1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1401-1450
1450.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง

      ดิฉันได้เคยกราบเรียนสอบถามท่านอาจารย์ทางเว็บไซต์กัลยาณธรรมมาหลายครั้งแล้ว ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ได้กรุณาแก้ข้อสงสัยให้แก่ดิฉันทุกครั้ง และดิฉันได้นำสิ่งที่ท่านตอบมาใช้ตามสติปัญญาที่ดิฉันทำได้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ดิฉันได้พยากรณ์ภูมิธรรมของท่านแก่บุคคลอื่นด้วยความปากไวไม่คิด

   ดิฉันมาทราบทีหลังว่าเป็นกรรมที่หนักมากหากมีความผิดพลาด ซึ่งอันที่จริงไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว   ดิฉันจึงขอกราบขออโหสิกรรมแก่ท่านอาจารย์ (ดิฉันยังได้เคยพยากรณ์พระอาจารย์ท่านอื่นอีก ดิฉันจะพยายามไปขออโหสิกรรมกับท่านเช่นกันค่ะ)

    นอกจากนี้หากดิฉันได้เคยกระทำการล่วงเกินท่านไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม   ลืมไปแล้วหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะทางกาย วาจา หรือใจก็ตาม ไม่ว่าในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติก็ตาม   ขอให้ท่านได้โปรดให้อโหสิกรรมแก่ดิฉันด้วยค่ะ และดิฉันจะเลิกนิสัยพยากรณ์ จะไม่ทำอีกต่อไปในชีวิตนี้ค่ะ

    สุดท้ายนี้ ดิฉันขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้ท่านอาจารย์มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากทุกข์โรคภัยอันตรายใดๆ ทั้งปวง เป็นที่พึ่งแก่ชาวพุทธที่ยังคงแสวงหาวิธีการพัฒนาตัวเองตลอดไปค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ณพมาศ เขียววิมล

คำตอบ
   ปากไว ไม่คิดให้รอบคอบ เป็นลักษณะของคนที่มีปกติขาดสติคุมใจ จึงชอบเอาจิตไปผูกติดเป็นทาสกับสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ฯลฯ ....อโหสิ

   ผู้ใดประพฤติตนให้มีศีลและสัจจะคุมใจได้แล้ว กายย่อมศักดิ์สิทธิ์ จิตย่อมศักดิ์สิทธิ์ การเลิกนิสัยพยากรณ์ย่อมทำได้ไม่ยาก อนึ่งคนที่มีโอกาสเข้าถึงความดีงามได้ในวันข้างหน้า ต้องรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วความสมปรารถนาจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
  

1449.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง

   ผมมีคำถาม เกี่ยวกับความเหมาะสมบางอย่างกับครูบาอาจารย์

   เรื่องมีอยู่ว่า ผมเคยเรียนสมาธิในชั้นเรียนกับครูสอนสมาธิท่านหนึ่ง สัปดาห์ละ 1 ชม. เป็นเวลานานกว่า 2 ปี

   ต่อมาผมพบว่าจริตและแนวทางในการปฏิบัติไปด้วยกันไม่ได้ จึงเลิกไม่เข้าเรียนอีกต่อไป โดยไม่ได้กราบเรียนให้ท่านทราบผมมาเลิกเด็ดขาด เมื่อท่านสอนในชั่วโมงหลายครั้งว่า ให้ปฏิบัติเพื่อเป้าหมายในการล้างรื้อสังสารวัฏเพื่อจองสวรรค์ชั้นดุสิต ไปอยู่รวมกัน เพื่อรอลงมาเกิดด้วยกันในชาติสุดท้ายในเวลาต่อมา การปฏิบัติของผมลุ่มๆ ดอนๆ จนกระทั่งมาเรียนกับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านสอนให้ฝึกสติในชีวิตประจำวัน และเรียนรู้กายใจของตัวเองเป็นหลักจึงเริ่มปรับตัวละทิ้งมิจฉาสมาธิ และล้างความเข้าใจเดิม และต่อมาได้พบกัลยาณมิตร 2 ท่านซึ่งเรียนสมาธิในชั้นเรียนดังกล่าวด้วยกันได้กรุณาตักเตือนผม ให้แยกให้ออกระหว่างสิ่งที่ครูสมาธิท่านสอนกับความสัมพันธ์ฉันท์ ครู-ลูกศิษย์ซึ่งผมยังคงความเคารพท่านเสมอ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ท่านเคยสอนสมาธิให้ จนสนใจและเริ่มเรียนรู้พุทธศาสนาอย่างจริงจังต่อมาเมื่อได้พบกันโดยบังเอิญ 2 ครั้ง ผมยังมองเห็นความปรารถนาดีของท่าน ที่แนะนำให้ผมทราบว่า ผมควรไปพบครูบาอาจารย์ในสายของท่าน เพื่อแก้ไขในสภาวะที่ผมพบในระหว่างนั่งสมาธิในชั้นเรียนของท่าน

   ( เมื่อพบว่า จริตไปด้วยกันไม่ได้ ผมไม่สามารถนั่งสมาธิในชั้นเรียนได้เลย เพราะจิตใจไม่ยอมรับ ต่อต้านและขัดแย้งกับคำสอนของท่านตลอด)

   คำถามคือ ผมควรใช่ธรรมะข้อใด ปรับใช้กับจิตใจของตนเอง เพราะในใจยังคงคิดถึงท่าน โดยเฉพาะการหายหน้าไปเฉยๆ โดยไม่ได้บอกกล่าวที่ผ่านมา ผมพยายามใช้อุเบกขาและเมื่อฝึกสติมากๆ เข้า ก็พยายามมีสติ ดูจิตใจของตนเองเท่านั้นผมควรเข้าไปเรียนท่านตรงๆ หรือไม่ครับ ว่าผมเปลี่ยนไปปฏิบัติสายอื่นแล้ว

    เรื่องนี้ยังคงค้างคาในใจผมตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเกิดผัสสะขึ้น ไม่ว่าจะเผลอคิดถึงท่าน หรือได้เจอกับอดีตเพื่อนร่วมชั้นและโดยเฉพาะเมื่อพบกับท่านโดยบังเอิญ

   ขอแสดงความนับถือและเคารพอย่างสูง

คำตอบ
   เรื่องใดยังค้างคาใจ หรือยังไม่หายไปจากใจ แสดงว่าใจของผู้นั้นขาดสติคุม ตรงกันข้าม ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติคุมอยู่ทุกขณะตื่น กิเลสคืออารมณ์ปรุงแต่งของใจย่อมไม่ปรากฏมีขึ้น ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วปฏิบัติสมถภาวนา โดยมีสัจจะ มีขันติ และมีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน โอกาสที่ปัญหาค้างคาใจหมดไป ย่อมมีได้เป็นได้
  

1448.
ขอกราบเรียนถามท่านอ.ดร.สนองดังนี้ค่ะ

1. ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนที่มีวิตกจริตหรือโทสะจริต เราจะดูอย่างไรคะ เพราะเป็นคนคิดมาก วิตกกังวลตลอดเวลา และถ้ามีเรื่องอะไรก็โกรธง่าย หายช้า แค้นฝังลึกด้วยค่ะ

2. คนที่มีวิตกจริตควรปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแบบใดจึงจะเหมาะกับจริตคะ

3. คนที่มีโทสะจริตควรปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแบบใดจึงจะเหมาะกับจริตคะ

4. ปัจจุบัน จิตหนูมีแต่ความทุกข์บีบคั้น หนักอึ้งเหมือนเอาลูกตุ้มมาแขวนไว้ หดหู่ สภาพใจเหมือนโดนคนรุมซ้อมมาตลอดเวลา เพราะเข้าใจว่ากำลังเสวยวิบากทางมโนกรรมอยู่ค่ะ ควรปฏิบัติธรรมอย่างไร ให้วิบากนี้หมดไปเร็วขึ้นคะ

ขอกราบขอบคุณท่านอ.ดร.สนองและอนุโมทนาในกุศลเจตนาของท่านอาจารย์ที่เมตตาช่วยเหลือสัตว์โลกด้วยค่ะ

คำตอบ
    (๑). คำว่า “ จริต ” หมายถึง กิริยาอาการของจิต เมื่อใดจิตสั่งร่างกายให้แสดงออกเป็นพฤติกรรม บุคคลจึงสามารถสัมผัสได้ ด้วยเหตุที่บุคคลมีการตาย-การเกิดเป็นรูปนาม นับภพชาติไม่ถ้วน ประสบการณ์ที่จิตเก็บสั่งสมในแต่ละภพชาติ จึงมีไม่เหมือนกัน การแสดงพฤติกรรมจึงมีได้หลายอย่าง อันมีผลทำให้จริตมีมากแบบ เป็นความรักสวยรักงาม ความละมุนละไม (ราคจริต) ใจร้อนหงุดหงิด (โทสจริต) ซาบซึ้งเลื่อมใส (สัทธาจริต) คิดฟุ้งซ่านจับจด (วิตกจริต) ง่วงเหงางมงาย (โมหจริต) ชอบคิดพิจารณาวิเคราะห์ (พุทธิจริต) ซึ่งคนในปัจจุบันนิยมตัดสินจริตของคน ด้วยพฤติกรรมที่แสดงออกเด่นชัด ผู้ถามปัญหาจึงต้องดูตัวเองและตัดสินใจด้วยตัวเองว่า มีจริตอย่างใดเด่น มีจริตอย่างใดเป็นรอง (จริตผสม)

   (๒). คนที่มีวิตกจริตเด่น ควรนำเอากสิณ ดิน น้ำ ไฟ ลม แสงสว่าง ช่องว่าง หรือกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานสติ) หรือกำหนดช่องว่างหาที่สุดมิได้ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ กำหนดภาวะไม่มีอะไรเลย กำหนดภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (อรูป ๔) เป็นอารมณ์ ทั้งนี้ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง มาเป็นองค์บริกรรม กรรมฐานใดที่นำมาใช้บริกรรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จงเลือกวิธีบริกรรมเช่นนั้นมาปฏิบัติ

   (๓). คนที่มีโทสจริตเด่น ควรนำเอากสิณ ๑๐ (ดิน น้ำ ไฟ ลม สีเขียว เหลือง แดง ขาว แสงสว่าง ช่องว่าง) หรือ อัปปมัญญา ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) หรือ อรูป ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งมากำหนดเป็นอารมณ์ กรรมฐานใดที่นำมาใช้บริกรรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จงเลือกวิธีบริกรรมเช่นนั้นตลอดไป

   (๔). ใครผู้ใดเอาจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ เช่น จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก โดยจิตไม่เคลื่อนออกไปรับเอาสิ่งกระทบภายนอกอื่น เข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ ปัญหา (ความทุกข์) จะไม่ปรากฏขึ้นกับผู้นั้น
  

1447.

1. ผมอยู่แถวลาดพร้าว-รามอินทรา-พหลโยธินครับ ท่านอาจารย์พอจะแนะวัดที่ไม่ไกลมาก และ พระอริยะเจ้าที่ผมจะขอท่านเป็นกัลยาณมิตร ที่ผมพอจะขอคำสอนจากท่าน เรื่องกรรมฐานสติปัฎฐานสี่บ้างได้ไหมครับ ผมไปเชียงใหม่บ่อยๆไม่ได้ครับ

2. อริยะเจ้าชั้นโสดาบันจะไม่กลัวตายเลยใช่ไหมครับและพอถึงแล้วจะรู้ได้ด้วยตัวท่านเองเลยใช่ไหมครับ

3. มะเร็งสามารถหายได้หรือไม่ครับ ผมเคยเห็นอริยเจ้าท่านเป็นมะเร็ง แต่เข้าใจว่าบางท่านคงจะไม่รักษาตัวเอง แต่ท่านจะดูมันแล้วปล่อยไปตามธรรม ใช่หรือไม่ครับ

4. ผมเคยฝึกมโนมยิทธิ แต่จิตรับรู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังสงสัยในสิ่งที่ปฏิบัติ ไม่มั่นใจ ว่าสิ่งที่รู้นั้นเป็นอุปทานหรือไม่ จะรู้ว่าเป็นอุปทานหรือจริงได้อย่างไรครับ และ   จะเรียกว่าผมมีวิจิกิจฉาหรือไม่มั่นใจในการปฏิบัติของตัวเองครับ

  สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ ถ้าคำถามใดล่วงเกินและไม่ควรถามเนื่องจากอวิชชาของผม ผมขอขมาต่อท่านอาจารย์และพระรัตนไตรด้วยครับ

คำตอบ
    (๑). แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดทับทิมแดง หลังตลาดไท หากผู้ถามปัญหามีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วเอาตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม โดยมีความเพียร มีสัจจะ เป็นเครื่องสนับสนุน พร้อมทั้งไม่นำตัวเป็นน้ำชาล้นถ้วย คือทำเป็นคนโง่ ปฏิบัติตามคำชี้แนะของครูผู้สอนโดยไม่สงสัย แต่ทำตัวให้เกิดผลตรงตามที่สอนได้แล้ว โอกาสเข้าถึงธรรมจึงเป็นได้

   (๒). ใช่ครับ และใช่ครับ

   (๓). หายได้ หากเจ้ากรรมนายเวรยกเลิกการจองเวร หรือประพฤติตนให้เป็นผู้มีความเห็นถูก อยู่กับมะเร็งโดยไม่เบียดเบียนกันและกัน

   (๔). คำว่า “ อุปทาน ” หมายถึง ความถือมั่นด้วยอำนาจของกิเลส ผู้ใดดับการคิดปรุงแต่งของจิต (จิตสังขาร) ได้ สิ่งที่จิตสัมผัสได้ จึงเป็นเหตุผลระดับโลกิยะ และหากผู้ใดพัฒนาจิต จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งที่มีกำลังกล้าแข็งได้แล้ว ความสงสัยในกฎแห่งกรรม ความสงสัยในคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของอริยสงฆ์ ความสงสัยในคุณของเทวดา ฯลฯ ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ย่อมหมดไปจากใจ
  

1446.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ค่ะ

   ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มากๆค่ะที่ให้คำแนะนำก่อนหน้านี้ และขอรบกวนถามคำถามเพิ่มเติมค่ะ

๑). ก่อนหน้านี้เคยคิดรำคาญและหนีปัญหาจากบิดา คือว่าบิดานั้นแยกทางกับแม่ไป และบิดาเป็นคนพูดจาไม่ไพเราะ เอาแต่ใจตนเอง และชอบโทรศัพย์มาหาในยามวิกาล(คือตัวหนูอยู่ที่อเมริกาค่ะ) เพ่ือขอเงินซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก ถ้าเราบอกว่าไม่มีก็ไล่ให้เราไปยืมเงินคนอื่นเพื่อเอามาให้ หนูก็เลยไม่ทำตามและเปลี่ยนเบอร์โทรศัพย์หนี เพราะหนูคิดว่าเราเองก็ให้แกเป็นประจำอยู่แล้วทุกเดือน(ให้มาก่อนหน้าและตั้งใจว่าจะให้จนกว่าชีวิตแกจะหาไม่) ซ่ึงมันเป็นเงินไม่มากเพราะเราเองก็ต้องเลี้ยงดูแม่และป้าผู้เปรียบเสมือนแม่อีกคน การกระทำอย่างนี้ถือว่าขาดคุณธรรมหรือไม่ค่ะ โดยส่วนตัวแล้วรักบิดาค่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านประพฤติผิดศีลที่ทำให้เรารู้สึกผิดหวังและหมดศรัทธา แต่ตอนนี้เริ่มนำธรรมะของพระพุทธองค์มาคุมใจ เริ่มคิดได้ว่ามันใม่ใช่เรื่องของเรา แต่ความเห็นผิดก่อนหน้านี้เป็นอกุศลกรรมที่ใหญ่มากใช่ไหมค่ะ  

๒). ความคิดที่ว่า "ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ คิด พูด ทำ อะไรก็ได้มันเป็นเรื่องของเขา ส่วนเราจะ คิด พูด ทำ อะไรนั้นมันเป็นเรื่องของเรา" พ่อจะเลิกกับแม่ พ่อจะมีผู้หญิงคนอื่น น้องชายจะติดยา น้องชายจะทะเลาะกับแม่ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของเขาอย่าเข้าไปยุ่ง เป็นความเห็นที่ถูกต้องใช่ไหมค่ะ แต่บางครั้งมีความสงสารแม่จับใจ การสงสารนี้จะเป็นมิจฉาทิตฐิหรือเปล่าค่ะ

๓). กรณีของคนที่มาอยู่ต่างประเทศแต่อยู่ในสถานะผิดกฏหมายนี้ถือว่าบาปมากไหมค่ะ การที่มาอยู่แล้วไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศเขา บริจาคโลหิตหรือทรัพย์ที่หาได้บางส่วนให้บางมูลนิธิของที่นี่บ้าง การทำเช่นนี้พอที่ทดแทนใด้บ้างไหมค่ะ และเราควรตอบแทนประเทศที่อยู่ได้อย่างไรบ้าง

๔). การทำงานแล้วเราเห็นเพื่อนร่วมงานปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง แล้วเป็นเหตุให้องกรณ์ต้องเสียทรัพย์หรือทำให้องกรณ์เสียความเป็นมาตฐานของสินค้า เราเองไม่สามารถที่จะตักเตือนใด้เพราะเพื่อนร่วมงานมีความอาวุโสกว่า แล้วเราก็ไม่อยากจะฟ้องหัวหน้าเพราะไม่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนกรรม โดยคิดว่าเดี๋ยวหัวหน้าก็เห็นด้วยตัวเขาเอง การวางเฉยเป็นการกระทำที่เห็นถูกแล้วใช่ไหมค่ะ

๕). โดยอุปนิสัยส่วนตัวแล้วเป็นคนขี้เล่น ชอบพูดจาตลกเพ้อเจ้อ ช่างจินตนาการ หาสาระไม่ได้ สมาธิสั้นเลยเรียนไม่เก่งเลยมาตั้งแต่เด็ก ตอนแรกที่เริ่มพัฒนาจิต คือกำหนดรู้ในภาวะที่เป็นปัจจุบัน หยุดพฤติกรรมที่จะทำให้จิตฟุ้ง เช่น พอได้ยินเสียงเพลงในที่ทำงานแต่ก่อนหน้านี้จะร้องตามแล้วเต้นตาม เป็นที่ชื่นชอบให้กับเพื่อนร่วมงานทุกคน แต่พอเริ่มปฏิบัติก็พยายามกำหนดว่า ใด้ยินหนอ แล้วพูดแต่ที่จำเป็น มีความรู้สึกว่าเป็นการเปลี่ยนตัวเองอย่ามโหฬารแล้วเกิดภาวะเครียดมากค่ะ มีอาการมึนและปวดหัวมาก(ซึ่งอาการทั้งหมดเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว) ก็เลยหยุดไปซักพัก ทำอย่างนี้ถูกหรือไม่ค่ะ แล้วมีคำถามมากมายเกิดขึ้นว่า จะหาทางสายกลางในการปฏิบัติจิตอย่างไรดี หรือว่าทำไปเรื่อยๆไม่ต้องหยุด เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองค่ะ

๖).การเดินจงกลม คำบริกรรมนั้นเป็นอย่างไรก็ได้ใช่ไหมค่ะ ขอเพียงแค่จับสติให้อยู่กับอิริยาบทได้ เพราะเคยลองกำหนด "ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ" แล้ว แต่สุดท้ายกลายเป็นการท่องจำ ส่วนสตินั้นเตลิดไปไหนต่อไหนเลยค่ะ ตอนนี้เลยกำหนดว่า "เอาล่ะน๊ะ ยกล่ะน๊ะ ยกๆๆ เอ้าจะย่างล่ะน๊ะ ย่างๆๆ เอ้าจะเหยียบล่ะน๊ะ เหยียบๆๆ" บางครั้งเกิดข้อสงสัยว่าการกำหนดอย่างนี้ จะเกิดปัญญาเห็นแจ้งใด้หรือไม่ค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์รวมถึงคณะผู้จัดทำด้วยค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

คำตอบ
    (๑). คุณธรรมเกิดขึ้นได้จากการประพฤติจริยธรรม ผู้ใดประพฤติจริยธรรมให้ถูกตรงกับสภาวะที่ตนเป็น (เป็นลูก) ได้แล้ว เกิดเป็นความสบายใจ อย่างนี้จึงจะเรียกว่า คุณธรรม หากประพฤติช่วยเหลือพ่อแม่ แล้วไม่สบายใจ หรือประพฤติแล้วเบียดเบียนตัวเอง ไม่เรียกว่าประพฤติจริยธรรม และยังมีบาปอีกด้วย

   ผู้ใดใช้ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นเครื่องส่องนำทางชีวิต อุปสรรคและปัญหาของชีวิตย่อมเกิดขึ้น อกุศลกรรมนี้จะใหญ่มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิตที่ผู้นั้นมีอยู่ คนที่ประพฤติคอรัปชั่นแล้วไม่สำนึกว่าเป็นความผิด อกุศลกรรมนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา ตรงกันข้าม คนที่ขโมยเงินพ่อแม่ในครั้งที่ยังเป็นเด็ก แล้วมาสำนึกผิดได้ในภายหลัง ทำให้ไม่สบายใจ อกุศลกรรมนั้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา

   (๒). บุคคลมีสิทธิ์ในชีวิตของตัวเอง พระพุทธะเป็นผู้รู้จริง มิได้สอนให้เข้าไปก้าวก่ายล่วงในชีวิตของผู้อื่น แต่ทรงชี้ทางว่า ประพฤติแบบนี้ให้ผลเป็นอย่างนี้ ประพฤติแบบนั้นให้ผลเป็นอย่างนั้น แล้วผู้ถูกสอนต้องเลือกประพฤติด้วยตัวเอง ฉะนั้นการไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น จึงเป็นความเห็นที่ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธะ เว้นไว้แต่ว่า เมื่อใดเขาศรัทธาและอนุญาตให้เราเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้ เราจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปก้าวล่วง

   อนึ่ง แม่เคยสร้างหนี้เวรกรรมไว้กับคนอื่นมาก่อน เมื่ออกุศลกรรมให้ผล แม่จึงต้องรับผลแห่งอกุศลวิบากนั้น ส่วนความสงสารเป็นหนึ่งในคุณธรรมที่พรหมทุกองค์มีอยู่ แต่หากสงสารแล้วช่วยเหลือเขาไม่ได้ จำเป็นต้องปล่อยวาง อย่างนี้จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิระดับโลกิยะ

   (๓). คำว่า “ บาป ” หมายถึง ความไม่สบายใจ ไม่สบายกาย หากอาการไม่พึงปรารถนาทั้งสองมีมาก จะถือว่าบาปมาก ความประพฤติใดที่ผู้ถามปัญหาได้ทำแล้ว เกิดเป็นความสบายใจ สบายกาย อย่างนี้จึงจะถือว่าเป็นบุญ บุญและบาปเป็นคนละส่วนกัน ทดแทนกันไม่ได้ เมื่อใดบุญให้ผล ผู้มีบุญย่อมเสวยแต่ความสบายใจ สบายกาย ตรงกันข้าม เมื่อใดที่บาปให้ผล ผู้มีบาปย่อมได้รับผลเป็นความไม่สบายใจ ไม่สบายกาย

   ผู้ใดรู้คุณและตอบแทนคุณ แก่แผ่นดินที่ให้เราได้อยู่อาศัย ผู้นั้นมีความเจริญในชีวิตเป็นผลให้ได้รับ การทำตัวเป็นผู้ให้สิ่งดีงามในทุกรูปแบบ แก่แผ่นดินที่อยู่อาศัย เป็นสิ่งที่ผู้เจริญนิยมประพฤติกัน

   (๔). ผู้ใดไม่ประพฤตินอกเหนือหน้าที่ที่ตนมี แล้ววางเฉยได้ ผู้นั้นไม่ถือว่าประพฤติผิดหน้าที่ หากเห็นคนอื่นทำไม่ดีแล้ว ตัวเองไม่มีหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือน แล้ววางเฉย แต่เอาพฤติกรรมไม่ดีของเขามาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าเราจะไม่ประพฤติไม่ดีเช่นนี้

   (๕). การพัฒนาจิตให้เป็นผู้มีอารมณ์ สงบระงับ เป็นเรื่องดี แต่คนที่มีอารมณ์เครียด เป็นเรืองของจิตที่ขาดสติ รับสิ่งกระทบมาปรุงอารมณ์ไม่ดี ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบประสาททางร่างกาย ทำให้มึนและปวดศีรษะ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ปัญหานี้ให้ได้ ต้องสวดมนต์ก่อนนอน เมื่อล้มกายลงนอนแล้ว เอาจิตไปจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก จนกระทั่งนอนหลับไป หากประพฤติได้ผลตรงกับคำชี้แนะได้แล้ว ความเครียดจะหมดไป

   (๖). การเดินจงกรม ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับเท้าที่ย่างก้าว จะบริกรรมอย่างใดก็ได้ แต่ต้องมีจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถของเท้าที่กำลังย่างก้าว การเดินจงกรมเป็นการพัฒนาจิต ให้มีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิ มิใช่เป็นการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
  

1445.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพ

สับสนเหลือเกินค่ะ
    หนูเป็นพยาบาลค่ะ ทำงานค่อนข้างหนักมีโรคประจำตัวหลายโรคค่ะแต่ไม่ได้รักษาจริงจังก็เป็นๆหายๆมาตลอด(อ้างกับตัวเองว่าไม่มีเวลาเลยไม่ไปตรวจ)   หลังจากได้ไปปฏิบัติธรรมมา 7 วัน(ที่ตาณัง) หนูก็ไปตรวจเช็คร่างกายกับแพทย์เรื่องโรคกระเพาะอาหารที่เรื้อรังมาน เค้าก็นัดส่องกล้องที่กระเพาะกับลำไส้ค่ะ ในระหว่างที่เตรียมตรวจต้องรับประทานยาระบายอย่างแรงตัวนึง แต่แทนที่จะถ่ายกลับอาเจียนออกมามาก(มีอาการปวดไมเกรนกับปวดท้องมาก่อนกินยาค่ะ)อาเจียนจนหมดสติ หัวกระแทกพื้นค่ะต้องหามส่งรพ.(ผล CT scan ที่สมองปกติหัวก็ไม่แตกค่ะ)  

    น้องสาวเค้าไม่สบายใจเค้ากลัวว่าหนูจะไม่ปกติคืออาจจะวูบอีกหรือเป็นอะไรที่ร้ายแรง (เค้าเป็นคนแรกที่ไปพบหนูน้องตาค้างอยู่บนพื้นห้องน้ำค่ะ) น้องสาวหนูเลยติดต่อน้องผู้ชายคนนึงซึ่งเพื่อนเค้าบอกว่าแม่นมากๆ   ดูดวงผ่านมือถือบอกแค่วันเดือนปีเกิด แล้วก็ที่อยู่ค่ะ (เค้าจะได้ใช้จิตมาดูได้)   พอได้คุยกันเค้าก็ทักว่า"หัวพี่ไปโดนอะไรมา"(ถามทางโทรศัพท์)หนูก็ตกใจว่ารู้ได้ยังไง ก็เลยเล่าให้เค้าฟัง เค้าก็ให้ 1. ทำบุญ 2. ทำบังสกุลคนเป็น 3. หาไม้ไปค้ำต้นไม้(แบบประเพณีคนเหนือ) 4. ** ไม่ให้นั่งสมาธินานให้นั่งแค่นับลมหายใจ 20 ครั้งก็พอ** เค้าบอกว่าหนูมีองค์(อะไรไม่รู้) สิ่งที่มองไม่เห็นพยายามจะติดต่อด้วยอาจทำให้หนูเป็น..บ้า..ได้จากการปฏิบัติ หรือเจ้าอาจจะมาประทับทรงถ้านั่งนานเค้าจะหาทางมาเข้า หนูก็อธิบายแล้วว่าหนูเรียนวิปัสสนาไม่เคยนับลมหายใจแบบนั้น เค้าก็บอกว่าเค้ารู้เค้าก็ปฏิบัติมามากจนมาทำแบบนี้ได้ เค้ากลัวหนูจะบ้า ยังไม่ต้องไปแยกตัวกับจิตออกจากกันเดียวกลับมาไม่ได้(จริงๆแล้วแยกรูป นามต่างหากค่ะ) เค้าซีเรียสมากค่ะ อาจารย์

