูชาเทวดาเจ้าที่ทุกวัน แต่อีกร้านหนึ่งหมั่นไหว้บูชาแต่พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์แต่ไม่ได้ไหว้บูชาเทวดาฟ้าดิน ร้านที่บูชาเทวดาจะค้าขายดีกว่าหรือรุ่งเรืองกว่าจริงหรือไม่ครับ (ในกรณีที่เจ้าของร้านทั้ง 2ร้านเป็นคนที่มีบุญบารมีศีลธรรมพอๆกัน)

   2.ผมมีข้อสงสัยว่า ทำไมผู้คนส่วนมากถึงได้ชอบบูชาเทวดา เทพ พรหมหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อขอบารมีองค์เทพเหล่านั้นให้คุ้มครองและช่วยเหลือสิ่งที่ตนปรารถนา โดยเค้าให้เหตุผลว่า พรหมเทพเทวดาทั้งหลายยังอยู่ในกามภพ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด จึงต้องการสร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือผู้คน และสามารถช่วยเราได้มากกว่าการที่เราไปบูชาพระรัตนตรัย หรือพระอริยะที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว เพราะท่านเหล่านั้นคงจะไม่ข้องแวะกับสัตว์โลก และไม่สามารถช่วยเหลือเราได้เหมือนเทพเทวดาทั้งหลาย หากเป็นแบบนี้จริงคนเราก็หนีไปบูชาเทพเทวดาทั้งหลายหมดสิครับ

   3.การอุทิศส่วนกุศล และการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย หากกายทิพย์ท่านนั้นหิวข้าวหรือไม่มีเสื้อผ้าใส่ และเราอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาไปให้ จะทำให้เค้าหายหิวหรือมีเสื้อผ้าได้หรือไม่ครับ จำเป็นไหมที่ต้องแปลงสภาพบุญจากการภาวนานั้น ให้เป็นสิ่งของทิพย์ที่กายทิพย์เหล่านั้นต้องการ?

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยอธิบายและชี้แนะด้วยครับ ผมคิดว่าคำถามนี้คงอยู่ในใจของตนหลายๆคน และมีประโยชน์ต่อทุกท่านครับ

หากมีสิ่งใดที่ผมได้ล่วงเกินต่อท่านอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ขอท่านอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยและอโหสิกรรมแก่ผมด้วยครับ

คำตอบ
    (๑) คำว่า “ บูชา ” หมายถึง แสดงความเคารพ และคำว่า “ ศรัทธา ” หมายถึง ความเชื่อถือในสิ่งที่ควรเชื่อ หรือคือความเชื่อในสิ่งดีงามที่มีเหตุผลรองรับ

   ฉะนั้นการบูชาเทวดา เจ้าที่ เป็นการแสดงความเคารพสัตว์ที่อยู่ต่างมิติ ทำให้มีเทวดาเป็นเพื่อน เพื่อนย่อมช่วยเพื่อนให้ได้ตามที่มนุษย์ปรารถนา ทั้งนี้ต้องไม่เกินความสามารถของผู้ให้และผู้รับ อีกร้านหนึ่งที่ไม่ได้บูชาเทวดา ย่อมไม่มีเพื่อนต่างมิติคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ร้านที่มีเทวดาสนับสนุนจึงค้าขายดีกว่า

ผู้ใดประพฤติตนมีศีลมีธรรม คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา หากเจ้าของร้านทั้งสองมีเทวดาคุ้มรักษาเหมือนกัน ผู้บูชาเทวดาย่อมค้าขายดีกว่า

   (๒) ผู้มีความพร่องในคุณธรรมและยังมีปัญญาเห็นผิด ย่อมขอบารมีองค์เทพผู้ปุถุชนให้มาคุ้มครอง และช่วยเหลือในสิ่งที่ตนปรารถนา

เทวดาเกิดอยู่ในกามภพ พรหมเกิดอยู่ในรูปภพหรืออรูปภพ ซึ่งยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จึงยังต้องสร้างบุญให้เกิดขึ้น ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น

ส่วนการบูชาพระรัตนตรัยหรือบูชาพระอริยะเจ้า เป็นการกระทำของผู้มีความเห็นถูกว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองได้ดีกว่าเทวดาหรือพรหม โดยเอาพระอริยะบุคคลมาเป็นตัวอย่างพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงโลกุตรธรรม อันเป็นสมบัติสูงสุด ที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้

   (๓) คำว่า “ บุญ ” หรือ “ กุศล ” มีความหมายเป็นสิ่งเดียวกัน ผู้ใดมีบุญ ผู้นั้นสามารถอุทิศบุญที่ตนมีให้กับคนอื่นได้ แต่เขาจะได้รับบุญหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสามอย่าง คือ มีผู้อุทิศบุญ มีบุญที่อุทิศ และมีผู้มารับบุญ หากปัจจัยสามอย่างนี้ถึงพร้อม การอุทิศบุญจึงจะสัมฤทธิ์ผล อนึ่ง สัตว์ที่ยังต้องการบุญที่เกิดจากการให้ทาน บุญที่ใช้บำบัดความหิว บุญที่ทำให้มีเสื้อผ้าสวมใส่ มีเฉพาะปรทัตตูปชีวีเปรตและสัมภเวสีเท่านั้นที่ต้องการ สัตว์กายทิพย์ เช่น เทวดา พรหม จำนวนหนึ่งยังต้องการบุญจากการฟังธรรม และมีจำนวนน้อยต้องการบุญจากการให้อาหารให้ความช่วยเหลือเป็นทาน

   ส่วนคำว่า “ เมตตา ” หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข เมตตาเป็นคุณธรรมจะเกิดได้ต้องให้อภัยเป็นทาน อภัยได้ในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ แค้นเคือง ขึ้งเคียด (ปฏิฆะ) เมื่อทำได้เช่นนี้แล้วเมตตาจึงเกิดขึ้นได้ และสามารถแผ่ให้กับผู้อื่นที่ตนปรารถนาแผ่ให้ได้

   พูดถึงการแปลงสภาพบุญไม่สามารถทำได้ บุญที่เกิดจากการภาวนามีผลทำให้เกิดปัญญา ไม่สามารถแปรไปเป็นบุญที่เกิดจากให้ทาน บุญที่เกิดจากการรักษาศีล บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม ฯลฯ ได้ เพราะทำเหตุต่างกันผลของบุญที่เกิดจึงต่างกัน
  

1217.

    ดิฉันได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ ดิฉันได้มีความคิดที่ดีมากขึ้น แต่ตัวดิฉันยังด้อยด้วยสติปัญญา ยังไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ และยังไม่รู้แนวทางปฏิบัติ จึงได้มากราบเรียนถามท่านอาจารย์

   ดิฉันชอบปฏิบัติธรรม และทำบุญอยู่เสมอ ทั้งที่พยายามทำความดีทุกทาง มีสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างดี แต่ชีวิตการงานไม่รุ่งเรือง (ทำธุรกิจขายตรง ) จนสามีคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี หันมาดื่มเหล้า ทุกวัน จนดิฉันกลุ้มใจเพราะการเงินก็ไม่ค่อยจะดี ชวนคุณแม่ไปวัดทำบุญ แม่ก็ไม่ไปด้วย บอกว่าทำไปเถอะ ทุกคนคงไม่เชื่อในสิ่งที่เราทำ เพราะชีวิตของดิฉันยังย้ำแย่ เป็นหนี้เป็นสิน ทุกวันนี้ก็พยามทำความดี และเชื่อมั่นในความดี ทั้งที่เห็นบางคนทำงานแบบเอาเปรียบเบียดเบียนคนอื่น แต่เขากับมีเงิน ได้กำไรจากคนอื่นมากมาย ดิฉันทำงานแบบไม่เคยเบียดเบียนใคร ซื่อสัตย์กับลูกค้าเสมอมากว่า 7 ปี หรือมีกรรมอะไร ชาตินี้ที่เกิดมาก็ไม่เคยสร้างกรรมหนักอะไร จะมีก็บางทีตบยุง มีผึ้งมารุมต่อย ก็ฆ่าผึ้ง ตอนทำบุญหรือตอนบวชเนกขัมมะ ก็อุทิศบุญขออโหสิปล่อยๆ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรด้วย จะเรียนถามอาจารย์ว่า

1. ดิฉันจะต้องแก้ไขที่ตัวเองอย่างไร

2. ทำอย่างไรสามีถึงจะเลิกเหล้า และถ้าเลิกไม่ได้ดิฉันจะต้องทำใจอย่างไร

3. ความตั้งใจสูงสุด ดิฉันอยากจะประสบความสำเร็จในงานที่ทำ มีรายได้ปลดหนี้สิน ช่วยทุกคนในครอบครัว ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี แล้วดิฉันจะไปถือศีล ปฏิบัติ ไปตามทางที่ใจคิดว่าป็นสิ่งที่เบาสบาย และไม่อยากเกิดแล้ว เห็นแล้วว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ สิ่งที่ดิฉันปารถนานี้ ไม่ทราบว่าจะสำเร็จได้อย่างไร หรือถ้าดิฉันมีกรรมแล้วไม่สำเร็จ แล้วดิฉันจะอยู่กับความทุกข์นี้ได้อย่างไร

คำตอบ
    (๑) อยากทำดีแต่มีตัวถ่วง ความดีที่ทำก็เกิดไม่สะดวก หากผู้ถามปัญหาประพฤติตนเป็นผู้บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนาอยู่เสมอ ดวงดีย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และยิ่งประพฤติบริโภคใช้สอยมักน้อยเท่าที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ บริโภคใช้สอยแต่สิ่งที่เป็นสาระ และประพฤติตนเป็นผู้มีจิตสันโดษ ปัญหาต่างๆย่อมหมดไปได้

