1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1551-1600

1600.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนองค่ะ

สภาวะธรรมจากวิบากกรรม
   ตอนนี้่หนูกำลังเริ่มปฏิบัติ แรก ๆ จะมีอาการที่แสดงสัญญาเดิมที่เราเคยเป็น ขณะปฏิบัติเท่านั้น แต่ต่อมาก็แสดงออกมาจนควบคุมไม่ได้ ต้องให้วิปัสนาจารย์แก้ไขให้ แล้วกลับมาดำเนินชีวิตปกติ
โดยทำการปฏิบัติ เช้ากับเย็น รอบละหนึ่งชั่วโมง เดิน กลับนั่งอย่างละเท่า ๆ กัน แต่ปัจจุบันนี้ค่ะ อาการอยู่ก็แสดงที่ทำงาน จนต้องเปลี่ยนอิริยาบถ พอมาเดินก็จะแทบควบคุมไม่ได้หนูกลุ้มใจมาก
พอถามวิปัสนาจารย์ ท่านก็บอกให้เลิกปฏิบัติ เพราะท่านอยู่ไกล กับหนูท่านไม่เห็นอาการ จึงไม่สามารถแก้ไขได้   จนกว่าจะต้องลาหยุดงานไปยาว ๆ แก้ไขกันไป  

    อาจารย์คะ หนูอยากปฏิบัติต่อค่ะ เกรงว่าถ้าเราละเลยไป กิเลสมันจะกลับมาครอบครองเราหนาขึ้น เวลาที่เราสะสมการปฏิบัติ ก็ไม่รู้ว่าเราจะเหลือเวลาอีกนานแค่ใหน แต่ก็คงทำไม่ได้ถ้าให้ลาออกจากงานเพื่อไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ยังมีภาระต้องทำ และรับผิดชอบอยู่ ทางบ้านคงไม่เข้าใจแน่ๆ ค่ะ เกรงว่าจะเกิดปัญหา ตอนนี้ ก็เลยคิดไม่ออกเลย ทำอย่างไร เราถึงจะปฏิบัติต่อได้คะ และขณะเราเลิกปฏิบัติ เรายังคงกำหนดได้หรือเปล่าคะ หนูไม่อยากละการฝึกพัฒนาจิตไปเลยค่ะ
 
กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ฐิตารีย์

คำตอบ
    คำว่า “สภาวธรรม” หมายถึง สิ่งที่เป็นเองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย ปัญหาที่ถามไปว่า “ขณะเลิกปฏิบัติ เรายังคงกำหนดได้หรือเปล่าคะ” ตอบว่า เมื่อเลิกปฏิบัติแล้วต้องไม่เอาจิตจดจ่อ ( กำหนด ) อยู่กับองค์บริกรรม อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เลิกปฏิบัติ

   พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกทางกาย เป็นผลที่เกิดมาจากการสั่งงานของจิต หากเป็นพฤติกรรมไม่ดี แสดงว่าขณะนั้นจิตมีกำลังของสติอ่อนกว่ากำลังของอกุศลวิบาก จึงมีอารมณ์ปรุงแต่งไม่ดี แล้วสั่งร่างกายให้ทำตามที่จิตสั่ง ตรงกันข้าม ผู้มีกำลังสติกล้าแข็ง จิตสามารถระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบ ย่อมไม่นำเอาสิ่งกระทบที่ไม่ดีเข้าปรุงอารมณ์ พฤติกรรมของบุคคลย่อมแสดงออกมาดี ดังนั้นต้องเข้าหาและปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้กับครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ตรงในการพัฒนาจิต จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ประพฤติเหตุให้ถูกตรงตามคำชี้แนะ ปัญหาดังกล่าวจึงจะหมดไปได้
    

1599.
ปรึกษาเรื่อง ศีล แปด ครับ

   1. ไม่ฉันอาหารยามวิกาล คือ ช่วงเวลาไหน ครับ หลังเที่ยงจริงหรือครับ
เพราะบางทีเลิกตรวจ โอ พี ดี ก็เลยบ่าย แต่ก็ทานไปตามเพื่อนบ้าง(ตามสังคม ตามว่าต้องคบค้า คบหาด้วย) ทานเพราะรู้สึกหิวพอดีบ้าง   แต่ผมก็คิดว่าเวลาไม่ได้สำคัญ เนื่องจากภารกิจผมที่ต้องทำให้เสร็จไม่เหมือนพระ ผมกำหนดเวลา และ จำนวน คนไข้ไม่ได้ จึงไม่ได้เลิกก่อนเที่ยงเสมอ แต่อย่างไรผมก็ รำลึกเสมอว่า ตอนนี้ทานข้าว เพราะหิวน้อย หิวมาก หรือไม่หิวแต่ไปทานเพราะต้องคุยกับเพื่อน และถ้าได้ทานคนเดียวก็จะทานให้ช้า กำหนดรู้ตักข้าว   กำหนดรู้เคี้ยว 30 ครั้ง กำหนดรู้ก่อนกลืน
 
   2. ผมหาเจอว่า มีคนถกเถียงกันว่า ทานอะไรได้บ้าง ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับประเภทน้ำที่ทานหรือ ควรจะใส่ใจครับ เช่น บ้างก็บอกห้ามทานนม บ้างก็บอกน้ำผลไม้บางชนิดห้ามทาน โดยส่วนตัวผมผมคิดว่า พระพุทธองค์ ต้องการให้ฝึกความอดทน และ ลดบรรเทาให้กิเลสมันเบาบางลงไป
 
คือ ให้รู้จักความรู้สึกอยากทานไม่ว่าจะเพราะความหิวจริงๆ หรืออยากทานเพราะเห็น ได้กลิ่น เพื่อนชวน ทั้งที่ไม่ได้หิว ซึ่งเราจะพบว่ามันหายไปเองได้ และเราก็อยู่ได้ไม่ได้หิว ไม่ได้จะอดตาย ยังทำงานได้ตามปกติ ไม่ได้เป็นอย่างที่กังวลเลย เราคิดไปก่อนบางที่ความหิวมันก็ยังมาไม่ถึง หรือ ถ้าต้องตายเพราะอดข้าว ก็ต้องยอมตายให้มันรู้ไปว่าแค่อดแค่นี้จะตาย ( นี้เป็นความคิด คืนแรกที่ผมไม่ทานอะไรเลย หลังจากเลิกงานเสร็จ ก็ไปออกกำลังกาย ยก weight 10 นาที วิ่ง 20 นาที กลับมากลัวว่าจะขาดเกลือแร่นอนตาย อยู่ในห้องคนเดียว แต่เมื่อทำได้ก็ทำมาตลอดครับ)
 
   3. อีกข้อหนึ่ง คือ ต้องนั่งทาน ด้วยหรือไม่ครับ เนื่องจากเคยทำอยู่สักพัก แต่บางทีรีบเดินไปให้ทันตรวจ โอ พี ดี ก็ต้องทานให้เสร็จด้วย จึงทานไปเดินไป ดังนั้น จึงไม่ได้ปฏิบัติทุกครั้ง บางวันผมก็ใช้วิธีไม่ทานเลยครับ ไปทานน้ำเปล่าที่ โอ พี ดี แทน ทานไปตรวจไป ก็บรรเทาความหิว และ มันก็หายไปได้เช่นกันครับ แต่ผมก็เห็นประโยชน์ในทำนองเดียวกันว่า การที่เราชะลอความอยากทานหลังจากซื้อ เห็น สัมผัส ได้กลิ่น เป็นการช่วยให้เรารู้จัก กิเลส และรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร มีอนุสัยเดิมอย่างไร ถ้าห้ามจริงๆ ผมก็จะได้ตัดสินใจว่า ถ้าไม่ทัน ก็ไม่ต้องทานเลยดีกว่าครับ  

คำตอบ
    (๑). ห้วงเวลาหลังเที่ยงวันไปแล้ว ต้องงดบริโภคอาหาร อย่างนี้จึงจะเรียกว่า “เว้นบริโภคอาหารในเวลาวิกาล” ( ข้อ ๖ ในศีล ๘ )

   หากผู้ถามปัญหามีความจำเป็นบางอย่าง ไม่สามารถปฏิบัติศีล ๘ ได้ ทำไมไม่เลือกปฏิบัติศีล ๕ ให้บริสุทธิ์เล่าครับ เพราะศีล ๕ ยังสามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันและพระสกทาคามีได้

   (๒). น้ำที่เป็นพุทธบัญญัติให้ภิกษุดื่มได้ คือ น้ำอัฏฐบาน มีแปดอย่างได้แก่ น้ำมะม่วง น้ำผลหว้าหรือชมพู่ น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำมะซาง น้ำผลจันทน์หรือผลองุ่น น้ำเหง้าบัว น้ำผลมะปรางหรือผลลิ้นจี่ ต่อมาหลังจากพรรษาที่ ๕ แล้ว ได้มีพุทธานุญาตเพิ่มเติมคือ น้ำผลไม้ทุกชนิด ( เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก ) น้ำใบไม้ทุกชนิด ( เว้นน้ำผักดอง ) น้ำดอกไม้ทุกชนิด ( เว้นน้ำดอกมะซาง ) และน้ำอ้อยสด

   ปัจจุบันคณะสงฆ์ได้เพิ่มเติมน้ำปานะเป็น ๑๖ ชนิด ได้แก่ น้ำผลมะม่วง น้ำผลหว้า น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำมะซาง ( เจือจางด้วยน้ำ ) น้ำผลจันทน์ น้ำเง่าอุบล น้ำมะปราง น้ำผลเล็บเหยี่ยว น้ำพุทราเล็ก น้ำพุทธาใหญ่ น้ำเนยใน ( เปรียง ) น้ำมันงา น้ำนมวัว นมแพะ นมควาย น้ำยาคู และน้ำผักผลไม้

   (๓). วินัยของภิกษุกำหนดให้เว้นยืนฉัน เดินฉัน แต่มิได้ห้ามฆราวาสประพฤติ
   

1598.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคราพ

  อาจารย์ครับเวลาที่เราทำดีหรือทำบุญเราควรจะอธิฐานว่าอย่างไรบ้างครับ ช่วยแน่ะนำด้วยน่ะครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
     หลังจากทำความดีหรือทำบุญแล้ว บุคคลควรอธิษฐานอย่างไร ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้อธิษฐาน

   คำว่า “อธิษฐาน” หมายถึง ตั้งใจมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหมายถึง ตั้งจิตขอร้องต่อสิ่งที่ตนถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง

   ผู้มีความเห็นผิดไปจากธรรม
     - บางคนอธิษฐานให้คนอื่นวิบัติ ( สาปแช่ง ) ด้วยการเผาพริกเผาเกลือ
     - บางคนอธิษฐานให้ตนเองถูกหวย ถูกล๊อตเตอรี่
     - บางคนอธิษฐานให้ตนได้รับเลือกเข้าสู่ตำแหน่งเพื่อมีอำนาจ
     - บางคนอธิษฐานให้ตนได้แต่งงานกับคนร่ำรวยทรัพย์เงินทอง
         ฯลฯ

   ในครั้งพุทธกาล นางวิสาขา ( โสดาบัน ) ได้ไปเห็นบรรดาแม่ๆมารักษาอุโบสถอยู่ในวิหาร วัดบุพพาราม จึงได้ถามออกไปว่า แม่ๆทั้งหลาย มารักษาอุโบสถ เพื่อปราถนาสิ่งใด บรรดาแม่ๆจึงได้ตอบในทำนองที่ว่า
     หญิงชรา : ดิฉันมารักษาอุโบสถ ด้วยปรารถนาทิพยสมบัติ
     หญิงกลางคน : ดิฉันมารักษาอุโบสถ เพราะไม่ต้องการอยู่ร่วมกับสามี
     หญิงที่แต่งงานแล้ว : ดิฉันมารักษาอุโบสถ เพราะต้องการได้บุตรชายในครรภ์แรก
     หญิงวัยรุ่น : ดิฉันมารักษาอุโบสถ เพราะต้องการไปสู่สกุลของสามีในวัยที่ยังสาว

   หลังจากที่ได้ฟังคำตอบแล้ว จึงได้พาบรรดาแม่ๆไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทำนองที่ว่า
     พระพุทธะ : วิสาขา สิ่งที่เป็นเองตามธรรมของเหตุปัจจัย ( สภาวธรรม )
     ชาติ คือการเกิด ย่อมนำสรรพสัตว์ไปสู่ความชรา
     ชรา คือความแก่ ย่อมนำสรรพสัตว์ไปสู่พยาธิ
     พยาธิ คือความเจ็บไข้ ย่อมนำสรรพสัตว์ไปสู่มรณะ

   สัตว์ทั้งหลายมุ่งเอาแต่วัฏฏะ ไม่ปรารถนานิพพาน แล้วพระองค์จึงได้ตรัสต่อไปว่า
     พระพุทธะ : นายโคบาลย่อมใช้ท่อนไม้ ต้อนโคไปสู่ที่หากิน ฉันใด ความแก่และความตาย ย่อมต้อนอายุของสัตว์ไป ฉันนั้น

   ส่วนผู้เห็นถูกตามธรรม มิได้อธิษฐานดังที่กล่าวข้างต้น
     - บางคนอธิษฐานให้ตน ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ
     - บางคนอธิษฐานให้ตน ได้ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก
     - บางคนอธิษฐานให้ตน ให้ตนมีดวงตาเห็นธรรม
     - บางคนอธิษฐานให้ตน ให้ตนเข้าถึงพระนิพพาน
          ฯลฯ

ฉะนั้น ผู่อ่านคำตอบนี้พึงอธิษฐานเอาตามที่ตนเองชอบเถิด .
    

1597.
ผมมีข้อสงสัยที่จะขอคำแนะนำกับอาจารย์ครับ

๑. ศีล สามารถที่จะสมาทานกับพระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหมครับ และพระเมื่อต้องอาบัติเล็กน้อยสามารถที่จะแสดงอาบัติกับพระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหมครับ

๒. ผมพยายามที่จะปฏิบัติธรรม แต่ได้ประมาณ ๑ อาทิตย์   ผมก็ต้องแพ้กามราคะทุกที อาจารย์ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ
ขอขอบคุณท่านอาจารย์มากครับ

คำตอบ
     ( ๑ ). ได้ครับ หรือจะประพฤติตนให้มีศีลคุมใจด้วยตัวเองก็ได้

คำว่า “อาบัติ” เป็นการล่วงละเมิดสิกขาบทของภิกษุ ในทางโลกกำหนดให้ภิกษุที่ต้องอาบัติเล็กน้อย ไปกล่าวคำสารภาพผิดกับภิกษุรูปอื่น มิใช่กล่าวกับพระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด

    ( ๒ ). การทำตนให้พ้นจากกามราคะ ต้องบริโภคใช้สอยมักน้อยเท่าที่จำเป็นกับร่างกายจะทรงอยู่ได้ เพิ่มความเพียรในการเจริญสติให้มาก เมื่อใดจิตมีกำลังสติกล้าแข็ง แล้วนำจิตไปพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น เมื่อนั้นสติย่อมระลึกได้ทันสิ่งกระทบที่ทำให้เกิดกามราคะ ปัญญาเห็นแจ้งย่อมเห็นสิ่งกระทบดับไป ( อนัตตา ) ตามกฎไตรลักษณ์ จิตเห็นว่า สิ่งกระทบไม่ใช่ตัวตน จิตย่อมปล่อยวางและว่างเป็นอุเบกขา กามราคะก็ไม่อาจเกิดขึ้น
   

1596.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนอง

     หนูได้ฟังธรรมะบรรยายของอาจารย์ผ่านทางอินเทอเน็ตเสมอๆ ช่วงที่ไปศึกษาปริญญาโทที่อังกฤษ โดยได้รับการแนะนำจากกัลยาณมิตร แล้วหลังจากนั้นก็ฟังเรื่อยๆมา สิ่งที่เห็นผลก็คือ หนูกลายเป็นคนใจเย็นมากขึ้น ใช้เหตุและผลมากกว่าใช้อารมณ์ในการดำรงชีวิตในแต่ละวันมากขึ้น เวลามีความทุกข์ก็จะนึกถึงคำพูดของอาจารย์เสมอที่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกวันนี้ พยายามที่จะรักษาศีลห้าเป็นอย่างน้อย เพราะไม่อยากเกิดต่ำกว่ามนุษย์ แล้วที่สำคัญอยากปิดอบายภูมิให้ได้ ตามที่ได้ฟังอาจารย์บอกกล่าว หนูมีคำถามที่อยากเรียนถามอาจารย์ดังนี้คะ

1. จริงๆแล้วหนูนับถือศาสนาคริสต์ ในทางศาสนา หนูไม่สามารถที่จะตักบาตร หรือสวดมนต์ของศาสนาอื่นได้เลย แต่หนูมาคิดว่าการทำความดีนั้นไม่จำกัดว่าเรานับถือศาสนาใด ถึงหนูจะทำผิดกฎหรือบทบัญญัติในทางศาสนาของหนู หนูคิดว่าพระเจ้าคงรู้ ว่าหนูมีความมุ่งมั่นที่ดีที่จะทำความดี และเป็นคนดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ทราบว่าสิ่งที่หนูคิดนี้ถูกหรือไม่คะ กราบเรียนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

2. ตอนนี้หนูได้เดินทางกลับมาที่เมืองไทยได้เกือบสองอาทิตย์แล้วค่ะ มีความตั้งใจว่าอยากไปพัฒนาจิิตให้เกิดปํญญาสูงสุด ก่อนที่จะเริ่มทำงาน เพื่อนำปัญญาที่ได้มาชี้นำชีวิตไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม ทุกวันนี้พยายามที่จะทำจิตให้สงบโดยการนั่งสมาธิ วันละห้านาทีสิบนาที ก็ยังรู้สึกว่าไม่ดีเท่าที่ควร เพราะไม่รู้ว่าที่ทำไปนั้นมันถูกวิธีมั้ย บางวันแย่ยิ่งกว่าหัวถึงหมอนก็หลับเลย หรือบางวันก็ยุ่งทำนั่นทำนี่ จนไม่มีเวลาจะสงบจิตแม้แต่นาทีเดียว อาจารย์ค่ะบางครั้งมันทำไม่ได้ดีเท่าที่ควร   หนูพยายามไม่ท้อค่ะ จะพยามรักษาศีลห้าไม่ให้ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย จะพยายามพัฒนาจิิตให้มีสติอยู่เสมอ หนูอยากที่จะปิดอบายภูมิให้ได้ตามที่ได้ฟังอาจารย์บรรยายธรรมค่ะ กราบเรียนอาจารย์ช่วยแนะนำ สถานปฏิบัติธรรมให้ด้วยค่ะ บ้านหนูอยู่ คลองสาม ปทุมธานีค่ะ

3. ตอนนี้หนูว่างงานอยู่ค่ะ อยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการเป็นอาสาสมัครกับทางชมรมกัลยาณธรรม แล้วก็อยากจะบริจาคทุนทรัพย์เพื่อพิมพ์หนังสือธรรมะแจกด้วยค่ะ ก็อย่างที่อาจารย์เคยชี้แนะว่าการให้เป็นทานอย่างอย่างหนึ่ง ไม่ว่าการให้ทุนทรัพย์ หรือการให้แรงงาน

   สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ที่ได้ชี้ทางธรรม ทางสว่าง ให้แก่หนูและทุกๆคนที่ได้รับฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์  

      ด้วยความเคารพอย่างสูง
        พรรณทิพา

คำตอบ
    ( ๑ ). ศาสนาเป็นลัทธิความเชื่อ ที่แต่ละศาสนาบัญญัติไว้ไม่เหมือนกัน บางศาสนาบัญญัติให้ศาสนิกเชื่อ แล้วทำตามคำบอกกล่าวและห้ามพิสูจน์ ตรงกันข้าม พุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่อคำบอกกล่าวของครูบาอาจารย์ ตำรา คัมภีร์ ฯลฯ แต่สอนให้ รู้ เห็น เข้าใจ ด้วยการพัฒนาปัญญาสุดให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วใช้ปัญญาที่พัฒนาได้ มาวิเคราะห์คำบอกกล่าวว่าเป็นจริงหรือไม่จริง แล้วจึงปลงใจเชื่อตามที่กล่าวไว้ในหลักกาลามสูตร

   คำว่า “พระเจ้าคงรู้” เป็นการพูดของคนที่มีปัญญาทางโลก ( สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา ) แต่คนที่เข้าถึงปัญญาสูงสุด ( ภาวนามยปัญญา ) จะพูดว่า “พระเจ้าต้องรู้” ไม่เพียงแต่พระเจ้าเท่านั้น หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาสูงสุดที่เรียกว่า โลกิยญาณ ความรู้ที่เรียกว่า เจโตปริยญาณ ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ ความคิดของบุคคล และการกระทำของบุคคลที่เป็นความลับได้ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่พระเจ้ารู้ ย่อมรู้ได้ด้วยบุคคลผู้มีเจโตปริยญาณ เช่นเดียวกัน

   การตักบาตรมีอานิสงส์ส่งผลให้บุคคลเข้าถึงสวรรค์สมบัติ การสวดมนต์แล้วจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ หากหยุดสวดมนต์แล้วพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ต่อไป โอกาสที่จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน ย่อมเกิดขึ้นได้ มีอานิสงส์ส่งผลให้บุคคลเข้าถึงพรหมโลกได้ ดังนั้นผู้ที่รู้จริงแท้ จะไม่ปิดกั้นอิสรภาพในการทำความดีของสัตว์บุคคล ผู้ใดรู้ เห็น เข้าใจ ได้ถูกตรงเช่นนี้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีจิตเป็นอิสระจากความที่ผู้รู้ไม่จริงแท้กำหนดไว้ และมากไปกว่านั้น ผู้รู้จริงแท้ยังชี้ทางให้บุคคลได้พัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง ให้หมดไปจากความเศร้าหมอง และนำพาชีวิตพ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวงได้

   ( ๒ ). การปฏิบัติธรรม ( สมถภาวนา ) เพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้ตอบปัญหาได้นำตัวเองเข้าฝึกอย่างจริงจัง วันละประมาณ ๒๐ ชั่วโมงต่อเนื่อง ๓๐ วัน ผลปรากฏว่า ปฏิบัติสมถภาวนาได้นาน ๗ วัน จิตเข้าถึงสมาธิสูงสุดได้ เมื่อนำจิตออกจากสมาธิสูงสุดแล้ว อภิญญา ๕ ( อิทธิวิธี ทิพยโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทิพพจักขุ ) จึงได้เกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ แล้วพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ภายใน ๓๐ วัน แล้วส่งผลให้มีพฤติกรรมถูกตรงตามธรรมวินัย ที่ระบุไว้ในพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้

   หากผู้ถามปัญหาปรารถนาจะพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง แนะนำให้ไปฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดทับทิมแดง ( หลังตลาดไท ) จังหวัดปทุมธานี โดยมีศีล มีสัจจะ มีความเพียร และเอาชีวิตเข้าแลกธรรมได้แล้ว โอกาสเข้าถึงความปรารถนาดังกล่าว ย่อมเกิดขึ้น

   ( ๓ ). แนะนำให้ผู้ถามปัญหาติดต่อกับประธานชมรมกัลยาณธรรมได้โดยตรง
  

1595.
    ผมเป็นคนที่ต้องการฝึกสติให้มีมากเพิ่มขึ้น แต่ มีข้อสังเกตุตามทีกระผมสงสัยดังนี้ครับ

     1)  ผมสังเกตว่า เมื่อเรามีสติ จดจ่อกับสิ่งหนึ่ง ที่มากระทบ เช่น ดูภาพยนต์หนังทางทีวี แต่เมื่อเรากำหนดภาพที่ดูอยู่   จริงแล้วเกิดรู้สึกว่าหนังเรื่องนั้นไม่สนุกเลย มันไม่เกิดการปรุง ดูสักว่าดูภาพ ก็เลยสงสัยว่า คนที่มีสติบริบูรณ์จะมีอารมณ์ความรู้สึกทางโลกอย่างไร ผมว่าโลกเรามันคงไม่สนุกสนาน ไม่สดใสเลย   ขณะพูดกันถ้าเรากำหนดรู้ว่าจะพูดอะไร กับเพื่อนฝูง หากสักแต่จะกำหนดรู้ ความรู้สึกในการสนทนาระหว่างเพื่อนผูง มันไม่มีรสชาตเลยครับ

    2)  เราควรกำหนด สติตลอดหรือไม่ เช่น รู้ว่าตนกำลังทำสิ่งใดอยู่ ยืนหนอ นั่งหนอ เดินหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ สำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือ ขณะที่เราตั้งใจปฎิบัติช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้นครับ เพราะผลจากข้อที่รู้สึกตามข้อ 1 ทำให้ไม่แน่ใจว่า หากเราทำอย่างนัั้นแล้วทำถูกต้องหรือเปล่า เพราะมันไม่เกิดอารมณ์ที่สนุกสดชื่นในการพบปะเพือนเลย

คำตอบ
    ( ๑ ). ดูหนังแล้วจิตขาดสติ จึงรับเอาสิ่งกระทบจากการดู เข้าปรุงเป็นอารมณ์ไม่สนุก ( ทุกขเวทนา ) อย่างนี้ไม่เรียกว่า “ดู สักแต่ว่าดู” ตรงกันข้าม หากจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง เมื่อสิ่งกระทบเข้าสัมผัสจิต แล้วจิตเห็นว่า สิ่งกระทบดับไป ( อนัตตา ) ตามกฎไตรลักษณ์ จิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบอารมณ์จะไม่เกิดขึ้นจากการดู อย่างนี้จึงจะเรียกว่า “ดู สักแต่ว่าดู”

คนที่จิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง ย่อมระลึกได้ทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต จิตจะไม่รับเอาสิ่งกระทบเข้าปรุงอารมณ์ แล้วทำให้จิตว่างเป็นอุเบกขา จิตย่อมสดใส ไม่มีอารมณ์มาทำให้จิตขุ่นมัวได้ ตรงกันข้าม จิตที่มีกิเลสเข้าปรุงแต่ง ย่อมทำให้การสนทนาพูดคุยมีรสชาติ และสนุกสนานไปด้วยอารมณ์ปรุงแต่งแบบโลกๆ คำตอบที่ถูกตรงเช่นนี้ ผู้ใดอ่านแล้วไม่เข้าใจต้องขออภัย แต่หากผู้อ่านพัฒนาจิต ให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใด ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ ได้ถูกตรง แล้วย่อมเกิดเป็นความศรัทธาในพุทธวจนะที่ตรัสไว้ว่า มิให้ปลงใจเชื่อในเรื่องสิบอย่าง ( กาลามสูตร )

   ( ๒ ). คำว่า “กำหนดจิต” นิยมใช้เรียกกันในขณะมีการปฏิบัติธรรม แต่ในชีวิตประจำวัน นิยมเรียกว่า “เอาจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ” เช่น ขณะกำลังเดิน ขณะกำลังพูด ขณะกำลังทำกิจการงาน ฯลฯ แล้วทำให้จิตมีอารมณ์สงบ ตรงกันข้าม จิตที่ไม่มีสติกำกับอิริยาบถดังกล่าว อารมณ์สนุก อารมณ์ไม่สนุก ย่อมเกิดขึ้น อย่างนี้เรียกว่า จิตขาดสติ ด้วยเหตุนี้หลังจากเสวยวิมุตติสุขแล้ว พระพุทธโคดมจึงดำริไม่เผยแพร่ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ เพราะเป็นธรรมวินัยที่สวนกระแสกิเลสของชาวโลก ที่นำพาชีวิตไหลตามอำนาจของกิเลส แต่ชาวพุทธยังมีโชคดีที่ท่านสหัมบดีพรหม มาเตือนพระสติว่า “มนุษย์ที่สามารถ รู้ เห็น เข้าใจ ธรรมวินัยได้ ยังมีอยู่” พุทธศาสนาจึงได้อุบัติขึ้นและดำรงอยู่ยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้
   

1594.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพค่ะ

    ดิฉันขออนุญาติถามคำถาม เกี่ยวกับการปฏิธรรมของหญิงมีครรภ์ค่ะ

    เนื่องด้วย เมื่อวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาได้ไปอธิษฐานต่อ พระเขี้ยวเกี้ยวที่สิงคโปร์ กับสามี ว่าขอให้มีลูกเป็นผู้ชาย เป็นคนดี มีสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้นำพาความเจริญมาสู่ครอบครัว แล้วเมื่อกลับมาเมืองไทย ได้ไม่ถึงเดือน ก็พบว่าเพิ่งตั้งครรภ์ได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ และช่วงก่อนที่จะทราบว่าตั้งครรภ์ไม่กี่วัน ได้คุยกับสามีว่าช่วงสงกรานต์น่าจะไปปฏิบัติธรรมกันสามีก็เห็นด้วย แต่เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ จึงไม่แน่ใจว่า ถ้าปฏิบัติโดยถือศีล 8 จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่ สามีก็เสนอว่าน่าจะไปกราบพระเขี้ยวแก้วที่สิงโปร์อีกครั้งในช่วงเวลานั้นแทน

    ขอความถามคำถามกรุณาท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1    หากช่วงสงกรานต์(ตั้งครรภ์ ประมาณ 4 เดือนแล้ว)ไปปฏิบัติธรรม โดยถือศีล 8 เจริญวิปัสนาที่สถานปฏิบัติธรรม จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่ หากเหมาะสมรบกวนท่านอาจารบ์ช่วยแนะนำสถานที่ปฏิบัติค่ะ หากไม่เหมาะสมรบกวนท่าอาจารย์แนะนำวิธีปฏิบัติตนในช่วงตั้งครรภ์เพื่อให้ลูกเป็นผู้มีภาวะอารมณ์ที่ดี มีความคิดดี จิตใจดี