     พอฟังเสร็จหนูก็ปวดหัวเลยเพราะมันขัดกับที่เรารู้มา แล้วมันก็ขัดกับสิ่งที่เราต้องการจะศึกษาโดยใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือเท่านั้น   แต่เค้าก็ดูได้ตรงค่ะ เรื่องบ้านช่อง เรื่องน้องเรื่องแม่ก็ตรง เลยสับสนค่ะแล้วก็กลัวว่า ถ้าไม่ทำอย่างที่เค้าบอกจะแย่อาจวูบอีก สงสารพ่อ แม่ น้อง ที่ต้องเป็นห่วงค่ะ

ขออนุญาตเรียนถามอาจารย์ค่ะ

1. ควรทำอย่างไรดีคะ ?? หนูอยากทำในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนไว้ (ธรรมดาแล้วจะนั่งประมาณ ครึ่งชั่วโมงค่ะ)

2. เรื่องบังสกุลเนี่ย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนไว้ใช่ไหมคะ มันไม่น่าจะทำให้หายปวดหัวได้

    กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาค่ะ      

คำตอบ
    (๑). พระพุทธโคดม สอนพุทธบริษัทให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม มิได้สอนให้เชื่อคำพูดที่ออกจากปากของบุคคล ผู้ใดทำเหตุไว้ดี ทำเหตุไว้ถูกตรงตามธรรม ผลดีคือคุณธรรมย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ฉะนั้นผู้ถามปัญหา จะเชื่อตามที่ผู้รู้ไม่จริงพูด หรือจะเชื่อตามปัญญารู้แจ้งของพระพุทธะ พึงเลือกเอาตามที่ชอบ

   (๒). คำว่า “ บังสุกุล ” หมายถึง การที่พระสงฆ์ชักเอาผ้า ซึ่งเขาทอดวางไว้ที่ศพ ที่หีบศพ หรือที่สายโยงศพ พิธีกรรมแบบนี้ไม่มีปรากฏในครั้งพุทธกาล มีแต่เพียงว่า ให้ภิกษุไปเก็บเอาผ้าห่อศพที่เขาทิ้งแล้ว มาตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม และต่อมาในพรรษาที่ ๔ หมอชีวกโกมารภัคจ์ ทูลถวายผ้าเนื้อเลิศแด่พระศาสดา และทูลขอให้พระองค์อนุญาต ให้สงฆ์รับคฤหบดีจีวร จากมีผู้ศรัทธานำถวายด้วย พระพุทธะทรงอนุญาตตามที่หมอชีวกทูลขอ
  

1444.
เรียนอาจารย์ที่เคารพ
     เมื่อวันที่ 12-14 พ.ค. 53 หนูได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการการเสริมสร้างคุณธรรมฯ ที่คุรุสภาจัดให้กับครูทั่วประเทศ โดยกำหนดหลักสูตรการอบรมได้น่าสนใจมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ   สถานที่ที่ใช้คือวัดพระมหาธาตุ นครศรีธรรมราช มีการรับศีล 8 จากท่านเจ้าคุณ เจ้าอาวาสวัด เมื่อรับศีลเรียบร้อย ท่านก็กรุณาอธิบายความหมายตั้งแต่ ข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไปจนถึงข้อ 7 เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฟ้อนรำ........ฯ ท่านเจ้าคุณได้อธิบายว่า หน้าตาจะตกแต่งก็ได้เครื่องประดับแหวน สร้อย นาฬิกาจะสวมใส่ก็ได้ ดูอย่างนางวิสาขาบรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ยังแต่งตัวสวยไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเลย หนูฟังแล้วเกิดขัดแย้งในใจ แต่กลัวบาปจึงไม่อยากคิดต่อ ผลปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น สุภาพสตรีซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ทั้งหมด ลุกขึ้นมาทาหน้าทาปากวันละ 3 เวลา มีไม่กี่คนที่ยอมเอาเนื้อแท้มาดูกันรวมทั้งหนูด้วย  

   ขอรบกวนอาจารย์ช่วยขยายความที่ท่านเจ้าคุณท่านอธิบายด้วยเถิดค่ะ หนูไม่อยากให้คุณครูทั้งหลายเข้าใจผิด แล้วนำไปสอนลูกศิษย์ หรือแนะนำคนอื่นอย่างผิดๆซึ่งจะเป็นอันตรายมาก
                       ขอขอบพระคุณอย่างสูง
                         วัฒนา 

คำตอบ
    เมื่อใดที่พระสงฆ์บอกศีลแปดข้อ และผู้ฟังมีเจตนาทำใจให้ได้ตามที่บอก จึงรับเอาศีล ๘ มาประพฤติปฏิบัติโดยเฉพาะศีลในข้อที่เจ็ด ที่บอกว่า “ เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ทัดทรงดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง ” ใครผู้ใดสมาทานศีล ๘ แล้วยังไม่เว้นประพฤติตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ถือว่าศีล ๘ ยังขาด ยังทะลุ สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ คือปฏิบัติสมถภาวนา แล้วจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนา แล้วจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง

   เด็กหญิงวิสาขา บรรลุโสดาบันตั้งแต่มีอายุได้เจ็ดขวบ เมื่อโตเป็นสาวแล้วได้แต่งงานกับชายหนุ่ม จึงได้ชื่อว่า นางวิสาขา ยังสามารถร่วมประเวณีกับสามีของนางได้ จนกระทั่งมีลูกได้ถึงยี่สิบคน เพราะนาง วิสาขาโสดาบัน สมาทานศีล ๕ เท่านั้น หากผู้ใดปรารถนาพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล นับแต่พระอนาคามีขึ้นไป ต้องประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยการสมาทานศีล ๘ ความสมปรารถนาจึงจะมีโอกาสเป็นได้
   

1443.
ขอความอนุเคราะห์ตอบคำถามดังนี้ค่ะ

1. อาจารย์เคยตอบคำถามไว้ว่า " พระที่บำเพ็ญนิโรธสมบัติ ผู้ที่จะทำได้ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นอนาคามีขึ้นไป " หนูรู้จักพระท่านหนึ่งที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติทุกปี คุณพ่อคุณแม่ศรัทธาท่านมากและไปทำบุญกับท่านเป็นระยะโดยอยาก (แกมบังคับ) ให้ดิฉันทำบุญด้วยเสมอ ดิฉันก็ทำแต่ด้วยความไม่เต็มร้อย เพราะในใจไม่มีความศรัทธาในตัวท่านมากนัก ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดเหมือนกัน   แต่ก็พยายามตั้งใจทำโดยคิดซะว่าทำบุญกับพระสงฆ์ที่บำเพ็ญนิโรธสมบัติ ไม่ใช่ท่าน

คำถามคือ ดิฉันบาปไหม เป็นเพราะเหตุใดจึงรู้สึกอคติต่อท่านโดยไม่มีสาเหตุ จะละบาปตรงนี้อย่างไรดีคะ


2. ดิฉันเคยมีแฟนเราหาความสุขทางเพศกันแต่ภายนอก

คำถามคือ บาปหรือไม่คะ ?

 

3. หลังจากคบไม่นาน คุณพ่อคุณแม่ดิฉันไม่ชอบแฟนคนนี้ บังคับให้เลิกเด็ดขาดและให้ดิฉันออกจากงานทันที(เพราะทำงานที่เดียวกัน)ทั้งๆที่งานดิฉันกำลังเจริญก้าวหน้าดีมาก ฉันเสียใจมากที่ท่านไม่ให้ดิฉันเลิกเอง (ตั้งใจเลิกเพราะไม่อยากทำให้ท่านไม่สบายใจอยู่แล้ว) หลังจากนั้นดิฉันรู้สึกว่าศรัทธาในการทำดีมันตกลงอย่างมากเพราะดิฉันเป็นลูกที่ดีเสมอมาเรียนดีเป็นคนดีของสังคมไม่มีปัญหาใด  ( ครอบครัวดิฉันธรรมะธรรมโมมาตลอด ตั้งแต่เด็กดิฉันสวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจ) จากวันนั้นดิฉันไม่สามารถมีศรัทธาแน่วแน่ในการสวดมนต์นั่งสมาธิให้สมำเสมอได้เหมือนเดิม ทำได้เป็นพักๆ สามารถทำได้ในวันพระแต่เวลาอธิษฐานจะรู้สึกว่าพลังไม่แรงกล้าเหมือนเก่า พยายามตั้งสัจจะจะสวดมนต์ให้ได้สมำเสมออย่างน้อยเป็นช่วงเวลาก็ยังทำไม่ค่อยได้ ยอมรับว่าขี้เกียจจนเสียสัจจะ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดีและประมาทมาก แต่การทำบุญต่างๆ ทำกตัญูต่อบิดามารดายังทำสมำเสมอโดยตลอด  

คำถามคือ กรรมนี้เกิดจากอะไรคะและดิฉันจะแก้กรรมตรงนี้อย่างไรดีคะ เพื่อให้กลับมามีความเพียรอันแน่วแน่ เพื่อปฏิบัติธรรมให้ได้ยิ่งๆขึ้นไป

 

4. ประมาณ 3 ปีหลังจากที่เสียใจมากจากแฟน ก็มาเจอพี่คนหนึ่งเรียนต่อด้วยกันดูเป็นคนดีมากแต่งงานแล้ว ใจดิฉันชอบพี่อีกคนหนึ่งที่โสดและปรึกษาพี่คนแรกเรื่องนี้เพราะเกิดเรื่องผิดใจกับพี่คนที่สอง วันหนึ่งมีการเลี้ยงฉลองของชั้นเรียนดิฉันซึ่งเดิมตั้งใจว่าจะไม่กินเหล้ามาเป็นสิบปีก็อนุโลมตัวเองฉลองดื่มเหล้าไปกับพี่ๆ และเมาจนได้ยอมให้พี่คนแรกที่แต่งงานแล้วเล้าโลมภายนอกไปชั่วขณะ หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ดิฉันก็เลิกคบพี่คนนั้นเด็ดขาด และพยายามทำบุญอุทิศกุศลขออโหสิให้ทั้งเขาและภรรยามาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่บางครั้งยังนึกถึงความผิดนี้อยู่เสมอ

คำถามคือ ดิฉันผิดศีลข้อสามหรือเปล่าคะ อันนี้เป็นกรรมใหม่หรือว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรามาก่อน ดิฉันจะแก้กรรมนี้อย่างไรดีคะ

 

5.  ตอนนี้ดิฉันไม่ได้คบใครแต่บางที่ก็เกิดความรู้สึกทางเพศ ก็ช่วยตัวเองบ้างแต่อยากเลิกความหมกมุ่นในกามราคะนี้มาก พิจารณาอสุภะก็แล้วไม่ได้ผลนัก

คำถามคือ อะไรเป็นสาเหตุและควรแก้กรรมตรงนี้อย่างไรดีคะ

 

6. ขอแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้เจริญในธรรมที่ตรงกับจริตด้วยค่ะ ตั้งใจให้ถึงซึ่งพระนิพพานเป็นจุดหมาย  

กราบขอบพระคุณมากค่ะและขออนุโมทนากับกุศลทานของอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ

ผู้สงสัย

คำตอบ
  
(๑). เป็นเพราะเหตุที่ผู้ถามปัญหาและผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้ มีคุณธรรมแตกต่างกัน หรือพูดได้ในอีกทางหนึ่งว่า ผู้ถามปัญหายังมีบุญบารมีไม่มากพอ ที่จะผลักดันจิตให้เกิดความศรัทธา ในคุณธรรมของพระอริยะผู้เข้านิโรธสมาบัติได้

ผู้ใดมีจิตเป็นอคติ (ชอบ ชัง หลง กลัว) ผู้นั้นมีบาปเป็นแรงผลักดันจิตให้คิดเช่นนั้น ผู้รู้ในพุทธศาสนารู้ว่า สิ่งต่างๆเกิดขึ้นล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิด ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือโดยความน่าจะเป็น ผู้ใดประสงค์กำจัดอคติให้หมดไปจากใจ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปพิจารณาขันธ์ ๕ ตามกฎไตรลักษณ์ ดำเนินไปสู่ความเป็นอนัตตา ขันธ์ ๕ ไม่มีอยู่จริง อัตตาหรือตัวตนหรือความเห็นแก่ตัว ย่อมดับตามขันธ์ ๕ ไปด้วย พร้อมกับการดับของอคติ

    (๒). มนุษย์ทำกรรมได้สามทาง คือ กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม การหาความสุขทางเพศเป็นเรื่องของมโนกรรมและกายกรรมที่ให้ผลเป็นบาป ผู้มีใจเป็นบาปเช่นนี้ปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรม

   (๓). เหตุที่เกิดคืออกุศลวิบากยังให้ผลอยู่ ยังชดใช้หนี้เวรกรรมไม่หมด ไม่มีใครผู้ใดแก้ไขกรรมในอดีตได้ แต่มีใครผู้ใดทำกรรมปัจจุบันให้มีพลังยิ่งใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) แล้วขอความเมตตาผู้ร่วมปฏิบัติธรรมรวมถึงตัวเอง อุทิศบุญกุศลที่แต่ละคนมี ใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร วิธีนี้ทำให้หนี้เวรกรรมหมดไปได้เร็ว และขณะที่ยังมิได้นำตัวเองไปปฏิบัติธรรมในสำนักใด ให้สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ให้กำหนดลมหายใจ (อานาปานสติ) ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง แล้วอุทิศบุญกุศลใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะไม่ระลึกถึงเรื่องนี้อีกต่อไป นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า หนี้เวรกรรมประเภทนี้จบสิ้นลงแล้ว กำลังใจของผู้ถามปัญหาจะกลับมาดีเหมือนเดิม

   (๔). ผิดครับ เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรตามทวงหนี้ แก้อกุศลวิบากประเภทนี้ได้ตามข้อ (๓).

   (๕). สาเหตุคือยังชดใช้หนี้เวรกรรมยังไม่หมด จะแก้ปัญหาให้จบสิ้นลงได้ ต้องหาต้นเหตุให้พบและดับที่ต้นเหตุ

  ในทางโลก แก้ปัญหาโดยเล่นกีฬาที่ออกกำลังกายจนเหนื่อยล้า เช่น เล่นแบดมินตั้น เล่นเทนนิส เล่นวอลเล่ย์บอล ฯลฯ งดบริโภคอาหารในเพลาเย็น บริโภคอาหารมังสวิรัติแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ งดดูละครดูวีดีโอที่เสริมกิเลสกาม ฯลฯ

   ในทางธรรม ต้องพิจารณาอสุภะบ่อยๆ หากมีโอกาสนำตัวเองไปดู Life Museum ที่วัดพระบาทน้ำพุ ดูจนซากศพติดตา หลับตาแล้วยังเห็นซากศพฝังใจอยู่ จิตจะเบื่อหน่ายในร่างกาย แล้วความรู้สึกของเพศจะหมดไป

   (๖). ให้ปฏิบัติตนตามหลักไตรสิกขา (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) ด้วยการพัฒนาใจให้มีศีล ๘ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมให้ถูกับจริต คือพิจารณากายคตาสติ จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้แล้ว จึงนำจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ทั้งนี้เน้นที่ต้องมีศีล มีสัจจะ มีขันติ มีความเพียร เป็นแรงสนับสนุน และต้องยอมเอาชีวิตเข้าแลกธรรม โอกาสเข้าถึงพระนิพพานจึงจะเป็นไปได้


1441.
กราบเรียน อ. สนอง   วรอุไรที่เคารพ  

   ผมมีเรื่องไม่สบายใจขอเรียนถาม คือว่าเมื่อเช้าผมได้ไปใส่บาตรโดยการซื้อลอดช่อง ตอนแรกซื้อมา 2 ถุงคิดว่าจะใส่บาตรเพียงถุงเดียวแล้วเก็บไว้กินเอง 1 ถุง เมื่อพบพระสงฆ์แล้วก็นั่งยองๆโดยมือถือลอดช่องไว้ 1 ถุงส่วนอีกถุงวางไว้ที่พื้น พอใส่ถุงแรกเสร็จ ผมมีจิตศรัทธา จึงนำถุงที่วางไว้กับพื้นใส่ลงไปในบาตรอีก โดยมิทันคิดว่าถุงนี้วางบนพื้นแล้ว พอใส่เสร็จฉุกคิดได้ว่า เราไม่ควรนำของที่วางบนพื้นไปใส่บาตรพระเลย จึงไม่สบายใจ กราบเรียนถาม อ.สนอง ว่ามีวิธีการขอขมาการกระทำนี้อย่างไรครับ       

กราบขอบพระคุณ อ.สนอง วรอุไร อย่างสูง

คำตอบ
   หากผู้ถามปัญหาระลึกได้ว่า การเอาของวางไว้กับพื้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม หากประสงค์จะแก้ไขความไม่สบายใจ (บาป) ให้หมดไป ต้องขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูป เจดีย์ ฯลฯ เมื่อจิตสงบแล้ว กล่าววาจาขอขมากรรมไม่ดีที่ตนประพฤติแล้ว ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกโทษให้ และต้องไม่ประพฤติซ้ำในสิ่งไม่ดีนั้นให้เกิดขึ้นอีก จากนั้นต้องพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง เพื่อรักษาสัจจวาจาให้คงอยู่
  

1440.
กราบสวัสดี คุณพ่อสนอง ที่รักและเคารพ
 
     ผมได้เฝ้าอ่านและติดตามกระดานสนทนาธรรมของคุณพ่อมาตลอด มีเรื่องมากมาย ที่เป็นทุกข์แล้วนำมาเล่าให้คุณพ่อฟังเพื่อให้คุณพ่อได้อธิบาย ความกระจ่างชัดในข้อกังขานั้นๆ
 
   ชีวิตของผมตอนนี้มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปมากครับ หลังจากอาม่าเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ผมใช้ชีวิตเวลานี้ ดูแลพ่อแม่ และแม่เลี้ยงให้เขามีความสุขทางกาย และใจ ตามกำลังความสามารถ ที่ผมมีอยู่ พ่อผมเครียดเพราะหนี้สิน พูดคนเดียวบางครั้งและอารมณ์โกรธ โมโหร้าย ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครปฐม ได้ทุนจากมหาลัยไปเรียนต่อ ป โท และตอนนี้เหลือแค่วิทยนิพนธ์ อย่างเดียว ผมตัดสินใจบอกพ่อว่า ผมจะชวยเหลือในการปลดหนี้ให้ ขอแค่พ่อ อย่าอารมณ์โมโหง่าย เพราะกลัวแกจะไม่สบาย ค่อยๆผ่อนหนี้ออมจะชวยพ่อเอง ไม่ว่าผมสอนพิเศษเด็กแล้ว ได้เงินเหลือมาบ้าง
 
   ผมจะซื้อของที่พี่ชอบ มาให้ พ่อ แม่เลี้ยง พี่ชาย และน้องชายกินทุกครั้ง ผมบอกตัวเองว่า หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ผมต้องตอบแทนพ่อกับแม่ให้ดีที่สุด แต่ว่าปัญหาอยู่ที่พี่ชายของผม ซึ่งปัจจุบัน   อายุ 28 ย่าง 29 ไม่ได้ทำงาน เรียนเนติบัณฑิต ผมเกลียดมันมากมายครับ ผมอยากฆ่ามัน มันทำร้ายน้ำใจผมตั้งแต่เล็กจนโต มันจะเอาอะไรมันต้องได้ ทำร้ายน้ำใจพ่อแม่ แม่เลี้ยงและอาม่า   ที่เลี้ยงมันมาตั้แต่เด็ก หลังจากที่พ่อกับแม่เลิกกัน มันตีผม ใช้เท้าเตะหน้าผม หลังผมอยู่บ่อยครั้ง แม้เราจะโตแล้ว ทุกวันนี้มันก็ทำอยู่ ผมทำงานสอนพิเศษเด็กได้เงินมา ก็ต้องเก็บไว้ใช้จ่ายของตัวเอง มันก็จะมาเอาเงิน ร้อย สองร้อย อยู่ตลอด ผมยอมรับว่าผมเครียดมาก เพราะว่ามหาลัยยังไม่ได้ให้เงินเดือนผมเลย เพราะผมเป็นเด้กทุน การเดินเรื่องจึงช้าแต่เทอมหน้าผมกลับมาสอน  เต็มตัวแล้ว ผมก็ตั้งใจว่าจะช่วยเหลือ พ่อกับแม่ จนกว่าผมจะไม่มีแรง แต่มันสิครับ ไม่ทำงาน ปากก็บ่นว่าจะให้กูทำงานอะไรละ กรรม! คิดไม่เป็นครับ โทรหาแม่ ตลอดจะเอาเงิน วันนั้น วันนี้
 
   ผมเหนื่อยใจเหลือเกิน ผมทะเลาะกับมันบ่อยมาก เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ผมเกลียดมันเหลือเกิน ทุกคนในบ้าน แม่เลี้ยง น้องเลี้ยงต่างไม่พูดกับมัน เพราะไปทะเลาะกับเขาไว้ ทุกครั้งพอไม่มีเงิน   มันก็เหมือนคนไร้ค่า ต่างไปไหนก็มีคนข้างบ้านมาพูดให้ฟังว่าอยู่ได้อย่างไร อยู่แล้วไม่ช่วยงานที่บ้าน ไม่มีเงินใช้ คอยแต่เกาะแม่ เกาะน้อง ผมฟังก้เฉยๆ แต่บางครั้งผมก็สงสารมันนะครับ
 
   แต่ที่ผมสงสารมากที่สุด คือแม่ แม่ร้องไห้เพราะมันมาหลายทีแล้ว แม่ผมอยู่ที่สมุทรปราการ ผมตั้งใจว่าเรียนจบโทแล้วเก็บเงินสักก้อนเอาแม่มาอยู่กับผมตอนแก่ พาแม่เข้าวัด ทำบุญ วันแม่ทีไร
  ผมจะไปหาแม่ เอาดอกมะลิไปไหว้แม่ เมื่อก่อนนึกเขิน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเปลี่ยนไปมาก หลังจากพบธรรมะ แต่พี่ผมไม่เคยไปหาแม่เลย ไม่เคยไปดูว่าแม่อยู่อย่างไร ในห้องเช่าเล็กๆ มันดีจะเอา   เงินแม่เท่านั้นเท่านี้ แต่ไม่เคยที่จะดิ้นรนด้วยตัวเอง คุณพ่อสนองครับ ผมอยากหมดเวร หมดกรรม กับไอพี่ชายสารเลวคนนี้จังครับ ผมเกลียดมันมาก ผมอะจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ผมทำงานมา   เหนื่อย มันก็ทำร้ายน้ำใจผม ของใช่ของมันผมแตะไม่ได้ ขืนไปยุ่งมันได้อาละวาด แต่ของผมมันเดินเข้าเดินออก หยิบโน้น หยิบนี้มาใช้ โดยไม่บอกผมักคำ ทำไมมันเห็นแก่ตัวแบนี้ คุณพ่อครับ   บางครั้งผมคุยกับใครไม่ได้ก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว มันทรมานจิงๆครับ คุณพ่อช่วยบอกผมหน่อยเถอะครับ ว่าผมควรทำอย่างไร ถึงจะอยู่ได้อย่างมีความุขกับมัน ผู้เป็นพี่ชายที่ผมเกลียดที่สุด
 
ด้วยรักและเคารพ
 
หลานออม

คำตอบ
   การช่วยเหลือคนอื่นเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ใดประพฤติแล้ว ผู้นั้นมีบุญเกิดขึ้น หากการช่วยเหลือคนอื่น แล้วเกิดความไม่สบายใจ หรือช่วยเหลือแล้ว เบียดเบียนตัวเอง การช่วยเหลือนั้นถือว่าเป็นบาป

   การทะเลาะเบาะแว้งกับคนรอบข้าง ให้ผลเป็นบาป การเกลียดชังคนรอบข้าง ให้ผลเป็นบาป พระพุทธโคดมสอนพุทธบริษัทให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้แก้ปัญหาที่คนอื่น ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะห่างไกลจากบาป ต้องดับที่ต้นเหตุ คือแก้ปัญหาที่ตัวเอง ไม่เอาเรื่องไม่ดีของคนอื่น เข้ามามีอำนาจเหนือใจของตน ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ต้องบริกรรมว่า “ ช่างมันเถอะ ๆๆๆๆ ” บริกรรมไปเรื่อยๆ จนเหตุที่ทำให้ขัดใจหมดไป แล้วความสงบและเย็น (เมตตา) จะเกิดเป็นบารมีสั่งสมอยู่ในจิตใจ หรือจะให้ดียิ่งกว่านี้ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนมีกำลังสติกล้าแข็ง ระลึกได้ทันสิ่งกระทบไม่ดี แล้วเห็นว่าสิ่งกระทบดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ จิตจึงจะเป็นอิสระที่สิ่งกระทบที่ไม่ใช่ตัวตน แล้วจิตปล่อยวางสิ่งกระทบ จิตว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับมีปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น วิธีการอย่างหลังนี้อริยบุคคล ใช้ดับกิเลสที่เข้ามามีอำนาจเหนือใจได้ผล

   การที่เห็นว่า แม่ร้องไห้เป็นเรื่องของแม่ พระพุทธโคดมมิให้เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของคนอื่น หากเมื่อใด แม่ศรัทธาในตัวลูก ลูกจึงจะมีสิทธิ์สอนแม่ได้โดยไม่ถือเป็นบาป การประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อแม่ ให้ผลเป็นความกตัญญูกตเวที ผู้ใดประพฤติได้แล้ว ความเจริญงอกงามในชีวิตและงานย่อมเกิดขึ้น ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาหวังความเจริญในชีวิต พึงให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ พึงพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังสติกล้าแข็งอยู่เสมอ และพึงประพฤติจริยธรรมลูกต่อพ่อแม่อยู่เสมอ ฯลฯ
   

1439.
สวัสดีครับท่านอาจารย์ที่เคารพยิ่ง

          ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ติดตามการบรรยายของท่านอาจารย์ ทางเวปไซด์หลายๆงาน รู้สึกประทับใจในตัวอาจาร์ยเป็นอย่างมากจากการปฏิบัติของอาจารย์

    ผมขอเล่าเรื่องผมให้อาจาร์ยฟันดังนี้   ตัวผมได้ปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี
ปัจจุบันอายุ 31 ปี   สามารถมองเห็นดวงจิตอื่นได้ถ้าอยากเห็นแม้ลืมตา สามารถคุยกัยดวงจิตอื่นๆได้

    เหตุเกิดขึ้นมาประมาณ 6 เดือนแล้วมีครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งไป ด้วยการชวนของเพื่อนๆ พอเข้าไปในวัดก็ได้การต้อนรับจากดวงจิตที่เป็นเทพอย่างดี มาตอนที่ทำบุญตักบาตรสิครับ มีวิญญาณลำบากมาขอบุญเต็มเลย ผมบอกว่ารอเวลากรวดน้ำน่ะแล้วจะส่งให้ วิญญาณเหล่านั้นตอบเลยว่าเขาไม่ได้บุญเวลากรวดน้ำ อ้าวจะทำอย่างไรล่ะ
ที่จะทำบุญถึงเขาได้น่ะ ผมกำหนดจิตนึกขึ้นมาได้จากหลวงปู่ฤาษีลิงดำ ว่าเวลาทำบุญให้อุทิศเลย ผมไม่รู้ว่าอุทิศนั้นทำอย่างไรเคยได้ยินแต่ทำไม่เป็น พอดีนึกขึ้นมาได้จากเพื่อนผม
คนหนึ่ง ว่าเวลาทำบุญให้ว่า "บุญนี้จงไปถึง....." ผมก็ทำบ้างเอาข้าวใส่บาตรพอหลุดมือบอกเลย "บุญนี้จงไปถึงแก่วิญญาณที่อยู่ตรงนี้" ปรากฏว่าวิญญาณเหล่านั้นเปลี่ยนสภาพครับดีขึ้นมา
จากผอมๆมีแตกระดูกเป็นมีเนื้อขึ้นมา ผมเองก็ตกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะไม่มีใครเคยบอกเลย และก็ได้คุยกับวิญญาณเหล่านั้น ว่าเคยได้อย่างนี้ไหมเขาบอกว่าไม่เคยเลย มีแต่เขา เห็นแสงบุญแล้ว เขาอนุโมทนาเอาถึงจะได้แต่ก็ไม่มากขนาดนี้ มีตอนหนึ่งผมได้คุยว่าถ้าไม่ได้เป้นวันพระล่ะกินอะไร เขาบอกว่าครั้งหนึ่งต้องกินศพเป้นอาหารเพราะหิวมาก ผมฟังแล้ว
สะเทือนใจเลย และยังมีหลายอย่างที่ได้คุยได้เห็นหากมีโอกาสจะนำมาเล่าให้ฟัง