   (๒) พระพุทธะสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น ลองพิสูจน์สัจจธรรมนี้ ด้วยการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีบุญสุดๆ เมื่อใดเขาศรัทธาในตัวผู้ถามปัญหา ปัญหาจึงมีโอกาสหมดไปได้ ตรงกันข้ามหากเขาไม่ศรัทธา จงยกเขาขึ้นเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เมื่อมีการดื่มสุราเกิดขึ้น ต้องมีการหยุดดื่มสุราเป็นธรรมดา เพราะสรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จงตามดูไปเรื่อยๆ หากผู้ดูไม่ทิ้งขันธ์ลาโลกไปเสียก่อน อาจเห็นสัจจธรรมของการดื่มสุราก็ได้นะ

   (๓) ผู้ใดพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่ง (มีความรู้ มีความสามารถ) และพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดี (มีคุณธรรม) ได้แล้ว ความสำเร็จของชีวิตย่อมเกิดขึ้น และจะยั่งยืนได้ต้องพัฒนาตัวเองให้มีดวงดี คือประพฤติทาน ศีล ภาวนา จนให้ผลได้เมื่อใดแล้ว ความสำเร็จที่ยั่งยืนย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ใดอยากดี อยากมีความสำเร็จในงาน ไม่อยากเกิดอีก ธรรมวินัยของพุทธศาสนาช่วยได้
   

1216.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพ

     ผมมีคำถามขอกราบเรียนถามท่านดังต่อไปนี้
   1. ผมเคยบวชพระครั้งหนึ่งเมื่อราว10 ปีมาแล้ว ถ้ามีโอกาสบวชพระครั้งที่สอง คุณแม่ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว และคุณพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้อานิสงฆ์ผลบุญจากการบวชของลูกอีกครั้งหรือเปล่าครับ (เพิ่มขึ้นจากเดิม) และระยะเวลาในการบวชจะมีผลอย่างไรหรือไม่ กับผลบุญที่ท่านทั้งสองจะได้รับครับ

   2. การบวชผ้าขาวถือศีล8 ราว 3-7 วัน บิดามารดาจะได้อานิสงฆ์ผลบุญ จากการบวชของลูกด้วยหรือไม่ครับ

   3. ผมรู้สึกศรัทธาต่อการตอบคำถามของอาจารย์มากครับ และรู้สึกว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติ ต่อผู้ที่พยายามจะเข้าใจกับความเป็นไปของธรรม และการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องแบบพุทธ ผมมีความคิดที่อยากจะนำคำถามคำตอบของอาจารย์ มาบันทึกเสียงใส่ซีดีเพื่อแจกจ่ายต่อบุคคลทั่วไป โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพื่อเป็นธรรมทานและเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวนี้ออกไปให้มากที่สุด เลยอยากจะขอเรียนขอคำแนะนำจากอาจาย์ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเหมาะสมจะเรียนขออนุญาตอาจารย์ด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ
จีระเดชท์

คำตอบ
    (๑) ได้ครับ ถ้าผู้ล่วงลับ (คุณแม่) มาอนุโมทนาบุญได้ และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ (คุณพ่อ) รับทราบถึงการบวชของลูกชาย แล้วเขาอนุโมทนาด้วย เขาก็ได้บุญ ระยะเวลาของการบวชยังไม่สำคัญ เท่ากับคุณธรรมที่ผู้บวชสามารถพัฒนาได้ เป็นสิ่งที่สำคัญ (บุญ) มากยิ่งกว่าระยะเวลาเป็นไหนๆ

   (๒) หากผู้บวชอยู่ในเพศนุ่งห่มผ้าขาว แล้วประพฤติบุญให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้ แล้วอุทิศบุญให้กับบิดามารดา เขาทั้งสองจะได้รับอานิสงส์แห่งบุญได้ ต้องอยู่ในเงื่อนไข ตามที่ระบุไว้ในข้อ (๑)

   (๓) ผู้ใดมีศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว ถือว่าผู้นั้นได้หงายภาชนะที่คว่ำ พร้อมที่จะรองรับสิ่งดีงาม (ธรรมวินัย) ของพุทธศาสนา มาเติมเต็มให้กับใจตัวเอง และยิ่งผู้ถามปัญหา มีศีล มีสัจจะ และมีความเพียรสนับสนุนด้วยแล้ว การเติมเต็มธรรมวินัยให้กับใจ ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

   อนึ่ง ผู้ถามปัญหาปรารถนาเผยแพร่ธรรม ตามวัตถุประสงค์ที่บอกไปอนุญาตให้ทำได้ แต่ควรแจ้งชมรมกัลยาณธรรมด้วย ก็จะเป็นมารยาทที่ดี
  

1215.
กราบเรียน อาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่ช่วยตอบคำถามของดิฉันที่ผ่านมาหลายครั้ง ทำให้ดิฉันเข้าใจมากขึ้น และได้นำคำตอบของอาจารย์ ไปเล่าให้กัลยาณมิตรที่สนใจธรรมะเหมือนดิฉันฟังด้วยค่ะ ดิฉันมีข้อสงสัยอยากขอให้อาจารย์ช่วยชี้แนะเพิ่มเติมด้วยค่ะ

1) ดิฉันไม่ได้นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอเพราะติดภาระทางโลกหลายอย่าง ต้องทำงาน ดูแลครอบครัว คุณแม่และลูกเล็ก เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันกลับมานั่งสมาธิอีก โดยการตามดูลมหายใจเข้าออก และรับรู้ว่า จิตได้ไปรวมอยู่ที่หน้าผาก ต่อมาก็ลงมาที่ลิ้นปี่ เมื่อตามดูไป ดิฉันเห็นท้องของตัวเองกลวง ก็กำหนดเห็นหนอไป เรื่อยๆ และต่อมาก็เห็นปอดของตัวเองทั้งสองข้างขยับเข้าออก ตามลมหายใจ ดิฉันเริ่มพิจารณาว่า ร่างกายประกอบไปด้วยธาตุลม แล้วก็เรอออกมาให้เห็นลมอย่างชัดเจน ดิฉันได้ออกจากสมาธิหลังจากนั้น เพราะถึงกำหนดระยะเวลาที่ตั้งใจไว้ เนื่องจากดิฉันฝึกนั่งสมาธิเองที่บ้าน โดยอ่านจากหนังสือธรรมะของอาจารย์สนอง และพระสงฆ์อีกหลายรูป จึงไม่รู้จะไปถามใคร อยากรบกวนให้อาจารย์ช่วยแนะนำว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปด้วยค่ะ

2) ดิฉันมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำมาก ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ในรูปของความฝันบอกเหตุและหลายๆอย่าง จนบางครั้งก็กลัวตัวเอง ตอนเด็กเคยได้ยินเสียงมากระซิบข้างหู บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าตลอด แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินแล้วนะคะ ปัญหาคือ ดิฉันฝันเห็นแม่บ้านที่จ้างมาไม่นาน มาบอกว่าจะลาออก และเห็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่เคยเห็น มาบอกว่า จะขอลาออกเหมือนกัน วันนี้ ดิฉันไปรับแม่บ้านคนใหม่มาแทนคนเก่าก็ตกใจมากเพราะหน้าเหมือนกับคนที่เห็นในฝัน ดิฉันพูดไม่ออกและลังเลใจที่จะจ้าง แต่ก็รับมาเพราะเกรงใจนายหน้าและจำเป็นต้องมีผู้ช่วย ถ้าเรารู้ล่วงหน้า จะมีทางที่จะแก้ไขเหตุการณ์ ได้ไหมคะ ที่ผ่านมาไม่เคยแก้ได้เลย เหมือนกับอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ดิฉันเคยอ่านหนังสือ และพบว่า การทำบุญสร้างกุศลบางอย่าง จะช่วยให้เปลี่ยนชะตากรรมได้ รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

3) อาจารย์เคยบอกไว้ในหนังสือ ดวงดีวิถีพุทธ ว่า เคยถูกเจ้ากรรมนายเวรของคนที่อาจารย์ไปช่วยโกรธ ไม่พอใจ อยากทราบว่า อาจารย์มีวิธีแก้ไขอย่างไรคะ อาจารย์ไม่ได้บอกไว้ในหนังสือ

กราบขอบพระคุณอย่างสูง
ขอให้บุญกุศลนี้ช่วยให้อาจารย์บรรลุถึงนิพานตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ

คำตอบ
    (๑) การนั่งสมาธิ (สมถภาวนา) ถือว่าเป็นบุญเกือบสูงสุด ตายแล้วมีโอกาสโคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในพรหมโลกได้ เรื่องที่ผู้ถามปัญหาเขียนบอกเล่าไป ควรเอาสิ่งที่ถูกเห็นมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ว่า สิ่งที่ถูกเห็นมีความเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจตา) สิ่งที่ถูกเห็นมีภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขตา) และสิ่งที่ถูกเห็นมิใช้ตัวมิใช่ตนแท้จริง (อนัตตตา) ผู้ใดเห็นได้ถูกตรงตามที่บอกมานี้ ปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็นย่อมเกิดขึ้น

   (๒) ผู้ใดประสงค์ไม่พบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนา แต่ประสงค์พบกับสิ่งที่ปรารถนา ต้องพัฒนาจิตตัวเองให้มีบุญคุ้มรักษาอยู่ทุกขณะตื่น โดยเฉพาะพัฒนาจิตให้มีทาน มีศีล มีการเจริญจิตภาวนา คุ้มรักษาใจได้ตลอดไป ความปรารถนาในสิ่งที่ต้องการย่อมสำเร็จ

