1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1651-1700

1700.
เรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ

  หนูมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส หนูเพิ่งสูญเสียสามีอันเป็นที่รักยิ่งมาประมาณ 2 เดือนค่ะ ทุกวันนี้ยังทำใจไม่ได้ ยังมีความโศกเศร้าอย่างที่สุด หนูเพิ่งใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสามีมาแค่ 5 ปี   คำถามเกิดขึ้นมากมายว่าทำไม ทำไม และทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบ มันเป็นทุกข์อย่างที่สุด เพราะในชีวิตหนูไม่เคยสูญเสีย สามีหนูเป็นชาวต่างชาติคนละศาสนา

   หนูทำบุญทุกอย่างเท่าที่หนูจะทำได้ หนูอยากฝึกกรรมฐาน สมาธิ อยากรู้ว่าสามีหนูอยู่อย่างไร เป็นสุข เป็นทุกข์ อย่างไร หนูได้อ่านหนังสือของอาจารย์ค่ะ เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย บางครั้งหนูคิดว่าตายแล้วสูญสิ้น แต่หนูเชื่อเรื่อง ชีวิตหลังความตาย หนูอยากเรียนถามอาจารย์ว่าถ้าหนูสิ้นอายุขัยแล้ว หนูจะได้พบสามีหนูหรือเปล่า ชีวิตหลังความตาย ของทุกศาสนาจะเหมือนกันหรือเปล่า หนูทุกข์ใจมากในการจากไปอย่างรวดเร็วของสามี ทุกข์อย่างอธิบายไม่ได้เลยค่ะ

    ทุกวันก็ยังเป็นห่วง พยายามอ่านหนังสือธรรมะ แต่ใจก็ทุกข์เพราะความคิดถึง เพราะความที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร

  ขอโทษนะคะที่รบกวนเวลาของอาจารย์
   ด้วยความเคารพค่ะ

คำตอบ
    ความทุกข์ เป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ผู้ใดเห็นผิดไปจากความเป็นจริงแท้ ผู้นั้นย่อมมีความทุกข์ สิ่งต่างๆเกิดขึ้น แล้วมีการดับสลายไปเป็นธรรมดา อาทิ

     - ความสุขจากกายสัมผัส (กามสุข) เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วสลายไป

     - ความอยากได้หรือไม่อยากได้ (ตัณหา) เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วสลายไป

     - ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วสลายไป

       ฯลฯ

     ผู้มีความเห็นผิด ย่อมยึดเอาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง มาเป็นของตน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ จึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ทุกคนเกิดมาแล้วต้องแก่ (ชรา) เมื่อแก่แล้วต้องตายเป็นธรรมดา ผู้ถามปัญหา ตอบปัญหา และทุกชีวิต ล้วนต้องดำเนินไปตามกฎธรรมชาตินี้ ตราบใดที่ยังนำพาชีวิตเวียนตาย - เวียนเกิดอยู่ในวัฏฏะ จึงไม่มีใครสามารถเลี่ยงได้ เว้นไว้แต่ว่า ผู้รู้จริงพัฒนาจิตให้หลุดพ้นไปจากวังวนของสงสารได้เมื่อใดแล้ว ย่อมไม่ต้องพบกับความทุกข์ใดๆอีกต่อไป มีแต่วิมุตติสุขเท่านั้นให้เสวย

     ผู้ถามปัญหาปรารถนาจะพบกับสามีอีกในวันข้างหน้า ยังไม่เข็ดหลาบกับความทุกข์อีกหรือ ยังไขว่คว้าหาความทุกข์อยู่อีกหรือ หากประสงค์จะมีความทุกข์กับการได้พบกับสามีอีกในวันข้างหน้า ต้องทำเหตุให้ถูกตรงดังนี้

       (๑) สร้างมหาทาน เช่น ทำอาหารเลี้ยงพระต่อเนื่อง ๗ วัน

       (๒) ตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ขอพบสามีที่ตายไปแล้ว ในวันข้างหน้า

       (๓) ทำเหตุให้ถูกตรงกับพฤติกรรมของสามีในครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่

     ที่ถามไปเรื่องชีวิตหลังความตาย ตอบว่า ทุกศาสนามีสภาวธรรมเหมือนกัน แต่สมมุติที่ต่างกัน และการตายช้าหรือตายเร็วขึ้นอยู่กับ ชนิดของกรรมที่สัตว์บุคคลได้กระทำไว้เป็นต้นเหตุ เช่น อายุสั้นมีต้นเหตุมาจากชอบฆ่าสัตว์ ฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมากตายเร็ว ฆ่าสัตว์ที่ทรงคุณธรรมสูงก็ตายเร็ว
    