2    หญิงมีครรภ์ทำบุญ ลูกในครรภ์ได้บุญด้วยหรือไม่

3    จากที่ได้อธิษฐาน กับพระเขี้ยวแล้วเรื่องลูก แล้วพบว่าตั้งครรภ์ ตามที่ได้อธิษฐาน ดิฉันและสามี ขอคำแนะนำท่านอาจารย์ค่ะว่าหากกลับไปกราบอีกครั้ง ท่านอาจารย์เห็นสมควรหรือไม่อย่างไรคะ     

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามและข้อสงสัยของดิฉันมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
    การปฏิบัติธรรมหมายถึง การพัฒนาจิตให้มีคุณธรรม การเอาศีล ๘ มาอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น หากตั้งใจและทำได้ถูกตรงกับใจที่ตั้งไว้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้นได้

   ( ๑ ). ผู้ถามปัญหาปรารถนาถือศีล ๘ แล้วนำตัวเข้าปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ อนุโมทนาด้วยครับ ผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อกัณหา วัดป่าทรัพย์ทวีคูณ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา

   ( ๒ ). ลูกในครรภ์รู้ว่าแม่ทำบุญ เมื่อเขาอนุโมทนาด้วย เขาได้บุญ

   ( ๓ ). การระลึกถึงคุณและปรารถนาบูชาคุณของพระเขี้ยวแก้ว อยู่ที่ไหนก็สามารถกราบได้ แต่หากเดินทางไปกราบพระเขี้ยวแก้วที่สิงคโปร์ แล้วทำให้จิตมีศรัทธามั่นคงยิ่งขึ้น จิตมีปีติมากยิ่งขึ้น และไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง ก็ควรจะไป
   

1593.
กราบเรียนอาจารย์ ดร. สนอง ด้วยความเคารพอย่างสูง

    ผมเคยปฏิบัติธรรมแล้วจิตสามารถเข้าถึงอารมณ์ที่เรียกว่าสมาธิขั้นสูงสุดได้ (คิดเอาเอง) คือ ก่อนที่จิตจะเข้าสู่ความสงบสุขนั้น จะมีอาการปวดขาเนื่องจากการนั่งที่ทรมานมาก แต่ก็ได้พยายามประคับประคอง จนอยู่ๆก็เกิดอาการวาบเข้าสู่ภาวะความสงบที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เป็นความสงบอย่างยิ่ง   จากภาวะดังกล่าวนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองในขณะนั้นรู้สึกดีใจและเกิดความคิดว่าจะทำยังไงต่อไป เพราะอารมณ์ขณะนั้นจะไม่มีลมหายใจไม่รู้ว่าจะกำหนดหรือทำอะไรต่อไปดี แต่ความรู้สึกและความคิดที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถทำลายความสงบที่เกิดขึ้นได้เลย (ซึ่งปกติถ้าคิดหรือมีความรู้สึกอะไรจิตก็จะหลุดออกจากความสงบ) แม้แต่เสียงที่ได้ยินจากภายนอกก็เพียงสักแต่ว่าได้ยินคือ เสียงที่ได้ยินนั้น เพียงแค่ว่าได้ยิน แต่ไม่สามารถทำลายความสงบนั้นได้ สักพักหนึ่งภาวะความสงบอย่างยิ่งดังกล่าวก็หายไป และมาพร้อมกับอาการปวดที่หนักอึ้งมากๆ ซึ่งอารมณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและไม่เคยเกิดขึ้นกับผมอีกเลย และทำให้ผมเข้าใจคำว่า “ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ” ได้ครับว่าเป็นความจริง

จึงมีความสงสัยที่จะเรียนถามอาจารย์ซึ่งเป็นผู้รู้และเป็นครูบาอาจารย์ทางธรรมของผมครับว่า

      1. อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับผมที่กล่าวไปนั้นเรียกได้ว่าสมาธิขั้นสูงสุดใช่หรือไม่ และภาวะดังกล่าวเราควรจะทำอย่างไรต่อไปหากเกิดภาวะดังกล่าวอีก เพราะเป็นอารมณ์ที่จิตเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีลมหายใจเข้าออก มีแต่ความสงบ

      2. ผมได้ฟังธรรมะของอาจารย์ที่ได้กล่าวว่า บุคคลที่เป็นชายรักชาย จะไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ เนื่องจากกุศลกรรมวิบาก ซึ่งผมก็เป็นชายรักชายเหมือนกันครับ จึงอยากทราบว่า ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ ธรรมในที่นี้หมายถึงความเป็นอริยบุคคลอย่างเดียว หรือรวมไปถึงการเข้าถึงสมาธิขั้นสูงสุดจนได้ปัญญาขั้นที่ 3 คืออภิญญา หรอครับ เพราะผมไม่สามารถปฏิบัติธรรมจนเกิดความสงบที่กล่าวไว้ข้างต้นได้เลย นับตั้งแต่ตอนนั้น นอกจากความสงบแบบประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น

       3. ผมมีความคิดว่า ถ้าหากว่าก่อนที่จะปฏิบัติธรรม กำหนดจิตอาราธนาซึ่งศีลแปดหรือการบวชใจ บุคคลที่เป็นชายรักชายจะสามารถปฏิบัติธรรมแล้วเข้าถึงธรรมได้หรือไม่ครับ เพราะผมคิดว่าการบวชใจหรือมีศีลแปดคุมใจ จะทำให้อยู่ในสภาวะเป็นเพศพรหมจรรย์ ซึ่งจะสามารถปฏิบัติธรรมได้โดยไม่ได้แยกว่าเป็นเพศชาย หญิงหรือเพศใดๆ ผมคิดถูกหรือไม่ประการใดครับ ขอความกรุณาจากอาจารย์ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยครับ

      4. หลังจากที่มีการปฏิบัติธรรมมา ซึ่งผมก็มีความเพียรบ้าง ไม่มีความเพียรบ้าง จะเป็นช่วงๆครับ และสิ่งที่ผมสังเกตุได้คือ เมื่อผมห่างจากความสนใจจากการปฏิบัติธรรม เพราะจากภาระต่างๆ จากการใช้ชีวิตแบบโลกๆไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การทำงาน การแข่งขันดิ้นรนเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง จะมีเหตุการณ์หรือสิ่งต่างๆเกิดขึ้นที่จะทำให้เรารู้สึก มีใจคล้อยตามและคิดว่า “ นิเราห่างจากการปฏิบัติธรรมไปแล้วน่ะ จะต้องปฏิบัติธรรมแล้วน่ะ ” จะเกิดสภาวะแบบนี้อยู่เสมอๆ ด้วยเพราะเหตุนี้ในปัจจุบันเวลาผมปฏิบัติธรรมผมจะอธิษฐานว่าขออย่าให้ผมมีใจห่างจากการปฏิบัติธรรม ขอให้ใจของผมระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอๆ จากเรื่องดังกล่าวอาจารย์คิดว่าผมคิดไปเองหรือไม่ครับ และการอธิษฐานจิตดังกล่าวผมคิดว่าจะช่วยให้เป็นไปตามนั้นได้จริง อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร

   ผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยกรุณาทำให้ผมได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องจริงครับ

    ด้วยความเคารพอย่างสูง
      อภิชาติ

คำตอบ
     อาการที่บอกเล่าไป เป็นผลที่เกิดจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ชั่วขณะ จึงได้รู้ว่า “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”

   ( ๑ ). ใช่ครับ ในคราวปฏิบัติครั้งต่อไป หากประสงค์จะนำจิตเข้าสู่สภาวะดังกล่าว ต้องตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาพัฒนาจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุด เป็นเวลานาน …. ชั่วโมง” แล้วลงมือปฏิบัติด้วยการเอาจิตจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ เมื่อจิตเข้าสู่สภาวะดังกล่าวแล้ว คำอธิษฐานจะเป็นตัวกำหนด ความยาวนานของสภาวธรรมดังกล่าวได้อย่างถูกตรงและแม่นยำ

   ( ๒ ). คำว่าไม่สามารถเข้าถึงธรรม ในที่นี้หมายถึง ไม่สามารถเปลี่ยนสภาวะของจิตปุถุชนไปเป็นอริยบุคคล ปุถุชนทั่วไปสามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมเบื้องต้น ที่ยังคงสภาพของจิตเป็นปุถุชนเหมือนเดิม คือยังมีจิตตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสมาร

   ( ๓ ). เมื่อใดที่บุคคลได้เสวยอกุศลวิบากจบสิ้นไปแล้ว การเอาศีล ๘ มาคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว โอกาสที่จะพัฒนาจิตจากสภาวะปุถุชน ไปสู่จิตที่มีสภาวะเป็นอริยบุคคล จึงจะเกิดขึ้นได้

ความคิดเป็นเรื่องของมโนกรรม ตามที่บอกเล่าไป หากมีศีล ๘ ที่บริสุทธิ์และมีอยู่ครบถ้วนคุมใจได้ทุกขณะตื่น ถือว่าความคิดที่บอกเล่าไปถูกต้อง

   ( ๔ ). อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจตามที่บอกเล่าไป ถือว่าใจยังมีความด่างพร้อย ใจยังไม่บริสุทธิ์ เป็นใจที่ขาดสติกำกับในบางขณะ หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะก้าวข้ามอารมณ์เช่นนี้ให้ได้ ต้องพัฒนาใจให้มีศีลบริสุทธิ์ครบถ้วน และมีสัจจะคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น ทั้งนี้เพราะคุณธรรมทั้งสองเป็นเหตุทำให้กายศักดิ์สิทธิ์และจิตศักดิ์สิทธิ์ คำอธิษฐานดังกล่าวจึงจะบรรลุผลถูกตรงตามที่ตั้งปรารถนาไว้ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ถามปัญหาอธิษฐานไว้ ถูกทางแล้ว เพียงแต่รักษาปฏิปทาให้ถูกตรงกับคำอธิษฐานเป็นใช้ได้
   

1592.
กราบเรียน อาจารย์สนองด้วยความเคารพ

    ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการปฏิบัติธรรม ดิฉันมีข้อสงสัยจะขอความกรุณาอาจารย์เมตตาตอบปัญหาดังนี้

     1. บางครั้งดิฉันรู้สึกว่าดิฉันการสนใจในการปฏิบัติธรรมนี้ ทำให้ดิฉันดีกว่าคนอื่นๆ ควรแก้อย่างไรคะ

     2. บางครั้งดิฉันมีอาการปวดตา ตรงเบ้าตาทั้ง 2 ข้าง ถ้าลืมตาจะไม่ปวด แต่ถ้าหลับตาจะรู้สึกปวดที่เบ้าตา ซึ่งก็ยังพอรู้บ้างว่ามีความคิดอยู่เรื่อยๆ ยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกปวดเบ้าตามากขึ้น จากการปวดครั้งแรก ดิฉันตัดใจไม่สนใจเกี่ยวกับการปฏิบัติเลย คือทิ้งไปประมาณเกือบอาทิตย์ อาการปวดก็หายไป แล้วดิฉันก็เริ่มใหม่เหมือนที่เคยปฏิบัติ คือ อ่านหนังสือศึกษาธรรมะ ฟัง mp3 และรายการธรรมะจากวิทยุก่อนนอน (รวมถึงจะฟังในเวลาอื่นๆที่สามารถฟังได้) ตอนนี้ดิฉันเริ่มมีอาการปวดตาเป็นครั้งที่ 2  ( ห่างจากครั้งแรก ไปประมาณเกือบเดือน ) ดิฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะดิฉันคร่ำเคร่งมากเกินไปหรือไม่ ซึ่งได้ไปพบแพทย์แล้ว สายตาก็ปกติดี (ดิฉันมีโรคประจำคือไมเกรน)

     3. ดิฉันได้สนใจการปฏิบัติและเริ่มปฏิบัติมานานประมาณสิบกว่าปีแล้ว เป็นการไปเข้าคอร์ส ปีละครั้ง 2 ครั้ง แต่พอกลับมาใช้ชีวิตปกติก็จะหายไปหมด แต่ล่าสุดนี้ประมาณเกือบสามปีที่ผ่านมาดิฉันก็ยังไปเข้าคอร์สอยู่เหมือนเดิม แต่กลับมาจะใช้วิธีฟังธรรมะก่อนนอนทุกคืน หรืออ่านหนังสือธรรมะศึกษาไปเรื่อย ๆ ในเวลาว่างที่พอจะหาได้   จนมีความรู้สึกว่าธรรมะอยู่ในใจของดิฉันอาจะไม่ทุกเวลาแต่ก็แทบทุก ๆ วัน จนกระทั่งล่าสุดนี้ดิฉันได้ไปฟังธรรมะบรรยายที่หนึ่ง รู้สึกปลาบปลื้มศรัทธาในพระอาจารย์เป็นอย่างมาก (พระชยสาโร)และพระอาจารย์ก็ให้ทำสมาธิประมาณ 10-15 นาที   พอนั่งไปประมาณ 5-10 นาที ดิฉันรู้สึกปวดขาเป็นอย่างมาก ปวดจนรู้สึกว่าขาแข็งไปหมดเหมือนกระดูกจะแตก   ดิฉันก็รู้สึกว่าปวดที่ขาเหลือเกิน และก็คิดว่าเมื่อไรพระอาจารย์จะบอกให้เลิกปฏิบัติซักที สลับไปมา กับความรู้สึกปวดที่ขานั้นแต่ก็มีอีกใจที่บอกว่าให้อดทนนั่งต่อไป และก็สลับไปมากับความรู้สึกปวดที่ขา กับอยากให้พระอาจารย์บอกเลิกปฏิบัติ ดิฉันก็นึกได้ว่าเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเค้าปวดที่ขา แต่บอกว่าปวดที่ใจ ตอนนั้นดิฉันก็คิดไปว่าจะปวดที่ใจได้อย่างไร ปวดที่ขาต่างหาก แต่แล้วดิฉันก็เห็นที่ใจดิฉันร้อนรน กระวนกระวายในความรู้สึกปวดที่ขานั้น สลับไปมากับความรู้สึกที่อยากจะให้อาจารย์บอกเลิกการปฏิบัติ และดิฉันก็...เอ๊ะ นี่ไง   ปวดที่ใจ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง และทันใดนั้นดิฉันก็เห็นใจความรู้สึกที่ใจว่าปวด และใจมันร้อนรน กระวนกระวายก็หายไป ดิฉันจึงกลับไปดูที่ขา อ้าว ขาก็ยังปวดอยู่มากเหมือนเดิม ดิฉันจึงกลับมาดูที่ใจเอ๊ะ แต่ที่ใจกลับรู้สึกเฉย ๆ ไม่ร้อนรน กระวนกระวาย แบบเมื่อสักครู่เลย ดิฉันจึงกลับไปดูที่ขาอีกครั้ง (อยากให้มั่นใจ) ก็ปวดเหมือนเดิม แต่ใจไม่ร้อนรนจึงนั่งภาวนาว่าสุขหนอ สุขหนอ   แล้วพระอาจารย์ก็บอกให้เลิกปฏิบัติ ดิฉันจึงเปลี่ยนอิริยาบถ แต่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้างจับขาให้เปลี่ยนท่า เพราะขาทั้ง 2 ข้างแข็งจนดิฉันไม่สบายขยับขาเองได้เลย ดิฉันใคร่ถามอาจารย์ว่าเหตุการณ์นี้คืออะไรคะ ใช่ปัญญาเห็นแจ้งหรือไม่   ดิฉันกราบเรียนอาจารย์ตรง ๆ เลยว่า

     ดิฉันอยากทราบมานานแล้ว ว่าปัญญาเห็นแจ้งเป็นอย่างไร และการเห็นไตรลักษณ์เป็นอย่างไร แต่ก็ยังไม่เคยได้คำตอบซักที   เพราะถ้าจากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเห็นไตรลักษณ์หรือเป็นปัญญาเห็นแจ้ง ดิฉันก็คงจะดีใจเป็นอย่างมาก และเพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติให้ดิฉันสู้ต่อไปค่ะ

     ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

*** ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ได้ติดตามผลงานอาจารย์มานานพอสมควร และรู้สึกศรัทธาอาจารย์เป็นอย่างมาก   ถ้ามีโอกาสดิฉันตั้งใจว่าอยากจะพบอาจารย์ตัวจริงซักครั้ง และได้กราบอาจารย์ซักครั้งค่ะ

คำตอบ
    ( ๑ ). ใจเป็นพลังงานที่มีหน้าที่ รู้ คิด นึก ผู้ใดเห็นว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ผู้นั้นยังไม่ดี ทั้งนี้เป็นเพราะความเห็นผิดและตัวตนเป็นเหตุ วิธีแก้ไขคือ นำตัวเข้าปฏิบัติธรรม ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปพิจารณาขันธ์ ๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) ว่าแต่ละขันธ์ ล้วนเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ( อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา ) เมื่อใดที่ขันธ์ ๕ เข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจึงจะ รู้ เห็น เข้าใจ ถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง เมื่อขันธ์ ๕ ดับ อัตตาย่อมดับตามไปด้วย เมื่อเกิดปัญญาเห็นถูกเช่นนี้แล้ว จะไม่เห็นว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น

   ( ๒ ). คนโบราณกล่าวว่า “ผู้ใดปรับธาตุทั้งสี่ ( ดิน น้ำ ไฟ ลม ) ให้อยู่ในสภาวะสมดุล ผู้นั้นย่อมมีสุขภาพดีเป็นปรกติ” หากผู้ถามปัญหาประสงค์มีสุขภาพดี ทำไมไม่ลองเอาความเชื่อของคนโบราณ มาใช้กับตัวเองล่ะครับ

   ในทางธรรมคนที่มีโรคประจำตัว ( ไมเกรน ) เหตุเป็นเพราะเคยประพฤติเบียดเบียนผู้อื่น สัตว์อื่นมาก่อน แล้วเป็นเหตุให้มีการผูกเวรเกิดขึ้น เมื่อกรรมเวรให้ผล ผู้ทำกรรมไม่ดีไว้ ต้องรับอกุศลวิบากแห่งกรรมนั้น และต้องชดใช้ไปจนกว่าจะหมดสิ้น โรคประจำตัวจึงจะหาย และหากผู้ถามปัญหาประสงค์ชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดสิ้นไปเร็ว ต้องประพฤติบุญใหญ่ ( ปฏิบัติธรรม ) แล้วอุทิศบุญใหญ่ชดใช้หนี้กรรมให้กับผู้จองเวร

   ( ๓ ). ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก ในวันสุดท้ายก่อนลาสิกขา ท่านเจ้าคุณฯ ได้พูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “สิ่งที่ได้ไปนั้น เป็นของดี ของวิเศษ ให้เก็บไว้กับตัวตลอดชีวิต” ผู้ตอบปัญหาได้เก็บรักษาความดีนั้นไว้จนบัดนี้ ยาวนานถึง ๓๕ ปีเศษแล้ว ความดีนั้นยังคงอยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะผู้ตอบปัญหาได้เจริญ พละ ๕ ( สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ) อยู่ทุกขณะตื่น เมื่อใจมีกำลังกล้าแข็ง ใจจึงสามารถต้านทานอำนาจของมารได้ ความดีที่ได้มาจึงยังคงมีอยู่จนทุกวันนี้ และยังมีมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นหากผู้ถามปัญหา ปรารถนาให้ผลดีที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม จะคงอยู่กับตัวเองตลอดไป ต้องเจริญพละ ๕ อยู่ทุกขณะตื่น

   เรื่องปวดขาที่บอกเล่าไปนั้น ผู้ที่มีปัญญาระดับโลก ( สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา ) ย่อมเห็นว่า อาการปวด ( ทุกขเวทนา ) เกิดขึ้นที่ขา ตรงกันข้าม ผู้ที่พัฒนาจิตจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ( ภาวนามยปัญญา ) ได้แล้ว ย่อมเห็นถูกตามธรรมว่า ใจต่างหากที่ไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีที่ขา เข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ปวดให้เกิดขึ้นกับใจ เมื่อใดผู้เห็นถูกตามธรรมเอาอารมณ์ปวดมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ จนอารมณ์ปวดผันเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ผู้นั้นจึงจะพ้นไปจากทุกขเวทนานั้นได้

   เช่นเดียวกัน หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะรู้จริงแท้ในเรื่องของไตรลักษณ์ ต้องไม่ทำตัวเป็นน้ำชาล้นถ้วย ( ขออภัยที่พูดตรง ) ด้วยการเลิกอ่านหนังสือ เลิกเอาปัญญาทางโลกมาวิเคราะห์เหตุผลในทางธรรม แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม ( วิปัสสนากรรมฐาน ) เมื่อเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้แล้ว ปัญหาความไม่เข้าใจในเรื่องของไตรลักษณ์ ย่อมหมดไปได้เองเป็นอัตโนมัติ

   สุดท้าย การมีศรัทธาในปัญญาของผู้ตอบปัญหา แล้วประสงค์จะพบตัวจริงและกราบสักครั้ง เลิกคิดได้แล้ว ( ขยะ ) ผู้เห็นถูกตามธรรมศรัทธาในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ของพระพุทธโคดม จึงปฏิบัติตนให้ถูกตรงตามธรรมวินัย นั่นจึงจะถือได้ว่า บูชาผู้มีพระคุณอย่างแท้จริง
  

1591.
เรียนท่านอาจารย์ที่เคารพครับ
 
เรื่องการนั่งสมาธิครับ
   ผมเป็นนักเรียนปริญญาเอกอยู่ที่สหรัฐอเมริกาครับ ผมได้มีโอกาสฟังธรรมะของท่านอ.บ่อยๆผ่านทาง website ครับ ผมได้ฝึกสมาธิเป็นประจำครับแต่ยังไม่มีความรู้ทางด้านนี้มากครับ หลังจากเรียนจบแล้วผมต้องกลับไปเป็นอาจารย์ที่ รรในายร้อยพระจุลจอมเกล้า ครับ ผมคิดว่าจะเป็นสิ่งที่ดีมากหากผมได้ปฎิบัติธรรมและได้ทีโอกาสไปสอนแก่นักเรียนนายร้อย ประกอบคู่ไปกลับการสอนเรื่องในวิชาการครับและถ้าหากเค้าเป็นคนดีขึ้นมาและไปทำงานเพื่อประเทศชาติต่อก็คงจะดีครับ แต่การจะสอนคนอื่นได้นั้นผมคิดว่าผมต้องปฎิบัติให้ถึง และเป็นแบบอย่างให้ได้ก่อนครับ ผมยังมีเวลาที่เรียนที่นี่อีกหลายปีครับ
ผมมีปัญหาเรื่องการปฎิบัติอยากจะเรียนถามอาจารย์ครับ
 
    1. เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าจริตในการภาวนาแบบไหนจะตรงกับเรามากที่สุดครับ
    2. เวลาผมนั่งสมาธิแล้วผมจะเห็นสีแดงวูบวาบ บ่อยมากครับ บางครั้งก็เหมือนกับทุกอย่างมันดับไปเลยครับ ผมไม่แน่ใจว่าผมกำลังเดินผิดทางหรือเปล่าครับ
    3. ในตอนนี้ ผมยังไม่มีโอกาสได้พบครูบาอาจรารย์เหมือนกับที่อาจารย์ได้พบกับท่านเจ้าคุณโชดก เลยครับ ได้แต่ฟังธรรมะจากอินเตอร์เนตและก็ปฎิบัติตามครับ ท่าน อ. มีอะไรจะแนะนำนักเรียนที่ต้องมาเรียนไกลบ้าน และไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พบครูบาอาจารย์บ้างไหมครับ
 
ขอขอบพระคุณอาจารย์มากนะครับ และอนุโมธนาในการให้ธรรมะเป็นทานในครั้งนี้ด้วยครับ
 
ผู้มาใหม่ครับ

คำตอบ
    ผู้ใดมีศรัทธาในคุณธรรมเกิดขึ้นกับดวงจิตแล้ว หากนำตัวเองเข้าพิสูจน์สัจธรรมในพุทธศาสนา จนเข้าถึงธรรมได้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีจิตเข้าถึงปัญญาสูงสุดที่สามารถ รู้ เห็น เข้าใจ เหตุผลถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์ตรงในทางนี้ จึงได้เขียนบอกเล่าไว้ในทางสายเอก ลองหาอ่านดู

   ( ๑ ). ผู้ถามปัญหาประสงค์จะรู้ว่า จริตแบบไหน เหมาะกับกรรมฐานบทใด โปรดเข้าไปดูคำตอบภาคภาษาอังกฤษที่ Lim Yew Lee เคยถามไว้ และตอบไปแล้วเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2554

   ( ๒ ). การนั่งสมาธิแล้วเห็นสีแดงวูบวาม เป็นการปฏิบัติธรรมที่ดำเนินมาเกือบถูกทางแล้ว ต้องกำจัดสีแดงวูบวาบให้หมดไป ด้วยการกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าสีแดงวูบวาบหมดไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมที่ใช้อยู่ การทำเช่นนี้มีผลทำให้จิตมีกำลังของสมาธิเพิ่มขึ้น คนที่พัฒนาปัญญาทางโลก ( สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา ) มาสูง หากทำตัวเป็นคนโง่ ( น้ำชาไม่ล้นถ้วย ) แล้วปฏิบัติตามคำชี้แนะ จากผู้มีประสบการณ์ตรงในทางธรรม มรรคผลแห่งธรรมที่ปฏิบัติย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

   ( ๓ ). ปฏิบัติตามที่ผู้ตอบปัญหา เขียนบอกไว้ในหนังสือทางสายเอกให้ได้เมื่อใดแล้ว สิ่งดีงามในชีวิตนี้และชีวิตหน้าเลือกได้ … . จะพิสูจน์ไหม ท่านด๊อกเตอร์
   

1590.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร

ต้องขอโทษที่ส่งคำถามไรสาระไปที่อาจารย์มากน่ะครับ

 1. ผมไม่คอยเขาใจในตอบของ คำถามที่ 1587 ครับ
     1.1 คำว่า " มหาทาน " หมายความว่าอย่างไร และ ทำได้อย่างไรบ้าง

     1.2 อย่างนี้เรียกว่าทำ " มหาทาน " หรือเปล่าครับ ถ้ากระผมทำทานหรือทำบุญ ทุกวันด้วยเงิน 1 บาท หรือ อาจเป็นสิ่งของเล็กน้อย   อาจจะเป็นแค่การให้น้ำใจ แต่ให้ตลอดจัดว่าเป็นมหาทานใหม่ครับ มากกว่านั้น และทำทุกวันจะเป็นมหาทานได้หรือไหมครับ

     1.3 การไปเป็น อาสาสมัครจัดว่าเป็นมหาทานได้ไหมครับ

     1.4 กระผมเองก็เป็นคนที่ โง่ คนหนึ่งครับ ในการเรียน พ่อแม่มักจะพูดเสมอว่า ชีวิตไม่แน่ไม่นอน ถ้าไม่มีพ่อแม่พวกผมจะลำบาก   ท่านมักจะเตือนผมอยู่เสมอ ซึ่งกระผมก็คิดว่าดี เพราะเป็น มรณะสติ

  แต่การเรียนของผมนี้สิครับแย่มาก ตอนนี้ ผมอยู่ พิบูล ไทยสังคม   ม. 4 จะขึ้น ม. 5 ซึ่งตอนนี้อยู่ ม. 4 อาจารย์สั่งงานมาไม่มากแต่ผมก็ยังทำไม่เสร็จ และคิดว่าต้องทำให้เสร็จได้แน่ครับ

     อาจารย์ครับ ชีวิตในโรงเรียนมัธยมปลาย เขาสอนให้เด็กเขา มหาวิทยาลัย โรงเรียนตั้งเป้าไว้ว่า ต้องการให้เด็กพูดได้ 3 ภาษา ไทย จีน อังกฤษครับ เมื่อจบมา แต่ตอนนี้ผมอยู่ ม. 4 เทอม 2 เกือบขึ้นม. 5 มีงานที่ยังทำไม่เสร็จแต่คิดว่าต้องทำให้เสร็จแน่ (เพราะไม่เสร็จก็ติด ศูนย์ ติด รอ และอาจจะซ้ำชั้น หรือถูกไล่ออก)   ซึ่งเรื่องงานในตอน ม. 4 นี้ ผมคิดว่าผมรับมือได้ แต่ ถ้า ม. 5 มีงานมากมายมากกว่านี้ และการเรียนผมยังไม่ดีไปกว่าตอน ม. ต้น ผมควรทำอย่างไรดี

     1.5 ตอน ม. 4 เทอม 1 ผมได้ไปลงเรียน มหาลัยรามคณะนิติ ตั้งใจจะทำให้จบตอนม. 6 ให้ได้ แต่ว่า ผมไม้ได้ไปสอบ ต้อง ไปลงหน่วยกิตใหม่ เดือน มีนาคม อาจารย์ครับ ที่ผมไปลงราม คณะนิติศาสตร์ เพราะกระผม หวังว่าจะให้จบตอนม. 6 ให้ได้ แต่ว่า อีกใจก็อย่ากจะ เอนต์ให้ติด ถ้าผมทำสองอย่างนี้ได้ดี แต่ว่า ดูแล้วเหมือนการจับปลาสองมือ ผมคิดว่า ต้อง เอนต์เขา คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และ ตั้งใจเรียน นิติศาสตร์ รามและโรงเรียนพิบูล ให้ดีที่สุดดีกว่า เพราะอาจารย์ สอนให้ทำงานด้วยวิธีอันเลิศ ผมจะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด แต่ดูเกรดและหัวตัวเองแล้ว มันคงยากกกกกกกกกกกกมากครับ แต่ถึงยังไงผมก็จะพยายามครับ