  (๓) แก้ไขด้วยการยอมรับความจริง ประพฤติตนให้เป็นผู้มีบุญอยู่เสมอ แล้วอุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ ปัญหาการถูกจองเวร จึงจะมีโอกาสหมดไปได้
   

1214.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพ

   หนูมีเรื่องจะรบกวนเรียนถามดังนี้ค่ะ หนูกำลังจะซื้อบ้านประมาณภายในปีหน้า ในการซื้อบ้านใหม่นั้น หนูจะต้องอัญเชิญพระพุทธรูป เข้าบูชาในบ้าน หนูมีความชอบเป็นการส่วนตัวในคาถาพาหุงฯ จึงคิดจะอัญเชิญพระพุทธรูปปางมารวิชัย แต่โดยส่วนตัวหนูเกิดวันศุกร์ แม่หนูเกิดวันเสาร์
(หนูอยู่กับแม่สองคนค่ะ) หนูเลยไม่แน่ใจว่า หนูควรจะอัญเชิญพระพุทธรูปปางรำพึง เป็นองค์ประธาน หรือ พระพุทธรูปปางนาคปรกซึ่งประจำวันของแม่หนูเป็นประธาน (ปัจจุบันหนูเป็นคนทำงาน แม่หนูไม่ได้ทำงานแล้วค่ะ แต่ถ้าซื้อบ้านอาจจะเปิดขายของเล็กๆน้อยๆ ให้แม่หนูแก้เหงา)

    ในความเห็นของอาจารย์ผู้มีความรู้ในทางธรรมของพระพุทธองค์ ซึ่งมากกว่าหนูมากมายนัก อาจารย์คิดว่าในกรณี้หนูควรจะอัญเชิญปางใดก่อนดีเป็นประธาน ถ้าครั้งแรกหนูจะเชิญเพียงปางเดียวก่อน และถ้าในอนาคตข้างหน้า หนูจะเชิญเพิ่มจนครบทั้ง 3 ปาง หนูควรจะให้ปางใดเป็นประธาน และปางใดวางเคียงกันไว้อย่างไรคะ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
จุ๊บ

คำตอบ
    ประสงค์นำพระพุทธรูปปางใดเข้าบ้านใหม่ สามารถทำได้ตามที่ใจปรารถนา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ พระพุทธรูปจัดเป็น อุทเทสิกเจดีย์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเตือนใจให้ระลึกถึงคุณ ของพระพุทธเจ้า คือ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ และพระปัญญาคุณ ฉะนั้นการสวดมนต์ไหว้พระ จึงควรสวดมนต์บทสรรเสริญคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วต่อด้วยการสวดมนต์อื่นตามใจปรารถนา ย่อมทำได้
  

1213.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

   ดิฉันพักอาศัยอยู่หอพักเพียงคนเดียว ในบางโอกาสก็จะพาเพื่อนมานั่งเล่น พูดคุยที่ห้องพักบ้าง เพื่อนของดิฉันส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับดิฉันเลย แต่เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันได้ย้ายที่ทำงานใหม่และมีโอกาสได้พบเพื่อนกลุ่มใหม่ ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมากเพื่อน (ผู้ชาย) ก็ขออนุญาตมานั่งเล่นที่ห้องพักดิฉัน (เริ่มทำงานได้ไม่ถึง 3 เดือน) ขอใช้ชื่อผู้ชายคนนี้ว่า นาย ก.

   นาย ก. ได้มาห้องพักดิฉันได้ประมาณ 3-4 ครั้ง ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ครั้งนี้เค้าได้พยายามที่จะข่มขืนดิฉัน ทั้งทีดิฉันได้ขอร้องนาย ก. แล้วแต่ไม่เป็นผล นาย ก. ใช้กำลังข่มขืนดิฉันจนสำเร็จ หลังจากนั้นดิฉันไม่พูดไม่คุยกับเค้า ทั้งที่ทำงานและทางโทรศัพท์ที่พยายามติดต่อมา นาย ก. พยายามมาหาดิฉันที่ห้องพักอีกหลายครั้ง แต่คราวนี้ดิฉันไม่กล้าเปิดห้องให้เข้ามา นาย ก. โทรศัพท์มาต่อว่าดิฉันว่า
"เรื่องแค่นี้โกรธอะไรนักหนา" ดิฉันโกรธมากจึงตอบกับไปว่า "เราได้ขอร้องแล้วว่าอย่าทำร้ายเรา แต่เธอก็ยังทำ แล้วถ้าเรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นกับลูกสาวคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร" (นาย ก. มีลูกสาว 2 คน แต่เค้าเลิกกับภรรยาแล้ว) หลังจากนั้นนาย ก. เค้าก็ไม่ได้มาหาหรือพยายามติดต่อดิฉันอีกเลย เพราะโกรธมากที่ต่อว่าลูกสาวเค้า

   เรื่องทั้งหมดนี้ดิฉันทราบดีว่าดิฉันมีส่วนผิดในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย ดิฉันรู้สึกเสียใจมากในการไว้วางใจคน แต่เหตุการณ์ได้ผ่านมาหลายเดือนแล้วดิฉันก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะทำงานร่วมกับนาย ก. ดิฉันพยายามหลีกเลี่ยงทุกครั้งที่มีเรื่องต้องพูดคุยกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องอื่น ๆ (ทำใจไม่ได้จริงๆ) ดิฉันไม่สามารถให้อภัยนาย ก. กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดิฉันทราบว่าทั้งหมดนี้มีแต่ดิฉันเพียงฝ่ายเดียวที่ทุกข์ทรมาน (นาย ก. อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย)

   ดิฉันกราบเรีอนขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์ ดร.สนอง ว่า ดิฉันควรทำอย่างไรให้จิตใจดิฉันสงบ ไม่คิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะดิฉันทราบมาจากที่ท่านอาจารย์เคยบรรยายว่า หน้าที่ของจิตจะสะสมผลกรรม ซึ่งมันจะทำงานทุกขณะที่ตื่น มันน่ากลัวมากเพราะดิฉันคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาทุกขณะตื่น กังวล วิตก โกรธแค้น ฯลฯ ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้านาย ก. และที่สำคัญดิฉันยังต้องทำงานอยู่ที่เดียวกันนี้อีก จึงทำใจได้ยาก ดิฉันจึงกราบเรียนขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์ว่า ดิฉันควรทำอย่างไร ที่จะให้อภัยหรือปล่อยวางจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
    ท่านเจ้าคุณโชดกเคยพูดไว้ว่า คบหมาให้ห่างศอก คบวอก (ลิง) ให้ห่างวา คบพาลาให้หนีห่างไกลลับตา

   ลักษณะคนพาลดูได้จาก เวลาเราประพฤติผิดกฎหมาย ทุศีล ไร้ธรรม เขาไม่ป้องกันขัดขวาง ซ้ำยังชักนำเราให้ประพฤติชั่วอีกด้วย ฉะนั้นคนโบราณจึงแนะนำให้อยู่ห่างคนพาลให้ไกลลับตา พุทธศาสนามิได้สอนให้คนหนีปัญหา สอนให้อยู่กับปัญหาแล้วใช้ปัญญาแก้ปัญหา ปัญญาเห็นถูกเห็นว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ” ฉะนั้นเรื่องที่ผ่านไปถือว่าเป็นบทเรียน เอาไว้สอนใจตัวเองว่า จะดูใครว่ามีนิสัยเป็นอย่างไรต้องดูนานๆ และจะแก้ปัญหาบาปที่ฝังอยู่ในใจให้หมดไป ต้องแก้ที่ใจของตัวเอง ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีจิตระลึกถึงเรื่องนี้ ต้องบริกรรมคำว่า “ ช่างมันเถอะๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าความระลึกถึงเรื่องไม่ดีจะดับไป หากมีโอกาสควรนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม แล้วใช้สติและปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จนดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ ๕ ดับ อัตตาย่อมไม่มี ปัญหาความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ย่อมไม่มีเช่นกัน ปัญหาก็จะหมดไป

      อนึ่ง ผู้รู้บอกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดี หากคิดได้ว่า บาปที่เกิดขึ้นแล้วกับใจ เป็นเหตุนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงยิ่งขึ้น
   

1212.
เรียน ดร.สนอง

1. เมื่อก่อนหนูเคยทำบาป ด้วยการทำแท้ง พยายามฆ่าตัวตาย และเคยมีส่วนในการทำให้คนรักที่กำลังบวชอยู่สึกออกมา ทราบว่าทั้งหมดเป็นกรรมหนัก ปัจจุบันนี้ถือศีล พยายามทำบุญทำกรรมดี แต่ยังคงมีความหวาดกลัวต่อผลกรรมของตนเองอยู่ หนูไม่อยากตกนรก มีทางใดบ้างที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ บุญกุศลใดที่ที่ทำแล้วจะช่วยได้บ้าง บาปกรรมเหล่านี้สามารถแก้ไขได้มั๊ยคะ

2. หนูอยาหทราบว่าทำอย่างไรจึงจะได้ไปเกิดในยุคพระศรีอารย์คะ แล้วคนที่มีบาปอย่างหนูจะมีโอกาศหรือเปล่า

