1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1301-1350

1350.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ.

ผมมีประสบการณ์คล้ายคลึงกับคำถามที่ 1343 ครับแล้วก็ได้รับคำตอบเป็นที่เรีัยบร้อยแล้ว ขอบคุณครับในปัจจุบันนี้จากการที่ได้ฟัง , คิด แล้วก็ปฏิบัติ ผลก็ออกมาดีในระดับหนึ่ง แต่ว่าก็ไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมากมาย เพราะไม่ได้ไปสอบอารมณ์กับวิปัสสนาจารย์เลย เพราะไม่รู้จะไปที่ไหนดี( ของจริงที่ภาคปฏิบัติ)

ผมจึงขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วนแนะนำสถานที่ปฏิบัติแนวยุบหนอ-พองหนอ หน่อยครับ เพราะที่ผมปฏิบัติอยู่ก็เป็นแนวนี้

ป.ล.
- ได้ศึกษาเองตามแนวของท่านอาจารย์เจ้าคุณโชดก (ขออนุญาติเรียกท่านอาจารย์ครับ) และอัครมหาบัณฑิตมหาสีสยาดอ.
- ที่สิงห์บุรีเคยไป แต่ยังไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติ เพราะคนเยอะมาก ( จากการสอบถามปัจจุบันจะมีแม่ชีเป็นผู้สอน)

กราบขอโทษด้วยครับหากมีข้อความบางข้อความหรืออื่นๆที่ทำให้ผู้อื่นอ่านแล้วเกิดความขัดข้องใจหรือไม่พอใจ.

ขอบคุณท่านอาจารย์มากครับ

คำตอบ
   นอกจากวัดอัมพวัน จ.สิงหบุรีแล้ว การสอนกรรมฐานแบบยุบหนอ-พองหนอ ยังมีที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ,วัดพระธาตุจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ และสถานที่อื่นคงมีอีก ต้องขออภัยมิได้แสวงหา จึงไม่สามารถแนะนำได้มากกว่านี้

1349.
สอบถามท่านอ.สนองที่เคารพครับ รบกวนสอบถามดังนี้ครับ

1. ผมสังเกตุว่าวัตถุมงคลสมัยนี้มีการนำมวลสารอย่าง เช่นกระดูกหรือชิ้นส่วนมนุษย์มาทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อเรียกวิญญาณ เจตภูติ พราย สัมภเวสีหรือเทวดามาสถิตย์อยู่เพื่อให้มีอานุภาพมากขึ้น โดยอาจมีการแลกเปลี่ยนเลี้ยงดูโดยการเซ่น หรืออุทิศบุญกุศลไปให้แทนการตอบแทนที่ช่วยเหลือผู้บูชา เช่นเรียกวิญญาณเด็กมาไว้ในกุมาร เรียกวิญญาณพรายมาไว้ในนางกวักเพื่อเพิ่มอานุภาพ
ไม่ทราบว่าวิญญาณที่คนสร้างเรียกเข้ามาสถิตไว้ในเครื่องรางนั้น สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้หรือครับ คล้ายๆกับที่อ.เคยพูดไว้เรื่องการเซ่นไหว้เทวดารึเปล่าครับ

2. ผมเป็นคนชอบศึกษาเรื่องเครื่องราง และพระเครื่อง มีข้อสงสัยว่า บางวัดทำไมถึงมีการสร้างชูชกไว้ให้บูชาละครับ
ทั้งทีชูชกตอนนี้ก็คือพระเทวทัตที่อยู่ในอเวจี หากเราบูชาจะเป็นโทษหรือไม่ ถ้าเป็นโทษจริงๆทำไมพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงมีผู้นับถือ ถึงได้สร้างกันหรอครับ


ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ให้ความรู้และปัญญาแก่ผมครับ.........
ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรง และเป็นที่พึ่งของชาวกัลยาณธรรมนานๆนะครับ สาธุ+++

คำตอบ
    (๑). ช่วยเหลือได้ แต่เป็นการช่วยเหลือของคนหลง อันเป็นเหตุก่อหนี้เวรกรรม ระหว่างผู้นำมาใช้กับจิตวิญญาณที่สิงอยู่ในวัตถุนั้น มิใช่วิถีแห่งความพ้นทุกข์ พระพุทธะจึงห้ามมิให้ภิกษุประพฤติติรัจฉานวิชา

   (๒). ต้องไปถามผู้สร้างรูปเคารพของชูชกดูว่า เขามีเจตนาเป็นเช่นไร คำว่า “ บูชา ” หมายถึง แสดงความเคารพและเทิดทูน ในครั้งพุทธกาล เจ้าชายอชาตศัตรูบูชาพระเทวทัต ถึงขั้นคบคิดกันฆ่าพระราชบิดาแล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์ ในที่สุดพระเทวทัตถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีนรก ส่วนพระเจ้าอชาตศัตรูสวรรคตแล้วลงไปเกิดอยู่ในโลหกุมภีนรก ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ความเป็นสหายกับสองสัตว์นรกนั้น ต้องแสวงหาชูชกมาไว้บูชา เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาย่อมเกิดได้

    อนึ่ง พระเทวทัตเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในหมู่พระทุศีลไร้ธรรมอยู่ในครั้งพุทธกาล ฉะนั้นควรดูให้ออกว่า คนที่นับถือพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในทางทุศีลไร้ธรรมอยู่ในปัจจุบัน คือผู้มีความเห็นผิดไปจากธรรมของพระพุทธโคดมนั่นเอง
  

1348.

เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ตอนนี้ผมติดการเที่ยวหญิงขายบริการ (อาบ อบ นวด) ผมเคยตั้งใจที่จะเลิกหลายครั้งแล้ว แต่เลิกไม่ได้สักที ตอนนี้ทุกครั้งหลังจากที่ไปเที่ยวกลับมาแล้วตั้งจิตตั้งใจว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่ไปอีก แต่พอผ่านไปสักเดือนกิเลสใฝ่ต่ำก็เข้ามาครอบงำอีก สุดท้ายก็ไปอีกจนได้ เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเดือนละประมาณ 1 ครั้ง ไม่รู้กี่รอบแล้ว บางครั้งเมื่อมีความอยากไปก็สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ความอยากไปก็หายไปแต่พอผ่านไปได้สักวันก็อยากไปขึ้นมาอีก ผมอยากเลิกจริงๆ แต่ก็ต้องมาเสียสัจจะที่ให้ไว้กับตัวเองทุกครั้ง ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางด้วยครับ

ขอแสดงความเคารพ


คำตอบ
   วิธีแก้ปัญหาที่ถามไป ต้องนำตัวเองเข้าสัมผัสกับหญิงสาวที่ตายไปแล้ว อาทิให้ได้เห็นซากศพที่กำลังขึ้นอืด มีหนอนไต่ยั้วเยี้ย เห็นซากศพมีน้ำเหลืองไหลออกทางปากทางจมูก ให้ได้สูดกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ ฯลฯ หรือนำตัวเองไปดูซากศพที่ห้อยไว้ใน Life Museum ของวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ดูบ่อยๆแล้วโอกาสหมดไปของปัญหาที่ถาม จึงจะมีได้
  
1347.
กราบสวัสดีคุณพ่อดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพ.

   หนูมีโอกาสใด้อ่านหนังสือทางสายเอกของคุณพ่อตอนไปปฎิบัติธรรม และรับฟังการบรรยายธรรมของ
คุณพ่อดร สนอง ผ่านทางเวปกัลยาณธรรมเป็นประจำค่ะ หนูมีความเคารพ ความนับถือศรัทธา
และความเลื่อมใสในการทำงานของคุณพ่อดร.สนอง วรอุไร   เป็นอย่างมากค่ะ.

   หนูใช้ชีวิตอยู่กับสามีที่ประเทศฮอแลนด์ สามีเป็นคนไม่มีศาสนาแต่เข้าใจและให้การสนับสนุนในเรื่อง
ของการสวดมนต์ การปฎิบัติธรรม ทำสมาธิ หนูกำลังคิดที่จะลาออกจากการทำงานในเร็วๆๆนี้
เพราะอยากหางานทำที่ตัวเองชอบ ที่มีความถนัดเหมาะสมในความสามารถของตัวเองค่ะ.

   หนูมีความปราถนาตั้งใจใว้ว่าหากมีโอกาสอยากจะกลับไปปฎิบัติธรรมประมาณสัก 39 วันที่เมืองไทย เพราะหนูมีความเลื่อมใสศรัทธาในธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก   เชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ชีวิตนี้หนูไม่ใด้ต้องการอะไรมากมาย แต่ชีวิตนี้หนูโชคดีที่ใด้พบธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นมูลค่าอันมากมายมหาสารของชีวิต ในการเกิดเป็นมนุษย์ของหนู.

   หนูกราบขอความกรุณาคุณพ่อดร. สนอง ใด้ช่วยแนะนำสถานที่ปฎิบัติธรรมกรรมฐานให้หนูด้วยค่ะ
พื้นเพหนูเป็นคนทางภาคเหนือ แต่หนูไม่มีปัญหาในเรื่องของการเดินทางค่ะ ไม่ว่าจะเป็นภาคไหนจังหวัดไหน เพราะหนูมีความปราถนาและตั้งใจจริงที่จะไปปฎิบัติธรรมโดยตรงค่ะ.

  หนูกราบขอบพระคุณ คุณพ่อดร. สนองเป็นอย่างสูงค่ะที่เมตตา และหนูขอให้คุณพ่อดร.สนองมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแร็งตลอดไปค่ะ.

คำตอบ
   สถานปฏิบัติธรรมที่แนะนำคือ สำนักปฏิบัติธรรมตาณังเลณัง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ,สำนักปฏิบัติธรรมสุทธจิต อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ,วัดมเหยงค์ อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา ฯลฯ
  

1346.

เคยอ่านเจอว่า ไม่ให้นอนหันเท้าไปทางพระพุทธรูป   ที่บ้านวางพระพุทธรูปไว้หน้าห้องนอน เพราะไม่มีที่เนื่องจากเป็นบ้านพักราชการ และเวลานอน หันเท้าไปทางประตู ซึ่งตรงกับพระพุทธรูปที่วางไว้นอกห้อง อย่างนี้สมควรหรือไม่คะ  

ขอคำแนะนำค่ะ

คำตอบ
   การนอนโดยมีปลายเท้าชี้ไปทางห้องที่วางพระพุทธรูป เทวดาผู้รักษาพระพุทธรูป เห็นว่าเป็นการไม่เคารพวัตถุ อันเป็นตัวแทนของผู้ทรงคุณธรรม จึงไม่ควรประพฤติ แนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิธีการนอน โดยให้ศีรษะหันไปทางพระพุทธรูป ในครั้งพุทธกาลพระอัครสาวกสารีบุตร เมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ทิศใด จะประพฤติเป็นปกตินอนหันศีรษะไปทางทิศที่พระศาสดาประทับ

1345.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

   ดิฉันขอรบกวนถามสิ่งที่ยังสงสัยอยู่นะคะ...ทำไมดิฉันถึงรู้สึกซาบซึ้งจนบางครั้งน้ำตาไหล ตื้นตันใจมากเช่น เมื่อได้ฟังคนได้พูดถึงสิ่งที่ดี ๆหรือสอน แล้วรู้สึกซาบซึ้ง กับสิ่งดี ๆ ที่ท่านทำ หรือสอน เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งดี ๆ ที่ท่านทำนั้นแท้จริงแล้วดิฉันก็อยากทำแต่ยังทำมันไม่ได้ หรือยังไม่ได้ทำ เลยรู้สึกตื้นตันใจแทนท่านผู้นั้นที่ได้ทำมัน
จริง ๆ แล้วเป็นการขาดสติใช่หรือไม่ กำลังพยายามอยู่ จะไม่ให้เป็นแบบนี้ แต่ก็เผลอดีใจทุกทีที่ได้ยินได้ฟัง ควรทำอย่างไร นอกจากขาดสติแล้วยังเป็นคนจิตรอ่อนด้วยใช่หรือไม่

สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับความกรุณาเสียสละเวลาอันมีค่าของท่านอาจารย์

คำตอบ
   การได้ยินได้ฟังสิ่งดีงาม แล้วซาบซึ้งจนถึงกับน้ำตาไหล เป็นสภาวะของจิตที่เรียกว่า ปีติ เกิดได้เพราะจิตมีสติไม่กล้าแข็ง จึงรับสิ่งกระทบมาปรุงอารมณ์ จะเรียกว่า “ ขาดสติ ” ย่อมเรียกได้ วิธีแก้ไข ต้องทำใจให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น เร่งความเพียร ฝึกจิต (สมถภาวนา) โดยมีสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน
  

1344.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

  ดิฉันมีเรื่องขอคำปรึกษา รบกวนท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต ให้แก่ดิฉันเพื่อการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควรด้วยคะ  

1  การที่เรามีสามีที่โกหกและปิดบังเรื่องเงิน ไม่บอกแก่ดิฉันแล้วดิฉันต้องทำอย่างไรดีคะ ถ้าคนใกล้ชิดเราชอบพูดโกหกเราจะทำอย่างไร เพื่อที่เราจะไม่เป็นเหมือนเขาผูกเวรจองกรรมในภพต่อไปอีก

2  ดิฉันปิดบังเขาเรื่องเงินบ้างผิดไหมคะ ถ้าบอกเขาต้องเอาไปใช้จนหมดเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเอาไปใช้อะไรบ้าง ดิฉันจะเก็บและใช้อย่างประหยัดแต่เขาชอบใช้แบบฟุมเฟื่อยไม่รู้จักคิด บางครั้งเงินมีจริงเท่านี้แต่ดิฉันก็จะบอกน้อยกว่าที่มีเพราะกันเอาใว้ใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อให้   ลูกตอนโตเป็นค่าเล่าเรียน ถ้าให้สามีรู้เขาต้องเอาไปใช้หมด ก็เลยต้องปิดบังสามีเขาทำให้ดิฉันผิดศีล 5 ไหมคะ และเมื่อผิดแล้วศีลหรือผิดสัจจะแก่ใครแล้ว ต้อง ทำ อย่าง ไร เพื่อไม่ติดเป็นกรรมเวรแก่เราได้อีกคะ

3  ดิฉันชอบธรรมะมาตั้งแต่เด็ก และอยากหลุดพ้นไปนิพพาน ไม่ค่อยชอบเรื่องทางโลกเช่นแต่งตัว ดูหนัง และเที่ยวไปสถานที่ต่างๆ ดิฉันอ่านหนังสือธรรมเข้าใจแต่ปฏิบัติไม่ได้เพราะอะไรคะ ตอนเป็นเด็กก็คิดแต่การทำดีอยากเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ ดิฉันชอบการช่วยเหลือ และการแบ่งปันมีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ เคยบวชชีพราหมณ์ ได้ 7 วันยิ่งบวชยิ่งชอบชีวิตแบบนี้ แต่เพราะเป็นผู้หญิงพ่ออยากเรียนรู้ชีวิต โดยการมีครอบครัว ดิฉันก็เลยทำให้พ่อสบายใจโดยการแต่งงาน แต่ชิวิตคู่ดูเหมือนเป็นคู่กรรมกันมากกว่า ตอนเป็นเด็กแม่ดิฉันจะไม่เคยแสดงความรักต่อดิฉันเลย นอกจากอารมภ์โมโหเมื่อดิฉันทำงานไม่ได้ดั่งใจ ดิฉันเป็นลูกสาวคนโตมีน้อง 3 คน ต้องทำงานบ้านตั้งอายุ 7 ขวบ ช่วยแม่ขายของเมื่อทำงานช้าไม่ได้ดั่งใจแม่จะโมโหมาก ดิฉันทำงานให้แม่ไม่เหลวไหล ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีเท่าที่ตนจะคิดได้ พยายามทำทุกอย่างให้พ่อแม่สบายใจ และเมื่อได้เลี้ยงลูกก็รู้สึกว่าอาการโมโห เมื่อลูกไม่เชื่อฟังหรือไม่ได้ดั่งใจจะโหโมใส่ลูก   ทั้งที่ควรเป็นคนที่เราต้องเมตตาต่อเขา ใจจริง อยากสอนเขามากกกว่าการใช้อารมณ์ แต่หักห้ามใจตนเองไม่ให้โมโหไม่ได้ ทำให้อยากสลัดทุกอย่างออกจากตัวเอง ตอนนี้เท่าที่ทำได้คือ พยายามถือศีล 5 สวดมนต์อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งครั้งละ 15 นาที และบุญกิริยา 10 อย่าง แต่บางครั้งเครียดเรื่องสามีและเรื่องคนรอบ ตัวก็จะแก้ด้วยการฟังเพลง พูดคุยกับเพื่อนเพื่อระบาย หรือระบายกับลูก ซึ่งดิฉันรู้ดีว่าผิดแต่พยายามแก้ไข อยากนั่งสมาธิแต่นั่งแล้วรู้สึกอึดอัดมาก ที่ทำได้คือเวลาเครียดจะหาอะไรทำเพื่อไม่ให้เครียดทำงานด้านช่วยเหลือ และดูความรู้สึกตัวเองว่าเป็นอย่างไร ดิฉันรบกวนท่านอาจารย์ชี้แนะข้อธรรมะ การดำเนินชีวิตแก่ดิฉันด้วยคะ ว่าดิฉันต้องปฏิบัติตนอย่างให้ตนเองไปในหนทางแห่งการหลุดพ้น

ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง ที่กรุณาชี้แนะแนวทางการดำเนินชิวิตแก่ดิฉันและผู้คนมากมาย

คำตอบ
   (๑). จงเอาสามีและคนใกล้ชิดที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น มาเป็นครูสอนใจของเรา ว่าจะไม่ประพฤติอย่างเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา

   (๒). ผู้มีคุณธรรมไม่เอาจิตเข้าไปก้าวล่วงในเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และการพูดไม่ตรงกับความเป็นจริง ถือว่าผิดศีลข้อมุสาวาท เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นเวรกรรมต่อกัน ต้องประพฤติตนให้มีเบญจศีลและมีเบญจธรรม คุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น

  (๓). ชอบธรรมะ ชอบอ่านหนังสือ แต่ปฏิบัติให้มีธรรมะคุ้มครองใจไม่ได้ เหตุเป็นเพราะมีศีลไม่ครบ มีศีลไม่บริสุทธิ์คุ้มครองใจ ผู้ใดอภัยได้ทุกเรื่องในสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ เมตตาอันเป็นคุณธรรมที่ทำให้ใจสงบเย็นย่อมเกิดขึ้น และเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณเป็นเมตตาบารมี ทำให้ความโมโห (โทสะ) ไม่เกิดขึ้น

   พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรม ดับเหตุของปัญหา เมื่อเหตุดับ ปัญหาย่อมดับตามไปด้วย อนึ่งการแก้ปัญหาด้วยการฟังเพลง คุยกับเพื่อนหรือระบายอารมณ์ออกทางลูก ถือว่าเป็นการหนีปัญหา โดยเอาเสียงเพลง เสียงเพื่อนคุย หรือส่งอารมณ์ให้ลูก ทำให้อารมณ์เปลี่ยนไปชั่วคราว แต่ปัญหาเดิมยังมีค้างอยู่ในจิต ทั้งนี้เพราะเหตุของปัญหายังมิได้ดับ ฉะนั้นควรพัฒนาตัวเองให้มีเมตตา ด้วยการให้อภัยในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ และดีที่สุดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีสติ และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้สติและปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาสิ่งกระทบที่เป็นเหตุขัดใจตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบเข้าสู่ความเป็นอนัตตา สิ่งกระทบที่เป็นเหตุขัดใจจึงไม่ใช่ตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางและว่างเป็นอุเบกขา ผู้รู้หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงด้วยวิธีการเช่นนี้

1343.
เรียนถาม อ.ดร.สนอง ครับ

   กระผมเริ่มต้นปฏิบัตธรรมอย่างจริงจังตั้งแต่ มกราคม พ.ศ. 2551 นั่งสมาธิเป็นประจำบริกรรม พองหนอ-ยุบหนอ ประกอบกับดูกายและใจตลอด จนกระทั่งประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 วันนึ่งขณะอาบน้ำ มองเห็นว่าแขนที่ทำลังถูสบู่นั้นไม่ใช่ตัวเราแขนที่ถูเป็นส่วนหนึ่ง แขนที่ถูกถูก็เป็นส่วนหนึ่ง ตาที่มองเห็นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง และได้เคยสอบถามพระอาจารย์ท่านเรื่องสภาวะธรรมนี้ท่านว่าเป็นวิปัสสนาญาณ
หลังจากครั้งนั้นกระผมก็ไม่ได้สนใจอะไรปฏิบัติไปเรื่อย ๆ และไม่ได้สอบอารมณ์อีกเลย เนื่องจากผมปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านจะไปปฏิบัติที่ วัดปีละ 2 ครั้งครั้งละ 3-7 วัน จึงไม่มีโอกาสได้ส่งอารมณ์กับพระอาจารย์ครับ

   จนกระทั่ง ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 เริ่มมีอาการมองเห็นแมวที่เลี้ยงไว้ มองเห็นหัวกับตัว คนละส่วนกันคือเวลาแมว เลียขนที่ขาผมจะเห็นหัวแมวดูเป็นมีชีวิตส่วนขาที่แมวกำลังเลียอยู่ดูเป็นไม่ มีชีวิต แรก ๆก็คิดว่าคงคิดไปเองหรือสายตาไม่ดีครับ หลังจากนั้นไม่นานขณะที่ผมยืนอยู่ในห้องน้ำกำลังจะอาบน้ำ อยู่ๆ สายตาผมก็เหมือนเลือน ๆ แล้วก็มืดลง ขณะนั้นสัมผัสต่าง ๆ ไม่มี ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยินเสียง ร่างกายไม่มี เหมือนมีแต่จิต ขณะนั้นได้เห็นสภาวะเกิดดับ เห็นร่างกายมันหายไปเกิดความรู้ว่าร่างกายเราไม่มี พอสภาวะนี้หายไปร่างกายก็ปกติ ตามองเห็น หูได้ยินเสียง แต่ไม่เหมือนเดิมครับ คือตาที่มองเห็นเหมือนเราดูโทรทัศน์ ความรู้สึกเหมือนเราเป็นคนดูอย่าในร่างกายเราอีกที เวลามองเห็นแขน-ขา มันก็จะรู้สึกแต่ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ตลอดเวลาครับ เวลาทานอาหารก็รู้สึกว่าปากที่เคี้ยวอยู่ไม่ใช่เรา จนคนในครอบครัวมองว่าผมเพี้ยนไปแล้ว
นอกจากมองเห็นตัวเองไม่มีเราแล้วผมยังมองเห็นคนอื่นไม่ใช่คน สัตว์ไม่ใช่สัตว์ เราและสัตว์อื่นเหมือนกัน คือผมจะมองเห็นร่างกายเขาเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนศีรษะจะเป็นอีกส่วนนึ่ง แยกขาดจากกัน ( ความรู้สึกผมเลยรู้สึกว่า คนและสัตว์จึงไม่มีความแตกต่างกันครับ)