   จึง มาขอคำแนะนำจากอาจารย์ ในการเรียน

     1.6 เคยฟังบรรยายจากอาจารย์ เกี่ยวกับการเรียน และ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือคุณหนูดี จึงอยากจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อการเรียนของผม
      อาจารย์ครับ ในทราบไหมครับว่าในจังหวัด ลพบุรี ผมไปปฎิบัติธรรมที่ไหนดี จะได้มีเกรดดี เรียนจบ เอนต์ติดกับเขาบ้าง

ขอบพระคุณอาจารย์มากๆครับ

คำตอบ
     ( ๑ ). คำว่า “มหาทาน” หมายถึง ให้ทานกับคนหมู่มาก อาทิ อดีตของพระนันทะ พระเชษฐาของเจ้าหญิงนันทา ได้เคยถวายมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้าและสาวก ติดต่อกันยาวนานเจ็ดวัน วันสุดท้ายได้ถวายม้าแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวก แล้วจึงตั้งอธิษฐาน อดีตของพระมหาปชาบดี ( พระน้านางของเจ้าชายสิทธัตถุ ) ได้เคยถวายมหาทานแด่พระปทุมุตตรพุทธเจ้าและพระสาวกนานเจ็ดวัน แล้วตั้งจิตปรารถนาตามที่ตนต้องการ ฯลฯ ( เน้นถวายทานแก่ผู้ทรงคุณธรรมจำนวนมากและยาวนาน )

   ( ๒ ). เงินหนึ่งบาท ไม่สามารถให้กับคนหมู่มากได้ จึงไม่เรียกว่าเป็นมหาทาน

   ( ๓ ). เป็นอาสาสมัครดับไฟป่าไม่เรียกว่ามหาทาน เป็นอาสาสมัครปรุงอาหารเลี้ยงคนหมู่มาก ติดต่อกันยาวนาน ( เจ็ดครั้ง ) เรียกว่ามหาทานได้

   ( ๔ ). การคิดว่าตนเองเป็นคนโง่ เท่ากับเป็นการสร้างโปรแกรมโง่ไว้ในดวงจิต เมื่อใดมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม ตัวเองต้องเสวยอกุศลวิบาก ( โง่ ) แน่นอน ผู้รู้เช่น พระโพธิสัตว์ นิยมอธิษฐานว่า “คำว่าไม่มี ไม่ดี ไม่ได้ ไม่สบาย จงอย่าได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า” อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นการสร้างโปรแกรมโง่ ตรงกันข้าม เรียกว่า เป็นการสร้างโปรแกรมฉลาดไว้ในดวงจิต

ดังนั้น ผู้ถามปัญหาต้องเลือกสร้างโปรแกรมจิตตามที่ตนชอบ ( ชอบโง่หรือชอบฉลาด ) และผู้ใดปรารถนาความสำเร็จในกิจทั้งปวง ผู้นั้นต้องใช้อิทธิบาท ๔ มาเป็นเครื่องสนับสนุน คือ เรียนด้วยใจรัก ( ฉันทะ ) เรียนด้วยความพากเพียร ( วิริยะ ) เรียนด้วยใจจดจ่อ ( จิตตะ ) ใช้ปัญญาไต่สวนในวิชาที่เรียน ( วิมังสา )

   ( ๕ ). ตั้งใจแล้วไม่ได้ทำให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ เรียกว่าไม่มีสัจจะ คนไม่มีสัจจะ ย่อมพบกับอุปสรรคและปัญหาในชีวิต

การตั้งความปรารถนาเพียงหนึ่งอย่างแล้วทำเหตุให้ตรง ย่อมสำเร็จได้ง่ายกว่าตั้งปรารถนาหลายอย่าง แล้วทำเหตุแต่ละอย่างให้ถูกตรง เกรดต่ำทำให้สูงได้ด้วยการเพิ่มศักยภาพของสมองที่ใช้ในการศึกษาเล่าเรียน แต่ตัวที่ทำให้การเรียนล้มเหลว คือการตั้งโปรแกรมโง่ ที่คิดว่า “มันคงยาก” เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัว ยากแน่นอน

   ( ๖ ). การพัฒนาศักยภาพในทางปัญญา มิได้เนื่องมาจากการอ่านเพียงอย่างเดียว ยังเนื่องด้วยการทำจิตให้เป็นสมาธิ แล้วคลื่นสมองจะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นระเบียบโดยอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลให้ความจำเพิ่ม ศักยภาพในการทำงานของสมองเพิ่ม

   ต้องขออภัยที่ไม่ทราบสถานปฏิบัติธรรมในจังหวัดลพบุรี แต่ทราบว่าที่สิงหบุรีมีวัดอัมพวัน ที่อยุธยามีวัดมเหยงคณ์ เป็นสถานปฏิบัติธรรมที่ดี ควรนำตัวเข้าปฏิบัติและนำมาทำต่อที่บ้านอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ผลดีในการศึกษาเล่าเรียน ย่อมเกิดได้
   

1589.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพอย่างสูงค่ะ

     หนูเคยได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ในการตอบคำถามชีวิตบ้างแล้วค่ะ ขอกราบขอบพระคุณค่ะ ขอให้ท่านอาจารย์ มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้กับมวลชนต่อไปตราบนานเท่านานนะคะ

     หนูอยากจะกราบเรียนถามว่า
     1. วิธีขจัดอารมณ์ ที่ไม่ดี ออกไปให้หมด ทำได้อย่างไรคะ

     2. เวลาอยู่ในห้องกรรมฐาน รู้สึกได้ถึงความสงบ เย็น ด้วยมีกำลังใจจากพระอาจารย์ ที่สอนให้ปฏิบัติธรรม แต่เวลาที่อยู่ ในบ้าน หรือที่ทำงาน อารมณ์ เกิดขึ้นเร็วมาก บางครั้งตั้งรับไม่ทัน มารู้ตัว ต่อเมื่อผ่านไปแล้ว ไม่ดีเลย ทำอย่างไรให้ตั้งสติรับให้ทัน กับสิ่งที่มากระทบคะ อยากให้เป็นความรู้สึกที่โล่ง โปร่งสบายตลอดค่ะ

     3. มีวิธี่ใดที่ทำให้ลูกซึ่งกำลังจะเข้าสู่วัยรุ่น เชื่อฟังและทำตามเราได้โดยที่ไม่ต้องฝืนใจกันคะ เวลาที่ลูกไม่ทำตาม หนูจะนึกถึงตอนที่หนูเป็นเด็ก บางครั้งก็ดื้อกับแม่เหมือนกันค่ะ หนูพยายามสอนให้ลูกกราบหนูก่อนนอน และอวยพรลูกให้มีจิตเป็นสัมมาทิฐิ และเล่าเรื่องสมัยพุทธกาลให้ลูกฟังค่ะ

              กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ เป็นอย่างสูงค่ะ หนูและครอบครัว ขออนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศล ในงานเผยแพร่ธรรม ของท่านอาจารย์นะคะ สาธุค่ะ
                                            จาก สวนโมทนาธรรม จ. ตรัง   ค่ะ

คำตอบ
      ( ๑ ). เมื่อใดที่จิตรับสิ่งกระทบไม่ดี รับสิ่งกระทบที่เป็นเหตุขัดใจ จะทำให้เกิดเป็นอารมณ์ไม่ดี ซึ่งมีวิธีแก้ปัญหานี้ให้หมดไป ด้วยการให้อภัยเป็นทานในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ แล้วเมตตาย่อมเกิดขึ้นและสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในจิตใจ อารมณ์ไม่ดีจะไม่เกิดขึ้นกับผู้มีเมตตา ส่วนอารมณ์ไม่ดีที่จิตเก็บบันทึกไว้ก่อนแล้ว ต้องกำจัดให้หมดไปด้วยการพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นแล้ว ใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปพิจารณาอารมณ์ไม่ดีที่ฝังอยู่ในจิต ว่าดำเนินไปตามกฏไตรลักษณ์ เมื่อใดอารมณ์ไม่ดีเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตย่อมเห็นแจ้งว่า อารมณ์ไม่ดีไม่ใช่ตัวตน จิตย่อมปล่อยวางและว่างเป็นอิสระ ผู้ใดปฏิบัติได้เช่นนี้ ( สนฺทิฏฐิโก ) ปัญหาอารมณ์ไม่ดีจึงจะหมดไป

   ( ๒ ). ผู้ใดปรารถนาไม่ให้อารมณ์เกิดขึ้น ผู้นั้นต้องเจริญสมถภาวนา จนจิตมีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้ว ย่อมเห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิตดับไป ( อนัตตา ) ตามกฏไตรลักษณ์ อารมณ์ใดๆย่อมไม่เกิดขึ้นได้

   ( ๓ ). เหตุเคยทำกรรมไม่ดีกับพ่อแม่มาก่อน ผลไม่ดีจึงเกิดขึ้นกับตัวเอง ด้วยการที่ลูกทำไม่ดีตอบแทน ทั้งนี้เป็นไปตามกฏแห่งกรรมนั่นเอง ฉะนั้นผู้รู้จึงยอมรับความจริง และยอมชดใช้หนี้เวรกรรมไปจนกว่าจะหมดสิ้น

   อนึ่ง ผู้ใดปรารถนาให้ลูกศรัทธา แล้วมากราบแม่ก่อนนอน ผู้นั้นต้องพัฒนาตัวเอง ให้มีพฤติกรรมถูกตรงตามธรรมให้ได้ทุกขณะตื่นแล้ว ผู้อยู่ใกล้ย่อมสัมผัสกับความดีงามนั้นได้ ความศรัทธา ( กราบแม่ก่อนนอน ) จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
   

1588.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์สนอง วรอุไร
 
     อาจจะไม่เกี่ยวโดยตรงกับการปฏิบัติธรรม แต่เป็นการเจ็บป่วยทางกายที่ทรมานกายมากอยู่ค่ะ   หนูเจ็บป่วยที่ขามีอาการปวดหนัก ๆ อยู่ตลอดเวลา อยู่ดี ๆ ก็เจ็บจี๊ด ๆ กระตุกแรง ๆ เจ็บมากค่ะ พอตกกลางคืนอาการก็จะยิ่งหนักค่ะ (ทางกาย)
ก่อนหน้านี้เป็นจนไม่สามารถเดินได้ต้องนอนอยู่กับที่เป็นเดือน ๆ เลยค่ะ   หาหมอรักษาที่ รพ.มอ. ทานยารักษาอาการชนิดรุนแรงถึงเฉียบพลัน ก็ไม่หายค่ะ แต่ก็ช่วยได้ เนื่องจากเจ็บมากจริง ๆ หลังจากทานยาประมาณ ครึ่งชั่วโมงจนถึงประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง จากนั้นก็เหมือนเดิม จึงได้เข้าไปพึ่งทางไสยศาสตร์

   ท่านบอกว่าที่บ้านสวน (เป็นขนำในสวน) ได้ปลูกสร้างอยู่บนจอมปลวกที่ดูแลสถานที่บริเวณนั้น ๆ ให้ไปขอขมา และทำสังฆทาน 7 วัน 7 วัด อุทิศให้ท่านศักดิ์สิทธิ์ที่จอมปลวก นั้น และรื้อสิ่งปลูกสร้างนั้น หนูขอขมา และกลับมาบ้านตอนคืนนั้นเหมือนเส้นวิ่งทั้งตัวเลยค่ะ เส้นพลิกจากตรงนั้นไปตรงนี้เห็น ๆ เลยค่ะ เจ็บจนหายใจไม่ค่อยจะออก คิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว เป็นอย่างนั้นทั้งคืนไม่ต้องนอน ตอนเช้าก็ไม่สามารถกระดิกตัวได้อีกเลย กระดิกตัวจะเจ็บมาก ต้องนอนหงาย ถ่ายบนเตียงอยู่อย่างนั้น 3 - 4 วัน หายเลยค่ะ ปวดเพียงเล็กน้อย ก็ไปทำบุญ 7 วัน 7 วัด อุทิศส่วนกุศล และรอรื้อสิ่งปลูกสร้าง พอรื้อขนำก็นำเศษวัสดุต่าง ๆ ไปทิ้งที่ทางสาธารณะ ที่บริจาคให้เป็นถนน แต่เป็นที่รกร้างอยู่เขายังไม่ได้ใช้ประโยชน์ กลับมาบ้านก็เจ็บลักษณะเดิม แต่ไม่รุนแรงเท่า หลังจากที่หายไปแล้ว ก็ไปปรึกษาเกจิท่านเดิมอีกท่านก็บอกว่าไปทับเขาซิ ต้องจุดธูปบอกว่าของเหล่านี้ ยกให้เป็นสาธารณะประโยชน์ ก็ทำค่ะ อาการก็ดีขึ้น 4-5 วัน เหมือนจะหาย แต่ก็กลับมาเป็นอีกล่ะ และอีกอย่างหนึ่งเวลาจะออกจากบ้านไปไหน จะมีอาการปวดหัวมาก ๆ ค่ะ เหมือนไม่อยากให้เราไป เคยมีเพื่อนรุ่นพี่เขาบอกว่า อย่าไปยุ่งกับไสยศาสน์พวกนี้มาก เขาจะมายุ่งกับเรานะ ก็ไม่ได้ว่าอะไร และตอนนี้เมื่อไหร่ไปบ้านใครมีบ้านของเจ้าที่ (หมายถึงศาลพระภูมิหรือบ้านแบบจีนของเจ้าที่น่ะค่ะ) แต่ไม่ใช่ทุกบ้านนะคะ   หนูยังไม่ได้ทักเขาหมายถึงยกมือไหว้ทักทาย หรือทักทายในใจ แต่เราลืมทักทายน่ะค่ะ ก็จะหนักหัวตึ๊บเลยค่ะ ก็ฉุกคิดขึ้นมาจึงทักทาย อาการปวดหัวก็หายไป เป็นไม่กี่ครั้งแต่พอจะสังเกตุได้ค่ะ บวกกับอาการเจ็บปวดที่ขาที่ยังคงมีอยู่ ทำให้คิดว่าเขา (เขาหมายถึงสิ่งศักดิ์ที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ) กำลังมีอิทธิพลเหนือกายเรา แต่ใจไม่นะคะ ปกติ เจ็บก็เจ็บไป แต่พอเอาใจไปข้องแวะ ก็เจ็บน่าดูชมอยู่ค่ะ แต่เจ็บก็เจ็บไปจะกระตุกจะเต้นจะจี๊ด ใจหนูก็เฉย ๆ ค่ะ บางครั้งก็ยังหันไปมองดูทั้งทางตา และใจเลยค่ะ   ปกติก็ใส่บาตร รักษาศีล 5 ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิอยู่เป็นประจำ แต่หลังน้ำท่วมก็ยุ่ง ๆ ทั้งวัน และเหนือยเพลีย ตกค่ำก็หลับ ปฏิบัติบูชา ไม่สม่ำเสมอ มาประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ

    ข้อสงสัยของหนูก็คือ เขา(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวข้างต้นและอื่น ๆ เหล่านั้น) เขาสามารถมีอิทธิพลเหนือกายเราได้อย่างไร   และเราจะทำยังไงไม่ให้เขามีอิทธิพลเหนือยกายเรา ด้วยวิธีทำให้เราเจ็บปวด โดยปกติเวลาไปที่ไหนสิ่งที่จะสัมผัสได้ก็คือขนลุกขนพอง แล้วแต่บริเวณ ก็จะรู้ไปเองว่าที่นี่มีสิ่งใด ๆ สักอย่างเขากำลังทักทายเราประมาณนี้น่ะค่ะดี หรือไม่ดี แต่ส่วนใหญ่ 99.99 % คิดเองนะคะว่าดีไม่มีใครบอกค่ะ ที่ไม่ดีก็รู้ได้ว่าไม่ค่อยดี รู้ได้ก่อนน่ะค่ะไม่มีใครบอกเหมือนกัน หนูก็จะไม่เข้าไปหรือจำเป็นต้องเข้าไปก็จะไม่อยู่นาน การสัมผัสไม่มีขนลุกขนพอง แต่จะประมาณว่าอึดอัดบอกไม่ถูก เหมือนมีสายตาจับจ้อง

   รบกวนอาจารย์เมตตาตอบข้อสงสัยของหนูด้วยค่ะ และต้องขออภัยหากข้อความมันยาวไปหน่อย หนูตรองอยู่นานไม่แน่ใจที่จะสอบถามกับใคร ๆ ทั่ว ๆ ไปค่ะ
 
ขอบพระคุณในความเมตตาค่ะ
ปัญจนี

คำตอบ
     คำว่า “ ศักดิ์สิทธิ์ ” หมายถึง สิ่งที่มีอำนาจหรือมีกำลัง เช่น เด็กมีการร้องไห้เป็นกำลัง โจรมีอาวุธเป็นกำลัง พระราชามีอิสริยะเป็นกำลัง สมณะมีศีลเป็นกำลัง ฯลฯ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่มีอำนาจเหนือใจของพระอริยบุคคล ทั้งนี้เพราะพระอริยบุคคลมีสติระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต และมีปัญญาเห็นแจ้ง เห็นสิ่งกระทบดับไป (อนัตตา) สิ่งกระทบจึงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จิตย่อมปล่อยวางและว่างเป็นอิสระ กำลังหรือความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว จึงไม่เข้ามามีอำนาจเหนือใจทางพระอริยบุคคลได้

    ดังนั้น หากผู้ถามประสงค์ให้ปัญหาดังกล่าวหมดไป ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตตนเอง (สมถภาวนา) ให้มีสติระลึกทันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ากระทบจิตและพัฒนาจิตตนเอง (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใดแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆไม่สามารถเข้ามามีอำนาจเหนือใจของผู้ถามปัญหาได้ เมื่อใดไม่รับเอาอำนาจอื่นใด (กิเลส) มาทำใจให้ขุ่นมัว ดิน น้ำ ไฟ ลม ของร่างกายก็จะอยู่ในสภาวะสมดุล การเจ็บป่วยย่อมไม่เกิดขึ้น .... พิสูจน์ไหมครับ
   

1587.
เรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพ ดร สนอง วรอุไร

ได้ติดตามการตอบคำถามอาจารย์ แต่ก็ยังมีคำถามต่อเนื่อง เพราะอยากทราบ อยากศึกษา ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

  1. มีคนถามปัญหาท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่อง สิ่งที่เราต้องการ มีผลให้เกิดขึ้น สำเร็จ มีประโยคหนึ่ง ที่ขอให้อาจารย์ท่านขยายความด้วย ทำนองว่า อาจารย์ แนะนำว่า ปฎิบัติธรรม ภาวนา และ อธิษฐาน พร้อมกับ " ต้องทำให้มีเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อม " ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้ ทีนี้ผมก็มองตาม ปัญญา แบบทางโลก ที่พอมีอยู่บ้าง ( ปัญญาตัวที่สามผมไม่มี) ตัวอย่าง เช่น อธิษฐานขอเรียนดี สอบได้สอบผ่าน ผมก็ต้องทำปัจจัยเหตุให้ถึงคือ  อ่าน  อ่าน หนังสือ ตรึกคิด พิจารณา ฝึกฝน ใช้ความเพียร แต่ผมก็อาจมีเหตุข้อจำกัด คือ สติ ปัญญา ความรอบคอบ ของ สมอง IQ - ของผม มันอาจไม่ถึง ทำให้สอบอาจไม่ผ่านมันก็เป็นไปได้เช่นกัน หรือ ต้องรอผลให้เกิด ใน อนาคต... ชาติต่อไป ๆ หรือเปล่าครับ และ ปัจจัยเหตุให้ถึงพร้อม ยังหมายความรวมถึงสิ่งอื่่นในกรณีนี้ มีอีกไหมครับ ผลพลอยได้จากการปฎิบัติธรรม สมาธิ และ ภาวนา จะช่วยสร้างเพิ่มประสิทธิภาพของสมอง ความจำ ความคิด และ ความรู้ ความรอบคอบ เป็นไปได้จริงมาก boost ขึ้น มีทางเป็นไปได้สูงเพียงใดครับ  

 2. ในชีวิตจริง วันก่อน ฟังเทปอาจารย์ เกี่ยวกับการมีครอบครัวที่มั่นคง สองฝ่ายต้องมองสิ่งไม่ดีของแต่ละฝ่ายก่อน แล้วถามว่าเราทนเขาได้ หรือไม่ มิใช่แต่ จะดูแต่สิ่งที่ดีของแต่ละฝ่าย ต้องมีประชาธิปไตย ฟังเสียงส่วนใหญ่ในครอบครัว ไม่เอาอัตตาตนเป็นใหญ่ ให้เกียรติอีกฝ่ายของขวัญดีที่สุดให้คู่เรา คือ ความดี มนุษย์เวลาจับคู่ จีบกัน  มักจะซ่อนเร้นในส่วนที่ไม่ดีของตนไว้  เวลานี้ชีวิตคู่ของคนส่วนใหญ่ปัจจุบันมีปัญหากันมากเหมือนกัน

อยากเรียนถามอาจารย์ว่า  
   คนเราเวลามาใช้ชีวิตคู่กันนั้น เป็นเพราะ กรรมปัจจุบัน ( จีบกัน) เป็นหลัก หรือกรรมในอดีตที่ทำให้ต้องมาอยู่ร่วมกัน

       ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ    

คำตอบ                     
    (๑). ความสำเร็จในสิ่งปรารถนา ต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรงถึงพร้อมสามอย่าง
     ๑ . สร้างมหาทาน
     ๒ . อธิษฐาน ให้เข้าถึงความปรารถนาที่ตนตั้งไว้
     ๓ . ทำเหตุให้ตรง

   ผู้ถามปัญหาปรารถนา เป็นคนเรียนดี สอบได้ สอบผ่าน ต้องทำเหตุทั้งสามข้างต้นให้ถึงพร้อม คือ สร้างมหาทาน อธิษฐาน และทำเหตุให้ตรง ตามที่บอกเล่าไป มิใช่เป็นการทำเหตุให้ตรง ตามความรู้ของผู้เข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรม ( ภาวนามยปัญญา ) ซึ่งเป็นปัญญาสูงสุด ผู้เข้าถึงปัญญาสูงสุด รู้เห็นเข้าใจว่า จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมส่งผลให้ความถึ่ของคลื่นสมอง มีความเป็นระเบียบ แล้วความจำย่อมเพิ่มขึ้นเป็นอัตโนมัติ การเรียนดี สอบได้ สอบผ่าน จึงจะเกิดขึ้นได้

   (๒). การสัมผัสกับสิ่งไม่ดีของคนอื่น มิใช่เพื่ออดทนเท่านั้น แต่ต้องมองพฤติกรรมไม่ดีของคนอื่น เป็นครูสอนใจตนเองว่า เราอย่างประพฤติไม่ดีเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเช่นเขา การมองเช่นนี้ คนประพฤติไม่ดีย่อมมีอุปการคุณ คือเป็นครูที่ไม่ดีสอนใจผู้มองนั่นเอง

   การใช้ประชาธิปไตยในครอบครัวมาตัดสินปัญหา ต้องใช้ประชาธิปไตยที่มีธรรมะเป็นฐานสนับสนุน แล้วความสงบสุขในสังคมครองครัวจึงจะเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าชี้ทางให้เลือกผู้มีศีลเป็นหัวหน้าครอบครัว ความสงบสุขจึงจะเกิดขึ้นกับครอบครัวได้ ผู้รู้ผู้ฉลาดไม่เอาสิ่งเศร้าหมอง ( กิเลส ) ของคนอื่นมาเป็นของตัว และพระพุทธะยังตรัสว่า การจะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ต้องอยู่ใกล้และดูกันนานๆ แล้วความจริงจะปรากฏ
   

1586.
ดิฉันมีความทุกข์ ในเรื่องธรรมะ ที่เห็นต่างจากสามีค่ะ

สามีดิฉัน มีความเห็นถูกหรือผิดอย่างไร ในคำตอบด้านล่างค่ะ ซึ่งสามีเคารพท่านอาจารย์อยู่เป็นอย่างมาก คือ :-

1)  บทสวด ธรรมคุณ “ สวาขาโต ”  พระธรรม พระพุทธเจ้ามีไว้เพื่อสอนพระเท่านั้น จริงหรือไม่ค่ะ  ?  

2)  พุทธวัจนะแปลว่าอะไร  ? ตามความเห็นดิฉัน คือคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่สามี แปลว่า ทำเป็นประจำของผู้รู้ผู้ตื่นฯ หรือปล่าวไม่รู้ ? แต่สำหรับคนที่อยากเป็นมนุษย์แค่กิจวัตประจำวันก็คงพอแล้ว รักษาศีล 5 อยู่ร่วมครอบครัวสังคม มีการปฎิบัติกรรมฐานบ้าง เพื่อกันกิเลสเข้าทาง๖ช่องทาง ด้วยความเข้าใจในขันธ์ 5 ก็พอแล้ว.

3)    บทสวด “ สุปะฎิปันโน ”    เป็นคาถาสรรเสริญเฉพาะพระสงฆ์ จริงหรือไม่ค่ะ ? ถ้าอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ และปฏิบัติสมควร ถือว่ารวมเป็นบุคคลที่อยู่ในบทสวดสรรเสริญ สุปะฎิปันโน หรือไม่ค่ะ ?

4)  มีความรู้ทางธรรม ดีแล้วแต่ส่วนใหญ่มีไว้สอนพระสงฆ์ทั้งสิ้น..อ่านเพื่อความเข้าใจเท่านั้น เอามาปฎิบัติยาก...ข้อควรปฎิบัติจริงก็ที่พระสงฆ์เอามาเทศน์และอ้างถึงพระธรรมนั่นแหละ ?   จริงแท้อย่างไร รบกวนอาจารย์ชี้ทางสว่างให้ด้วยค่ะ ?

5)  พยายามอย่าอ้างถึงพระพุทธเจ้ามาก หาคนอ้างถึงหรือยกตัวอย่างใกล้ๆตัวหน่อยนะ จะดีขึ้นมาก เอาแค่พระก็หรูแล้ว ?   ความเห็นอย่างนี้ ถูกต้องหรือไม่ค่ะ ?