ผมมีข้อสักถามอาจารย์ดังนี้น่ะครับ
   1  การอุทิศบุญมีวิธีอยางไรกันแน่มีแต่บอกว่าอุทิศแต่ไม่มีใครบอกว่าทำอย่างไร
   2  ผมทำแบบนี้ผมจะทำผิดกฎที่ได้กำหนดว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมหรือเปล่า (ผมทำอย่างนี้มานานแล้วตั้งแต่ทราบ)
   3  ผมถูกมารหลอกหรือเปล่าว่าผมทำได้
  ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ (ผมพยามถามพระหลายๆท่าน ท่านบอกว่าตอบไม่ได้   ไม่ใช่กิจของสงฆ์)
                                                   เคารพอาจารย์มากครับ
                                                       คนช่างถาม

คำตอบ
    (๑). ทำอย่างที่บอกเล่าไปให้ฟัง นั่นแหละ

   (๒). สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมนั้น ถูกต้องแล้ว แต่หากสัตว์โลกมาอนุโมทนาบุญจากมีผู้อุทิศให้ ถือว่าเป็นการทำกรรมของผู้มาอนุโมทนาเหมือนกัน ฉะนั้นการอุทิศบุญที่ตนมีให้กับสัตว์อื่นที่ต้องการบุญ มิได้ถือว่าประพฤติผิดกฎแห่งกรรม

   (๓). “ มาร ” หมายถึง ตัวการที่ขัดขวางบุคคล มิให้บรรลุความดี ซึ่งมีอยู่ห้าประเภท ได้แก่ มารคือกิเลส (กิเลสมาร) มารคือขันธ์ทั้งห้า (ขันธมาร) มารคืออภิสังขารที่ปรุงแต่งกรรม (อภิสังขารมาร) มารคือเทพบุตร (เทวปุตตมาร) และมารคือความตาย (มัจจุมาร) ที่บอกเล่าไปเป็นกิเลสมาร
   

1438.
สวัสดีค่ะหนูมีคำถามอยากจะเรียนถามค่ะ

    หนูเป็นสาวประเภทสองที่ผ่าตัดแปลงเพศเรียบร้อยแล้ว ได้รู้จักและคบกับชายคนหนึ่งในฐานะแฟนหรือคนรักมาประมาณหนึ่งปีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่คบกันเค้า ไม่ได้บอกพ่อเค้าจนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของเค้ารู้ ก็สั่งให้เลิกคบกันตัดขาดกันเลย โดยให้เหตุผลว่าการคบกันแบบนี้ถือว่าเป็นดวงจิตชายสองดวงคบกัน ถือว่าผิดศีล

    แต่ว่าเค้าก็ยังเชื่อมั่นในตัวของเค้าเองว่าหนูเป็นหญิงจริงๆ จนเวลาผ่านไปประมาณอีกห้าหกเดือน พ่อเค้าก็จับได้ว่ายังคบกันอีก และใช้เงื่อนไขในเรื่องของการผิดศีลมากล่าวอ้างเช่นเดิม แต่แฟนหนูเค้าบอกกับหนูว่าเค้าไม่เชื่อพ่อของเค้าเพราะว่าพ่อเค้ายังไม่ได้จบกิจ (หนูก็สงสัยในคำนี้เหมือนกัน) แล้วเค้าก็มีโอกาสได้ไปปรึกษาพระรูปหนึ่งจากวัดทางเหนือ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นพระที่ทางบ้านเค้านับถือเป็นอย่างมาก เห็นเค้าเคยพูดให้หนูฟังประมาณว่า พระรูปนี้เป็นพระอริยะเจ้าและจบกิจแล้ว และคำตอบที่ได้รับจากพระรูปนี้ก็คือ ผิดศีล คนที่คบกันแบบนี้จะต้องตกนรก เห็นเค้าพูดประมาณว่าหนูมีสัมมาทิษฐิ ให้คบกันแบบเพื่อน  

     หนูยังมีเรื่องสงสัยอีกค่ะ เค้าเคยพูดให้หนูฟังประมาณว่า การที่ชายซื้อบริการหญิงบริการทางเพศนั้นไม่ผิด การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง และการดูหนังลามกก็ไม่เป็นการผิดศีลแต่อย่างใด และหากจะให้หนูไม่ผิดศีลก็คือ หนูต้องเสพกามกับผู้หญิงเท่านั้นจึงจะไม่ผิดศีล   หรือหากหนูอยากจะถึงซึ่งนิพพาน ก็ต้องครองตัวเป็นโสด และถือศีลอย่างเคร่งครัด หนูลืมบอกไปค่ะว่าเค้ามุ่งมั่นที่จะถึงซึ่งนิพพานเป็นอย่างมาก หลังจากที่เมื่อสามปีที่แล้ว แม่ของเค้าจากไปอย่างกระทันหันจากโรคมะเร็ง เค้าจึงหาที่พึ่งด้วยเรื่องนี้ หนูฟ้งมาดังนั้นก็เชื่อในสิ่งที่เค้าพูด แต่หนูต้องการความกระจ่างจากอาจารย์อีกทีนึงค่ะ

    หนูขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ล่วงหน้านะคะอาจารย์
  ปล.จริงๆแล้วหนูเคยได้คำตอบจากท่านเจ้าอาวาสวัดทีมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งมาแล้วค่ะ ว่าไม่ได้ผิดศีลแต่อย่างใด แต่หนูก็ยังอยากได้คำตอบจากอาจารย์ด้วยเช่นกันค่ะ เพื่อความมั่นใจค่ะ

คำตอบ
    คนเพศชายจะคบกับเพศชาย หรือคนเพศหญิงจะคบกับคนเพศชาย ไม่ถือว่าผิดศีล แต่หากบุคคลทั้งสองร่วมสังวาสกัน โดยที่ยังมิได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของ เช่น พ่อแม่ พี่สาว พี่ชาย ฯลฯ จึงจะถือว่าผิดศีลข้อ ๓

   มนุษย์ทำกรรมได้สามทาง คือ กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม หากประพฤติผิดศีลในทางใดทางหนึ่ง ถือว่าการประพฤตินั้นมีผลเป็นบาป บุคคลจะเข้าถึงความสิ้นอาสวะ (นิพพาน) ได้ ผู้นั้นต้องมีจิตปราศจากอาสวะทั้งปวง คือหมดอกุศลวิบากและพ้นจากอวิชชา

   การซื้อบริการกับหญิงที่ให้บริการทางเพศ การสำเร็จความใคร่ การดูหนังลามก ฯลฯ เป็นสิ่งไม่ผิดตามความเห็นของผู้มีความเห็นผิด แต่ผู้รู้จริงเห็นเป็นตรงข้าม
   

1437.
อาจารย์คะหนูขอบคุณที่อาจารย์กรุณาตอบคำถามที่หนูเคยถามไปก่อนนี้

เวลานี้หนูพยายามรักษาสติกับตัวตลอด ทั้งดูจิตและสวดมนต์ให้เป็นนิสัยเพื่อจะกำจัดพฤติกรรมผิดปกติที่เป็นอยู่ค่ะ แม้ยังไม่ได้ 100%

ขณะนี้หนูเรียนอยู่ต่าง ประเทศ หนูอยากทำบุญให้ชมรมกัลยาณธรรมค่ะ เนื่องจากการที่หนูฟังบรรยายของอาจารย์ทำให้หนูมีความคิดที่ถูกต้อง

ทำให้หนูอยากร่วมส่งเสริมชมรมค่ะ เวปไซต์ดีมากเลยค่ะทำให้หนูได้มี โอกาสฟังธรรมบรรยายของอาจารย์

หนูขอเรียนถามอาจารย์ต่อดังนี้ค่ะ

1. หากทำบุญโดยคิดว่า เราต้องการมีบุญสะสมนี่จะทำให้การทำบุญนั้นไม่ดีหรือเปล่าคะ เพราะหนูรู้สึกว่าเหมือนกับเราหวังผลจากการทำบุญค่ะ แต่ใจมันคิดเอง

2. บางครั้งที่นั่งสมาธิจิตของหนูอยู่กับตัวตลอด หนูนั่งจนรู้สึกว่าตากระพริบถี่เองเหมือนถูกบังคับให้ลืมค่ะ แล้วก็ลืมขึ้นมาเองไม่ทราบว่าเป็นอาการของอะไรคะ เป็นอย่างนี้มา 3 ครั้งแล้ว

3. การที่หนูทำผิดศีลข้อ 3 ทำให้หนูคิดว่า หนูไม่สามารถหายจากพฤติกรรมผิดปกติที่เป็นอยู่ได้สมบูรณ์ หนูตั้งใจว่าหนูกลับไปเมืองไทยในอีก 3 เดือนหน้า หนูจะเข้าวัดเพื่อปฎิบัติธรรมก่อนออกมาทำงาน และเลิกทำผิดกับคนคนนี้อีกในชาตินี้ กราบเรียนอาจารย์กรุณาช่วยแนะนำวัดด้วยค่ะ

4. หนูเคยฝันมา 2 ครั้งด้วยค่ะเมื่อไม่นานมานี้ ในฝันหนูเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่หนู และเป็นภรรยาน้อยของผู้ชายที่หนูเองก็ไม่รู้จัก ทั้งที่ตอนนี้หนูเองก็ยังเรียนอยู่ และผู้ชายที่หนูคบก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรคะ ทั้งที่หนูไม่เคยฝันว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หนูเลย

กราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.สนองค่ะ

คำตอบ
    (๑). ผู้ใดพัฒนาความรู้ (ปัญญา) ด้วยการฟัง การอ่านและการวิจัย นอกจากปัญญาทางโลกจะเกิดขึ้นแล้ว ความเป็นตัวตนหรือความเห็นแก่ตัว (ego) ย่อมเกิดตามมาเป็นอัตโนมัติ ผู้นั้นย่อมทำบุญโดยหวังผลของบุญตอบกลับคืนมา ตรงกันข้าม ผู้ใดพัฒนาความรู้สูงสุดด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนา เมื่อปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้นแล้ว ความเป็นตัวตนย่อมหมดไป ผู้นั้นจะทำบุญโดยไม่หวังผลของบุญตอบกลับคืนมา

   (๒). เป็นอาการของจิตที่ขาดสติ การนั่งบริกรรมเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้นั่งภาวนาต้องมีจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ เช่น การเจริญอาปานสติ ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจที่กำลังเข้าสู่ร่างกาย และจดจ่ออยู่กับลมที่กำลังปล่อยออกจากร่างกาย อย่างนี้จึงจะเรียกว่าปัจจุบันขณะ หากจิตเคลื่อน (ไม่จดจ่อ) ออกไปจากการบริกรรม แล้วไประลึกอยู่กับการกระพริบของเปลือกตา อย่างนี้เรียกว่าจิตขาดสติ

   (๓). ปัญหาที่ถามไปจะแก้ไขได้ ต้องพิจารณาอสุภะ จนกระทั่งจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งในร่างกาย ว่าเป็นของปฏิกูลไม่งาม แล้วเกิดเป็นความเบื่อหน่ายในร่างกาย เห็นชัดแจ้งว่าในที่สุดร่างกายต้องแปรสภาพเป็นศพ ที่ขึ้นอืดเน่าพอง มีกลิ่นเหม็นเน่า เหม็นเขียว มีสีเขียวคล้ำ มีน้ำเหลือไหลออกทางปาก ทางจมูก ฯลฯ ผู้ใดพิจารณาอสุภะจนเห็นถูกตรง ตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้ว ย่อมคลายความกำหนัดลงได้ แล้วจิตรังเกียจการร่วมประเวณี

   สำนักปฏิบัติธรรม สุทธจิต ของภิกษุณีนันทญาณี อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่แนะนำให้ผู้ถามปัญหานำตัวเข้าปฏิบัติธรรมที่นั่น

   (๔). เหตุที่จิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพราะจิตขาดสติ ความฝันจึงเกิดขึ้น
  

1436.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ ดร.สนองค่ะ

   ก่อนอื่นขอกราบขอบพระคุณ ในความดีที่ท่านอาจารย์ได้ทำเป็นตัวอย่าง ให้กับทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และเลื่อมใสในการค้นหาความเป็นอิสระ ให้กับใจตนเอง   หนูก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่พยายามสร้างความเป็นอิสระ ให้กับใจค่ะ แต่มันเป็นหนทางที่ยากมาก หนูมีคำถามมากมาย แต่ส่วนใหญ่ใด้คำตอบบ้างแล้ว จากการอ่านสนทนาภาษาธรรมผ่าน ทางเว็บไซท์

   หนูขอรบกวนถามคำถามค่ะ หนูมีแฟนเป็นชาวอเมริกันค่ะ เค้ามีปัญหากับตัวเอง คือเค้ามีภาวะที่เรียกว่า depression ( ภาวะหดหู , ภาวะเศร้า , ภาวะกดดัน) เป็นภาวะที่คนอเมริกันเป็นกันเยอะ และยากจะเข้าใจสำหรับหนูค่ะ แต่เท่าที่คาดเดา น่าจะเกิดจากที่ว่าแฟนหนู เค้าเป็นลูกคนเดียว ขี้อาย ไม่มีเพื่อนและไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย จึงเป็นสาเหตุที่เค้าไม่กล้าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคน เค้ามักที่จะโทษพ่อแม่ ที่ไม่ยอม ให้เค้าออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนในสมัยยังเด็ก (สำหรับที่อเมริกาแล้วการปล่อยให้ เด็กอยู่ตามลำพัง เป็นเรื่องอันตรายมาก อีกทั้ง วัยรุ่นมีสิ่งยั่วยุมาก เลยทำให้แม่เค้าเข้มงวด) เลยทำให้เค้าไม่ได้เรียนรู้จะปฏิสัมพันธ์กับคน โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน เค้ามักคิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ทุกครั้งที่มีอาการ จะใช้วาจาไม่สุภาพ หงุดหงิด (ส่วนใหญ่เกิด แล้วมาลงอารมณ์ที่หนู และหาว่าหนูคือต้นเหตุ) ดูถูกตัวเอง ปฏิเสธทุกอย่างที่มีและที่เป็น สร้างความทุกข์ใจ ให้ครอบครัวของ เค้ามาก หนูอยากช่วยเค้าค่ะ สงสารตัวเค้าและพ่อแม่เค้ามาก หนูเคยเปิดวิธีการทำสมาธิที่ทางเว็บไซท์ กัลยาณธรรมมีให้เค้าฟัง ดูเหมือนเค้าชอบค่ะ แต่ไม่เห็นทำตามเลย ครั้นจะอธิบายเองก็เหมือนความรู้ที่มีจะน้อยนิด และไม่รู้จะอธิบายให้ฝรั่งเค้าฟังยังไงดี เพราะเค้าเองไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ หนูไม่ได้อยากให้เค้าจำเป็น ต้องเปลี่ยนศาสนา เพียงแค่อยากให้เค้าไม่ต้องมี ภาวะจิตตกหรือจิตอ่อนแอ ซึ่งตัวเค้าเองก็ทุกข์ แล้วเค้าเองก็หาทางออกไม่ได้ ครั้นเราจะทำให้ดูก็ ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้เกิดศรัทธาได้ แต่ใช้เมตตา และขันติ ซึ่งบางคร้ังการที่ หนูเงียบ และไม่โต้ตอบกลับ ทำให้เค้ารู้สึกผิดที่ลงอารมณ์ไม่ดีกับหนูเลย ทำให้ตัวเค้าเอง depress หนักเข้าไปอีก


คำถามคือ

1. สำหรับผู้ที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เราควรให้กำลังใจ และสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองอย่างไร

2. สำหรับผู้ที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองแบบนี้ ครอบครัวควรแนะนำและให้ กำลังใจเค้าอย่างไรดี

3. สำหรับผู้ที่มีภาวะ Depression ( ซึ่งหนูเข้าใจว่าน่าจะเป็นกันเยอะทั่วโลก) เรา ควรจะแนะนำและให้กำลังใจ อย่างไรดี

4. สำหรับคนที่อยู่ด้วย อย่างหนูหรือครอบครัวของ ผู้ที่มีภาวะอย่างนี้ ควร ปฎิบัติตัวอย่างไรดี

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยให้ คำแนะนำด้วยค่ะ

สุดท้ายนี้ ขอกราบขอขมา ท่านอาจารย์ ที่ก่อนหน้านี้ เคยฟังธรรมจากพระอาจารย์บางรูปผ่านทางเว็ปไซท์ YouTube แล้วมีคลิปของอาจารย์ปรากฏขึ้นมาในใจ นึกปรามาสว่า " ตาลุงคนนี้แกจะสอนดีกว่าพระสงฆ์ได้อย่างไร " แต่พอหลังจากที่ได้ฟังธรรมะของท่านอาจารย์แล้ว เกิดอาการสิโรราบและเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก ตอนนี้พยายาม เอาศีลมาคุมใจและฝึกระลึกรู้ อยู่กับปัจจุบันเท่าที่จะทำได้ค่ะ

  ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ รวมถึงคณะผู้จัดทำเว็ปไซท์ และขอ อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน

  ขอบุญกุศลที่ท่านสร้างไว้ อำนวยความเจริญให้ท่านทั้งหลายทั้งทางโลก และทางธรรมค่ะ

คำตอบ
    (๑). ในทางโลก เช่นที่ประเทศอังกฤษ เขาใช้วิธีทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เช่น ทาสีบ้านให้คนชราที่ช่วยตัวเองไม่ได้ บริจาคโลหิตให้คนอื่น ชวนเล่นกีฬาถนัดเพื่อเรียนรู้และเข้าไปมีส่วนร่วม ( sport is not to win but to participate and to educate) ฯลฯ ฉะนั้น ทำไมไม่ลองใช้วิธีการเช่นนี้ดูบ้างล่ะ

   (๒). แนะนำตามข้อ (๑) และหากให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ชาวพุทธนิยมทำใจให้มีศีล ๕ ข้อ คุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง ตามวิธีที่เหมาะกับจริต อาทิ ผู้มีราคจริต นิยมพิจารณาอสุภะ ผู้มีโทสจริตนิยมเจริญเมตตา ด้วยการให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ ผู้มีวิตกจริตนิยมเจริญอานาปานสติ ฯลฯ

   (๓). ผู้รู้ไม่จริง ไม่ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น เพราะเมื่อใดที่เขายังไม่ศรัทธา เขาย่อมไม่ประพฤติตาม ตรงกันข้าม ผู้รู้จริงแก้ปัญหาที่ตัวเอง ฉะนั้น พึงทำตัวเองให้มีพฤติกรรมดีงาม จนกระทั่งเขาศรัทธาเมื่อใด ค่อยชี้แนะวิธีการให้เขาทำ เพราะเขาจะทำด้วยใจศรัทธา แล้วผลย่อมเกิดได้ง่าย

   (๔). ควรพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรม คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ จริยธรรมลูกของพ่อแม่ จริยธรรมภรรยา/สามี จริยธรรมพลเมืองของชาติ ฯลฯ และจะดียิ่งขึ้น หากสามารถดับอัตตา คือดับความเห็นแก่ตัวลงได้ ด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปดับขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ตามกฎไตรลักษณ์
  

1435.
กราบสวัสดีอาจารย์สนองที่เคารพ

   หนูสนใจเรื่องความตาย เลยเปิดดูบังเอิญเจอวีดีโออาจารย์เรื่องชีวิตหลังความตาย จากนั้นหนูฟังคลิปของอาจารย์มาได้ 20 เรื่องฟังแล้วฟังอีกหลายรอบทุกวันได้ ซึ้งรสพระธรรมมากค่ะ รู้สึกว่าอาจารย์เทศน์ได้ไพเราะและถูกจริตกับหนูมาก ไม่คิดว่าเป็นความบังเอิญที่ได้ฟังอาจารย์เลยค่ะ   เป็นบุญของหนูที่ได้พบฟังอาจารย์จริงๆ แม้จะไกลบ้านมาจบโทและทํางานต่อ บ.ที่อเมริกามา 10 ปีแล้ว    ตอนนี้หนูอายุ 31 ค่ะ

1 ปีที่ผ่านมาเริ่มปฏิบัติธรรมตามพระพุทธะ แล้วชีวิตหนูดีขึันมาก   อาจารย์เป็นกําลังใจและแรงบันดาลใจให้หนูได้มาทางธรรมอีกครั้ง หลังจากทั้งชีวิตหนูผิดศีลตลอดแต่จริตชอบฟังธรรม ชอบสวดมนต์ ชอบเข้าวัด ฟังพระเทศน์   ชอบทําบุญทําทานมาก   มาตอนนี้หนูหมั่นรักษาศีล 5 ทําทานตลอด ทําความดีทุกวัน   เริ่มฝึกสมาธิ สวดมนต์ทุกวัน จนวันที่มีบรรยายธรรมที่ตรอกข้าวสารวันสงกรานต์หนูบินกลับไปบ้านและตั้งใจมาก บอกพ่อแม่พี่ให้ไปกับหนู   บินถึงวันจันทร์พอดีจะไปพบอาจารย์ให้ได้ แต่บินไปถึงก็ไม่ได้ไปเพราะเขายิงกัน   ขอให้หนูมีบุญได้กราบเท้าอาจารย์จริงๆวันหนึ่งนะคะ

ขอถามอาจารย์ค่ะ

    1. หนูเริ่มฝึกสมาธิที่บ้าน ทําครั้งที่   4 หนูคิดคําบริกรรมเอง (กายดับ /   จิตนิ่ง) 15 นาทีได้จนคําบริกรรมหยุดเองอัตโนมัติ ไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้สึกทางกาย ได้ประมาณ 5 นาที รู้เลยว่าจิตนิ่งมาก   แต่แล้วหนูเริ่มงงว่าเอ๊ะไงต่อดี หนูยังคิดถึงอาจารย์และอาจารย์เณรคําเลยค่ะให้คุ้มครองหนู   เพราะหนูไม่มีครูสอน จึงเกิดความกลัว   มันก็สุขสักพักหนูก็ออกจากสมาธิค่ะ การที่ฝึกเองอย่างนี้จะอันตรายไม๊ค่ะ   แล้วหนูทําไงต่อดี เพราะหนูอยู่บ้านคนเดียวค่ะ เลยกลัวว่าเป็นอะไรไปจะไม่มีใครรู้เลย   ลองค้นแล้วเป็นเพราะหนูขาดสติแล้วต้องทําอย่างไรจึงทําสติมั่นคงเพื่อสมาธิได้คะ   /   หนูอยู่เมือง   Lake Elsinore, California ค่ะ

   2. ตอนอายุ 14 หนูไม่รู้จักการเข้าฌานอะไรเลย แต่มีอยู่ครั้งโกธรพี่ชายมากหนูเลยหลับตาพุทโธ เพียงเพื่อระงับความโกธรแต่แล้ว 10 นาทีผ่านไปหนูจิตสงบไม่ได้ยินเสียงใครเลย   จิตสุขมาก   หนูคิดย้อนกลับไปพิศวงกับตัวเองว่า เราเข้าสมาธิได้เร็วมากทั้งที่ไม่รู้จักเรื่องพวกนี้เลยเมื่อตอนยังเด็ก อยากเรียนถามอาจารย์ว่า ชาติก่อนหนูเคยทําหรือไม่และชาตินี้หนูจะเข้าถึงฌานขั้นสูงได้ไหมค่ะ หนูปราถนาโสดาบันค่ะ

   3. หนูเป็นโรคกะเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นประจําเดือนละ 2-3 ครั้ง   เป็นมา 6 ปีแล้ว หนูค้นคว้าหาทางป้องกันทุกวิถีทางตลอดจนดื่มนํ้าแครนเบอรี่ และ เบื่อทานยาปฏิชีวนะอย่างแรงแล้ว หนูเริ่มทําบุญให้เจ้ากรรนายเวรมาตลอด   ก็ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวไหม อยากขอคําชี้แนะจากอาจารย์ค่ะว่ามีทางอี่นอีกไหม

   สุดท้ายนี้หนูสัญญาจะทําความเพียรในทางธรรม หมั่นทําความดี   ถือศีล 5 และจะตามไปฟังบรรยายธรรมของอาจารย์อีกในภพสุขภูมิภายภาคหน้่านะคะ

กราบเท้าอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
    (๑). ฝึกสมาธิอยู่ที่บ้าน แล้วจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียง ไม่มีความรู้สึกทางกาย นั่นแสดงว่าจิตได้เข้าถึงสมาธิสูงสุด หรือเรียกว่าเป็นสมาธิระดับฌาน ซึ่งมีผลทำให้เกิดความสุขที่ละเอียดประณีต (ฌานสุข) สมาธิระดับนี้ไม่สามารถนำมาใช้ฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ส่วนเรื่องการนำจิตออกจากฌาน แล้วเกิดเป็นความกลัว ถือเป็นเรื่องปกติของคนไม่รู้จริง

   วิธีแก้ปัญหาความหลงและความกลัว ต้องถอยจิตให้ออกมาตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จิตจึงจะรับสิ่งกระทบที่อยู่รอบตัวได้ เมื่อใดปรากฏส่วนของร่างกายเกิดขึ้นในจิต ให้ใช้จิตตามดูร่างกาย ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) เมื่อใดที่จิตเห็นกายเป็นอนัตตา (ไม่มีตัวตนแท้จริง) จิตจะปล่อยวางร่างกาย จิตเป็นอิสระจากร่างกาย ปัญญาเห็นแจ้งในกายจึงเกิดขึ้น

   หากเวทนา (สุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์) ปรากฏขึ้นกับจิต ต้องใช้จิตตามดูเวทนา จนเห็นว่าเวทนาเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนแท้จริง ปัญญาเห็นแจ้งในเวทนาจึงเกิดขึ้น

   เช่นเดียวกัน หากจิตที่รับสิ่งกระทบเข้าปรุงอารมณ์ดับไป (อนัตตา) ปัญญาเห็นแจ้งในจิตย่อมเกิดขึ้น และสุดท้ายหากธรรมที่เข้ากระทบจิตดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งในธรรมย่อมเกิดขึ้น การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ตามกฎไตรลักษณ์ เรียกว่า พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นหนทางทำให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ซึ่งอริยบุคคลทุกคนต้องมีปฏิปทาตามแนวทางนี้

   (๒). จิตเข้าถึงความตั้งมั่นระดับฌานได้ ตั้งแต่มีอายุได้ ๑๔ ปี นั่นเป็นเพราะของเก่าแต่อดีตชาติ ผลักดันให้เป็นเช่นนั้น

   อนึ่ง ผู้ใดปรารถนาความเป็นโสดาบัน ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับ สังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด อริยบุคคลขั้นโสดาบันจึงจะเกิดขึ้นได้ และเป็นสิ่งที่ไม่ยากสำหรับผู้ถามปัญหา หากประพฤติเหตุปัจจัยให้ถูกตรงได้แล้ว ผลย่อมปรากฏแน่นอน

   (๓). ความอาพาธใดที่หาเหตุแท้จริงไม่พบ ผลของการบำบัดรักษาย่อมไม่สัมฤทธิ์ ผู้ใดเชื่อในกฎแห่งกรรม แล้วทำเหตุให้ถูกตรง โอกาสหายจากอาหารย่อมเป็นได้