   ผมเคยลองมองไปเรื่อย ๆ เห็นว่าร่างกายกับศีรษะที่แยกออกจากกันนั้น ร่างกายก็แยกออกเป็นส่วน ๆลงไปอีก แขน 2 ข้าง-ตัว-ขา 2 ข้าง ก็เหมือนเอามาประกอบกับเข้าไว้เฉย ๆ พอลองมองศีรษะก็เห็น ตา-จมูก-ปาก แยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือแม้กระั่ทั่งเห็นคนพูดหรือยิ้ม เมื่อมองไปที่ฟันความรู้สึกมันบอกว่าเป็นกระดูกไม่ใช่ฟัน ตั้งแต่สภาวะนี้เกิดขึ้นผมมองอะไรเมื่อแยกออกเป็นส่วน ๆ แล้วไม่มีความสวยงามเลย มองเห็นบ้านสวยหลังใหญ่กลับเห็นเป็นอิฐ หิน ปูน ทรายครับ

ปัญหาของกระผมเกิดขึ้นตรงที่
1. ผมมองไม่เห็นเหมือนคนอื่น ๆ ในครอบครัว ผมกลายเป็นคนเพี้ยนเสียสติของคนในครอบครัว
2. ผมเคยสอบถามพระอาจารย์ท่านว่า สิ่งที่เกิดกับผมนั้น คือดวงตาเห็นธรรมหรือไม่ ท่านไม่สามารถตอบไ้ด้ ท่านว่าต้องมาปฏิบัติ เก็บอารมณ์แล้วดูสภาวะ ดูลำดับญาณ จึงจะสามารถบอกได้ (ด้วยภาระทางบ้านผมจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติแบบเก็บอารมณ์ได้)
3. หากผมมาผิดทางแล้วควรแก้ไขอย่างไรครับ
4. หากกระผมเดินมาถูกทางแล้วควรปฏิบัติอย่างไรต่อครับ
5. สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับผมนั้นคือ ได้ดวงตาเห็นธรรม หรือป่าวครับ

รบกวนเรียนถาม อ.ดร.สนอง เพียงเท่านี้ครับ ใจจริงกระผมเองอยากมีโอกาสที่จะได้พูดคุยกับ อ. เรื่องการปฏิบัติด้วยเพราะส่วนตัวกระผมปฏิบัติอยู่บ้าน ฟังธรรมะเรื่องการปฏิบัติจาก CD เสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

หากกระผมผิดพลาดล่วงเกิน อ. ด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง กระผมขออโหสิกรรม อ. มา ณ ที่นี้ครับ

ขอแสดงความนับถือ อ. อย่างสูงครับ
ธนัท

คำตอบ
    (๑). ผู้ถามปัญหาเพี้ยนดี จงเพี้ยนต่อไปให้ถึงที่สุด คนในครอบครัวมองว่าเป็นคนเสียสติ เป็นการมองถูกของคนที่เห็นผิดไปจากธรรม คนที่เห็นถูกตามธรรมเห็นว่า สภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับจิตของผู้ถามปัญหา กำลังดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์

   (๒). เรียกว่ามีปัญญาเห็นถูกตามธรรม แต่ยังเข้าไม่ถึงดวงตาเห็นธรรม ผู้ใดเห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิตไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้เป็นอย่างน้อย จึงจะเรียกผู้นั้นได้ว่า มีดวงตาเห็นธรรม

   (๓). พัฒนาจิตมาถูกทางแล้ว จงพัฒนาต่อไป

   (๔). ควรใช้สติระลึกในกาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่า สิ่งที่ถูกระลึกนั้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วมีจิตเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจ ที่เรียกว่า สังโยชน์ ๑๐ ได้เมื่อใด .... สาธุ

   (๕). ได้ปัญญาเห็นแจ้ง หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เห็นถูกตามธรรม ส่วนจะเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ ให้ดูข้อ (๒)

   อนึ่ง จากการสนทนาธรรมกับหลวงพ่อธีร์ ท่านได้พูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “ ผู้ใดเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตาได้แล้ว โทษย่อมไม่มีกับผู้นั้น ” และพระสารีบุตรพูดกับพระฉันนะ ผู้ถูกพระพุทธะลงพรหมทัณฑ์ว่า “ ท่านฉันนะ ท่านได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงอรหัตตผลแล้ว พรหมทัณฑ์ย่อมถูกยกเลิกโดยปริยาย ”

หมายเหตุ : พรหมทัณฑ์ หมายถึง โทษที่หมู่สงฆ์พร้อมใจกัน ไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน หรือสั่งสอนภิกษุผู้ถูกลงโทษ
  

1342.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ สนอง วรอุไร ที่เคารพอีกครั้ง

 
  ก่อนอื่นขอกราบขอบพระคุณท่านอาจาร์ที่กรุณาช่วยไขข้อสงสัยในจดหมายฉบับแรก ช่วยให้มองโลกได้ถูกตรงตามธรรมได้มากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของโลก คนส่วนมากรวมไปถึงตัวกระผมเองก็ยังขาดสติ มองไม่เห็นตามความเป็นจริงอยู่เรื่อย หากขาดผู้ชี้ทางสว่างก็คงจะต้องลำบากเป็นแน่แท้ ในจดหมายฉบับนี้ก็มีข้อสงสัยอีกจำนวนหนึ่งมาถามท่านอาจารย์

   1. สภาวะจิตสุดท้ายซึ่งมีส่วนกำหนดให้ดวงจิตไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นหรือต่ำลงนั้น สำหรับผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย (ตายโหง) นั้น สภาวะจิตสุดท้ายคือเมื่อใด ระหว่างเมื่อดวงจิตทิ้งร่าง หรือว่าขณะเป็นสัมพเวสีแล้วถึงเวลาหมดอายุขัยแล้วจริง ๆ และสัมพเวสี สามารถปฏิบัติธรรมต่อไปอีกก่อนที่จะหมดอายุขัยจริงได้หรือไม่

   2. เพราะเหตุใด เมื่อท่านอาจารย์ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ท่านเจ้าคุณโชดกจึงต้องกำชับว่าต้อง "รักษา" สิ่งที่ได้มาไว้อย่างดี แล้วเหตุใดท่านอาจารย์จึงต้องใช้พละ ๕ ในการรักษาสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติเอาไว้ ในเมื่อผู้เข้าถึงกระแสแห่งนิพพานจะไม่หลุดออกจากกระแสนั้น ถึงแม้จะดับขันธ์ไปจุติใหม่แล้วก็ตาม

   3. เมื่อครั้งยังเด็ก สมัยผมเรียนอยู่ชั้น ป. ๒ อยู่ดี ๆ ครูที่โรงเรียนก็เอาพระเครื่องเก่า ๆ องค์หนึ่งมาให้ผม   เป็นพระปางลีลา สีดำ เป็นลักษณะภาพนูนต่ำ   ดูเป็นของเก่า ๆ โบราณ   น่าจะทำโดยใช้ดินหรืออะไรมิทราบมาปั้น (ดูแล้วน่าจะมีจำนวนจำกัด)   แล้วบอกว่าที่ให้ผมเพราะบริจาคเงินผ้าป่าที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นมากที่สุดในชั้น ผมก็รับเอาไว้แล้วเอามาคุยกับเพื่อน แต่เพื่อนบอกว่าเขาบริจาค ๒๐ บาทเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้พระดังกล่าว

  เมื่อโตขึ้นมานึกถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ก็สงสัยว่าเหตุที่อาจารย์เอาพระองค์นี้มาให้ ช่างแปลกประหลาด น่าสงสัยยิ่งนัก ตอนนี้ผมก็มีสมมติฐานเป็นสองทาง ว่าพระองค์นี้อาจจะมีมนต์ดำหรืออะไรบางอย่าง ที่ทำให้ครูท่านนั้นไม่อยากเก็บไว้แล้วเอามาให้ผม หรือมีอะไรดลใจให้ท่านเอามาให้ผม ท่านอาจารย์สนองคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ ?

   4. ผมเคยมีประสบการณ์แปลก ๆ ทางจิตอยู่บ้าง ผ่านทางความฝัน (เพราะจากที่เคยบอกไว้ในฉบับแรกว่าการปฏิบัติกรรมฐานของผมยังอยู่ในระดับเริ่มต้น) โดยเคยฝันเห็นข้อความที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอนาคต ๑ ครั้ง ในขณะฝันไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ก็มีการคิดโต้ตอบความฝันนั้น จึงทำให้กลับมาระลึกถึงได้ เมื่อได้ประสบกับข้อความนั้นในความเป็นจริงในเวลาต่อมา   แล้วอีกครั้งหนึ่งฝันเหมือนมีเสียงมาบรรยายสัจธรรมของโลก ที่สอดคล้องกับหลักธรรมเรื่องความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง แล้วผมก็ได้พิจารณาตามแล้วรู้สึกว่าจิตใจเมื่อได้พิจารณาตามสารจากเสียงนั้นแล้ว เป็นจิตใจที่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เรียกได้ว่าอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ   อยากถามอาจารย์ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว มีสาเหตุจากอะไร ? สามารถบ่งบอกถึงพัฒนาการทางจิตของผมได้หรือไม่ ?

   5. ข้อแตกต่างของการให้ปัญญาแก่บุพการีกับความอกตัญญูนั้นอยู่ที่ใด ? เพราะจากประสบการณ์ชีวิต ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า บุพการี ก็เป็นสามัญชนเช่นเดียวกับเรา ไม่สามารถยึดเป็นนิยามของความถูกต้องได้ ในบางครั้ง ความคิดและการกระทำของท่านเป็นไปในทางมิจฉาทิษฐิหรือไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด โดยบางครั้งก็เป็นในส่วนของความคิด บางครั้งก็เป็นในส่วนของวิธีการ   ผมเห็นว่า การโอนอ่อนผ่อนตาม หรือการเชื่อฟังสิ่งที่มาจากการเห็นผิดของท่านไม่ว่าจะโดยความคิดหรือวิธีการนั้น ก็รังแต่จะทำให้กิเลสของท่านเติบโต เป็นการสนองตัณหาแล้วไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น จึงลองแสดงความคิดเห็นของตนออกไปบ้าง   ซึ่งบางครั้งผมก็ผิดบางครั้งก็ถูก   แต่ในบางกรณี ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ยึดติดในอัตตาสูง เมื่อฝ่ายท่านเข้าตาจน ก็จะงัดไม้ตายออกมาใช้โดยต่อว่าเราว่าเป็นคนเถียงพ่อเถียงแม่ ฯลฯ ซึ่งหลงประเด็นออกไป   ทั้ง ๆ ที่ในบางครั้งก็เห็นได้ชัดว่าท่านไม่สามารถหาเหตุผลมาลบล้างสิ่งที่ผมเสนอได้ เหมือนกับว่าท่านพยายามรักษาฟอร์มของคนเป็นพ่อเป็นแม่อะไรทำนองนั้น

  
สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาบุญที่ท่านอาจารย์ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้มากด้วยกิเลสที่ยังวนเวียนในวัฏฏะสงสาร และขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยตอบคำถาม คลายข้อสงสัยของกระผม   หมดเมลฉบับนี้ก็คงอีกนาน เพราะที่ได้ถามไปนั้นเป็นข้อสงสัยที่สั่งสมมานานนับปี   แล้วถ้าผมมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม จะเมลมาสอบถามใหม่ครับ

คำตอบ
   (๑). คำว่า สภาวะจิตสุดท้าย หมายถึง จิตที่หลุดออกจากร่างปัจจุบัน เหตุด้วยมีอุปฆาตกรรมมาตัดรอน จิตจึงต้องทิ้งร่างก่อนที่จะถึงอายุขัย แล้วเปลี่ยนไปอยู่ในรูปนามที่เป็นทิพย์ ที่มีรูปลักษณ์เหมือนเดิมก่อนตายทุกประการ จึงเรียกรูปนามที่เป็นทิพย์นี้ว่า สัมภเวสี มีอายุเท่ากับอายุขัยที่เหลืออยู่ของร่างเดิม แล้วจึงจะไปปฏิสนธิหรือโอปปาติกะ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสัตว์อยู่ในภพใดภพหนึ่งของวัฏสงสาร อนึ่งขณะเป็นสัมภเวสี ไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ด้วยเหตุต้องเสวยอกุศลวิบากจนกว่าจะหมดสิ้น

   (๒). คำว่า “ ปัญญาเห็นแจ้ง ” หมายถึง เห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิต ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ ส่วนคำว่า “ ดวงตาเห็นธรรม ” หมายถึง เห็นสิ่งกระทบจิต ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสที่เรียกว่า สังโยชน์ อย่างน้อยสามตัว คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

ในห้วงเวลาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ผู้ตอบปัญหาได้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งที่ยังเป็นส่วนของอริยมรรค หลังจากสึกออกมาแล้ว จึงได้เจริญพละ ๕ เพื่อใช้เป็นกำลังให้จิตได้พัฒนาเข้าสู่อริยผล

   (๓). ผู้ใดเชื่อในกฎแห่งกรรม แล้วจะไม่สงสัยในสิ่งที่บอกเล่าไป การให้วัตถุเป็นทาน เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ผู้ทำเหตุได้ก่อน ย่อมได้วัตถุกลับคืนมา ผู้รู้ไม่เอาจิตเข้าเป็นทาสของวัตถุ เพราะวัตถุไม่ใช่เหตุแท้จริง ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์

   (๔). เรื่องที่บอกเล่าไป มีเหตุเกิดจากจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เหตุที่เป็นนิมิตถูกตรง เพราะสัจจะมีพลังผลักดันให้เกิดความถูกตรง ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงสภาวะของจิตของผู้ถามปัญหา ว่าดำเนินมาถูกทาง ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ในกาลข้างหน้า

   (๕). การรินน้ำใส่ภาชนะที่หงาย ภาชนะย่อมรองรับน้ำไว้ได้ ตรงกันข้าม หากภาชนะยังคว่ำอยู่ แม้จะรินน้ำเติมให้กี่ครั้งกี่หน ภาชนะที่คว่ำย่อมรองรับน้ำไว้ไม่ได้ ซ้ำยังทำให้ภาชนะเปียกน้ำอีกด้วย ฉันใดก็ตาม บุพการีที่ยังไม่เกิดศรัทธาในตัวลูก ไม่ต่างไปจากภาชนะที่คว่ำ นอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้ว หากลูกไปชี้แนะหรือสั่งสอน ย่อมเกิดเป็นโทษได้ การประพฤติเช่นนี้เรียกว่า อกตัญญู
  

1341.
กราบนมัสการดร. คะ

   ดิฉันสวดมนต์เที่ยงคืน ทำวัตรเย็นแล้วก็สวดมนต์หนังสือหลวงพ่อจรัสต่อ แล้วต่อด้วยชินบัญชร อีก 10 จบ ต่อมาก็ฝึกจิตนั่งสมาธิสักระยะหนึ่งมันมีภาพบ้านเก่าๆหลายหลังแล้ว เห็นภาพชายแก่มีฐานะ สักพักมีแสงผ่านเข้าตาวาวจ้ามาก ขณะนั้นดิฉันตกใจมาก แล้วกำหนดจิตให้นิ่ง แล้วก็แผ่เมตตาตอนแผ่เมตตาดิฉันรู้สึกตัวลอยขึ้นแล้วขนลุกทั้งตัวแล้วตัวชาหายใจไม่ค่อยออก แล้วก็พยายามแผ่เมตตามันเหนื่อยมากปากมันไม่ขยับ แล้วดิฉันก็พยายามแผ่เมตาจนจบแล้วค่อยลืมตาขึ้นมา ดิฉันลืมตาไม่ได้ แล้วก็ตั้งจิตแล้วค่อยลืมตาขึ้นมาแล้วรู้สึกเหนื่อยมากๆๆ ลุกไม่ขึ้นแล้วหายใจแทบไม่ทันอาการเหมือนคนที่ออกกำลังกายมากๆๆแล้วหายใจไม่ทันเกือบจะเป็นลม ทำไมถึงเป็นแบบนี้คะ แล้วเราจะกำหนดจิตอย่างไรเมื่อรู้สึกว่าตัวลอยขึ้นจากที่เรานั่งอยู่

    ท่านอาจารย์ดร.เจ้าค่ะ ช่วยให้หนูได้เห็นทางออกด้วยเถอะเจ้าค่ะ

กราบนมัสขอบพระคุณอย่างสูงเจ้าคะ

คำตอบ
   การเปลี่ยนสภาวะจิตที่สงบ มาเป็นจิตที่ปรุงอารมณ์แบบทันทีทันใด ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในปริมาณที่มากในห้วงเวลาอันสั้น ย่อมทำให้ร่างกายสร้างพลังงานปริมาณมากขึ้นมาไม่ทัน อาการเหนื่อยคล้ายจะเป็นลมจึงได้เกิดขึ้น ฉะนั้นการเปลี่ยนสภาวะของจิตที่สงบ มาเป็นจิตที่ปรุงอารมณ์ ต้องให้เวลาแก่ร่างกายได้ปรับตัวชั่วระยะหนึ่ง แล้วปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น

เมื่อใดรู้สึกว่าตัวลอย ผลนั้นเนื่องจากกำลังของสมาธิเป็นเหตุ เป็นการใช้สมาธิผิดธรรม จึงต้องกำหนดว่า “ ลอยหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอาการรู้สึกตัวลอยดับไป แล้วใช้จิตที่มีกำลังสมาธิไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงจะเรียกว่าเป็นการใช้สมาธิถูกธรรม (สัมมาสมาธิ)
  

1340.
ก่อนอื่นขอกราบสวัสดี อ.สนอง วรอุไร...ผมขออนุญาต เรียกว่า..คุณพ่อนะครับ
   ผมเป็นคนนึงที่ได้มีโอกาสฟังธรรมะจากคุณพ่อโดยบังเอิญในอินเตอร์เนต ผ่านรายการ ทไวไลท์โชว์
และหลังจากนั้นก็ติดตามฟังธรรมบรรยายใน www.youtube.com ซึ่งมีอยู่มากมาย และหลังจากนั้นก็ได้ติดตาม
อ่านในนิตยสาร secret จนมาถึงหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คหลายเล่มของคุณพ่อ ซึ่งพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์
ลูกดีใจเหลือเกินที่มีโอกาสได้ ดู อ่าน ฟังธรรมจากคุณพ่อซึ่งมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามธรรม
และสอนได้อย่างเข้าถึง ถูกตรง และกินใจ ลูกมักจะปลื้มปิติเกือบทุกครั้งที่ได้มีโอกาสฟังธรรมของคุณพ่อ
บางทีน้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความปิติ ลูกมีความสุขมากครับที่ได้ฟังธรรม

    แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือลูกพยายามปฎิบัติตามธรรมที่คุณพ่อสั่งสอน ถึงแม้ลูกจะออกนอกลู่นอกทางบ้าง
แต่ลูกก็ยังคงมีคำสอนของคุณพ่อและครูบาอาจารย์หลายๆ ท่านคอยเตือนสติ

   ต้องขออภัยคุณพ่อที่อธิบายมายืดยาว...
คำถาม ตัวลูกเองนั้นเป็นเกย์.. นี่คงจะเป็นผลจากการกระทำของลูกในอดีต แต่ลูกเองก็ยินดีและยอมรับในผลกรรมนั้น
ลูกเคยเสียใจผิดหวังมาบ้างแต่ลูกก็มองชีวิตในแง่บวกเสมอ และไม่ได้มองว่าชีวิตตัวเองติดลบ เพราะยังมีสิ่งดีดีที่ลูกเลือกทำได้อีกมากมาย และตัวลูกเองนั้นก็พยายามตั้งอยู่ในศีล 5 ถึงแม้อาจจะเคยพิดพลาดไปบ้าง

   ในเวลาอีกไม่นาน... ลูกนี้ก็จะต้องบวชซึ่งคุณพ่อของลูกเคยขอให้บวชมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ลูกเรียนจบ แต่ลูกก็ผลัดผ่อนมาเรื่อยด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งแน่นอนลูกพอทราบว่าในการบวชนั้นต้องมีการขานนาค และในพระธรรมวินัยนั้นมีกฎระเบียบอย่างไร
แต่ทีนี้ถึงอย่างไรลูกก็คงต้องบวช เพราะถ้าลูกต้องบอกคุณพ่อของลูกว่าลูกเป็นเกย์ลูกก็กลัวว่าท่านจะเสียใจและรับไม่ได้
ยิ่งถ้าอ้างเหตุผลและกฎระเบียบในการบวชด้วยแล้ว ก็กลัวว่าจะยิ่งไปกันใหญ่ ลูกควรจะทำอย่างไรดีครับ...

   อีกอย่างนึงคุณพ่อ คุณย่า ท่านอยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูก เปรียบเสมือนลูกได้ทดแทนพระคุณท่าน และมารดา

   ถ้าสมมุติลูกบวชเข้าไปแล้ว... จะมีผลอย่างไรบ้าง... ลูกควรทำอย่างไร.. เพราะลูกก็ไม่อยากสร้างวิบากที่ไม่ดีให้กับตัวเองและผู้อื่น ...

   และอีกอย่างนึง คนที่เป็นแบบลูกจะมีโอกาสได้ปัญญาเห็นแจ้งเหมือนคุณพ่อมั้ยครับ...
ความเป็นโสดาบันหรืออริยบุคคลจะเกิดขึ้นกับคนที่เป็นเกย์บ้างมั้ยครับ...