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้า มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

จากผู้มีทุกข์อย่างมาก … นุ้ย

คำตอบ
    (๑). ไม่จริงครับ บทสวดมนต์ดังกล่าวมีไว้พุทธบริษัทใช้สวดเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในคุณของพระธรรม

    (๒). คำว่า “พุทธวจนะ” เป็นสมมุติบัญญัติที่หมายถึง คำพูด หรือถ้อยคำ ที่พระพุทธวจนะจึง

มิใช่คำสอนหรือสั่งบัญญัติให้ทำเป็นประจำ พระพุทธเจ้าโคดมบัญญัติธรรมวินัย ( ธรรมและวินัย ) ให้พุทธบริษัทนำไปประพฤติ ผู้ใดประพฤติถูกตรงจนเกิดผลแห่งการปฎิบัติได้แล้ว ความสวัสดีของชีวิตย่อมเกิดขึ้นกับผู้นั้น

    (๓). จริงครับ สุปะฏิปันโนฯ เป็นบทสวดสรรเสริญคุณของพระสงฆ์ ( อริยสงฆ์ ) ได้แก่พระสงฆ์ที่มีสภาวะของจิตเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผลและอรหัตตมรรค อรหัตตผล เท่านั้น

    (๔). ความรู้ในพุทธศาสนาสามารถเข้าถึงได้สองทาง
       ๑ . เข้าถึงด้วยการอ่านตำรา คัมภีร์ หรือผู้รู้มาบอกเล่าให้ฟังและสามารถจดจำสิ่งที่บอกเล่านั้นได้ ความรู้เช่นนี้เป็นเพียงสัญญา
       ๒ . เข้าถึงได้ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม จนเกิดปัญญาสูงสุดขึ้นในดวงจิต ( ภาวนามยปัญญา ) ความรู้เช่นนี้เรียกว่า ปัญญา

   ในครั้งพุทธกาล มีอยู่คราวหนึ่งพระมหากัสสปะ ( ประธานปฐมสังคายนาพุทธศาสนา ) ได้กล่าวเตือนภิกษุที่เรียนรู้ธรรมวินัยจากการอ่าน ( ปริยัติ ) แต่ไม่สนใจในการปฏิบัติรรม ในทำนองที่ว่า “เพียงแค่ท่องบ่นพุทธวจนะได้ ย่อมทำให้รู้ไม่จริง มองไม่เห็นตัวเอง จึงสำคัญผิดคิดว่า ตัวเองประเสริฐกว่าผู้อื่น”

   ด้วยเหตุนี้ฆราวาสสามารถศึกษาธรรมวินัย ด้วยการอ่านเพียงอย่างเดียว ก็สามารถจำสิ่งที่อ่านนั้นได้ เช่น อ่านเรื่องศีล ๕ รู้ว่าศีล ๕ ระบุให้เว้นประพฤติห้าอย่าง แต่ตัวเองยังดื่มสุราเมรัย ยังไปหยิบฉวยเอาของผู้อื่นที่ยังมิได้อนุญาต ยังตบยุง ฯลฯ อย่างนี้เรียกว่า รู้ศีล ๕ แต่ยังไม่มีศีล ๕ คุมใจ ตรงกันข้าม ผู้ที่รู้ศีล ๕ และเว้นประพฤติทั้งห้าอย่างนั้นได้ เรียกว่า รู้และมีศีล ๕ คุมใจ

   ดังนั้น การได้ยินผู้อื่นพูด พึงอย่าปลงใจเชื่อ แล้วพัฒนาตนเองให้เข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรม และอยู่ใกล้ชิดกับคนพูดนานๆ จึงจะรู้ว่า ผู้พูด รู้และมีธรรมวินัยนั้น ริงหรือไม่

    (๕). เหตุที่มีการกล่าวอ้างถึงพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยๆ เพราะพฤติกรรมของพระพุทธเจ้า ได้ถูกพิสูจน์มายาวนานแล้ว จนเห็นว่า พระพุทธตรัสไว้อย่างไร พระองค์ประพฤติได้ถูกตรงอย่างที่ตรัส เช่นเดียวกันพุทธสาวกที่บรรลุอรหันตผลที่ดับรูปดับนามไปแล้ว เป็นผู้ประพฤติได้ถูกตรงตามธรรมวินัยที่ระบุไว้ในพุทธศาสนา ก็สามารถยกขึ้นมากล่าวอ้างได้ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว ฯลฯ

   ถามว่า : ความเห็นของผู้ถามปัญหา ถูกต้องหรือไม่

   ตอบว่า : ถูกของผู้ถาม แต่ไม่ถูกของผู้รู้ตามธรรม ที่มีความเคารพศรัทธา เลื่อมใน ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้า
  

1585.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

    เคยติดตามการตอบคำถามของอาจารย์   แล้วห่างหายไป เพราะยังมีงานทางโลกมาก   แต่ยังคงสวดมนต์ก่อนนอน

ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้
เดือนธค.ได้รู้จักพระสงฆ์รูปหนึ่งที่ต่างแดน   ท่านบวชประมาณ 20 พรรษา กำลังจะได้ทุนศึกษาต่อที่ต่างประเทศ  แต่ในทุนนั้นไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านที่พัก อาหาร   ท่านบอกว่าท่านไม่สามารถขอบุคคลอื่นที่ไม่ใช่พี่น้อง เพื่อนได้  เพียงแต่เล่าให้ฟัง   โดยท่านไม่มีปัจจัยเก็บสะสมไว้เลย   เท่าที่ได้สังเกตุ 20 วันที่ได้รู้จัก ท่านตั้งใจทำงานตามหน้าที่( วัดนี้พระทุกรูปจะมีหน้าที่ของตน) และได้สอบถามจากผู้อื่นที่ทำงานร่วมกับท่านมา 6 เดือน ก็บอกว่าท่านปฏิบัติกิจของสงฆ์ได้ดี   ก่อนกลับ จึงได้รับปากว่าจะช่วยเหลือปัจจัยด้านการเรียน   โดยแจ้งท่านว่าเป้าหมายเดียว ที่ต้องการในการสนับสนุนปัจจัยครี้งนี้   คือ การมีพระสงฆ์ที่ดีช่วยสืบสานพุทธศาสนาต่อไป และได้แนะนำท่านเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ   แต่เมื่อมาอ่านเรื่องวินัยสงฆ์   จึงเกิดความไม่มั่นใจว่า ที่ดิฉันทำนี้สามารถทำได้หรือไม่   และขอชื่อสถานที่ปฏิบัติธรรมใกล้ถนนรามอินทราด้วยค่ะ  

   ขอกราบขอบพระคุณค่ะ

       ผู้ด้อยปัญญา

คำตอบ
     ผู้ใดเปิดโอกาสให้ขอ ( ปวารณา ) ในสิ่งที่เหมาะสมกับการบริโภคใช้สอยของภิกษุ ภิกษุนั้นประพฤติได้โดยไม่ผิดวินัยสงฆ์ทั้งผู้ปวารณาและผู้ขอ

ส่วนชื่อสถานปฏิบัติธรรมใกล้ถนนรามอินทราแนะนำวัดทับทิบแดง อยู่หลังตลาดไท
  

1584.
เรียนถามคำถามท่านอาจารย์ จากผู้เศร้าหมองค่ะ

   ก่อนอื่นหนูขอกราบขอบคุณท่านอาจารย์ ที่เมตตาตอบปัญหาก่อนหน้าที่เคยถามไปก่อนหน้านี้ และได้ทำให้หนูหันมาสนใจธรรมมากขึ้น ขณะนี้หนูมีเรื่องไม่สบายใจอย่างมากเนื่องจากเมื่อ 3 วันก่อนครอบครัวหนูได้ขับรถไปต่างจังหวัดกัน ขณะที่ขับอยูในหมู่บ้านเล็กๆ ถนนสองเลนนั้น มีแม่สุนัขข้ามถนน และลูกสุนัขข้ามถนนตามแม่ของเขาแต่ยังอยู่บนถนน

   หนูคิดว่าสามีควรจะเบรคหยุดให้เขาเดินพ้นไปก่อน แต่สามีได้หักหลบเล็กน้อย ขณะนั้นเองลูกสุนัขเมื่อเห็นรถกลับวิ่งกลับไปทางเดิม ซึ่งทำให้ถูกล้อทับทันที แม่สุนัขวิ่งกลับมาหาลูกซึ่งขณะนั้นยังร้องหงิงๆ และเงียบเสียงไป แม่สุนัขได้เห่ากับรถมอเตอร์ไซด์ที่ผ่านมา คิดว่าเขาคงอยากให้ช่วยลูกเขา

   เราได้แต่หยุดรถและอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้ทำมาให้เขา แต่ไม่ได้ลงไปทำอะไรเลยเนื่องจากกลัวเขาจะกัด แล้วก็จากไปเมื่อเห็นว่าคงช่วยไม่ได้แน่ ซึ่งมันทำให้หนูรู้สึกแย่จนถึงวันนี้ และไม่สามารถสลัดภาพนั้นรวมถึงความรู้สึกขณะที่รถทับลูกสุนัขตัวนั้น หากย้อนกลับไปได้อยากจะเข้าไปเอาเขาไปหลบข้างทาง และไหว้ขมาทั้งลูกและแม่สุนัขนั้น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาแม้หนูและสามีก็เลี่ยงที่จะฆ่าสัตว์แม้กระทั่งมด พยายามปัดหรือเป่าให้พ้นทาง แต่นี่กลับไปฆ่าสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่าเสียอีก จึงขอรบกวนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

   ๑. ทำอย่างไรจึงจะสลัดความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ ทำอย่างที่ใจคิดนี้ออกไปได้คะ เสียใจทุกครั้งที่นึกถึง รู้สึกว่าตัวเองทำไมใจดำอย่างนี้ รู้ว่าสิ่งนื้ทำให้ใจเศร้าหมองแต่มันก็ยังคิดอยู่เรื่อยๆ

   ๒. การที่อุทิศบุญให้เขาในตอนนั้นและขอให้เขาอยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้น แต่เป็นขณะที่ตกใจอยู่นั้น ลูกสุนัขนั้นจะได้รับส่วนบุญของหนูไหมคะ แล้วหากหนูถวายสังฆทาน และอุทิศบุญให้เขาหลังจากเวลาผ่านไปแล้วหลายวันเขา หรือการสวดมนต์และนั่งสมาธิ แต่หากใจสงบบ้างไม่สงบบ้าง หรือการปล่อยโค เขาจะได้รับบุญนั้นพร้อมทั้งอโหสิกรรมให้หนูและสามีไหมคะ

    มีวิธีอื่นใดที่หนูควรจะทำเพื่อชดใช้ในสิ่งที่สามีได้ทำอีก เพื่อขอให้เขาอโหสิกรรมให้อีกไหมคะ

   ๓. ขณะนี้หนูเองไม่ได้คุมกำเนิดกลัวว่ากรรมที่สามีได้ขับรถทับเขา พรากชีวิตไปจากแม่ของเขา กลัวว่ากรรมนี้จะมีผลหากหากตั้งท้องขี้นมา จึงขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยชี้แนะว่าควรทำอย่างไรดีคะ

   ท้ายที่สุดนี้ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง สำหรับธรรมที่อาจารย์ได้มอบให้ผู้ไม่รู้ทั้งหลาย รวมถึงหนูให้ได้สนใจในธรรม และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย โปรดประทานพรให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อจะได้เป็นเผยแพร่พระพุทธศาสนาอีกยาวนานค่ะ

     ผู้เศร้าหมอง

คำตอบ
     ( ๑ ). ผู้ใดมีจิตระลึกถึงสิ่งไม่ดีผ่านไปแล้ว ผู้นั้นยังมีบาปตกค้างอยู่ในใจ บาปจะหมดไปได้ ต้องชดใช้ด้วยการอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดหนี้บาป ( ไม่ระลึกถึง ) ผู้รู้นิยมประพฤติบุญใหญ่ ( ปฏิบัติธรรม ) ให้เกิดขึ้น แล้วอุทิศบุญใช้หนี้เวรกรรม หนี้เวรกรรมย่อมหมดไปได้เร็ว

    ( ๒ ). จิตวิญญาณใดระลึกได้ในบุญกุศลที่มีผู้อุทิศให้ แล้วเขามาอนุโมทนาบุญ จิตวิญญาณนั้นย่อมได้รับบุญกุศลที่มีผู้อุทิศให้ การอุทิศบุญใหญ่ ( เจริญจิตภาวนา ) ให้เจ้ากรรมนายเวร ( ลูกสุนัข ) หากเขามาอนุโมทนาหนี้เวรกรรมย่อมหมดไปได้เร็ว ผู้รู้นิยมประพฤติเช่นนี้

    ( ๓ ). ผู้ที่ยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์และมิได้คุมกำเนิด คนโบราณสอนให้ป้องกันตนเอง จากจิตวิญญาณที่ไม่ดีมาเกิดเป็นลูก ด้วยการประพฤติศีล ๕ และนำอาหารไปใส่บาตรให้พระสงฆ์อยู่เสมอ ผู้มีทานและศีลคุมใจ จิตวิญญาณที่จุติจากสวรรค์เท่านั้น ที่จะมาเกิดเป็นลูกในท้องได้
  

1583.
เรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

   ดิฉันมีปัญหากับสามี คือดิฉันถือศีล 5 ไม่ทะลุไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อยมาเกือบ 3 ปีแล้วค่ะ ซึ่งช่วง2ปีก็จะอารธนาศีล 5 ก่อนลุกจากเตียงทุกวันและก่อนนอนว่ามีศีลใดบกพร่อง แต่หลังจาก 27 เมษา 2553 ก็เห็นปฏิจจสมุปบาท ว่าเป็นเพียงเหตุปัจจัยอิงอาศัยกันและกันเท่านั้นเอง ไม่มีตัวตน คนสัตว์บุคคลเราเขา หญิงชาย เป็นแต่เพียงธาตุขันธ์ เกิดจากเหตุปัจจัยล้วน....

   สามีดิฉันเปิดใจรับธรรมะก็เพราะหนังสือของท่านอาจารย์ เล่ม ทางสายเอก และได้รับการอบรมจากคุณแม่สิริ เมื่อปี 2551 แต่เขาก็ไม่ดีขึ้น เนื่องจากยังดื่มสุรา ติดสังสรรค์ เขาเลิกไม่ได้ เพราะสามีบอกว่า ยังมีสังคม (เขาเป็นทหารบกค่ะ)

   สมัยก่อนที่ไม่เคยเจอกัน เขาไม่รุ้จักการตักบาตร การทำทาน การเข้าวัดเพื่อเวียนเทียนเลยค่ะ

ปัญหาก็คือ
      1)   สามีดิฉัน ไม่มีศีล 5 เพราะชอบพูดคำหยาบเวลาโมโห / ดื่มสุรา / และถ้าดิฉันพูดอะไรไม่ได้ดั่งใจเขา ๆ ก็จะด่า และหาว่าดิฉันสันดานเลวหรืออะไรก็ตาม...ดิฉันก็บอกไปว่า ดิฉันพุดอะไรก็อยู่ในศีล 5 และวาจา/ใจไม่ได้เบียดเบียนและทำให้ใครเดือนร้อน และเขาก็เงียบรู้สึกผิดมั้งค่ะ ก็เลยหนีไปนอนคนเดียวในอีกห้องหนึ่ง ซึ่งดิฉันไม่ไม่โต้ตอบ...  

คำถาม - ดิฉันต้องการให้เขาปฏิบัติต่อ จะทำอย่างไรดีค่ะ ?

      2)   พูดอะไรไม่เขาหูเขา ไม่ได้ดั่งใจกับคำตอบของดิฉัน เขาก็ว่าดิฉัน โง่ ยิ่งกว่า วัว ควาย (ดิฉันก็ไม่รู้สึกอะไร ได้ยินแล้วก็ดับไป ไม่เทียงเกิด แล้วก็ดับ) วัว ควาย มีศีล 5 (ดิฉันก็มีศีลแต่ทำไมเขายังกล้าที่จะเปรียบเทียบ)

คำถาม – วัว ควายมีศีล 5 จริงหรือเปล่าค่ะ ? ดิฉันตอบเขาไปว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ วัวควายเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะมีศีลได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีปัญญา..   เขาบอกว่า ถ้าอจ.ตอบว่าวัวควายมีศีล 5 ต้องเคารพเขานะ ดิฉันก็ตอบว่า มันเป็นการสนทนาธรรม ทำไมต้องเคารพบุคคลที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม

      3)    สามีดิฉัน ไม่เชื่อว่า เวลาปฏิบัติแล้วจะรู้ได้เฉพาะตน ซึ่งดิฉันก็บอกเรื่องคำแปลใน บทสวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ (พระพูทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่น   ว่าท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรนน้อมเข้ามาใส่ตัว และเป็นสิ่งที่รุ้ได้เฉพาะตน) พระสังฆคุณ (ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์และปฏิบัติสมควรแล้ว).

            คำถาม – ขอให้ท่านอจ. แนะนำเปิดทางสว่างให้ด้วย เพราะดิฉันจะเอาคำถาม คำตอบของท่านอาจารย์ให้สามีดิฉันอ่าน เพราะเขาเคารพท่านอาจาย์อยุ่คนเดียว

      4)    คำถาม – ทำไม สามีไม่เคารพฆราวาสที่มีศีล 5หรือศีล 8 ที่ได้โสดาบันหรือสกิทาคามี ? เขาจะพูดเสมอว่า เขายอมรับนับถือ แต่พระภิกษุสงฆ์ (ห่มผ้าเหลืองเท่านั้น) แม้ว่าพระสงฆ์จะประพฤติ ปฏิบัติถูกตรงหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่จะเชื่อใน(สมมุติสงฆ์เท่านั้น)    ยกเว้น ท่านอาจารย์คนเดียวที่เป็นฆราวาสแล้วสามีดิฉันนับถือ ก็เข้าใจได้ว่า เหตุปัจจัยเขามีมาอย่างนี้..

   ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มาล่วงหน้า ดิฉันไม่มีผุ้ใดที่รุ้จัก(และเป็นอริยบุคคล) ที่สามารถบอกกล่าว และขอให้ท่านอาจารย์เมตตาช่วยตอบคำถามด้วยค่ะ

      ญาติกา

คำตอบ
    ( ๑ ). ผู้ถามปัญหาจงดูให้ออกว่า สามีที่ไม่มีศีล ๕ นั้น เขาเป็นครูที่อยู่ใกล้ชิด ไม่ต้องเดินทางไปหาครูในที่ห่างไกลให้ยากลำบาก จงขอบคุณเขาที่เขามีเมตตาสอนเรา มิให้ประพฤติเช่นเขา และต้องตอบแทบคุณที่เขามีอุปการะต่อเรา ด้วยการประพฤติจริยธรรมของการเป็นภรรยาที่ดี ประพฤติจริยธรรมของการเป็นศิษย์ที่ดี แล้วความเจริญของชีวิต ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา เมื่อใดที่ภรรยาประพฤติได้ถูกตรงเช่นนี้แล้ว สามีย่อมศรัทธาในคุณธรรมของภรรยา เขาจะนำตัวเข้าใกล้พูดคุยไต่ถามและสำนึกผิด แล้วจึงจะหันมาปฏิบัติธรรมตามที่ภรรยาได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

   ( ๒ ). วัวควายที่ไปกินข้าวปลูกของชาวนาคนอื่นโดยมิได้ขออนุญาต วัวควายตัวนั้นประพฤติผิดศีลข้อ ๒ วัวควายที่ไล่ขวิดให้หนีไปห่างไกล แล้วไปสมสู่กับวัวควายตัวเมียของจ่าฝูงเดิม ถือว่าประพฤติผิดศีลข้อ ๓ ดังนั้นผู้ถามปัญหาพึงวิเคราะห์ด้วยสติปัญญาของตัวเองว่า วัวควายตัวนั้นประพฤติผิดศีลหรือไม่

   ผู้ตอบปัญหาเอาธรรมวินัยในพุทธศาสนามาสถิตไว้กับใจ ผู้มีธรรมวินัยไม่ปรารถนาให้ใครต้องมาเคารพ ศรัทธา เลื่อมใส เพราะเห็นสิ่งดังกล่าวไม่ใช่ตัวตน ( อนัตตา ) จิตจึงเป็นอิสระต่อสิ่งเหล่านั้น

   ( ๓ ). ความไม่เชื่อ เกิดจากปัญญาที่มีอยู่ในตัวของบุคคล ใครผู้ใดพัฒนาปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว ความรู้ เห็น เข้าใจ เฉพาะตน ( สนฺทิฏฐิโก ) ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

   อนึ่ง บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของเขา ผู้ใดประสงค์พิสูจน์ “รู้ได้เฉพาะตน” ต้องนำตัวเองไปพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ( วิปัสสนาภาวนา ) ได้เมื่อใดแล้ว ความสงสัยในการรู้ได้เฉพาะตนย่อมหมดไปเป็นธรรมดา

   ( ๔ ). มนุษย์สามารถพัฒนาปัญญาได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ผู้ใดพัฒนาสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา ( ปัญญาทางโลก ) ได้แล้ว ย่อมเห็นสรรพสิ่งเป็นจริงเพียงชั่วคราว ( สภาวสัจจะ ) ตรงกันข้าม ผู้ใดพัฒนาภาวนามยปัญญา ( ปัญญาทางธรรม ) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมเห็นสรรพสิ่งเป็นจริงแท้ ( ปรมัตถสัจจะ )

   เมื่อเป็นเช่นนี้ สามีจะเคารพนับถือใคร ก็เป็นเรื่องของปัญญาที่เขาพัฒนาได้ จงเอาสามีเป็นครูสอนใจตัวเอง แล้วเราจะไม่โง่อีกต่อไป
  

1582.
กราบเรียนอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร
 
ผมมีข้อสงสัยปรึกษาอาจารย์ครับ.
 
๑. ฆราวาสสอนสงฆ์ได้มั้ยครับ ทั้งในทางธรรมและทางโลก
 
๒. แล้วถ้าสอนจะบาปมั้ยครับ บาปแค่ไหน..

ปีใหม่นี้ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงอยุ๋เป็นเสาหลักของศาสนาพุทธต่อไปตราบนานเท่านานครับ..   สาธุ.

คำตอบ
    (๑). คำว่า “ สงฆ์ ” ในทางโลกหมายถึง ภิกษุในพุทธศาสนา หรือสมมุติสงฆ์ แต่ในทางธรรมหมายถึง หมู่ สาวกของพระพุทธเจ้า (อริยสงฆ์) ดังที่ระบุในคำสวดมนต์ บทเจริญสังฆคุณ อันได้แก่บุรุษ ๔ คู่ ๘ บุรุษ คือ

     คู่ที่ ๑. โสดาปัตติมรรค และ โสดาปัตติผล

     คู่ที ๒. สกทาคามิมรรค และ สกทาคามิผล

     คู่ที่ ๓. อนาคามิมรรค และ อนาคามิผล

     คู่ที่ ๔. อรหัตตมรรค และ อรหัตตผล

     หากเป็นฆราวาสผู้มีศีล ๕ หรือ ศีล ๘ สามารถสอนภิกษุสงฆ์ได้ เพราะไม่มีพุทธบัญญัติห้ามไว้ ตรงกันข้าม หากเป็นนักบวชเพศหญิง (ภิกษุณี) หากไปสอนภิกษุสงฆ์ถือว่า ประพฤติละเมิดวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้

   (๒). ภิกษุณีสงฆ์ที่ประพฤติละเมิดวินัย ถือว่าเป็นบาป ถามว่าบาปมากแค่ไหน ตอบว่า บาปถึงขั้นปฏิบัติธรรมแล้วเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ คือปฏิบัติสมถกรรมฐาน แล้วไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงสัมมาสมาธิได้ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วจิตเข้าไม่ถึงปัญญาเห็นแจ้ง
   

1581.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง
 
หนูมีข้อสงสัยขอปรึกษาอาจารย์ดังนี้ค่ะ
 
หนูมักมีความคิดไม่ดีกับ พ่อ แม่ โดยเฉพาะกับพ่อค่ะ ใจที่คิดไม่ดีน่ะ มันคิดขึ้นมาเอง ซึ่งหนูไม่ได้ต้องการอย่างนั้น
  และไม่ใช่เฉพาะกับพ่อ และแม่ หากหนูผ่านพระพุทธรูป , รูปภาพเทพ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ หนูก็มักคิดไม่ดี ด่าว่า ขึ้นมาเองในใจ โดยตัวหนูเองนั้น เหมือนกับมีสองคน คนนึงด่าว่า คนนึงเคารพบูชา คือหนูไม่ต้องการความคิดไม่ดี แต่ห้ามความคิด บังคับความคิดนั้นไม่ได้ค่ะ ตั้งแต่จำได้หนูก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ ตอนนี้ก็ สามสิบกว่าแล้วค่ะ   ตลอดเวลาหนูก็พยายามคิดว่า ไอ้จิตที่คิดไม่ดีน่ะ มันไม่ใช่ความคิดของหนู แต่ตอนนี้หนูเริ่มไม่แน่ใจว่า ถ้าไม่ใช่ความคิดของหนู แล้วจะเป็นใครหล่ะ ก็มันอยู่ในใจของหนู
 
1. หนูจะแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจนี้ได้อย่างไรบ้างคะ หรือกรณีของหนูนั้นต้องไปหาคุณหมอทางจิตเวช

2. ความคิดอกุศลที่หนูเป็นนั้น เป็นบาป หรือไม่คะ เพราะหนูควบคุมไม่ได้ แต่หนูก็ไม่ได้ต้องการเช่นนั้น ขอรบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายด้วยนะคะ

3. ความคิดอกุศลนั้น มันคืออะไรคะ คนทั่ว ๆ ไป จะมีความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจแบบนี้หรือไม่คะ หรือมันคือความตั้งใจแต่ไม่รู้ตัวน่ะคะ หนูไม่เข้าใจมาก ๆ ค่ะ แล้วมันคือความคิดของหนูหรือไม่คะ (ขอโทษนะคะ ถ้าหากคำถามหนูดูไร้สาระ แต่หนูไม่เข้าใจจริง ๆ ค่ะ)

4. หนูควรเน้นการกระทำความดีในด้านใดให้มากๆ คะ
 
ขอขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ นะคะ ที่เมตตาตอบคำถามของหนูค่ะ

คำตอบ
      ใจของคนมีทั้งบุญและบาปสั่งสมอยู่ภายใน ยามใดที่บาปให้ผล ความคิดที่ไม่ดีย่อมเกิดขึ้น ตรงกันข้าม ยามใดที่บุญให้ผล ความคิดที่ดีงามย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นมีอยู่กับใจของผู้ถามปัญหา

   ( ๑ ). หากผู้ถามปัญหาประสงค์แก้ไขเรื่องความคิดไม่ดีให้หมดไปจากใจ ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง มีปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็ง ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม แล้วใช้จิตที่มีปัญญาเห็นแจ้งไปพิจารณาความคิดที่ไม่ดีให้ดับไป ( อนัตตา ) ตามกฎไตรลักษณ์ ได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาย่อมหมดไปโดยปริยาย

   ( ๒ ). ผู้ใดมีความคิดที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นกับใจ ผู้นั้นกำลังเสวยอกุศลที่เป็นบาป เหตุที่ควบคุมความคิดไม่ได้ เพราะจิตมีกำลังของสติอ่อนกว่ากำลังของบาปที่ส่งผล หากผู้ถามปัญหาไม่ต้องการให้ความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตน ต้องหยุดการอ่าน แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมตามที่ได้แนะนำไว้ในข้อ ( ๑ ).

   ( ๓ ). ความคิดอกุศล เป็นผลที่เกิดจากอกุศลกรรมที่ผู้ถามปัญหาทำกรรมที่ไม่ดีมาก่อน ผู้ใดหยุดการอ่าน แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมจนเกิดความรู้สูงสุด ( ภาวนามยปัญญา ) ได้แล้ว ความรู้เห็น เข้าใจ ในสิ่งที่เขียนตอบมา ย่อมสว่างกระจ่างชัด ( สันทิฏฐิโก ) กับตัวของผู้ถามปัญหาได้

   ( ๔ ). กระทำความดี ด้วยการพัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาสูงสุดได้ นั่นแหละดีที่สุด
   

1580.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง

อธิษฐานปฏิบัติธรรม

      ดิฉันอายุ 56 ย่างเข้า 57 ปี แล้ว เคยตั้งใจว่าจะออกจากงานเมื่ออายุ 58 ปี คือ ตุลาคม ปี 2555 เพื่อเตรียมตัวตาย ประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาก็เริ่มฝึกสมาธิอย่างจริงจัง แต่วันหนึ่งคุยกันกับสามี (รู้ว่าสามีตั้งใจอนาคามี) สามีก็บอกว่า โสดาบันยังต้องกลับมาเกิดอีก จะต้องพบกับความทุกข์อีก ดิฉันก็หนักใจ แค่โสดาบันชาตินี้จะผ่านหรือไม่ยังไม่รู้ นี่จะชวนไปให้ถึงอนาคามี.. พื้นฐานสมถะของดิฉันยังอ่อนมาก สามีก็ไม่สนับสนุนให้ออกจากงาน จึงอธิษฐานขอให้ขายสวนได้ภายในเดือนเมษายนปี 54 นี้ จะออกจากงานเพื่อฝีกสติให้ได้อยู่กับบ้าน (สามีไม่ชอบแน่ถ้าจะลาอกจากงานเลย เพราะเขาเป็นห่วงการเรียนของลูกที่ต้องใช้เงินมากเพราะตอนนี้คนโตกำลังเรียนที่อังกฤษ เขาไม่ยอมให้ลูกรับทุนรัฐบาล และตั้งใจให้ลูกเรียนให้จบ ป. เอก คนเล็กก็มีโครงการไปเรียนต่อต่างประเทศเช่นกัน)   ตอนนี้ก็มีคนมาขอซื้อแล้วและตกลงขายแล้ว จะโอนกันสัปดาห์หน้านี้  

จะถามเลยนะคะ
   
      คำอธิษฐานนี้ ถือเป็นสัจจะที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดใช่หรือไม่ ถ้ามีผู้ทัดทานมากๆ จะออกเลยไปเป็นเดือนตุลาคม 54 หรือพฤษภาคมปี 55 จะเกิดโทษหรือไม่

      ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ ดิฉันไม่มีใครแล้ว เพราะทั้งองค์ผู้มีคุณวิเศษ และท่านผู้มีคุณวิเศษ ที่เคยชี้นำ ชักจูง คนไม่เอาไหนอย่างดิฉันก็จากดิฉันไปหมดแล้วค่ะ จึงใคร่ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์เป็นที่พึ่งค่ะ
           
                             ทองคำ ไม้กลัด

คำตอบ
     ผู้ใดมีศีลและมีสัจจะคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นมีกายศักดิ์สิทธิ์ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ คิด พูด ทำ สิ่งใดย่อมสำเร็จได้ดังใจปรารถนา ดังนั้นผู้ถามปัญหาจะให้ความศักดิ์สิทธิ์คงอยู่กับตัวเองหรือไม่ ผู้ถามปัญหาต้องเลือกเอง เพราะบุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง และต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ผู้รู้ไม่บังอาจเข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น อนึ่ง ผู้ใด คิด พูด ทำ แต่สิ่งดีงาม สิ่งที่เป็นคุณธรรมอยู่เสมอ โทษย่อมไม่มีกับผู้นั้น ตรงกันข้าม คิด พูด ทำ แต่สิ่งที่เป็นอกุศล ( ทุศีล ไร้ธรรม ) เมื่อกรรมให้ผล โทษย่อมเกิดตามมาให้ผู้ทำกรรมต้องได้รับ
  

1579.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ
     ดิฉันขอเรียนถามว่า การไปกราบไหว้พระพุทธรูป พระประธานตามวัดต่าง ๆ ในโบสถ์ เราควรจะอธิษฐานขอพรท่านหรือไม่ สมควรที่จะขอพร ขอสิ่ง ต่างๆ ที่เราปรารถนาหรือไม่ จะเป็นการถูกต้องหรือไม่ของชาวพุทธ ซึ่งดิฉันเห็นผู้ไปกราบไหว้จะกล่าวคำอธิษฐานมากมาย   จะจัดว่าเป็นกิเลสของคนๆนั้นหรือไม่
ซึ่งดิฉันเคยฟัง อาจารย์พูดว่าการกระทำเหล่านั้นจัดเป็นกิเลสของคนๆ นั้น ดิฉันจึงอยากเรียนถามว่าที่ถูกต้องควรจะกล่าวเช่นไร ทุกครั้งที่ดิฉันไปกราบไหว้พระ ตามโบสถ์ต่างๆ ดิฉันไม่ทราบจะกล่าวอย่างไร เพียงแต่บอกกล่าวท่านว่า วันนี้ลูกได้เดินทางมาทำบุญที่วัดแห่งนี้และขอกราบบูชาองค์พระประธานของวัดนี้ตลอด
จนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในที่นี้ขอจงปกป้องคุ้มครองภัยให้ลูกเดินทางกลับด้วยความปลอดภัย และบางที่ ก็จะกราบไหว้โดยไม่ได้กล่าวอะไร
             ดิฉันอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ในการปฎิบัติที่ถูกต้องด้วยคะ
                กราบขอบพระคุณ/   วิ