1699.
กราบสวัสดี อาจารย์ ดร. สนอง ครับ

ผมมีคำถามดังนี้ครับ
1. ในชีวิตประจำวัน จะมีวิธีไหน หรือเทคนิคอะไร ที่ทำให้จิตไม่ตก ไม่เป็นอกุศล (ผมมักจะมีจิตอกุศล เกิดขึ้นเอง บางวันมากจนกลัวเลยครับ กลัวบาปมาก ๆ)
    เป็นมา 2-3 ปีแล้วครับ เป็นเพราะกรรมในอดีต และ ปัจจุบัน หรือเปล่าครับ

2. การสร้างเหตุให้พบเจอ ครู อาจารย์ ที่เป็นกัลยาณมิตร ต้องทำอย่างไรครับ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
    (๑) คนฉลาดไม่เอาจิตไประลึกอยู่กับเรื่องในอดีต แต่เอาจิตระลึกอยู่กับลมหายใจเข้า - ออก ทุกขณะตื่น ปัญหาต่างๆย่อมเข้ารบกวนจิตไม่ได้ … .. พิสูจน์ไหม

   (๒) กัลยาณมิตร หมายถึงมิตรดี มิตรดีมีคุณสมบัติอยู่สองประการคือ มิตรดีหมายถึงมิตรที่ป้องกันขัดขวางมิให้เราประพฤติชั่ว และในอีกทางหนึ่งคือ มิตรดีคือมิตรที่ชักชวนเราให้ทำความดี ฉะนั้น ผู้ถามปัญหาประสงค์พบครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตร ผู้ถามปัญหาต้องทำตัวเองให้เป็นกัลยาณมิตรของคนอื่นให้ได้ก่อน หลังจากนั้นต้องสร้างมหาทาน เช่น เลี้ยงพระเจ็ดวันต่อเนื่อง แล้วอธิษฐานขอพบครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตร เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้
  

1698.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

     หนูมีคำถามอยากที่อยากกราบเรียนและตัดสินใจอยู่นาน ตอนแรกคิดว่าจะอ่าน และฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ไปเรื่อย ๆจนพบคำตอบ แต่ยังคงมีความรู้สึกไม่สบายใจ จึงขอกราบเรียนเพราะคิดว่าคำตอบของอาจารย์จะช่วยคลายความกังวลใจ และมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต ทั้งทางโลกและทางธรรมได้ดีขึ้นค่ะ

   1 หนูมีน้องชายที่เขาติดยาเสพติดค่ะ..เขามีปัญหาเรื่องนี้มาหลายปี หนูก็คอยช่วยเหลือ โดยแม่ขอร้อง หนูอยากทราบว่าหนูตัดสินใจถูกหรือไม่ค่ะ ที่ช่วยให้เงินแม่ตามแม่ขอร้องเพื่อเขาไม่ต้องติดตาราง (หลายครั้ง) แต่ก็ยังไม่หาย หนูสับสนว่า ถ้าหนูไม่ให้หนูนึกถึงหัวอกแม่ว่าต้องบอบช้ำ ใจสลายแค่ไหน และคิดว่าต้องให้โอกาส ๆๆๆ จึงตัดสินใจช่วยเหมือนทุกครั้ง แต่หลายครั้งที่ผ่านมาก็ยังเกิดผิดซ้ำ ถ้าหากอนาคตมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น และคุณแม่ขอร้องอีกหนูก็ควรทำให้แม่สบายใจใช่ไหมคะ ถ้าหากหนูยังพอมีเงินที่จะให้ได้ หรือหากแม่ไม่ขอร้องแล้วตามที่แม่สัญญาว่าครั้งสุดท้าย (เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาแต่ก็ขอให้ช่วยอีก) แต่น้องมาขอร้องเอง หนูควรจะให้ไหมคะ หนูกลัวว่าจะเป็นการช่วยที่ผิดหรือปล่าวคะ  ( หนูเคยบอกเขา ชี้นำเขา และบางครั้งให้คุณแม่ช่วยบอกให้เขาไปปฏิบัติธรรมเพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร หรือหาหนังสือให้เขาอ่าน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำตามค่ะ หากหนูหยุด แล้วหันมาเน้นปฏิบัติตัวเองเป็นหลัก   จะเป็นการทิ้งหรือหนีปัญหาไหมคะ)