ลูกรบกวนคุณพ่อช่วยตอบคำถามด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณ คุณพ่อ ดร.สนอง วรอุไร เป็นอย่างสูงครับ

สุดท้ายขออวยพรให้ธรรมะคุ้มครองคุณพ่อและครอบครับ.. รวมถึงผู้สนทนาธรรม ผู้ฟังธรรมของคุณพ่อทุกท่าน
จงมีแต่ความสุขความเจริญตลอดจนเข้าสู่พระนิพพานเทอญ...สาธุ

คำตอบ
  ในภาษาไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มิได้บัญญัติคำว่า “ ปิติ ” ขึ้นมาใช้สื่อความหมาย แต่พุทธศาสนาเรียกสภาวะของจิตที่เป็นความปลาบปลื้มใจ อิ่มใจ ว่า “ ปิติ ”

   อนึ่ง ผู้ใดเชื่อว่า กฎแห่งกรรมมีจริง และยอมรับความจริงในเหตุผลที่ตนทำได้ เรียกผู้มีศรัทธาเช่นนี้ว่า เป็นผู้ที่เจริญได้ในวันข้างหน้า จิตของสัตว์บุคคลที่มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในชาติปัจจุบัน ไม่มีใครสักคนที่ไม่เคยประพฤติผิดพลาด แต่ผู้มีสติปัญญาเห็นถูก ใช้ความผิดพลาดมาเป็นครูสอนใจ และไม่ประพฤติให้ผิดซ้ำอีกต่อไป จึงใช้ความผิดพลาดเป็นบันไดก้าวสู่ความเป็นอริยบุคคลได้

   เรื่องที่ผู้ถามปัญหาเขียนปรึกษาไป ผู้รู้แก้ปัญหานี้ ด้วยการใช้สถานะของการเป็นฆราวาส ปฏิบัติธรรมจนสามารถพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง จนทำให้จิตเป็นอิสระจากพฤติกรรมดังกล่าวได้แล้ว จึงจะเปลี่ยนจากเพศฆราวาสไปอยู่ในเพศของภิกษุ ซึ่งดีกว่าการเริ่มต้นที่ไม่บริสุทธิ์ แล้วมาปฏิบัติธรรมภายหลัง ย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ ดังนั้นเมื่อคุณพ่อ คุณย่า อยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูกของหลาน จงรับปากกับท่านว่า จะบวชให้ แต่ขอเลือกเวลาที่เหมาะสมด้วยตนเอง

   อดีตโสเภณีแห่งแคว้นวัชชีที่ชื่อว่า อัมพปาลี เลิกประกอบอาชีพทุศีลอย่างเด็ดขาด แล้วมาบวชเป็นภิกษุณีปฏิบัติธรรมจนจิตบรรลุอรหัตตผลได้ สิริมาโสเภณี แห่งแคว้นมคธ เลิกประกอบอาชีพทุศีลอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาปฏิบัติธรรม จนจิตบรรลุโสดาปัตติผลได้ในขณะที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ สตรีเพศทั้งสองยังทำให้ดูเป็นตัวอย่างดีได้ ประสาอะไรกับผู้ถามปัญหาผู้บุรุษเพศจะทำไม่ได้ล่ะ ขอเพียงให้มีศรัทธามั่นคงอยู่กับพระรัตนตรัย และมีศีล ๕ ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุณธรรมดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ผู้ประพฤติมีศีล มีสัจจะ มีความเพียร เป็นแรงสนับสนุน จึงสามารถพัฒนาจิตให้เป็นอริยบุคคลได้ จริงแท้แน่นอน ... สู้ ... สู้ ... สู้
  

1339.
เรียนอ.ดร.สนองที่เคารพ
 
มีพี่ที่รู้จักชวนไปงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทางจิตงานหนึ่ง (ซึ่งอ.ดร.บรรจบได้ไปบรรยายที่งานด้วย) และชวนผมพบพระรูปหนึ่ง ที่เชื่อว่าท่านดูวิบากกรมได้ ผมไม่เคยไปพบพระลักษณะนี้มาก่อน   แต่ด้วยความเกรงใจจึงไม่กล้าขัด เมื่อพบแล้วท่านทักเกี่ยวกับวิบากกรรมของผมในอดีตชาติ และแนะนำว่าต้องทำสังฆทานตามที่จำนวนที่ท่านแนะนำ ด้วยจำนวนเงินเกือบสองหมื่นบาท และต้องสร้างพระประจำวันเกิด ด้วยจำนวนเงินสามหมื่นกว่าบาท ที่สำนักสงฆ์ของท่าน และต้องบวชอย่างน้อยหนึ่งพรรษา เพื่อแก้ไขวิบากกรรมที่เจ้ากรรมนายเวรตามมา พระท่านบอกว่าผมโดนเจ้ากรรมนายเวรเล่นงานแบบเบาๆมาประมาณสามสี่ปีแล้ว และจะกำลังหนักขึ้นเรื่อยๆ
 
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการแก้กรรม แต่เชื่อว่าธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม และเชื่อมั่นในการทำความดี แต่เมื่อโดนทักเข้าตรงๆ ตามประสาผู้ที่เป็นปุถุชนและยังไม่เห็นธรรม จิตใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ และพี่ที่แนะนำไปก็บอกว่าท่านแนะนำอะไรให้ทำไปก่อน   แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าควรทำเช่นนั้นหรือไม่ จึงกราบเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ ดร.สนองด้วยครับ

กราบขอบพระคุณมากครับ   

คำตอบ
   พระรูปนั้นที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าให้ฟัง เป็นสมมุติสงฆ์ที่ยังประพฤติละเมิดวินัยของพระพุทธะ ยังประพฤติดิรัจฉานวิชา คือใช้ความรู้ที่ขวางต่อทางพระนิพพาน มาทำนายทายทักชีวิตของบุคคลอื่น ซึ่งพระสุปฏิปันโนหรือพระอริยสงฆ์ไม่ประพฤติกัน ดังนั้นผู้ถามปัญหาจะศรัทธาเลื่อมในในภิกษุประเภทนี้หรือไม่ เป็นสิทธิ์ของผู้ถามปัญหา แต่ผู้รู้เชื่อใน “ กฎแห่งกรรม ” และเชื่อว่า “ ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม ” นั้นเป็นจริงแท้แน่นอน
  

1338.
เรียนท่านอาจารย์สนองที่นับถือ

อาจารย์เคยเล่าถึงร่างทรงที่ดูดวงแม่น แต่ไม่สามารถทำนายดวงชะตาของอาจารย์ได้ถูก แต่ปุถุชนธรรมดาอย่างดิฉันที่กำลังเริ่มเดินทางโดยยังไปไม่ถึงไหน จะต้องเป็นไปตามคำทำนายหรือไม่คะ ตอนนี้ใจดิฉันสับสนมาก เพราะแฟนบอกว่าพ่อปู่ (ร่างทรง)ที่เชียงใหม่ ทายแม่นมาก (เค้าทำนายแม่นเหมือนตาเห็นจริงๆ) ที่ดิฉันร้อนใจเพราะ พ่อปู่ทำนายว่าดิฉันกับแฟนไม่ใช่เนื้อคู่กัน เป็นเพียงกัลยาณมิตรแฟนจะได้เจอเนื้อคู่ตัวจริงเมื่อเค้าอายุครบ 47 ( เดือน มกราคม 2553) ซึ่งลักษณะและอายุไม่ใช่ดิฉันแน่ๆ

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. ทำไมพ่อปู่ถึงทำนายได้เหมือนตาเห็นล่ะค่ะ เค้ามีอมนุษย์มาใช้ร่างจริงๆหรือคะ ถึงได้รู้เรื่องที่เป็นความลับของดิฉันได้ ทั้งที่แฟนก็ไม่รู้

2. พ่อปู่บอกว่าแฟนจะต้องแต่งงานกับเนื้อคู่ที่จะเจออีกไม่กี่เดือนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะเป็นจริงหรือไม่คะ    แล้วดิฉันควรจะทำยังไง ต้องออกมาจากชีวิตเค้าก่อนจะเสียใจไปมากกว่านี้หรือเปล่าคะ

3. เนื้อคู่มีจริงๆหรือคะ (หมายถึงเนื้อคู่ที่มีกรรมผูกพันกันมา และจะได้ร่วมชีวิตกันในชาติปัจจุบันนี้แน่ๆ)      ดิฉันนึกว่าเกิดจากเหตุปัจจัยที่ร่วมกันทำในปัจจุบันเสียอีก

ขอบพระคุณที่อาจารย์เมตตาสงสารดิฉันและเพื่อนมนุษย์ทุกคนเสมอมา

ป.ล.ดิฉันอาจจะคิดมากวิตกจริตไปก่อน แต่ถ้าเค้าไม่ทายเรื่องอื่นแม่น ดิฉันคงไม่ร้อนใจขนาดนี้ค่ะ

ด้วยความนับถืออาจารย์อย่างสูง

จันทร์นภัส

คำตอบ
   (๑). ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้ เมื่อถอยจิตออกจากความทรงฌาน ผู้นั้นสามารถรู้ความเป็นไปของชีวิตบุคคลผู้เป็นปุถุชนได้ หรือผู้ใดยินยอมให้จิตวิญญาณอื่น มาใช้ร่างกายของตนกระทำกรรม (เข้าทรง) จิตวิญญาณที่มาอาศัยร่างทรง ย่อมรู้ความเป็นไปของชีวิตบุคคลผู้เป็นปุถุชนได้ โดยใช้ร่างนั้นสื่อให้รู้ด้วยการแสดงออกทางวาจาได้

  (๒). มีโอกาสเป็นจริงได้ หากคนที่ถูกเรียกว่าแฟน ยังปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปตามยถากรรม และมีโอกาสไม่เป็นจริง หากคนที่ถูกเรียกว่าแฟนได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงอริยธรรม เช่นเดียวกับคนไม่ฉลาด ย่อมแสวงหาที่พึ่งอันเป็นกำพร้า คือไม่มีอยู่จริงในวันข้างหน้า ผู้รู้จริงแสวงหาสิ่งที่ไม่กำพร้ามาเป็นเพื่อน มาเป็นที่พึ่ง คือธรรมะในพุทธศาสนา ใครผู้ใดมีธรรมะเป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งแล้ว ชีวิตย่อมพบแต่ความสวัสดีทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า ... แน่นอน

  อนึ่ง พระพุทธะตรัส ว่า “ บุคคลมีมนุษย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ ” ผู้ถามปัญหาจะผูกมัดตัวเองให้หมดอิสรภาพแบบไหน เลือกผูกเอาตามที่ชอบ

  (๓). เป็นจริง สำหรับผู้ปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปตามยถากรรม แต่ ไม่เป็นจริง สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่สามารถทวนกระแสของกรรมได้

   ร้อยปากที่คนอื่นพูด ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับการกระทำของตนเอง จริงไหมครับ
  

1337.
เรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง

ผมขออนุญาตเรียนถามคำถามท่าน ดังต่อไปนี้ครับ
ผมทำงานบริษัท และได้รับโอกาสให้ไปเรียนงานจากหน่วยงานอื่นโดยมีสัญญาผูกมัดว่า เมื่อเรียนงานเสร็จแล้ว จะต้องกลับมาทำงานที่ต้นสังกัดเป็นเวลาเท่าที่เรียน ขณะนี้เรียนงานเสร็จแล้วและทำงานให้หน่วยงานเก่า
แต่ว่าก็มีหัวหน้างานฝ่ายใหม่เสนอจะดึงตัวไปทำงานให้เขา โดยให้งานมอบหมายที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามการจะย้ายไปต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าของบริษัท ซึ่งท่านเจ้าของก็เห็นควรว่าเป็นโอกาสที่ดีกว่าสำหรับผม
( แต่ผมก็ทราบดีว่าหัวหน้าคนที่ส่งตัวผมไปเรียนคงจะเสียใจและผิดหวังในการตัดสินในของผม)

1. หากเจ้าของบริษัทอนุญาตแล้ว อย่างนี้ ผมจะเข้าข่ายอกตัญญูหรือไม่ครับ ?แม้ผมเรียนงานมาแล้ว แต่ไม่ได้ทำงานแผนกเดิมแต่ก็ยังทำงานให้บริษัทเดียวกันอยู่

2. ท่านโปรดช่วยแนะแนวทางดำเนินชีวิตให้ผมด้วยครับในใจผมอยากที่จะไปทำงานใหม่ แต่ลึกๆในใจก็มีข้อแย้งว่าทำไมเราถึงเป็นคนอกตัญญู และควรทำงานชดใช้เขาซะในชาตินี้ดีกว่าไปใช้ชาติต่อๆไป ผมคิดอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ ?

ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
    (๑). คำว่า “ ต้นสังกัด ” หมายถึง สังกัดเดิม ในที่นี้คือบริษัทเดิม การย้ายไปทำงานอยู่ในแผนกอื่น จึงไม่ถือว่าเป็นความอกตัญญู

   (๒). การรับเงื่อนไขและปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่รับได้ ถือว่าเป็นการประพฤติตรงและจริงใจ (ซื่อสัตย์) เมื่อใดที่ปฏิบัติได้ครบถ้วนถูกตรงตามเงื่อนไขแล้ว จะย้ายไปทำงานในที่แห่งใหม่ที่ไม่ใช่บริษัทเดิม ไม่ถือว่าเป็นความอกตัญญู แต่ควรจะบอกกล่าวหน่วยงานเดิมล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมตัวรับคนใหม่เข้ามาทำงานแทน และงานก็จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
  

1336.
อาจารย์คะ

หนูสงสัย ใจมีอยู่รึป่าวคะ หรือเป็นสิ่งสมมติ
 
ซันนี่

คำตอบ
    ใจมีอยู่จริง เป็นสมมุติบัญญัติ เป็นพลังงานที่มีความถี่คลื่นเล็กที่สุด ที่ระบบประสาท หรือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจวัดได้ ผู้ใดประสงค์จะพิสูจน์ว่าใจมีอยู่จริง ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุด ที่เรียกว่าเป็นสมาธิระดับฌาน แล้วถอยจิตออกจากฌาน ทิพพจักขุย่อมสัมผัสได้กับการมีอยู่จริงของใจ

ปัญหามีอยู่ว่า ได้ชี้ทางให้แล้ว ผู้ถามปัญหาจะพิสูจน์สัจจธรรมนี้ไหม ?
   

1335.
กราบเรียนคุณพ่อที่รักและเคารพ
 
   หนูอยากทราบว่าการรักษาจิตใจโดยใช้การสะกดจิต เพื่อเป็นการแก้ไขจิตใต้สำนึกของเราในเรื่องที่ฝังใจ   เช่นบิล บัณลือฤทธิ์ กลัวเข็มมากก็รักษาให้หายกลัวได้  

   อยากเรียนถามคุณพ่อว่ารักษาได้จริงไหม เพราะหนูไปลงทะเบียนรักษามา 1 ครั้ง   แล้วครั้งต่อไปก็จะนัดอีก   ก็เลยอยากรู้ว่าเป็นวิธีรักษาที่ถูกต้องและตรงจุดหรือไม่ (รักษาแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย) แต่ที่สำคัญเค๊าบอกให้เลิกสวดมนต์ นั่งสมาธิก่อนในช่วงที่รักษา   แต่หนูก็ใช้ธรรมมะรักษาใจตัวเอง มา 2 ปี กว่าแล้ว ไม่อยากเลิกปฏิบัติธรรรมซักวันค่ะ เพราะรู้สึกชีวิตอยู่ได้ด้วยธรรมมะ   ถึงแม้ว่าทุกข์จะยังมีอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ  

   ปีหน้าหนูจะเรียนต่อปริญญาโทเกี่ยว่กับธรรมะและปฏิบัติธรรมคู่ไปด้วย เพราะหนูวางแผนชีวิตว่าอยากรับใช้พระพุทธศาสนาค่ะ  ( จำเป็นหรือไม่ค่ะ) อยากให้ทุกคนมีธรรมมะในหัวใจจะได้พ้นทุกข์ร่วมกัน
 

   ทุกวันนี้หมั่นทำบุญให้มากขึ้น สวดมนต์ เจริญสติ ใส่บาตร ทำสังฆทาน ฟังธรรมเนื่องๆ   และที่ภูมิใจที่สุดได้จัดงานฟังบรรยายธรรมขึ้นร่วมกับสามีเร็ว ๆ นี้ค่ะ   โดยเรียนเชิญคุณพ่อเป็นหนึ่งในองค์บรรยายนั้นด้วย วันที่ 24 มกราคม 2553 ที่อาคารวงศ์ชาญศิลป์ (บางลำพู)

   อนาคตคิดอยากจะเปิดสถานปฏิบัติธรรมเป็นศูนย์รวมให้คนมาปฏิบัติ ฟังธรรม   ขอบารมีคุณพ่อช่วยส่งให้หนูและสามีได้มีโอกาสรับใช้พระพุทธศาสนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยนะคะ

คำตอบ
    วิธีรักษาโรคด้วยการสะกดจิต เป็นวิธีการที่ถูกของผู้ที่นำมาใช้ แต่ไม่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธโคดม ที่สอนให้ปฏิบัติสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา จนมีสติมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้น แล้วความกลัวในสิ่งใดๆย่อมไม่มี

   ผู้ใดประสงค์ให้เกิดผลจากการปฏิบัติธรรมก้าวหน้ารวดเร็ว ควรนำตัวเข้าปฏิบัติกรรมฐาน โดยไม่จำเป็นต้องสร้างสัญญาที่เป็นอวิชชาให้เกิดความเศร้าหมองขึ้นกับใจ หากประพฤติได้เช่นนี้แล้ว การเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติธรรม ย่อมเกิดได้ง่าย

   สาธุ ที่ผู้ถามปัญหามีความเห็นถูกด้วยหมั่นทำบุญอยู่เสมอ เพราะบุญเป็นที่พึ่งดีทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า รวมทั้งยังเป็นสะพานส่งถึงพระนิพพานได้ และความคิดที่จะสร้างสถานปฏิบัติธรรมเป็นดำริของผู้มีความเห็นถูก
.... สาธุ จงสำเร็จ
  

1334.
กราบเรียนอาจารย์ สนอง วรอุไร ที่เคารพยิ่งครับ

        ผมมีปัญหาจะถามอาจารย์ครับ
1 ผมได้ฝึกนั้งสมาธิด้วยตนเองทุกวัน ตั้งใจว่าจะทำทุกวัน(เว้นวันที่ไม่สะดวก)ตลอดชีวิต การไม่มีครูอาจารย์ช่วย จะมีโอกาศมีดวงตาเห็นธรรมหรือเปล่าครับ เพราะงานที่ทำอยู่ไม่มีโอกาศเข้าฝึกอบรมปฏิบัติธรรมเลยครับ

2 สมาธิระดับ ขณิกสมาธิ อุปปจารสมาธิ อัปนาสมาธิ มีอาการอย่างไรที่บอกได้ว่านั้นคือสมาธิระดับนั้นครับ และ การเอาชีวิตเข้าแลกกับความปวดเมื่อย แต่เคยได้ยินบางคนทำแล้วขาชา อาจารย์ ช่วยชี้แนะด้วยครับ

3 จะสร้างเหตุอะไร ให้ได้เกิดในศาสนาพุทธอีกครับ


สุดท้ายนี้ขออำนาจ คุณ พระศรีรัตนไตร จนปกปักรักษา อ.สนอง และทีมงามกัลยาณธรรม ให้ปราศจากสิ่งขัดขวางต่อการสร้างบามี ขอบคุณด้วยใจครับ

คำตอบ
    (๑). ข้อความที่เขียนไว้ในวงเล็บ เขียนโดยคนที่ไม่มีสัจจะ เพราะตั้งใจว่าจะทำทุกวันแล้วไม่ทำตามที่ตั้งใจ อย่างนี้สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ ฉะนั้นพึงกำหนดความตั้งใจ (อธิษฐาน) เสียใหม่ว่า จะทำให้ได้มากเท่าที่โอกาสเปิดให้ทำอย่างนี้ ไม่เสียสัจจะ แล้วการปฏิบัติธรรมย่อมเข้าถึงมรรคผลได้ง่าย

อนึ่ง งานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน หากไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม และมีสติอยู่กับงานที่ทำ มีปัญญาเห็นถูกตรงอยู่กับงานที่ทำ การเข้าถึงดวงตาเห็นธรรม จึงจะมีโอกาสเกิดได้

  (๒). ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา แล้วทำให้จิตสงบเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว เรียกว่า ขณิกสมาธิ ปฏิบัติสมถภาวนาแล้วทำให้จิตสงบเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ เรียกว่า อุปจารสมาธิ และปฏิบัติสมถภาวนาแล้วทำให้จิตเข้าถึงสมาธิแน่วแน่ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ สมาธิทั้งสามระดับนั้น จะรู้เห็น เข้าใจได้อย่างถ่องแท้กับผู้ปฏิบัติธรรม และมีสภาวะของจิตเป็นเช่นดังที่กล่าว

   อนึ่ง จะพัฒนาจิตให้อยู่เหนือความปวดเมื่อยได้ ต้องมีสภาวะของจิตเป็นอย่างน้อยอุปจารสมาธิ แล้วความจริงในสัจจธรรมดังกล่าว จึงจะเกิดขึ้นได้

   (๓). ผู้ใดปรารถนาเกิดมาเป็นชาวพุทธ ต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรงสามอย่างคือ สร้างมหาทาน อธิษฐานเกิดอีกเป็นชาวพุทธ และทำเหตุให้ถูกตรงคือ ประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจ เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาย่อมเกิดเป็นจริงได้
  

1333.
เรียน   ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร
 
   หนูได้รู้จักอาจารย์จากหนังสือสุขอย่างยิ่งเมื่อจิตเป็นอิสระ   ได้ค้นประวัติของอาจารย์ทำให้ได้รู้จักชมรมกัลยาณธรรม และได้เป็นสมาชิกของชมรมได้ไปร่วมงานของขมรมหลายครั้ง และก็จะไปร่วมงานอีกค่ะ หนูมีทุกข์ที่จะขอความสว่างทางปัญญาอีกแล้วค่ะ

   หัวหน้างานมักจะไม่มอบหมายงานให้เป็นกิจลักษณะ และระเบียบการขึ้นเงินเดือนใหม่ของข้าราชการ ต้องให้บันทึกการทำงานที่ได้รับมอบหมายเพื่อเป็นหลักฐานการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน   ทำให้หนูไม่มีงานที่ได้รับมอบหมายทำและบันทึกที่เป็นกิจลักษณะ ได้แต่บันทึกสิ่งที่ทำ หนูรู้สึกร้อนใจเกิดความขุ่นเคืองบ่อย ๆ แล้วก็อึดอัด   เวลาทำงานจะรู้สึกว่างมาก ๆ   

หนูควรทำอย่างไรดีคะ ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะ

 
ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งค่ะ

คำตอบ
   ผู้ใดรอคำสั่งจากหัวหน้างาน แล้วจึงปฏิบัติงานได้ ผู้นั้นด้อยศักยภาพ ตรงกันข้าม ผู้ใดปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยไม่ต้องรอรับคำสั่งจากหัวหน้างาน ผู้นั้นมีศักยภาพ เช่นเดียวกันในการปฏิบัติธรรม ครูสอนกรรมฐานที่ดี ย่อมไม่สอนกรรมฐานแก่ศิษย์ หากศิษย์มีปัญหาแล้วนำตัวเข้าหาพร้อมกับไต่ถามถึงข้อติดขัด ครูจะแนะนำให้ ศิษย์เช่นนี้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ ผู้ด้อยศักยภาพมีเวลาว่างมาก แต่ผู้มีศักยภาพหาเวลาว่างได้ยาก ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องย้อนกลับมาดูตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกต้อง
  

1332.
 กราบสวัสดีท่านอาจารย์สนองค่ะ

   นี่เป็นจดหมายฉบับที่ 2 ที่ได้เขียนมาดีใจมากที่ได้รับคำตอบจากอาจารย์ในจดหมายฉบับแรกค่ะ   ขอบพระคุณมากค่ะ   เมื่อ   22  พฤศจิกายน   2552  เป็นครั้งแรกที่ได้ไปร่วมงานของชมรมกัลยาณธรรมที่   ม. ธรรมศาสตร์   และเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้เห็นท่านอาจารย์บนเวที   ครั้งแรก คืองานของหลวงปู่ที่ลุมพินีวันที่ผ่านมา   ดีใจและอิ่มเอมใจที่ได้พบอาจารย์มากค่ะบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกเลยค่ะถึงแม้จะไม่ได้เจอกันใกล้ ๆ    ประทับใจกับหัวข้อบรรยาย   ลงทุนข้ามชาติมากค่ะเพราะตรงประเด็นที่สุด   ช่วงสุดท้ายท่านอาจารย์กรุณาแบ่งบุญให้กับผู้ร่วมปฎิบัติธรรมต้องขอบอกว่าตื้นตันจนน้ำตาคลอเลยค่ะ          