ขอความกรุณาช่วยชี้ทางให้ด้วยเถิด

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
   
(๑) บาปกรรมที่บอกเล่าไป สามารถแก้ไขได้ ด้วยการทำบุญใหญ่ คือนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม แล้วอุทิศบุญกุศลใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมที่ผูกกันไว้จะจบสิ้น เมื่อใดหมดเวร โอกาสที่ไม่ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรกมีได้ชั่วคราว ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมอย่างนั้น มีสภาวะจิตเป็นพระโสดาบันได้แล้ว จึงจะมั่นใจได้ว่า สามารถปิดอบายภูมิได้แน่นอน ดูสิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธเป็นตัวอย่าง หลังจากได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์แล้วรู้ว่า อาชีพที่ตนเองทำอยู่นั้น เมื่อตายแล้วต้องไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก จึงได้เลิกมิจฉาอาชีวะ แล้วประพฤติตนให้เป็นผู้บำเพ็ญทานรักษาศีล เจริญจิตตภาวนา จนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในขณะยังเป็นมนุษย์ จึงสามารถปิดอบายภูมิได้ ตายแล้วโอปปาติกะไปเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบัน อยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุดอยู่ในปัจจุบัน

(๒) ผู้ใดประพฤติอกุศลกรรม แล้วบาปตามให้ผลได้ทัน ต้องยอมรับความจริง และยอมชดใช้หนี้บาปไปจนกว่าจะจบสิ้น ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมประพฤติตนให้เป็นผู้มีบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) และประพฤติตนให้เป็นผู้มีบารมี (ดูบารมี ๑๐) และหากประสงค์เกิดในยุดของพระศรีอารยเมตไตรย ต้องประพฤติตนให้มีอัธยาศัย ไปในแนวทางเดียวกันกับพระศรีอารยเมตไตรย จึงจะมีโอกาสเกิดไปพบท่านได้ คือประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมอยู่เสมอ บำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ทานอยู่เสมอ พัฒนาตนให้เป็นผู้มีเมตตาอยู่เสมอ คบหาสมาคมกับผู้มีปัญญาเห็นชอบอยู่เสมอ มีใจรักที่จะอยู่อย่างสงบ ชอบปลีกวิเวก และมีจิตหน่ายในสังสารวัฏ ต่างๆเหล่านี้หากประพฤติได้แล้ว โอกาสที่จะเกิดไปพบกับพระศรีอารยเมตไตรย ในกาลข้างหน้าย่อมมีได้ เพราะได้นำพาชีวิตดำเนินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับท่าน และจะให้มั่นใจยิ่งขึ้น ผู้ถามปัญหาต้องบำเพ็ญมหาทาน แล้วอธิษฐานเป็นพุทธสาวกของท่าน ผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระศรีอารยเมตไตรยในกาลข้างหน้าด้วย
  

1211.
เรียนอาจารย์ ดร สนอง ที่เคารพ

   ผมมีข้อสงสัยรบกวนถามอาจารย์ดังนี้ครับ การทำหมัน นั้นเป็นปาบไหมครับ ผมมีบุตร 2 คนแล้วภรรยาต้องการให้ทำหมันเพื่อครอบครัวจะได้ไม่ต้องลำบาก ขอคำแนะนำจากอาจารย์ เพื่อนำไปปฏิบัติด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณครับ
ekachai

คำตอบ
    ถ้าผู้ถูกกระทำหมันเห็นดีด้วย การทำหมันนั้นไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้าม หากผู้ถูกกระทำไม่เห็นด้วย แต่ถูกบังคับให้ทำหมัน พฤติกรรมเช่นนี้เป็นบาปเกิดขึ้นกับผู้บังคับให้ทำ และผู้ถูกกระทำด้วย
     

1210.
เรียนอาจารย์ดร. สนองที่เคารพยิ่ง

คุณแม่หลงลืมๆ ได้ทานยาบำบัดอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น เป็นห่วงที่คุณแม่จะต้องจากด้วยอาการดังกล่าว

กราบเรียนขอข้อแนะนำอาจารย์ว่า คุณแม่ควรเจริญสติอย่างไร

กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
    หากคุณแม่ยังสามารถอ่านหนังสือสวดมนต์ได้ ให้ใช้หนังสือสวดมนต์เป็นเครื่องมือ สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน หรือหากมีเวลามากให้สวดมนต์ตอนเช้าด้วยยิ่งดี หลังสวดมนต์แล้ว เจริญอานาปานสติ ด้วยการกำหนด “ พุทโธ ” นาน ๑๕ – ๓๐ นาที เมื่อแล้วเสร็จ ควรอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ผู้ใดมีสัจจะและประพฤติตามคำชี้แนะที่เป็นกุศลเช่นนี้ได้แล้ว ผู้ประพฤติย่อมมีบุญคุ้มรักษาชีวิตให้มีแต่ความสวัสดีตลอดไป
  

1209.
เรียน อ.ดร.สนอง

   ผมได้รับมอบหนังสือสวดมนต์จากเพื่อจำนวน180 เล่ม เพื่อช่วยแจกต่อ แต่เมื่อมาเปิดดูพบว่า นอกจากบทสวดมนต์แล้ว ยังมีเนื้อหาธรรมะบางส่วนด้วย ซึ่งอ่านแล้วเกรงว่า อาจจะไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่กล้าแจกต่อ หากจะทิ้งก็เห็นว่าไม่สมควร เพราะมีรูปพระพุทธรูปและมีบทสวดมนต์อยู่

จึงเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่า ผมควรดำเนินการอย่างไรกับหนังสือเหล่านี้จึงจะเหมาะสมครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
    หนังสือสวดมนต์ที่มีเนื้อหาธรรมบางส่วนพิมพ์ต่อท้าย หากผู้ถามปัญหามีความเห็นถูกตามธรรม และสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเป็นธรรมปลอม เป็นธรรมไม่แท้ เป็นธรรมเทียม (ธรรมปฏิรูป) สามารถเอาหนังสือไปทิ้งหรือนำไปทำลาย ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่หากนำหนังสือที่มีธรรมปฏิรูปไปส่วนส่งต่อให้คนอื่น ถือว่าเป็นผู้ร่วมเผยแพร่อกุศลธรรม การกระทำเช่นนี้ให้ผลเป็นบาป
     

1208.
เรียนอาจารย์ ดร สนอง ที่เคารพ

   ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือของอาจารย์มาหลายเล่ม รู้สึกประทับใจ แล้วรู้สึกว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมากครับ เดี๋ยวนี้ผมเป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี ใครด่าใครว่า เฉยๆแล้วครับแล้วแผ่เมตตาให้พวกเขาทุกครั้งที่มีคนด่า หรือเกลียด มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามอาจารย์นะครับ

   เรื่องมีอยู่ว่า ผมกำลังจะไปทำบุญถวายเทียนพรรษาที่จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือน ก.ค. นี้ครับผมอยากทำบุญมาก เพราะยังไม่เคยทำที่เกี่ยวกับเรื่องถวายเทียนพรรษา แล้วทุกคืนผมจะสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแล้วแผ่เมตตา เหมือนกับอาม่าผมที่มาอยู่บ้านผมตอนนี้ท่าน อายุ 86 แล้วครับ สอนให้ผมทำบุญใส่บาตรทุกวันหน้าบ้านที่พระมา หลังจากที่ผมตบปากรับคำจะไปถวายเทียนพรรษาที่วัดในจังหวัดเชียงใหม่นั้น ผมก็เริ่มฝันที่ต้องบอกว่าประทับใจมากครับ คืนแรกๆผมฝันเห็นพระเครื่ององค์ใหญ่สีทองหนึ่งองค์ และอีกสององค์เป็นพระดินเผาอะไรทำนองนั้นครับอยู่ในหนังสือผมผมตกใจมาก จำได้วาพระสีทององค์หนึ่งศิลปะคล้ายกะอยุธยาอะครับ จากนั้นวันรุ่งขึ้น ผมก้รู้เรื่องว่าจะไปถวายเทียนพรรษาจากรุ่นพี่ที่มหาลัยและนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจไปครับ

หลังจากตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะผมไม่เคยไปภาคเหนือและไปถวายเทียนพรรษาด้วยก็ทำให้ดีใจและตั้งใจมากขึ้น ผมยังคงไหว้พระสวดมนต์ทุกคืนจนกระทั่งผมสวดมนต์พระประจำวันเกิดวันจันทร์ 15 จบ แล้วนอนหลับไป วันนั้นผมฝันเห็นว่า ตัวเองเดินอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่ง เห็นพระปรางค์สีแดงอิฐใหญ่มาก ที่วัดร้างเงียบมากมีผมเดินคนเดียว ผมชอบมากๆๆๆๆๆ เพราะผมไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยวโบราณสถานที่ไหนเลย แต่เดือนที่แล้วผมได้ไปไหว้พระเก้าวัดที่ อยุธยามา ผมมีความสุขมาก ผมชอบมาก ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเห็นวัดร้าง หรือโบราณสถานแล้วใจผมจะมีความสุขเสมอ ตื่นมาก็เล่าให้อาม่าฟังอาม่าบอกว่าเป็นฝันที่ดีแล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็ฝันเห็นพระธาตุสีขาวใส ชมพูใส อยู่เต็มมากมายเม็ดใหญ่พอประมาณอยู่ในหอยสังข์บนโต๊ะหมู่บูชา โอ้โหหหหหห ผมงี้ดีใจสุดๆเพราะที่บ้านผมมีพระธาตุห้าองค์เล็กๆเหมือนเมล็ดข้าวสาร