   ผู้รู้ในพุทธศาสนารู้ว่า การออกกำลังไม่สม่ำเสมอ มีความเพียรมากแต่พักผ่อนน้อย ฤดูกาลเปลี่ยน และการทำกรรมเบียดเบียน เหล่านี้เป็นเหตุให้อาพาธเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อไปหาหมอแล้วยังบำบัดรักษาไม่เกิดผล แสดงว่า มิได้ดับที่ต้นเหตุแท้จริง ผู้ที่เข้าถึงต้นเหตุแท้จริงได้แล้ว ดับต้นเหตุได้ ความอาพาธย่อมหมดไป

   ในกรณีของความอาพาธที่เกิดจาก การทำเหตุเบียดเบียนไว้ก่อน ต้องแก้ปัญหาด้วยการดับเหตุให้ถูกตรงดังนี้

 ๑.  ยอมรับความจริง แล้วชดใช้หนี้เวรกรรมไปจนกว่าจะหมดสิ้น

 ๒.  ทำบุญใหญ่ แล้วอุทิศบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งจะทำให้หนี้เวรกรรมหมดไปได้เร็ว

 ๓.  หนี้เวรกรรมที่ยังตามให้ผลไม่ทัน ต้องทำดีให้ยิ่งใหญ่ ให้บุญส่งผลจนบาปตามไม่ทัน

 ๔.  หนีเข้านิพพาน หนี้เวรกรรมที่เหลือเป็นอันยกเลิก (อโหสิ)
  

1434.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์สนอง ครับผม

     ผมได้บังเอิญพบไฟล์เสียงธรรมะของอาจารย์ในเนต และค้นหาฟังต่อในเรื่องอื่นๆ
รู้สึกปลาบปลื้มในคำสอนเทศนาของอาจารย์มากๆ จนผมต้องนอนฟังก่อนนอนแทบทุกๆคืน
ยิ่งได้ฟังอาจารย์กล่าวว่าชาตินี้คือร่างมนุษย์สุดท้ายของท่านแล้ว
( หากผมฟังไม่ผิดเพี้ยนนะครับ กราบขออภัยในความไม่แน่นอน)
ผมยิ่งโมทนาสาธุและยิ่งต้องตักตวงความรู้และคำสอนของอาจารย์ให้มากๆ
 
    ผมเป็นทันตแพทย์ซึ่งระหว่างที่ผมทำฟันให้คนไข้
ผมมักจะอธิบายความรู้ทันตสุขภาพในเชิงธรรมะแก่คนไข้
ผมไม่ชอบนั่งนิ่งๆทำงานคนเดียวหรือคุยกับผู้ช่วยข้ามศีรษะคนไข้มากนัก
คำสอนบางครั้งเมื่อผมกล่าวออกไป ผมรู้สึกตัวหวิวและตื้นตันมากๆ
อย่างเช่นคนไข้ส่วนมากชอบที่จะแปรงฟันเร็วเพื่อหวังแค่กลิ่นยาสีฟัน
และเขาก็บ้วนปากภายในเวลานาทีเดียว เขาไม่ได้นึกถึงสาระของการที่ต้องแปรงฟัน
เขาติดในสารปรุงแต่งที่บริษัทได้ใส่ไว้ ซึ่งการแปรงฟันที่ไวเกิน
นอกจากคราบอาหารยังตกค้างแล้ว กลิ่นของยาสีฟัน
จะถูกคราบอาหารกลบและก็ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาได้อีก
เขาไม่ได้กำจัดสาเหตุที่ทำให้มีกลิ่นตกค้าง เขาหวังแต่สิ่งที่มาปรุงแต่ง
เพื่อให้ดูดี เขาไม่ได้กำหนดตำแหน่งแปรง เขาวางตำแหน่งขนแปรงไม่ถูกต้อง
เขาไม่รู้ว่าส่วนที่อาหารชอบติดค้างคือบริเวณไหน
เขาแปรงแบบนี้ ก็เสมือนไม่ได้แปรง...เพราะคราบอาหารตกค้าง
และนานวันจะกลายเป็นคราบที่แข็งยากต่อการแปรงออกด้วยตัวเองจนเกิดโรค
นี่คือเหตุผลที่ทำไมคนทั่วไปต้องวนเวียนมาขูดหินปูนและอุดฟันไม่จบสิ้น
ผมได้อธิบายให้คนไข้ฟังว่าทำไมคนบางคน  2 ปี มาตรวจฟันที
คนบางคนตรวจฟันปีละครั้ง บางคนทุก 6 เดือน บางคนต้องมาทุก 3 เดือน
และบางคนไม่ต้องมาทำอีกเลย...คนเหล่านี้ต่างกันที่ปฏิบัติ
วิธีการต่างผลลัพธ์ย่อมแตกต่าง...หากเราอยากหลุดพ้นจากเรื่องตรงนี้
เราต้องเข้าใจสภาวะโรค กลไกการเกิดโรค การทำให้ไม่เกิดโรคและแนวทางปฏิบัติ
เรายังทำตัวแบบเดิมๆ เราจะต้องวนเวียนมาทำฟันแบบนี้ไม่จบสิ้น...
หากเขารู้วิธีการป้องกันและสามารถทำได้ด้วยตนเอง เขาก็จะรอดและหลุดพ้นจากเรื่องโรคฟันไป
ผมเปรียบเทียบการวนเวียนมารักษาของคนไข้ เหมือนการเวียนว่ายตายเกิดเลยครับ
แต่ผมนึกในใจนะครับ ไม่ได้พูดออกไปโดยตรง...
 
     มีการเปรียบเทียบอีกมากในลักษณะแบบนี้ ผมชอบพูด
และจะรู้สึกเหมือนจะปิ๊งๆอะไรในความคิดตัวเบา
ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า...

     1. หากผมพูดลักษณะนี้กับพระที่มาทำฟัน ผมจะบาปไหมครับ
เหมือนผมเจตนาสอนให้ท่านทราบด้วยนะครับ
ผสมกันทั้งในแง่ของความรู้ฟันที่แฝงธรรมะเป็นนัยๆ ผมกลัวบาปที่เสมือนจะสอนพระนะครับ
 
     2. พระบางรูปที่มาทำฟัน ผมดูอาการของท่านน่าเลื่อมใส งานบางงานยากและต้องมีความเจ็บปวด แต่ท่านเหมือนมีอาการที่ปราศจากความกังวลดังกล่าว แต่บางท่านก็ดิ้นและร้องจนผมต้องปลอบ อาการดังกล่าวแตกต่างกันเพราะเหตุใดครับ
 
     3. ผมมักจะเป็นคนมือหนักหมายถึงไม่ได้ยกมือไหว้พระเมื่อมาทำฟัน
( ยกเว้นพระสุปัฏฏิปันโน ที่ผมมองจากอาการภายนอกในระหว่างทำฟัน เพราะท่านดูสำรวม)
และรวมถึงกรณีอื่นๆเช่นเดินสวนกันบนถนนหรือในวัด ผมใคร่ถามว่า จะเป็นบาปไหมครับ
ที่ผมเลือกที่จะยกมือไหว้หรือเลือกที่จะทำบุญกับพระที่ผมคิดเองว่าท่านดีจากการปฏิสัมพันธ์ด้วย
 
กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ป.ล.ผมจบจากเชียงใหม่ และผมมั่นใจว่าผมอาจจะเป็นลูกศิษฐ์อาจารย์แน่ๆเลยครับ
ตอนที่ผมไปเรียนในฝั่งสวนดอกคณะแพทย์ ที่อาจารย์มักสอดแทรกเรื่องธรรมะในบทเรียน
จนผมรู้สึกว่าครูที่แท้จริง ต้องเป็นแบบนี้ครับ

คำตอบ
   ฟังถูกแล้วจงฟังต่อไป แล้วความดีงามก็จะเกิดขึ้นกับผู้ฟัง การไม่พูดคุยข้ามหัวคนไข้ เป็นคุณธรรมที่หมอมีอยู่ .... สาธุ การสอนคนไข้ให้เข้าใจถึงประโยชน์ของการแปรงฟันที่ถูกต้อง แปรงฟันนานๆ เป็นความเมตตาของหมอ .... สาธุ และสาธุอีกครั้งที่ผู้ตอบปัญหา ได้ประโยชน์จากความรู้ที่หมอนำมาบอกกล่าวอีกด้วย

   (๑). หมอมีเจตนาที่ดี ไม่ถือเป็นบาปครับ นอกจากนี้ยังได้บุญอีกด้วย

(๒). เหตุเพราะนักบวชบางรูปมีจิตขาดสติ จึงเอาจิตไปรับสิ่งกระทบไม่ดี มาปรุงให้เป็นอารมณ์ปวด ตรงกันข้ามนักบวชบางรูปมีกำลังของสติกล้าแข็ง ไม่เอาจิตไปรับสิ่งกระทบที่ไม่ดีมาปรุงอารมณ์ อาการปวดจึงไม่เกิดขึ้น สรุปแล้วนักบวชก็เป็นครูสอนใจให้หมอได้ เรียนรู้จากการทำงานรักษาคนไข้ด้วย

   (๓). การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ถือว่าเป็นคุณธรรมที่ผู้ใดประพฤติได้แล้ว บุญย่อมเกิดสั่งสมขึ้นในจิต ฉะนั้นผู้ใดมีสติ ทำตัวเป็นคนมือเบา ยกมือไหว้ผู้มีพระคุณ (คนไข้) จึงเป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนมากนัก

   อนึ่งการเดินสวนทางกับพระสงฆ์บนถนน หรือเดินสวนทางในวัดแล้วไม่ยกมือไหว้ ไม่ถือว่าเป็นบาป
  

1433.
สวัสดีค่ะอาจารย์หนูขอรบกวนอาจารย์นะคะ

   1. ช่วงหนึ่งหนูมีจิตใจที่สงบมาก หนูพยายามมีสติในการดำรงชีวิต ว่างหนูก็จะกำหนดลมหายใจเข้าออก ไม่ฟังเพลงเลยเพราะรู้สึกว่าฟังแล้วมันไม่เพราะเหมือนแต่ก่อน ทุกครั้งที่ทำอะไรอยู่เช่น ขับรถ นอน แปรงฟัน อาบน้ำ พับผ้า หนูจะฟังซีดีธรรมะตลอด หนูพยายามไม่ใจลอยมีสติ เผลอคิด โกรธ หลงของสวยงาม พยายามอย่างมีสติก็รู่สึกว่าเครียดกันกิเลสต่างๆที่ผ่านเข้ามา กลายเป็นหงุดหงิดห้ามใจตัวเอง แต่ทราบนะคะว่าหงุดหงิด บางครั้งก็อยากจะหนีไปปฏิบัตินั่งสมาธิ แต่หนูมีลูกต้องคอยดูแลไม่สามารถทำได้ อาจารย์มี่ที่แนะนำในกรุงเทพไหมคะ แบบเช้าเย็นกลับนะคะ

   2. บางครั้งหนุรู้สึกเศร้ากับตัวเองว่า กำลังทำอะไรอยู่ ไม่เป็นประโยชน์เลย ไม่อยากเกิดต่อไปชาติหน้า เพราะหนูไปอ่านหนังสือธรรมะ อยุ่เล่มหนึงมีจารึกของพระพูทธเจ้าสมัยโบราณว่า ต่อไปโลกนี้พุทธศาสนาจะเสื่อมหาย รวมถึงจิตใจคนด้วย โลกจะวินาศ หนูทราบว่าเกิดมาต้องมาทนทรมานอีก มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เหมือนช๊วิตมันไม่ม่ความสุขเหมือนแต่ก่อนที่คิดว่า แต่งงานมีครอบครัว มีเงิน ใช้จ่ายอย่างสบาย เหมือนคิดฟุ้งซ่านมากคะ

   3. หนูเป็นคนรักสวยรักงามมากและหนูก็ทราบว่าสังขารหรือความสวยนี้มันไม่ยั่งยืน หนูเคยอ่านคำถามและคำตอบที่อาจารย์ตอบไปแล้วแต่หนูก็ยังไม่ปลงหนูควรจะทำอย่างไรดี ที่ปลงได้บ้างไม่ได้บ้างอาจเป็นไปตามอายุอาจารย์มีวิธีไหนพอจะช่วยเหลือได้บ้างคะ

   4. หนูมีลูกหนึ่งคนเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก พอส่งลูกไปโรงเรียนหนูก็นะสวดมนต์ทุกวัน พอเสาร์หรืออาทิตย์ถ้ามีเวลาหนูก็จะสวดเหมือนทุกครั้ง มีอยุ่วันหนึ่งหนูสวดอยู่ คุณย่าเดินเข้ามาในห้องพระบอกว่าไม่ต้องสวดแล้วลูกอยู่ไปสวดวันอื่น หนูก็เลิกสวดกลางคัน หนูก็เลยสวดในห้องนอนบ้าง ในห้องน้ำบ้าง แล้วหนูก็เผลอพูดออกไปว่าหนูสวดมนต์ในห้อง หนูเห็นหน้าคุณย่าเหมือนท่านอิจฉาหนูว่าหนูทำได้ดีกว่าท่าน หนูก็เริ่มคิดไม่ดีกับคุณย่าว่า คุณย่าท่านเป็นคนนั่งสมาธิ ท่านเล่าว่าท่านนั่งจนเห็นดวงแก้ว มันมีความสุขมาก สุขจนไม่สามารถหาอะไรมาเปรียบ แต่ท่านก็ไม่ได้นั่งนานแล้ว หนูเคยฟังซีดีธรรมะว่า การได้นั่งสมาธิแล้วถึงสมาธิที่เรียกว่าขณิกสมาธิจะได้บุญยิ่งกว่าการทำบุญด้วยเงินทอง หนูไปบอกท่านให้นั่งเพราะหนูคิดว่าท่านสามารถนั่งได้เพราะท่านเคยฝึก หนูสิอยากนั่งแต่จะหลับบ้าง ยุงกัดบางนั่งไมถึงเสียที่ ท่านบอกว่าท่านแก่แล้วท่านจะมานั่งใหม่(ท่านอายุ 61 ปี) หนูก็เลยไม่กล้าบอกท่าน แต่พอหนูจะไปปฎิบัติธรรม สวดมนต์เหมือนท่านจะไม่พอใจแต่ไม่กล้าพูดแสดง หนูคิแบบไม่ดีหรือเปล่าคะ หนูจะบาปหรือเปล่าคะที่หนูคิดไม่ดี ทุกวันนี้หนูสวดมนต์แล้วอธิฐานว่าขอให้หนูมีสติและปัญญา และไปตามกฎไตรลักษ์ ทางธรรมและทางโลก ขอให้ไปทางธรรมมากกว่าทางโลก และ คิดดี ทำดี พูดดี สาธุ

     5. หนูมีอีกข้อคะ เวลาหนูเจอใครบางคั้งเขามีกลิ่นปากหรือตัว หนูก็จะคิดในใจไม่ดีกับเขา หรือเขาพูดอะไรที่หนูไม่เห็นด้วยในใจหนูก็จะว่าเขาหรือติเขาในใจ หนูเป็นคนพูดตรง บางครั้งก็พูดออกมาเลยโดยไม่คิด แล้วหนูก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียวว่าเขาจะโกรธเราหรือหนูอยากจะบาปไหมหนูรู้ว่ามันบาปแล้วเพราะมันทุกข์อยู่ในใจหนูแต่ คนส่วนมากที่หนูรู้จักเขาจะทราบว่าหนูเป็นคนตรงมาก มีอะไรก็จะถามหนู ทั่งที่หนู้บางครั้งไม่อยากพูด ถามจนต้องพูดออกมา

ขอบกวนอาจารย์เท่านี้นะคะ

ขอบคุณเป็นอย่างสูงคะ

คำตอบ
    (๑). เพราะจิตมีกำลังของสติอ่อน จึงไปรับเอากิเลสเข้าปรุงอารมณ์ ทำให้เครียดได้ แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรม แบบเช้าไป-เย็นกลับ ที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์

   (๒). ปัญหาที่บอกเล่าไป ด้วยเอาใจจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติไปเรื่อยๆจนนอนหลับไป แล้วความสุขก็จะเกิดขึ้น

   (๓). วิธีแก้ราคจริตที่ง่ายที่สุด ให้เอารูปถ่ายภาพศพคนตายในลักษณะต่างๆ มาดูบ่อยๆ หรือหากมีโอกาสผ่านไปทางจังหวัดลพบุรี ให้ไปดูซากศพ ( Life Museum ) ที่วัดพระบาทน้ำพุ ยากขึ้นไปอีกให้ไปดูซากศพที่อยู่ในโรงพยาบาล และยากที่สุดหากนำตัวเข้าเป็นสัปเหร่อจัดงานศพ

   (๔). ขณะใดที่บาปให้ผล จะแสดงออกเป็นความไม่สบายใจไม่สบายกาย ฉะนั้นการไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีที่อยู่รอบตัว เข้ามาปรุงอารมณ์ให้เกิดขึ้นกับจิต บาปย่อมเกิดขึ้น ตรงกันข้ามผู้ใดเห็นว่า สิ่งกระทบรอบข้างล้วนต่างดำเนินไปทางกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบเข้าสู่อนัตตา สิ่งกระทบไม่มีอยู่จริง จิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วจิตว่างจากอารมณ์ปรุงแต่ง ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้น การจะเป็นเช่นนี้ได้ บุคคลต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้มีกำลังปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น

   (๕). ใครผู้ใดชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นของตัว อารมณ์ขุ่นมัวย่อมเกิดขึ้น อนึ่งการเป็นคนตรง คือมีความจริงกาย จริงวาจา จริงใจ เป็นเรื่องดี แต่การคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เป็นเรื่องของจิตที่ยังมีความชั่วสั่งสม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่มีธรรมะคุ้มครองใจ เป็นเรื่องที่คนชั่วยังประพฤติอยู่ .... ขออภัย
  

1432.

กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

ดิฉัน ชื่อ น.ส.วงษ์เดือน อาชีพรับราชการ

ทำงานเกี่ยวกับบัญชี ปฎิบัติธรรมมาได้ประมาณเกือบ 5 ปีแล้ว

ปฎิบัติธรรมสายพองหนอ-ยุบหนอของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ช่วงนี้นิวรณ์ 5

เข้าครอบงำตลอด ส่วนใหญ่จะง่วง และเพลียแต่ก็ปฏิบัติ เดินจงกรม

แล้วนั่งสมาธิ ช่วงปีแรก ๆ 2 ชม. ตอนนี้ลดลงเหลือ 1 ชม.

เพราะนิวรณ์เข้าครอบงำมาก ๆ ทำให้จิตอ่อนกำลังลง รู้ตัวดีค่ะ

และในชีวิตประจำวันก็จะพยายามฝึกเจริญสติปัฎฐานสี่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง

การเห็นตนเอง(วิชาเห็นหนอ) นี้ยากมาก ๆ ค่ะในชีวิตนี้ ขอถามอาจารย์ว่า

ทำอย่างไรจิตใจถึงจะเข้มแข็งขึ้น

เพราะบางทีมีสิ่งมากระทบจิตจะรับรู้ไวมาก บางทีก็ปล่อยวางไม่ได้

และดิฉันทำกรรมอะไรไว้จึงต้องสงเคราะห์พี่ ๆ และหลาน ๆ ทั้ง ๆ

ที่เป็นลูกคนสุดท้อง บางครั้งก็ท้อใจ บางครั้งก็ทำใจได้

ชีวิตติดลบมากเรื่องเงิน อยากทราบว่าจะฟื้นตัวเร็วหรือไม่อย่างไร

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่มีเมตตาเป็นอย่างสูง

ด้วยความเคารพอย่างสูง

วงษ์เดือน

คำตอบ
     ตราบใดที่นิวรณ์ ๕ (กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) ยังมีอำนาจเหนือใจ บุคคลไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความจริงแท้ในสติปัฏฐาน ๔ ได้ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์เข้าถึงปัญญาในสติปัฏฐาน ๔ ต้องรักษาใจให้มีศีล ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ได้แล้ว โอกาสเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้

   ผู้ใดสงเคราะห์ผู้อื่นแล้วเกิดความท้อแท้ขึ้นกับใจ ผู้นั้นยังเห็นผิด ยังมีอัตตาค้ำอยู่ในใจ เรียกให้ชัดว่า ยังมีความเห็นแก่ตัว .... ขออภัยพูดตรงความจริง วิธีแก้ไขทำได้สองทาง คือ กลบฝังอัตตาด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง หรือในทางที่สอง พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอัตตา ด้วยการพิจารณาขันธ์ ๕ ตามกฎไตรลักษณ์

   (งง หากยังเข้าไม่ถึงธรรม ไม่งง หากจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว)
  

1431.
กราบสวัสดีครับท่านอาจารย์
 
ผมมีพระพุทธรูปวางบูชาบนชั้น ก่อนนอนผมจะสวดมนต์ทุกๆคืน
แต่ด้วยผมสวดค่อนข้างยาวเพราะวางแผนจะสวดบทอื่นๆต่อไปเช่น
คิริมานนทสูตร , โพชฌังคปริตร ผมชอบท่องบทสวด
และนึกถึงความหมายในใจขณะเปล่งภาษาบาลีออกมา
บทสวดสอนธรรมะหลายๆเรื่องได้ดี สาเหตุที่ผมชอบท่องบทสวด
เพราะบทสวดแต่ละบทมีความหมายที่แตกต่างกัน
สามารถท่องให้เตือนสติได้เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการให้จิตสงบ
ผมมีปัญหา 3 ข้อเรียนถามนะครับ
 
1. ผมสามารถยืนตรงพนมมือสวด ต่อหน้าพระพุทธรูปได้ไหมครับ
แต่ก่อนผมจะนั่งสวด มีวันหนึ่งผมไปยืนสวดในห้องพระของพ่อ แล้วรู้สึกดี
การยืนสวดจะมีความผิดไหมครับ
เพราะผมทราบว่าการนั่งสวดเป็นอิริยาบถที่คนส่วนมากเขาทำกัน
 
2. ผมเคยฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ กล่าวว่า ลูกที่เกิดมา ไม่ทำงานบ้าน
นั่งกินนอนกิน ไม่ช่วยพ่อแม่ทำงาน ลูกแบบนี้ในอดีตเป็นเทวดา
อันนี้ไม่ทราบเป็นความจริงหรือว่าอาจารย์กล่าวเชิงเปรียบเทียบครับ
เพราะว่า เขาน่าจะมีจิตใจที่ดีนะครับ ถ้าเขาจุติจากเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์
และช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าง ผมฟังแล้วเลยขัดๆนะครับ
 
3.  คนบางคนเกิดมาดูจะเพียบพร้อมไปทั้งหมด (อาจเพราะผลบุญในอดีต)  
ในชาตินี้ แต่ทำไมเขาถึงหลง ทำบาปมากกว่าบุญ ทำไมเขาถึงหลงล่ะครับ
หากเขาหลงไปมากๆเรื่อยๆ จนตายไป เขาก็ไม่มีโอกาสกลับตัว
ผมกลัวจะเป็นแบบนั้นในชาติถัดไป เรารู้ว่าชาตินี้เรากำลังมีสัมมาทิฏฐิ
ผมก็อยากให้มีติดตัวไปตลอด ไม่หลง
การทำให้มีสัมมาทิฏฐิ เกิดในทุกภพชาติ ทำได้ไหมครับ

คำตอบ
    (๑). สวดมนต์สามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ ยืนสวดมนต์ไม่ผิด ขอเพียงให้ใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวดเป็นใช้ได้

   (๒). เป็นได้สองทาง คือ จิตวิญญาณของเทวดาจุติ แล้วมาปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และมีหิริโอตตัปปะหรือมีความกตัญญูฯ เป็นคุณธรรมบ่งชี้ว่า เขามาจากสวรรค์ และในอีกทางหนึ่ง หากจิตวิญญาณโคจรมาจากอบายภูมิ แล้วมาปฏิสนธิเป็นมนุษย์ จิตประเภทนี้ไม่มีหิริโอตตัปปะ มีอกตัญญูฯ เป็นตัวบ่งชี้ ให้เห็นได้ด้วยพฤติกรรมที่เขาแสดงออก

   (๓). บาปเกิดจากประพฤติอกุศลกรรม (ทุศีลไร้ธรรม) บุญเกิดจากประพฤติกุศลธรรม (มีศีล มีธรรม) ฉะนั้นบุญและบาปจึงเป็นคนละส่วนกัน

   ผู้ใดรู้ไม่จริงประพฤติตนเป็นคนหลง ผู้รู้จะเอาเขาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าอย่าประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา ตรงกันข้ามผู้ใดรู้จริง ประพฤติตนไปในทางที่ถูกต้องชอบธรรม ผู้รู้จะเอาเขาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าจะประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะเป็นเหมือนเขา ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาเป็นผู้รู้ จะไม่นำพฤติกรรมไม่ดีของคนอื่น มาประพฤติให้เกิดขึ้นกับตน

   คำว่า “ สัมมาทิฏฐิ ” มีสองความหมาย คือ ปัญญาเห็นถูกทางโลก (โลกิยสัมมาทิฏฐิ) เกิดขึ้นด้วยการฟังผู้รู้มาบอกกล่าว แล้วนำไปประพฤติตามคำบอกกล่าวนั้น ส่วนปัญญาเห็นถูกตามธรรม (โลกุตตรสัมทิฏฐิ) เกิดขึ้นด้วยการฟังผู้รู้บอกกล่าว แล้วพิจารณาคำบอกกล่าวโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) จะทำให้เกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมที่เรียกว่า สัมมาญาณ อันจะนำไปสู่การพ้นจากสมมุติ

   ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์มีสัมมาทิฏฐิแบบใด สามารถทำได้ด้วย บำเพ็ญมหาทาน ตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) และทำเหตุให้ถูกตรงตามที่บอกข้างต้น แล้วความสมปรารถนาย่อมเกิดได้
   

1430.
สวัสดีครับท่านอาจารย์ที่เคารพ
   เวลาที่เราทำบุญแล้วก็ไม่ต้องหวังอะไรในบุญนั้น แต่ว่าเราก็อฐิฐานว่าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แบบนี้ไม่เรียกว่าหวังในบุญหรือครับ ท่านอาจารย์โปรดชี้แนวทางด้วยครับ

ดัวยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
   ผู้รู้ในพุทธศาสนา เชื่อในสิ่งที่เป็นจริง คือ สิ่งที่เหตุผลรองรับ เชื่อว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นได้ ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด ผู้ใดทำเหตุสิบอย่างที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งความดีให้ผู้อื่น ยินดีในความดีที่ผู้อื่นทำ ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง ไว้แล้ว ผลคือบุญย่อมเกิดขึ้นกับผู้กระทำ เขาก็เป็นผู้มีบุญโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องคาดหวัง (ตัณหา) ให้เป็นกิเลสเกิดขึ้นกับใจ

   ดังนั้นผู้ใดทำเหตุสิบอย่างดังกล่าวอยู่เสมอ โดยไม่ต้องคาดหวังอะไรทั้งสิ้น แล้วบุญแท้ที่ไม่มีกิเลสปนเปื้อนก็จะเกิดขึ้น ผู้มีบุญปรารถนาสิ่งดีงามใดๆ สิ่งดีงามนั้นๆ ย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีบุญเรียกว่า อธิษฐาน ย่อมเรียกได้
  

1429.