มีเรื่องจะรบกวนอาจารย์นิดหน่อยค่ะ      คืออยากจะถามว่าถ้าเราทำงานไม่มีความสุขเพราะในที่ทำงานเราต้องพบกับคนที่เราคิดว่าเอาเปรียบเรา ไม่จริงใจ ไม่มีน้ำใจ เป็นต้น เราควรจะปรับความคิดของเราอย่างไรดีค่ะ   เราจึงจะทำงานอย่างมีความสุขและสนุกสนาน ทั้ง ๆ ที่อ่านหนังสือของท่านอาจารย์มาคิดว่าเข้าใจดีแล้วแต่พอถึงเวลาปฏิบัติจริง ๆ มันทำใจยากค่ะ   เพราะต้องยอมรับว่าตัวเองยังมีกิเลสอยู่

    สุดท้ายนี้ขออวยพรให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปเพื่อที่จะได้ทำภารกิจที่ท่านอาจารย์ได้ตั้งใจไว้ค่ะ

คำตอบ
    ผู้ใดประสงค์อยู่กับโลก หรืออยู่กับการทำงานให้กับสังคมอย่างมีความสุข ต้องพัฒนาตัวเองให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว จะเห็นว่า การทำงานเป็นการเรียนรู้ตน เรียนรู้วิธีการทำงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับชีวิต ผู้มีปัญญาเห็นถูกเห็นว่า ใครประพฤติเบียดเบียนเรา เป็นเรื่องดี เพราะเรามีสิ่งดีให้เขาเบียดเบียน ตรงกันข้ามหากเราไปเบียดเบียนใคร แสดงว่าเราเป็นคนพร่อง เป็นคนขาดแคลน เป็นคนไม่มีน้ำใจ จึงต้องประพฤติเบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนสังคม เบียดเบียนประเทศชาติ ฯลฯ เมื่ออายุขัยจบสิ้นลง พลังแห่งการประพฤติเบียดเบียน (บาป) ย่อมผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปสู่ภพภูมิต่ำ ที่ตาเนื้อมองไม่เห็น แต่ตาใน (ทิพพจักขุ) สัมผัสได้

   ฉะนั้น บุคคลผู้หวังความเจริญของชีวิต พึงหมั่นฝึกจิตให้มีกำลังสติ และปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้นได้เมื่อใดแล้ว จึงจะอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุข อยู่กับการทำงานอย่างมีความสุข
   

1331.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ
 
1. การทำบุญเพื่ออุทิศให้กับผู้ที่เราต้องการให้นั้น เช่นบิดา มารดา เป็นต้น
มักอุทิศเผื่อไปให้กับผู้อื่น เช่น สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น ด้วยเสมอ
เป็นการสมควรหรือไม่คะ หรือเมื่อถงวาระที่จะทำบุญแบบเจาะจงก็ต้องเจาะจง จึงจะเป็นการสมควร
 
2. หากท่านอ.มีข้อตักเตือนใด ก็ขอให้เมตตาตักเตือนชี้แนะดิฉันด้วยนะคะ

 
ขอขอบพระคุณในความกรุณาที่ท่านอาจารย์ เสียสละเวลาในการตอบปัญหา และชี้แนะแนวทางแก่ดิฉันเป็นอย่างสูงนะคะ
และขออนุโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายที่ท่านอาจารย์ได้สร้างสมไว้ดีแล้วคะ
 
ปุถุชนคนหนึ่ง   

คำตอบ
    (๑). เมื่อผู้ถามปัญหาต้องการให้ ต้องถามว่าผู้รับต้องการไหม หากผู้รับ อาทิ บิดามารดา อยู่ในวิสัยที่มารับบุญได้และเขามาอนุโมทนาบุญ ความสำเร็จในการอุทิศบุญย่อมเกิดขึ้น จะอุทิศบุญแบบเจาะจงหรืออุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์ ย่อมทำได้ตามใจปรารถนาของผู้อุทิศ

   (๒). การทำบุญมีให้เลือกทำได้สิบอย่าง ได้แก่ บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งความดีให้ผู้อื่น ยินดีในความดีของผู้อื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม ทำความเห็นให้ถูกตรง

   อนึ่ง การเจริญจิตตภาวนา (ปฏิบัติธรรม) เป็นบุญใหญ่สุด เพราะสมถภาวนามีอานิสงส์ให้เข้าถึงเป็นสหายกับหมู่พรหมได้ และวิปัสสนาภาวนามีอานิสงส์ให้เข้าถึงนิพพานได้
  

1330.
เรียนอาจารย์สนอง ที่นับถือ
 
ผมเข้าไปอ่าน ศึกษา คำถาม คำตอบ ในแว็บกัลยาธรรมอยู่เสมอ
ใคร่ขอเรียนถาม และขอการชี้แนะจากอาจารย์ดังนี้ครับ

    เมื่อก่อนผมชอบทำบุญ ในลักษณะถวายสังฆทานเกือบทุกเดือน และบริจาคโรงศพ ทุกปี อย่างน้อยปีละครั้ง มาในช่วง 2-3 ปีนี้ รายได้ไม่มี ต้องจำกัดเงินในการใช้จ่าย จึงลดการถวายสังฆทานและบริจาคโรงศพ แต่ยังสวดมนต์และนั่งสมาธิอยู่ทุกวัน ในใจก็คิดอยู่บ้างว่า ได้ทำบุญมามาก แต่ทุกวันนี้ทำไมยังพบกับความลำบากอยู่ (แต่จากการศึกษาจาก แว็บของอาจารย์ ก็รู้ตัว และปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนจากการทำบุญ) มาเมื่อไม่นานมานี้ ได้อ่านจากแว็บแห่งหนึ่ง ว่า บางครั้ง เจ้ากรรมนายเวรของเรา ที่อาฆาต ไม่ยอมอโหสิกรรมให้ ก็จะตามเบียดเบียนอยู่ ซึ่งการที่เราอุทิศบุญให้เขา ทำให้เขามีบารมีเพิ่มมากขึ้น ตามเบียดเบียนเราหนักขึ้น แต่เทวดาผู้รักษากลับไม่ได้รับส่วนบุญ เพราะเราไม่ได้อุทิศให้ท่าน
 
ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นเช่นไรครับ

 
นับถือ
พิศิษฏ์  

คำตอบ
    ผู้ใดประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ได้แล้ว ความประพฤติทั้งสิบรูปแบบนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งบุญ และบุญที่มีอานิสงส์สูงสุด ได้แก่บุญที่เกิดจากประพฤติจิตตภาวนา (ปฏิบัติธรรม) ซึ่งผู้ใดทำบุญโดยไม่หวังผลตอบกลับคืนมา ผู้นั้นได้บุญเต็มร้อย เมื่อผู้มีบุญได้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ให้กับผู้มีอุปการคุณ รวมถึงเทวดาที่คุ้มรักษา และเขาเหล่านั้นมาอนุโมทนาบุญได้ ผลแห่งการอุทิศบุญย่อมเกิดขึ้น

   อนึ่ง การถวายสังฆทาน การบริจาคโลงศพ เป็นบุญที่ให้อานิสงส์น้อยกว่าการปฏิบัติธรรม หากมีหนี้เวรกรรมมาก การอุทิศบุญที่มีอานิสงส์น้อยเช่นนี้ ทำให้หนี้เวรกรรมหมดไปได้ยาก
  

1329.
กราบ สวัสดีอาจารย์ สนอง

ก่อนอื่น ขอขอบคุณ อาจารย์ ค่ะที่ท่านยอมเสียสละทั้งแรงกาย และแรงใจ เพื่อช่วยชี้แนะทางที่ถูก ให้กับเพื่อนมนุษย์

วันนี้ดิฉัน อยากเรียน ถามขอความรู้อ.ค่ะ คือ ดิฉันเป็นพนักงานในระดับบริหารขององค์กรแห่งหนึ่ง ส-อ จะเป็น อ.พิเศษ สอน นศ.มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง แต่เทอมที่ผ่านมา ปรากฎว่า มี นศ.กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 5-6 คน มาร้องเรียน หัวหน้าภาคฯ เรื่องเกรด นศ แจ้งว่า ดิฉันไม่มีความเป็นธรรม ให้เกรด เขา D เลยทำให้เขาพลาด เกีรตินิยม 1 และเมื่อไปเรียนวิชาอื่น ที่เกียวข้อง ก็มักจะพูดพาดพิง ไปในทางที่ไม่ดี ว่าไม่ได้สอน สอนไม่รู้เรื่อง

เมื่อได้ยินครั้งแรกดิฉัน รู้สึก เสียใจ ที่ เป็นเพราะ เราหรือไม่ที่ทำให้เขาไม่สมความปราถนา , โกรธ ที่ ทุกครั้งที่เราสอน ก็พยามทำเต็มที่เสมอ และ พยายามหาสิ่งใหม่ๆ มาประกอบ และเพิ่มเติมภาคปฎิบัติด้วย แต่กลับได้รับการตำหนิในเรื่องที่ไม่จริงเลย และท้อแท้ ค่ะ เพราะที่ไปสอน ส่วนหนึ่งตั้งใจว่าจะ นำความรู้ที่เรียนมาสอนและทำประโยชน์

ปัจจุบัน ดิฉันมีความคิดที่อยากจะเลิกสอน เพราะรู้สึกเบื่อกับวัฒนธรรมการศึกษาบ้านเราที่มุ่งเน้น แต่ให้เด็กแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันจะลืมประโยชน์ที่จะได้รับจริงๆ จากการศึกษา วิชาการสอนก็มุ่งเน้นแต่เอาใจตลาด เนื้อหาการสอน มีการพูดถึงคุณธรรมและจริยธรรมบ้างแต่ก็น้อย ยิ่งมหาวิทยาลัยออกนอกระบบด้วยทุกอย่างมุ่งแต่หารายได้

ดิฉันอยากได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์จริงๆค่ะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูง
อ.พิเศษค่ะ

คำตอบ
    ใครจะพูดอย่างไรเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ความเป็นจริงอยู่ที่การกระทำของเรา ในครั้งพุทธกาล จิณจมานวิกา แสร้งทำเป็นท้องโต มากล่าวตู่พระพุทธเจ้าต่อหน้าหมู่ภิกษุ ว่าเป็นพ่อของเด็กในท้อง พระพุทธะมิได้หวั่นไหว เพียงแต่ตรัสกับนางจิณจมานวิกา ในทำนองที่ว่า “ น้องหญิง เรื่องนี้เรารู้กันเพียงสองคน คนอื่นเขาไม่รู้ด้วย ” ในที่สุดเดือดร้อนถึงเทวดาต้องลงมาช่วยทำให้เชือกที่ผูกกับไม้ที่รัดหน้าท้องขาดออก แล้วหล่นลงมา ความจริงจึงปรากฏ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาได้ตระหนักชัดว่า งานสอนตนเอง ได้ทำดีที่สุดแล้ว และมีจิตไม่เป็นอคติแล้ว ไม่ควรเอาคำกล่าวตู่มารบกวนใจให้ขุ่นมัว เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของโลกว่า คนที่มีไอคิวสูง ย่อมมีความเห็นแก่ตัว (ego) สูงตามไปด้วย

  อนึ่ง พระพุทธะเป็นผู้รู้จริง มิได้สอนพุทธบริษัทให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรมมาแก้ปัญหา ปัญหาจึงจะหมดไปได้จริง
  

1328.
กราบเรียนท่านอาจารย์ สนอง ที่เคารพ

เวลานั่งเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจนเราไม่รู้สึกว่ามีลมหายใจ แล้วเราจะพิจารณาตอนไหนคะ เพราะพอคลายจากสมาธิแล้ว เราเหมือนรู้สึกว่าพอแล้ว ไม่อยากนั่งต่อแล้ว

รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ
หนูนา

คำตอบ
   ผู้เห็นถูก จะยกเอาความรู้สึกว่าไม่มีลมหายใจ ขึ้นมาพิจารณาด้วยจิตสงบ จนเห็นว่าความรู้สึกไม่มีลมหายใจดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดความรู้สึกไม่มีลมหายใจ เข้าสู่ความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแท้จริงได้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งในความรู้สึกไม่มีลมหายใจย่อมเกิดขึ้น ตรงกันข้ามผู้มีความเห็นผิด ย่อมพอใจในการมีจิตสงบ (สมาธิ) ที่ตนเข้าถึง นี่แหละครับที่เรียกว่า คนหลงลึก ได้แก่พรหมที่เป็นปุถุชนได้แสดงเป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว
  

1327.
ผมได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากทางเวป กัลยาณธรรม จึงอยากขอคำแนะนำในการ ฝึกจิต

   ผมเป็น เพียงลูก ชาวไร่ ชาวนา การศึกษาน้อย มีโอกาสได้ มาแสวงโชคในเมืองหลวง
ตั้งแต่อายุ ๑๕    ดำรงชีพ ด้วยการเป็นช่าง ในบริษัท ต่างๆ จนประสบความสำเร็จ ในอาชีพ
ด้วยการที่มี บริษัท ของตัว เอง แต่ในขณะที่กิจการ กำลังจะไปด้วยดี ก็ต้องถูกเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกับหักหลัง ตอนนั้นผมเอง ก็มีความรู้สึก เครียด แค้น แต่ยังโชคดี ที่ในตอนนั้น ผมเองได้มีโอกาส ได้ไปจัด รายการวิทยุ ชุมชนแห่งหนึ่ง ถึงจะไม่ได้ เงินเดือนอะไร แต่ได้รู้สึกว่า งานที่ทำในขณะนั้น มีส่วน ทำให้ได้ สร้างบุญ เพราะทางสถานี มีโครงการ จัดทัวร์ธรรมะ   ทำให้ผมได้เข้าใจ สัจจะธรรม บางอย่าง ว่าการที่ได้ทำอะไร ที่เป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวม มันมีความสุข อย่างบอกไม่ถูก    และในขณะปัจจุบันนี้ ผมอายุได้ ๓๗ ยังคงแสวงหา ครูบาอาจารย์ที่จะสอนสั่ง ในเรื่องการฝึกจิต ให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะในเวลานี้ ผมไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอะไร   ไม่ปราถนาการสรรเสริญใดๆ หวังแต่เพียงว่า ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ จะสามารถตอบแทน คุณแผ่นดิน คุณบิดา มารดา ผู้มีพระคุณ ได้อย่างไร

        ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูง

คำตอบ
  ผู้ถามปัญหาจะพบอาจารย์สั่งสอนในเรื่องการฝึกจิต ทำไมไม่ลองอธิษฐานขอพบอาจารย์แล้วฝากตัวเป็นศิษย์ หรือไม่ก็ลองไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หากสู้ไม่ถอย เอาชีวิตเข้าแลกธรรมของพระพุทธะ ได้ธรรมะแน่นอน
   

1326.
กราบเรียนท่านอาจารย์ สนอง ที่เคารพ
 
      ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสั้น ๆ ก่อนครับ ตอนนี้ผมอายุ 40 ปี จบป.ตรี ที่ ม.เกษตรฯ เช่นเดียวกับท่านอาจารย์ครับ ผมมีเรื่องที่อยากเรียนท่านอาจารย์ เพื่อขอคำแนะนำครับ
 
     1. ตัวผมตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ชอบสวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นประจำ ตอนที่เป็นเด็กช่วงเรียนประถม 2-3 เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ จากภายในครอบครัว ( เพราะว่าคุณพ่อ คุณแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน) ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ผมก็จะเดินไปที่วัด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมจะเดินไปดูวัด แต่ไม่ได้เข้าไปหรอกนะครับ อยู่แคตรงหน้าวัดเท่านั้น ได้แต่ ยืนมองอยู่ที่หน้าวัด พอให้รู้สึกสบายใจแล้วก็จะเดินกลับมาบ้าน   ซึ่งเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เมื่อโตขึ้นมานิดนึงประมาณมัธยมต้น ก็จะฝึกนั่งสมาธิ จะฝึกตามที่อ่านจากในหนังสือบ้าง และฝึกตามแนวของวัดพระธรรมกายด้วย ( สมัยเด็กนะครับ) ทำให้จิตมันสงบ และรู้สึกทุกข์จากปัญหาครอบครัวน้อยลง ผมมีความทุกข์มาก จนคิดอยากตายหลายครั้ง อยากจะไป ทำเรื่องที่ไม่ดี เช่น ไปติดยาเสพติด หรือคิดอยากจะไม่เรียนหนังสือ   แต่เพราะอะไรก็ไม่ทราบครับ เวลาที่จะคิดทำเอง เหล่านั้น ในใจมันก็จะคิดขึ้นมาได้ทุกทีว่าอย่าทำเลย มันไม่ดี เหมือนกับจะมีอะไรบางอย่างมาดลใจว่าอย่าไปทำอย่างนั้น ชีวิตมันจะเสียหาย ผมก็เลยไม่คิดสั้น และทำอะไรที่ทำลายอนาคตตัวเองตรับ ผมอดทนตั้งใจเรียนมาจนจบ แลสอบเข้า เรียนต่อได้ แต่ปัญหาครอบครัวที่ผมเล่าให้อาจารย์ฟังตอนต้นก็ยังไม่จบครับ มันแย่มากมาตลอด ส่วนนึงอาจเป็นเพราะ ครอบครัวเรายากจน ที่บ้านมีลูกหลายคน ลืมบอกอาจารย์ว่าผมเป็นคนโตด้วยครับ จึงทำให้รับแรงกดดันมาก เพราะรู้สึก ว่าตัวเองเป็นที่ระบายอารมณ์ของผู้ใหญ่ เหตุการณ์ที่ผมเล่าให้ท่านอาจารย์ฟังนี้ เป็นกรรมเก่าของผมใช่ไหมครับ  
 
   2. คือว่าตอนนี้แม้ว่าคุณพ่อ คุณแม่ท่านจะมีอายุมากแล้ว 60-70  กว่าแล้ว แต่ท่านทั้งสองก็ยังมีปากเสียงกัน อยู่ ถึงตอนนี้อาจจะไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็สงสารท่านไม่อยากให้ท่านเป็นแบบนั้น จะมีวิธีไหนช่วยท่านได้บ้างครับ
 
   3. จากปัญหาภายในครอบครัวทำให้ น้องชายต้องป่วยมีอาการทางจิต มาเป็นเวลา 20 ปีกว่าแล้ว เข้าออกโรงพยาบาล อยู่ตลอด ก็ไม่หาย ผมพยายามที่จะบอกให้น้องชายสวดมนต์ ทำสมาธิ เผื่อบุญกุศลจะได้ช่วยเขา แต่เขาก็ไม่ฟัง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทางบ้านหนักใจมาก คุณพ่อผมท่านก็อายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะดูแลน้องชายได้อีกนานแค่ไหน คือตัวน้องชาย เขาก็ดูเหมือนจะไม่พยายามที่จะเข้าใจตัวเอง และช่วยตัวเองให้ดีขึ้นเลย ทางบ้านทุกคนก็หนักใจ เพราะไปรักษาตัวพอจะดีขึ้น เขาก็ไม่ทานยา บังคับเขาก้ไม่ได้ เขาก็จะใช้กำลังทำร้าย และด่าว่าหยาบคาย ผมยอมรับว่าผมก็เหลืออด หลายครั้ง แต่ก็สงสารเขา เวลานั่งสมาธิก็จะอุทิศบุญกุศลให้ไปช่วยเขา อยากให้เขาหายจากโรคนี้   ผมจะช่วยน้องชายผมได้อย่างไรครับ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลจะช่วยเขาได้ไหมครับ
 
   4. ปัญหาต่อนี้เป็นปัญหาของผมครับ ช่วงปีนี้ชีวิตผมแย่ครับ จริง ๆ แล้วมันเป็นมาประมาณได้ 2 ปีแล้วครับ คือผมเปลี่ยนงาน 3 ครั้งแล้วครับในปีนี้ ครั้งล่าสุดผมต้องออกจากงานเพราะความไม่ยุติธรรมของหัวหน้างาน และเจ้าของบริษัท ผมเพิ่งย้ายเข้าไป ทำงานได้หนึ่งเดือนในตำแหน่งผู้ช่วย ผู้จัดการ ผมเข้าไปทำงานในช่วงแรก ๆ ก็มองเห็นว่าที่บริษัทแห่งนี้มีปัญหาความขัดแย้งกัน ภายในค่อนข้างรุนแรง รวมถึงปัญหากับลูกค้าด้วย และผมก็มองออกว่าทั้งนี้เพราะการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพของหัวหน้า ผมเอง ซึ่งตรงนี้เองทำให้ผมเข้าใจว่า ผมจะต้องเข้ามาช่วยหัวหน้าคนนี้ ทำให้ผมทุ่มเททำงานอย่างหนักให้กับองค์กร ไปทำงาน ตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้า กลับบ้านสามทุ่มบ้าง สี่ทุ่มบ้าง จนลูกค้าและผู้บริหารพอใจในการทำงานของผม ต่อมาหัวหน้าผมกลับไม่พอใจ และไปแจ้งเจ้าของบริษัทให้ปรับผังองค์กรใหม่ โดยการผลักภาระปัญหางานที่มีอยู่มาที่ผมทั้งหมด ซึ่งผมมองว่ามันไม่ยุติธรรม แม้ว่าจะพยายามเจรจากับเขาแล้ว แต่หัวหน้ากับเจ้าของบริษัท พวกเขาก็ไม่มีใครเห็นใจผมเลย ทำให้ผมไม่สามารถทนทำงาน ต่อไปได้ จึงลาออกจากบริษัทมาได้สองเดือนแล้วครับ   เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมอย่างนี้มันเป็นเพราะอะไรครับอาจารย์   แล้วผมควรจะ ทำใจอย่างไร ตอนนี้ผมพยายามคิดให้อภัยพวกเขาที่มาทำร้ายชีวิตการทำงานของผมแบบนี้ ผมอยู่ที่บ้านก็จะไหว้พระสวดมนต์ ตามแนวพระอาจารย์จรัญ (เอาหนังสือมาสวดตามครับ) ทำไมชีวิตผมถึงมีกรรมเยอะจังเลยครับ มันจะดีขึ้นใช่ไหมครับท่านอาจารย์ คือผมเป็นห่วงครอบครัว และลูกสาวซึ่งตอนนี้อายุได้ขวบกับอีกสามเดือนแล้วครับ ท่านอาจารย์แนะนำผมด้วยนะครับ
 
   5. คำถามสุดท้ายแล้วครับ ผมมีนิสัยชอบทำบุญ ให้ทาน มาโดยตลอด เมื่อก่อนเวลาทำบุญก็จะขอให้มีความสุข การงานเจริญ รุ่งเรือง ชีวิตประสบความสำเร็จ แต่มาทราบว่าการทำบุญ เราควรจะทำดดยไม่หวังผลตอบแทนจึงจะมีอานิสงค์มากกว่า ถ้าเช่นนั้น
ต่อไปเวลาผมจะทำบุญ ผมจะไม่อธิษฐานขออะไรอีก อย่างนี้จะถูกต้องใช่ไหมครับ