และทุกคืนผมจะสวดมนต์บูชาพระสารีริกธาตุทุกครั้ง เล่าให้เพื่อนรุ่นพี่ฟัง เขาว่าผมดูหนังมากไปป่าว ผมก้เลยไม่พูดเลย อาจารย์ครับสิ่งที่ผมพุดทั้งหมดเป็นเรื่องจิงนะครับ ทุกวันนี้ผมรักษาศีล 5 ทุกวันทั้งตื่นนอน และเข้านอน ที่สำคัญผมมีอาม่าที่ผมต้องดูแล อาบน้ำ อาบท่า เปลี่ยนผ้าฉี่ให้ทุกครั้ง พูดจากับแกเพราะทุกอย่าง ไม่เคยพูดจาให้อาม่าช้ำใจเลยมีแต่พี่ชายผมชอบพูดกระโชก ตะคอกแกผมเห็นแล้วร้องไห้แทน ทำอะไรไม่ได้ ผมก้เลยปล่อยเขาไปผมทำคนเดียวก็ได้ เหนื่อยอะเหนื่อย แต่ผมไม่เคยลืมสมัยเด้กที่อาม่าเลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็กๆหลังจากที่พ่อกับแม่เลิกกัน ทุกวันนี้ผมก็ตอบแทนท่านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมแอบร้องไห้ครั้งนึงวันที่ผมจูงอาม่าไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน อาม่าอธิษฐานออกมาพอได้ยินว่า ขอชาติหน้าฉันใด ขอให้เจอหลานดีๆแบบนี้ไปทุกชาติ ผมไม่ได้อวดตัวเองนะครับ แต่ผมดีใจที่สุดท้ายของชีวิตอาม่า อาม่ามีความสุขกับหลานคนนี้ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอาม่าแล้ว ผมก็ไม่รู้จะรอตอบแทนท่านเมือไร ผมมักเตือนตัวเองเสมอว่า พรุ่งนี้ผมอาจจะตายก็ได้ ดังนั้นในวันนึงๆ ผมพยายามจะทำบุญ ทำทานให้มากกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมแอบดีใจนะครับที่โชคดีที่ได้อาม่าดูแลมาตั้งแต่เด้ก พาเข้าวัด เข้าวาและสอนสิ่งดีๆเสมอ เดี๋ยวนี้แกไปวัดไม่ไหว ก็เลยเอาหนังสือธรรมมะอ่านให้แกฟังบ้าง เรื่องกรรมเวรให้แกฟังบ้างแกก็มีความสุขดีครับ แหม ฝอยมาเสียนานแล้วเดี๋ยวอาจารย์หาว่าโม้ แค่นั้นละครับที่ผมอยากทราบว่า

คำถาม คือ ทำไมคนเราถึงฝันเรื่องดีๆแบบนี้ติดต่อกัน ทั้งที่ไม่เคยฝันมาก่อนในชีวิตนี้


ขอกราบขอบพระคุณครับ

หลานออม

คำตอบ
    เหตุที่ทำให้เกิดเป็นความฝัน เพราะสัญญาเก่าที่ถูกเก็บไว้ในดวงจิต ส่งผลกระทบจิตที่มีความถี่คลื่นคงที่ (สมาธิ) ผลจึงปรากฏออกมาเป็นความฝัน เหตุที่ฝันดีเพราะผู้ฝันเก็บประสบการณ์ดีไว้ในดวงจิตเป็นสัญญาดี ความฝันจึงออกมาเป็นฝันดี ผู้ใดรักษาความดีไว้ได้ตลอดไป ผลแห่งความดี จะผลักดันชีวิตให้ประสบแต่ความสวัสดีตลอดไป ทั้งในชีวิตปัจจุบันและในชีวิตหน้า
    
  

1207.

เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

   ดิฉันเพิ่งเริ่มปฏิบัติวิปัสสนามาได้ประมาณ 2 เดือนค่ะ พอจะเข้าใจถึงการเจริญวิปัสสนาและมีสติสัมปะชัญญะบ้าง ไม่มีบ้างค่ะ แต่ช่วงนี้ไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้เลยค่ะ เพราะจิตใจฟุ้งซ่านมากมีแต่ความกลัวและวิตกกังวลมากมาย เพราะว่าภายใน 2 เดือนที่ผ่านมาเจอแต่เหตุการณ์ที่หนักๆ อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เรียกว่าถ้าไม่ได้เจริญวิปัสสนามาก่อน คงจะแย่กว่านี้มากเลยค่ะ

   ภายในสองเดือนนี้ มีทั้งพลาดจากความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน แม่ต้องได้รับการผ่าตัดเข้าโรงพยาบาล และที่แย่ที่สุดเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาขโมยขึ้นบ้าน ทรัพย์สินที่สูญหายไปไม่ได้เสียดายอะไรมากมาย ดีใจที่คนในบ้านไม่เป็นอะไร แต่ทำให้จิตใจหวาดกลัวและวิตกกังวลเนื่องจากเกรงว่ามันจะเข้ามาอีก และจะทำร้ายร่างกายคนในบ้านซึ่งอยู่กันแต่ผุ้หญิง 2 คน จะรบกวนสอบถามอาจารย์ว่า

   1. จะมีวิธีการอย่างไรบ้างค่ะ ที่ทำให้เจริญวิปัสสนาได้บ้างในช่วงนี้ เนื่องจากไม่สามารถรู้ความจริงในปัจจุบันได้เลยค่ะ เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องขโมยตลอด

   2. เมื่อคิดถึงวิธีการที่จะป้องกันตัวที่จะทำให้เราพ้นจากอันตราย ก็เห็นแต่ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ถือว่าผิดหรือไม่ค่ะ ถ้าผิดควรจะละความคิดดังกล่าวอย่างไรดีคะ

   3. เมื่อเจอเหตุการณ์ดังที่กล่าวมาข้างต้น มีใจบางส่วนคิดว่า ทำไมเมื่อเราทำดีกลับได้รับผลเป็นทางที่ไม่ดีมีอุปสรรค์มากมายในการปฏิบัติ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเป็นเพราะเหตุที่เราเจริญวิปัสสนาทำให้ทุกข์ที่มีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ความคิดเห็นดังกล่าวถือเป็น มิจฉาทิฏฐิหรือไม่ค่ะ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นวิบากหรือเปล่าคะ

รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางที่ถูกที่ควรด้วยนะคะ
   ขอบพระคุณอย่างสูง

 

คำตอบ
   (๑) วิธีแก้ปัญหาที่บอกเล่าไป ต้องประพฤติตนให้มีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน เจริญอานาปานสติก่อนนอน หลังภาวนาแล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่การปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ

   (๒) “ ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม ” เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงแท้ ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ผู้ถามปัญหาสามารถเอาธรรมมาคุ้มใจได้ทุกขณะตื่นเมื่อใด อันตรายและความเห็นผิด ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกกับผู้ถามปัญหา

   (๓) ทำดีแล้วย่อมมีบุญเกิดขึ้น คนมีบุญย่อมถูกเจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ให้ต้องชดใช้ ผู้รู้ยอมรับความจริง ผู้รู้จะอยู่กับความจริงไม่คิดเบี้ยวหนี้ และผู้รู้ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น แล้วหนี้เวรกรรมย่อมหมดไปเอง การปฏิบัติธรรมเป็นบุญใหญ่สุด มนุษย์และเทวดาสามารถประพฤติได้ สัตว์ในอบายภูมิไม่สามารถทำบุญใหญ่เช่นนี้ได้ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม ทุกข์ย่อมลดลงเป็นธรรมดา นี่คือสัมมาทิฏฐิ
   

1206.
เรียน ท่าน ดร.สนอง วรอุไร ที่นับถือ

   ผมอายุ 56 ปี และ early retire ตัวเองจากธุรกิจส่วนตัวหลังจากที่ลูกสาวคนโต (32) เข้ามาช่วยดูแลกิจการเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนนี้เลยว่างและใช้เวลาไปกับการศึกษาและปฎิบัติไปตามความเข้าใจ และตามระดับสติปัญญาเท่าที่มีครับ หลังจากที่ได้มีโอกาสฟังบรรยายของท่าน ดร.สนอง จาก You Tube และจากสื่ออื่นๆบ้าง เห็นว่าท่าน ดร.สนอง มีข้อคิด และคำอธิบายที่แตกต่างไปจากท่านอื่นๆ ที่ผมรู้จักหรือเคยศึกษามา จึงใคร่ขออนุญาตถามท่าน ดร.สนอง ในเบื้องต้น ซึ่งผมเคยถามท่านผู้รู้ท่านอื่นๆมาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ดังนี้ครับ

1. หากพรหม เทพ เทวดา ผี เปรต สัมภเวสี อยู่ในรูปของพลังงาน ไม่มีกายแบบมนุษย์ ทำไมเวลาคนทำพิธีไหว้ต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ต้องผ่านขบวนการย่อยสลายแบบ digestive system แบบมนุษย์จึงจะใช้ประโยชน์ได้ครับ แล้วทำไมยังต้องมีดอกไม้ธูปเทียนอีกมากมาย ที่ผมไม่เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในรูปของพลังงานต้องการหรือใช้ประโยชน์อะไรจากเครื่องเซ่นไหว้พวกนี้ได้ นี่มันเป็นเพียงความคืดความเชื่อของมนุษย์ว่าต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ หรือ พรหม เทพ เทวดา สัมภเวสี สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องเซ่นไหว้เหล่านั้นได้จริงๆครับ

2. เวลาทำบุญ พอพระสวด สัพภีฯ ทำไมต้องเทน้ำลงดินครับ น้ำมันทำหน้าที่อะไรครับ เกี่ยวข้องกันอย่างไร หากไม่เทน้ำลงดินแล้วการแผ่เมตตาจะสมบูรณ์ไหมครับ หากเราตั้งจิตอุทิศผลบุญให้ไปแล้วก็น่าจะจบตรงนั้น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเทน้ำลงดินด้วยครับ