กราบเรียนถามอาจารย์ที่เคารพยิ่งครับ

รบกวนถาม เรื่องการปฏิบัติครับ

ผมได้ฟังธรรมะจากอาจารย์ต่างๆ ทั้งหลวงปู่ หลวงพ่อ และอาจารย์ด็อกเตอร์

หลายท่านที่ปฏิบัติธรรมะ ผมเลยได้แนวทางปฏิบัติคือ สติปัฏฐานสี่ แต่พอผมฝึก

ไปได้สักพัก ก็ต้องพบกับคำถามแต่ไม่รู้จะไปถามใครครับ เพื่อนที่เคยบวชเรียน

และฝึกมาแล้วก็มีแต่ตอบผมได้ยังไม่ละเอียดเท่าไร ผมขอรบกวนอาจารย์ดังนี้

น้ะครับ

๑. ผมอยู่กับลมหายใจ พุท-โธ มีสติรับรู้ตลอด ลมเข้า ลมออก กระทบปลายจมูก

ปลายริมฝีปาก รู้สึกถึงลมเข้า-ออกเป็นทาง กระทบปอด หน้าท้องพองตัว หน้าท้อง

แบนตัว หรือกระทั่งรับรู้การเต้นของหัวใจ ความคิดจรที่แว่บเข้ามาก็เห็น

น้ะครับ แต่ภาวนาว่าคิดหนอ แล้วกลับมาที่ลมหายใจ แบบนี้ใช่ไหมครับที่เป็น

การพิจารณากาย คันก็ไม่ปรุงแต่งว่ายุงกัด ต้องยกมือมาปัด อยู่กับลมหายใจ

ตลอด

๒. นั่งได้สักพักครับ เวทนาจะเริ่มมา ปวดหลังมาก่อนครับ และก็ปวดขาจะตามมา

ทุกครั้ง แต่ทำไมผมนั่งยิ่งบ่อยครั้ง จะรู้สึกปวดมากกว่าเดิมครับ ทุกครั้ง

จะทวีความปวดมากกว่าเดิมครับ เหมือนจะรับรู้ได้ละเอียดขึ้น จุดไหน กล้าม

เนื้อมัดไหน อาการเป็นอย่างไรแบบนั้นจริงๆครับ ปวดจนทนไม่ไหวมีความคิดแว่บ

เข้ามาครับบอกว่าพอเถอะ เลิกก่อน คราวหน้าเอาใหม่ ผมก็ปวดหนอ ปวดหนอ จนหมด

เวลาที่ตั้งใจไว้ เพื่อสร้างสัจจะบารมี และขันติบารมี บอกตรงๆครับช่วงนี้จะ

สั่น ทั้งปวด ทั้งข่ม สมาธิไม่นิ่งเลย ต้องจบที่ตรงนี้ทุกที ทำอย่างไรให้

ข้ามจุดนี้ไปได้ครับ เพราะรู้สึกว่าเวทนามันหนักจริงๆ

๓. ผมอยากถามว่าการที่เราจะเห็นจิตกับกายนั้นแยกกันมันเป็นแบบไหนครับ เพื่อ

ผมจะได้ไม่คิดไปเอง เพราะบางทีผมนั่งก็รู้สึกโล่งๆบ้าง ตัวเบาๆบ้าง เห็น

วงกลมๆมีแสงแล้วส่องมาที่ลูกตาบ้าง แต่ผมพยายามอยู่กับลมหายใจตลอดไม่ปรุง

แต่งตาม และอาการเหล่านี้บางครั้งจะเกิดก่อนเวทนาจะมาครับ รบกวนอาจารย์

ชี้แนะด้วยครับ

๔. ทุกวันนี้ผมอาราธนาศีลห้า และรักษาศีลให้เป็นปกติ ฝึกกรรมฐาน แผ่เมตตา

อุทิศส่วนกุศลทุกวัน ผมควรเพิ่มเติมสิ่งใดอีกครับเพื่อจะได้บันลุผลนิพพาน

ผมเคยฟังธรรมะของหลวงปู่ หลวงพ่อ บอกว่าคนธรรมดาก็นิพพานได้ ขึ้นอยู่ที่

กำลังใจ และของเก่าใช่ไหมครับ

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง กระผมอาจจะมีปัญหามารบกวนอาจารย์บ่อยๆน้ะครับ

คำตอบ
   (๑). อาการที่บอกเล่าไปทั้งหมด ยังมิใช่ปัญญาเห็นแจ้ง แต่เป็นปัญญาที่รับรู้ว่า ท้องพอง-ท้องแบน รับรู้การเต้นของหัวใจ รับรู้ความคิดที่จรมาเป็นครั้งคราว รับรู้ว่าอาการคันเกิดขึ้น ฯลฯ ยังไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ เมื่อใดผู้ปฏิบัติธรรมเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ว่า อาการที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มิใช่ตัวมิใช่ตน (อนัตตา) หรือเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง จิตจะปล่อยวางไม่มีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น นี่แหละที่เรียกว่า ปัญญาเห็นแจ้งในอาการนั้นๆ อ่านทบทวนกี่ครั้งกี่หนก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่บอกมานี้ แต่ถ้าเข้าถึงสภาวะเช่นนี้ด้วยตัวเอง (สนฺทิฏฺฐิโก) ได้แล้ว ความสงสัยในเรื่องของคำว่าอนัตตาจะหมดไปเป็นอัตโนมัติ

   (๒). นั่งปฏิบัติธรรมแล้วอาการปวดหลังปวดขามาเร็ว และปวดมากขึ้นๆ นั่นเป็นตัวบ่งชี้ว่า จิตมีกำลังของสติมากขึ้น ทำไมไม่ยอมตายไปกับความปวด (ทุกขเวทนา) เพื่อแลกกับธรรมะของพระพุทธเจ้า คนที่ได้ธรรมะของพระพุทธะล้วนต่างเอาชีวิตเข้าแลกกันทั้งนั้น แต่ผู้ถามปัญหากลับยอมแพ้ ซ้ำยังเอาจิตไปปรุงแต่งกับอารมณ์ปวด ปรุงแต่งกับความคิดสงสัยในการทำงานของกล้ามเนื้อ ปรุงแต่งกับความคิดผิดว่าพอเถอะ คราวหน้าค่อยเอาใหม่ ฯลฯ จะพยายามกี่ครั้งกี่หนก็แพ้ตลอด คนขี้แพ้ไม่ได้ธรรมะของพระพุทธเจ้าหรอกครับ

   (๓). อยากเห็นจิตแยกออกจากกาย รับรองว่าไม่ได้เห็นแน่นอน เพราะเอาความอยาก (ตัณหา) มาเป็นตัวปรุงจิตให้เศร้าหมอง ผู้ใดกำจัดความอยากให้หมดไปจากใจได้ แล้วปฏิบัติตามคำชี้แนะของครูบาอาจารย์ จนจิตเข้าถึงสมาธิที่สูงขึ้น การเห็นจิตแยกออกจากกาย จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

   อาการตัวเบาเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ เบาหนอ ๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอาการตัวเบาหายไป เมื่อปรากฏว่ามีแสงมาส่องอยู่ที่หน้า ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอ ๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าการเห็นแสงหายไป แล้วให้ดึงจิตเข้าสู่องค์บริกรรมเดิม

   (๔). ผู้ใดยังต้องอาราธนาศีล ยังต้องรักษาศีล ๕ ให้คงอยู่กับใจ ยังไม่ถือว่าผู้นั้นมีศีล ๕ เป็นปกติ ผู้ปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้ เขามีศีล ๕ คุมใจอยู่เป็นปกติทุกขณะตื่น โดยไม่ต้องไปอาราธนามาจากใคร และไม่ต้องรักษาศีลให้เสียเวลา ฉะนั้นผู้ใดมีศีล ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจได้ทุกขณะตื่น ศีลในลักษณะนี้แหละที่นำจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วนำไปสู่ปัญญาเห็นแจ้งได้ ตามหลักของไตรสิกขา (ศีล – สมาธิ – ปัญญา)

   ไม่ต้องหลวงปู่หลวงพ่อบอก คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คือคนที่มีบารมีสั่งสมมามาก (ของเก่า) และปัจจุบันมีกำลังของสติ และมีกำลังของปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็ง โอกาสนำจิตเข้าสู่นิพพานเป็นไปได้
  

1428.
เรียนถาม อาจารย์ สนอง ที่เคารพครับ

ผมอยาก ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ดังนี้ครับ

     ผมฝึกนั่งกรรมฐาน อยู่มาระยะเวลาหนึ่ง จนมาถึง ตอนที่นั่งอยู่มีความสุข สุขมากๆ สุขแบบว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อน สภาวะจิตตอนนั้น มีความสุข มีความสงบ ชุ่มชื่นจิตมาก และอารมณ์ของจิตก็คงอยู่ในสภาวะแบบนั้น และก็เสพอารมณ์นั้นไปเรื่อยๆ มีความสุขมากๆ และการนั่งของผม เมื่อเริ่มนั่งก็จะใช้เวลาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งคิดว่าไม่นาน จิตก็จะไปอยู่ที่ สภาวะแบบนั้น นั่งเสพอารมณ์ไปเรื่อยๆ และ มีความสุขมากๆ และผมคิดว่า ถ้าจิตอารมณ์ดีอย่างนี้ แล้วถ้ามีคนที่เราไม่ชอบใจและเกลียดเขามากๆ มาหาในตอนนี้อารมณ์ของจิต จะเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้คือ ผมจะยิ้มอย่างจริงใจให้กับเขา เดินเข้าไปจูงมือเขามาเพื่อนั่งกรรมฐานด้วยกัน สอนเขาบอกเขาถึงวิธีการนั่งกรรมฐาน ซึ่งถ้าเขาทำไม่ได้จริงๆ ผมก็พร้อมที่จะถอด อารมณ์สภาวะจิตที่ทำได้สวมให้เขา และของผมเดี๋ยวค่อยสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้ การที่ผมทำแบบนี้ สิ่งที่ต้องการคือ อยากให้เขามีความสุขอย่างที่ผมได้รับเท่านั้นเอง และสภาวะจิตตอนนั้น ถ้ามีใครมาบอกว่า เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผมและต้องการชีวิตของผม สภาวะจิตตอนนั้นบอกว่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะชดใช้ให้ด้วยชีวิต จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกต่อไป และพร้อมที่จะตายในตอนนั้น อย่างไม่ลังเลใจ และไม่อาฆาตต่อเขาด้วย และสภาวะจิตตอนนั้นไม่กลัวความตาย ยิ้มยินดีที่จะตาย เพราะรู้สึกว่า ถ้าตายแล้ว ต้องมีอะไรที่ดีๆรออยู่เบื้องหน้าครับ และการนั่งกรรมฐานของผม ผมจะนั่งประมาณครั้งละ 1 ชั่วโมง ถึง 1.5 ชั่วโมง ซึ่งตอนที่จะออกจากกรรมฐาน เพราะตอนนั้นนั่งจนเจ็บก้นมาก เจ็บจนทนไม่ไหว จิตร้อนรน ทุรนทุรายมาก จึงขยับตัวและย่อตัวลงมาให้หลังงอก่อน และพักสักครู่ จึงแผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลที่เกิดจากการนั่งกรรมฐาน ในครั้งนั้น

     แต่ผมสามารถนั่งกรรมฐานอยู่ในช่วงระยะเวลานั้นได้ประมาณ 5-6 เดือน เพราะจิตมันเริ่มฟุ้งซ่าน นั่งอย่างนั้นก็สุขอย่างนั้นเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จิตเริ่มฟุ่งซ่านและอยู่ดีๆ มันก็คิดโน่นนี่ คิดไปเอง ผุดขึ้นมาเอง รบกวนจนผมไม่สามารถนั่งกรรมฐานให้เหมือนเดิมได้เลย เครียดมาก จากคนที่เคยทำได้ รู้วิธีที่จะนั่งกรรมฐานและภาวนาจน จิตมีความสุข มีความสงบ แบบนั้น และพอเวลามันฟุ่งซ่าน ผมก็พยายามที่จะข่มมัน กดความคิดมันให้หายไป แต่กลับทำให้เครียดมากกว่าเดิม เพราะยิ่งกดมัน มันก็ยิ่งฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่ จนทุกวันนี้ ผ่านมา 2 ปีกว่า ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย

     ซึ่งการนั่งกรรมฐาน แบบไม่มีครูบาอาจารย์คอยให้คำแนะนำ อาจทำให้บุคคล คนนั้นบ้าหรือเสียสติไปเลยก็ได้ แต่ผมก็พยายามไม่ให้ตัวเองไปเป็นแบบนั้น โดยพิจารณาว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา และต้องหาวิธีแก้ไขกันไป เครียดมาก ทุกวันนี้ นั่งทำงานหรือ นั่งอยู่เฉยๆ ก็ฟุ้งซ่านความคิด อยู่อย่างนั้น เป็นประโยคซ้ำๆ มีใจความบ้าง ไม่มีใจความบ้าง ให้จิตมันวนเวียนคิดอยู่อย่างนั้น ทั้งเหนี่อย และเครียด รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตไปเยอะมาก ทำให้การทำงานออกมาได้ไม่ค่อยดี กระบวนการทางความคิด ไม่ราบเรียบ กลายเป็นคนที่โกรธง่ายและหงุดหงิดง่าย ซึ่งไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเป็นแบบนี้มากๆ มันก็จะสะสมในดวงจิตของเราไว้มาก แล้วพอตายไป ผมจะไปคุยกับท่านพระยายมราชอย่างไง เพราะหลักฐานมันเยอะหรือเกิน ซึ่งผมก็บอกได้ว่า มันคิดเอง เพราะถ้าผมบังคับมันได้ บอกแล้วความคิดฟุ่งซ่านมันเชื่อฟัง มันไม่โผล่ออกมา ผมก็ไม่เป็นแบบนี้ และผมต้องการบอกว่า ผมไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องกับความคิดฟุ่งซ่าน และไม่ขออนุโมทนากับมันเลย มันจะทำอะไรก็เรื่องของมัน เครียดจริงๆ ถ้าไล่เตะมันได้ ผมเตะมันกระเด็นไปแล้ว จะได้ไม่ต้องมากวนผม บางครั้งคิดอยากวิ่งเอาศรีษะ ชนกำแพง จะได้ให้ความคิดฟุ่งซ่านมันหายไป แต่คิดได้ว่า ที่ต้องเจ็บแน่ๆก็คือ ศรีษะของผมเอง เลยยังไม่ได้ทำครับ

     ผมอยากเรียนถาม อาจารย์ สนอง อย่างนี้ครับ

1. กรรมฐานที่ผมเคยทำได้ จัดว่าเป็นแบบไหนอย่างไรครับ เป็น ฌาน ขั้นไหนหรือไม่อย่างไรครับ

2. กระผมควรทำอย่างไรเพื่อให้กลับมานั่งกรรมฐาน ให้ได้ ดวงจิตเหมือนเดิม มีบุคคลอื่นบอกผมว่ามันเป็นกรรมเก่าที่เข้ามาขวางผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรไว้ แต่ที่แน่ๆ มันต้องมีเหตุ จึงทำให้มีผลตามมา ผมก็บอกได้เลยว่า ขออโหสิกรรมด้วยครับ ปล่อยให้ผมนั่งกรรมฐานเหมือนเดิมเถอะ แล้วผมจะอุทิศบุญกุศลให้ครับ

     สุดท้ายนี้ผมจึงขอความเมตตาจากท่าน อาจารย์ สนอง ช่วยชี้แนะแนวทางให้แก่ผม เพื่อให้การปฏิบัติดำเนินก้าวหน้าต่อไปได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขอให้กลับมานั่งกรรมฐานให้ได้ดวงจิตดังเดิมที่เคยปฏิบัติได้ ขอความเมตตาจากท่าน อาจารย์ สนอง ช่วยตอบ อีเมล ผมด้วยครับ ตาม อีเมลที่ผมส่งเมลไปครับ และผมจะคอยเช็คเมลครับ

ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ

วิทยา

คำตอบ
     (๑). จากคำบอกเล่าวิเคราะห์ได้ว่า จิตเคยเข้าถึงความสงบระดับฌาน ความสุขจึงได้เกิดขึ้นแต่เป็นโลกิยสุข ขณะใดจิตไม่ตั้งมั่นอยู่ในฌาน ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นได้

    (๒). ผู้ถามปัญหาอยากให้จิตกลับมามีสภาวะเหมือนเดิม ความอยาก (ตัณหา) เป็นกิเลสตัวใหญ่ หากเกิดขึ้นและยังมีอยู่กับใจ แม้จะปฏิบัติธรรมอย่างไร ย่อมเข้าไม่ถึงผลแห่งการปฏิบัตินั้น ฉะนั้นควรเข้าหาและฝากตัวเป็นศิษย์ กับผู้รู้มีประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติธรรม อาทิ หลวงพ่อวัดมเหยงค์ จังหวัดอยุธยา หากนำคำชี้แนะมาปฏิบัติให้ถูกตรง ปัญหาจึงจะหมดไปได้
  

1427.
กราบเรียนถามอาจารย์ ดร.สนอง

    1. ทำไมหนูถึงมีแต่ความทุกข์ในการปฏิบัติธรรม   มีแต่แน่น เหนื่อย อึดอัด ท้อ   หนูก็ทราบว่าคงจะทำผิด   แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร   ถ้าไม่เพ่งจนเครียด   หนูก็ปล่อยจนหลงคะ   ยังหาทางสายกลางไม่พบค่ะ   ทำยังไงดีคะอยากปฏิบัติธรรม   อาจารย์บอกว่าจะกลับมาช่วยเพื่อนเก่าๆ    ช่วยหนูอีกสักคนนะคะ   หนูจะได้ไปช่วยคนอื่นต่อได้อย่างถูกทาง   กลัวไปสอนผิดแล้วทำให้ผู้อื่นแย่นะคะ

    2. หนูมีโอกาสพบแต่ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ แต่หนูก็ปฏิบัติจนงงว่าหนูควรจะไปในแนวทางไหนดีคะ   ควรบริกรรม หรือทิ้งคำบริกรรม   อะไรที่ตรงกับจริตของหนูคะ   ควรปฏิบัติตามแนวทางของพระอาจารย์องค์ใดคะที่หนูจะเข้าใจคะ

    3.  ทำอย่างไรหนูถึงจะเห็นคุณค่าของการปฏิบัติมากๆ คะ   
  ทำอย่างไรถึงจะขยันๆ   ไม่ขี้เกียจคะ   

คำตอบ
    (๑). ผู้ดีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น และหากพัฒนาให้เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจทุกขณะตื่นได้แล้ว ปัญหาย่อมหมดไปโดยปริยาย ฉะนั้นจงดูใจตัวเอง ดูความพร่องของศีลที่มีอยู่ในใจ ปรับปรุงแก้ไขได้เมื่อใดแล้ว การปฏิบัติธรรมย่อมก้าวหน้า ... สู้

   (๒). ควรทำกรรมฐานรูปแบบอื่นมาทดลองปฏิบัติดูบ้าง กรรมฐานชนิดใดนำมาปฏิบัติแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย กรรมฐานนั้นเหมาะกับจริตของผู้ถามปัญหา ทำไมไม่ลองนำเอาอานาปานสติ หรือ ภูตกสิณ ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) มาเป็นองค์ภาวนาดูบ้างล่ะ

   (๓). ผู้ใดตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ปฏิบัติธรรมเต็มที่ ปฏิบัติถูกตรงตามคำชี้แนะของครูบาอาจารย์ โดยมีความเพียรและมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุนแล้ว ความขี้เกียจย่อมหมดไป ความศรัทธาในคุณค่าของการปฏิบัติธรรมย่อมเกิดขึ้น
  

1426.
เรียน อาจารย์สนอง ที่เคารพยิ่ง
 
   ตอนนี้หนูมีปัญหากับการดำเนินชีวิตค่ะ หนูยังมีความจำเป็นที่จะต้องทำงานเพื่อต้องการเงินเดือนมาใช้จ่าย แต่หนูเบื่อที่จะต้องอยู่ในสังคม หนูไม่อยากคุยกับใครในบางวัน หนูไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงของบริษัท ตอนนี้หนูเลี่ยงที่จะต้องทำงานกับคนอื่น เผอิญงานที่หนูทำสามารถทำคนเดียวจบได้ แล้วถึงจะให้อีกคนทำต่อ หนูรู้สึกแย่เหมือนกันที่หนูเป็นอย่างนี้ และหนูเป็นคนมองทุกสิ่งในแง่ร้ายด้วยค่ะ ซึ่งมันสะท้อนออกมาจากคำพูดของหนูเอง เวลาที่จะต้องแสดงความคิดเห็นกับคนอื่น

   อาจารย์คะมีวิธีหรือธรรมะข้อใดที่จะทำให้หนูหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่ได้คะ ขอความเมตตาอาจารย์แนะนำหนูด้วยค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ผู้ใดมีความเห็นผิดและมีอัตตา ผู้นั้นย่อมมองคนอื่นไม่ดี ตรงกันข้าม ผู้ใดให้อภัยเป็นทาน ให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจได้ ผู้นั้นมีเมตตาเป็นบารมีสั่งสมอยู่ในจิตใจ ผู้มีเมตตาเป็นผู้มีอารมณ์สงบเย็นและมีความสุข และดียิ่งขึ้นหากได้พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมเห็นความไม่ดีของผู้อื่นเป็นครูสอนใจ มิให้เราประพฤติตาม ย่อมเห็นความไม่ดีของตัวเอง (อัตตา) เป็นต้นเหตุให้เกิดความเศร้าหมองขึ้นในจิตใจ ซึ่งต้องกำจัดให้หมดไปด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นผู้หวังความสงบสุขให้เกิดขึ้นกับชีวิต ต้องมองตัวเองและแก้ปัญหาที่ตัวเอง
  

1425.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง

   ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยกรุณาชี้แนะแนวทางให้ผมด้วย
ผมเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นชายรักชาย ที่กำลังรับวิบากกรรมจากการประพฤติผิดศีล ผมทราบว่าตนเองเป็นแบบนี้ ตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่ม แต่ก็ประพฤติผิดเรื่อยมา จนมาถึงจุดเปลี่ยนที่เห็นทุกข์ของการไม่สมหวัง การหลอกลวง ความโดดเดี่ยว ทุกข์จากความกำหนัดที่รุนแรงกว่าคนทั่วไป ผมต้องการแก้ไขจิตใจที่วิปริต ให้กลับมาเป็นชายปกติ   ลดความกำหนัดให้เบาบางลง พยายามมุ่งหน้าเข้าหาพระศาสนา   หากผมปฏิบัติวิปัสสนา และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่ดีให้หมดไป

   เป็นไปได้หรือไม่ที่ผมจะหลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้ แล้วกลับเป็นชายชาตรีสมภาคภูมิครับ

คำตอบ
      ผู้ถามปัญหาประสงค์พ้นจากวิบากกรรมที่ตนกำลังเสวยอยู่ สามารถทำได้ด้วยการออกกำลังทางกายให้มาก เช่น เล่นกีฬาแบดมินตั้น เล่นกีฬาเทนนิส เล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล เล่นกีฬาฟุตซอล ฯลฯ เป็นประจำ และจะดียิ่งขึ้น หากได้สวดมนต์แล้วเจริญอานาปานสติก่อนนอนทุกวัน เสร็จแล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ
  

1424.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

หนูขอเรียนถามอาจารย์เรื่องโรคที่เกิดจากกรรมค่ะ หนูเป็นโรคทางจิตใจแบบที่วัยรุ่นส่วนน้อยมากเป็นกัน เกี่ยวกับการเสพติดพฤติกรรมที่ไม่ดีค่ะ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพร่างกาย สมาธิและจิตใจอย่างมาก หนูไม่สามารถควบคุมใจหนูไม่ให้ทำพฤติกรรมที่ไม่ดีนี้ได้ ซึ่งไม่ได้ผิดศีลนะคะ
แต่หนูคิดว่ามันเป็นการเบียดเบียนตนเองมาก หนูพยายามนั่งสมาธิและสวดมนต์ ทำให้ปรับตัวเองดีขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ละไม่หมด

1. หนูอยากทราบว่าโรคนี้เกิดจากกรรม หรือหนูมาจากภพที่ต่ำกว่ามนุษย์คะ หนูรู้สึกว่ามันเป็นกิเลสในตัวที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หนูคิดว่ามันเกิดจากการไม่มีสติเมื่อเกิดความอยากนี้ขึ้นมา คล้ายๆกับรู้ว่าเหล้าไม่ดีแต่ก็ยังดื่ม


อันนี้เป็นคำถามเพิ่มเติมค่ะ
เวลานี้หนูใช้ศีลคุมใจอยู่ตลอด ก่อนหน้าที่หนูเริ่มฟังธรรม หนูเคยผิดศีลข้อ 2, 3 และ 4 แต่ข้อ 3 นี้รุนแรงมากทำให้เป็นผลให้เกิดข้อ 2,4 ตามมา เพราะอยากได้คนที่ไม่ใช่ของเรา
( อันนี้ไม่มีส่วนเกียวข้องกับพฤติกรรมที่้เป็นค่ะ) ทำให้หนูทุกข์ใจมากจนต้องเข้าหาธรรมะ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

2. อยากทราบว่าเมื่อหนูกลับมารักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะมีส่วนช่วยให้หนูบรรลุธรรม และควบคุมใจตัวเองได้มากขึ้นได้หรือไม่คะ


ขอให้ผู้ทรงธรรมจงอยู่นานค่ะ กราบขอบพระคุณ

คำตอบ
     กรรม หมายถึง การกระทำ มนุษย์ทำกรรมได้สามทาง คือ ทำกรรมด้วยการคิด (มโนกรรม) ทำกรรมด้วยการพูด (วจีกรรม) และทำกรรมด้วยอวัยวะของร่างกาย (กายกรรม)

     (๑). จิตของผู้ใดเมื่อทำงานแล้ว ทำให้เกิดอารมณ์และการสั่งงานผิดไปจากคนปกติ ถือว่าจิตนั้นเป็นโรค การกระทำทางกายใดๆ เมื่อบุคลประพฤติแล้ว ทำให้ร่างกายมีลักษณะและมีอาการผิดไปจากคนปกติ ถือว่าร่างกายนั้นเป็นโรค ทั้งนี้จิตที่ขาดสติและจิตที่มีความเห็นผิด จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคทั้งสองแบบ

     (๒). ผู้ใดมีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วนำตัวเข้าปฏิบัติสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา จนเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติได้แล้ว โรคดังกล่าวจะหายไป และยังมีโอกาสบรรลุธรรมได้
  

1423.
เรียน อาจารย์สนอง   วรอุไร

         อยากทราบว่าโรคซึมเศร้าสามารถรักษาด้วยการนั่งสมาธิได้หรือไม่
ถ้าได้ มีการรักษาอย่างไร

            ด้วยความนับถือ
              ประสิทธิ์

คำตอบ
     ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติรับทันสิ่งกระทบ และพัฒนาจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้ง จนเห็นว่าทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตเป็นอนัตตา โรคซึมเศร้าย่อมหายไปโดยปริยาย ฉะนั้นการนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถรักษาโรคซึมเศร้าให้หายขาดได้ แต่ยับยั้งได้ชั่วคราว เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
  

1422.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

   ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ แล้วให้พระเจิมประตูบ้าน และใช้ด้ายสายสิญจน์วงล้อมรอบตัวบ้านนั้นดีหรือไม่ครับ เพราะในแง่หนึ่งไม่น่าจะดี เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้อมนุษย์ที่หวังดี และอยากอยู่ช่วยเราไม่สามารถเข้ามาอยู่อาศัยได้ แต่อีกในแง่หนึ่งน่าจะดี เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้อมนุษย์ที่ไม่หวังดีเข้ามาทำร้ายเราได้

    จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่าควรทำอย่างไรจึงจะเป็นการดีและเหมาะสมกว่ากัน

ขอบคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
     หากผู้ถามปัญหาพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีศีลมีธรรม (ธรรมวินัย) คุ้มครองใจได้ทุกขณะตื่น การเข้าอาศัยอยู่ในบ้านใหม่นั้นจะเป็นมงคล โดยไม่ต้องทำบุญขึ้นบ้านใหม่แล้วให้พระมาเจิมประตูให้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนที่เข้าอาศัยอยู่ในบ้านควรทำอย่างยิ่ง เมื่อทุกคนประพฤติได้แล้ว ธรรมวินัยย่อมคุ้มรักษาทุกคนในบ้านให้มีชีวิตสวัสดี
  