คำตอบ
    คำว่า “พร” หมายถึง สิ่งที่ขอเลือกเอาตามประสงค์ และคำว่า “อธิษฐาน” หมายถึง ตั้งจิตขอร้องต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งสองคำมีความหมายใกล้เคียงกัน ต่างกันตรงที่ว่า ขอพรแล้วมีผู้ให้พร เช่น ก่อนที่พระอานนท์จะรับเป็นพุทธอุปัฏฐาก พระอานนท์ได้ขอพรต่อพระพุทธโคดม ๘ ข้อ และหนึ่งในแปดข้อนั้นคือ “หากพระองค์ไปแสดงธรรมลับหลังข้าพระพุทธเจ้า ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมนั้นให้ข้าฯ ฟังอีกครั้ง” พระพุทธโคดมให้พรตามที่พระอานนท์ขอ แต่คำว่าอธิษฐานต้องทำเหตุให้ตรงจึงจะได้ผลสมปรารถนา เช่น พระพากุละอธิษฐานไม่อาพาธ แล้วทำเหตุตรงคือ ปรุงยาถวายสาวกของพระวิปัสสี และในครั้งที่เกิดมาพบพระพุทธกัสสปะ ได้สร้างวัดและจัดยาประจำวัดไว้ให้พระได้บริโภคในยามเจ็บป่วย เมื่อเกิดมาพบพระพุทธโคดม จึงไม่อาพาธด้วยโรคใดๆ การอธิษฐานให้มีรูปสวยงาม ให้มีทรัพย์สมบัติมาก ให้มีบริวารมาก ให้ได้เป็นใหญ่เป็นโต ฯลฯ เป็นการอธิษฐานเพื่อเอากิเลสมาทับถมใจ ผู้รู้ไม่นิยมอธิษฐานเช่นนี้ ตรงกันข้าม ผู้รู้นิยมอธิษฐานเกิดมาพบพระพุทธศาสนาและมีสัมมาทิฏฐิ อธิษฐานมีปัญญาเห็นแจ้ง อธิษฐานให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ฯลฯ เหล่านี้เป็นการอธิษฐาน เพื่อนำพาชีวิตพ้นไปจากความทุกข์ แต่ที่สำคัญต้องทำเหตุให้ตรง จึงจะสมปรารถนาตามคำอธิษฐาน

   การอธิษฐานตามที่บอกเล่าไปนั้นถูกต้องแล้ว ขอเพียงทำเหตุให้ตรงคือ การเดินทางจะปลอดภัยได้ ต้องมีศีล และมีสติคุมใจขณะเดินทาง ใครผู้ใดพัฒนาใจให้มีธรรมมีวินัยในพุทธศาสนาคุมใจได้ทุกขณะตื่น ผู้นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ และไม่ต้องไปขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด มาคุ้มครองให้ชีวิตปลอดภัย เพราะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใดจะยิ่งไปกว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมและวินัยที่มีอยู่ในพุทธศาสนา
  

1578.
เรียนท่าน ดร.สนอง ที่เคารพ

ขอโอกาสถามเรื่องจิตปราถนาพุทธภูมิ แรกๆผมก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธภูมิทำให้มีจิตที่อยากเป็น เกิดขึ้นตั้งแต่อายุประมาณ 18 ปี ได้ ทุกครั้งที่ทำความดี ก็จะอธิฐานให้ได้สัพพัญญุตญาณในอนาคต แต่พอศึกษาอย่างจริงจังแล้ว ไม่ใช้เรื่องง่าย ต้องเวียนว่ายตายเกิดเยอะมาก ผมต้องการลาพุทธภูมิก็ตั้งใจลาพุทธภูมิหลายรอบ แต่พอเวลาผ่านไปจิตมันก็จะ ระลึก ขึ้นมาอีก โดยนิสัยส่วนตัวชอบศึกษาธรรมะ จึงให้เข้าใจว่าเราจะต้องปฏิบัติ เพื่อออกจากวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไปให้ได้หากปราถนาพุทธภูมิ ก็ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกมากมายนับไม่ได้ แต่จิตไม่ยอม หลายครั้งที่ลาพุทธภูมิก็จะมีจิตสงสารขึ้นมา

ขอให้ ดร.สนองช่วย ให้ความกระจ่าง และช่วยบอกวิธีทำให้จิตพ้นจากความอยากในพุทธภูมิให้ด้วยครับ

คำตอบ
     ประโยคที่ว่า “เวียนว่ายตายเกิดเยอะมาก” ขอเปลี่ยนเป็นประโยคที่ว่า “เวียนว่ายตายเกิดนับภพนับชาติไม่ถ้วน ( อนันต์ จะถูกต้องมากกว่า เพราะต้องตายเกิดนับจากภพนรกขึ้นไปจนถึงพรหมโลก นำพาชีวิตวนไปวนมาเช่นนี้ไม่รู้จบ ทั้งนี้เนื่องมาจากเหตุสองอย่างคือ การจะมีความเป็นสัพพัญญูได้ บุคคลต้องสั่งสมบารมีให้ครบ ๓๐ ทัศ และขึ้นอยู่กับประเภทของพระพุทธเจ้า ( พระปัญญาธิกพุทธเจ้า พระสัทธาธิกพุทธเจ้า พระวิริยาธิกพุทธเจ้า ) ที่ตนปรารถนาจะเป็น ต้องใช้เวลานับแต่ ๒๐ อสงไขยกับอีก ๑๐๐ , ๐๐๐ กัป ๔๐ อสงไขยกับอีก ๑๐๐ , ๐๐๐ กัป และ ๘๐ อสงไขยกับอีก ๑๐๐ , ๐๐๐ กัป ตามลำดับ

   อนึ่ง พระโพธิสัตว์ผู้ยังมิได้ถูกพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่งมาก่อน ( อนิยตโพธิสัตว์ ) สามารถลาพุทธภูมิได้ ด้วยการสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา แล้วกล่าววาจายกเลิกความปรารถนาเดิม และกล่าววาจาตั้งความปรารถนาใหม่ มาเป็นพุทธสาวก ย่อมทำได้ด้วยการรักษาสัจจะในอธิษฐานใหม่ และทำเหตุให้ตรง ( วิปัสสนากรรมฐาน ) การเข้าถึงอรหัตตผล ย่อมมีได้เป็นได้
   

1577.
กราบเรียนอาจารย์ ด.ร. สนอง ที่เคารพ
 
       ผมมีปัญหาถามอาจารย์ครับ
 
1. ตอนนี้พ่อกับแม่ผมประกอบอาชีพประมงอยู่ แต่แม่ผมเป็นคนถือศีลธรรมะ ท่านจะถือศีลทุกวันพระชอบตักบาตรทุกวัน ท่านทำมา 40 กว่าปีแล้ว แต่ด้วยอาชีพที่ต้องทำมันขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า แม่ผมต้องการเลิกอาชีพนี้อย่างมาก เพราะท่านรู้ว่าเป็นปาบแต่ด้วยหนี้สินที่มีอยู่หลายล้านบาท ต้องทำใช้เขาแม่ผมจึงไม่สามารถที่จะเลิกได้ถ้าเลิกก็ไม่มีเงินส่งหนี้ให้เขา แม่ผมลำบากใจมากเพราะตอนนี้ ท่านก็อายุมากแล้ว 60 ปีแล้ว
    ผมจึงใคร่เรียนถามอาจารย์ว่าพอจะมีคำแนะนำหรือทางออกอย่างไรบ้างมั้ยครับ ผมอยากให้แม่ผมสบายใจครับ ท่านบ่นตลอดเลยว่าอยากหยุดอาชีพนี้ซักที
 
2. ผมก็มีปัญหาอย่างแม่เหมือนกันครับคือผมมีครอบครัวแล้ว ลูก 1 คน แต่ผมต้องการหลุดพ้นต้องการแสวงหาธรรม แต่ด้วยหน้าที่และหนี้สินที่แม่มี ผมต้องช่วยแม่ใช้หนี้ คือไม่สามารถที่จะหนี้ไปบวชได้ สงสารแม่ ครับ ผมควรทำอย่างไรดีครับ   ตอนนี้ใจผมไม่ต้องการที่จะอยู่ทางโลกแล้วครับ ใจต้องการแสวงหาธรรมอย่างมากเลยครับ เลยเกิดเป็นความรู้สึกเบื่อมาก และอึดอัดที่สุด เพราะงานทางโลกของผม ต้องอยู่กับการโกงละโกหก เพราะถ้าผมไม่ทำก็อยู่ทำงานไม่ได้ (การโกงและโกหกนี้ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน หรือเสียหายครับ) เพราะเป็นคำสั่งจากหัวหน้างานครับจึงจำเป็นที่จะต้องทำตามที่สั่ง (ผมทำงานโรงงาน)
   ผมลำบากใจมากๆครับ ส่วนตัวผมเองนั่งสมาธิทุกวันครับวันละ 30-60 นาทีและปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่มีโอกาสครับ  ( ศีล 8)  ไม่ทราบว่าอาจารย์มีทางออกให้ผมบ้างมั้ยครับ
 
      ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ
        พูลสวัสดิ์  

คำตอบ
    ( ๑ ). มนุษย์มีงานใหญ่ต้องทำอยู่สองงานคือ งานภายนอก ( ทำประมง ) และงานภายในคือ พัฒนาจิตตนเองให้มีบุญสั่งสม การรักษาศีลทุกวันพระและตักบาตร ( ให้ทาน ) ทุกวัน คุณธรรมทั้งสองเป็นเหตุให้เกิดในสวรรค์ ดังนั้นแม่จึงมีทั้งบาปและบุญสั่งสมอยู่ในจิต ปัญหามีอยู่ว่า อย่างไหนให้ผลรุนแรงกว่ากัน ขณะจิตทิ้งร่างกาย หากบาปให้ผล จิตวิญญาณย่อมโคจรไปเกิดเป็นสัตว์ในทุคติภพ ตรงกันข้าม ขณะจิตทิ้งร่างกายและบุญให้ผล จิตวิญญาณย่อมโคจรไปเกิดอยู่ในสุคติภพ มนุษย์สามารถทำบุญใหญ่ที่มีพลังมากให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเจริญอานาปานสติ ทุกวัน หลังจากนั้นอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ และจะดีที่สุดหากเลิกอาชีพที่เป็นบาป และหันมาทำบุญใหญ่ ( ทาน ศีล ภาวนา ) เพียงอย่างเดียว โอกาสที่บาปจะตามให้ผลไม่ทันย่อมเป็นไปได้ ดังตัวอย่างตายแล้วจิตวิญญาณโคจรไปเกิดอยู่ในพรหมโลก ชั้นมหาพรหมาภูมิ หรือ สิริมาโสเภณีมคธ ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์จนจิตบรรลุโสดาปัตติผล ซึ่งจะไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิอีกต่อไป ( ปิดอบายภูมิ ) ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วอย่างไรล่ะ

   ( ๒ ). ทำให้ได้อย่างที่แนะนำไว้ในข้อ ( ๑ ). แล้วโอกาสนำพาชีวิตหนีอบายภูมิ หรือปิดอบายภูมิ ซึ่งพ้นไปจากบาปทั้งปวง ย่อมมีได้เป็นได้
 

1576.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ดร.สนอง
 
ดิฉันมีคำถามที่คาใจมานาน อยากเรียนถามท่านดังนี้ค่ะ
 
ดิฉันทำรับราชการและทำกิจการอพาร์ทเม้นท์ด้วย ตั้งแต่เริ่มกิจการอพาร์ทเม้นท์ในปี 2549 มานั้น ก็ได้ไหว้พระพุทธ ศาลพระพรหม และศาลเจ้าที่ ด้วยของคาวหวานที่อพาร์ทเม้นท์ ทุกวันไม่เคยขาด
 
แต่พอหลังจากที่ได้อ่านหนังสือ/บทความต่างๆ ของท่าน รวมทั้งฟังธรรมบรรยายมาระยะหนึ่ง ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่าเราได้ทำถูกแล้วหรือไม่ ในใจคิดว่าควรไหว้ของคาวหวานเฉพาะวันพระก็เพียงพอแล้ว แต่ก็กลัวเจ้าที่เจ้าทางจะไม่พอใจ

อยากจะเรียนปรึกษาท่านว่าดิฉันควรทำแบบเดิมคือไหว้อาหารคาวหวานทุกวันต่อไป หรือไหว้เฉพาะวันพระเท่านั้นคะ
แล้วเราจะบอกเจ้าที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรดีคะ ขอให้ท่านช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
 
ขอกราบขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ภพภูมิเจ้าที่เป็นภุมมเทวดาในสวรรค์ ชั้นจาตุมหาราชิกา เวลาในสวรรค์ชั้นนี้ ๑ วัน กับอีก ๑ คืน เมื่อเทียบกับเวลาในภพมนุษย์แล้ว ยาวนานถึง ๕๐ ปี และพระพรหมที่มักมาสู่โลกมนุษย์ เป็นพรหมที่อยู่ในพรหมโลก ชั้นมหาพรหมาภูมิ ซึ่งมีอายุขัยยาวนานถึง ๑ กัป ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเวลาในภพมนุษย์แล้ว มิอาจเทียบกันได้ ฉะนั้นการแสดงคารวะต่อเทพทั้งสองชั้น จะถี่ห่างแค่ไหนขึ้นอยู่กับปัญญาของผู้กระทำ ปัญหามีอยู่ว่า ก่อนแสดงคารวะ ต้องศรัทธา ขณะเซ่นไหว้ต้องตั้งใจ เซ่นไหว้แล้วสบายใจ เป็นอันใช้ได้ ส่วนจะบอกกล่าวเจ้าที่หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไร สามารถทำได้ตามใจปรารถนา เหตุที่ต้องเกิดมาเป็นเจ้าที่ เพราะจิตยังมีความหลงและเป็นจิตแบบปุถุชน ผู้รู้บอกว่า ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใดจะยิ่งไปกว่าความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมวินัยในพุทธศาสนา เพราะธรรมวินัยสามารถทำให้บุคคลมีสภาวะของจิตเปลี่ยนเป็นอริยบุคคลได้ และทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
     

1575.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคราพ

     ผมเคยได้ฝึกเจริญสติ จนควาทุกข์หายไปเยอะครับ (แต่พ่อแม่ไม่เคยรู้เรื่องนะครับ เพราะไม่อยากบอก)

   แม่ของผมอยากให้ผมไปเปลี่ยนชื่อครับ เพราะท่านไปเชื่อหมอดูน่ะครับ ท่านมองผมเป็นคนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งพ่อและแม่ โมหะกับโทษะท่านสูงครับ เวลาไม่ได้ดั่งใจ   แช่งผมให้ไปตายประจำ บางทีผมก็โมโหท่านครับ แต่ไม่ขาดสติแน่ๆ แต่บางทีผมผิดจริง แต่บางทีก็ใช้งานแล้วไม่ได้ดั่งใจท่านนะครับ เช่นท่านให้ตบยุง แต่ในใจผม ถือศิลข้อ 1 เป็นที่สุด ผมก็แกล้งตบไม่โดน แล้วให้มันบินหนีไป เพราะตอนนี้แม่แขนท่านหักอยู่นะครับไม่หายเสียที
อยากให้ท่านหายไวๆเหมือนกันนะครับ โรคประจำตัวท่านเยอะ เวลาเห็นท่านนอนป่วยก็สงสารท่านมากนะครับ ส่วนพ่อเวลาหลับ นอนละเมอรุนแรงมากครับพ่อและแม่ท่านไม่ได้ปฎิบัติธรรมอะไรนะครับ เคยบอกๆไปทีแล้วแต่โดนด่าครับ   แต่ท่านก็ทำบุญบ้างนะครับ  
    สุดท้าย ผมเชื่อมั่นพระรัตนตรัยที่สุด    ด้วยภูมิรู้ภูมิธรรมของท่านอาจารย์สนอง โปรดเมตตาช่วยตั้งชื่อให้ผมหน่อยนะครับ เพื่อเป็นมงคล และป็นความสบายใจของแม่ผมครับ   อะไรก็ได้ครับ  
 
      ฐิติวัฒน์ แสงสุวรรณ

คำตอบ
    คนฉลาดมองความไม่ดีของตัวเอง แล้วจัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามธรรม คนโง่ชอบมองความไม่ดีของคนอื่น แล้วบอกคนอื่นให้แก้ไขตามอำนาจของกิเลสที่ผลักดัน ฉะนั้นผู้ถามปัญหาอยากเป็นคนฉลาดหรืออยากเป็นคนโง่ ก็เลือกเอาตามที่ชอบๆ

   ผู้มีกำลังสติของจิตกล้าแข็ง ย่อมเห็นสิ่งกระทบดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงไม่เอาสิ่งกระทบเข้าปรุงอารมณ์ การเกิดอารมณ์โมโหเป็นเพราะจิตขาดสติ

   กมฺมุนา วตฺตตีโลโก แปลเป็นภาษาไทยว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ฉะนั้นแม่มีโรคประจำตัวเยอะ ( อกุศลวิบาก ) ก็เนื่องด้วยเหตุที่แม่ทำกรรมไม่ดีไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องของแม่ ลูกที่ฉลาดย่อมเอาแม่เป็นครู ดูแม่เป็นตัวอย่าง ถ้าไม่อยากเจ็บป่วยอย่างท่าน ก็อย่าทำกรรมไม่ดีอย่างท่าน แต่ลูกที่ดีต้องมีความกตัญญูกตเวที เช่นนำท่านไปหาหมอรักษา ปรุงอาหารให้ท่านบริโภค ช่วยทำงานบ้านแทนท่าน ไม่สอนพ่อแม่เมื่อท่านยังไม่ศรัทธาในตัวลูก ฯลฯ

   ส่วนเรื่องการตั้งชื่อให้ใหม่นั้น ต้องขออภัย ผู้ตอบปัญหาเป็นคนซื่อตรงต่อธรรมวินัยของพระพุทธโคดม จึงไม่สามารถทำตามความปรารถนาของกิเลสได้
     

1574.
ถามการปฏิบัติธรรมค่ะ

หนูปฏิบัติธรรมมาได้สองปีแล้วค่ะ โดยวิธีของหลวงพ่อจรัญ โดยหลังจากเริ่มปฏิบัติที่บ้านทุกวัน โดยมีผลปฏิบัติ ดังนี้
-  ตอนปฏิบัติมาได้สองเดือน มีคืนหนึ่งหนูนั่งอยู่ อยู่ๆจิตก็สงบรวม แล้วเห็นรูปที่นั่งพองยุบอยู่นั้นไม่ใช่เรา ก็ตกใจ จากนั้นก็เห็นความคิดที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วสองครั้ง แล้วรู้สึกทันทีว่า ความคิดนี้ก็ไม่ใช่เรา จากนั้นหนูลืมตาขึ้นมาแบบตกใจปนงงๆ แล้วมีความสุขใจ

-  หลังจากครั้งแรกผ่านไปอีกราวสองเดือน ครั้งที่สองที่เกิดความประหลาดใจขึ้นคือ วันนั้นหนูนั่งแล้วจิตสงบดี มีความสุข หลังจากนั้นรู้สึกว่าครั้งนี้จิตมันตั้งมั่น เป็นกลาง และรู้เห็นอะไรได้รวดเร็วดี พอลืมตาขึ้น อาการอย่างนั้นยังคงอยู่ทั้งวัน คือรู้สึกว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้ดู เป็นกลางอย่างมาก เดินไปไหนในวันนั้น รู้สึกว่า โลกใบนี้แท้จริงแล้วมันเป็นสมมุติ ไม่มีอะไรสักอย่าง คนไหนๆสัตว์ไหนๆในโลกก็สมมุติเหมือนเรา เพราะเราเอง รูป นามนี้ไม่มี เขาก็ต้องไม่มี

- แต่หลังจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง ผ่านมาจนวันนี้ราวๆเกือบปี จิตหนูไม่ค่อยตั้งมั่นอย่างเคย หนูคิดว่าอาจเป็นเพราะหนูมีความอยากได้ อยากเห็นอีก รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควร แม้เพียงนิดมันจะไปไม่ได้ แต่หนูก็พยายามวางมันแล้ว ไม่ให้อยากดี อยากได้ปัญญาใด หนูไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรค่ะ หรือเพราะหนูทำแต่วิปัสสนาคะ หนูต้องเพิ่มสมถะรึเปล่าคะ

-  ตอนนี้หนูเห็นว่าตอนปฏิบัติในรูปแบบหนูไม่ก้าวหน้า หนูเลยเพิ่มการรู้กาย ใจระหว่างวันตามหลวงพ่อเทียน พยายามรู้กายตอนยืนเดินนั่งนอน และขยับ รู้บ้างไม่รู้บ้างก็หมั่นทำค่ะ ส่วนใจนั้น หนูดูความดิดและอารมณ์ คิดมาหนูรู้แล้ววางไป ไม่ไปอยู่กับมัน มีอารมณ์ใดๆหนูรู้ ดูมันจนมันค่อยๆๆดับไป หนูรู้สึกดีค่ะ ใจเริ่มไม่ยึดถือความคิดและอารมณ์ เห็นมันเป็นของชั่วคราว

- หนูปฏิบัติถูกทางไหมคะ และควรเพิ่มอะไรคะ หนูขอคำแนะนำด้วยค่ะ หนูอยากออกจากสังสารวัฏนี้เสียทีค่ะ
ปล.ครอบครัวหนูรู้จักคุณลุงไพศาล ลุงตึ๋ง ค่ะ หนูจึงได้ฟังซีดีของคุณลุง ดร.สนองเป็นประจำ
 
ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
     ผู้ถามปัญหาปฏิบัติธรรมเริ่มต้นตามแบบของหลวงพ่อจรัลนั้น ดำเนินได้ถูกแล้ว แต่มาเสียดายหลังที่จิตไม่สามารถต้านอำนาจของมารได้ ทั้งนี้เป็นเพราะจิตไม่มีกำลังมากพอที่จะรักษาความดีให้คงอยู่

    ต่อมาได้หันไปปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงพ่อเทียน ก็ปฏิบัติได้ถูกตรงแนวทางแล้ว แต่จะรักษาความดีให้คงอยู่ได้หรือไม่ ก็อยู่ที่กำลังใจอีกนั่นแหละ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม จงเลือกเอาวิธีใดวิธีหนึ่งมาประพฤติปฏิบัติ และต้องเพิ่มกำลังให้กับใจด้วยการเจริญพละ ๕ ให้กล้าแข็ง

     ๑. เจริญศรัทธา ด้วยการนำตัวเข้าใกล้และสนทนาธรรมกับผู้ทรงคุณธรรมสูง

     ๒. เร่งความเพียร ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

     ๓. ทุกขณะตื่น เอาจิตจดอยู่กับอิริยาบถที่เกิดขึ้นจากการคิด พูด และทำ

     ๔. เจริญสมาธิให้เข้าถึงความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ด้วยการเลือกบทกรรมฐานที่เหมาะกับจริตมาบริกรรม

     ๕. ใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ สรรพสิ่งที่เข้าสัมผัสจิตว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์

   ผู้ใด มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น มีสัจจะ และมีความเพียรในการปฏิบัติธรรม ผลสำเร็จในการพัฒนาจิตย่อมเกิดขึ้น
     

1573.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ ครับ

     ผมมีคำถามที่อยากจะรบกวนให้ อาจารย์ช่วยชี้แนะหน่อยนะครับ ดังนี้
           การที่บอกว่า ความเป็นจริงแล้ว ตัวตนเราไม่มี เช่น มีแต่ความตาย ไม่มีคนตาย คนที่ตายไม่ใช่เรา ผมมีข้อสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งนะครับ คือ เรื่องของพ่อแม่ ผมเคยอ่านหนังสือแล้วพบว่า   ความจริงแล้ว พ่อแม่ ไม่มี เพราะ เมื่อตัวเรายังไม่มี พ่อแม่เราจะมีมาแต่ไหน   ประเด็นนี้ทำให้ผมไม่เข้าใจ และ ปฏิบัติตัวไม่ถูกครับ ว่า เราจะคิดกับเรื่องนี้อย่างไร ตอนนี้ที่ผมก็พยายามจะทำความเข้าใจ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นโลกสมมุติ เพราะ เรายังไม่เข้าใจโลกของความจริงที่มันเป็นจริง แต่ก็พยายามจะไปตรงนั้น ก็เชื่อว่า ความจริงเป็นเช่นนั้น แต่ ก็พยายามอยู่ในโลกของความสมมุติให้ดีที่สุด และ ปฏิบัติตามหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง ผมอาจจะถาม งง ไป งง มา นะครับ เพราะเรียบเรียงยังไม่ถูก แต่ท่านอาจารย์คงพอจะจับประเด็นได้ ขอความกรุณาช่วยให้คำชี้แนะด้วยนะครับ ขอบคุณครับ .....

คำตอบ
     เรื่องที่ถามไปเป็นสิ่งที่ไม่ผิดปกติของคนที่เข้าถึงความรู้ทางโลก (สุตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา) แม้จะศึกษาหาความรู้มาจนสูงสุด ก็ยังเข้าถึงความจริงที่ไม่แท้ (สภาวสัจจะ) จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้เข้าไม่ถึงความจริงแท้ยังต้องงงไปงงมา หากผู้ใดเข้าถึงความรู้สูงสุด (ภาวนามยปัญญา) โดยเฉพาะปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ ความจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ผู้เข้าถึงความจริงแท้ รู้ว่าสิ่งต่างๆที่อุบัติขึ้นในโลก ล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น ในที่สุดไม่มีอะไรมีอยู่จริงแท้ ล้วนต่างเป็นสิ่งไม่ใช่ตัวตนแท้จริง (อนัตตา) ผู้รู้จริงแท้จึงมีชีวิตอยู่กับสมมุติของโลกได้ โดยมีจิตไม่เป็นทาสของสมมุติ หรือคือมีจิตเป็นอิสระจากโลกธรรม มีจิตเป็นอิสระจากวัตถุ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ฯลฯ ความงงไปงงมา จึงไม่เกิดขึ้นกับผู้ตอบปัญหา
   

1572.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

  ดิฉันมีเรื่องค้างในใจ มองไม่เห็นใครที่จะตอบคำถามได้ ขอรบกวนอาจารย์เมตตาตอบคำถามดิฉันด้วยค่ะ

  ตอนดิฉันยังเด็ก อยู่ชั้นประถม พ่อแม่ได้ส่งไปเรียนโรงเรียน พุทธศาสนาวันอาทิตย์ ดิฉันไม่ชอบไป เพราะขี้เกียจค่ะ ตอนนั้น เพื่อนที่เรียนด้วยกัน เล่าถึงพระองค์หนึ่งที่วัดว่า พระองค์นั้น ชอบเย้าแหย่เพื่อน และอะไรดิฉันก็จำรายละเอียดไม่ได้ พระองค์นี้เอง   เคยทำกิริยาแบบนั้นกับดิฉันบ้าง แต่จะมากหรือน้อยอย่างไร ดิฉันก็จำไม่ได้ เพราะยังเด็กมาก แต่ตัวเองก็ไปรู้สึกว่าพระองค์นี้ไม่ดี

  ต่อมาดิฉันไม่อยากไปเรียน พ่อแม่ก็ถามว่าทำไม ดิฉันก็บอกว่า ไม่อยากเรียน เพราะพระองค์นี้มาถูกตัวดิฉัน พ่อแม่โกรธมาก   ไปต่อว่า พระมหาอาจารย์ที่วัด และต่อมาพระมหาได้พาพระองค์นั้นมาที่บ้าน มาขอโทษ และจำได้เลาๆ ว่า พระบอกว่า เห็นเป็นเด็กจึงแหย่เล่นเท่านั้น ดิฉันรู้สึกผิดมาก แต่ไม่ได้สารภาพผิดกับใคร และเก็บเป็นความลับ พ่อแม่ก็ไม่ทราบ ว่าดิฉันเป็นเด็กโกหก ใส่ร้ายพระสงฆ์

  นอกจากนี้ เมื่อก่อนดิฉันโง่เขลามาก ได้วิพากษ์วิจารณ์ หลวงตามหาบัว เรื่องขอกองทุนผ้าป่าช่่วยชาติ   ดิฉันได้ไปกราบขอขมาท่านที่วัด แต่ไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแต่บอกในใจ ถือว่าใช้ได้หรือไม่คะ  

   ขออาจารย์ช่วยชี้ทางให้ดิฉันด้วย ดิฉันควรทำอย่างไร จึงแก้ไขบาปนี้ได้ อย่าให้ดิฉันต้องตกนรกหมกไหม้เลยค่ะ   ดิฉันกลัวบาปกรรมที่ทำมากค่ะ ทำไปเพราะโง่เขลาจริงๆ  

   ดิฉันขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้า บุญกุศลที่อาจารย์ได้กรุณาให้คำปรึกษาแก่ดิฉันและผู้อ่าน ขอให้อาจารย์และครอบครัวมีแต่ความสุข ความเจริญทั้งในทางโลก และทางธรรมนะคะ

คำตอบ
    ผู้ใดรู้ว่าตัวเองทำผิดมาก่อน และมาสำนึกได้ถึงความผิดนั้นในภายหลัง ผู้นั้นยังมีโอกาสเจริญได้ในวันข้างหน้า ด้วยการขอขมากรรม วิธีการคือ นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา อาทิ พระพุทธรูป เจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ บรรจุพระไตรปิฎก ฯลฯ สวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วกล่าวขอขมากรรมที่ทำแล้ว จากนั้นรักษากาย วาจา ใจ มิให้ผิดพลาดขึ้นอีก ส่วนเรื่องขอขมาหลวงตามหาบัวนั้น ผู้ถามปัญหาต้องไปกล่าววาจาขอขมาโทษ เมื่อหลวงตาฯ เอ่ยปากยกโทษให้ โทษที่มีกับหลวงตาย่อมหมดไป แต่ด้วยเดชของศีลยังทำให้วิบัติได้ ดังนั้นผู้ขอขมาต้องรักษาใจให้มีศีลบริสุทธิ์ และไม่วิพากษ์วิจารณ์หลวงตาฯ อีกต่อไป