 
สุดท้ายนี้หวังว่าท่านอาจารย์จะได้เมตตาชี้แนะแนวทางและตอบคำถามให้ผมด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณมากครับ
 
ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
ศิษย์คนหนึ่ง

คำตอบ
   (๑). เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ผู้ถามปัญหา เอาใจของตนเองไปเห็นดีด้วย ที่บุคคลทั้งสองกำลังโต้แย้งโต้เถียงกันในอดีต

   (๒). จะช่วยท่านได้ ต่อเมื่อบุคคลทั้งสองเกิดความศรัทธาในตัวลูก และยินดีรับฟังคำแนะนำแล้วปฏิบัติตาม คือ การให้อภัยเป็นทานต่อทุกอย่างที่เป็นเหตุขัดใจได้แล้ว ความมีเมตตาย่อมเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในดวงจิตของผู้ให้อภัย เมตตาเป็นคุณธรรมที่ให้ผลเป็นความสงบเย็นของจิต เป็นคุณสมบัติประจำใจของสัตว์ในพรหมโลก ตรงกันข้าม การทะเลาะเบาะแว้ง เป็นผลของโทสะบันดาลให้เกิดขึ้น เมื่อใดที่ถึงวาระที่จิตทิ้งร่างไปเกิดใหม่ โอกาสลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิจึงเกิดขึ้นได้

   (๓). อานิสงค์ของบาป แสดงออกเป็นความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจเป็นธรรมดา ขณะที่บาปยังให้ผลอยู่ ผู้ทำเหตุไม่ดีไว้ก่อน ต้องชดใช้หนี้บาปจนกว่าจะหมดสิ้น ฉะนั้นการไปแนะนำสิ่งดีใดๆให้เขาประพฤติ ในห้วงที่ยังต้องเสวยอกุศลวิบากอยู่ ย่อมไม่เกิดผลสัมฤทธิ์

   ผู้ถามปัญหามีจิตเป็นกุศลคิดช่วยเหลือน้องชาย ซึ่งจะช่วยได้ต้องทำบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เกิดขึ้น แล้วอุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของน้องชาย หากเขายังรับบุญที่อุทิศแล้วยกเลิกการจองเวร อาการเจ็บป่วยของน้องชายจึงจะมีโอกาสหายได้

   (๔). ปัญหาที่ต้องลาออกจากงาน เหตุเป็นเพราะผู้ถามปัญหามีความเห็นผิด หากปรับความเห็นให้เป็นตรงข้าม แล้วลองพิจารณาสาระคำพูดที่ยกมาแสดงเหล่านี้ว่า เป็นความจริงหรือไม่

     ๑. อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด

     ๒. ทัศนคติในการทำงานที่ถูกต้อง คือ
      - ทำงานเพื่อเรียนรู้คน เพื่อเรียนรู้วิธีทำงาน
      - ทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคม
      - ทำงานเพื่อสั่งสมประสบการณ์ให้กับชีวิต
      - ทำงานเพื่องาน
        ฯลฯ

    ๓. ความอดทน (ขันติ) เป็นคุณธรรมที่ผู้ใดประพฤติได้แล้ว ย่อมทำให้เกิดเป็นบารมี ผู้ที่บรรลุสิ่งดีงามสูงสุด ล้วนเป็นผู้มีความอดทนสนับสนุน
      - ทนต่อความยากลำบากในงานที่ทำ
      - ทนต่อความตรากตรำที่ต้องทำงานยาวนาน (๗โมงเช้า ถึง ๓,๔ ทุ่ม)
      - ทนต่อความเจ็บใจ

    ๔. แบกภาระงานทั้งหมด
      - ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะตัวเองมีศักยภาพในการทำงานสูงกว่าคนอื่น
      - ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่า ตราบใดที่ลมหายใจยังเข้า-ยังออกอยู่ โอกาสให้ชีวิตได้เรียนรู้งาน ได้เรียนรู้คน ยังเปิดให้ทำได้
      - ผู้มีความเห็นถูก จะไม่หนีปัญหา จะไม่ชิงลาออกจากงาน แบบที่คนเห็นแก่ตัวเขาทำกัน

  (๕.) นิสัยชอบทำบุญเป็นเรื่องดี และจะดียิ่งขึ้น หากผู้ถามปัญหาทำบุญใหญ่ด้วยการปฏิบัติธรรม (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) เมื่อใดเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว จะไม่ปฏิเสธคุณธรรมที่เป็นบ่อเกิดแห่งบารมีที่เรียกว่า “ อธิษฐาน ” บุคคลผู้หวังความสำเร็จได้อย่างถูกตรง อาทิ สุมิตตา (ยโสธรา) ลูกสาวอำมาตย์แห่งเมืองหงสวดี (ปชาบดี) ,อุปติสสะ (พระสารีบุตร) ,ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ฯลฯ ล้วนต่างอธิษฐานมาแล้วทุกคน
   

1325.

กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันทราบว่า การประกอบอาชีพควรเลือกอาชีพที่เป็นสัมมาทิฐิ แล้วหากดิฉันมีบ้านเช่าดิฉันต้องเลือกให้คนที่จะมาเช่าทำธุรกิจที่มีสัมมาทิฐิด้วยหรือไม่ หรือการประกอบอาชีพของเค้าไม่เกี่ยวกับเราคะ เพราะมีคนมาติดต่อขอทำร้านเกมส์บ้าง คลีนิครักษาสัตว์บ้าง โดยสวนตัวดิฉันเกรงว่าเราซึ่งเป็นเจ้าของบ้านจะได้รับผลกรรมนั้นไปด้วย จึงขอกราบเรียนถามและขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์เพื่อให้การดำเนินชีวิตไม่ผิดศีลผิดธรรมค่ะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ  

คำตอบ
   ความเห็น (ทิฏฐิ) ของผู้ให้เช่าบ้านกับผู้เช่าบ้าน หากตรงกัน ย่อมเข้ากันได้ แต่จะเข้ากันได้ด้วยบุญ หรือเข้ากันได้ด้วยบาปนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้ร่วมกระบวนกรรมด้วยกัน หากประสงค์ร่วมกระบวนกรรมที่เป็นบุญ ผู้ใดเลือกผู้มาเช่าบ้าน ทำกิจกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม บุญเท่านั้นย่อมเกิดขึ้นกับผู้ให้เช่าบ้าน
   

1324.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ สนอง วรอุไร ที่เคารพ

  กระผมได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ 2 ครั้ง ไม่รวมที่รับฟังจากสื่อธรรมะต่าง ๆ อีกหลายครั้งด้วยกัน มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมและเรื่องทั่วไปดังต่อไปนี้

   1. ในการปฏิบัติสมถกรรมฐาน   เคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่าอย่าไปกำหนด แต่ให้มีจิตจดจ่ออยู่กับองค์ภาวนานั้น (ปกติใช้ ยุบหนอ-พองหนอ) ซึ่งผมก็ทำตามโดยพยายามมีสมาธิรับความรู้สึกขณะที่หน้าท้อขยับ ยุบ-พอง ในขณะที่ทำได้ ก็รู้สึกว่าคุณภาพของสติจะดีกว่าการบริกรรมในใจไปด้วย   แต่จะคงสติตั้งมั่นไว้ได้ไม่นาน (จิตจะฟุ้งเพ่นพ่านไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว)   ต่างจากการบริกรรมไปด้วย ที่คุณภาพของสติอาจไม่มากเท่า แต่สามารถคุมจิตไว้ได้นานกว่า   ท่านอาจารย์คิดว่าสิ่งนี้เกิดขั้นเนื่องจากสาเหตุใด แล้วผมควรจะปฏิบัติกรรมฐานแบบไหนมากกว่ากัน (ผมยังอยู่ในระดับเริ่มต้น แต่ก็รู้พื้นฐานอยู่บ้างเนื่องจากเคยเข้าอบรมกรรมฐานในสมัยเรียน) ?

   2. กรรมฐานแบบใดที่เป็นอันตราย (อาจทำให้ผุ้ปฏิบัติผิดวิธีวิกลจริตได้) จากความเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ ของผม คิดว่าน่าจะเป็นเฉพาะ วิปัสนากรรมฐานเท่านั้น แต่สมถกรรมฐานที่ปฏิบัติกันเพื่อให้มีจิตตั้งมั่นนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ซับซ้อนพอที่จะทำให้คนวิกลจริตได้ นี่เป็นความเข้าใจที่ถูกหรือไม่ครับ ?

   3. ผมได้ศึกษาแนวคิดการบรรลุแบบเฉียบพลันของท่านเว่ยหลาง รู้สึกว่าสอดคล้องกับการบรรลุธรรมโดยโยนิโสมนัสิการในสมัยพุทธกาล ท่านอาจารย์เห็นว่าคนในยุคปัจจุบันสามารถนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการเข้าถึงธรรม (เมื่อมีพลังสติแกร่งกล้าพอ) ได้หรือไม่ ?

   4. สิ่งที่เกิดขึ้นกับ คน ๆ หนึ่งทางพุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นวิบากกรรม ที่เกิดมาจากสิ่งที่จิตของบุคคลนั้นเคยก่อมาแต่อดีตกาล แล้วจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า สิ่งที่คนผู้หนึ่งได้รับผลกระทบ อาจไม่ใช่วิบากจากกรรมเก่าที่เขาได้เคยก่อเอาไว้ แต่เป็นกรรมใหม่ เอี่ยม ที่เข้ามากระทบในลักษณะ ธรรมจากภายนอก จากโจทก์หรือจำเลยใหม่ที่นำมาสู่เราทางใดทางหนึ่ง ในเมื่อสรรพสิ่งล้วนมีจุดเริ่มต้น กรรมใหม่ ๆ ก็น่าจะเกิดขึ้นมาได้ตลอดเวลาเช่นกัน

   5. การทำดีกับคนไม่ขึ้น เป็นวิบากจากกรรมที่เคยก่อขึ้นมาในรูปแบบใด ? ควรแก้ไข (ในระดับจิต) อย่างไร ?

สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาบุญที่ท่านอาจารย์ได้ข่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้มากด้วยกิเลสที่ยังวนเวียนในวัฏฏะสงสาร และขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยตอบคำถาม คลายข้อสงสัยของกระผมมา ณ ที่นี้ด้วย

คำตอบ
   (๑). คำว่า “ กำหนด ” หรือ “ มีจิตจดจ่อ ” เขียนไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน คือเอาจิตไประลึกรู้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบันขณะ เช่นระลึกรู้อยู่กับผนังหน้าท้องที่กำลังพอง-ยุบ โดยจิตไม่เคลื่อนออกไปรับสิ่งกระทบอื่นเข้าปรุงอารมณ์ อย่างนี้เรียกว่า มีจิตจ่อ มีจิตกำหนด มีจิตระลึกรู้ ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน

   อนึ่งนั่งแล้ว เอาจิตจดจ่ออยู่กับอาการพอง-ยุบของผนังหน้าท้อง ที่พองยุบเล็กน้อย ผู้ฝึกใหม่มักจะกำหนดได้ยาก จึงควรเปลี่ยนไปเดินจงกรม ซึ่งเป็นอิริยาบถที่ใหญ่กว่า ทำให้จิตจดจ่อได้ง่ายกว่า ดังนั้นควรนั่งภาวนาและเดินจงกรมสลับกัน แล้วจะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้มากขึ้น ในฐานที่ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์การฝึกจิตมาก่อน ท่านเจ้าคุณโชดกสอนให้ฝึกจิตในทุกอิริยาบถที่จิตยังทำงานได้ คือ อิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด ดู ฟัง ฯลฯ ผลแห่งการปฏิบัติธรรมจึงเข้าถึงสมาธิสูงสุดได้ง่าย

   (๒). กรรมฐานที่นิยมนำมาใช้พัฒนาจิต (กรรมฐาน ๔๐) ไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในระดับต้นแล้ว จิตไปรับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ดีเข้าปรุงอารมณ์ แล้วไม่สามารถกำจัดอารมณ์ที่ไม่ดีให้หมดไปได้ นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นอันตรายกับจิต ท่านเจ้าคุณโชดกได้สอนว่า หากจิตเห็นอะไรที่น่ากลัว ให้ลืมตาดูให้ชัด นี่คือวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นมิให้จิตเกิดวิกลจริต อันเนื่องมาจากปฏิบัติธรรมผิดวิธี

   (๓). ใครผู้ใดมีจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) สามารถใช้จิตพิจารณาธรรม (โยนิโสมนสิการ) แล้วสามารถเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมตามแบบของท่านเว่ยหล่างได้

   (๔). ผู้ใดเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว คำว่า “ อาจจะ ” “ บังเอิญ ” “ ความน่าจะเป็น ” จะไม่เกิดขึ้นกับจิตของผู้นั้น จะเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุผล เหตุไม่ดีนำสู่การเกิดเป็นผลไม่ดี และเหตุดีนำสู่การเกิดผลดีแน่นอน ดังนั้น คำว่า “ อดีต ” หมายถึง สัตว์บุคคลได้ทำเหตุให้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อชาติที่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อชั่วโมงที่แล้ว เมื่อวินาทีที่แล้ว ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่าเป็นกรรมเก่าทั้งสิ้น ส่วนกรรมใหม่หมายถึง กรรมที่กำลังกระทำอยู่เป็นปัจจุบันขณะ ฉะนั้นทุกขณะตื่น สัตว์บุคคลย่อมทำกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นได้ในทุกขณะจิต

   (๕). ทำความดีไม่ขึ้น เป็นความคิดที่เกิดขึ้นจากผู้มีความเห็นผิด อกุศลวิบาก (บาป) จึงเป็นผลให้ผู้เห็นผิดต้องรับ ผู้ใดทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คิดอยู่เสมอว่า ทำความดีเพื่อความดี ความคิดเช่นนี้เป็นบุญ เป็นทัศนคติที่เกิดขึ้นจากผู้มีความเห็นถูก ดังนั้นผู้ใดหวังความเจริญในวันข้างหน้า ต้องปรับความเห็นผิดให้กลับมาเป็นความเห็นถูก
  

1323.

  ที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า อาชีพผู้พิพากษาเป็นอาชีพผิดธรรม อยากทราบว่าผิดธรรมอย่างไรครับ และการตัดสินคดีเป็นการเข้าไปอยู่ความขัดแย้งของสองฝ่าย ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจองเวณแล้วจะเป็นกรรมไม่ดีนั้น ผมอยากถามว่าถ้าเหลีกเลี่ยงพยามไม่ตัดสินคดีอาญา แต่ไปตัดสินคดีแพ่งแทน กล่าวคือคดีที่ตัดสินเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง และตัดสินให้ฝ่ายหนี่งฝ่ายใดชนะ แ ล้วอีกฝ่ายไม่พอใจจะเป็นผูกเวร หรือไม่จะเป็นกรรมที่ไม่ดีหรือไม่    ถ้าเราแก้ไขโดยตัดสินคดีโดยปราศจากอคติ ๔ แล้วจะช่วยไม่ให้กรรมไม่ดีเข้าตัวหรือไม่ครับ เพราะผมกำลังสอบผู้พิพากษาซึ่งผมกลับตัวไปทำอาชีพอย่างอื่นไม่ได้แล้
  
คำตอบ
   บุคคลสองคนหรือกลุ่มบุคคลสองฝ่ายผูกเวรกันได้ แล้วใครผู้ใดเข้าร่วมในกระบวนกรรมของเขา บุญย่อมเกิดขึ้นผู้ที่ถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายถูก และบาปย่อมเกิดขึ้นจากการถูกจองเวร ของผู้ที่ถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายผิด ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่ง ต้องได้รับอานิสงค์นี้เหมือนกัน จะต่างกันที่เป็นคุณหรือเป็นโทษทางอาญาหรือทางแพ่งเท่านั้น

   อนึ่ง ผู้ใดตัดสินคดีได้ถูกตรงตามเหตุที่เป็นจริง และผิดกฎหมายของสังคม โทษย่อมไม่เกิดขึ้นกับผู้ตัดสิน ตรงกันข้าม หากตัดสินคดีถูกตรงตามหลักฐานที่เป็นเท็จ โทษย่อมเกิดขึ้นกับผู้ตัดสิน แม้จะตัดสินด้วยการเว้นจากอคติแล้วก็ตาม
  

1322.
สวัสดีครับคุณพ่อสนอง

ช่วงนี้อากาศเย็นแล้ว คุณพ่อต้องรักษาสุขภาพร่างกายนะครับ

หลังจากที่ไม่ได้ส่งเมล์มาหาคุณพ่อนานแล้ว วันนี้ครับผมกลับมาเขียนเมล์หาคุณพ่ออีกครั้งหนึ่ง
อาม่าผมได้เสียไปแล้วครับเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่าน ท่ามกลางความโศกเศร้าของผมและลูกหลานทุกคน

คุณพ่อครับเขาบอกว่าภายใน 7 วันวิญญาณของคนตายจะมาหาญาติพี่น้องใช่ไหมครับ อาม่าผมก็มาครับแต่มาเป็นความฝัน และเข้าฝันพี่ชายของผม ซึ่งผมเองดูแลท่านมาตลอด ยามช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน แต่นะ อาม่าดันไปเข้าฝันพี่ชายผมซะนี่ ออมตัดพ้ออยู่นิดๆ
พี่ชายผมตื่นตอนแปดโมงเช้าของคืนงานศพวันสุดท้ายคือวัน ที่ 7 พี่ชายเข้ามาห้องนอนผมด้วยท่าทางตื่นเต้น ดวงตาแดงกร่ำเหมือนคนร้องไห้ แล้วเรียกผมว่า ออมตื่นๆ เมื่อคืนกูฝันเห็นม่า ม่ามาหากู
แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่า ทุกอย่างเหมือนคืนวันแรกที่ศพมาที่บ้านตอน ห้าโมงเย็นทุกคนมาไหว้ศพม่าเป็นครั้งสุดท้าย ม่าถูกแต่งกายด้วยชุดถือศีล แกสั่งก่อนตาย แล้วพี่ชายผมก็นั่งเอามือไปโอบคอม่าไว้ เพราะม่าอ้าปากค้าง มันนั่งร้องไห้ข้างๆม่า จากนั้นมันก็บอกว่าม่าลืมตา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกาย สว่างมากแล้วม่าก็หลับ เสียงม่าแหบแห้ง แล้วบอกกับพี่ชายผมว่า เทิง(ชื่อพี่ชายผมครับ)ม่าดีใจนะ ม่าดีใจมาก เสียงของม่าสั่นพร่า พีมันบอกนะครับ แล้วม่าก็บอกว่าอย่าเอา ผ้า หรือพ่ออะไรเนี่ยละครับออกจากตัวม่าสักอย่างครับ พี่ชายผมบอกว่าไม่ได้ยินถนัด จากนั้นมันก็ตื่นเต้นถามผมว่า รู้ไหมคนที่ม่าถามถึงสุดท้ายคือใคร มึงไง ม่าถามถึงมึงด้วยว่า ออมละ ออมอยูไหน บอกออมนะว่าทำบุญให้มากๆ

เท่านั้นละครับคุณพ่อ ผมร้องไห้ ร้องออกมาไม่อายใครเลย ผมพูดกับพี่ชายว่า เห็นไหมกูว่าแล้วม่าต้องไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้าแล้ว ม่าไม่ลืมผม ม่าไม่เคยลืมผมเลย ทุกวันที่ผมอยู่กับม่าตั้งแต่วันสงกรานต์ที่ม่ามาอยู่ที่บ้าน จนกรทั่งวันสุดท้ายที่ม่าเข้าโรงพยาบาล ผมดูแลม่าตลอด ไม่เคยบ่น อาบน้ำ เปลี่ยนผ้า เช็ดปัสสาวะและอุจจาระ ไม่เคยนึกรังเกียจเพราะม่าดูแลผมมาตั้งแต่เด็กๆหลังจากพ่อกับแม่เลิกกัน

คุณพ่อครับ อาม่าผมไปเป็นนางฟ้านางสวรรค์จิงๆใช่ไหมครับ นับจากวันนั้มาคือวันที่ 23 กันยายา ผมก็นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะได้

ม่าไปแล้ว ผมเคยพูดเล่นๆกับม่าว่า ให้ม่าไปก่อนแล้วเด๋วผมจตามไปเที่ยวทีหลัง วันนี้ไม่มีอาม่าแล้ว แต่ผมไม่เคยลืมความดีและคำสอนของม่าเลย อีกทั้งดีใจครับที่ผมได้สืบทอดธรรมะทายาทจากม่าผม ลูกหลานม่ามีผมคนเดียวนี่ละครับ ที่ชอบธรรมะธรรมโม และผมจะสร้างความดีอย่างนี้ตลอดไป จนกว่าผมจะทิ้งกายนีไปสู่อีกภพหนึ่ง

ด้วยรักและเคารพ
หลานออม

คำตอบ
   ชาวฟ้า ชาวสวรรค์ มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนได้ง่ายกว่าสัตว์ในอบายภูมิ ดังนั้นสิ่งที่อาม่ามาบอก ผู้ใดทำตามที่อาม่าสั่งได้ นั่นแหละเป็นสิ่งดี ผู้รู้เชื่อแล้วทำตาม
  

1321.
กราบท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

   กระผมได้นั่งเจริญสติครั้นสิ่งใดมากระทบก็กำหนดตาม จากแรกเริ่มที่จับจังหวะท้องพองยุบไม่ได้ก็เริ่มได้ ซึ่งได้ปฎิบัติเช่นนี้มาได้สักระยะโดยเริ่มจาก 5 นาที บ้างแล้วค่อยๆเพิ่ม จนปัจจุบันโดยประมาณอยู่ที่ครึ่งชั่วโมง แต่ครั้งล่าสุดอยู่ที่หนึ่งชั่วโมง และขณะนั่งก็เกิดสิ่งมากระทบต่างๆกันไป เช่นมีอาการตัวสั่นบ้าง กลืนน้ำลายบ้าง อยากไอบ้าง ตัวเอนบ้าง จนช่วงหลังอาการที่เด่นชัดคือ ปวดเมื่อยซึ่งจะเกิดที่ขาขวาเท่านั้น ซึ่งครั้งหลังๆ จะเกิดมากบางทีก็เกิดขึ้นช่วงแรก บ้างก็นั่งไปได้สักพัก โดยครั้งล่าสุดนี้กระผมได้นั่งไปโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง (ตั้งนาฬิกาปลุกไว้) ระหว่างนั้นปวดมากน้อยเป็นจังหวะ บางทีมันก็หายไปซะงั้น แต่ขณะที่ปวดมีเสียงดัง (เสียงรอบข้าง) กระผมจึงต้องกำหนดได้ยินหนอไป จึงจะมากำหนดปวดหนอต่อ ระหว่างนั้นก็มีแสงแวบๆ ไม่ก็วูบไปมา แต่กระผมก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็กำหนดตามให้รู้ถึงทุกอย่างที่มากระทบเท่าที่จะทำได้ แต่ใจมันคำนึงถึงแต่อาการปวดประกอบกับคิดว่าเมื่อไหร่มันจะครบกำหนดเสียที ซึ่งกระผมคิดตลอดว่าถ้ามันหายปวดแล้วมันจะสุขจริงแบบที่ท่านอาจารย์บอกไหม แต่ระหว่างนั้นมันปวดมากจนคิดแต่จะให้คนอื่นช่วย แต่สักพักก็ไม่ดีขึ้น จนผมคิดได้ว่าสุดท้ายเราคงต้องพึ่งตัวเอง และก็คิดว่าถ้าจะตายก็ตายไปเลย สุดท้ายก็ไม่ตายครับอาจารย์ แต่มีอาการหงุดหงิด เหมือนเมื่อครั้งแรกเริ่มปฎิบัติที่เวลามีเสียงดังขึ้นหลายๆเสียงพร้อมกัน ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะหงุดหงิดทำไม สักระยะอาการปวดก็ทุเลาเบาบางลง ใกล้ๆกับระยะเวลาที่จะครบกำหนด ความรู้สึกที่จับได้คือมันเหมือนมีลมวิ่งจากปลายเท้ามาที่หัวเข่าข้างขวาที่ปวดในขณะที่นั่งอยู่ครับ ซึ่งก็ครบระยะเวลาที่กำหนดไว้พอดี กระผมจึงลองกำหนดยืนดูพบว่า อาการปวดก็มีเพียงเล็กน้อย แต่ในใจผมรู้สึกว่าเหมือนไม่เคยปวดขาเลยครับ ซึ่งกระผมเองไม่รู้สึกว่าทุกข์หรือสุข รู้สึกเพียงอย่างเดียวครับว่าแล้วจะยังไงต่อไป จากนั้นผมก็แผ่เมตตา แล้วก็ออกจากการเจริญสติ