3. การจุดธูปจุดเทียนไหว้พระไหว้เจ้าไหว้ผี เป็นสิ่งจำเป็นหรือมีผลอะไรจริงๆไหมครับ หรือเป็นเพียงความนิยม ตามที่ท่านหลวงวิจิตฯกล่าวไว้ว่า...พิธีการสร้างความยิ่งใหญ่... และเวลาจุดธูปไหว้พระบอกว่าต้องจุด 3 ดอก เพื่อไหว้พระพุธ พระธรรม พระสงฆ์ 9 ดอกเพื่อไหว้เทพ 16 ดอกเพื่อไหว้พรหม 1 ดอกเวลาไหว้คนตายในงานศพ แต่พอจุดเทียนทำไมจุดแค่ 2 ดอกครับ ไม่ว่าจะไหว้อะไร ดูแล้วไม่ make sense เลยครับ หากทุกอย่างอยู่ที่จิต จะไหว้อะไรก็จุดธูป 1 ดอก เทียน 1 เล่ม แล้วตั้งจิตไหว้ก็น่าจะพอครับ หรือไม่ต้องมีธูปหรือเทียนเลยก็ได้ ไม่เปลืองดีครับ บางคนแพ้ควันธูปและมีสารก่อมะเร็งอีกต่างหาก เราจำเป็นต้องจุดธูปเทียนไหมครับ

4. ตามที่ผมเคยได้ฟังจากผู้รู้หลายๆท่าน บอกว่ากรรมต่างๆเป็นของใครของมัน จำหน่ายถ่ายโอนกันไม่ได้ และกรรมไม่ใช่ Credit/Debit ที่จะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ แล้วการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อขอขมากรรมขออโหสิกรรม หรือให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้ว เพื่อให้ได้ใช้บุญนั้น มันจะเกิดผลอะไรได้จริงหรือครับ หรือเป็นเพียงความเชื่อ

5. หากการปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเป็นทางนำไปสู่ ฌาณ และปัญญา ซึ่งผู้ปฎิบัติอ้างว่าเป็น ปัจจัตตัง ของใครของมัน พิสูจน์หรือแสดงให้คนอื่นดูหรือเห็นหรือเข้าใจไม่ได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่เราคิดว่าเป็น ฌาณหรือปัญญา นั้น ไม่ใช่เพียงจินตนาการณ์ของท่านเหล่านั้นครับ

6. จากข้อคิดของท่านผู้รู้หลายๆท่านที่ผมเคยสัมผัสมา มักพูดกันว่ามี สวรรค์ โลกมนุษย์ และ นรก ทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก และมีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้นที่คนเราจะทำดีหรือทำชั่วได้ แล้วกฏแห่งกรรมนี้ใครกำหนดครับ หากจะบอกว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ หมายความว่า มันเป็นไปของมันเองโดยไม่มีวัตถุประสงค์อะไรใช่ไหมครับ

7. ทำไมคนที่ปฎิบัติจนบอกว่าตนพบทางนิพพาน หรือรู้วิธีที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มาใช้ปัญญาที่ตนมีช่วยให้คนทั้งโลกหลุดพ้นหรือไปนิพพานกันให้หมดไปเลยทีเดียวละครับ มันจะได้ไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายใน 3 โลกอีกต่อไป ไม่น่าปล่อยให้คน 6 พันกว่าล้านคนต้องทุกข์อีกต่อไป

8. หาก นรก เป็นที่ที่มีสภาพเลวร้าย ไม่น่าอยู่ แล้วบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมนรก เช่น ท่านยมบาล ท่านยมฑูต ท่านอยู่ได้อย่างไรครับ ท่านเหล่านั้นไม่คิดอยากไปอยู่ที่อื่นเช่นบนสวรรค์หรือบนโลกมนุษย์หรือไปนิพพานบ้างหรือครับ หากท่านเหล่านั้นไปไหนไม่ได้มันเพราะอะไรครับ

9. คนที่ศึกษาและปฎิบัติ มีศิลและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม แต่เกิดเบื่อและยังไม่สามารถเข้าถึงนิพพานได้ แล้วฆ่าตัวตายผิดหรือบาปไหมครับ

10. สำหรับคนที่ปฎิบัติ แต่จิต สมาธิ หรือ บารมี ยังเข้าไม่ถึงระดับที่จะเห็น สวรรค์ นรก น่าจะมีผู้ที่มีจิตและสมาธิที่สูงกว่าพาไปเห็นสวรรค์นรกได้บ้าง เพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้มุ่งมั่นปฎิบัติต่อไป ท่าน ดร.สนองจะสามารถพาจิตผมไปเห็นสวรรค์นรกได้ไหมครับ

Voraphong

คำตอบ
   คนส่วนใหญ่นิยมพัฒนาสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา แม้จะพัฒนาจนสูงสุดก็เข้าถึงความจริงที่เป็นสภาวสัจจะเท่านั้น หากนำปัญญาเช่นนี้ไปส่องนำทางให้กับชีวิตแล้ว โอกาสพบความวิบัติย่อมมีได้ ตรงกันข้ามคนส่วนน้อย พัฒนาปัญญาสูงสุดที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา คนสามารถรู้เห็นเข้าใจสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ได้ หากนำเอาปัญญาเช่นนี้มาส่องนำทางให้กับชีวิต ความเป็นอิสรภาพที่สมบูรณ์ของชีวิต ย่อมเกิดขึ้นได้ ดังที่อริยบุคคลได้ทำเป็นตัวอย่างให้มวลชนดู

   (๑) สัตว์ที่กล่าวถึงทั้งหมด มิได้อยู่ในรูปของพลังงานล้วนๆ แต่อยู่ในรูปของสสารและพลังงานที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน สสารหรือรูปที่ละเอียด เช่น จุลินทรีย์แบคทีเรีย ประสาททางตาสัมผัสไม่ได้ แต่กล้องจุลทรรศน์ขยายรูปของจุลินทรีย์แบคทีเรียให้ใหญ่ขึ้นประมาณ ๘๐๐-๑๐๐๐ เท่า ประสาททางตาสามารถสัมผัสได้ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ขยายรูปของอนุภาคไวรัสให้ใหญ่ขึ้นประมาณหมื่นเท่า ประสาททางตาสามารถสัมผัสได้ ผู้ใดพัฒนาจิตจนถึงระดับฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากความทรงฌาน ทิพพจักขุย่อมเห็นเทวดาและผีข้างถนนได้

   ผู้ใดพัฒนาจิตจนสัมผัสกับรูปนามที่เป็นทิพย์ได้ ก็จะรู้ว่าการเซ่นไหว้เป็นการกระทำที่มีเหตุผล

   (๒) การเทน้ำลงดินหรือไม่เทน้ำลงดินย่อมทำได้ หากผู้มีบุญแสดงเจตนาอุทิศบุญให้กับอมนุษย์ที่ตนปรารถนาจะให้แล้ว ย่อมสำเร็จผลตามปรารถนาได้ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าพิมพิสาร ถวายผ้าและภัตตาหารแก่พระสงฆ์ แล้วได้เทน้ำลงดิน (หลั่งน้ำทักษิโณทก) พร้อมกับกล่าววาจาว่า ขอทานนี้จงถึงแก่ญาติทั้งหลายของเรา ทันใดนั้นสระโบกขรณีก็บังเกิดแก่เปรต (ญาติในอดีต) ได้อาบกันและสวมใส่พัสตราภรณ์อันเป็นทิพย์

   พระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า อยู่บนดอย หลังจากประพฤติบุญแล้ว ได้อุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์ที่ตนปรารถนาจะให้ ผลสำเร็จของการอุทิศบุญย่อมเกิดได้เช่นกัน

   (๓) การบูชามีสองอย่าง การจุดธูปเทียนเป็นอามิสบูชา บุญได้เกิดขึ้นจากการประพฤติอ่อนน้อม จุดธูปกี่ดอก จุดเทียนกี่เล่ม เป็นเพียงพิธีกรรมที่มนุษย์สมมุติขึ้น อามิสบูชามีผลอย่างมากแค่สวรรค์สมบัติ การบูชาอย่างที่สองไม่จุดธูปเทียน แต่บูชาด้วยการไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ถือเป็นปฏิบัติบูชา มีผลส่งถึงพรหมสมบัติและนิพพานสมบัติ พระพุทธะสรรเสริญการบูชาอย่างหลังนี้มากกว่า

   (๔) การอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ถือว่าเป็นการใช้หนี้เวรกรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรได้ อุทิศบุญให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้ว หากท่านอยู่ในฐานะที่มาอนุโมทนาบุญได้ ท่านย่อมได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ ดูข้อ (๒) ประกอบ ฉะนั้นการอุทิศบุญให้กับผู้ตาย จึงเป็นความเชื่อที่มีเหตุผลสนับสนุน

   (๕) ผู้ใดปฏิบัติสมถกรรมฐานจนจิตบรรลุความเป็นฌาน ย่อมเข้าใจความเป็นจริงของฌานได้ ผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ย่อมเข้าใจความเป็นจริงของโลกุตตรญาณได้ เพราะสภาวะทั้งสองเป็นของเฉพาะตัว (ปัจจัตตัง) ของผู้เข้าถึง

   ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์ตรงในเรื่องทั้งสอง ด้วยการนำตัวเองเข้าไปปฏิบัติธรรม จึงบอกว่า ฌานและญาณโลกุตตระมิใช่เป็นจิตนาการของจิต อย่างที่ท่านผู้ถามปัญหาเข้าใจ