1571.
กราบเท้าท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันมีคำถามขออนุญาตรบกวนท่านอาจารย์ ดิฉันขอคำแนะนำจากท่านด้วยคะ เนื่องด้วยเคยได้อ่านคำถาม คำตอบ จากทางเวบไซต ที่ท่านอาจารย์ได้เคยกล่าวไว้ว่าอาชีพที่ถูกทั้งทางโลก ทางธรรม เช่นอาชีพการเป็นครูสอนพระกรรมฐาน นั้น ดิฉันขอความเมตตาท่านอาจารย์ช่วยแนะนำถึงอาชีพที่ถูกทางโลก ทางธรรม พอมีอาชีพอื่นอีกบ้างหรือไม่คะ และ การเปิดร้านขายอาหาร   ร้านกาแฟ   หรือทำเสื้อผ้า ของเล่นเด็ก ตลอดจนเป็นพนักงานธนาคาร(ทำงานหน้าเคานเตอร ไม่มีหน้าที่ในการบริหารตรวจสอบ เกี่ยวข้องใดๆในส่วนของภาษี) นี่ถือว่าเป็นอาชีพที่เป็นเหตุแห่งความหลง ซึ่งผิดทางธรรมด้วยหรือไม่อย่างไรค่ะ และหากมีความจำเป็นต้องทำอาชีพที่เป็นการผิดธรรมแต่ไม่ผิดศีล จะสามารถเข้าถึงธรรมได้หรือไม่อย่างไรค่ะ ถ้าไม่แล้วต้องแก้ไขอย่างไรเพื่อการเข้าถึงธรรม

การเป็นพระโสดาบันนั้น พอไปเกิดในชาติต่อไปแล้วยังจำได้หมายรู้ในความเป็นพระโสดาบันของตัวเองหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นคนที่เกิดมาแต่ความเป็นพระโสดาบันที่จะไม่ตกต่ำอีก เกิดมาจะมีโอกาสทำผิดศีล ผิดธรรมบ้างหรือไม่ หรือเกิดมาแล้วก็ถือศีลห้าเป็นนิจตั้งแต่เด็ก ไม่ทำร้าย ไม่ฆ่าสัตว์ เลยโดยอัตโนมัติตั้งแต่เด็กๆ

สุดท้ายนี้ หากมีการพิมพ์บทสวดมนต์เพื่อแจกเป็นธรรมทาน วางไว้ตามวัดต่างๆให้ญาติโยมหยิบได้ และได้มีการจัดวางไปแล้วเป็นอย่างน้อยเกินร้อยใบ และได้มาทราบในภายหลังว่ามีการพิมพ์บทสวดมนต์ดังกล่าวนั้นผิด ทั้งที่ก็ได้มีการตรวจสอบแล้วหลายรอบ อย่างนี้จะเป็นการบาป หรือไม่ มากน้อยอย่างไร และวิธีแก้ไขต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ


หากดิฉันได้กระทำพลาดพลั้งล่วงเกินต่อท่านอาจารย์ด้วยกาย วาจา ใจ โดยเจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กราบขออโหสิกรรมต่อท่านอาจารย์ มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ และขออนุโมทนาในความเมตตาและเสียสละอย่างใหญ่หลวงของท่านอาจารย์ด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงที่เมตตา

คำตอบ
     ชีวิตมีอยู่สองงานใหญ่ที่ต้องทำ คือ งานภายนอกที่ทำให้กับสังคม เพื่อแก้ปัญหาให้สังคม เพื่อแก้ปัญหาการดำรงอยู่ของชีวิตปัจจุบัน ส่วนงานภายใน ได้แก่งานที่ทำให้กับตัวเอง สั่งสมบุญเพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางสู่ปรโลก

    งานภายนอกที่ดี ทำแล้วต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม ดังนั้นการขายโลงศพ ขายอาหารมังสวิรัติ ขายวัสดุก่อสร้าง ขายสังฆภัณฑ์ ฯลฯ จึงเป็นงานที่ดี ตรงกันข้าม งานที่ทำแล้วผิดกฎหมาย หรือผิดศีล หรือผิดธรรม เช่น ค้าขายสัตว์มีชีวิต ค้ายาพิษ ค้าอาวุธ ค้าเครื่องดักเครื่องประหาร ฯลฯ ผู้ใดประพฤติแล้ว ย่อมเกิดเป็นอกุศลวิบากตามมาในภายหน้า

   อนึ่ง อาชีพที่ข้องเกี่ยวกับการพนัน ขายหวย ขายเหล้าเบียร์ ฯลฯ เหล่านี้เป็นอาชีพที่ผิดธรรม ผู้ใดประพฤติผู้นั้นมีบาปเกิดขึ้น ผู้มีอาชีพดังกล่าว สามารถทำบุญได้ เช่น เลี้ยงพระ ใส่บาตร ตั้งโรงทาน ฯลฯ แล้วได้บุญ แต่หากนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม ย่อมไม่ประสบผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติ

   ผู้มีบาปปรารถนานำพาชีวิตไปสู่ความสวัสดิ์ ต้องหยุดประกอบอาชีพที่เป็นบาปแล้วหันมาปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา ได้อย่างถูกตรง โอกาสพ้นความวิบัติในกาลข้างหน้าย่อมเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น ธนัญชานีพราหมณ์ เลิกประพฤติทุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ แล้วหันมาประพฤติสุจริตตามธรรม สามารถหนีบาปไปเกิดอยู่ในพรหมโลกได้ สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ เลิกประกอบมิจฉาอาชีพ แล้วหันมาปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา จนจิตบรรลุโสดาปัตติผล ปิดอบายภูมิได้ และคนที่เกิดมามีจิตบรรลุโสดาบันแล้ว จะไม่ประพฤติผิดศีลธรรมอีกต่อไป

   ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ เมื่อเกิดกับผู้ใดแล้ว ถือว่าผู้นั้นมีบาป ส่วนจะบาปน้อยหรือบาปมากขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอกุศลวิบากที่ให้ผล การพิมพ์บทสวดมนต์ผิดโดยไม่เจตนาแล้วแจกให้มวลชน ถือว่าไม่เป็นบาปกับผู้พิมพ์ แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงจริยธรรมได้แล้ว ถือว่าเป็นบาปที่เนื่องด้วยจิตขาดสติ
   

1570.
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง

     กระผม นายวิรัตน์ มีตัน ทำงานอยู่ บริษัท ฮาน่าฯ สาขาจังหวัดลำพูน จากวันนั้นที่ท่านอาจารย์ ได้กรุณาเข้าไปบรรยาย ในบริษัทครับ ทำให้รู้จักท่านอาจารย์ กระผมอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ครับว่า การนั่งสมาธิโดยลำพัง ในห้องพระที่บ้าน โดยที่เรายังไม่เคยได้รับเป็นลูกศิษย์ของ ครูบาอาจารย์ ท่านใดเลย เราจะมีความกระจ่างในธรรมหรือไม่ แล้วจะมีผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ เพราะวันนั้นอาจารย์บอกว่าควรมีครูบาอาจารย์ด้วย

   ที่ถามคำถามนี้เพราะกระผมไม่แน่ใจและยังลังเล อยู่ว่าจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่อย่างไร โดยปกติผมจะ สวดมนต์ อยู่สามบทหลักคือ สวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก แล้วสวด พาหุงมหากา แล้วสวดคาถาชินบัญชร แล้วก่อนจะนั่งสมาธิจะอธิฐานจิตถึงท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯพุฒจารย์โต พรหมรังสี คุ้มครอง แล้วนั่งสมาธิ    และเมื่อก่อนหน้าเคยปฏิบัติ ตามแนวทางของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ตามในหนังสือของท่าน แต่กระผมก็ไม่เคยได้รับเป็นศิษย์ท่านและไม่เคยไปฝึกที่วัดท่านเหมือนกัน   จึงไม่แน่ใจว่าเราจำเป็นที่จะต้องไปรับเป็นศิษย์กับครูบาอาจารย์ท่านโดยตรงหรือไม่ หรือแค่เราตั้งอธิฐานจิตขอเป็นศิษย์ท่าน ให้ท่านคุ้มครองได้ไหมครับ หรืออย่างไร ช่วยแนะนำให้ทีครับ คือกระผมปฏิบัติมาค่อนข้างนานแล้ว แต่ไม่สม่ำเสมอ เลยยังไม่ไปถึงไหน แต่ทุกครั้งที่สวดมนต์ ก็จะสวดทั้ง 3 บทที่ว่า ถ้าขาดอันใดอันหนึ่งแล้ว ไม่สบายใจครับ ก็เลยสวดทั้ง 3 เลย รู้สึกดี

  รบกวนท่านอาจารย์สนอง ชี้แนะแนวทางให้ทีครับ   ถ้าเกิดว่าท่านอาจารย์คิดว่าจำเป็นต้องไปรับเป็นศิษย์หรือต้องมีครูบาอาจารย์โดยตรงนั้น ช่วยแนะนำครูบาอาจารย์ที่อยู่ใกล้แถว ลำพูน เชียงใหม่ ให้ทีครับ ขอพระคุณมากครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
   วิรัตน์ มีตัน

คำตอบ
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ได้สั่งสมบุญบารมีมาแต่อดีตมาก จนสามารถปฏิบัติธรรมได้โดยไม่ต้องมีครูบาอาจารย์ แต่พุทธสาวกสั่งสมบุญบารมีมาไม่มากพอ สั่งสมมาเพียงหนึ่งอสงไขยแสนกัป เช่น พระมหาโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร ยังต้องมีครูอาจารย์ชี้แนะแนวปฏิบัติธรรมให้ จึงจะบรรลุดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ดังนั้นโอกาสที่คนส่วนใหญ่จะกระจ่างในธรรม จึงต้องมีครูอาจารย์ ผู้มีประสบการณ์ตรงและเข้าถึงธรรมแล้วเท่านั้น มาเป็นผู้ชี้แนะ

   การนำเอาแนวปฏิบัติของผู้ใดมาประพฤติให้ถูกตรง และมีพฤติกรรมถูกตรงเหมือนกับผู้นำแนวปฏิบัตินั้นออกเผยแพร่ ความเป็นครูเป็นศิษย์ ย่อมเกิดขึ้นโดยปริยาย

   การสวดมนต์หากผู้สวดมีจิตจดจ่อกับบทมนต์ที่สวด สติย่อมเกิดขึ้นกับผู้สวด และหากพัฒนาใจได้ถูกตรงกับความหมายของบทมนต์นั้น ความศักดิ์สิทธิ์ในการสวดมนต์ย่อมเกิดขึ้น มีสิ่งที่น่าคิด น่าพิสูจน์ คือ บทมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย พระสงฆ์ผู้เป็นอริยสาวกต้องนำมาสวดในการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นทุกครั้ง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นครับ
   

1569.
อยากถามอาจารย์ว่า
 
    การที่ผมนำเงินใส่ซองแล้วปิดอย่างมิดชิด เพื่อนำซองนั้นไปถวายพระคุณเจ้า โดยที่กระผมใส่บาตรด้วยของแล้วตามด้วยซอง ซึ่งเจตนาของผม นั้นเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาหรือตามความประสงค์ของพระคุณเจ้า การกระทำเช่นนี้เป็นบุญหรือเป็นเป็นบาปครับ อาจารย์ช่วยชี้ทางให้ด้วยครับ  
 
  ขออนุโมทนาบุญที่อาจารย์ได้ตอบคำถาม สาธุ สาธุ สาธุ  

คำตอบ
    บาตรเป็นภาชนะที่ภิกษุสามเณรใช้รับอาหารบิณฑบาต ดังนั้นการนำอาหารไปใส่ลงในบาตร ผู้ใส่บาตรได้บุญ การนำของปัจจัยไปใส่ลงในบาตร เป็นการทำที่ผิดวัตถุประสงค์แล้วไม่สบายใจ ถือว่าเป็นบาป
  

1568.
เรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง

ทุกครั้งที่ลูกมีความทุกข์ลูกจะนึกถึงท่าน เสมือนแสงสว่างในความมืดของลูกยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดทางไหน

ขอความกรุณาจากท่านด้วยเถิด ลูกกำลังประสบปัญหาวิบากกรรมเป็นจุดใหญ่ที่จะเปลียนแปลงชีวิตลูก ลูกรู้ว่าลูกเคยทำผิดมากมาก ยี่งระลึกได้ก็ยี่งรู้ว่าตัวเองเลวมาก อย่างว่าแต่ชาติที่แล้วเลยชาติน้ลูกก็จะกะอักแล้ว ลูกวันนี้ลูกก็พยายามรักษาศีล กาย วาจา ใจ ทั้งทาน และ ภาวนา เท่าที่มีโอกาสอย่างแท้จริง แต่ทุกครั้งที่ลูกตั้งใจทำ เช่น ตื่น ตี 5 สวดมนต์ นั่ง สมาธิ ทำกับข้าว ไปทำบุญตักบาตร มั่นทำประจำ แต่สี่งที่มากระทบเกิดขึ้นกับลูกก็ยังรุนแรงอยู่ เช่นพอลูกทำบุญเสร็จลูกตั้งจิตอธิฐานอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ออกชื่อคนที่ลูกกำลังมีปัญหาที่ทำให้ลูกทุกใจ ทั้งที่ไม้ได้เจอกันนาน ก็ต้องมีเหตุให้เจอกันอย่างไม่มีเหตุผลและความรุนแรงก็เกิดขึ้นจนลูกตั้งตั้งไม่ทัน ทั้งที่ลูกกับเขาไม่ได้ มีปัญหารุนแรงอะไรกันมากมายถึงขนาดจะเข้ามาทำร้ายกัน แต่วันไหนที่ลูกไม่สวดมนต์ ไม่ไปทำบุญวันนั้นเหตุการณ์ปกติไม่มีอะไรเข้ามากระทบใจกระทบกาย

ลูกไม่ได้ท้อ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ และเห็นคนอื่นเขาก็ยังทำผิดศิลอยู่ที่ก็ยังมีชีวิตที่ดี ประสบความสำเร็จในธุรกิจ

แต่กับลูกยังต้องทนทุกข์กับตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง สถานะการณ์ตอนนี้ ลูกตกงาน ธุรกิจก็โดนโกงและขาดทุน แฟนนอกใจไปมีคนอื่น ลูกต้องอยู่อย่างโดดเดียวในท่ามกลางวิกฤต ไม่มีแม้กระทั่งคนที่จะกล่าวถามว่าสบายดีไหม ทั้งที่ไม่มีใครแต่ภาระที่ต้องรับผิดชอบชีวิดคนอื่นก็มีมาก อยู่ ลูกทั้งสองคนก็กำลังเรียนอยู่ ลูกสาวเรียนดี กำลังจะจบ ม.ปลาย และ เอนท์ เข้ามหาลัย แต่ยังไม่รู้ว่าจะติดอะไรก็มีปัญหากันนิดหน่อย เพราะสี่งที่เข้าอย่างเป็นลูกก็ไม่ได้พอใจนัก แอบผิดหวังอยู่แต่ก็กล้าพูดอะไรมาก และลูกก็ต้องส่งเงินเลี้งแม่ที่ต้องอยู่คนเดียว ทั้งที่ลูกแม่ก็เยอะแต่ภาระเรื่องเงินก็ตกอยู่ที่ลูกคนเดียว แต่ลูกก็ยังมีความสุขที่ได้ทำอย่างนั้นไม่ได้คิดว่าเป็นภาระอย่างไร ลูกอย่างมีโอกาสไปปฎิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพราะว่าว่างงานอยู่ แต่ก็ไปไม่ได้เพราะ มีหมาพิการอยู่ตัวหนึ่ง ที่ต้องล้างขี้ล้างเยี่ยวอยู่ขออภัยที่ให้คำนี้ค่ะ (เคยเขียนมาปรึกษาท่านทั้งหนึ่งว่าต้องทำยังไงกับเขาดี) และอย่างที่บอกว่า ลูกไม่มี่ใครจริงอยู่คนเดียว ที่ไม่สามารถจะพึ่งใครได้ในวิบากกรรมเช่นนี้ ถ้าลูกจะที้งไปก็กลัวบาป ไปทำบุญแต่จะได้บาป ลูกจะต้องทนทุกข์แลพโดนเดียวอย่างนี้ไปอีกนานไหมค่ะ ประมาณ 2 ปีแล้วค่ะที่ลูกเป็นอย่างนี้ ลูกสำนึกผิดแล้วจริงจริงค่ะแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง

*ต้องทนทุกข์รับกรรมอย้างนี้ไปอีกนานเท่าไร ?

*ถ้าลูกไม่สามารถส่งเสียลูกเข้ามหาลัยได้ลูกจะบาปไหม ?

*และถ้าลูกยังไม่มีอะไรทำอยู่ สัตว์เลี้ยงที่ลูกดูแลต้องโดนทิ้งลูกจะบาปไหม ? เพราะ แฟนเก่าเขาก็ไม่รับผิดชอบช่วยทั้งที่ก่อมาด้วยกัน.

ลูกตัดสินใจเขียนมาหาท่านเพราะรู้ว่ามีท่านคนเดียวที่ลูกคิดออกในตอนนี้และรู้ว่าจะดีรับคำตอบที่เป็นแสงสว่างที่แท้จริงในชีวิต เพราะวิบากกรรมที่ลูกประสบอยู่ตอนนี้ มีเข้ามาเกือบทุกวัน ลูกยังงงอยู่สี่งที่ไม่น่าเกิดก็ยังเกิด

กราบขอบพระคุณค่ะ

พิมพ์พิชญ์ชา

คำตอบ
     หากมีชีวิตจริงดังที่บอกเล่าไป ก็เป็นชีวิตที่น่าสงสาร เหตุเพราะกรรมไม่ดี กำลังให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ผู้ทำกรรมไม่ดีไว้ก่อน จึงต้องยอมรับความจริง และชดใช้หนี้เวรกรรมไปจนกว่าจะหมดสิ้น แล้วชีวิตจึงจะพ้นอกุศลวิบากนั้น การปฏิบัติธรรมเป็นบุญใหญ่สุด ผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วอุทิศบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร หนี้เวรกรรมย่อมหมดไปได้เร็ว

   (๑). ถามไปว่า : ต้องทนทุกข์รับกรรมอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร
      ตอบมาว่า : ต้องรับอกุศลวิบากไปอีกนาน เท่าที่ชดใช้หนี้เวรกรรมได้หมด หรือเจ้ากรรมนายเวรอโหสิให้

   (๒). ถามไปว่า : ถ้าลูกไม่สามารถส่งเสียบุตรให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ จะบาปไหม?
      ตอบมาว่า : ถ้าเขาไม่ประสงค์จะเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่ถือว่าเป็นบาป ถ้าเขาประสงค์แสวงความรู้ในสถาบันนอกมหาวิทยาลัย แล้วผู้เป็นแม่ไม่ส่งเสริมให้เขาเรียน ถือว่าเป็นบาป เพราะไม่ประพฤติจริยธรรมของการเป็นแม่ที่ดี

   (๓). ถามไปว่า : ถ้าสัตว์เลี้ยงที่ผู้ถามปัญหาดูแลอยู่ ถูกทิ้งจะบาปไหม
      ตอบมาว่า : บาปครับ
  

1567.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้รับประโยชน์่จากธรรมะที่อาจารย์แนะนำอย่างมากเลยค่ะ ทำให้มีหลักคิด พูด ทำได้ถูกต้องและชัดเจนขึ้น หนูขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลที่เคยทำไว้ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติจงสำเร็จแก่อาจารย์สนอง รวมทั้งทีมงานทุกคนในชมรมกัลยาณธรรมให้มีความสุขกาย สุขใจและประสบความสำเร็จในการทำสิ่งดีงามทุกประการนะคะ

อาจารย์คะ หนูขออนุญาตถาม 2 คำถามนะคะ

1. หนูต้องการช่วยคุณแม่ทำงานเพื่อลดภาระให้ท่านทำงานน้อยลง แต่เนื่องจากที่บ้านเป็นร้านของชำซึ่งจำหน่าย เหล้า บุหรี่ อยู่ด้วย ไม่อยากขายสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ ช่วงแรก ๆช่วยทำงานไป บางครั้ง จิตตก ทุกข์ แต่สักพักก็คิดได้ว่า ต้องรักษาใจไม่ให้ตก (อะไรก็เสียได้ แต่ใจห้ามเสีย) ก็ดีขึ้นและปฏิบัติธรรม รวมทั้งสวดมนต์ทุกวันพร้อมทั้งอธิษฐานจิต ขอให้ทุกคนในครอบครัวของหนูหลุดออกจากวิบาก ที่ต้องขายสิ่งเสพติดและมิจฉาอาชีพทุกประการ ทั้งในภพนี้และทุก ๆชาติภพไป อยากขอคำแนะนำอาจารย์ค่ะ ว่าควรทำอย่างไรดีที่สุดคะ

2. เผอิญได้เจอข้อมูลที่ระบุว่า ให้หยุดทำบาปด้วยการไม่ถวายเงินทองแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร โดยข้อมูลอ้างว่าผิดพระบัญญัติพระไตรปิฎก เล่ม 3 หน้า 940 เล่มสีน้ำเงิน และเล่ม 3 หน้า 887 เล่มแดง ที่พระพุทธองค์ได้ระบุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...อนึ่งภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่ง ทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดีเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ ต้องสละสิ่งของนั้นออกไป จึงจะพ้นโทษ หนูงงมากเลยค่ะ ตกลงถวายเงินให้พระไม่ได้หรือคะ แบบนั้นการทอดกฐิน ทอดผ้าป่าก็ไม่ถูกต้องหรือคะ อาจารย์ช่วยแนะนำหน่อยนะคะว่า ต้องคิดอย่างไรให้ถูกต้องตามธรรม

กราบขอบคุณอาจารย์มาก ๆเลยนะคะที่สละเวลาช่วยตอบคำถาม

คำตอบ
     (๑). การเกิดมาแล้วได้อัตภาพเป็นมนุษย์ มีงานใหญ่ที่ต้องทำอยู่สองงาน คือ งานภายนอกที่ต้องทำให้กับสังคม เช่น เปิดร้านขายของ และงานภายในที่ต้องทำให้กับตัวเอง คือสั่งสมบุญ เพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางสู่ปรโลก ผู้มีปัญญารู้เห็นเข้าใจ เช่นนี้ได้แล้ว ย่อมไม่ประมาทพัฒนาจิตให้มีบุญอยู่เหนือบาป เพื่อให้บาตามส่งผลไม่ทัน ทั้งในชีวิตนี้และในชีวิตหน้า และจะดีที่สุดหากสามารถพัฒนาจิต แล้วปิดอบายภูมิให้ได้ ดังที่อริยบุคคลได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

   (๒). ภิกษุรูปใดมีจิตเป็นทาสของทรัพย์เงินทอง ภิกษุรูปนั้นย่อมมีชีวิตวิบัติ ไม่สามารถพัฒนาจิตให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ ดังที่พระพุทธโคดมตรัสกับพระอานนท์ เมื่อเห็นถุงบรรจุเงินที่โจรนำมาทิ้งไว้ที่หัวคันนา ขณะเดินบิณฑบาต ในทำนองที่ว่า
      พระพุทธะ : อานนท์ เธอเห็นงูพิษไหม
      พระอานนท์ : เห็นพระเจ้าค่ะ

    ตรงกันข้าม ภิกษุรูปใดมีจิตเป็นอิสระจากทรัพย์เงินทอง นำเงินที่ได้จากการทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ฯลฯ ไปใช้สร้างศาสนสถาน เช่น สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ สร้างศาลาปฏิบัติธรรม ฯลฯ ได้ถูกตรงตามเจตนารมณ์ของผู้สละทรัพย์ทำบุญ บาปย่อมไม่เกิดขึ้นกับภิกษูรูปนั้น
  

1566.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพครับ

    อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย เรื่อง คำถามต่อไปนี้ครับ

1) เรื่องที่คิด ในสิ่งไม่ดี ไม่เหมาะสม แต่การกระทำไม่เคยกระทำ ทำไมจิตของเราไม่เป็นตัวเราครับ เพราะจุดประสงค์แท้จริงเราอยากเป็นคนดี
    แต่ในหลายครั้งจิตกลับคิดสิ่งที่ไร้สาระ สกปรก น่ารังเกียจ แม้แต่ผู้มีพระคุณ หรือ ผู้มีคุณธรรมสูงครับ   บาปมาก กลัวมาก แต่ก็ยังแก้ไม่ได้
    อาจารย์ให้เจริญสติให้กล้าแข็ง แล้วจะแก้ได้ ก็กระทำอยู่ แต่ยังทำไม่ได้ ถ้าไม่เจอหรือ พบก็ไม่คิด แต่หากมาพบหรือเจอกลับคิด  
    เช่นกัน หากกระผมได้เคยล่วงเกินท่านอาจารย์ไม่ว่าทางใด ขออาจารย์จงงดโทษ ยกโทษ อโหสิกรรมให้กระผมด้วยครับ

    มีคำกล่าวว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับ ทุกสิ่งก็ดับ กรณีนี้มันเกิดมาจากเหตุใดครับ

2. ชาตินี้รู้สึกตนว่าเป็นคนโง่ คนมีไหวพริบน้อย ไม่ทันคน ต้องทำบุญอย่างไร หรือปฏิบัติอย่างไร จึงจะพัฒนาตนให้เป็นคนฉลาด มีปัญญาไว (ในชาติต่อไป) ครับ  

3.  คำว่า มหาทานนั้น  ต้องทำอย่างไรครับ ให้เหมาะกับสภาพ เศรษฐิกิจของตนเองครับ เห็นคนทำบุญ ตั้งโรงทาน แต่ตนเองกับมีรายได้ไม่มาก แค่ตนเองก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้วครับ

4.  ทุกวันนี้ทำไม คนดี ( ต้องมาร่วมรับกรรมกับคนเลว) เช่น น้ำท่วมหาดใหญ่ น้ำท่วมโคราช บางคนสิ้นเนื้อประดาตัว เห็นแล้วสงสารครับ
     
     และยังมีคำทำนายของคนบางคน น่ากลัวมาก เพราะแค่ สึนามิ อันเดิมที่คนตายไปกว่าสองแสน บอกว่าเป็นแค่ชิมลาง ต่อไป จะมีอีกและอาจเกิดได้ สองฝั่งทะเลไทย อาจารย์จะแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรครับ  
 
   ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
    (๑). หากผู้ถามปัญหาปรารถนาให้พ้นจากบาปที่ตนระลึกได้ ต้องขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป พระเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุ เจดีย์ที่บรรจุพระธรรม ฯลฯ แล้วพัฒนาจิตให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น จากนั้นต้องฝึกจิตให้มีสติกล้าแข็ง จิตที่มีศีลและมีสติอยู่ทุกขณะตื่น สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายมิให้เข้ามามีอำนาจเหนือใจได้ แล้วปัญหาที่ถามก็จะยุติไป

   (๒). ผู้ใดปรารถนาความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันคน ผู้นั้นต้องเข้าใกล้และเสวนากับคนที่ปัญญาเห็นถูกตามธรรม และดีที่สุดหากนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม จนสามารถเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใดแล้ว ความเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด และรู้ทันคนย่อมเกิดขึ้นได้

   (๓). คำว่า “ มหาทาน ” หมายถึงทานที่ให้กับคนหมู่มาก ให้กับหมู่สงฆ์ ผู้ทรงคุณธรรมสูง ให้ทานอย่างต่อเนื่องยาวนานเจ็ดวัน ให้กับหมู่สงฆ์ที่มาจากจตุรทิศ ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่า มหาทาน

   การให้ทาน สามารถให้สิ่งดีงามได้ตามความเหมาะสมของตน เช่น ให้ทรัพย์เป็นทาน ให้ข้าว ให้นำ ให้ยาน ให้ที่อยู่อาศัย ให้แรงงานเป็นทาน ให้โอกาสเป็นทาน ให้อภัยเป็นทาน ให้ธรรมะเป็นทาน ฯลฯ
  

1565.
กราบเท้า ครูอาจารย์ ดร.สนอง

ผมได้ฟังซีดีของท่านอาจารย์ ดร.สนองมาหลายครั้งแล้ว เกิดความเลื่อมใสในจริยวัตร ต่างๆ ของท่านอาจารย์ ดร.สนอง เป็นอย่างมาก แต่ยังไม่มีโอกาศได้ไปกราบเท้าอาจารย์ ดร.สนอง เลย เพราะอยู่ถึงชลบุรี ผมได้เจริญสติ มาประมาณ 1-2 ปี แล้ว ได้ฝึกมาหลายๆอย่าง แต่รู้สึกว่า ถูกจริตกับ พุทโธ แต่มาระยะหลัง มาบริกรรม นะมะ พะธะ ตามแบบหลวงพ่อฤา ษี ลิงดำ แล้ว รู้สึกถึงความโล่งเบา และจิตเข้าสมาธิเร็วกล่าเดิม อย่างนี้ถือว่า การบริกรรม นะมะ พะธะ ถูกจริตมากกว่าหรือป่าวคับ อยากรบกวนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ช่วยชี้แนะด้วยคับ
 
 - การที่ผมฝึกเจริญสติด้วยตนเอง โดยไม่มีพระอาจารย์ใด ช่วยแนะนำอย่างจริงจัง จะทำให้ผม ผิดทางได้หรือป่าว หากเป็นไปได้ อยากให้ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ช่วยแนะนำพระอาจารย์ ที่เป็นกัลยาณมิตรของผมด้วย
 
- แฟนผมเปิดร้านเพ็ทช๊อป อาบน้ำตัดขน สุนัข ต้องมีการเก็บเห็บ หมัดจากสุนัข ไปปล่อยเสมอ แต่อาจมีบ้างครั้งทำให้มันตายโดยไม่ตั้งใจ จะเป็นการสะสมบาปหรือป่าวคับ แล้วควรทำอย่างไรดี
 
- ปัจจุบันร้านมีแนวคิดจะนำลูกสุนัขมาจำหน่าย แต่มีเพื่อนบอกว่าเป็นบาป ไม่ควรทำ การทำแบบนี้บาปหรือป่าวคับ แล้วควรทำหรือไม่คับ
 
สุดท้่ายนี้ขอกราบเท้าท่านอาจารย์ ดร.สนอง ด้วยความเคารพยิ่ง ขอให้ท่านอาจารย์ ดร.สนอง สั่งสอนธรรมไปนานๆนะคับ

คำตอบ
    ตามที่บอกเล่าไปถือว่าประพฤติธรรมได้ถูกตรงกับจริต แต่ต้องไม่ลืมพัฒนาจิตตนเองให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เพื่อนำพาชีวิตไปสู่ความเป็นอิสระ และพ้นไปจากความทุกข์

   ผู้ใดมีบุญบารมีสั่งสมมาแต่อดีตมากพอ ผู้นั้นสามารถปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองได้ คือปฏิบัติสมถกรรมฐาน แล้วจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ผลแห่งการปฏิบัติธรรมเป็นเช่นนี้ จึงจะถือได้ว่าปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง ตรงกันข้าม ผู้ที่อบรมสั่งสมบารมีมาไม่มากพอ ควรแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีประสบการณ์ถูกตรงตามธรรม มาเป็นครูสอนกรรมฐาน หากผู้ถามปัญหาปรารถนาความเจริญในชีวิต ควรฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ภูพาน แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน

   ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ หากเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว ถือว่าผู้นั้นมีบาป ผู้ใดปรารถนาไม่ให้บาปเกิดขึ้น ต้องเลือกประกอบอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีวะ หรือประกอบอาชีพเดิมที่เป็นบาป แต่ต้องพัฒนาบุญให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ พัฒนาบุญให้มีผลยิ่งใหญ่กว่าบาป แล้วชีวิตจะไม่วิบัติ
   

1564.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรค่ะ

หนูเรียนคณะสัตวแพทย์ ชั้นปีที่ 5 
ที่ผ่านมาต้องฆ่าสัตว์หลายชนิดเพื่อการศึกษา ซึ่งหนูไม่อยากทำเลยค่ะ .. ไม่อยากทำแล้วค่ะ
เมื่อคิดว่าปี 6 ก็ต้องทำต่อไปและมากกว่าเก่า  
และถ้าเรียนจบไปประกอบอาชีพ ก็มีโอกาสประกอบกรรม
การทำหมัน การฆ่าเห็บหมัด การตัดสินชีวิตสัตว์ และอื่นๆอีก  

ความคิดและความรู้สึกดังกล่าวมานี้ ทำให้คิดจะหยุดเรียนและรับปริญญา วทบ.เฉยๆค่ะ

แต่..น้องชายก็เพิ่งดร็อปเรียน .. แม่กับพ่อผิดหวังค่ะ
หนูคิดว่า ถ้าหนูจะทำอีกคน พ่อกับแม่คงจะผิดหวังมากทีเดียว

ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรค่ะ ขออาจารย์ช่วยชี้แนะ..แนวทางการคิด..ด้วย

1. อาจารย์บอกว่า " บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้ไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวล่วง "
ถ้าพ่อแม่คาดหวัง แล้วเราทำให้ผิดหวัง .. ไม่บาปแต่ .. จะดีหรือคะหนูพูดไม่ออกจริงๆ  

2. ถ้าเลือกตัดสินใจเรียนต่อ ควร ประพฤติ + รักษาใจ อย่างไรคะ
เพื่อนๆบอกว่า ปัญหาอยู่ที่ใจหนูมากกว่าค่ะ .. ควรจะทนๆไป อีกปีครึ่งเอง..