1421.
สวัสดีค่ะ

   ตอนนี้หนูเรียนอยู่ต่างประเทศค่ะ มีความข้องใจอยากขอความกรุณาให้ความกระจ่างนะคะ

   เมื่อสี่ปีก่อน หนูมีโอกาสได้รู้จักอ.คนไทยท่านหนึง ที่มาปฎิบัติภาระกิจที่นี่หนึ่งสัปดาห์ระหว่างนั้นหนูทราบว่า อาจารย์ท่านขอคุณหมอออกจากรพ. และเดินทางมาทำงานนั้นหนูรู้สึกเป็นห่วง เลยไปคอยดูแลอาจารย์ท่านนี้แทบทุกวันค่ะ เมื่อกลับไปเมืองไทย หนูก็ไปเยี่ยมอาจารย์ท่านนี้เสมอ และบ่อยครั้งที่ไปอ.ท่านมักจะเข้ารพ. หนูเลยไปนอนที่รพ.ด้วย

   เมื่อปีที่แล้ว อ.ท่านตัดสินใจรับการรักษามะเร็งด้วยคีโม ( ท่านเป็นมะเร็งเต้านมมา 15 ปีโดยไม่รับการรักษาและเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ซึ่งลามไป ต่อมน้ำเหลือง ปอด กระดูก ตั้งแต่ตอนหนูพบท่านสี่ปีก่อน ) ซึ่งมีผลให้เส้นเลือดบริเวณแผลแตก เลือดจึงไหลซึมไม่หยุด คุณหมอจึงให้ฉายแสง สิบครั้งตลอดเวลาที่รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน และที่หนูรู้จักอาจารย์ท่านมาอ.ท่านไม่มีอาการแพ้ใดๆเลยค่ะ ไม่เคยบ่น หงุดหงิด กับการป่วย มีเพียงอ่อนเพลียบ้าง แต่ท่านพยายามทานอาหารทุกหมู่และทานเยอะ หนูสังเกตุว่าอาจารย์ทำสมาธิและสวดมนต์สม่ำเสมอค่ะ เมื่ออกจากสมาธิ หน้าตาจะสดใส เสียงก็สดใส จนไม่มีใครทราบว่าอ.ป่วยค่ะ อ.เคยบอกว่าการปฎิบัติธรรมช่วยรักษาให้อ.อยู่กับมะเร็งได้ยาวนาน จนเวลาเจอคุณหมอบางท่าน ก็จะทักอาจารย์ว่า "ยังไม่ตายอีกเหรอ" ค่ะ

   เมื่อเดือนมค.ที่ผ่านมา อ.เริ่มขยับร่างกายไม่ได้ ปกติหนูโทรหาอาจารย์ทุกสองอาทิตย์ค่ะ จนเมื่อกลางเดือนมีค. สังเกตุว่าอาจารย์พูดไม่ชัด เลยคิดว่าคงไม่มีแรงเปล่งเสียง ตอนนั้นหนูคิดว่าอ.คงเป็นหนัก ก็คิดไตร่ตรองว่าระหว่างการไปเยี่ยมคนป่วยหนัก กับรอไปงานศพจะเอาอย่างไรดี ด้วยความกังวลกับการเรียนที่นี่และแอบคิดว่า อ.น่าจะยังอยู่ได้อีกหลายเดือน จึงตัดสินใจไม่กลับค่ะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย และท่านเสียชีวิตก่อนสงกรานต์ค่ะ

   หนูได้ถามคนที่เฝ้าอ. เขาบอกว่าช่วงอ.อาการทรุดลง หมอจะพาเข้าไอซียู เนื่องจากปอดไม่ทำงาน อ.ก็ไม่ยอมไปค่ะ หมอก็เลยบอกว่าท่านไม่น่าจะอยู่ได้เกินสามชม. ท่านก็อยู่ได้แปดชั่วโมง โดยที่หมอบอกว่าท่านใช้กล้ามเนื้อหายใจ และก่อนอ.จะสิ้นลมท่านพูดว่า "อ.กำลังจะตาย" ซ้ำอยู่สามครั้งค่ะ ช่วงเวลาที่อ.เสีย ตรงกับเช้ามืดที่นี่หนูยังนอนหลับอยู่ และฝันว่าอาจารย์มาหา มาแบบไม่ป่วยเลยค่ะ อ.อยู่กับหนูที่บ้านทั้งวัน คุยกันสารพัดเรื่อง ทานข้าวเที่ยง ข้าวเย็น ด้วยกัน จนค่ำหนูก็บอกว่าหนูจะไปส่งอ.ที่บ้านค่ะ ในฝันนี่ทุกอย่างชัดเจนเหมือนจริงมากค่ะ เช่น กลิ่นหอมของข้าวในจานที่รู้สึกได้ หนูรู้สึกว่าเป็นฝันที่นานมาก สุดท้ายเลยบอกตัวเองว่าตื่นดีกว่า คิดว่าต้องโทรบอกอ.ให้ได้ว่าฝันถึง แต่ได้รับอีเมลก่อนว่าอ.เพิ่งเสียชีวิตสองชม.ที่ผ่านมา

   อ่านอีเมลจบหนูถามตัวเองว่าจริงเหรอ เมื่อกี้ยังเจอกันอยู่เลย แล้วก็โทรกลับไปถามที่เมืองไทย ในช่วงสามวันแรกที่อ.เสีย หนูบอกตัวเองว่ามันถึงเวลา และอ.ท่านก็แค่ละร่างที่เป็นธาตุต่างๆ กลับคืนธรรมชาติ ไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งรอบตัวหนู และแม้แต่ตัวหนูเองก็ยังมีแร่ธาตุเหล่านั้นในตัว ก็เป็นสิ่งเดียวกันหมดและคิดว่า คงจะได้เจออ.อีกในภายหน้า หลังจากสามวันแรก รู้สึกว่าสติจะอ่อนลง เพราะคิดถึงท่านบ่อย และน้ำตาไหลได้

   ครบเจ็ดวันที่อ.เสียชีวิต หนูก็ฝันอีกครั้งค่ะ แต่ครั้งนี้ภาพไม่ชัดเหมือนครั้งแรก มันเป็นภาพลางๆค่ะ ฝันว่าได้ไปหาอ. แล้วบอกว่าหนูมาลาอาจารย์ โดยพยายามไม่ให้น้ำตาไหล แล้วอ.ก็หลับไป หนูยังจำกลิ่นหอมๆ ในฝันได้ค่ะ

   ตั้งแต่ต้นเดือนเมษา หนูเริ่มสวดมนต์ก่อนนอน แผ่เมตตา แบบออกชื่ออ. และคนที่สนิทสิบกว่าคน เมื่ออ.เสียชีวิต ก็สวดมนต์เพิ่ม และอุทิศส่วนกุศลให้เป็นข้าวทิพย์อาหารทิพย์แก่อาจารย์อยู่เจ็ดวัน

   สิ่งที่หนูสงสัยก็คือ

   1 หนูเข้าใจว่า (ซึ่งหนูอาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะคะ) อ.ท่านเข้าสู่อริยบุคคลแล้ว โอกาสกลับมาเกิดในโลกมนุษย์ก็คงเหลือน้อย ถ้าท่านได้ไปอยู่ในพรหมโลก จิตยังสามารถสื่อถึงกันได้หรือไม่ค่ะ ถ้าได้ต้องมีสภาวะปัจจัยใดบ้างค่ะ

   2 ผลบุญกุศลของการทำวิปัสสนากรรมฐาน จะส่งถึงอริยบุคคลไหมค่ะ

   3 มีคนบอกว่าการฝันโดยเฉพาะครั้งแรก เป็นเพราะจิตผูกพัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะทำให้อาจารย์ ไปในที่ต่ำกว่าที่ควรตามศีลธรรมของอาจารย์หรือเปล่าค่ะ

   4 การที่หนูคิดถึงอาจารย์ท่านบ่อยๆ โดยเมื่อรู้ทันจะท่องว่า คิดหนอคิดหนอ แล้วทำงานต่อ จับความคิดถึงได้วันละเป็นสิบครั้ง และบางครั้งปล่อยให้คิดไปจนรู้สึกเสียใจ น้ำตาไหลรวมทั้งการอยากรู้ว่าอาจารย์ท่านไปอยู่ที่ใด เหล่านี้เป็นการสะท้อนความยึดติด และมีตัวตนของหนูใช่ไหมค่ะ และหนูควรจะแก้ไขอย่างไรค่ะ

   กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองมากค่ะที่อ่านเมลล์ยาวๆของหนู และให้ความกระจ่างในคำถามเหล่านี้ค่ะ

   ขอให้ผลบุญในการคลายความสงสัยข้องใจ และในการแนะนำความสว่างแก่บุคคลทั้งหลาย คุ้มครองให้อาจารย์มีสุขภาพดี และสำเร็จในความปรารถนาทุกประการค่ะ

คำตอบ
    (๑). ก่อนพุทธกาล ฆฏิการพรหม นำอัฐบริขารจากสุทธาวาสพรหมโลก มาถวายเจ้าชายสิทธัตถะในวันทรงผนวช สหับบดีพรหม มากราบทูลให้พระพุทธโคดมเผยแผ่ธรรมที่ทรงตรัสรู้ เทวดาลงมาที่วัดเชตวัน เพื่อทูลพระศาสดาให้บอกความเป็นมงคล (มงคล ๓๘) ฯลฯ ฉะนั้นมนุษย์และอมนุษย์สามารถสื่อถึงกันได้ด้วยพลังงานจิตที่พัฒนาดีแล้ว

   (๒). อริยบุคคลไม่ต้องการบุญจากการอุทิศของใครผู้ใด เพราะอริยบุคคลได้ทำและสั่งสมบุญด้วยตัวเอง จนมีกำลังมากพอที่จะผลักดันชีวิตตัวเองสู่นิพพานได้แล้ว

   (๓). ในกรณีที่บอกเล่าไป จิตวิญญาณของอาจารย์ที่ตายทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว ไม่โคจรไปสู่ภพต่ำ

   (๔). ใช่แล้ว เป็นการสะท้อนภาพให้เห็นถึงการเอาจิตไปผูกติดอยู่กับผู้ที่ตายไปแล้ว หากผู้ถามปัญหาปรารถนาอิสรภาพให้กับจิตของตัวเอง ต้องกำหนด “ คิดหนอๆๆๆๆ ” ทุกครั้งที่คิดถึงผู้ตาย จนกว่าความคิดถึงจะหายไป
      

1420.
กราบเรียนถามเรื่องการนั่งสมาธิคับ

ผมนั่งสมาธิโดยการดูที่ลมหายใจ และภาวนาพุทโธ ตามลมหายใจคับ สองสามวันที่ผ่านมาเวลานั่งแล้วผมรู้สึกแปลกที่กลางกระหม่อมคับ คือคันๆ บางทีเหมือนขนลุกบริเวณนั้น เหมือนมีอะไรมาวางอยู่บนศรีษะคับ จนวันนี้ก็เกิดอาการนี้อีก ผมเลยเข้าไปดูอาการคันๆนี้ เห็นเป็นนิมิตรุปร่างมีชฏาอยู่บนศรีษะ สวยมากคับ และเปลี่ยนรูปทรงไปมา ผมก็พิจาณาว่านี้เป็นนิมิตไม่ควรยึดติด สักพักจากรุปสวยงามนั้น กลายเป็นโพลงขึ้นกลางกระหม่อม พอตามไปดู เห็นภายในร่างการ เห็นกระโหลกผ่านเนื้อลงไปเรื่อยๆตามโครงกระดูก แล้วหายไปคับ สุดท้ายเห็นเป็นดวงแสงสว่างที่กลางกระหม่อม แล้วก็กลับมาความว่าง ภาวนาต่อ อาการคันๆเกิดตลอดการนั่งจนออกจากสมาธิก็ยังรู้สึกอยู่
 
จึงกราบเรียนถามอาจารย์ ดร.สนอง ว่าคืออะไรคับ รบกวนด้วยคับ
 
กราบขอบพระคุณคับ

คำตอบ
     ปฏิบัติสมถภาวนาแล้วเกิดอาการคันที่ศีรษะ ต้องกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการคันหายไป เมื่อมีขนลุกต้องกำหนดว่า “ ขนลุกหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่ามีชฎาวางอยู่บนศีรษะ ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ สิ่งที่ปรากฏเหล่านั้น เป็นกิเลสที่เข้ามารบกวนใจให้การปฏิบัติสมาธิไม่ก้าวหน้า จึงต้องพัฒนาจิตให้มีสติเพิ่มมากขึ้น ด้วยการกำหนดตามวิธีการที่ชี้แนะ
      

1419.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง

   ขออนุญาตเรียนถามอาจารย์เรื่องการทำงานกับบริษัทที่เกี่ยวกับการเลี้ยงไก่ และนำไก่นั้นมาชำแหละขายถ้าเราไปร่วมงานกับที่นี่ (ฝ่ายคอมพิวเตอร์) จะได้รับวิบากกรรมอย่างไรบ้างค่ะ ตอนนี้กำลังลังเลค่ะว่าจะไปสัมภาษณ์งานที่นี่ดีหรือไม่ เพราะอยากจะเจริญในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น แต่ตอนนี้ก็ตกงานอยู่จึงอยากรับคำแนะนำของอาจารย์ก่อนการตัดสินใจค่ะว่าจะไปดีหรือไม่ (แต่ใจตอนนี้โอนเอียงไปทางจะไม่ไปค่ะเพราะกลัวบาปค่ะ)

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     ผู้ใดปรารถนาความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ผู้นั้นต้องประกอบสัมมาอาชีวะ คือทำอาชีพเลี้ยงตัวต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม เป็นพื้นฐานรองรับความเจริญของชีวิต
  

1418.
ผมสงสัยครับ

   เมื่อวันที่ 11/4/53 ผมได้มีโอกาสไปทอดผ้าป่าที่วัดมเหยงคณ์ ปลาบปลื้มใจในงานกุศลนี้ยิ่งนัก   ผมขอแบ่งบุญกุศลในงานบุญครั้งนี้ให้กับท่าน อ. ดร.สนอง   วรอุไร และกัลญาณมิตร ทุกท่านด้วยนะครับ  

   ผมมีข้อสงสัยอยากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การทำบุญโดยการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารให้ทางวัด กับการนำเงินไปถวายวัดด้วยตนเอง จะได้อานิสงค์เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้างครับ    

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
    สาธุ .... การโอนเงินไปทำบุญโดยผ่านบัญชีธนาคารกับการนำเงินไปทำบุญด้วยตัวเอง การกระทำทั้งสองแบบเมื่อประพฤติแล้ว เกิดเป็นความสุขขึ้นในใจเท่ากันย่อมได้บุญเท่ากัน หากวิธีใดทำแล้วเกิดเป็นความสุขใจมากกว่า ควรเลือกวิธีทำบุญแบบนั้น
 

1417.
สวัสดีครับท่านอาจารย์

ผมมี่ปัญหา 3 ข้อ กราบขอความกรุณานะครับ
1. ผู้ใดพัฒนาจิต จนสามารถกำจัดสังโยชน์ ๓ ได้ การพัฒนาคือการทำสมาธิเข้าถึงขั้นจวนแน่วแน่
จิตจะทำงานอัตโนมัติเลยใช่ไหมครับ ที่จะไตร่ตรองได้เอง โดยเราไม่ได้นึกคิดเอง
เพียงแต่เรากำหนดสติ ตามดู แต่จิตจะคิดเองด้วยตัวของจิตเองเลยใช่ไหมครับ
ฉะนั้นเราไม่สามารถคิดไปเองได้จากสมอง
 
2. เป็นไปได้ไหมครับว่า ลำดับขั้นสมาธิ จากขณิกสมาธิ ไป ถึง อุปจารสมาธิ
แล้วจิตไตร่ตรองเองได้เลย โดยไม่ต้องเลยไปถึงอัปปนาสมาธิก่อน
แล้วจึงถอนจิตออกมาระดับอุปจารสมาธิ แล้วจึงใช้จิตไตร่ตรองครับ
 
  3. อยากให้ท่านอาจารย์แนะนำเสริมการทำสมาธิให้ไปได้ถึงอุปจาระสมาธิ ครับ
ผมทราบจากฟังธรรมของอาจารย์คร่าวๆว่า
1. ใช้พละธรรม 5
 
2. กำหนดสติโดยการตามดูลมหายใจเข้าออก
 
   มนุษย์ทุกคนสามารถทำสมาธิเข้าถึงขั้นอุปจารสมาธิได้ไหมครับ โดยไม่คำนึงถึงบุญเก่า
หากเขาได้พยายามในภพนี้อย่างดีเยี่ยม
หรือการได้สมาธิขั้นที่จิตสามารถถูกไตร่ตรองโดยธรรม จะเกิดแก่ผู้มีบุญบารมีเดิมสะสมไว้เท่านั้นครับ
 
   ป.ล. ผมเคยฟังท่านโชดกเล่าว่าพระเทวทัต สามารถได้อภิญญาแสดงฤทธิ์ได้
ผมสงสัยว่า การได้ฌาณ ไม่จำเป็นต้องมีศีลคุมใจหรือครับ
และฌาณไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นจะได้ใช่ไหมครับ
ผมจะพยายามทำให้ได้ตามแนวทางถูกต้องที่อาจารย์สอนครับผม...
 
   ขอบพระคุณในความกรุณาครับผม

คำตอบ
   (๑). จิตมีธรรมชาติรู้ คิด นึก ฉะนั้นเมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่แล้ว จิตจะกำหนดรู้ว่า กรรมฐาน (กาย เวทนา จิต ธรรม) ใดที่ปรากฏในจิต ย่อมดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งจะเกิดขึ้น ปัญญาเห็นแจ้งมิได้เกิดที่สมอง

   (๒). เป็นไปได้

   (๓). การปฏิบัติสมถภาวนาเพื่อให้จิตเป็นอุปจารสมาธิ ผู้นั้นต้องมีศีลคุมใจให้ได้ก่อน แล้วใช้กำลังของสัทธาและวิริยามาเป็นแรงสนับสนุน จิตย่อมเข้าถึงอุปจารสมาธิได้ง่าย อนึ่งการกำหนดอานาปานสติ เหมาะกับผู้มีโมหจริตหรือวิตกจริต ซึ่งจะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิง่าย บุญเก่าที่บุคคลทำสั่งสมไว้ในดวงจิตมาก่อน ย่อมมีพลังผลักดันจิตให้เกิดศรัทธา นำตัวเข้าพัฒนาบุญให้มีกำลังมากขึ้น ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบันนั้น ถูกต้องแล้ว
  

1416.      
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง  

    ดิฉันได้ปฏิบัติธรรม แนว พอง-ยุบ มา 2 ปีกว่าแล้ว   โดยจะไปปฎิบัติที่วัด ปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 3-7 วันค่ะ   ปกติในชีวิตประจำวัน ดิฉันจะ ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา โดยฟังจาก cd บ้าง วิทยุบ้าง ฟังไปทำงานไป ตลอดทั้งวัน วันอาทิตย์ทำงานบ้านก็เปิดฟังตลอด ทั้งวัน   ฟังไปทำงานบ้านไปเกือบตลอดทั้งวัน   ก่อนนอนก็สวดมนต์ (แต่ไม่ทุกวัน วันไหนทำงานเครียดและเหนื่อยมากก็นอนเลย ไม่ได้สวดมนต์ )   หนังสือธรรมะดิฉันก็อ่านอยู่เกือบตลอดเวลาที่มีเวลาว่าง

       มีปัญหาเกิดขึ้นกับดิฉัน   ที่จะเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้คือ
       1) เมื่อต้นปี ดิฉันก็ได้ไปปฎิบัติธรรมที่วัด อีก 7 วัน ดิฉันมีความตั้งใจมากในการปฎิบัติ   คือสำรวมกาย วาจา ใจ ไม่พูด ไม่ คุยกับใครเลย   ทานอาหารน้อน นอนน้อย   ขณะปฎิบัติ จิตมีสมาธิดี   เดิน-นั้ง อย่างละ 1.30 ชม. มีเวทนาเกิดขึ้นมากมายเหลือ เกิน บางวันมีเวทนามากจนถึงกับร้องไห้   แต่ดิฉันก็อดทน จนครบเวลาทุกครั้ง   ปัญหาคือ   สภาพจิตของดิฉันมันรู้สึก เฉยๆ ทื่อๆ ไม่เกิด ปิติ เหมือนครั้งก่อนๆ   มันรู้สึก เฉยๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย เหมือนท่อนไม้ อย่างนั้นเลยทีเดียว   เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดทั้ง 7  วัน    ดิฉันปฎิบัติอะไรผิดไป หรือเปล่าค่ะ   ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ค่ะ     ดิฉันควรแก้ไขอย่างไรค่ะ

       2) ที่วัด จะสอน เดินจงกรม แค่ ระยะที่ 1 เท่านั้น   มีอยู่วันหนึ่ง ดิฉันง่วงนอนมาก ขณะเดินจงกรมอยู่ ยังจะหลับได้   ดิฉันจึงลองเดิน จงกรมระยะ ที่ 5 เลย เพื่อให้จิตมีสติมากขึ้น    ปรากฎว่า จิตมีสติ สมาธิมาก   ความง่วงหายเป็นปริดทิ้ง   หลังจากวันนั้น   ดิฉันก็กำหนดเดินจงกรม ในระยะที่ 5 ตลอด  ( อ่านจากในหนังสือ)   ดิฉันปฎิบัติข้ามขั้นตอน โดยที่ อาจารย์ผู้สอน ยังไม่ได้สอน    ถือว่าผิดหรือเปล่าค่ะ    ( แต่ที่วัดคงจะไม่สอนเพิ่มหรอกค่ะ   เพราะไปหลายครั้งแล้ว ก็ไม่เคยสอนเพิ่มเลยสักครั้ง   ได้แต่ปฎิบัติ ในระยะที่ 1 มาตลอด  )  

          3) ดิฉันมีปัญหาอีกเรื่อง คือ ดิฉันไม่สามารถ กำหนดจิต ในขั้นตอน " ยืนหนอ " ได้ จิตมันแข็งขืน มันกำหนดไม่ได้เลย พอถึงขั้นตอนนี้   ดิฉันจะข้ามไปทุกครั้ง   ดิฉันจะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ   ( จิตเคลื่อนไหวไปตามกายที่เคลื่อนไหว   พอกายหยุดเคลื่อนไหว จิตมันก็แข็งขืน)

        กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (๑). การปฏิบัติธรรมผิดทาง ทำให้จิตมีโมหะเพิ่ม อาการที่บอกเล่าไปจึงเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับทุกขเวทนา ด้วยการกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกขเวทนาจะหายไป แล้วกำลังของสติจะเพิ่มขึ้น

   (๒). เมื่อกำหนดวิธีเดินจงกรมในระยะที่ ๕ แล้ว ทำให้จิตมีกำลังของสติมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น จงปฏิบัติต่อไปและไม่ถือว่าผิดหลักการของการปฏิบัติธรรม แต่ในทางโลกถือว่าผิดคำสอนของครู

   (๓). การปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ทุกอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ ฉะนั้นจงเลือกอิริยาบถที่ถูกกับจริตของตัว อิริยาบถใดเมื่อนำมาใช้ปฏิบัติแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ จงใช้อิริยาบถนั้นเป็นฐานในการปฏิบัติ
  

1415.
เรียน   ท่านอาจารย์ดร.สนอง

   หนูปฏิบัติกรรมฐานแล้วเห็นอดีต(ชาตินี้)ที่หลายคนที่เกี่ยวข้องทำไม่ดีกับหนูไว้   ทำให้จิตตก   ถึงขนาดคิดพยาบาท   ให้เขาเหล่านั้นประสบความวิบัติบ้างทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนหรือตอนที่เขาเหล่านั้นแสดงกริยาไม่ดี   หรือทำไม่ดีต่าง ๆ    หนูจะรู้สึกเฉย ๆ   หรือหลายครั้งจะคิดว่าคงทำกรรมกับเขาไว้เขาถึงได้มาทำกับเราชาตินี้   หรือบางเรื่องหนูลืมไปแล้ว แต่พอมาปฏิบัติกรรมฐานหนูกับได้ยินเสียง   ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านั้นชัดขึ้นมา ในห้วงความจำไม่สามารถข่มเวทนาได้   จิตใจร้อนร้น   กระวนกระวาย   เมื่อมาเจอกันอีกครั้งหากเขาเหล่านั้นพูดไม่ดี   ทำไม่ดีกับหนู   หนูจะตอบโต้ด้วยถ้อยคำ   วาจาสาปแช่ง(แต่ไม่ได้พูดหยาบคาย)   พร้อมทั้งจะถามว่าหนูไปทำอะไรให้ถึงทำกับหนูอย่างที่แล้วมาหรือกระทำอยู่ขณะนี้   ไม่ได้คำตอบหรอกค่ะนอกจากดวงตาเยาะเย้ย   ถากถาง   ยิ่งทำให้หนูโกรธมากยิ่งขึ้น   สาบแช่งในใจต่าง ๆ นา ๆ (ซึ่งแต่ก่อนนี้หนูจะเฉยไม่โต้ตอบ   ไม่รับรู้   ไม่โกรธ   หรือบางครั้งถูกกระทำหนักมาก ๆ   หนูโกรธ   แต่จะไม่พูด   ไม่แสดงออกอะไร   ที่สำคัญไม่เกิดทุกข์ค่ะ)

   พยายามข่มใจคิดว่าเป็นการใช้กรรมค่ะ   เพียงแต่แปลกใจว่า   คนอื่นเวลาปฏิบัติกรรมฐานจะรับรู้หรือระลึกได้ว่าทำผิดหรือทำไม่ดีอะไรไว้แล้วสำนึกผิดได้   แต่หนูกลับเห็น จดจำได้ว่าใครทำอะไรไม่ดีกับหนูอย่างไร   รบกวนอาจารย์กรุณาชี้แนะ   ทุกวันนี้หนูทุกข์มาก   จิตใจเศร้าหมองค่ะ   สวดมนต์   ปฏิบัติกรรมฐานยิ่งทำให้เห็นชัดเจน   หลายครั้งถึงขนาดร้องไห้ขณะนั่งเลยค่ะ   คิดอยากเลิกปฏิบัติหลายครั้ง   แต่เวลาไม่ได้นั่งกรรมฐานจิตจะฟุ้งซานมากได้ยิน   จิตคำนึงแต่คำพูด กิริยาที่เขาเหล่านั้นทำไม่ดี   พูดไม่ดีกับหนูค่ะ

   หนูสงสัยมานานมากแล้ว   ไม่ทราบว่าจะสอบถามใครให้ได้รับความกระจ่าง   หวังความเมตตาจากท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะค่ะ

   อ้อ!   วิถีชีวิตหนูขณะนี้ถือว่าตกอับค่ะ    ตกอับถึงขนาดถูกลดตำแหน่งโดยไม่มีความผิด (ไม่ได้เข้าข้างตัวเองค่ะ   หากนับนอกจากไม่ปฏิบัติตามนายในสิ่งที่ผิดทั้งศีลธรรมและกฎหมายแล้ว   หนูถือว่าไม่เคยขัดใจเจ้านาย   ไม่เคยเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน   อีกทั้งยังทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ส่วนตัวในการทำงานอีก   และหมายรวมถึงพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง   ด้วยค่ะ)    ชีวิตตกอับมาเป็นลำดับถึงกับถูกลดตำแหน่งหนูเลยหันมาปฏิบัติกรรมฐานเลยเห็นอดีตดังที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ

ขอความกรุณาให้ความกระจ่างและขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
   
เวร
หมายถึง ความแค้นเคือง ความปองร้ายกัน ความแก้เผ็ด ฯลฯ ผู้ใดเคยทำกรรมที่เป็นเวรไว้แต่อดีต เมื่อเวรกรรมตามให้ผลทัน ผู้เคยก่อเวรไว้ต้องยอมรับความจริง และต้องชดใช้ไปจนกว่าจะหมดเวร การชดใช้หนี้เวรกรรมด้วยบุญใหม่ (ปฏิบัติธรรม) เป็นการทำให้หนี้เวรกรรมหมดเร็ว

   อนึ่ง ผู้ใดมีความขัดใจเกิดขึ้น แล้วให้อภัยเป็นทานแก่ผู้เป็นต้นเหตุได้ เมตตาย่อมเกิดขึ้นกับผู้ให้อภัย ผู้ใดมีเมตตา ผู้นั้นหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เทวดาคุ้มรักษา ฯลฯ
  