   (๖) ผู้ใดบอกว่า การทำดีทำชั่วมีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้น เป็นคำบอกกล่าวที่ถูกของผู้นั้น แต่ไม่ถูกตามที่ผู้รู้จริงบอกกล่าว นันทยักษ์ (เทวดา) ใช้กระบองวิเศษตีศีรษะพระสารีบุตร ขณะกำลังนั่งเข้านิโรธสมาบัติ ผลปรากฏว่านันทยักษ์ถูกธรณีสูบลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพนรก ลิงป่ารักขิตวัน (เดรัจฉาน) นำรวงผึ้งป่ามาถวายพระพุทธะ ตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ (มนุษย์) เลิกอาชีพโสเภณีแล้วหันมาบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตายแล้วไปเกิดเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบันอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุด กฎแห่งกรรม (ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว) มีธรรมชาติเป็นตัวกำหนด ผู้ถามปัญหาทดลองได้ด้วยตัวเอง เมื่อเดินผ่านบ้านที่มีสุนัขดุ แล้วใช้ก้อนหินขว้างปาสุนัขเช้าเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ตรงกันข้ามเดินผ่านบ้านที่มีสุนัขดุอีกบ้านหนึ่ง แล้วใช้น่องไก่ทอดโยนให้สุนัขเช้าเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน แล้วบอกเจ้าของบ้านทั้งสองให้เปิดประตูปล่อยสุนัขออกมาให้พบกับคนที่ขว้างปาสุนัขด้วยก้อนหิน และพบกับคนที่โยนน่องไก่ทอดให้ ลองดูว่า ให้ผลเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

   (๗) มนุษย์แบ่งได้ ๔ จำพวก (บัว ๔ เหล่า)

     ๑. ผู้ที่รู้เข้าใจธรรมได้ฉับพลัน (อุคฆฏิตัญญู)

     ๒. ผู้ที่รู้เข้าใจธรรมได้เมื่อขยายความ (วิปัตตัญญู)

     ๓. ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้ (เนยยะ)

     ๔. ผู้ที่ไม่อาจแนะนำได้ เพราะพูดชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ (ปทปรมะ) คนประเภทนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากในโลก

   ฉะนั้นคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่ถามจะจบลงได้ เมื่อผู้ถามปัญหาประเมินจำนวนคนประเภทที่สี่นี้ออกมาได้

   (๘) กรรมคือการกระทำ ยมบาล ยมทูต ทำกรรมเพื่อไปทำงานอยู่ในยมโลก ผลจึงเป็นไปตามกรรมที่ทำ

หากมีโอกาสและประสงค์จะเรียนรู้เรื่องนี้ให้มาก ควรนำตัวเองเข้าไปพูดคุยไต่ถามกับตำรวจ อัยการ ทนายความ ผู้พิพากษา และผู้คุมนักโทษในเรือนจำ แล้วจะรู้ว่าบุคคลที่กล่าวถึงได้ประพฤติกรรมเช่นใดไว้ จึงต้องไปทำหน้าที่เช่นนั้น และอย่าลืมถามเขาว่าอยากไปเกิดเป็นเทวดาไหม? อยากเข้านิพพานไหม?

   (๙) บุคคลฆ่าตัวตาย เพราะมีบาปเป็นแรงผลักดัน เมื่อจิตหลุดออกจากร่าง พลังบาปจะผลักดันจิตวิญญาณ ให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก

   (๑๐) พระพุทธเจ้าเคยพาพระนันทะ (พุทธอนุชา) เหาะไปดูนางฟ้าใสสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อพระนันทะเห็นนางฟ้าแล้วว่านางฟ้าสวยงามกว่านางชนบทกัลยาณีเป็นร้อยเท่า จึงทำให้จิตคลายความคิดถึงนางลงได้

   อนึ่งหลวงพ่อบางองค์ชำนาญในมโนมยิทธิ เคยพาศิษย์ไปดูนรกดูสวรรค์มาก็มาก แต่เมื่อไปเห็นสวรรค์แล้วมีจิตเป็นทาสของสิ่งที่ถูกเห็น จึงมิใช่ทางพ้นทุกข์ เจ้าคุณโชดกจึงมิให้ผู้ตอบปัญหาประพฤติเช่นนั้น แต่ปัจจุบันยังมีพระโพธิสัตว์บางองค์ยังประพฤติอยู่
   

1205.
เรียนอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ตามที่ท่านได้กรุณาตอบคำถามข้อ 1202 ดิฉันกราบขอบพระคุณ และตัดสินใจที่จะเพิ่มภาระตัวเอง โดยการตั้งศาลเจ้าที่ เพราะต้นไม้ใหญ่(มะขาม)ต้นนั้นเกิดตาย ซึ่งต้นอื่นๆ บริเวณที่ดินข้างเคียงไม่ตาย ดิฉันไม่เคยเห็นต้นมะขามยืนต้นตาย

จึงมีคำถามถามอาจารย์อีก 3 ข้อว่า
1.ต้นไม้ตายหรือไม่ตายก็เป็นที่สิงสถิตย์ของเจ้าที่ได้ใช่หรือไม่

2.ดิฉันสามารถตั้งศาลเอง โดยปรับสถานที่และตั้งได้ตามความเหมาะสม หรือไม่อย่างไร

3.สังเกตุว่าช่วงนี้ ลูกค้ามาดูห้องพักแล้ว ชอบใจ นัดหมายมาวางเงินมั่นเหมาะ บ้างก็โทรมาให้ทำความสะอาดห้องเพื่อย้ายเข้า แต่ก็ไม่มา เป็นเหตุจากการไม่พอใจของเจ้าที่ หรือการล่วงเกินอะไรหรือไม่ค่ะ

กราบขอบพระคุณในความกรุณา
อนันยา

คำตอบ
    (๑) ใช่ หากอมนุษย์ประสงค์จะอยู่กับต้นไม้ที่ตายแล้ว เช่นต้นตะเคียนที่นำมาทำเป็นเสาเรือน นำมาขุดเป็นเรือพาย นางไม้ยังตามมาอยู่ได้

   (๒) สามารถตั้งศาลเองได้ แต่ต้องสื่อให้อมนุษย์ทราบว่า เราได้สร้างศาลให้เขาแล้วเชิญเขาเข้าไปอยู่อาศัยได้

   (๓) ผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามกับผู้อื่นอยู่เสมอ ผู้ให้ย่อมมีเพื่อนดี มีบริวารดี คนที่มีเพื่อนดีมีบริวารดีที่เป็นอมนุษย์ เขาย่อมช่วยเหลือในสิ่งที่เราปรารถนาได้
   

1204.
กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพค่ะ

ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ เกี่ยวกับการใส่บาตรกับพระสงฆ์ ที่มีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจว่า ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ดังนี้ค่ะ
1.แถวบ้านดิฉัน ในตอนเช้าจะมีพระสงฆ์บางรูป ( ประมาณ 3 - 4 รูป ) มายืนรับบิณฑบาตรจากฆารวาส ด้วยการยืนอยู่ที่ข้างๆร้านขายอาหารซึ่งทางร้านมีขายสำหรับใส่บาตร ( มีอยู่ 2-3 ร้าน ) โดยจัดอาหารไว้เป็นชุดๆสำหรับให้ซื้อไปใส่บาตรได้เลย ท่านจะยืนอยู่ที่ข้างๆร้านขายอาหารร้านเดิมเป็นประจำทุกวัน โดยไม่ได้เดินไปที่อื่นเลย พอสายๆไม่มีใครมาใส่บาตรแล้วท่านจึงจะกลับวัด

2. วันหนึ่งดิฉันได้เห็นพระสงฆ์ที่ต้วเองได้ใส่บาตรกับท่านหลายครั้ง หลังจากรับบิณฑบาตรแล้ว ก่อนก่อนวัดท่านเดินแวะไปที่ร้านขายล๊อตเตอรี่ แล้วถามคนขายเกี่ยวกับใบหวยและหยิบขึ้นมาดูด้วยค่ะ แต่ไม่แนใจว่าซื้อหรือเปล่าค่ะ

สิ่งที่ดิฉันได้เห็นมานั้น ทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกไม่ค่อยเลื่อมใสศรัทธาในพฤติกรรมของพระสงฆ์เหล่านั้น ทำให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจในเวลาใส่บาตร จึงไม่ค่อยอยากจะใส่บาตรกับพระสงฆ์เหล่านั้นซักเท่าไร แต่ดิฉันยังต้องการที่จะใส่บาตรอยู่จึงไม่รู้จะทำอย่างไรค่ะ

ขอให้อาจารย์ช่วยกรุณาชี้แนะด้วยว่าควรจะทำอย่างไรค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (๑) ถูกต้องและเหมาะสมกับภิกษุ ๓-๔ รูป ที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น แต่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมกับเจตนารมณ์ของพระพุทธะ ในการบัญญัติให้ภิกษุออกบิณฑบาต

   (๒) การที่ภิกษุรับอาหารใส่บาตรเสร็จแล้วแวะเข้าร้านขายล๊อตเตอรี่ แล้วถามหาใบหวย เป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าภิกษุนั้นประพฤติไม่ถูกตรงตามธรรมวินัย อนึ่งหากผู้ใส่บาตรพัฒนาตัวเองให้มีศีลและสัจจะ หรือพัฒนาตัวเองให้มีศีลธรรม หรือมีเทวดาคุ้มรักษาได้แล้ว ก่อนใส่บาตรในวันถัดไปควรอธิษฐานให้ภิกษุผู้ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย มารับอาหารบิณฑบาตจากข้าพเจ้า
   

1203.
กราบเรียน อาจารย์

ขอขอบพระคุณอาจารย์ สำหรับคำแนะนำในครั้งก่อน ผมได้นำไปปฏิบัติจนสามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว ผมมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝึกสมาธิแบบอาณาปานสติ ดังนี้