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
   (๑). พ่อกับแม่คาดหวังให้ลูกทำในสิ่งที่ผิดไปจากธรรม ลูกไม่ประพฤติตามย่อมไม่มีบาปเกิดขึ้น แต่พ่อและแม่ผู้รู้ไม่จริงแท้ จึงสร้างบาป (คาดหวัง) ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ผู้คาดหวังจึงต้องรับบาปนั้น เมื่อลูกพูดไม่ออกก็ไม่ต้องพูด เพียงแต่นิ่งเฉยไว้และต้องประพฤติจริยธรรมลูกที่ดีต่อพ่อแม่ แล้วชีวิตของลูกจะไม่วิบัติ

   (๒). หากตัดสินใจเรียนต่อให้จบ ผู้เป็นลูกต้องพัฒนาจิตตัวเองให้มีบุญมากกว่าบาป แล้วบุญจะสามารถคุ้มครองชีวิตมิให้วิบัติได้
   

1563.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง

การทำบุญตักบาตรทุกเช้า กับการถวายเงินเป็นค่าอาหารเลี้ยงภิกษุสามเณรและผู้ปฏิบัติธรรม
ทุก ๆ เดือน มีอานิสงส์ต่างกันอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     ให้อาหารเป็นทานด้วยการใส่บาตรทุกวัน เมื่อกรรมดีให้ผล ย่อมมีอาหารบริโภคอุดมสมบูรณ์ ส่วนการถวายเงินถือว่าเป็นการให้ทรัพย์เป็นทาน เมื่อกรรมดีให้ผล ผู้ถวายทรัพย์เป็นทานทุกเดือน ย่อมมีทรัพย์ให้ใช้จ่ายอย่างไม่ขาดมือ
   

1562.
ถามการฝึกจิต

อยากรู้ว่า ควรฝึกวันละกี่ชมครับ
ผมพึ่งฝึกวันเเรก ขอคำเเนะนำหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
    ฝึกปฏิบัติธรรมวันละกี่ชั่วโมง ยังไม่สำคัญเท่ากับ ฝึกได้ถูกตรงตามธรรม มีศีล มีสัจจะ และฝึกต่อเนื่องทุกวัน เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ผลสัมฤทธิ์ย่อมเกิดขึ้น
     

1561.
กราบเรียนท่าน ดร.สนอง วรอุไร ค่ะ

  หนูมีเรื่องทุกข์ใจอยากจะสอบถามหน่อยค่ะว่า ทำไมหนูจึงมีจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปมาก คิดวกวน   มีนิสัยดื้อรั้น คือเริ่มเป็นคนสับสนในตัวเองอย่างมากค่ะ ไม่แน่ใจว่าที่คิดแบบนี้ถูกหรือผิด และก็กลัวไปเองในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจนบางคนเขาก็บอกว่าหนูบ้า เป็นโรคประสาท ไม่เต็มบ้างค่ะ ไม่ทราบว่าที่เป็น แบบนี้เขา เรียกว่าเป็นบ้าหรือจิตวิปลาสหรือเปล่าคะ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจร้อนรนคิดจะด่าว่าก็ทำโดย สนใจใครเป็นบางครั้ง จนรู้สึกว่าตัวเองทำเสียหายเสียชื่อเสียง และที่คิดจะเลิกกับแฟนเพราะเขาเป็นคนขี้เมา มีเมียเยอะแก่กว่าหนูหลายปีแต่ใจดีและ
หนูไม่สามารถทำอย่างที่เขาต้องการได้ ทั้งที่หนูก็รักเขาแต่หนูก็คิดจะตัดใจ เดี๊ยวบอกเลิก เดียวก็ไม่เลิกหนูควรจะทำอย่างกับเขาดีคะ จนเขาและเพื่อนเขาเริ่มจะสับสน และเบื่อหนูแล้วค่ะทำเหมือนคนไม่มีศักดิ์ศรีเลยไม่อยากเป็นแบบนี้เพราะรู้สึกแย่
 
  ทำไมหนูถึงเป็นแบบนี้ และควรจะทำอย่างไรดีคะถึงจะถูกต้องและมีชีวิตที่ดีขึ้นน่ะค่ะ
ขอบคุณท่านอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
   คนที่คิดสับสน คิดวกวน ถือว่าเป็นคนที่ขาดสติ หรือสติมีกำลังอ่อน ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว ย่อมมีโอกาสเกิดปัญญาเห็นถูกตามมา ผู้ใดมีสติและมีปัญญาเห็นถูก เรียกผู้นั้นว่ามีสติสัมปชัญญะ ผู้มีสติสัมปชัญญะสามารถระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต เมื่อรู้ว่าดีแล้วประพฤติ เมื่อรู้ว่าไม่ดีแล้วไม่ประพฤติ ผู้มีการประพฤติเช่นนี้ย่อมมีพฤติกรรมดีงาม ความคิดสับสน คิดวกวนย่อมหมดไป ดังนั้นผู้ถามปัญหาปารถนาผ่านพ้นพฤติกรรมไม่ดีของชีวิต ต้องนำตัวเองไปพัฒนาจิต จนเกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้เมื่อใด ความคิดวกวน ความคิดสับสน การมีพฤติกรรมไม่ดีย่อมหมดไป ผู้รู้ไม่ก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด แต่ชี้แนะแนวทางที่จะทำให้ปัญหาหมดไปได้
  

1560.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ สนอง   วรอุไร  

    ผมมีเรื่องอยากเรียนท่านอาจารย์ครับ คือ   ปัจจุบันผมได้มาทำงานที่ต่างประเทศเกือบสิบปีแล้ว และห้าเดือนที่ผ่านมาผมได้คบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอก็มีแฟนอยู่แล้วแต่แฟนของเธอก็มีภรรยาอยู่ที่เมืองไทย เมื่อเธอได้เจอกับผมเธอก็ตัดสินใจมาอยู่กินกับผม เธอก็ดีกับผมและรักผมมากและผมก็รักเธอมากเช่นกัน เราตั้งใจจะสร้างอนาคตด้วยกัน แต่ความรู้สึกของผมเหมือนทำผิดที่พรากเธอมาจากผู้ชายคนนั้น แต่อีกใจนึงก็คิดว่าผู้ชายคนนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว และไม่ได้รับผิดชอบเธอจริงๆ ผมเลยเกิดความสับสนอยู่ตลอดเวลา และหลังจากที่ผมได้ฟังการบรรยายธรรมจากท่านอาจารย์ และหลวงปู่เณรคำแล้ว ผมก็คุยกับเธอและเปิดคลิปการบรรยายธรรม ให้เธอฟังผมลองถามเธอว่า ถ้าผมจะไปบวชจะว่าอย่างไร เธอก็ไม่ยอมครับ ผมก็สงสารและเป็นห่วงเธอเช่นกันเลยตกลงกับเธอว่า เราสองคนจะบวชที่บ้าน คือต่อไปจะรักษาศีล๕และทานไม่ให้ขาด  

     เรื่องที่ผมอยากถามอาจารย์ ก็มีดังนี้ครับ
๑ ผมและเธอทำผิดศีลใช่ไหมครับ และผมควรเลิกกับเธอรึปล่าวครับ
๒ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมและเธอ จะตั้งใจรักษาศีลและทานไปตลอด ผมและเธอจะหลุดพ้นจากบาปได้ไหมครับ
๓ ผู้ที่เคยทำบาปมาแล้ว อย่างผมกับเธอวันนี้คิดจะทำแต่ความดี ขอให้ ท่านอาจารย์ได้โปรดชี้แนะแนวทางที่ถูกที่ควรด้วยครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
     เป็นความผิดที่ประพฤติทุศีลข้อสาม คือไปเอาหญิงอื่นมาเป็นภรรยา โดยเจ้าของ (พ่อแม่) มิได้ยกให้

   (๑). ถือว่าผิดศีลข้อ ๓ ผู้ใดรู้ว่าทำผิดแล้วทำใหม่ให้ถูก คือไปสารภาพผิดต่อเจ้าของ แล้วขอมาเป็นภรรยาของตน เมื่อพ่อแม่ยกให้ ความผิดอันเป็นบาปจะยุติลงเท่านั้น แต่บาปที่ทำไว้ก่อนยังรอให้ผล

   (๒). จะพ้นจากบาปนั้นได้ ต้องปฏิบัติทาน-ศีล-ภาวนา จนสามารถปิดอบายภูมิได้ ดังที่สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วนั้นไง

   (๓). สำหรับผู้ที่มีบุญบารมีเก่า สั่งสมมาแต่อดีตไม่มากนัก ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม จนสามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว บาปเก่าที่ยังถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิต ย่อมหมดโอกาสให้ผล
  

1559.
กราบเรียนค่ะ

  ลูกมีเรื่องอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ึค่ะ ขณะนี้ลูกมีฝึกงานอยู่ที่ต่างประเทศ และมีเรื่องที่ทำให้ลูกไม่สบายใจ เนื่องจากเพื่อนร่วมงานค่ะ ลูกเพิ่งได้รับงานที่มีความซับซ้อนเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ลูกเกิดความทุกข์ใจ และส่งผลกระทบต่อลูกมากที่สุดคือเพื่อนที่ร่วมทำงานกับลูก เพราะลูกมีึวิตกจริตค่อนข้างมาก ทำให้เวลาที่ได้ยินเพื่อนร่วมงาน คุยกระซิบกระซาบ หูก็มักจะพยายามตั้งใจฟังว่าเขานินทาเราหรือไม่ บางครั้งลูกก็คิดว่าเขาพูดถึงลูกในแง่ลบ หรือหมั่นไส้ลูกเพราะนายของลูกมีความเมตตาต่อลูกมาก แต่เพื่อนที่ดีลูกคิดว่าเขาดีจริงๆก็มีค่ะ

อีกเรื่องคือ งานที่ลูกได้รับเป็นงานของเจ้านายอีกคนที่กำลังจะลาออกไป ซึ่งเป็นงานที่สำคัญต่อบริษัทมาก ลูกกลัวกว่าเขาจะมองเราว่าเพิ่งมาทำงาน ทำไมจึงได้รับมอบหมายงานเช่นนี้
ลูกควรทำอย่างไรคะ มีความทุกข์ใจเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของลูกมาก รู้เหมือนคนรอบๆมีความไม่จริงใจต่อเรา พูดกับเราดีต่อหน้าแต่แอบว่าเราลับหลังหรือไม่
ลูกอยากจะทำหูให้เป็นหูหม้อหูกระทะ เช่นที่อาจารย์เคยบรรยาย แต่มันยากเหลือเกินค่ะ ขณะนี้ลูกแทบจะนับวันรอกลับไทยเลยเพราะลูกรู้สึกโดดเดี่ยวมาก

อาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำลูกด้วยค่ะ ลูกทราบว่าเหมือนโง่ที่ไปรับสิ่งที่ไม่ดีมาเก็บไว้ในจิต แต่ลูกก็ไม่ทราบว่าจะแก้อย่างไรตราบใดที่ลูกยังต้องได้ยินสิ่งที่ทำให้ลูกไม่สบายใจเช่นนี้

คำตอบ
  ที่บอกเล่าไปเป็นการแสวงบาปใส่ตัวที่คนโง่นิยมประพฤติกัน (ขออภัยที่พูดตรง) ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติ เช่น สวดมนต์ก่อนนอน เจริญอานาปานสติหลังสวดมนต์ เมื่อประพฤติจนเป็นปกติได้แล้ว จิตย่อมมีกำลังสติเพิ่มขึ้น มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้น จิตที่มีสติปัญญาส่องนำทางให้ชีวิต จะไม่รับเอาบาปของคนอื่นมาเป็นบาปของตัว คนอื่นกระสับกระส่าย มันเป็นเรื่องของเขา แต่เราโง่เองที่ไปเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตัว ดังนั้นผู้ใดประพฤติตามที่แนะนำได้แล้ว ปัญหาจึงจะหมดไปได้ เช่นเดียวกัน ใครประพฤติไม่จริงใจ มันเป็นเรื่องของเขา แต่เราต้องประพฤติจริงใจต่อทุกคนที่เข้ามามีสัมพันธ์ด้วย

   การเข้ามาทำงานใหม่ แล้วได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญของบริษัท นั้นเป็นเรื่องของศักยภาพในการทำงานของผู้ถามปัญหา มีสูงกว่าคนอื่นที่ทำงานมาก่อน ผู้ถามปัญหาได้รับมอลบหมายให้ทำงานสำคัญ เพราะเจ้านายผู้มีอำนาจสั่งการ เห็นว่าผู้ถามปัญหามีความสามารถเหมาะสมกับงาน จึงได้สั่งการเช่นนั้น

   อนึ่ง ผู้ใดรู้ว่าตนเองโง่ ผู้นั้นมีโอกาสเจริญได้ในวันข้างหน้า และหากผู้ใดประพฤติตามคำชี้แนะ ผู้นั้นมีโอกาสพ้นไปจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้
  

1558.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง วรอุไร

หนูได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีต่ออาจารย์ค่ะ คือ ในขณะที่ได้ฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ในเว็บกัลยาณธรรม ขณะหนึ่งจิตของหนูคิดไม่ดีต่ออาจารย์ค่ะ แล้วหนูก็รู้สึกตัวว่า ไม่ควรทำเป็นความเห็นผิดที่คิดลบหลู่ครูบาอาจารย์ที่หนูศรัทธาและนับถือ ซึ่งจะมีผลทำให้ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น หนูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่อยู่ ๆ ก็มีความคิดไม่ดีแบบนี้ อาจารย์เคยบอกว่า ความคิดที่ไม่ดีแบบนี้ เกิดจากการที่มีกำลังสติอ่อน ซึ่งก็เป็นความจริงค่ะ ดังนั้นหนูขอกราบขอขมาต่อท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ด้วยกายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 กรรมอันหนึ่งอันใดที่หนูได้ประมาท พลาดพลั้งล่วงเกินต่อท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ทั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ขออาจารย์โปรดเมตตาอโหสิกรรมให้แก่หนูด้วยค่ะ หนูมีเรื่องเรียนถามอาจารย์ 1 ข้อค่ะ คือ

จากการฟังธรรมบรรยาย อาจารย์บอกว่า หากเรานอนสูงกว่าพ่อแม่ คือ พ่อแม่นอนชั้นล่าง ส่วนเรานอนชั้นบน จะทำให้เราทำอะไรก็ไม่เจริญ หากว่ามีความจำเป็นที่คุณแม่ต้องนอนชั้นล่าง เนื่องจากคุณแม่อายุมากแล้ว เดินขึ้นบันไดไม่ไหวค่ะ   หนูบอกท่านแล้วว่ามันเป็นบาปกับหนู ท่านบอกหนูว่า ท่านไม่ถือ แล้วก็นอนตำแหน่งไม่ตรงกัน คงไม่เป็นไรหรอก

เรียนถามท่านอาจารย์ว่า อย่างนี้ถือเป็นบาปหรือไม่ค่ะ ถ้าเป็นบาปต้องแก้ไขอย่างไรค่ะ  

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
   อโหสิให้แล้วครับ
   เมื่อใดพ่อแม่ไม่ถือว่าเป็นโทษ โทษนั้นย่อมไม่มีกับผู้ถามปัญหา ที่บอกเล่าไปสามารถทำได้ จะดียิ่งขึ้นหากผู้ถามปัญหาสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์กำหนดลมหายใจ (พุท-โธ) เมื่อเสร็จกิจทั้งสองแล้ว อุทิศบุญให้พ่อแม่ แล้วบอกให้ท่านอนุโมทนา และจะดีที่สุดหากผู้เป็นลูกมีความกตัญญูกตเวที ด้วยการประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกให้ถูกต้อง เช่น ท่านเลี้ยงมา เลี้ยงท่านตอบแทน ทำงานแทนพ่อแม่ ไม่ประพฤติโต้แย้งโต้เถียง ประพฤติตนไม่ให้วงศ์ตระกูลต้องเสื่อมเสีย ฯลฯ
  

1557.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง

หนูมีปัญหาเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1. หนูนั่งสมาธิโดยภาวนายุบหนอพองหนอ มีอาการปวดที่บริวเวณขา หนูก็ภาวนาว่าปวดหนอ ๆ
พร้อมกับเฝ้าดูพิจารณาอาการปวดนั้นว่าเป็นอย่างไร ปวดแบบไหน เช่น บางทีก็ปวดบิดเป็นเกลียว
บางทีก็ปวดแบบมีอะไรทิ่มแทงลงไป บางทีก็ปวดแบบพองออกเหมือนกับจะระเบิดออกมา
เมื่อภาวนาไปความปวดบริเวณที่ภาวนานั้นก็หายไป แล้วก็ไปปวดบริเวณอื่นแทน
เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนก่อนจะหมดเวลา หนูมีความรู้สึกว่า ร่างกายของหนูกำลังนั่งภาวนาอยู่
ส่วนความปวดนั้นก็ยังอยู่แต่แยกกันอยู่ ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมาก ขณะนั้นมีความรู้สึกพะวักพะวน ไม่รู้จะกำหนดปวดหนอต่อดี หรือภาวนายุบหนอพองหนอดี จนกระทั่งหมดเวลาพอดีค่ะ หนูกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า หนูปฏิบัติถูกต้องหรือเปล่าคะ และต้องทำอย่างไรบ้างคะ

2. พระคาถาบทนี้ หมายถึงอะไรคะ มีความเป็นมาอย่างไร
ปะโต เมตัง ปะระชีวินัง สุขะโต จุติ   จิตตะ เมตะ นิพพานัง สุขะโต จุติ

3. หนูเป็นคนที่มีจิตใจฟุ้งซ่านมากและขี้หลงขี้ลืม เลยพยายามบังคับตัวเอง โดย เมื่อเวลานั่งรถ หรือนั่งรอ ก็ท่องบทสวดบูชาพระพุทธคุณ อิติิปิโส ฯ ไปเรื่อย ๆ วิธีการแบบนี้ควรทำหรือเปล่า ดีหรือไม่ดีอย่างไรคะ

4. การที่เราทำบุญกับคนหมู่มาก เช่น การโอนให้กับมูลนิธิ-โรงพยาบาลต่าง ๆ ผ่านบัญชีธนาคาร ติดต่อกันครบ 7 วัน แบบนี้ถือว่าเป็นการสร้างมหาทานหรือเปล่าคะ   และในช่วงที่เราสร้างมหาทานใน 7 วันนั้น ทุกวันก่อนนอนเราสวดมนต์ไหว้พระอธิษฐานจิตก่อนนอนเป็นปกติอยู่   ต้องงดอธิษฐานจิตในช่วงนี้ก่อนหรือไม่ แล้วค่อยอธิษฐานจิตในวันที่ 7 ทีเดียวไปเลยคะ

5. คุณพ่อของหนูเสียชีวิตไปเมื่อประมาณปี 38 เนื่องจากพลัดตกลงในแม่น้ำหน้าบ้าน ก่อนเสียชีวิตคุณพ่อไม่สบาย แต่ตอนนั้นหนูไม่ได้อยู่กับคุณพ่อ มารู้ทีหลังว่าคุณพ่อเป็นโรคซึมเศร้า ก่อนหน้านั้นคุณพ่อบอกว่าเวรกรรมตามทันแล้ว และอยากจะบวช แต่คุณแม่ไม่เห็นด้วย บอกว่าถ้าไม่สบายไปจะลำบากไม่มีใครดูแล แบบนี้คุณแม่จะบาปหรือไม่ คุณแม่หนูคิดว่าที่คุณพ่อตกน้ำนั้นคุณพ่ออาจฆ่าตัวตาย เพราะช่วงที่ไม่สบาย คุณพ่อเคยบ่นว่า ในเมื่อแก่แล้วทำงานไม่ได้ (ขาคุณพ่อลีบไปหนึ่งข้าง) จะอยู่ไปทำไม อันที่จริงคุณพ่อเคยบวชมาก่อนแล้ว และก็เคยพูดให้ฟังว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปต้องชดใช้กรรมเป็นร้อยชาติ   หนูกราบเรียนถามอาจารย์ว่า คุณพ่อหนูตายเพราะอะไรคะ แล้วตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
   (๑). การปฏิบัติธรรมยังไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุที่ว่า การบริกรรมพองหนอ-ยุบหนอ เป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น ขณะบริกรรมแล้วยังเอาจิตไประลึกอยู่กับอารมณ์อื่นที่เกิดขึ้น เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ให้เห็นได้ว่า สติได้เคลื่อนออกไปจากองค์บริกรรม จึงถือว่า สติหลุด หรือ ขาดสติ ดังนั้นเมื่อมีอาการปลดเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนอาการปวดหายไป จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

   (๒). ผู้ใดพัฒนาจิตจนเกิดสติและเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับบทมนต์คาถา ผู้ตอบปัญหาไม่แนะนำให้เอาจิตไปสนใจอยู่กับสิ่งด้อยคุณค่า

   (๓). ต้องทำด้วยเอาใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด เพราะเมื่อใดมีจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ เมื่อนั้นสติย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

   (๔). การประพฤติดังที่บอกเล่าไป ถือว่าเป็นการสร้างมหาทานได้ และจะให้มหาทานมีผลมาก ก่อนทำต้องศรัทธา ขณะทำต้องตั้งใจ ทำแล้วต้องสบายใจ เมื่อทำครบ ๗ วันแล้ว จึงอธิษฐานครับ

   (๕). บาปเกิดขึ้นเมื่อไปขัดขวางการทำความดีของผู้อื่น คุณพ่อตายด้วยกรรมตัดรอน แล้วทำให้ลมหายใจเข้า-ออก จำเป็นต้องหยุด อยากรู้ว่าคุณพ่อตายแล้วไปไหน ร่างกาย (ศพ) เอาไปเผา เอาไปฝัง ส่วนจิตโคจรสู่ปรภพตามแรงผลักดันของกรรม อยากรู้ว่าไปไหน ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้แล้ว ให้ถอนจิตออกจากความทรงฌาน แล้วอธิษฐานพบคุณพ่อที่ตายไป ความสมปรารถนาจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
  

1556.