1414.
กราบสวัสดี ดร.สนอง วรอุไร เป็นครั้งแรกที่ผมอยากปรึกษาท่านอาจารย์ครับ

   ก่อนอื่นผมขอบรรยาย เรื่องส่วนตัวของผมเล็กน้อยนะครับ เพื่อที่จะได้เข้าใจเรื่องของกระผมได้มากขึ้น กระผมเกิดเป็นลูกคนเดียวของแม่ โดยที่พ่อของผมเขามีภรรยามาก่อน มีลูก 4 คนครับ รวมผมก็คนที่ 5 เท่ากับว่าผมมีพี่น้องต่างท้องแม่ 4 คนครับ  ปัจจุบันนี้ผม อยู่กับแม่ 2 คนครับ ผมให้แม่มาอยู่กลับผมที่กรุงเทพ บ้านแม่อยู่ที่เชียงใหม่ ตอนนี้แม่ของผมป่วยทางจิตครับ(เป็นโรคหูแว่ว) ได้ยินเสียงคนเดียว พูดคนเดียว ทั้งนี้ผมไม่ทราบว่า แกไปทำกรรมอะไรมานะครับ ให้แกรักษาแกก็ไม่ยอมรักษา เลยอาการไม่ดีขึ้น ผมจึงเครียดมากๆครับ เข้าเรื่องเลยนะครับ ปัจจุบันผมอายุ 28 ปี ได้บวชตอนอายุ 26 ปีครับ หลังจากได้ฟังเทปบรรยายธรรมของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่องของนรก ผมจึงคิดว่า อายุของเราไม่แน่นอน จึงขอลางานไปบวช 3 เดือน 1 พรรษา โดยตัดสินใจก่อนบวชไม่เกินสองอาทิตย์ โดยก่อนหน้านี้ผมไม่สนใจเรื่องธรรมะเลย ทั้งนี้จุดประสงค์ที่บวชครั้งแรกในชีวิต เพื่อทดแทนคุณ บิดา มารดา ครับโดยตั้งใจให้ท่านได้อานิสงค์ตอนมีชีวิต หลังจากสึกมาก็ ถือศิล 5 มาตลอด แต่ก็มีพร้อยบ้างเล็กๆน้อยๆ การดำเนินชีวิตผมจะก็รู้สึกผิดทุกๆครั้ง ที่ทำเรื่องที่ไม่ดี แต่ไม่ได้ผิดศิลห้านะครับ แต่รู้สึกว่ามันจิตตกไปมาก ในเวลาที่คิดไม่ดี ผมยังรู้สึกตัวได้ว่า ผมยังวนเวียน อยู่กับ กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ผมมีความคิดว่าอยากจะกลับไปแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ โดยกลับไปบวชอีกครั้งเพื่อตนเองครับ อยากไปปฏิบัติกับพระอาจารย์ที่เป็นพระกรรมฐาน ครับ

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ ครับ

1 อยากถามท่านอาจารย์ครับว่า แม่ของผมแกไปทำกรรมอะไรมาท่านถึงได้เป็นโรคทางจิต หูแว่ว ครับ

2 การที่ผมเอาแม่มาอยู่ด้วยโดยมีเจตนาดีที่อยากให้แกรักษาตัว แต่แม่มักปฏิเสธการรักษา ผมไม่อยากบังคับแกทานยา ฉีดยา แกเข้าใจว่าเป็นยาพิษ แบบนี้แกก็จะไม่หายป่วย ผมจึงปล่อย ไม่บังคับแกแบบนี้ผมเป็นลูกอกตัญญูหรอไม่

3 ถ้าผมจะขอออกบวชแบบไม่มีกำหนดโดยไม่ได้ดูแลแม่ เพื่อแสวงทางพ้นทุกข์ อยากดับกิเลส ในตนเอง ผมเหมือนเป็นลูกอกตัญญูไหมครับ อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านยังทิ้ง เรื่องต่างๆทั้งหมด เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น พระองค์ยังทรงทิ้งภรรยา และบุตร และ ราชสมบัติ ...( ผมเป็นคนเลวไหมครับ หากทิ้งท่าน ไปบวช )

4 พระโสดาบัน นี่ต้องละสังโยชอย่างน้อง 3 ประการ และจำเป็นไหมต้องได้ฌาน ถึงจะบรรลุธรรมได้

ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์เสียเวลาอ่านพร้อมตอบคำถาม และกราบขอขมาท่านอาจารย์ ที่นำปัญหาส่วนตัวมาถามอาจารย์

คำตอบ
   
(๑). โรคหูแว่ว เกิดได้สองทางคือ ระบบประสาททางหูทำงานผิดไปจากปกติ หรือในแนวทางที่สอง ผู้ป่วยมีขนาดความถี่ของจิต ไปตรงกับขนาดความถี่คลื่นจิตของอมนุษย์ การสื่อสารจึงเกิดขึ้นได้

    (๒). ไม่ถือว่าเป็นลูกอกตัญญู

   (๓). ผู้ใดรู้คุณและตอบแทนคุณแก่ผู้มีอุปการระ ผู้นั้นมีความกตัญญูกตเวที เช่น พระโพธิสัตว์ทิ้งพ่อ ทิ้งภรรยา ทิ้งลูกไปบวช เมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโคดมแล้ว ได้กลับมาตอบแทนคุณ ให้พ่อ ลูก ภรรยาได้บรรลุอรหัตตผล และในพรรษาที่ ๗ ได้ขึ้นไปตอบแทนคุณของพุทธมารดาในเทวโลก จนบรรลุโสดาปัตติผล ตรงกันข้ามหากมิได้ตอบแทนคุณ กับผู้มีอุปการะ ถือว่าอกตัญญู

   (๔). ไม่จำเป็นต้องพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน ก็สามารถเป็นพระโสดาบันได้
  

1413.
สวัสดีครับอาจารย์ที่เคารพ

กระผมมีปัญหาจะถามดังนี้ครับ
 - การฝึกทำสมาธิ แต่ว่าใจมันไม่เป็นสมาธิ อย่างนี้เราจะได้บุญไหมครับ แล้วถ้าเราจะอุทิศบุญจะมีผลไหมครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     คำว่า “ บุญ ” มีความหมายได้หลายอย่าง เช่น หมายถึงการกระทำความดี ความประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ หมายถึงความสุข หมายถึงกุศลธรรม ฯลฯ

    ฉะนั้น การฝึกสมาธิเป็นการกระทำความดี ผู้ใดประพฤติแล้วผู้นั้นมีบุญ การฝึกสมาธิเป็นการประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ ผู้ใดประพฤติแล้ว ผู้นั้นมีบุญ การฝึกสมาธิเป็นกุศลธรรมผู้ใดประพฤติแล้ว ผู้นั้นมีบุญ ผู้ใดฝึกสมาธิแล้วมีความสุขเกิดขึ้น ผู้นั้นมีบุญ ฯลฯ
   

1412.
    สวัสดีคะอาจารย์ หนูติดตามหนังสืออาจารย์ทุกเล่มที่อาจารย์ออกตีพิมพ์มันเป็นประโยชน์มากๆคะ เพราะทำให้หนูสามารถเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีของตนเองไปในทางที่ดีขึ้น (เท่าที่บุญพาไป) แต่หนูก็ขอพรทุกครั้งที่หนูสวดมนต์ภาวนาว่าขอให้หนูและคนที่หนูรักไปทางธรรมมากกว่าทางโลกคะ หนูพยามยามที่จะสวดมนต์และกำหนดสติทุกครั้งที่หนูรู้สึกอย่างไร เช่น กำลังหงุดหงิด , กำลังคิดไม่ดี , พูดไม่ดี (และก็สามาระหยุดการกระทำที่ไม่ดีได้คะ) ให้หนูพยายามรู้ตัวเองอยู่เสมอ พอบางครั้งหนูรู้สึกว่าจะกลับไปเป็นเหมื่อนเดิม เช่นขี้โมโห , โกรธ , หลงกับวัตถุสิ่งของ หนูพยายามเรียกสติกลับคืนมา บางครั้งได้บ้างไม่ได้บ้าง หนูอ่านหนังสือของอาจารย์หนูต้องอ่านหลายรอบ เพื่อสอนและเตือนใจหนูไม่ให้กระทำใส่งที่ไม่ดี บางครั้งหนูอ่านหนังสือของอาจารย์บางตอนมันตรงมากกับตัวหนู หนูร้องไห้ออกมาเลยคะ ยังไงหนูขอให้อาจารย์ผลิตหนังสือดีๆ ออกมาอีกนะคะ หนูมีคำถามรบกวนถามอาจารย์คะ

     1. หนูเป็นคนที่มีลางสังหรณ์มาตั้งแต่วัยรุ่น เช่น ตากระตุก เหมือนมีคนมาดึงหนังตาหนูเลยคะ แล้วหนูบอกแม่ว่าเรื่องบัตรประชาชนหนูไปดูบัตรประชาชนของแม่บอกว่าแม่บัตรจะหมดอายุแล้ว เดียวจะไปต่อบัตรเป็นเพื่อนนะแล้วคุณแม่ก็มาเสียก่อน หรือก่อนเชงเม้งและก่อนวันเกิดคุณแม่หนูจะฝันถึงท่านตลอดเหมือนเตือนหนูว่าใกล้ถึงวันต้องต้องทำบุญแล้วหนูจะผัน , ฝัน เช่นฝันแบบนี้หนูจะเจอคนแปลกหน้า หรือแม้แต่เวลาหนูพูดอะไร(โดยไม่ตั้งใจ)ประเดียวก็จะมีเรื่องทำนองที่หนูพูดคะ บางครั้งหนูก็กลัวว่ามันจะเกิดคะ

     2. หนูเคยสวดมนต์เช้าและเย็นทุกวันครั้งละเกือบ 1 ช.ม คะหนูรู้สึกสงบมากและมีความสุขในจิตขณะนั้น และขณะที่หนูสวดมนต์ในช่วงนั้นหนูจะอธิฐานว่าขอให้หนูไปที่ใดก็เป็นประโยชน์ที่นั้น ช่วงนั้นก็จะมีแต่คนที่มาปรึกษาหนูในความทุกข์ต่างๆ พอหนูเลิกสวดมนต์เหมือนเดิมหนูสวดน้อยลงทุกครั้งที่หนูสวด หนูไม่เคยสวดได้เหมือนแต่ก่อนจิตจะไม่สงบ ไม่ค่อบมีสมาธิจิตไม่จดจ่อเหมือนก่อนคะ อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยคะ

     3. หนูเป็นคนจีนหนูไม่ได้ไปไหว้ที่สุสานมาประมาณ 5 ปีแล้วหนูจะบาปไหมคะ เพราะทางบ้านสามีเขาถืองว่าต้องให้เด็กอายุ 5 ปี ก่อนถึงไปสุสานได้ แล้วพ่อกับแม่ท่านตายไปเขาจะทราบไหมคะว่า หนูมีลูกแล้วหมายถึงท่านมีหลานแล้ว แต่ก่อนหนูเริ่มตั้งท้องหนุเคยจุดธูปบอกท่านแล้วคะ บางปีที่พี่สาวไปหนูบอกพี่สาวว่าให้ฝากบอกด้วยว่าท่านมีหลานแล้ว

     4. เมื่อก่อนหนูเป็นคนอารมณ์ร้อนและขี้หงุดหงิด แต่ตอนนี้เป็นน้อยมาก หนูพยายามมีสติและรู้ตัวตลอดเท่าที่ทำได้ และทุกครั้งที่หนูนอนหนูจะพยายามสวดมนต์แล้วก็หลับไปเลย ตั้งแต่หนูสวดมนต์และอ่านหนังสือของอาจารญ์ทำให้หนูทราบว่าจิตหนูตลอดมาที่เป็นสามารถทำให้ตกนรกได้ หนูจึงกลัวมาก หนูจะถามอาจารย์ว่าตอนนี้หนูเปลี่ยนแล้วหนูยังจะตกนรกหรือเปล่าคะ เพราะสิ่งที่หนูทำไปตอนที่หนูไม่ทราบว่ามันเป็นระยะเวลานานกว่าที่หนูทำอย่างมีสติกว่าตอนนี้

        หนูขอรบกวนอาจารย์เท่านี้คะ ขอขอบคุณอาจารย์ด้วยนะคะ

คำตอบ
     ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธะได้ตรัสเป็นครั้งสุดท้ายในทำนองที่ว่า “ ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้ายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ”

   (๑). พระพุทธะมิได้สอนพุทธบริษัทให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับที่ต้นเหตุ แล้วปัญหาย่อมหมดไปแน่นอน

   (๒). การสวดมนต์เป็นความดี ที่ควรกระทำและรักษาไว้ให้คงอยู่ เพราะปฏิบัติได้แล้วเป็นความดี ผู้ใดรักษาความดีไว้ได้ ผู้นั้นไม่ประมาท

   (๓). บาปเกิดขึ้นที่ใจ เมื่อใดมีความไม่สบายใจเกิดขึ้น พึงรู้เถิดว่าเมื่อนั้นมีบาปเกิดขึ้นแล้ว ผู้ใดไม่ไปไหว้ที่สุสานแล้วมีความสบายใจ ก็ไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้ามไม่ไปไหว้ที่สุสานแล้วไม่สบายใจ ต้องไปไหว้ที่สุสานจะเกิดเป็นความสบายใจ จิตก็จะมีบุญเกิดขึ้น

   อนึ่ง หากผู้ถามปัญหา สามารถสื่อถึงผู้ตาย (พ่อแม่) ได้ว่าตัวเองมีลูกแล้ว ผู้ตายย่อมรับทราบได้ ตรงกันข้าม สื่อสารกับผู้ตายไม่ได้ ท่านก็ไม่รับทราบ

   (๔). ผู้ใดมีอารมณ์ร้อนหรือหงุดหงิด ขณะที่จิตกำลังออกจากร่างเพื่อไปหาร่างอยู่อาศัยใหม่ พลังของโทสะ (หงุดหงิด) ย่อมผลักดันจิตวิญญาณไปเกิดเป็นสัตว์นรก ฉะนั้นผู้ไม่ประมาทพึงกำจัดสิ่งขัดใจ อันเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ร้อนหรือโทสะ ด้วยการให้อภัยเป็นทาน หรือทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ให้บริกรรมว่า “ ช่างมันเถอะๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าความหงุดหงิดหรืออารมณ์ร้อนหมดไป หากทำได้แล้ว คุณธรรมที่เรียกว่า ความเมตตา ก็จะเกิดขึ้น แล้วถูกเก็บสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในดวงจิต ผู้มีเมตตาเป็นผู้ไม่มีความหงุดหงิด ไม่มีความโกรธ มีแต่อารมณ์สงบเย็น ตายแล้วยังมีพลังผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์ (รูปนาม) อยู่ในสุคติภพได้
  

1411.
เรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร ด้วยความเคารพอย่างสูง
 
   หนูมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ คือหนูได้ยินข่าวไม่ดีนักที่มีคนพูดถึงนายหลวงในทางที่เสียหายอย่างมาก

   หนูเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ทรงอยู่เหนือการเมืองและเป็นผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม แล้วกลับมีคนข้างในมาพูดให้เกิดความเสียหายกับพระองค์ท่านเช่นนี้ เขาไม่เห็นความรับผิดชอบชั่วดีหรือบาปบุญเลยกันเลยค่ะ หนูเกรงว่ามันจะเป็นบ่อนทำลายชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์
 
หนูควรจะวางใจอย่างไรดี กับข่าวที่นับวันยิ่งจะมีแต่ทางลบ ที่บางกลุ่มพยายามล้มล้างสถาบันและประเทศไทยจะต้องเป็นแบบนี้อีกนานเท่าใด
 
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ผู้ใดได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่ดี แล้วนำสิ่งไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดีให้เกิดขึ้น บาปย่อมเกิดและเก็บสั่งสมอยู่ในจิตของผู้นั้น ตรงกันข้าม ผู้ใดได้ยินได้ฟังสิ่งกระทบที่ไม่ดี แล้วไม่นำมาปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับจิต ผู้นั้นไม่มีบาปเก็บสั่งสมในจิต และหากผู้ใดระลึกได้ว่าเป็นสิ่งกระทบไม่ดี เห็นสิ่งกระทบไม่ดีดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ย่อมเห็นว่าสิ่งกระทบไม่ดี ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วจิตไม่รับสิ่งกระทบไม่ดีมาไว้กับจิต จิตปล่อยวางสิ่งกระทบได้แล้ว บุญย่อมเกิดสั่งสมในจิต ฉะนั้นผู้ถามปัญหา พึงเลือกปฏิบัติตามที่ชอบๆเถิดครับ
  

1410.
สวัสดีครับท่านอาจารย์

ผมมีปํญหาสอบถามต่อนะครับ
อาจารย์เคยกล่าวว่าเวลาใกล้ตาย จิตจะอ่อนกำลังลง
สิ่งที่เคยทำในอดีตเป็นประจำหรือเป็นปมอดีตทั้งดีและไม่ดี
จะถูกแสดงออกมาในรูปของคตินิมิตรหรือกรรมนิมิตร
ส่งผลให้จิตนำไปสู่ภพใหม่ติดตัวไป ช่วงที่คนเราใกล้ตาย (ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อเหตุปัจจัยภายนอกแล้ว เช่นการได้ยิน การเห็น...แต่หัวใจยังเต้นอยู่)
   1. สมองคงยังสั่งงานได้อยู่เพราะหัวใจเต้น แต่ผมอยากทราบว่า จิตยังทำงานได้อยู่ไหมครับ

   2. จะมีความเจ็บปวดอยู่ไหมครับ หากมี จิตไปกำหนดรู้ความเจ็บนั้น หรือ จิตไปรองรับรู้ความเจ็บนั้น สิ่งใดเป็นตัวกำหนดจิตให้กำหนดรู้หรือไปรองรับรู้ความเจ็บปวดครับ
ใช่สติสัมปชัญญะหรือไม่ครับ และ สติสัมปชัญญะ ไม่ได้มาจากสมองแต่มาจากจิตใช่ไหมครับ
และก็จึงวนกลับมาที่เดิมว่าอะไรเป็นสิ่งกำหนดจิตครับ
สมองและจิต แยกออกจากกัน อย่างไรครับ
 
   3. สติสัมปชัญญะยังจะมีได้ในคนที่ใกล้ตายไหมครับ เพราะในทางวิทยาศาสตร์
คนใกล้ตายสมองจะไม่สามารถสั่งงานได้เหมือนเดิม ตอนนั้น สิ่งใดจะกำหนดให้เราคิดดี
ผมนึกถึงวันตาย ว่าในขณะใกล้ตายจิตผมจะไม่มีสิ่งยึดติดและไม่มีสมาธิ
ผมเลยหาสิ่งยึดติดคือการท่องบทสวด เช่น ธัมจักกัปปวัตนสูตร เป็นต้น
แต่ผมเกรงว่าสมองใกล้ตายจะไม่สามารถนึกถึงบทสวดได้
หรือใช้พลังงานที่เหลือน้อยนิดนึกพุทโธ ก็พอแล้วครับ
หรือแท้จริงแล้วจิตสามารถนึกถึงและท่องบทสวดนั้นได้เมื่อจิตใกล้ดับลงครับ
 
  สรุปได้ง่ายๆว่าผมไม่เข้าใจความสามารถของจิตเมื่อใกล้ดับ
จะสามารถกำหนดรู้ถึงสิ่งยึดเหนี่ยวได้ไหมครับ
จิตยังทำงานได้อยู่ด้วยสิ่งใด และสิ่งใดเป็นตัวควบคุม
และเราสามารถควบคุมจิตได้ไหมในช่วงเวลาใกล้ตาย
 
   ผมนึกถึงความตายทุกๆวัน เพราะไม่รู้จะเป็นเวลาใด
เวลาเดินหรือออกกำลังกาย หากว่ายน้ำผมจะท่องบทธัมมจักฯ และชินบัญชร หากวิ่งผมจะฟังเสียงธรรมะในมือถือ น้อยครั้งที่จะบริกรรมพุทโธ (เว้นแต่ตอนนั่งสมาธิ) ผมคิดว่าจะทำอย่างไรก็ได้ให้จิตสงบ ผมคิดและทำถูกแล้วใช่ไหมครับ
ขอบพระคุณในความกรุณาอีกครั้งนะครับ

คำตอบ
    ผู้ตอบปัญหามิได้กล่าวว่า “ จิตอ่อนกำลังลง ” แต่กล่าวว่า “ ลมหายใจอ่อนลง พลังของร่างกายลดน้อยลง น้ำออกจากร่างกาย เหลือเพียงธาตุดินกองอยู่ ”

   (๑). จิตยังทำงาน เกิด-ดับ อยู่เป็นปกติ

   (๒). ตราบใดที่จิตมีกำลังของสติอ่อน จิตจะยึดเอาเวทนา (ความเจ็บปวด) มาปรุงเป็นอารมณ์ ความเจ็บปวดหรืออาการเจ็บปวดจึงเกิดขึ้น

   สติ หมายถึง ระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม ส่วนสัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตระหนัก สติและสัมปชัญญะมักใช้คู่กัน เรียกว่า สติสัมปชัญญะ ทั้งสองนี้เกิดขึ้นที่จิต มิได้เกิดขึ้นที่สมอง

   คำถามที่ว่า อะไรเป็นตัวกำหนดจิต เป็นคำถามที่จัดอยู่ในประเภทที่ไม่ควรคิด จึงขอไม่ตอบ

   อนึ่ง สมอง เป็นส่วนของรูปธรรม ส่วนจิตเป็นนามธรรม ทั้งสองแยกกันเมื่อจิตปฏิเสธที่จะอยู่กับร่างที่เป็นรูปธรรม จึงทิ้งร่าง (รวมถึงสมอง) ไว้เป็นซากศพอยู่กับธรรมชาติ เพื่อรอการสลายเน่าเปื่อยผุพัง

   (๓). สติสัมปชัญญะ ยังมีได้ในคนที่ใกล้ตาย แต่กำลังของสติสัมปชัญญะของแต่คนมีไม่เท่ากัน

   ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้ว ย่อมระลึกได้ในคำภาวนาพุทโธที่เคยภาวนา ในบทมนต์ธัมจักกัปปวัตนสูตรที่เคยสวด ในกุศลธรรมที่เคยทำ ฯลฯ จิตที่มีสติระลึกได้เช่นนี้ ย่อมมีพลังผลักดันจิตไปสู่สุคติได้
   

1409.
กราบเรียนอาจารย์ครับ

ผมมีปัญหา 3 ข้อ เรียนถามนะครับ
1. ผมฟังเสียงธรรมของอาจารย์มาก็มากพอควร ได้ยินอาจารย์เคยกล่าวว่า
จิตจุติแล้วก็ไปเกิดใหม่ หาร่างใหม่อยู่ ผมจึงมีความสงสัยว่า
จิตเป็นจิตดวงเดิมหรือไม่ครับ
- หากใช่ จิตก็ไม่ได้ดับไปจริงหรือครับ เพราะมีการเกิดดับไปมาไม่จบสิ้น ไม่ได้ดับจริง จิตก็เป็นของเที่ยงหรือไม่ครับ
- หากไม่ใช่แล้วผลกรรมทั้งดีและไม่ดีของจิต ก็ไม่สืบต่อเนื่องไปยังจิตดวงใหม่หรือครับ
( คำถามอาจจะไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น แต่ผมก็ไม่เข้าใจให้ตรงตามหลักไตรลักษณ์)
 
2. การที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในภพปัจจุบันและปรารถนาจะเข้าถึงนิพพาน
เขาสามารถทำได้ในภพนั้นไหมครับ หรือต้องมีกฏเกณฑ์ในอดีตกรรมรองรับ
เช่นการสั่งสมบุญบารมีมา ผมมองว่าการเกิดเป็นความเสี่ยง หากเราได้ปฏิบัติอยู่ในศีลในภพนั้นก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ตกอบายภูมิ
เพราะความเสี่ยงยังคงมีอยู่อันเกิดจากมิจฉาทิฏฐิในภพนั้นๆ
การตั้งอยู่ในศีลสามารถรับประกันในการมีสัมมาทิฏฐิได้หรือไม่ครับ
เพราะผมมั่นใจว่าหากเราได้เกิดเป็นมนุษย์อีกและมีสัมมาทิฏฐิติดตัวทุกภพชาติ
จะเป็นหลักประกันในการไม่ตกอบายภูมิ จึงมีคำถามข้อที่ 3 ครับ
 
3. การปิดอบายภูมิ คือต้องถึงโสดาบัน ขึ้นไป   แต่บุคคลที่ยังไม่ถึง
เราจะปฏิบัติตนอย่างไรในการที่จะทำให้สัมมาทิฏฐิเกิดกับเราทุกภพทุกชาติไป
จนสามารถเข้าถึงนิพพานได้ในที่สุด เพราะผมกลัวภพใดภพหนึ่งผมอาจจะหลง
และขาดเหตุตรงนี้ไปจนทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิขึ้นมาได้ในระหว่างภพ
 
ป.ล. ในภพนี้ จิตใจผมปกติเป็นคนที่เข้าหาธรรมะได้ง่าย ผมชอบที่จะอ่านเรื่องราวธรรมะ
แต่ก็บางช่วงที่จิตใจผมหลุดไปจากธรรมะ คือไม่ได้ข้องแวะอ่านและนึกถึง
ช่วงนี้เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ผมกลับเข้ามาศึกษาและจริงจังอีกครั้ง เพราะเหตุได้ไป
พบกับการเสียชีวิตของคนรู้จัก ทำให้เกิดจิตคล้อยตามคิดได้ว่า ชีวิตคนเราไม่เที่ยง
อายุเพิ่ง 17 จากโลกไปไวเกิน บุญยังไม่ได้ทันสร้างมากเท่าที่ควรเป็น  
ผมคิดไปแล้วเราจะมารอหวัง ให้มานึกถึงบุญในเวลาบั้นปลายคงไม่ทัน
ผมจึงกลับมานึกถึงธรรมะอีกครั้งและดูเหมือนจะดีกว่าทุกครั้งที่ผมทำมา
ผมอยากมีสัมมาทิฏฐิแบบตอนนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ไม่เสื่อมคลาย จนไปถึงทุกๆภพเลยครับ
ขอความเมตตาจากอาจารย์ด้วยนะครับ
กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
    (๑). เป็นจิตดวงเดิมที่ยังมีกิเลสสั่งสมอยู่ภายใน ปกติจิตมีธรรมชาติ เกิด-ดับ เร็วมาก ขณะที่จิตมีการเกิด-ดับ จิตสามารถทำงาน (รู้ คิด นึก ฯลฯ) ได้ จิตที่มีกิเลสสั่งสมอยู่ภายใน ย่อมดำเนินไปตามที่ธรรมชาติกำหนด (กฎไตรลักษณ์) ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมเห็นจิตที่ยังมีกิเลสเป็นอนัตตาด้วยตนเองที่เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก นั่นคือจิตที่มีกิเลสปรุงแต่งไม่มีอยู่จริง (อนัตตา) ผู้ใดอ่านจากตำราคัมภีร์ ผู้นั้นจะยังไม่สามารถรู้เห็นเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความเป็นอนัตตาของจิตได้

   (๒). การเข้าถึงนิพพานสามารถทำได้ในภพที่ตนเกิด ทั้งนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ต้องมีบุญบารมีสั่งสมมามากพอ เมื่อได้ฟังธรรมแม้เพียงครั้งเดียว แล้วใช้จิตพิจารณาโดยแยบคาย ก็สามารถบรรลุอรหัตตผลได้ ตัวอย่างเช่น พาหิยะ ได้ฟังพระพุทธะตรัสสอนในทำนองที่ว่า “ เมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทราบสักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกสักแต่ว่ารู้สึก ” พาหิยะฟังแล้วโยนิโสมนสิการ แล้วทำให้จิตบรรลุอรหัตตผลทันที