ผมมีความเข้าใจเรื่องศีลสิกขาและสัจจะ ตามที่ท่านได้ให้แนวทางไว้ ได้นำมาปฏิบัติ รู้สึกว่าจิตใจมั่นคงมากขึ้น ไม่ซัดส่ายไปมา นิ่งและเข้าสู่สมาธิได้ดีขึ้น แต่ยังมีปัญหาเดิมๆ ดังนี้

ผมมักจะกลืนน้ำลายในระหว่างนั่งสมาธิดูลมหายใจ ติดนิสัยนี้มาตั้งแต่ยังฝึกสัมมาอรหังเพ่งลูกแก้วแล้วครับ ช่วงนี้มันกลับมาเป็นอีก เมื่อจิตนิ่งได้สักครู่ ก็จะเห็นความอยากโผล่มาก่อน ล่าสุดผมก็สู้กับมัน ไม่ยอมกลืนน้ำลาย นั่งดูใจที่ดิ้นและอาการทางกายที่เหมือนกับมีก้อนจุกอยู่ที่คอหอย จนทนไม่ไหว ยอมแพ้กลืนน้ำลาย แล้วก็เห็นอาการทางกายหายไป เห็นว่าจิตใจที่ดิ้นรนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเบาสบาย

คำถามคือ

1. ผมควรจะสู้กับมัน ไม่ยอมแพ้ความต้องการ หรือ ใช้มันเป็นอารมณ์พิจารณาอย่างที่ทำอยู่ครับ ต่อไปคงต้องเจอสภาวะนี้อีก

2. หลังจากยอมแพ้แล้ว ผมก็ยังรู้สึกว่า สมาธิไม่ได้หายไปไหน นั่งต่อมาลมหายใจก็เริ่มละเอียดมากขึ้นจนเกือบมองไม่เห็น จนกระทั่งหมดเวลาต้องอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

3. ถ้าควรฝืนสู้กับสภาวะ ขอคำแนะนำ หรือวิธีการด้วยครับ

กราบเรียนอาจารย์ด้วยความเคารพ

นายนพพร ศิลาภิรัตพงศ์

คำตอบ
   (๑) เมื่อสมาธิยังมีกำลังไม่กล้าแข็ง ไม่ควรเอาจิตไปต่อสู้กับอาการที่เกิดขึ้น แต่ควรอย่างยิ่งรักษาศีลและสัจจะ ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น ความศักดิ์สิทธิ์ในกาย ความศักดิ์สิทธิ์ในจิตจะเกิดขึ้น อาการที่ไม่พึงปรารถนาจะหมดไปเอง

   (๒) จริงอยู่สมาธิไม่ได้หายไปไหน แต่กำลังของสมาธิยังด้อยกว่าอารมณ์ติดลบที่เกิดขึ้น จึงยอมแพ้ ฉะนั้นต้องเน้นสร้างบารมีสองตัวในข้อ (๑) ให้มีกำลังมากขึ้น

   (๓) ไม่ควรฝืนสู้กับสภาวะที่เกิดขึ้น แต่ควรอย่างยิ่งพัฒนาจิตให้มีศีลและสัจจะให้มีกำลังมาก เป็นศีลอุปบารมี เป็นสัจจอุปบารมี และดีที่สุดต้องพัฒนาให้ถึงปรมัตถบารมี
   

1202.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ
ที่ดินที่ดิฉันสร้างอพาร์ทเม้นต์มีต้นไม้ใหญ่ และคุณยายดิฉันอายุ 95 ปี ตอนมีชีวิต(เพิ่งเสีย 3 วัน ) เคยพูดว่าเห็นผู้หญิงผมยาว สวยๆ อยู่ตรงนั้น ตอนนี้มีผู้เช่ารายหนึ่งเป็นผู้หญิง ลักษณะเหมือนมีเซนส์ ก็บอกเหมือนคุณยาย เขาพูดหลายอย่างถูกต้องโดยไม่ต้องพูดคุยหรือพบปะกับใครมาก่อน

ดิฉันใคร่สอบถามอาจารย์ว่า

1. หากดิฉันจะตั้งศาลใต้ต้นไม้ใหญ่ ได้หรือไม่ และตั้งเองได้หรือไม่ จะต้องทำอย่างไรในการตั้งศาล การตั้งศาลกับไม่ตั้งศาล ในกรณีของดิฉันควรจะปฏิบัติอย่างไร หากต้องตั้งศาลแล้วที่ดินมีเจ้าของที่หลายคน จะรู้ได้อย่างไรว่าใครจะเป็นผู้มาอยู่ และ เมื่อตั้งศาลแล้วควรจะปฏิบัติต่อศาลอย่างไร จึงจะไม่เป็นการล่วงเกิน

2. ดิฉันได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรม 8 วัน และได้อุทิศกุศลจากการปฏิบัติให้เจ้าของที่เดิมทุกครั้ง กิจการดีขึ้นตามลำดับ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่

กราบขอบพระคุณในความกรุณา
อนันยา

คำตอบ
    (๑) การตั้งศาลหรือไม่ตั้งศาลให้เจ้าที่ ยังไม่สำคัญเท่ากับการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าที่ หากมนุษย์อยู่กับเจ้าที่อย่างฉันท์เพื่อนที่ดีต่อกัน เช่น อุทิศบุญกุศลให้เจ้าที่อยู่เสมอ ชวนฟังสวดมนต์ ชวนฟังธรรม ฯลฯ หรือประสงค์จะตั้งศาลเจ้าที่ให้เป็นภาระก็สามารถทำได้ แต่เมื่อตั้งศาลแล้วต้องเซ่นไหว้บ่อยๆด้วย อาหาร น้ำ ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ แล้วจะอยู่กันอย่างปกติและมีความสุข

อนึ่ง จะตั้งศาลเดี่ยวแล้วเชิญเจ้าที่หลายตนอยู่อาศัยก็ได้ หรือจะตั้งหลายศาล แล้วเชิญแต่ละเจ้าที่เข้าอยู่คนละศาลก็สามารถทำได้ ผู้ถามปัญหาจะตั้งกี่ศาล จะเชิญเจ้าที่กี่องค์เข้าอยู่อาศัย .... ตามอัธยาศัยครับ

   (๒) ถูกต้องแล้วครับ สำหรับผู้ประสงค์อยู่ร่วมกับเจ้าที่อย่างสงบและมีความสุข
  

1201.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพ
   ดิฉันสนใจธรรมมานานแล้ว จะไปวัดอัมพวัน และวัดพระธรรมกาย เป็นประจำ
มีข้อสงสัยอยากถามว่า

1.การเพ่ง/หรือกำหนดคำภาวนา ใช่เป็นสมณะใช่ไหมคะ ถ้าเรานั่งจนเห็นธรรมกายเราจะพลิกสู่วิปัสสนาได้อย่างไร

2.ถ้าเราปฏิบัติสมถะ จนจิตนิ่ง เรามีวิธีการอย่างไรจะพลิกเข้าสู่วิปัสสนา แล้วการคิดพิจารณาโดยสังเกตการเกิดดับของสภาวะธรรม(การรู้)
ถ้าเราคิดไม่ดี เราควรกำหนดรู้ว่าคิดหนอ หรือแค่รู้ เพราะถ้าปล่อยผ่านไปอาจทำให้เราบาปได้

3.ดิฉันเป็นคนที่ขี้สงสัย คิดมาก ควรปฏิบัติอย่างไรจิตจึงจะนิ่งคะ

กราบขอขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
   
(๑) คำว่า “ สมณะ ” หมายถึงผู้มีจิตสงบจากกิเลสแล้ว ในทางพุทธศาสนาหมายถึงผู้ระงับบาปได้แก่พระอริยบุคคล หรือหมายถึงผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอริยบุคคล ฉะนั้นการเพ่งหรือกำหนดภาวนาถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นอริยบุคคล ตามความหมายนี้ถือว่าเป็น สมณะ ได้

   อนึ่ง การนั่งภาวนาจนเห็นธรรมกาย (พระนามของพระพุทธะ) มิได้หมายความว่า ผู้เห็นมีจิตพ้นไปจากกิเลสที่เป็นเหตุทำให้เวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารได้ ผู้ใดพิจารณาสิ่งที่ถูกเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) จนเห็นด้วยจิตว่า สิ่งที่ถูกเห็นมิใช่ตัวมิใช่ตน จิตปล่อยวางสิ่งที่ถูกเห็น แล้วจิตว่างเป็นอิสระ ปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนา) จึงจะเกิดขึ้นกับผู้นั้น

   (๒) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตนิ่งเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตนิ่งระดับนี้ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตเป็นอิสระได้ ปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดขึ้น

   การพิจารณาการเกิดดับของสภาวธรรมโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) เป็นวิธีการหนึ่งของการเกิดปัญญาเห็นแจ้ง อนึ่ง การคิดไม่ดีเป็นอารมณ์จิตที่ขาดสติ แล้วกำหนดว่า “ คิดหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ เป็นวิธีการกำจัดความคิดไม่ดีให้หมดไป ทำให้จิตกลับมามีสติอยู่กับคำภาวนาเดิม ที่ใช้ปฏิบัติเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

   การปล่อยความคิดให้ผ่านไปโดยมิได้พิจารณา ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้จิตหลง (โมหะ) เป็นบาปได้

   (๓) การปฏิบัติธรรม (สมถภาวนา) แล้วทำให้จิตนิ่งหรือเข้าถึงความนิ่ง (สมาธิ) ได้ ต้อง

     - ทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ ปฏิบัติตามคำชี้แนะของครูผู้สอนจนเกิดผล

     - ปฏิบัติธรรมด้วยการเอาศีลลงคุมใจ

     - ปฏิบัติต่อเนื่องยาวนาน

     - มีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน
   

 

 

 

 

 

 

browser stats