   กระผมจึงเกิดคำถามที่อยากจะขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์ดังนี้

1. ทำไมกระผมไม่เห็นมีนิมิตแบบคนอื่นบ้างครับ จะเห็นบ้างก็แสงแวบๆกับอาการเวทนาต่างๆ ภายหลังออกจากสมาธิ ก็มีอาการรู้สึกเฉยๆไม่ยินดียินร้ายที่ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะเจริญสติ

2. บางครั้งกระผมไม่กล้าปล่อยจิตตามสมาธิที่บางครั้งสงบและเหมือนดิ่งลึก ซึ่งจะมีมโนภาพเหมือนดิ่งลงทะเลลึกซึ่งก็เกิดไม่บ่อยนัก กระผมควรจะปล่อยจิตตามไปหรือไม่ ซึ่งขณะนั้นใจกระผมไม่สนใจจุดนี้เพราะใจต้องการเอาชนะเวทนาที่เกิดขึ้นมากกว่า

3. สิ่งที่กระผมปฎิบัติอยู่นี้ทำอย่างไรถึงจะก้าวหน้า และอย่างไรถึงเรียกว่าก้าวหน้าครับ และหากกระผมมาผิดเส้นทางขอท่านอาจารย์ช่วยชี้เส้นทางที่ถูกด้วย ขณะนี้กระผมได้พยายามเอาศีลห้าคลุมใจให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ทั้งหมด หากจะบอกว่าคลุมทั้งหมดก็จะเป็นการโกหกท่านอาจารย์ แต่จะพยายามให้มากขึ้นจนคลุมหมด
สุดท้ายกระผมจึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์ ในการไขปัญหาเพื่อเป็นแนวทางในการปฎิบัติต่อไปครับ ซึ่งสิ่งที่ได้จากการปฎิบัติขณะนี้อาจจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้กระผมรู้ว่าทุกอย่างในโลกสุดท้ายแล้ว จะสำเร็จได้ก็ต้องลงมือทำ มิได้สำเร็จได้ด้วยคำพูด ความคิดหรือการรอความช่วยเหลือจากผู้อื่น และเวลาก็ผ่านไปเร็วมากด้วย เว้นแต่ขณะตอนเจริญสติรู้สึกเวลาผ่านไปช้ามาก ในสภาวะเช่นนั้น แต่พอตอนออกจากสภาวะดังกล่าวก็เสียดายรู้สึก ยังเจริญสติไม่พอรู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมาก


ขอขอบพระคุณในความกรุณาที่ท่านอาจารย์ เสียสละเวลาในการตอบปัญหา และชี้แนะแนวทางแก่กระผม

คำตอบ
   (๑). เหตุที่ไม่เห็นนิมิต เป็นเพราะจิตยังเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ในระดับที่จะทำให้เกิดเป็นนิมิตได้

   (๒). ไม่ควรปล่อยจิตให้เป็นไปตามอารมณ์ปรุงแต่ง แต่ควรระลึกรู้อารมณ์ ด้วยการกำหนดว่า “ รู้หนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอารมณ์ดิ่งลึกหมดไป ส่วนการจะเอาชนะเวทนาที่เกิดขึ้น นั้นคือตัณหาซึ่งเป็นกิเลสอีกตัวหนึ่ง เช่นเดียวกันการไม่สนใจต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นกิเลสที่เรียกว่า โมหะ ที่กำจัดได้ยากที่สุด

   (๓). ประสงค์ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ต้องทำตัวเป็นคนโง่ แล้วทำตามคำชี้แนะของครูผู้ผ่านประสบการณ์ฝึกจิตมาก่อน เช่นเดียวกัน เมื่อศีล ๕ ยังพร่องอยู่ การพัฒนาจิต (สมถกรรมฐาน) ให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นตามที่ผู้รู้กล่าวว่า
“ จิตเป็นรากฐานของสิ่งทั้งหลาย จิตประเสริฐกว่าสิ่งทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายสำเร็จด้วยจิต ” จึงเป็นเรื่องจริงที่ไม่เนื่องด้วยกาลเวลา ผู้ใดตระหนักชัด แล้วพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมได้อย่างถูกตรง ชีวิตย่อมมีคุณค่า กาลเวลาที่ผ่านไปจะไม่สูญเปล่า
  

1320.
กราบเรียน ท่านอาจาร์ย สนอง วรอุไร

ดิฉัน พึ่งเคยไปฟังธรรมบรรยายของท่านอาจาร์ยดร.สนอง วรอุไร ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านนี้เป็นครั้งแรกค่ะ และได้ถ่านรูปคู่กับท่านอาจาร์ยดร.สนอง
ด้วยค่ะ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ได้ซื้อหนังสือธรรมที่ท่านอาจาร์ยเขียนทุกเล่มมาอ่าน อ่านแล้วรู้สึกดีมาก
และติดตามอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับหนังสือที่ท่านอาจาร์ยเขียน และดิฉันคิดว่าหนังสือของท่านมีส่วน
ทำให้ดิฉันมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเช่นกัน ขอขอบพระคุณมากค่ะ
ดิฉัน มีคำถาม 1 ข้อ ขอเรียนถามท่านอาจาร์ยดร.สนอง วรอุไร ค่ะ

คือ ดิฉันอยากจะสนทนาธรรมกับท่านที่มีดวงตาเห็นธรรมเหมือนกับดิฉัน ดิฉันหมายถึงมีดวงตาเห็น
ธรรมจริงๆ จากตาในนะค่ะ ทุกวันนี้ยังไม่เจอใครที่จะสนทนาธรรมกับดิฉันได้เลยเพื่อนๆเขาก็ยังไม่
มีดวงตาเห็นธรรม จึงคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ดิฉันอยากถามท่านอาจาร์ยว่าดิฉันจะหาเพื่อนที่มีดวง
ตาเห็นธรรมได้ที่ไหน ดิฉันอยากรู้จักมากค่ะ และ อยากติดต่อสนทนาธรรมกับกัลยาณมิตรจริงๆค่ะ

ขอรบกวนท่านอาจาร์ยดร.สนอง วรอุไร แค่นี้นะค่ะ หวังว่าคงได้คำตอบเร็วๆนี้นะค่ะ


กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
  ผู้ใดมีจิตปลอดจากกิเลสอย่างน้อยสามตัวแรกในสังโยชน์ ๑๐ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ได้แล้ว ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่ามีดวงตาเห็นธรรม
   

1319.
กราบเรียนท่าน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

   กระผมมีข้อสงสัย และมีความทุกข์ใจมาก เรื่องที่จิตของกระผมไม่นิ่งชอบหลงด่าผู้อื่นในใจบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นพระหรือบุคคลทั่วไปที่กระผมพูดคุยด้วย ผมต้องระวังอย่างมาก ต้องบังคับจิตไม่ให้หลงด่าผู้ที่ผมกำลังพูดคุยด้วย ผมอยากทราบว่ามีสาเหตุจากอะไร จะแก้ไขอย่างไร และจะเป็นบาปกรรมหรือไม่ เพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เป็นเช่นนั้น แต่จิตมันแว๊ปไปด่าเอง ทุกวันนี้ผมพยายามทำความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา พยายามรู้กายรู้ใจตลอด บางครั้งก็มโนภาพพระพุทธรูปไว้กลางอกบ้าง เพื่อประคองจิตไว้ ไม่ทราบว่าผมแก้ไขได้ตรงจุดหรือไม่ ขอความเมตตาท่านอาจารย์ชี้ทางสว่างให้ด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาเป็นอย่างสูง

คำตอบ
   เหตุเกิดจากประพฤติ ผรุสายวาจา (พูดคำหยาบ) และประพฤติ ปิสุณายวาจา (พูดคำส่อเสียด) มาก่อน หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไขปัญหาให้ถูกตรงที่สุด ต้องอมน้ำอยู่ในปาก และเอาจิตระลึกอยู่กับน้ำที่อมไว้ เมื่อใดจำเป็นต้องพูดให้บ้วนน้ำออกจากปากได้ หลังจากพูดแล้วเสร็จ ต้องอมน้ำเข้าไปใหม่ หากมีสัจจะปฏิบัติได้เช่นนี้ทุกขณะตื่น ปัญหาที่มีอยู่ย่อมหมดไปในที่สุด
  

1318.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันขอเรียนถามว่า การสวมสร้อยคอแขวนพระ ตลอดเวลา รวมถึงเวลาอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้า จะเหมาะสมหรือไม่ค่ะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ผู้ใช้คำสอนของท่านอาจารย์เป็นประทีปส่องทาง

คำตอบ
    ผู้มีสติปัญญาระดับโลก คือยังมีจิตเป็นทาสของความหลง ใครผู้ใดมีความเห็นถูกตามธรรม แล้วนำเอาธรรมวินัยมาสถิตไว้กับใจได้ ผู้นั้นได้ชื่อว่า มีธรรมวินัยคุ้มรักษาชีวิต ซึ่งดีกว่าการสวมสร้อยคอแขวนพระให้หนักคอเป็นไหนๆ
   

1317.
เรียน ท่านดร.สนอง

   ลูกสาวของดิฉัน เรียนจบปริญญาตรี เป็นเด็กดี ประหยัด เคารพรักเชื่อฟังพ่อแม่มาตลอด กำลังเตรียมตัวเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ หลังจบมาไม่นาน ได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง คบกันไม่นาน นิสัยลูกเปลี่ยนไป เริ่มพูดเท็จ เงินเก็บในบัญชีซึ่งได้จากการรับจ้างสอนพิเศษสมัยเรียนและไม่เคยใช้มาก่อนเลย ได้เบิกจนหมดบัญชี

   ต่อมาลูกสาวบอกว่า เป็นทอม และผู้หญิงคนนี้เป็นดี้ ดิฉันหัวใจสลาย แต่ได้ทำใจตามหลักธรรมะ และบอกลูกว่า พ่อแม่รับได้ระดับหนึ่ง แต่ลูกไม่ควรแสดงออกอย่างเปิดเผย เพราะลูกมีอาชีพครู
   ลูกจะขอให้ผู้หญิงมาค้างที่บ้าน พ่อแม่ขอเวลาให้รู้ที่มาที่ไปของเธอให้แน่นอนก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าไว้วางใจได้หรือไม่ เธอไม่มีอาชีพเลี้ยงตัวเอง ลูกให้เงินเขาไปรักษาโรคที่อ้างว่าป่วยเป็นโรคเลือดมานาน ซึ่งดิฉันได้คุยกับเธอครั้งหนึ่งรู้สึกว่า ไม่น่าเชื่อถือว่าป่วยจริง อ้างว่า เข้าโรงพยาบาล พอจะไปเยี่ยมก็ไม่พบชื่อผู้ป่วย แต่บอกกับลูกภายหลังว่า เข้าโรงพยาบาลโดยใช้ชื่อปลอม ลูกก็เชื่อ ขณะนี้ลูกกำลังอยู่ในช่วงที่หลงผู้หญิงคนนี้อย่างหนักมาก พ่อแม่ชี้ความน่าสงสัย แนะนำและเืตือนอย่างมีเหตุผล ไม่เคยดุด่า ขอร้อง แต่ลูกไม่คิดตามเลย และเข้าข้างผู้หญิง บางคร้ั้ั้งโมโหโทโสกับพ่อแม่อย่างรุนแรงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

ขอเรียนถามท่านดังนี้
   1.การเป็นทอมของลูกเป็นเรื่องถาวรหรือไม่ เมื่อเด็ก ลูกไม่ชอบเสื้อผ้าแบบผู้หญิงหวาน ซึ่งดิฉันคิดว่าเหมือนดิฉัน ลูกเป็นเด็กเรียบร้อย เรียนดี พูดน้อย ไม่ชอบเล่นตุ๊กตา แต่ไม่เคยคิดว่าลูกจะเป็นทอม จะช่วยลูกให้พ้นการเป็นทอมได้หรือไม่

   2.ดิฉันเวทนาลูกที่ขาดสติ สมองเและปัญญาสูญสิ้นไปหมดเพราะความหลง ลูกพูดตลอดว่า มีสติดี ลูกได้ให้เงินผู้หญิงคนนี้ไปประมาณ1แสนบาทแล้ว ค่าโทรศัพท์มือถือเดือนละ5-6พันบาท ดิฉันจะช่วยลูกได้อย่างไร หรือต้องปล่อยไปตามวิบากกรรม

   3.ดิฉันคิดว่า ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยลูกได้ แต่ใจลูกไม่เปิดเลย ชวนให้มาใส่บาตรกับแม่ตอนเช้า ทั้งที่ลูกตื่นแล้วแต่ไม่ลงมา กลับคุยโทรศัพท์แทน ดิฉันจะดึงลูกมาทางธรรมด้วยวิธีไหนได้คะ


   กรุณาช่วยแนะแนวทางด้วยค่ะ กราบขอบคุณค่ะ

คำตอบ
   (๑). การเปลี่ยนพฤติกรรมไปเป็นทอม เป็นเรื่องอกุศลกรรมให้ผล ผู้ใดทำกรรมไว้เป็นเหตุแล้ว จึงต้องรับอกุศลวิบากนั้นจนกว่าจะหมดสิ้น และไม่มีใครผู้ใดสามารถแก้ไขกรรมนั้นได้ จงปล่อยวางแล้วจะไม่ทุกข์ใจ

   (๒). ในฐานะที่เป็นแม่ จะช่วยลูกได้ต้องทำตัวให้เป็นแม่ที่ดี เป็นแม่ที่มีเมตตาต่อลูก นี่คือสิ่งที่ผู้เป็นแม่ควรประพฤติ ชีวิตของลูกเป็นเรื่องของลูก เขาทำกรรมไว้อย่างนั้น ต้องปล่อยให้เขาเป็นไปตามวิบาก หากทำใจได้อย่างนี้ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีความเห็นถูก

  (๓). ธรรมะ สามารถช่วยคนที่มีบุญมีบารมี ได้แก่บัวเหล่าที่ ๑ ถึง ๓ แต่ช่วยบุคคลที่เปรียบได้กับบัวเหล่าที่ ๔ ที่มีจิตเป็น ปทปรมะ ไม่ได้
  

1316.
กราบเรียนอาจารย์สนอง

   หนูมีเรื่องกังวนใจ คือว่า หนูเคยไปมีส่วนร่วมกับเจ้าทรง แต่ไม่ได้รับขันอะไร พอคุณตาหนูรู้ ก็พาแยกออกจากที่นั่น แล้วพาไปที่วัด รู้สึกเสมือนตาพาไปเอาของออก แล้วยัดของหั้ย ตาบอกว่า ของที่หั้ยนี้ คือ พระมาอยู่กับตัวเรา แต่เวลาสวดมนแบบเที่ตาพาสวด ในวัดนี้ เวลาสวด จะพูดแบบไม่ใช่ภาษาไทยเลย ออกเพี้ยนไปไม่รู้เรื่อง ตาบอกว่า นี้จะช่วยเราด้าย เพื่อม่ะหั้ยมีมนดํามาดึงเราไป แล้วหนูก้อกลับมาบ้าน สวดมนก้อรู้สึกกลัว เพราะม่ายใช่ ภาษาไทย ท่านอาจารย์คิดว่ายังงัย แต่ตอนนี้ หนูเริ่มสวดมนแบบธรรมดาแล้ว รู้สึกม่ายกลัวเท่ารัยเวลาสวดมน

   ปจุบันนี้ หนูอยู่ประเทศสวีเดน อายุ 23 เริ่มสนจัยนัยธรรมมาก พยายามสวดมนก่อนนอนทุกคืน
ทุกๆคืน หนูสวด ทําวัดเย็น พาหุง อิติปิโส เท่าอายุ และ ยอดพระกันไตรปิฏก ครบ เจ็ดวันเท่าอายุ เสร็จแล้ว แต่ก้อยัง จะสวดบทนี้ก่อนนอนทุกคืนอยู่แล้ว จบก้อ นั่งสมาธิ รู้สึกเหมือนจิตนิ่ง เวลานั่ง หรือ หนูคิดไปเอง ก้อไม่รู็ หนูไม่เคยไปที่วัดไหน ที่สอน กรรมฐาน แต่หนูสนจัยมาก กะว่า อีกสามปี หนูจะไปไทย แล้ว จะไปวัดปฎิบัตกรรมฐานเลย แต่ไม่รู้ว่าหนูจะมีบุญได้ทําหรือเปล่า

   แล้วตอนนี้ หนูสนจัยธรรมมะมากจนถึงคิดว่า อยากจะบวชด้วยซํ้า ท่านอาจาร์สนองที่เคารพ ว่าหนูเพรอ ไปเองหรือ เปล่า หรือแค่อารมย์ ชั่ววูปของหนูในขณะนี้แค่นั้นเอง เพราะหนูรู้สึกว่า หนูชอบกานบวชมากเลย แต่หนูยังไม่เคยบวชเปงทางกานหรอก แต่หนูสนจัยมาก
หนูได้ขอ อณุญาติแม่ว่า หนูขอบวชน่ะแม่ แม่บอกว่า แม่อณุญาติหั้ยบวช ซึ่งหนูดีจัยมาก แต่สิ่งที่หนูกลัว กลัวว่า หนุจะอายุเยอะขึ้น แล้วหนูจะเปลื่ยนจัยไม่ชอบ ธรรมมะ ไม่อยากจะบวช
กลัวอารมย์นี้มากเลยจ้าา หนูจะทํายังงัยดี

   วอนอาจารย์ช่วยตอบที หนูจะรอวันที่อาจารย์สามารถตอบได้
แต่ถ้าอาจารย์ไม่มีเวลาตอบจดหมายหนู หนูก็ไม่ว่าอารัยจ้าาา


      กราบพระคุณท่านอย่างสูง

คำตอบ
  ความกลัวมีเหตุมาจาก รู้ไม่จริงในสิ่งที่กลัว ฉะนั้นประสงค์แก้ปัญหานี้ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง แล้วปัญญาเห็นถูกตามธรรมจะเกิดขึ้น แล้วความกลัวจะหมดไปได้เอง    ดังนั้นการปฏิบัติตามคำแนะนำของตานั้นถูกต้องแล้ว จงทำต่อไป ผู้รู้เอาจิตระลึกอยู่กับปัจจุบัน สวดมนต์บ่อยๆ บุญย่อมเพิ่มมากขึ้น ผู้มีบุญย่อมเข้าถึงความสำเร็จในสิ่งดีงามที่ปรารถนาได้

   อนึ่ง คิดที่จะบวชในวันข้างหน้า เป็นการตั้งโปรแกรมจิตถูกต้อง จึงไม่จำเป็นต้องไปคิดสงสัยให้เป็นบาป เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาย่อมเกิดขึ้น .... สาธุ
   

1315.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ ที่ได้ช่วยให้ความกระจ่างแก่หลายๆท่านที่กำลังค้นหาหนทางหลุดพ้น ตามหลักพระพุทธศาสนา ดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ดิฉันขอความกรุณาอาจารย์ช่วยตอบคำถามดังนี้

   1.ดิฉันเป็นคนขี้สงสาร และร้องไห้ได้ง่ายๆ เช่น ตอนยืนเคารพเพลงสรรเสริญก่อนดูหนัง ถ้าดิฉันคิดถามเนื้อเพลงบางครั้งก็เกิดตื้นตันแล้วก็ร้องไห้ออกมา หรืออ่านหนังสือ ดูทีวี ดูหนังที่มีเรื่องเศร้าๆก็จะร้องไห้ อย่างนี้ถือว่าจิตอ่อนหรือไม่ค่ะ ต้องแก้ไขยังไง

   2.ตนเองตั้งใจจะถือศีลห้า ต้องสวดสมาทานศีลตอนเช้าทุกวันไหมค่ะ ตอนนี้สวด นโม 3 จบ แล้วสวดปาณาติปาตา.......หรือแค่อธิฐานจิตตั้งใจว่าจะทำก็เพียงพอ แล้วถ้าทำศีลขาดหรือพร่องต้องทำอย่างไร ถ้าวันนั้นตั้งใจถือศีลและเกิดทำมดตายโดยไม่ได้ตั้งใจถือว่าศีลขาดไหม


     ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ ขอพระรัตนตรัยคุ้มครองอาจารย์ตลอดไป

คำตอบ
   (๑). ตามที่บอกเล่าไปเรียกว่า มีจิตอ่อน จิตอ่อนคือ จิตที่มีกำลังสติไม่กล้าแข็ง จึงรับสิ่งที่เข้ากระทบจิตไม่ทัน อารมณ์ปรุงแต่งของจิตจึงเกิดขึ้น มีผลทำให้จิตหวั่นไหว วิธีแก้ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติเพิ่มมากขึ้น ด้วยสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก นาน ๑๕-๓๐ นาที ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เมื่อใดแล้ว จะไม่มีสิ่งกระทบใดทำให้จิตหวั่นไหวได้

   (๒). อธิษฐานเพื่อการมีศีล ๕ เป็นสิ่งดี แต่ผลของการอธิษฐานจะเป็นจริงได้ ต้องพัฒนาใจให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น หากประพฤติแล้วศีลยังขาด ยังมีไม่ครบ ต้องขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วพัฒนาใจด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จต้องเจริญอานาปานสติอยู่เสมอ

   ทำมดให้ตายโดยไม่ตั้งใจ ไม่เรียกว่า ศีลขาด แต่เป็นศีลทะลุ ครับ.
  