   ส่วนผู้ที่มีบุญบารมีสั่งสมมามากแต่ยังไม่พอ เมื่อฟังธรรมครั้งแรกไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้ แต่เมื่อได้ฟังซ้ำหรืออธิบายเพิ่มเติม ก็สามารถบรรลุอรหัตตผลได้ ตัวอย่างเช่น ยสะ ลูกเศรษฐี ชาวเมืองพาราณสี ได้ฟังอนุปุพพิกถาจากพระโอษฐ์ ครั้งแรกจิตบรรลุโสดาบัน พอได้ฟังอนุปุพพิกถาซ้ำเป็นครั้งที่สอง จิตบรรลุอรหัตตผล แล้วได้รับพุทธานุญาตให้บวชเป็นสงฆ์สาวก ที่ชื่อว่า พระยสะ

   ผู้ใดสั่งสมบุญบารมีมาไม่มากพอ (เนยบุคคล) ต้องนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม จนเกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว โอกาสเข้าถึงนิพพาน จึงมีได้เป็นได้

   อนึ่ง ผู้ใดพัฒนาจิต จนสามารถกำจัดสังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้แล้ว จึงจะเป็นหลักประกันได้ว่า ผู้นั้นจะไม่โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกต่อไป จนกว่าจะนำพาชีวิตไปสู่พระนิพพาน
  

1408.
กราบเรียนท่านอาจารณ์สนองที่เคารพ

     ประมาณสักสามปีมาแล้วผมมีโอกาสได้รู้จัก "ดร.สนอง วรอุไร" จากการอ่านและฟังการบรรยายธรรมะ ในเว้ปไซต์กัลยาณธรรม ก็เกิดความเคารพ เลื่อมใส ศรัทธา ได้ติดตามอ่านหนังสือและการบรรยายธรรมะ   และได้ยึดเอาคำบรรยาย คำปรึกษาแนะนำ การตอบคำถามมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

   ผมมีคำถามดังนี้

พ่อแม่ผมเสียไปประมาณสัก ๓และ๔ ปี (ผมอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย พ่อและแม่เสียที่เมืองไทย) ผมไม่ได้ปรนณิบัติพ่อแม่เท่าที่ควรหลังจากเผาพ่อและแม่ ผมได้เอากระดูกส่วนหนึ่งไว้บูชาและเป็นที่ระลึกถึง ผมเอาน้ำและอาหารไหว้อยู่เสมอทุกๆวันที่เจริญภาวนา ก็อุทิศผลบุญกุศลให้ และไปทำบุญที่วัดให้บ่อยๆ

  แต่บางครั้งผมรู้สึกว่าจะเป็นการกักกันหรือ "ถ่วง" การดำเนินไปตามธรรมชาติของชีวิตพ่อแม่รึเปล่า ที่ผมเอากระดูกมาเก็บไว้ จนถึงขณะนี้ผมจะร้องไห้ พร่ำเพ้อ คิดถึงพ่อและแม่ตลอด จะมีผลเป็นไปในทางลบกับ "วิญญาน" พ่อแม่หรือไม่อย่างไรครับ และผมควรจะเก็บกระดูกไว้หรือจัดการอย่างไร

กราบขอบพระคุณ

มนัส แป้นแก้ว

ปล.ผมอายุ ๕๐ พ่อและแม่อายุ ๘๔ และ ๗๕  

คำตอบ
    หากจิตวิญญาณของผู้ล่วงลับ กับจิตวิญญาณของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีขนาดความถี่คลื่นจิตเป็นแบบเดียวกัน ผู้อยู่หลัง (บุตร) มีจิตเศร้าหมองเป็นทุกข์ด้วยเหตุใดก็ตาม ผู้ล่วงลับย่อมได้รับสื่อแห่งความเศร้าหมองเป็นทุกข์นั้นด้วย

กระดูกถือว่าเป็นธาตุดิน มีแหล่งที่มาจากดิน บรรพบุรุษได้หยิบยืมธาตุดินมาใช้ประกอบเป็นรูปร่างกายชั่วคราว เพื่อให้จิตวิญญาณได้ใช้เป็นเครื่องมือประกอบกรรม เมื่อหมดอายุการใช้แล้ว ผู้รู้นิยมส่งคืนสู่ดินแหล่งเดิม ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ให้สรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติแล้ว ควรนำอัฐิหรือกระดูกที่เผาแล้ว กลับคืนสู่ดิน (ฝังโคนต้นไม้) ตามภูมิลำเนาของบรรพบุรุษที่มีชีวิตอยู่ก่อนตาย
  

1407.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

   เคยฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ แล้วได้ความรู้ดีครับ
   แต่ผมยังมีข้อสงสัยบางประการดังนี้   เรื่อง..

      * อาจารย์บอกว่าคน ทำผิดศีล ผิดธรรม จะปฎิบัติไม่ได้ คือไม่ได้ผล

      * คนมีศีล มีธรรม อาจารย์ว่า มี ธรรมะคุ้มครอง ? มีเทวดาคุ้มครอง

      * คนเราทะเลาะกันนั้นบางทีก็ไม่มีใครทำผิดต่อกันแต่เป็นเพราะ เข้าใจผิดกัน    ทีนี้มีไหมครับที่มีคนมาอาฆาต พยาบาทจองเวรเรา แบบเข้าใจผิด เช่น ฆ่ากันตาย แต่ผีมันเข้าใจผิด ว่าเราไป ฆ่า เขาตาย   อะไรทำนองนี้

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้  
   1. กระผมว่า คนในโลกนี้ ไม่เคยกระทำความผิด ศีล ผิดธรรม คงไม่มี มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป จะมากหรือน้อยแล้วแต่มีขอบเขต และ อะไรเป็นตัวกำหนดครับ หากถือตามอาจารย์ว่า คนผิดศีล 5  จะปฎิบัติธรรมไม่ได้ แต่อาจารย์ก็เคยยกตัวอย่าง พระอริยบุคคลท่านหนึ่ง ในยุคนี้ ซึ่งอดีต ทำผิดศีล ข้อใหญ่เลย คือ ปาณาติ...ฆ่าสัตว์ คือฆ่าภรรยาตนเอง ยังบรรลุธรรมได้ หรือ แม้ในอดีต ท่านองคุลีมาล ท่านทำบาป ฆ่าคนมามากมาย แต่สุดท้ายท่านก็บรรลุธรรมได้ หรือ เพราะบุญเก่าท่านมาก ??    มันไม่ขัดกันหรือครับ   ขอให้อาจารย์ช่วย ขยายความข้อนี้ค้วยครับ ด้วยความเคารพ.

   2.  อาจารย์ว่า คนมีศีลบริสุทธิ ย่อมได้รับความคุ้มครอง จากเทวดา และ ธรรมะ มีขอบเขตเพียงใดครับ   ผมเห็นว่าอาจารย์ต้องมีศีล 5 คลุมใจ และ ถือเป็นเวลานานแล้วด้วย   อาจารย์เคยบรรยายเล่าว่า ถวายนวดพระ..ต่อมาอาจารย์กลับต้องรับเคราะห์ปวดเมื่อยแทนพระ...หรือ มีตัวอย่างจากเรื่องที่อาจารย์บรรยาย เช่นเรื่อง อาจารย์ว่า คนที่ช่วยเหลือคนอื่น แล้วตัวเองกลับต้องมารับ ความอาฆาต หรือ การจองเวร จากเจ้ากรรมนายเวร จากผู้ที่เราเข้าช่วยเหลือ หมอตา เป็นโรคตา หมอกระดูกเป็นโรคกระดูก...    อย่างงี้การช่วยเหลือบุคคลอื่นเราก็ต้องหลีกเลี่ยงซิครับ   ซึ่งผมดูแล้วมันน่าจะไม่ถูกต้องนะครับ     อาจารย์ช่วยขยายความเพื่อเราจะเข้าช่วยบุคคลใดให้เราปลอดภัยด้วยครับ

   3.  เราถูกคนเกียจชัง ทำร้ายเราเพราะ มีการเข้าใจผิดกันมีได้ แต่เรื่องเจ้ากรรมนายเวร ที่มาจองเวรผิดคน มีไหมครับ

   ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เคารพ....

คำตอบ
    ผู้ตอบปัญหาพูดไว้อย่างนี้

•  คนที่ประพฤติทุศีล ไร้ธรรม สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ

•  คนที่อย่างน้อย มีเบญศีล และมีเบญจธรรม สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น ย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา

•  คำว่า “ บางที ” ไม่เกิดขึ้นกับจิตของผู้รู้ในพุทธศาสนา เพราะสรรพสิ่งเกิดขึ้นได้ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด

   ฉะนั้นคนที่ทะเลาะกัน เนื่องมาจากเหตุที่คนทั้งสองต่างมีจิตรู้ไม่จริงแท้ และคนที่เข้าใจผิด คนที่ฆ่ากันตาย ย่อมมาจากเหตุในอดีต เคยผูกเวรกันไว้ ผู้ใดประสงค์พิสูจน์สัจธรรมที่กล่าวมานี้ ผู้นั้นต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติกรรมฐาน จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใดแล้ว เหตุและผลดังกล่าวจึงจะเป็นจริงได้

   (๑). มนุษย์ที่เกิดมาล้วนมีบุญและบาปสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของทุกคน เพียงแต่ว่าแต่ละคนสั่งสมบุญและบาปมาไม่เท่ากัน เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องมาจากแต่ละคนทำกรรมไว้ไม่เหมือนกัน กล่าวยืนยันซ้ำอีกครั้งว่า คนที่ประพฤติผิดศีล ๕ สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ เช่นปฏิบัติสมถกรรมฐาน แล้วจิตเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิขั้นสูงได้ หรือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วปัญญาเห็นแจ้งไม่เกิดขึ้นกับจิต

   ยกเว้น ผู้ใดหยุดประพฤติทุศีลอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาประพฤติทาน ศีล ภาวนา โดยมีบุญบารมีเก่าที่ทำไว้แต่อดีตชาติส่งผล การบรรลุธรรมที่เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล ย่อมเกิดขึ้นได้ ดังตัวอย่าง สิริมาโสเภณี อัมพปาลีโสเภณี จอมโจรองคุลีมาล ฯลฯ หยุดประพฤติทุศีล แล้วหันมาบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา จนจิตเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ สิริมาโสดาบัน ตายแล้วไปเกิดเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบัน อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวตี อัมพปาลีอรหันต์ และองคุลีมาลอรหันต์ ทิ้งขันธ์ลาโลก ดับรูปดับนามแล้วไปสู่นิพพาน เวรกรรมที่ยังมีเหลืออยู่ในจิตเป็นอันถูกยกเลิกให้ผล (อโหสิ) ผู้ใดประพฤติได้เช่นนี้ กรรมชั่วที่เหลืออยู่ในจิตวิญญาณ ย่อมยกเลิกให้ผล ..... พิสูจน์ไหมครับ

   (๒). ฟังผิด ฟังใหม่ได้ ผู้ตอบปัญหามิเคยพูดว่า คนมีศีลบริสุทธิ์ย่อมได้รับความคุ้มครองจากเทวดา แต่พูดว่า คนที่มีอย่างน้อยศีล ๕ และมีธรรม ๕ สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น ย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา คำว่า มีธรรมอย่างน้อยได้แก่ มีเบญจธรรม (เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะ สติสัมปชัญญะ)

   อนึ่ง การเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนกรรมของคนอื่น ผู้เข้าร่วมต้องได้รับอานิสงส์ของกรรมนั้นด้วย อาทิ บุคคลผู้ร่วมกุศลกรรมกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้รับอานิสงส์ของกุศลกรรมดังนี้

•  อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีจิตบรรลุ โสดาบัน

•  กาฬะ (บุตรชาย) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

•  มหาสุภัททา (ลูกสาวคนโต) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

•  จูฬสุภัททา (ลูกสาวคนที่สอง) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

•  สุมนาเทวี (ลูกสาวคนสุดท้าย) มีจิตบรรลุ สกิทาคามี

•  นางปุณณา (ลูกทาสเกิดในเรือน) มีจิตบรรลุ อรหันต์

ตรงกันข้าม บุคคลผู้ร่วมกระบวนอกุศลกรรม กับพระพระเทวฑัต ได้รับอานิสงส์ของอกุศลกรรมดังนี้

•  พระเทวฑัต ถูกธรณีสูบไปเกิดเป็นสัตว์ อยู่ในอเวจีมหานรก

•  พระเจ้าอชาตศัตรู (ศิษย์พระเทวฑัต) ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในโลหกุมภีนรก

ดังนั้นการช่วยเหลือบุคคลอื่น ผู้ให้การช่วยเหลือย่อมได้รับผลเป็นบุญจากผู้ถูกช่วยเหลือ และยังต้องรับผลบาป ที่เจ้ากรรมนายเวรของผู้ถูกช่วยเหลือ ได้ผูกพยาบาทไว้ แม้ความเป็นจริงกฎแห่งกรรมเป็นเช่นนี้ บุคคลผู้มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ต้องทำหน้าที่ให้ถูกตรงตามที่สังคมกำหนด แม้ว่าการช่วยเหลือนั้นได้ทั้งบุญและบาป แต่อานิสงค์ของบบุญมีมากกว่าบาป ผู้รู้ไม่เว้นประพฤติ ผู้รู้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ยังต้องประพฤติตนให้มีบุญคุ้มรักษา ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือคนอื่น อุทิศความดี อนุโมทนาความดี ฟังธรรม สั่งสอนธรรม ทำความเห็นให้ตรง) อยู่เสมอ

(๓). ผู้ใดพัฒนาปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาแบละจินตามยปัญญา) ย่อมรู้เห็นเข้าใจว่า การจองเวรผิดคนมีอยู่จริง แต่คนที่พัฒนาปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) และเข้าถึงได้แล้ว ย่อมรู้เห็นเข้าใจว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุที่ทำให้เกิด ดังนั้นการจองเวร ย่อมมีเหตุมาจาก ผู้ถูกจองเวรเคยประพฤติเหตุเบียดเบียนผู้อื่นมาก่อน
  

1406.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพครับ

   ผมได้ตามอ่านจากหนังสือและจากเวปกัลยาณธรรม จึงอยากจะปฏิบัติกรรมฐาน ลองดูกับเขาบ้าง แต่ว่าเท่าที่ทราบแถวๆบ้านผมไม่มีการสอนกรรมฐาน บ้านผมอยู่ เขาหลัก จ.พังงา  ตามที่อาจารย์เคยบอกในหนังสือว่า จะต้องมีครูบาอาจารย์คอยสอน เพื่อไม่ให้หลงเดินทางผิดจึงอยากจะรบกวนให้อาจารย์ช่วยแนะนำการปฏิบัติกรรมฐาน หรือแนะนำครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ให้ผมหน่อยคับ  

   ตอนนี้ผมหาสื่อต่างๆ ของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ที่สอนกรรมฐาน ไม่ทราบว่า ผมจะนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติกรรมฐานได้หรือไม่ครับ

   กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
  ทำตามคำสอนของหลวงพ่อจรัญให้ถูกตรง ย่อมเข้าถึงธรรมได้ อนึ่งในยุคปัจจุบัน คนมีบุญมากมาเกิด มีไม่มาก จึงต้องการครูผู้มีประสบการณ์มาชี้แนะ อยู่จังหวัดพังงาทำไมไม่ฝากตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเอี้ยน สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต (วังเนียง) อ.เมือง จ.พัทลุง
    

1405.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง
 
   ผมมีแฟนคนหนึ่งซึ้งนับถือศาสนาคริสต์(ยังไม่ได้แต่งงานกัน) ตัวผมเองให้ความเคารพพระเจ้าในฐานะเทพบุตรองค์หนึ่ง แต่เมื่อวันก่อนผมได้ไปบ้านของแฟน ครอบครัวของแฟนได้มีการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ในทำนองที่ว่าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งซึ่งในใจของผมเห็นแย้งอยู่ เมื่อมีการร้องเพลงและอธิษฐาน ขอพรพระเจ้าผมรู้สึกอึดอัดแต่ก็ได้ภาวนาในใจว่าพุธโธๆ ไม่ได้ร่วมร้องเพลงและอธิษฐานตามพิธีกรรมนั้น นอกจากนั้นญาติๆบางคนของแฟนผมยังกล่าวว่าพระพุทธศาสนาในทางไม่ดี ซึ่งผมไม่ชอบใจอย่างมาก ผมมีคำถามดังนี้
1. การที่ผมนับถือพระเจ้าในฐานะเทพบุตรองค์หนึ่ง เป็นการเห็นถูกหรือไม่ พระเจ้าเป็นผู้สมควรแก่การเคารพบูชาหรือไม่

2. เมื่อครอบครัวของแฟนได้มีการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผมควรทำอย่างไรเมื่อไม่สามารถหลีกออกมาจากพิธีกรรมนั้นได้

3. เมื่อมีคนว่าร้ายพระพุทธศาสนา ผมควรจะทำอย่างไรไม่ให้บาปเกิดขึ้นกับตัวผม

4. ตัวผมเองเชื่อในพระพุทธศาสนาว่าเป็นทางที่ถูกต้องและอยากให้แฟนเห็นถูกอย่างที่ผมเห็น ผมทราบว่าเรื่องนี้ไม่ควรไปบังคับใจกันเนื่องจากจะทำให้เกิดบาป แต่ผมก็ได้พยายามบอกแฟนไปว่าพระพุทธศาสนามีหลักธรรมว่าอย่างไรบ้าง แฟนผมเองก็แลกเปลี่ยนความเชื่อกันกับผม โดยผมไม่ได้บังคับแต่อย่างใด อยากทราบว่าควรทำอย่างไรให้แฟนของผมเห็นถูกตามวิถีทางของพระพุทธศาสนาครับ
 
   สุดท้ายนี้ขอขอบคุณท่านอาจารย์สนองที่เมตตาสอนหลักธรรมต่างๆ ถ้าหากจดหมายฉบับนี้เป็นการรบกวนผมต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

คำตอบ
    (๑). เห็นถูกหรือเห็นผิด ต้องใช้ปัญญาเป็นตัวตัดสิน ผู้ใดพัฒนาปัญญาได้เพียงสองระดับต้น (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) ย่อมเห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และหากผู้ใดพัฒนาปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) ให้เกิดขึ้น ย่อมเห็นว่าคำกล่าวข้างต้น ยังไม่ถูกตรงตามธรรมชาติที่เป็นจริงแท้ ด้วยเหตุนี้ผู้ใดบูชาสิ่งที่ด้อยค่า ย่อมเข้าไม่ถึงสิ่งที่สูงค่า .... เลือกบูชาตามศรัทธานะครับ

   (๒). ผู้ใดนั่งฟังแล้วใช้ปัญญาวิเคราะห์หาเหตุผล การได้ยินได้ฟังนั้นจะเป็นครูสอนใจของผู้ฟังให้เกิดปัญญา

   (๓). ผู้ใดไม่เอาใจเข้าร่วมกับการได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ บาปย่อมไม่เกิดกับผู้มีสติระลึกทันเสียงให้ร้ายที่ได้ยินนั้น

   (๔). ผู้ใด คิด พูด ทำ ได้ถูกตรงตามธรรมวินัยในพุทธศาสนาได้แล้ว สิ่งดีงามย่อมเกิดขึ้นกับผู้นั้น ผู้มีสิ่งดีงามคุ้มครองใจ ย่อมได้รับความเชื่อถือ จากบุคคลผู้มีจิตใฝ่อยู่ในความดี การสอนผู้อื่นด้วยการกระทำดีให้เขาดู ดีกว่าการพูดดีให้ผู้อื่นได้ยินได้ฟัง เพราะอย่างแรกย่อมทำให้ศรัทธาและทำตามเกิดขึ้นได้ง่าย
  

1404.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า การเอาตุ๊กตาช้าง ม้า หรือ ชาย หญิง ไปถวายที่ศาลเจ้าที่เพื่อให้ท่านใช้เป็นพาหนะ และข้าบริวาร ในเมื่อตุ๊กตาเหล่านั้นเป็นแค่สิ่งของ ไม่ได้มีจิต เจ้าที่ซึ่งเป็นเทวดา จะขี่ม้าที่เป็นสิ่งของ หรือจะเรียกใช้ข้าทาสที่เป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่งได้อย่างไร

ขอขอบพระคุณอาจารย์สำหรับคำตอบครับ

คำตอบ
   คนมีพลังปัญญามาก ย่อมนำวัตถุมาทำให้เกิดประโยชน์กับชีวิตได้มาก เช่น มนุษย์นำวัตถุมาทำเป็นพาหนะ นำพาตัวเองไปในที่ต่างๆได้ เช่นเดียวกัน เทวดามีพลังมากกว่ามนุษย์ จึงย่อมเนรมิตวัตถุให้เกิดประโยชน์แก่เขาได้เช่นกัน หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะพิสูจน์สัจจธรรมนี้ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนสามารถเข้าฌาน และเกิดปัญญาสูงสุดที่เรียกว่า อภิญญา ๕ ได้เมื่อใดแล้ว ย่อมเข้าถึงความจริงในสิ่งที่กล่าวนี้ได้ .... พิสูจน์ไหมครับ
  

1403.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ

    หนูมีเรื่องอยากกราบเรียนถามอาจารย์ว่า การที่เราจะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้านั้น ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แต่การประกอบอาชีพในชีวิตประจำวันนั้น มีบางครั้งต้องพูดจาโกหก พูดปดกับลูกค้า (หนูเป็นพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับการค้าขาย) และบางครั้งต้องทำการหลีกเลี่ยงภาษี (ขายใบกำกับภาษีเพื่อให้ลูกค้าไปใช้ในการหลบเลี่ยงภาษี) ซึ่งหนูก็รู้ว่าเป็นการผิดศีลข้อลักทรัพย์ และบางทีหนูก็รู้สึกว่าเรากำลังโกงแผ่นดินหรือเปล่า แต่หนูต้องทำตามหน้าที่ลูกจ้าง ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้

หนูเลยอยากถามอาจารย์ดังนี้ว่า
1. สิ่งที่หนูทำอยู่บาปมากไหมค่ะ

2. และจะมีทางแก้ไขและปฏิบัติอย่างไร(บางทีหนูคิดจะเปลี่ยนอาชีพ แต่ความรู้น้อย และงานที่ทำอยู่ก็มีเงินเดือนพอที่จะเลี้ยงตัวเอง และพ่อแม่พี่น้องได้)

    ปัจจุบันหนูพยายามขวนขวายในธรรม หนูอ่านหนังสือธรรมะ หนูฟังธรรมทุกครั้งที่มีโอกาสไป หนูเข้าอบรมปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่มีโอกาส เวลาอยู่บ้านก็สวดมนต์เช้าเย็น นั่งสมาธิและก็แผ่เมตตา หนูอยากเจริญก้าวหน้าในทางธรรมค่ะ อยากเป็นผู้รู้ที่สามารถปลดทุกข์ให้ตัวเองได้ และอยากเป็นผู้รู้บอกกล่าวคนที่ไม่รู้ได้

หนูขอให้อาจารย์เมตตาตอบคำถามให้หนูด้วยนะค่ะ    
กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (๑). สิ่งที่บอกเล่าไป เป็นการสร้างบาปให้เกิดขึ้นในชาติปัจจุบัน เมื่อใดที่กรรมให้ผล ย่อมถูกกล่าวตู่ โภคะพินาศ ปฏิบัติธรรมแล้วจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฯลฯ ตายแล้วบาปยังผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิได้

   (๒). หากยังจำเป็นต้องทำอาชีพนี้อยู่ จงทำต่อไป แต่ต้องประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ เพื่อให้จิตมีบุญสั่งสมมากกว่าบาป แล้วบาปตามให้ผลไม่ทัน ชีวิตจะดำเนินอยู่ได้โดยยังไม่วิบัติ อนึ่งสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน จงทำต่อไปตลอดชีวิต
  

1402.
เรียน ดร.สนอง ที่เคารพ
              1. ทุกวันนี้พยายามรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด แต่มีข้อสงสัยว่า ยังต้องไหว้เจ้าและบรรพบุรุษด้วยเหล้า แต่ไหว้แล้วก็ไม่ได้ให้ไครดื่ม จะเป็นบาปหรือไม่

              2. ชอบมีความคิดว่าตัวเองกระทำไม่ดีต่อพระสงฆ์ เช่น ใช้เท้าเหยียบ ทุกวันนี้สวดมนต์บทขอขมาทุกวัน ก็ยังมีความคิดนี้ค้างอยู่ รู้สึกแย่มาก จะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ
                                                                               ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
   (๑). ผู้ใดมีเจนาให้เครื่องดื่มที่เป็นสุราเมรัยแก่ผู้อื่น (รูปนามอื่น) ผู้นั้นเป็นต้นเหตุให้รูปนามอื่นประพฤติทุศีล ถือว่าเป็นบาป

   (๒). นำตัวไปขอขมากรรมต่อหน้าเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ต่อหน้าอุทเทสิกเจดีย์ (พระพุทธรูป) ต่อหน้าบริโภคเจดีย์ของพระพุทธเจ้า ฯลฯ ด้วยการสวดมนต์บทสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย แล้วสารภาพผิดที่มีจิตคิดอกุศล ล่วงเกิน ด้วยการกล่าววาจาให้อริยสงฆ์ยกโทษให้ แล้วต้องไม่ทำเหตุที่เป็นอกุศลเช่นนี้ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก จากนั้นต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง ด้วยการเจริญอานาปานสติ โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน
  

1401.
สวัสดีค่ะ อาจารย์สนอง
 
       ปัจจุบันนี้หนูได้ไปปฎิบัติธรรม ที่วิเวกอาศรม จ.ชลบุรี อาทิตย์ละ 2 วัน ครั้งละ 3-4 ชม. นอกนั้นปฎิบัติที่บ้าน
ประมาณ 1 ชม. นั่ง 30 นาที่ เดิน 30 นาที แนว พอง- ยุบ ค่ะ วันนี้ขณะเริ่มปฎิบัติ   เริ่มเดินจงกรมได้กลิ่นเหม็นสาป
แต่ไม่ได้ตกใจ ไม่มีอาการกลัวก็ แผ่เมตตาทันทีไม่ทันจบ กลิ่นหายไป ก็ปฏิบัติต่อ เดิน- นั่ง นาน 4 ชม.สลับกัน
ก็ไม่ได้กลิ่นอีกเลย  ตลอดเวลา 4 ชม. นี้มีความรู้สึกเงียบมากไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งที่มีพระปฏิบัติอยู่ รู้ตัวกำหนดตลอด  
และรู้ว่าเหมือนจิตกำลังมองตนเองนั่งสมาธิอยู่ สงัดมากทั้งที่กลางวัน และตนเองนิ่งมากไม่กระดุกกระดิกเลยค่ะ
ทั้งที่กำหนดอยู่ตลอดเวลา แต่ เหมือนจิตใจตนเองเต้นเร็วจนปวดใจบอกไม่ถูกพอกำหนดก็หายไป  
เลย เคยเป็นแบบนี้หลายครั้ง หนูอยากรู้ว่า   
 
   1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คืออะไรคะ แล้วทำไมถึงเกิด (กลิ่นเหม็น) เป็นความก้าวหน้าหรือไม่คะ
 
   2. ที่หนูแผ่เมตตาหนูทำถูกหรือไม่คะ
 
   3. อาการปวดใจ จากเหตุการณ์นี้คืออะไรคะ
 
ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงทุกทุกวันค่ะ
    ด้วยความเคารพ ค่ะ
      รวมฤดี

คำตอบ
    (๑). ผู้ใดพัฒนาจิตด้วยการปฏิบัติธรรม ผู้นั้นได้ทำบุญใหญ่ให้เกิดขึ้น สัตว์ (รูปนาม) ที่ประสงค์บุญจากการอุทิศย่อมแสดงนิมิต (กลิ่นเหม็น) ให้ผู้มีบุญใหญ่สัมผัสได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าระดับหนึ่งในการพัฒนาจิต แต่ยังไม่ก้าวหน้าจนถึงระดับที่นำให้พ้นไปจากความทุกข์ได้

   (๒). ทำถูกแล้วครับ

   (๓). เป็นทุกขเวทนา (ขันธมาร) ที่มาทดสอบกำลังใจ ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ หากแก้ปัญหาได้ถูกตรง อาการดังกล่าวจะหายไป
   

 

 

 

 

 

 

 

browser stats