เรียน ดร.สนอง ที่เคารพ

           ดิฉันขอกราบ ฝากตัวเป็นศิษย์ อาจารย์ ได้มั้ยคะ หลังจากได้พยายามปฏิบัติตามรอย ครูบาอาจารย์อยู่เป็นประจำ

ปัญหา   ข้อที่ 1   ด้วยดิฉันมีลูกชาย อายุ 8 ปี ลูกสาวอายุ 3 ปี ทำให้ดิฉัน เผลอมีโทสะกับลูกบ่อย ดิฉันก็อาศัยเจริญเมตตา เพื่อให้โทสะดับ แต่ลูกๆก็สร้างปัญหา ทำให้โทสะดิฉันเกิดบ่อยมาก ไม่รู้จะทำยังไง   ดิฉันชวนลูกสวดมนต์ ลูกก็ไม่ค่อยอยากสวด ทั้งที่ดิฉันก็สวดเป็นตัวอย่างทุกวัน นั่งสมาธิให้ดูทุกวัน (ตอนนั่งสวดมนต์และทำสามธิเป็นช่วงที่ไม่มีโทสะนะคะ) ดิฉันจะทำยังไงดีคะ  

            ข้อที่ 2 ดิฉัน ทำตามที่อาจารย์แนะนำตลอดคือ พยายาม รักษาศีลให้คลุมใจ และกายตลอด ในทุกขณะตื่น พบว่าการทำสมาธิของดิฉันก็ยังสงบบ้างฟุ้งบ้าง ในช่วงที่เกิดความสงบตัวเบาสบาย ดิฉันก็บอกตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ดับไป การบอกกับตัวเองใช่จิตเกิดปัญญาหรือไม่คะ   และทำไมเวลาช่วงที่จิตอยู่ในอารมณ์สงบเบาสบาย ยังมีอีกจิตหนึ่งที่สามรถคิดได้อีกคะ

            ข้อที่ 3 ทำยังไงจิตจะรวมเป็นสมาธิทุกครั้งไม่ฟุ้งคะ

           ดิฉันไม่อยากอยู่ในวัฏสงสารแล้ว ขออาจารย์ แนะนำสั่งสอนศิษย์คนนี้ให้ข้ามภพข้ามชาติด้วยนะคะ ขอบุญบารมีที่อาจารย์เมตตา ต่อศิษย์และเพื่อนมนุษย์จงเป็นปัจจัยให้อาจารย์บรรลุมรคผลนะคะ

            ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด

           ศิษย์

คำตอบ
   
เมื่อใจผู้ถามปัญหา คิด พูด ทำ ถูกตรงตามธรรมวินัยที่ระบุไว้ในพุทธศาสนา เมื่อนั้นถือว่าเป็นศิษย์ เป็นอาจารย์กันโดยปริยาย

   (๑). พระพุทธโคดมสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ผู้ใดให้อภัยเป็นทานในทุกเหตุที่เป็นสิ่งข้องใจได้แล้ว เมตตาย่อมเกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิต ซึ่งส่งผลให้มีอารมณ์สงบเย็น ดังนั้นปัญหาที่ถามจึงมิใช่เมตตาที่แท้จริง เหตุที่เกิดโทสะ เพราะจิตมีกำลังของสติอ่อน จึงไม่สามารถระลึกได้ทันสิ่งขัดใจที่ลูกๆส่งให้ ลูกเป็นครูทดสอบกำลังใจให้แม่ได้เห็นจุดอ่อนของตัวเอง ปัญหานี้หมดไปด้วยการเจริญสติให้มีกำลังกล้าแข็ง

   (๒). จิตเป็นพลังงานที่มีธรรมชาติ รู้ คิด นึก ขณะที่จิตอยู่ในอารมณ์สงบ เบาสบาย แล้วคิดได้ว่า อารมณ์ดังกล่าวย่อมดับไป การรู้ เห็น เข้าใจเช่นนี้ เป็นตัวปัญญาที่เกิดขึ้นในจิต ในหมู่นักปฏิบัติธรรมที่เข้าถึงสภาวะเช่นนี้ เรียกว่า เห็นจิตในจิต

   (๓). ต้องเจริญสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความเป็นมหาสติ คือ สามารถระลึกทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต ผู้ใดมีจิตเป็นมหาสติ ผู้นั้นมีจิตสงบจากอารมณ์ปรุงแต่งอยู่ทุกขณะตื่น

   ผู้ใดปรารถนานำพาชีวิตไปให้พ้นการเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏฏะ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ขจัดความไม่รู้จริง (อวิชชา) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด การไม่วนมาเกิดเป็นรูปนามในวัฏฏะ จึงมีได้เป็นได้
   

1555.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

หนูขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่เสียสละเวลาพักผ่อนมาตอบปัญญาให้คนไทยที่อยู่ทุกมุมของโลกอ่านกัน   ถึงหนูจะอยู่คนเดียวที่อเมริกา หนูก็ไม่เคยรู้สึกมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมเท่านี้ในชีวิตเลยคะ หนูไม่มีคำถามใดๆ ให้อาจารย์ตอบทั้งสิ้นค่ะ   หนูเพียงอยากจะฝากบอกคนที่ถามกระทู้ 1552-3 ว่า หนูได้ไปปฏิบัติธรรม สอนโดยท่านโกเอนก้า ที่รัฐ Colorado และ Goergia ในช่วงปีที่ผ่านมา เป็นหลักสูตรเข้มข้น ปฏิบัติสิบวันโดยไม่พูด เป็นการฝีกสายเถรวาท เน้นระเบียบวินัยมาก ฝีกอานาปนสติก่อน แล้วจึงทำเวทนานุสติ หนูอยากฝากบอกให้คนไทยที่อยู่ในอเมริกา หรือ ประเทศอื่น ๆ ที่คิดว่าหาอาจารย์สอนกรรมฐานนอกเมืองไทยไม่ได้ลองปฏิบัติดูค่ะ จริง ๆ เค้ามีศูนย์ทั่วโลก ที่เมืองไทยก็มีค่ะ เข้าไปสมัครได้ที่ www.dhamma.org

หนูเคยคิดว่าเมื่อหนูเรียนจบปริญญาเอกที่นี่แล้ว จะรีบกลับไปกู้เงินไปซื้อที่ิดิน สำหรับทำสถานที่ปฏิบัติธรรมให้ใครที่สนใจมานั่งสมาธิด้วยกัน และวางระบบให้ดี ๆ เพื่อที่จะเป็นแรงบรรดาลใจให้คนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเห็นว่าธรรมะมีประโยชน์กับชีวิตประจำวัน ทั้งส่วนตัวและสังคม

ตอนนี้หนูเปลี่ยนความคิดนิดหนึ่งคือว่า หนูควรจะปฏิบัติธรรมจนกระทั่งมีดวงตาเป็นธรรมก่อน แล้วค่อย ๆ เก็บเงิน เดินตามมรรคแปด จนพร้อมทั้งเงินและสติปัญญา จึงค่อยสร้างสถานปฏิบัติธรรมค่ะ หวังว่าหนูคงมีโอกาสได้เจออาจารย์อีกทีตอนหนูกลับไปอยู่ที่เชียงใหม่นะคะ

กราบสวัสดีค่ะ

จิรภัทร

คำตอบ
    พระพุทธโคดมตรัสว่า “ การเป็นหนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ” การมีดวงตาเห็นธรรมขั้นพระโสดาบัน ยังมีโอกาสสร้างสถานปฏิบัติธรรมได้ หากสูงกว่านั้นหมดโอกาสครับ
  

1554.
เรียนท่านอาจารย์ สนอง ที่นับถือ

    ผมได้ฟังการบรรยายธรรมจากท่านแล้ว รู้สึกซาบซึ้งมากและตอนนี้ตัวผมเองก็ใจเย็นขึ้นมาก

  กระผมขอถามเรื่องกรรมจาก 4 อาชีพ คือผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ ตำรวจ

1. ผู้พิพากษา ในการลงโทษผู้กระทำผิดให้สมกับที่ทำไว้นั้น จะเป็นการสร้างกรรมได้อย่างไร และในกรณีลงโทษผู้บริสุทธิ โดยยึดตามแนวทางการสอบสวน ที่ฝ่ายตรงข้ามกุเท็จใส่ร้ายขึ้นมา โดยที่คนตัดสินไม่มีอคติ จะเป็นบาปหรือไม่ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นครับ แล้วฝ่ายที่ใส่ร้ายจะรับกรรมอย่างไรบ้าง

2. อัยการ มีหน้าที่ฟ้องตามสำนวน ที่ตำรวจส่งมาทุกอย่าง ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน จะเกิดกรรมได้อย่างไร หากทำด้วยความบริสุทธิใจ

3. ทนายความ ที่ช่วยเหลือผู้ถูกกระทำให้ได้รับความยุติธรรม โดยการฟ้องร้องอีกฝ่ายให้ได้รับผิด ที่ก่อไว้ทำใมต้องเกิดกรรมด้วยครับ

4. ตำรวจ มีหน้าที่ปราบโจรผู้ร้าย ไม่ให้มาเกะกะระรานคนสุจริต ทำไมต้องรับกรรมด้วย หรือจะต้องปล่อยให้โจรผู้ร้าย ทำอะไรตามใจชอบครับ ทั้งหมดที่ถามท่านมานี้ หมายถึงเฉพาะผู้ที่ดำรงตนทำหน้าที่ อย่างถูกต้องตรงไปตรงมาเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้ทุจริตรับประโยชน์ กินสินบนเพราะนั่นคือต้องรับกรรมแน่ๆ

5. อาชีพหมอ มีหน้าที่รักษาคนป่วย ให้หายจากโรคภัยต่างๆ ทำไมถึงต้องมารับกรรม จากการรักษาคนเหล่านั้นด้วย ตามที่อาจารย์บรรยายมาว่า หมอตาก็จะตาบอด หมอรักษามะเร็งก็เป็นมะเร็งตาย ทำใมถึงเป็นเช่นนั้นครับ หรือต้องให้โรคภัยเกาะกินร่างกายไปจนกว่าจะตายครับ

6. ทหาร เป็นอาชีพที่เสี่ยงกับการตกนรกหรือปล่าวครับ

  สำหรับทางแก้ ที่ท่านอาจารย์บอกมา สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงที่กล่าวมานั้นคือ ให้ทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อที่จะหนีกรรมดังกล่าวไม่ให้ตามทัน หรือหนีไห้สุดๆนั้น รู้สึกเหมือนว่าจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ สักวันก็จะต้องทันอยู่ดี ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้ที่ต้นเหตุหรือไม่ครับ ทั้งหมดที่ถามมา เพื่อต้องการทราบ เพื่อจะได้ไม่ก่อเวรให้กับตัวเอง เพราะคิดที่จะประกอบอาชีพเหล่านี้ และสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้พวกเอาเปรียบสังคมเยอะเหลือเกิน แล้วเราจะทำอย่างไรกับคนที่ทำผิดกฎหมายดี หรือว่าต้องปล่อยให้พวกนั้นทำอะไรตามใจชอบครับ

คำตอบ
    (๑). การตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิด ให้ได้รับโทษตามกฎหมายที่สังคมบัญญัติขึ้น เป็นสิ่งถูกต้องที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต้องปฏิบัติให้ถูกตรง มนุษย์จะได้อยู่กับอย่างสงบ ตรงกันข้าม ในปรภพ พญายมมิได้ใช้กฎหมายของมนุษย์เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพตุลาการ พญายมใช้กฎแห่งกรรมเป็นกฎหมาย คือทำความดีต้องได้รับผลดี ทำความชั่วต้องได้รับผลชั่ว และพญายมยังใช้ผลของกรรมที่ถูกบันทึกไว้ในจิตวิญญาณเป็นหลักฐาน ผู้ที่ตายจากมนุษย์ไปแล้วและมีจิตตกอยู่ใต้อำนาจของกาม ยังต้องพบกับพญายมแน่นอน พญายมจะตัดสินให้จิตวิญญาณโคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพใด ขึ้นอยู่กับข้อมูลกรรมที่จิตบันทึกไว้เป็นหลักฐาน อาทิ เป็นมนุษย์แล้วมีจิตตกอยู่ใต้อำนาจของความโกรธ ความโลภ ความหลง หรือประพฤติทุศีลย่อมมีหลักฐานบาปให้พญายมตัดสินชีวิตใหม่ ให้ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ เกิดเป็นมนุษย์แล้วประพฤติตนมีศีล ๕ คุ้มครองใจอยู่เสมอ ย่อมเป็นหลักฐานบุญให้พญายมตัดสินชีวิตใหม่ ให้ไปเกิดเป็นรูปนามอยู่ใน มนุสฺสโลก เกิดเป็นมนุษย์แล้วบำเพ็ญทานรักษาศีล ๕ หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ อยู่เนืองนิตย์ ย่อมเป็นหลักฐานบุญ ให้พญายมใช้ตัดสินชีวิตใหม่ ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในเทวโลก ฯลฯ

   ด้วยเหตุนี้ผู้ใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนอกุศลกรรมของคู่กรณี ผู้นั้นย่อมต้องได้รับผลของบาปของคู่กรณีที่ยังผูกเวรกันอยู่

   อนึ่ง ผู้ใส่ร้ายเป็นผู้สร้างบาปให้เกิดกับตัวเอง ยังต้องชดใช้หนี้เวรกรรมเมื่ออกุศลกรรมให้ผล ทั้งในชีวิตปัจจุบัน และ/หรือในชีวิตหน้าอีกด้วย

   (๒). อัยการเป็นผู้ร่วมกระทำอกุศลกรรมกับตำรวจ เพราะไม่สามารถระลึกได้ว่า เรื่องราวแต่งขึ้นเป็นเท็จ จึงเป็นการทำบาปด้วยความบริสุทธิ์ใจนั่นเอง

   (๓). ผู้ใดสามารถพัฒนาปัญญาสูงสุดให้เกิดขึ้นได้แล้ว ผู้นั้นย่อมรู้ เห็น เข้าใจในเหตุและผลว่า กฎแห่งการกระทำ (กฎแห่งกรรม) มีอยู่จริง ดังนั้นคู่กรณีคือ ผู้ที่ผูกหนี้เวรกรรม สืบต่อหลายภพชาติยาวนาน ทนายความไม่รู้ความจริงเช่นนี้ จึงเข้าไปมีส่วนร่วมในห้วงเวลาหนึ่งของการจองเวรของคู่กรณี ทนายความจึงต้องรับ (อกุศลวิบาก) บาปของคู่กรณีนั้นด้วยเหตุแห่งความไม่รู้จริงเช่นนี้

   (๔). มนุษย์มีงานของชีวิตให้ทำอยู่สองงาน คือมีงานภายนอกที่ทำให้กับสังคมส่วนรวม และมนุษย์ยังต้องทำงานภายใน คือประพฤติและสั่งสมบุญให้กับตัวเอง ขณะยังมีชีวิตทั้งทนายและตำรวจ ต้องทำงานภายนอกให้ดีที่สุด เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แม้ภายนอกจะให้ผลเป็นทั้งบุญและบาปก็ต้องทำให้ดีที่สุด แต่ต้องทำงานภายในให้เกิดบุญใหญ่และส่งผลมากกว่าบาปที่ทำ ชีวิตจึงจะไม่วิบัติ ดังเรื่องที่จะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
      ๑. ท่านเจ้าคุณโชดกได้เล่าให้ผู้ตอบปัญหาฟัง เมื่อครั้งที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ คณะ ๕ ท่านเล่าว่า มีผู้พิพากษาท่านหนึ่งมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่คณะ ๕ และสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้นาน ๒๔ ชั่วโมง นั่นหมายความว่า ผู้พิพากษาท่านนั้นมีสภาวะของจิตเป็นฆราวาสอนาคามี ตัดสินคดีความอย่างไร ก็จะไม่ต้องรับโทษไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกต่อไป เพราะสามารถปิดอบายภูมิได้แล้ว

     ๒. ผู้ตอบปัญหาได้พบผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่จังหวัดนครปฐม ได้เข้ามาฟังการบรรยายธรรมของผู้ตอบปัญหา และได้เล่าให้ฟังว่า ท่านได้รับคดีเกี่ยวกับรถชนคนตาย ท่านเฉลียวใจจึงไปดูที่เกิดเหตุก่อนมีการตัดสินคดีความ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ได้มีชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นมาบอกเล่าให้ท่านฟัง ซึ่งมีสาระตรงกันข้ามกับคดีที่ท่านได้รับ ผลปรากฏว่า ก่อนมีการตัดสินคดีความ ผู้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องได้ถึงแก่ชีวิตในโรงพยาบาล ส่วนจำเลย ภายในวันเกิดเหตุ ดังนั้นเมื่อโจทก์และจำเลยไม่มีชีวิตอยู่ คดีความเป็นอันถูกยกเลิกโดยปริยาย ผู้ตอบปัญหาได้กล่าวกับท่านผู้พิพากษาว่า .... สาธุ รักษาคุณธรรมเช่นนี้ไว้ตราบจนหมดหน้าที่ตัดสินคดี คุณธรรมที่ว่านั้นคือ ท่านมีเบญจศีลและมีเบญจธรรม คุ้มครองใจ หรือเรียกได้ว่า มีศีลมีธรรมคุ้มครองใจ ย่อมมีเทวดาคุ้มรักษามิให้วิบัติ การประพฤติตนให้ได้เช่นนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีงานภายนอก (อาชีพ) เป็นตำรวจ อัยการ ทนายและผู้พิพากษา

   (๕). อาชีพหมอ ย่อมได้บุญจากคนไข้ที่ตนเองช่วยให้คนไข้หายจากการเจ็บป่วย และหากการเจ็บป่วยเป็นผลจากการผูกพยาบาทจากเจ้ากรรมนายเวรกรรมที่มีกับคนไข้ หากต้องได้รับบาปจากการถูกจองเวรและไม่คบหาสมาคมด้วย

   พระฉันนะได้ฟังถึงกลับเป็นลมสลบไป เมื่อตื่นฟื้นขึ้นมา ฉันนภิกษุได้ปรับตัวเองให้เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อรั้น ไม่กล่าววาจาเสียดสีพระผู้ใหญ่และภิกษุอื่นอีกต่อไป พร้อมกับนำตัวเองเข้าหาพระมหาเถระที่ป่าอิสิปตนมฤทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เพื่อขอร้องให้ท่านสอนธรรมให้ แล้วกลับมาหาพระอานนท์สอนธรรม (ปฏิจจสมุปบาท) ให้นำไปปฏิบัติต่อ จนสามารถบรรลุอรหัตตผลได้ในที่สุด

   จากตัวอย่างทั้งสองที่ยกขึ้นมาแสดง จะเห็นได้ว่าผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง ไม่แก้ปัญหาที่ตัวของผู้อื่นให้เกิดเป็นเวรผูกพันต่อกัน แต่แก้ปัญหาที่ตัวเอง ปัญหาจึงยุติลงได้ด้วยความสวัสดี

   ด้วยเหตุนี้ อาชีพทหารจะเสี่ยงต่อการตกนรก ต่อเมื่อมีเจตนาประพฤติปาณาติบาต ประพฤติคอรัปชั่น ประพฤติล่วงเกินลูกเมียผู้อื่น ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอาฆาตแค้น ฯลฯ การทำงานภายนอกที่ยังต้องข้องเกี่ยวอยู่กับคนไม่ดี หากมีเวรผูกพยาบาทกันไว้ ถือเป็นบาป จึงต้องทำงานภายใน ให้มีบุญยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ให้มีพลังของบุญส่งผลอยู่เสมอ ย่อมนำพาชีวิตหนีความวิบัติได้
  

1553.
กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

    ผมเคยอ่านหนังสือของอาจารย์ เล่มปกเขียวอ่อนๆเมื่อปีที่แล้ว พออ่านหนังสือธรรมะก็จะเกิดแรงบันดาลใจ ที่จะทำความดีมากๆกลัวว่าตายไปจะไปในที่ไม่ดีน่ะครับ

ขอเริ่มเรื่องที่ผมจะถามนะครับ
ปัจจุบัน ผมได้เดินทางมายังสหรัฐอเมริกา และได้ทำงานในคาสิโนที่ รัฐแคลลิฟอร์ โดยทำงานให้กับบริษัทที่เป็นเจ้ามือในคาสิโน หน้าที่ผมก็คือ คอยดูการแจกไพ่ของคนแจกไพ่ ให้เป็นไปตามกฏิกา และคอยดูว่าคนแจกไพ่ รับและจ่ายเงินให้ผู้เล่นได้อย่างถูกต้องตามจำนวนที่แทง

ผมรู้สึกสับสนกับชีวิตของผม มากๆครับ คือ ที่ผมมาอเมริกานี้ ก็เพราะอยากปลีกตัวออกจากสังคมที่ประเทศไทย และก็เบื่องานในอดีตที่เคยทำคือ เป็นผู้อำนวยการทางด้านหลักทรัพย์ พูดภาษาชาวบ้านก็คือ หาคนมาเล่นหุ้น ตามเป้าหมายที่บริษัทมอบหมายมาให้ คราวนี้ พอลูกค้าที่ผมหามา เกิดการขาดทุนจากการลงทุน ผมก็รู้สึกผิด และเริ่มเบื่องานที่ทำ ทำให้เป้าหมายที่บริษัทวางไว้ไม่บรรลุ ก็เลยเหมือนโดนบีบออก ก็มีส่วนที่ทำให้ผมมาอยู่ที่อเมริกา พอมาอเมริกาก็หนีไม่พ้นงานที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนอีกครับ

เรื่องที่ผมอยากเรียนถามอาจารย์ก็คือ

 1. การทำงานแบบนี้บาปไหมครับ ผมไม่สามารถเลือกงานที่อเมริกาได้ เพราะภาษาไม่ดี และคนที่นี่ที่มีการศึกษาสูงๆยังตกงานอีกมาก พอมาสมัครงานนี้ ทางบริษัทรับเข้าทำงานผมก็เลยต้องทำไปก่อนครับ

2. ผมยังหลงในวัตถุนิยมชอบซื้อนู่นซื้อนี่ เพราะคิดว่าเงินทองของนอกกายมีก็ใช้ใช้ซะ ทำอย่างไรจึงจะเลิกหลงในวัตถุนิยมครับ เพราะทุกวันนี้ ที่อยากมีเงินมีงานก็เพราะมาสนองตัณหาตัวนี้แหล่ะครับ

3. ใจหนึ่งก็คิดว่ารู้สึกเหงา อยากมีคู่ มาเป็นเพื่อน พราะอายุก็ไม่น้อยแล้วครับ  ( ผมเกิดปี 4 มกราคม 2506) และคิดว่า   เผื่อจะมีลูกด้วยกันที่อเมริกานี่ เพราะใจยังคิดอยู่น่ะครับว่าคนเราต้องมีคู่ชีวิตจะได้ไม่เหงาไม่รู้คิดถูกหรือผิด แต่ก็ตัดใจไม่ขาดสักที ทำอย่างไรถึงจะตัดใจได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีคู่ และไม่รู้สึกเหงาๆด้วยครับ

4. มันเกี่ยวพันกับข้อ 3 ครับ ทำอย่างไรจะตัดขาดจากความรู้สึกทางกามารมณ์ได้ครับ เพราะทุกวันนี้ ถึงจะมีน้อยลงไม่เหมือนสมัยหนุ่มๆ แต่ก็ยังมีอยู่ครับ ทำอย่างไรที่จะสามารถตัดขาดไม่เกิดอารมณ์ทางเพศได้เลยครับ จะได้ไม่ต้องมีคู่ครอง

5. ผมเคยวาดฝันว่า สักวันผมจะต้องทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มีเงินทองมาทำบุญมากๆๆๆๆ แบบสร้างวัดได้ด้วยตัวเอง ทำนองนี้น่ะครับ แต่จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที นึกแล้วเสียใจ น้อยใจในโชคชะตาชีวิต ที่ไม่ประสบความสำเร็จ( การศึกษาของผมก็มีส่วนกระตุ้นให้ผมอยากมีนั่นมีนี่   อยากทำธุระกิจให้เจริญรุ่งเรือง ด้วยครับ ผมจบ บัญชีจุฬาฯ และ MBA จุฬา ครับ) ทำอย่างไรจึงจะทำให้ความคิดนี้หมดไปจากใจได้สนิทใจครับเพราะทุกวันนี้เหมือนได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ถึงรวยขึ้นมา ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ได้แต่คิดปลอบใจตัวเองแบบนี้ตลอด ในขณะที่ใจลึกอยากประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และมีเงินทำบุญมากๆ ตั้งโรงทานแบบ อณาบิณฑิก เศรษฐี ในสมัยพุทธกาล น่ะครับ

6. พอมันไม่เป็นไปตามที่เราคิดก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต น่ะครับ รู้สึกว่ามันเป็นทุกข์ จัง แต่เดี๋ยวกิเลสก็มากระตุ้นให้เรา กลับไปคิดอยากมี อยากเป็นอีกแล้วครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากๆๆครับ

กราบสวัสดีครับ
โจ

คำตอบ
   
(๑). บาปครับ

   (๒). ความหลง เกิดจากเหตุไม่รู้จริง (อวิชชา) จึงเอาสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) เช่นโลกธรรมและวัตถุมาทับถมใจให้หมดอิสรภาพ ผู้ใดประสงค์จะปลดจิตให้เป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมองเหล่านี้ ต้องพัฒนาความรู้ (ปัญญา) สูงสุดให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งมนุษย์มีความสามารถพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงปัญญาได้ ๓ ระดับ คือปัญญาที่เกิดจากการฟัง การอ่าน (สุตมยปัญญา) ปัญญาที่เกิดจากการคิด การวิจัย (จินตามยปัญญา) และปัญญาสูงสุดคือ ภาวนามยปัญญา ซึ่งต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เมื่อใดเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความหลงจะหมดไป จิตจึงเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุได้ ชีวิตย่อมดีทั้งชาตินี้และชาติหน้าได้แน่นอน

   (๓). การมีชีวิตคู่ เป็นความเห็นถูกของผู้มีปัญญาทางโลก (สุตะฯและจินตามยปัญญา) แต่เป็นความเห็นผิดของผู้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง (ภาวนามยปัญญา) พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู) และเป็นความรู้จริงแท้ คือวันนี้จริง อีกพันปีหมื่นปีแสนปี ฯลฯ ก็ยังคงเป็นความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น (ปรมัตถะสัจจะ) พระพุทธะรู้ว่า มนุษย์มีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา ทำให้ไปไหนมาไหนยาก มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ ทำสิ่งต่างๆได้ไม่อิสระ และมีบุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ ทำให้มีภาระต้องรับผิดชอบ ฉะนั้นจงพิจารณาเอาเองเถิด แล้วเลือกเอาตามที่ชอบ

   (๔). จงพิจารณาซากศพบ่อยๆ หรือไปดูศพที่แขวนไว้ที่ Life Museum วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี แล้วจิตจะสงบจากกามได้เอง

   (๕). สร้างวัดเป็นการทำเหตุดี ได้ผลเป็นบุญ ตายแล้วพลังของบุญ สามารถผลักดันจิตวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง ให้โคจรสู่สุคติภพเกิดเป็นเทวดา (สวรรคสมบัติ)

   ผู้ใดอยากมีชื่อเสียงต้องหมั่นให้ทาน อยากมีเงินต้องให้ทรัพย์เป็นทาน แม้จะมีเงินมาเท่าใด ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปสู่ภพใหม่ไม่ได้ ต้องทิ้งไว้กับโลกให้เป็นทรัพย์กำพร้าเจ้าของ มีแต่บุญและบาปที่เก็บสั่งสมอยู่ในใจเท่านั้นที่ติดตามข้ามภพชาติได้

   อนาถบิณฑิกเศรษฐี มิได้เพียงแค่ตั้งโรงทาน ยังสร้างวัดเชตวันถวายไว้ในพุทธศาสนา และยังปฏิบัติธรรมจนจิตบรรลุโสดาบันอีกด้วย ตายจากมนุษย์แล้วพลังบุญยังผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็น อนาถบิณฑิกเทพบุตรโสดาบันอยู่ในดุสิตสวรรค์ อยู่จนทุกวันนี้

   (๖). การพัฒนาปัญญาทางโลกจนสูงสุดระดับปริญญาเอก ก็ยังจัดว่าเป็นความรู้ที่ไม่จริงแท้ ยังมีความเบื่อหน่ายชีวิต ยังมีความทุกข์กายทุกข์ใจ ย่อมมีได้เป็นธรรมดา ผู้ตอบปัญหาได้พัฒนาปัญญาทางโลกมาจนถึงระดับสูงสุดแล้ว เกิดความไม่เชื่อคำสอนในพุทธศาสนา จึงได้นำตัวเองไปพิสูจน์ ด้วยการปฏิบัติธรรมและเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ทำให้ตัวเองมีความสะดวก มีความสบาย และมีความสุขอยู่ทุกขณะตื่น พิสูจน์ดูเองสิครับว่าสิ่งที่ตอบมานี้เป็นจริงแท้ทุกประการ
   

1552.
เรียน ดร.สนอง วรอุไร

ผมนายกิตติพงษ์ พุฒขาว อายุ 24 ปี มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานรบกวนอาจารย์ช่วยตอบด้วยนะครับ คือ ผมสนใจการปฏิบัติกรรมฐานครับและผมก็เริ่มปฏิบัติมาได้สักพักนึงแล้ว ผมนั่งสมาธิอย่างเดียวนะครับไม่ได้เดินกรม แต่ได้ทราบมาว่าการปฏิบัตินั้นควรจะมีอาจารย์ช่วยแนะนำจะได้ให้ผลเร็วขึ้นและไม่หลงทางหรือไม่เป็นอันตราย แต่ตอนนนี้ผมกำลังทำวิจัยอยู่ที่ USA  ไม่มีอาจารย์คอยแนะนำ ก็เลยนั่งปฏิบัติไปเรื่อย   ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดอย่างไรและจะเป็นอันตรายหรือเปล่าครับ   และระยะหลังมานี้รู้สึกว่าตัวเองนั่งได้ไม่นาน ไม่มีสมาธิเหมือนตอนเริ่มนั่งใหม่ๆ คือ ตอนเริ่มนั่งใหม่ๆ ผมนั่งได้เป็นชั่วโมง แต่ระยะหลังมานี้นั่งได้ไม่กี่สิบนาทีก็ฟุ้งซ้านไปหมดจนนั่งไม่ได้ ผมควรแก้ไขอย่างไรครับ รบกวนอาจารย์ให้คำปรึกษาด้วยนะครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
กิตติพงษ์

คำตอบ
   ผู้ใดหวังความก้าวหน้าในการพัฒนาจิต ผู้นั้นต้องประพฤติตนให้มีศีลอยู่ครบและเป็นศีลที่บริสุทธิ์ อย่างน้อยศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วจึงนำตัวเองไปพัฒนาจิตให้มีสติ ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จให้เจริญอานาปานสติ ด้วยการหายใจเข้ากำหนดว่า “ พุท ” หายใจออกกำหนดว่า “ โธ ” ให้จิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก นานประมาณ ๓๐ นาที หรือมากกว่า หลังประพฤติแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง การประพฤติได้ถูกตรง ย่อมทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้มีจิตเป็นสมาธิ ย่อมมีความถี่ของคลื่นสมองเป็นระเบียบ ซึ่งส่งผลทำให้มีความจำเพิ่มมากขึ้น การศึกษาเล่าเรียนวิชาการทางโลกจึงเข้าถึงความสำเร็จได้ง่าย

   ผู้ใดมีศีลที่ขาด มีศีลทะลุ มีศีลด่างพร้อย และไม่เอาศีลมาคุมใจ ความฟุ้งซ่านของจิตจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดากับผู้นั้น ผู้ใดมีศีลในลักษณะตรงกันข้าม ผู้นั้นมีจิตเป็นสมาธิได้ง่าย
  

1551.
เรียน ดร.สนอง วรอุไร
 
โปรดชี้ทางสว่างให้แก่ชีวิตด้วยค่ะ   ทุกวันนี้หนูได้รักษาศีล 5  และพยายามรักษา กาย วาจา ใจ ไม่ให้ทำร้ายผู้ใด พร้อมทั้ง รับใช้พระครูบารูปหนึ่ง   ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน   คอยอยู่ช่วยงานวัดและท่านตลอด   นานหลายเดือนแล้ว แต่ชีวิตทุกวันนี้การปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้า   และ ชีวิตทางโลกก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งๆๆที่พระครูบาท่านมีเมตตาจิตที่สูงมากคอยสั่งสอนด้วยดีมาตลอด

อยากเรียนสอบถามว่าหนูควรแก้ไข อย่างไรดีค่ะ เพื่อชีวิตทางโลกของหนูจะได้ดีขึ้นมากกว่านี้ เช่น เวลาออกจากสมาธิหนูควรอธิฐานจิต   กล่าวขอเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่างไรดีคะ
 
ด้วยความเคารพอย่างสูง
คนด้อยปัญญา

คำตอบ
    สิ่งที่แก้ไขได้แล้วดี คือ พัฒนาจิตตัวเองให้มีคุณธรรมเหมือนกับที่ครูบาได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่นเดียวกันหากผู้ถามปัญหา ประสงค์ความเจริญในหน้าที่การงาน ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งและดี คนเก่ง คือ คนที่มีความรู้ มีความสามารถเหนือคนอื่น คนดี คือ คนที่มีคุณธรรม สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น คนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ เป็นคนที่ประสบความสำเร็จของชีวิต
  

 

 

 

 

 

 

 

browser stats