1314.
สงสัยมานานแล้วครับ

   อาจารย์ครับ... บุญที่เราทำอุทิศให้แก่ผู้ตายโดยการนิมนต์พระมาสวดบังสุกุลมาติกา และเลี้ยงพระถวายภัตตาหารนั้น... หากว่าผู้ที่เราทำบุญอุทิศให้นั้นเขาไปเกิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิมนุษย์ เทวดา อบายภูมิ หรือสัตว์เดรัจฉาน เขาจะได้รับบุญในรูปแบบใดในแต่ละภพภูมิที่เขาเกิดครับ....

    ที่ผมสงสัยมากที่สุดคือ หากเขาเกิดใหม่เป็นมนุษย์แล้วอยู่ในสมัยเดียวกันกับเรา.. คือเราก็ยังไม่ตาย (แต่อาจจะแก่กว่าเขาหน่อย) แล้วเราก็ทำบุญให้เขาทุกๆปีบุญที่เขาได้รับจะเป็นแบบใดครับ

คำตอบ
   การทำบุญ แล้วมีเจตนาอุทิศบุญให้ผู้อื่น จะสัมฤทธิ์ผลได้ต่อเมื่อ ต้องมีผู้อุทิศบุญ ต้องมีบุญที่อุทิศ และต้องมีผู้มาอนุโมทนาบุญ เมื่อปัจจัยทั้งสามถึงพร้อม ความอิ่มใจ (ปีติ) ย่อมเกิดขึ้นกับสัตว์บุคคลผู้อนุโมทนาบุญ
   

1313.
หนูเคยฟังอาจาย์บรรยายธรรมที่วัดร่ำเปิง และศึกษาอ่านหนังสือธรรมะ ของอาจารย์ เรื่อง ตายแล้วฟื้นตื่นมาเล่า ได้ข้อคิดและ สิ่งดีๆ กลับมาหลายเรื่องค่ะ

ขอรบกวน กราบเรียนถามอาจารย์สนอง ดังนี้ค่ะ
หนูและแฟนมีเรื่องทุกข์ใจ คือ ตอนนี้ เราทั้งสองคน อยู่คนละที่ค่ะ พยายามหางานให้แฟนมาอยู่ที่ทางเหนือ มาประมาณ 2 ปี กว่าแล้วค่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสเลย หนูและแฟนเครียดมาก ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี ทุกวันนี้ก็ได้แต่หาโอกาสและรอคอยโอกาสไปเรื่อยๆ อายุก็มากขึ้นทุกวัน ครั้นจะให้หาใครคนใหม่ ใจมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะ ในการเปลี่ยน

จึงอยากจะถามอาจารย์ว่า ต้องทำบุญกุศล อะไรค่ะ จึงจะได้มีโอกาสมาอยู่ด้วยกัน อย่างมีความสุขค่ะ


ขอกราบขอบพระคุณอาจาย์ล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
    ความเครียดเป็นบาป ใช้แก้ปัญหาไม่ได้ หากผู้ใดปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา จนบังเกิดผลเป็นบุญที่ทำให้ดวงดีได้แล้ว ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปได้เอง
     

1312.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

   ดิฉันขออนุโมทนากับคุณความดีทั้งหลายที่ท่านอาจารย์ได้ทำกระทำมา ทำให้ศาสนาพุทธ ดำเนินไปตามแนวทางที่ถูก และได้รับการยอมรับจากคนรุ่นใหม่ที่สนใจธรรมะที่พิสูจน์ได้เ ดิฉันเป็นคนสนใจธรรมะมาตั้งแต่เด็กอยากทำความดีชอบช่วยเหลือสัตว์ที่อ่อนแอ เมื่อ9ปีก่อนได้แต่งงานกับคนเกาหลีและมาใช้ชีวิตที่นี่ตอนนี้ดิฉันมีสาว 2 คนอายุ 7 ขวบและ 5 ขวบเมื่อเขาโตมาอยากให้เขาได้ทำงานด้านการช่วยเหลือสังคม ดิฉันก็เลยทำเป็นตัวอย่างโดยการเป็นอาสาสมัคร ช่วยงานสังคมที่จำเป็นด้านบริการต่างๆ ที่นี่เขามีงานช่วยเหลือสังคมให้ทำมาก และเพราะไม่ได้ทำบุญกับวัดก็ทดแทนโดยการทำงานด้านช่วยเหลือแทนทำแล้วสบายใจ และมีความสุขที่ได้ทำงานด้านนี้ มีองค์กรประสานงานให้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่สนใจ เด็กนักเรียนที่นี่ จะต้องผ่านการทำงานให้กับสังคมในช่วงปิดเทอม และคนที่ทำผิดกฏหมายเล็กน้อย จะถูกลงโทษให้ทำงานให้การช่วยเหลือสังคมแทนการจองจำ ถ้าบ้านเราเป็นอย่างนี้บ้างก็จะดีไม่น้อย

ดิฉันมีคำถามขอรบกวนท่านอาจารย์ดังนี้คะ
    ๑ . ดิฉันให้ลูกสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนและก่อนไปโรงเรียน และ จะพาไปสถานธรรมเดือนละครั้งซึ้งเป็นพุทธนิกายมหายาน ไม่ทราบว่าทำอย่างนี้ถูกไหมค่ะ นิกายมหายานต่างกับพุทธบ้านเราอย่างไรค่ะ
   ๒ .ฉันเริ่มนับถือศีล5 แต่ไม่ได้กล่าวอาราธนา และ บางครั้งเผลอพูดโกหกแต่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถือว่าบาปไหมค่ะ
   ๓. เคยตั้งใจว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ทุกวันพระ เพื่อถวายแด่ในหลวงแต่ทำได้สักพักก็ทำไม่ได้ เพราะยุ่งแต่คิดเรื่องอาหารของลูกมาก่อนการที่เสียความตั้งใจอย่างนี้ เป็นบาปผิดศีล5 หรือเปล่าค่ะ

คำตอบ
    ผู้ใดประพฤติถูกตรงตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งความดีให้ผู้อื่น ยินดีในความดีที่ผู้อื่นกระทำ ฟังธรรม เทศนาธรรมและทำความเห็นให้ถูกตรง การประพฤติทั้งสิบอย่างนี้เป็นบุญ จะประพฤติ ณ ที่แห่งใด ได้ผลเป็นบุญทั้งนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด

   (๑). ชี้ทางธรรมให้ลูกสาวประพฤติธรรมนั้น ถูกต้องแล้ว ส่วนนิกายมหายานเป็นการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระโพธิสัตว์ ซึ่งนิยมปฏิบัติอยู่ในทิเบต จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ส่วนหินยานหรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เถรวาท เป็นการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพุทธสาวก นิยมปฏิบัติกันในศรีลังกา พม่า ไทย ฯลฯ แต่การปฏิบัติของทั้งสองแบบเข้าถึงสภาวะนิพพานได้เหมือนกัน

   (๒). คำว่า “ อาราธนา ” หมายถึง เชื้อเชิญ นิมนต์ ขอร้อง ฯลฯ ซึ่งใช้กับพระสงฆ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หากผู้ใดพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ คุมใจได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปขอร้องใครให้มาบอกศีลให้

      อนึ่ง การพูดโกหก แม้มิได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ยังเป็นบาปได้ตรงที่ไม่มีสัจจะ

   (๓). ไม่เป็นบาปอันเนื่องมาจากผิดศีล แต่เป็นบาปอันเนื่องมาจากผิดธรรม (ข้อ๔ เบญจธรรม)   
    

1311.
กราบท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

   หนูขอเรียนถามว่า หากหนูได้ทำความผิด โดยล่วงเกินกับสามีของคนอื่น แต่ไม่ถึงกับมีเพศสัมพันธ์ ต่อมาหนูสำนึกผิดจึงได้เลิก และได้สารภาพความผิดต่อหน้าพระพุทธรูป พร้อมให้คำมั่นว่าจะไม่ประพฤติผิดเช่นนั้นอีกตลอดชีวิต และได้ขออโหสิกรรมต่อหญิงผู้เป็นภรรยาแล้ว หนูยังจะต้องตกนรกอีกหรือไม่จากบาปกรรมที่เคยทำไว้ เพราะตอนนี้หนูกลัวบาปกรรมมาก

ขอขอบคุณท่านอาจารย์มากค่ะ ที่เมตตา

คำตอบ
  นอกจากไม่ประพฤติทุศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารแล้ว หากยังประพฤติทุศีลข้ออื่น ตายแล้วยังมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรกได้
   

1310.
กราบเรียนท่าน ดร.สนอง

ดิฉันมีลูกสาวอายุ 11ปี และลูกชายอายุ 7 ขวบ ทุกวันนี้ได้นำพาลูกใส่บาตรก่อนไปโรงเรียน และวันพระพาไปปล่อยสัตว์ มีโอกาสก็พาไปวัดค่ะ

   ขอความเมตตาสอบถามท่านอาจารย์ว่า มีสถานปฎิบัติธรรมที่เหมาะสมกับวัยของลูกทั้งสองที่ใดบ้างค่ะ เพราะลูกสาวเคยไปที่ยุวพุทธแล้ว แต่ต้องใช้เวลาสมัครมีสถานที่ใด ที่เหมาะสมกับเด็กในวัยนี้อีกบ้างค่ะ (แต่ไม่ได้บังคับลูกน่ะค่ะ เพียงแต่ถามเค้าว่า ลูกอยากไปหรือเปล่า ลูกบอกว่าไปได้ถ้าแม่ให้ไป) ทุกวันนี้ครอบครัวกำลังปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยความศรัทธา (เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่าง ทำให้ดิฉันได้รู้ว่ากรรมที่เราได้ทำ ได้สั่งสมไว้นั้นให้ผลแน่นอน ตามที่ท่านอาจารย์ได้มาบอกกล่าว ให้แก่ญาติธรรมทั้งหลายได้รับรู้) และกำลังจะเปลี่ยนอาชีพที่ทำอยู่คือ ทนายความไปทำอาชีพที่ถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ ซึ่งก็ไม่ใช้เรื่องง่าย แต่ดิฉันและสามีเชื่อ และศรัทธาว่าความตั้งใจจริงที่จะสร้างความดีพยายามไม่สร้างกรรมใหม่ จะนำพาชีวิตครอบครัวของดิฉันให้ได้ทำอาชีพที่ถูกต้อง ทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ เพื่อได้สั่งสมบารมีนำพาจิตไปสู่ภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นค่ะ

   ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตา และความกรุณาของท่านอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    สามารถพาลูกทั้งสองไปปฏิบัติธรรมที่วัดสระปทุม กรุงเทพฯ หรือพาไปปฏิบัติธรรมที่วัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
  

1309.
ขอรบกวนท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

   1.ขออนุญาต copy การบรรยายธรรมะ ของท่านอาจารย์ ที่ค้นเจอใน internet เพื่อแจกเป็นธรรมทาน และเพื่อการศึกษาธรรมะของตนเองค่ะ

   2.ขออนุญาต copy และ Print คำถาม-ตอบ บางข้อ ใน กัลยาณธรรม.คอม เพื่ออ่านเอง(หรือผู้ที่สนใจอ่าน) เนื่องจากการอ่านคำตอบของท่านอาจารย์ เหมือนอ่านหนังสือธรรมะ ที่อธิบายได้อย่างแจ่มชัด ค่ะ

   3.อยากถือศีล 5 และ ศีล 8 ให้บริสุทธิ์ (เพื่อเข้าให้ถึงธรรม)แต่ไม่ค่อยเข้าใจขอบเขตของศีล ขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยว่า การกระทำต่างๆ ต่อไปนี้มีผลให้ศีลไม่บริสุทธิ์หรือขาดหรือไม่ และเมื่อกระทำพลาดพลั้งไปแล้วควรทำอย่างไร

     ศีลข้อ1-ถ้าฆ่าสัตว์ไปแล้ว โดยไม่เจตนา เช่น กวาดบ้านโดนมดตาย

     ศีลข้อ2-นำสิ่งของ ของผู้อื่นมาใช้ก่อนบอกทีหลัง เพราะแน่ใจว่าเจ้าของไม่หวงแน่นอน

     ศีลข้อ3(ศีล8)-อุ้มเด็กผู้ชาย, จับต้องผู้ชายที่เป็นญาติ โดยไม่ได้มีใจเสน่หาทางชู้สาว        ศีลขาดหรือไม่บริสุทธิ์หรือเปล่าคะ

     ศีลข้อ4-พูดแล้ว ผู้ฟังเข้าใจความหมายผิด แต่เราก็ไม่ได้อธิบายใหม่

     ศีลข้อ5-ทานยาที่มีส่วนผสมของเหล้า แต่เจตนาทานเพื่อรักษาโรค

     ศีลข้อ6-ทานยาหรืออมยาเพื่อรักษาโรค ในตอนหลังเที่ยงไปแล้ว

     ศีลข้อ7-ดูละครธรรมะ, ฟังเพลงธรรมะ, หน้าหนาวผิวแห้งคันทาครีมทาผิว,ทาลิปมัน เพื่อเป็นยารักษาอาการผิวแตก คัน, หวีผมส่องกระจกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยเพราะยังต้องทำงานพบปะผู้คนอยู่

     ศีลข้อ8-นั่งบนเก้าอี้ไม้, นั่งบนเก้าอี้นุ่มเพราะไม่มีที่อื่นให้นั่งได้, นอนบนเตียงไม้ปูด้วยเสื่อ หรือที่นอนบางๆ


ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในความเมตตาของท่านอาจารย์ค่ะ
น้อย

คำตอบ
   (๑). ประสงค์ก๊อปปี้คำบรรยายธรรม เพื่อนำมาฟังเองหรือแจกฟรีเป็นธรรมทาน อนุญาตให้ทำได้

   (๒). เจตนาตามที่บอกไป อนุญาตให้ทำได้

   (๓). ต้องมีศีล ๕ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจอยู่ทุกขณะตื่นให้ได้ก่อน แล้วจึงควรเลื่อนไปปฏิบัติศีล ๘ จะทำได้ง่ายขึ้น คำว่า “ ศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ” หมายถึง กาย วาจา ใจ เป็นศีลอยู่ครบบริบูรณ์ คำว่า “ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ” หมายถึง ศีลที่ไม่มีมลทิน หรือไม่มีกิเลสปนเปื้อน ผู้ใดพลาดพลั้งในการรักษาศีล เมื่อระลึกได้แล้วต้องขอขมาต่อพระรัตนตรัย แล้วต้องพยายามไม่ให้เกิดความพลาดพลั้งขึ้นอีก หรือพลาดพลั้งน้องลง จนไม่พลาดพลั้ง จึงจะเป็นศีลที่นำสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต นี่คือศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ

   กวาดบ้านแล้วไปโดนมดตายโดยไม่เจตนา ไม่ถือว่าผิดศีลข้อปาณาติบาต แต่ผิดธรรมตรงที่จิตขาดสติ นำสิ่งของมาใช้ก่อนแล้วบอกเจ้าของทีหลัง ถือว่าผิดศีลข้ออทินนาทาน บาปได้เกิดขึ้นแล้ว อุ้มเด็กผู้ชายไม่ถือว่าผิดศีลข้อ ๓ กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ผิดศีลข้อสาม และเช่นเดียวกันอุ้มเด็กผู้ชายแล้วมิได้มีจิตคิดไปในทางชู้สาว ไม่ถือว่าผิดศีลข้อประพฤติผิดพรหมจรรย์ พูดตรงความจริง แต่ผู้ฟังเข้าใจผิดเป็นเรื่องของผู้ฟัง ผู้พูดไม่ผิดศีลข้อมุสาวาท เจตนาทานยาที่มีเหล้าเป็นตัวสกัด ไม่ถือว่าผิดศีลข้อสุราเมรย และศีลข้อ ๗,๘ ที่บอกเล่าไป หากมีเจตนาถูกตรงตามนั้น ไม่ถือว่าเป็นบาป
   

1308.
กราบเรียนดร.สนองฯ ค่ะ
อ้างถึงคำถามที่ 1290 ค่ะ
  
   ดิฉันขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ สำหรับคำตอบที่ได้รับ และดิฉันได้นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติแล้วและตั้งใจ
จะทำดีตามที่อาจารย์ฯ แนะนำโดยไม่คาดหวังอะไรตอบแทน นอกจากความสบายใจของตนเองและ
ความถูกต้องที่ผู้เจริญนิยมทำ นอกจากนี้ ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ฯ ในเรื่องอื่นๆ ค่ะ

   1. ตอนที่ดิฉันตั้งครรภ์ ฝันว่าได้เข้าไปในโบสถ์ โดยมีูพระพุทธรูปอยู่ 3 องค์ตั้งอยู่องค์แรกองค์ใหญ่สุด เป็นเนื้อทองสัมฤทธิ์ องค์ที่ 2 เป็นสีนาค ส่วนองค์ที่ 3 ภายนอกมองดูแล้วเป็นหินอ่อนสีชมพููเมื่อ เพ่งมองลึกเข้าไปดิฉันเห็นเป็นเนื้อดินที่นวลเนียน ละเอียดตามากเกิดความหลงใหลอย่างมาก จึงเข้าไป อุ้มขึ้นมา และยังเคยฝันเห็นพระให้พรดิฉัน    ตอนท้องดิฉันสวดมนต์พระคาถาชินบัญชรและแอบขอว่าอยากมีลูก โดยจะพยายามถือศีล 5 ตอนนี้ลูกชายดิฉันอายุ 10 ขวบ และเท่าที่สังเกตุพฤติกรรมลูก โดยรวมจะเป็นเด็กที่ชอบสบาย เรื่อยๆ หลายคน บอกว่าสุภาพ เรียบร้อย ผิวพรรณดี ดิฉันคิดผูกเรื่องไปถึงความฝันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่มีประเด็นหนึ่งที่อดแปลกใจไม่ได้ เค้าเป็นคนไม่ชอบ คนพูดจาไม่ดี คำแรงๆ นี่เป็นเรื่องเลย และเวลาโกรธก็น่ากลัว ดิฉันตกใจมาก เค้าจะตาขวาง ร้องไห้และพร้อมลงไม้ลงมือ แต่เมื่ออารมณ์เย็นลงแล้วสำนึกผิดก็เข้ามาร้องไห้กราบขอโทษเป็น การใหญ่ ดิฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นใครกันมาเกิด เพราะตอนปรกติก็น่ารักดี หากอาจารย์ฯ เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หรือเป็นเรื่องที่ไม่ควรไปรู้ อาจารย์ฯ ไม่ตอบก็ได้นะค่ะ (ขอประทานโทษค่ะ)

   2. อาจารย์ค่ะ ดิฉันสำรวจตัวเองอยู่ทุกวัน ทุกวันนี้ศีล 5 ดีขึ้นกว่าอดีต แต่มักจะพลาดข้อ 4 รู้สึกยากมาก จะเตือนสติตนเองอย่างไร บางเรื่องไม่พูดก็ไม่ได้บางครั้งหาความพอดีให้ตัวเองไม่ได้ พอกลับ มาบ้านก็จะแวบขึ้นมาว่าไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย บางครั้งก็ท้อสอบตกกับเรื่องง่ายๆ จะทำอย่างไรให้สติ แข็งขึ้นในเรื่องนี้ค่ะ (พละ 5 หรือเปล่าค่ะ)

   3. ดิฉันเป็นคนชอบคิดไตร่ตรองเอาเรื่องทางโลก ที่เจอมาเป็นตัวตั้งแล้วใช้ธรรมะเป็นตัวไขขานและ คิดคำตอบได้และเหมือนเกิดปัญญาเห็นว่า จะปัญหาใดก็สรุปลงที่หลักไตรลักษณ์ได้หมด กระจ่าง แล้วก็จำไว้เป็นแนวทางระมัดระวัง ดิฉันเคยคิดอะไรแล้วเกิดปัญญาดิฉันมีความสุขจนไม่ได้หลับ ทั้งคืนมีความสุขในสติปัญญาอย่างบอกไม่ถูก อิ่มเอมใจแต่ไม่รู้จะบอกกล่าวให้ใครฟังใช่ปิติในปัญญา ไหมค่ะ เพราะเพิ่งเกิดแบบนี้ประมาณ 2-3 ครั้งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สภาวะอย่างนี้เรียกว่าอะไรค่ะ มาถูกทางหรือเปล่า หรือคิดไปเอง

   4. หลังสวดมนต์ดิฉันจะนั่งสมาธิต่อ โดยแอบนึกในใจว่าการนั่งสมาธิของข้าพเจ้านี้หวังให้ใจสงบสุข ไม่ต้องการเห็นโน่นเห็นนี่ การคิดแบบนี้จะดีหรือไม่ดีค่ะ


   สุดท้ายนี้ดิฉันขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ฯ อย่างสูง ขอให้อาจารย์ฯ มีสุขภาพร่างกาย
แข็งแรง เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไปอีกนานๆ นะค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    (๑). เป็นใครมาเกิดนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า ผู้เป็นแม่ต้องปฏิบัติจริยธรรมของการเป็นแม่ที่ดี และสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง คือ พัฒนาจิตให้มีศีลมีธรรมคุ้มครอง และปิดอบายภูมิให้ได้ นั่นเป็นสิ่งดีที่สุด

   (๒). ใช่แล้วครับ ต้องเจริญพละ ๕ ให้มีกำลังกล้าแข็ง คนที่รู้ศีล ๕ แต่ไม่มีศีล ๕ คุมใจ ปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรม

   (๓). ผู้ใดใช้จิตที่มีสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ พิจารณาสิ่งที่เข้ากระทบจิต จนเห็นว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ จบลงที่ความเป็นอนัตตา แล้วปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้นได้อย่างนี้ จึงจะพูดได้ว่าพัฒนาจิตได้ถูกทาง เห็นถูกตรงตามธรรมได้ ๒ ถึง ๓ ครั้งต่อปี ยังดีกว่าไม่เห็น หากผู้ใดพิจารณาทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต จนเห็นว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตาได้ นั่นแหละดีที่สุด

                     (๔). นั่งสมาธิแล้วต้องไม่คิดถึงเรื่องอื่น ต้องเอาใจจดจ่ออยู่กับองค์กรรมฐาน ที่นำมาใช้บริกรรมอยู่ในปัจจุบัน ผู้ใดปฏิบัติได้เช่นนี้แล้ว จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แน่นอน
   

1307.
กราบสวัสดี อาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ขอความกรุณาช่วยตอบคำถามด้วยครับ

   1. อยากทราบว่าเราควรทำสมาธินานเพียงใดที่เพียงพอที่จะแผ่ส่วนกุศลได้และ
รบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำการแผ่ส่วนกุศล หลังทำสมาธิด้วยครับ ซึ่งก็ได้เพิ่มข้อสงสัยไปถึงการทำมหาทานว่าหากว่าทำสมาธินานๆ จะเป็นการทำมหาทานหรือไม่ และอยากขอคำชี้แนะอธิบายถึงการทำมหาทานด้วยครับ

   2. หากในการเจริญสติเพื่อให้เกิดสมาธิ ถ้าไม่มีพื้นที่หรือไม่สะดวกจะนั่งเพียงอย่างเดียวโดยไม่ยืนจงกรม ได้หรือไม่ ทราบมาว่าหรืออาจจะได้ยินมาผิด ว่าห้ามนั่งเกิน หนึ่ง ชม ต้องมีการเดินจงกรรมด้วย จึงมีข้อสงสัยเพิ่มเติมอีกว่าการเข้านิโรธซึ่งใช้เวลานานกว่าจึงทำได้ทั้งที่ไม่ได้เดินจงกรม

   3. กระผมเคยฟังมาว่า การทำสมถะคือการยึดติดคำภาวนา โดยไม่สนใจอารมณ์ที่มากระทบ ส่วนวิปัสนาจะกำหนดจากอารมณ์ที่มากระทบ หากกระผมเข้าใจผิดอย่างไร ช่วยชี้แนะข้อแตกต่างระหว่างสมถะ กับวิปัสนากรรมฐานด้วยด้วย

   สุดท้ายนี้ขอพระคุณท่านอาจารย์มาก จากที่เดิมทีมีข้อสงสัยมาก พอได้เข้ามาอ่านประกอบกับการฟังธรรมจากคลิป และเอ็มพี3ของท่านอาจารย์ทำให้ปัญหาบางข้อคลี่คลายไปมาก ขอขอบคุณอีกครั้งครับ

คำตอบ 
   (๑). ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพียงชั่วช้างกระดิกหูหรืองูแลบลิ้น บุญใหญ่ได้เกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิตแล้ว ผู้นั้นสามารถอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร หรือสรรพสัตว์ที่อยู่ในวิสัยที่จะมารับบุญที่เกิดจากการอุทิศได้
    ด้วยการกล่าววาจาของผู้อุทิศบุญว่า “ ด้วยบุญที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ข้าพเจ้าอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนาย เวร อุทิศบุญให้กับ ... (ระบุชื่อ) หรือสรรพสัตว์ที่อยู่ในวิสัยมารับบุญได้ จงเป็นสุขอย่าได้มีเวรต่อกัน จงมีบุญรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ”

อนึ่งคำว่า มหาทาน หมายถึงการบริจาคทานอันยิ่งใหญ่ อาทิ ทานที่ถวายแก่พระที่ออกจากนิโรธสมาบัติ ทานที่ถวายแก่ผู้ทรงคุณธรรมสูง ทานที่ถวายแก่หมู่สงฆ์ยาวนาน เช่น เจ็ดวัน ทานที่ให้แก่คนหมู่มาก ฯลฯ ส่วนการปฏิบัติธรรม (ทำสมาธิ) ยาวนาน เรียกว่า เป็นบุญที่เกิดจากการพัฒนาจิต ไม่เรียกว่าการบำเพ็ญทาน

   (๒). การพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ บุคคลสามารถใช้กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ มาเป็นองค์บริกรรมได้ในทุกอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ เช่น อิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ สามารถทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

   (๓). สมถภาวนา เป็นการเอาจิตจดจ่ออยู่กับองค์บริกรรมที่เป็นปัจจุบันขณะ หากทำได้เช่นนี้ สิ่งกระทบที่เป็นเรื่องในอดีตหรือในอนาคต ไม่สามารถกวนใจให้เกิดเป็นอารมณ์ได้ จิตที่มีสภาวะเช่นนี้ เรียกว่าจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และหากเข้าถึงสภาวะที่จิตตั้งมั่นแน่วแน่โดยสิ่งกระทบภายนอกใดๆ ไม่สามารถกวนใจให้เกิดเป็นอารมณ์ได้ เรียกสภาวะเช่นนี้ว่า จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน ซึ่งมีอารมณ์ฌานเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นกับจิต  
    
   ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน เป็นอุบายพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง คือ เกิดปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงแท้ที่ไม่เนื่องด้วยกาลเวลา ผู้ใดใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ว่าดำเนินไปตากฎไตรลักษณ์ เมื่อใดผัสสะดับไป (อนัตตา) ปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะย่อมเกิดขึ้น
  

1306.
สวัสดีค่ะหนูมีคำถามอยากจะเรียนถามค่ะ

   หนูเป็นสาวประเภทสองที่ผ่าตัดแปลงเพศเรียบร้อยแล้ว ได้รู้จักและคบกับชายคนหนึ่ง ในฐานะแฟนหรือคนรักมาประมาณหนึ่งปีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่คบกันเค้าไม่ได้บอกพ่อเค้า จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของเค้ารู้ก็สั่งให้เลิกคบกันตัดขาดกันเลย โดยให้เหตุผลว่าการคบกันแบบนี้ถือว่าเป็นดวงจิตชายสองดวงคบกัน ถือว่าผิดศีล แต่ว่าเค้าก็ยังเชื่อมั่นในตัวของเค้าเองว่าหนูเป็นหญิงจริงๆ จนเวลาผ่านไปประมาณอีกห้าหกเดือนพ่อเค้าก็จับได้ว่ายังคบกันอีก และใช้เงื่อนไขในเรื่องของการผิดศีลมากล่าวอ้างเช่นเดิม แต่แฟนหนูเค้าบอกกับหนูว่าเค้าไม่เชื่อพ่อของเค้า เพราะว่าพ่อเค้ายังไม่ได้จบกิจ(หนูก็สงสัยในคำนี้เหมือนกัน) แล้วเค้าก็มีโอกาสได้ไปปรึกษาพระรูปหนึ่งจากวัดทางเหนือ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นพระที่ทางบ้านเค้านับถือเป็นอย่างมาก เห็นเค้าเคยพูดให้หนูฟังประมาณว่าพระรูปนี้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว และคำตอบที่ได้รับจากพระรูปนี้ก็คือ ผิดศีล คนที่คบกันแบบนี้จะต้องตกนรก เห็นเค้าพูดประมาณว่าหนูมีสัมมาทิษฐิ ให้คบกันแบบเพื่อน

   หนูยังมีเรื่องสงสัยอีกค่ะ เค้าเคยพูดให้หนูฟังประมาณว่า การที่ชายซื้อบริการหญิงบริการทางเพศนั้นไม่ผิด การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองและการดูหนังลามกก็ไม่เป็นการผิดศีลแต่อย่างใด และหากจะให้หนูไม่ผิดศีลก็คือ หนูต้องเสพกามกับผู้หญิงเท่านั้นจึงจะไม่ผิดศีล หรือหากหนูอยากจะถึงซึ่งนิพพานก็ต้องครองตัวเป็นโสดและถือศีลอย่างเคร่งครัด หนูลืมบอกไปค่ะว่าเค้ามุ่งมั่นที่จะถึงซึ่งนิพพานเป็นอย่างมาก หลังจากที่เมื่อสามปีที่แล้วแม่ของเค้าจากไปอย่างกระทันหันจากโรคมะเร็ง เค้าจึงหาที่พึ่งด้วยเรื่องนี้ หนูฟ้งมาดังนั้นก็เชื่อในสิ่งที่เค้าพูด แต่หนูต้องการความกระจ่างจากอาจารย์อีกทีนึงค่ะ

หนูขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ล่วงหน้านะคะอาจารย์

คำตอบ
   ฆราวาสปุถุชน ควรมีศีล ๕ เป็นธรรมคุ้มครองใจ แล้วจะส่งผลให้สังคมสงบสุข การคบหาสมาคมมิได้ผิดศีลข้อไหน แต่หากคบกับคนไม่ดี จะทำให้ชีวิตวิบัติได้ ผู้ใดคบกันฉันท์เพื่อน แล้วประพฤติเสพเมถุนกันและกัน โดยผู้เป็นพ่อแม่หรือคู่สมรสมิได้ยินยอมให้ประพฤติเช่นนั้น จึงจะถือว่าผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร อันเป็นเหตุนำพาจิตวิญญาณไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในสิมพลีนรก

   หญิงที่ขายบริการทางเพศ หากได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ให้ทำได้ และผู้ซื้อบริการหากได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ หรือภรรยา/สามีของตนแล้ว ไม่ถือว่าผิดศีลแต่ผิดธรรม การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง การดูหนังลามกไม่ถือว่าผิดศีล แต่เป็นการประพฤติที่ผิดธรรม ประพฤติแล้วทำให้มีกิเลสเพิ่มขึ้นในจิตวิญญาณ เช่นเดียวกันหากสาวประเภทสองประพฤติเสพกามกับผู้หญิง ที่ยังมิได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของ ถือว่าผิดศีลได้เช่นเดียวกัน

   ผู้ใดปรารถนานำพาชีวิตเข้าถึงสภาวะนิพพาน ต้องกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจ ให้ต้องเวียนตาย-เกิดในวัฏสงสารให้หมดไป ในพุทธศาสนาเรียกกิเลสเช่นนี้ว่า สังโยชน์ ๑๐ หนึ่งในนั้นคือกิเลสตัวที่เป็นความกำหนัดในกาม (กามราคะ) ต้องไม่มีอยู่กับใจ และจิตต้องปลอดจากความไม่รู้จริง (อวิชชา) แล้วสภาวะนิพพานจึงจะเกิดขึ้นได้

   หากผู้ถามปัญหาประพฤติทาน ศีล ภาวนา อยู่เสมอ ความสมปรารถนาในกาลข้างหน้าย่อมเป็นไปได้
  

1305.
สวัสดิ์ดีครับ .... ขอกราบเรียนถามท่านอ.ดร.สนอง ดังนี้ครับ

1.อยากทราบว่า จะเข้าญาณได้เนี่ย ต้องเข้า อุปจารสมาธิให้ได้เท่านั้นใช่หรือไม่ อย่างไรครับ ?

2.เหตุทำให้เข้าอุปจารสมาธิ มีอะไรบ้างครับ ?

3.รากเหตุที่ทำให้ไม่สามารถทำให้เข้าอุปจารสมาธิมีอะไรบ้างครับ ? (ถ้าเป็นไปได้ขอละเอียดๆยิ่งดี ขอความกรุณามาๆ ครับ)



* ขอขอบพระคุณท่าน อ.ดร.สนอง วรอุไล และทางทีมงานกัลยาณธรรม มากๆ ครับที่สละเวลามาตอบปัญหา ขอบคุณมากๆ ครับ ขอความกรุณาด้วยนะครับ ! ขอให้ดร.สนอง และทางทีมงาน สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ และสมปรารถณาในธรรม .

คำตอบ
  (๑). ตอบว่า ไม่ใช่ พัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌานได้ ต้องปฏิบัติสมถกรรมฐาน จนกระทั่งจิตเข้าถึงสภาวะตั้งมั่นแนวแน่ (อัปปนาสมาธิ) จึงจะเรียกได้ว่าจิตทรงฌาน

  (๒). เหตุที่นำพาจิตให้เข้าถึงอุปจารสมาธิได้ อย่างน้อยต้องปฏิบัติให้เป็นลำดับขั้นตอนดังนี้

     ๑. มีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น

     ๒. มีสัจจะคุมใจ

     ๓. มีความเพียร ปฏิบัติสมถภาวนาในทุกอิริยาบถ อย่างต่อเนื่องและยาวนาน

     ๔. ประพฤติมักน้อยในการบริโภค

     ๕. ประพฤติมักน้อยในการพูดจา , การฟัง , การดู

         ฯลฯ

   (๓). ผู้ใดประพฤติตรงข้ามกับ (๒) ย่อมเป็นเหตุทำให้การพัฒนาจิต เข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ
  

1304.
ขอความกรุณาอาจารย์สนองช่วยตอบคำถามดังนี้ค่ะ

1. เวลาสวดมนต์ต้องสวดแบบที่พระสวดไหมค่ะ ปกติจะสวดแบบอ่านหรือท่อง ไม่เป็นทำนองอย่างพระสวด

2. เวลาอุทิศบุญกุศลควรจะเจาะจงชื่อไหม เคยอ่านเจอว่าควรเจาะจงให้ชัดว่าให้ใคร แล้วถ้าอุทิศแบบบทสวด
อิทัง เม... บุญเราจะเหลือพอให้คนที่เราเจาะจงอยากให้ไหมค่ะ เพราะบุญเราอาจมีแค่น้อยนิด แล้วก็อุทิศทุกวัน

3. อาชีพขายเครื่องบำรุงผิว เครื่องสำอางค์เป็นอาชีพไม่ดีหรือเปล่าค่ะเพราะทำให้คนหลงในรูปกายภายนอก แต่คิดว่าคนทางโลกยังต้องให้รูปเป็นตัวช่วยในการหาเลี้ยงชีพอยู่


ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
   (๑). การสวดมนต์ที่มีระเบียบสูงต่ำ มีจังหวะสั้นยาว (ทำนอง) หรือการอ่านบทมนต์แบบออกเสียง หากสวดหรืออ่านบทมนต์ แล้วเข้าใจความหมายที่กล่าวไว้ในบทมนต์ ย่อมเข้าถึงอานิสงค์เหมือนกัน คือ เป็นบ่อเกิดแห่งบุญ ด้วยทำให้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และทำให้เกิดความเห็นถูกตรงได้

  (๒). หากผู้มีบุญได้อุทิศบุญเจาะจงให้กับผู้หนึ่งผู้ใดที่อยู่ในวิสัยสื่อถึงกันได้ และผู้นั้นมาอนุโมทนาบุญ ความสำเร็จของการอุทิศบุญย่อมเกิดขึ้น ส่วนผู้ที่มิได้ถูกระบุชื่อจึงไม่มีสิทธิ์มารับบุญที่มีผู้อุทิศ

   อนึ่ง ตามกฎแห่งกรรม ผู้อุทิศสิ่งใดให้กับผู้อื่น ผู้อุทิศย่อมมีมากในสิ่งนั้น ดังนั้นผู้มีปัญญาเห็นถูก จึงอุทิศบุญได้ทุกวัน

   (๓). อาชีพขายเครื่องบำรุงผิว เครื่องสำอาง ในสังคมโลกถือว่าเป็นอาชีพที่ดี เพราะประพฤติแล้วไม่ผิดกฎหมาย ประพฤติแล้วทำให้ได้ปัจจัยมาบำรุงเลี้ยงชีวิตให้มีความสะดวกสบาย และมีความสุขในเบื้องต้นได้
  

1303.
กราบสวัสดี อาจารย์ดร.สนอง วรอุไร

   ผมได้ฟังการบรรยายธรรมจากทางเว็ปไซด์ มีความเลื่อมใสในความรู้และการประพฤติตัวเป็นอริยะบุคคลของอาจารย์ ผมขอกราบเรียนถามขอความกรุณาอาจารย์ด้วยครับ

   1. ผมทำงานหลักเป็นนักออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ใช้คอมพิวเตอร์ ต้องโปรแกรมหลายโปรแกรมที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ทราบว่ามันบาปกรรมมากไหมครับ ผลกรรมมันจะเป็นอย่างไรครับ ตอนนี้ผมก็สวดมัน สวดมนต์ อาราธนาศีล 5 ก่อนนอน นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อษิฐานจิตก่อนนอนทุกคืน ไม่ทราบว่ามันขัดกันไหมครับ

   2. ผมอยากทำงานประสบความสำเร็จทางโลกให้สูงที่สุดและนำปัญญาที่ได้ไปศึกษาเรื่องทีต้องใช้ปัญญาขั้นสูง เช่น เรื่องมนุษย์ต่างดาว ฯ โดยใช้หลักการปฏิบัติธรรมเป็นหลัก อยากฝึกจริง ๆ จัง ๆ เท่าที่ฟังจากท่านอาจารย์ ผมสนใจเรื่องปัญญาจากฌาน และเรื่องอภิญญา โดยผมฝึกแบบเป็นฆราวาส ไม่ทราบท่านอาจารย์บอกแนะแนวหรือแนะสถานที่ฝึกได้ไหมครับ

   3. อยากถามท่านอาจารย์ครับ เนื่องจากผมปัญญายังน้อยเลยอยากถามท่านอาจารย์ว่า หลังจากนิพพานแล้วเราอยากทำสิ่งใดในสิ่งที่เราอยากรู้ได้ไหมครับ เรามีหน้าที่ที่ต้องทำอะไรอีกไหม สภาวะจิตมันเป็นอย่างไร อยากให้ขยายความหน่อยครับ

   ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถาม
    ขอให้ท่านอาจารย์ประสพแต่ความสุขตลอดไปครับ

คำตอบ
    (๑) การกระทำที่บอกเล่าไปถือว่าเป็นบาป ผู้ใดยังประพฤติอยู่ ผู้นั้นยังสามารถปฏิบัติธรรม คือ สวดมนต์ได้ นั่งสมาธิได้ อธิษฐานได้ ฯลฯ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ และหากถึงเวลาที่จิตทิ้งขันธ์ลาโลกแล้ว พลังบาปยังมีโอกาสผลักดันจิตให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิได้ ด้วยสาเหตุที่ประพฤติธรรมไม่สมควรแก่ธรรมนั่นเอง

   (๒) ผู้ใดประสงค์ความสำเร็จในทางโลก ต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรงดังนี้ คือ
        ๑. เลือกทำแต่งานดี (ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม)
        ๒. มีทัศนคติในการทำงานถูกต้อง อาทิ ทำงานเพื่อเรียนรู้ตน เรียนรู้งาน ทำงานเพื่อให้สิ่งดีงามแก่สังคม ทำงานให้สำเร็จ ทำงานแล้วเสร็จทันเวลา ผลงานเข้าตา ทำงานเพื่องาน ฯลฯ
        ๓. พัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งและดี คนเก่งคือคนที่มีความรู้มีความสามารถ คนดีคือคนที่มีคุณธรรม จะมีคุณธรรมได้ ต้องประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับตน เช่น ประพฤติตนเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นพนักงานที่ดี เป็นพลเมืองดี ฯลฯ
        ๔. คบคนดีเป็นมิตร
             ฯลฯ

ผู้ใดปรารถนาพัฒนาจิตให้เข้าถึงอภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เจโตปริยญาณ ทิพพจักขุ) ต้องปฏิบัติสมถภาวานาจนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (จิตทรงฌาน) ได้เมื่อใดแล้ว นำจิตออกจากความทรงฌาน อภิญญา ๕ จึงจะเกิดขึ้นได้ ผู้ตอบปัญหาไม่แนะนำให้มุ่งพัฒนาจิตไปในแนวทางนั้น เพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ตรงกันข้ามแนะนำผู้ถามปัญหาให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงค์ จังหวัดอยุธยา เพื่อพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ซึ่งสามารถใช้เป็นศัสตรากำจัดกิเลสที่มีอำนาจเหนือใจให้หมดไป แล้วการพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

   (๓)  ผู้ตอบปัญหาไม่มีประสบการณ์ จึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่พระสารีบุตรได้ตอบปัญหาในลักษณะนี้ให้กับ ชัมพุขาทกะ ปริพาชกนอกพุทธศาสนาว่า

ชัมพุขาทกะ : นิพพานเป็นอย่างไร

พระสารีบุตร : ความสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ สภาวะของจิตเช่นนี้แหละ เรียกว่า นิพพาน

อนึ่ง เคยมีผู้ถามปัญหานี้กับหลวงพ่อประสิทธิ์ (มรณภาพแล้ว) แห่งถ้ำยายปริก เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรีว่า

ผู้ถาม : บางคนบอกว่าพระอรหันต์ มาเยี่ยมผู้ปฏิบัติธรรมแสดงว่า รูปนามนั้นยังไม่ดับสิครับ

ลพ. ประสิทธิ์ : รูปนามดับ ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งดับ อาการทางจิต (เจตสิก) เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมตตา สติ ปัญญา ฯลฯ ดับ แต่ใจไม่ดับ เข้าใจไหม

ผู้ถาม : พระพุทธองค์เคยตรัสว่า หลังจากพระองค์นิพพานแล้ว จะไม่มีใครได้เห็นพระองค์อีก ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ แต่ปัจจุบันยังมีผู้ปฏิบัติธรรมบอกว่า พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วมาสั่งสอนธรรม

ลพ. ประสิทธิ์ : จะจริงก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้เห็นพระขีณาสพ (พระอรหันต์) เพราะเจตสิกและความนึกคิดปรุงแต่งของท่านไม่มี นอกนั้นล้วนเป็นสภาวธรรมที่มากระทบทั้งสิ้น
  

1302.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ

คือผมกำลังจะสอบเป็นผู้พิพากษา จึงอยากจะถามอาจารย์สนอง ว่าผมจะดำเนินชีวิตเป็นผู้พิพากษาอย่างไร ที่จะไม่ตกนรกและดวงตาเห็นธรรม โดยปฏิบัติอย่างไรครับต้องฝีก ให้ได้ถึงระดับใด ซึ่งผมพยามหาเสียง ที่อาจารย์ไปบรรยายให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาฟังเมือวันที่ ๑๑ พฤษาคม ๒๕๕๑ แต่หาฟังไม่ได้ ในหัวข้อการเป็นข้าราชการ

คำตอบ
   การประกอบอาชีพตุลาการที่ปลอดภัย ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีเทวดาคุ้มรักษา ด้วยประพฤติตนอย่างน้อยให้มีเบญจศีล และเบญจธรรมคุ้มรักษาใจอยู่ทุกขณะตื่น หรืออย่างมากต้องปฏิบัติธรรม จนสามารถปิดอบายภูมิ (โสดาบัน) ได้แล้ว อาชีพตุลาการที่เสี่ยงต่อการไปเกิดอยู่ในอบายภูมิย่อมหมดไป

   เบญจศีล ได้แก่ เว้นจากการทำลายชีวิต เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดไม่ตรงความจริง และเว้นจากการเสพของมึนเมาอันเป็นเหตุให้ขาดสติ

   เบญจธรรม ได้แก่ เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะ และสติสัมปชัญญะ (คุณธรรมทั้งห้านี้ต้องประพฤติให้เกิดมีขึ้นกับตนเอง)

   อนึ่ง คำบรรยายเรื่อง “ ธรรมะกับการปฏิบัติงานของผู้พิพากษา ” ที่แสดงให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาฟัง เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น ผู้บรรยายขอสงวนสิทธิ์มิให้นำออกเผยแพร่ ณ เวลานี้
  

1301.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ

รบกวนขอถามว่า นรกหรือสวรรค์ของฝรั่ง,อิสลาม จะเป็นอย่างไร ในเมื่อฝรั่งหรือชาวคริสต์ เค้าไม่ได้สอนเรื่องการห้ามดื่มสุรา นรกสวรรค์ของเค้ากับเราชาวพุทธต่างหรือเหมือนกันอย่างไรครับ

คำตอบ
    นรกหรือสวรรค์ของฝรั่ง ของอิสลาม เป็นอย่างไร ผู้ตอบปัญหามิทราบ เพราะไม่มีประสบการณ์ แต่มีประสบการณ์ตรงที่ว่า คนที่นับถือศาสนาอื่น ที่มารับโทษอยู่ในเรือนจำของประเทศไทย มีจิตหมดอิสรภาพเหมือนกัน ต้องมารับสมมุติแบบไทย คือนักโทษกินข้าว และต้องสื่อสารกันด้วยภาษาไทย เมื่อถูกทำโทษถึงขั้นประหารชีวิต มีสภาวะของจิตหลุดออกจากร่างกายเหมือนกัน ฯลฯ
  

 

 

 

 

 

 

browser stats