   2 ตอนเป็นวัยรุ่น หนูเคยคิดผิด เคยท้อง และไม่ได้เก็บเขาไว้..จนหนูมาได้มีโอกาสฟังการบรรยายธรรมของอาจารย์เมื่อประมาณ สี่ปีที่ผ่านมา ก็จึงได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่เรื่อยๆ ปีละประมาณอย่างน้อย 1 ครั้ง  ( ไปตามสถานที่ปฏิบัติต่างๆ เช่นแนวคุณแม่สิริ)   เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเขาและเจ้ากรรมนายเวร แต่ไม่ได้บอกให้คนอื่นช่วยโอนบุญด้วย เคยขอแค่ให้เพื่อนที่ไปปฏิบัติช่วยโอนให้เจ้ากรรมนายเวร แต่ว่าไม่ได้ให้ระบุเพราะไม่กล้าเล่าให้ฟัง อยากทราบว่า เขาจะได้รับส่วนบุญของหนูไหมคะ บุญนี้จะเพียงพอให้เขาอโหสิให้หนูไหมคะ และถ้าหากว่าหนูใช้วิธีไปปฏิบัติธรรม แล้วมีบริจาคเงินทำบุญสำหรับคนปฏิบัติ แล้วเวลาเขาโอนบุญให้หนู (เช่นเป็นเจ้าภาพน้ำปานะ) แล้วหนูโมทนาสาธุ แล้วโอนต่อให้เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับไหมคะ แล้วเวลาที่หนูจะโอนบุญ หนูต้องระบุว่าอย่างไรคะ ถ้าบอกว่าให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกิน เขาจะได้รับทั่วกันไหมคะ และหากว่าเขาได้แล้ว เวลาหนูไปปฏิบัติธรรม หรือตักบาตร ทำสิ่งกุศลใด ๆ แล้วหนูก็อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร หรือเขาอยู่เรื่อย ๆก็ได้ใช่ไหมคะ (ใจหนึ่งก็กลัวเขาไม่ได้ถ้าไม่ระบุ อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าจะเป็นการย้ำนึกถึงสิ่งไม่ดีที่ตัวเองทำทำให้จิตเป็นอกุศลค่ะ)

   3 ตอนนี้หนูแต่งงานแล้ว และกำลังวางแผนมีลูก หนูจะตั้งจิตอธิษฐานอย่างที่อาจารย์แนะนำไว้ในหนังสือทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุขค่ะ   และจะพยายามพัฒนาจิตใจตัวเอง และทำความดีควบคู่ไปด้วย แต่ยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องที่ทำผิดพลาดในอดีต แต่ก็ให้สัจจะกับตัวเองว่าจะไม่ขอทำผิดซ้ำอีกต่อไปค่ะ และก็ตอนนี้เมื่อกลับไปนึกก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับความโง่ของตัวเองค่ะ

   หนูขอความเมตตาอาจารย์แนะแนวทางการทำใจจากเหตุการณ์ผิดพลาดในอดีต นี้ด้วยค่ะ

   4 ทุกวันนี้หนูพยายามปฏิบัติธรรมโดยใช้แนวเจริญสติในชีวิตประจำวัน โดยตามรู้ ดูกาย กับใจ และนั่งสมาธิ แนวกำหนดพุทโธ เพื่อคอยเติมให้ใจมีกำลัง หนูควรทำเช่นนี้ต่อไป หรือควรเพิ่มเติมเรื่องใดเพื่อให้การปฏิบัติของหนูก้าวหน้าค่ะ

     ขอกราบขอบพระคุณสำหรับความเมตตาของอาจารย์ดร.สนอง อย่างสุดซึ้งจริง ๆ ค่ะ

คำตอบ
   
(๑) การให้เงินช่วยเหลือบุคคลอื่น หากผู้ถูกช่วยเหลือนำเงินไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย ผิดศีล หรือผิดธรรม ผู้ให้การช่วยเหลือต้องรับบาปอกุศลนั้นด้วย

   ความสบายใจของแม่ที่ทำให้ผู้อื่นต้องประพฤติอกุศลกรรม เป็นการประพฤติที่ผิดธรรม ผู้ถูกขอร้องให้ทำ ไม่เห็นดีด้วย แล้วไม่ทำตามคำขอร้อง ไม่ถือว่าเป็นบาป ดังนั้นผู้ถามปัญหาต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่า จะเข้าไปร่วมในการสร้างบาปนั้นหรือไม่

   พระพุทธโคดมชี้ทางบุญ ชี้ทางบาปให้กับมนุษย์และเทวดา แต่พระเจ้าสุปปพุทธะผู้เป็นพ่อของพระนางยโสธรา พระเทวฑัตผู้เป็นพี่ชายของพระนางยโสธรา ยังนำพาชีวิตไปในทางที่เป็นบาป ถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีมหานรก ตรงกันข้าม ฉันนภิกษุผู้ดื้อรั้น สำนึกผิกแล้วหันมาปฏิบัติธรรม จนสามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ดังนั้นบุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ผู้รู้จริงไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้ใด

   (๒) จิตวิญญาณของรูปนามที่ถูกทำแท้งนั้น ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร การปฏิบัติธรรมเป็นบุญใหญ่สุด การอุทิศบุญใหญ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ย่อมมีอานิสงส์มาก บุญใหญ่ยังเกิดได้ด้วยการไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้ว ควรเจริญอานาปานสติตามระยะเวลาที่อำนวยให้ การประพฤติเช่นนี้ที่บ้าน ถือว่าเป็นบุญใหญ่ได้เช่นเดียวกัน

   ส่วนที่ถามว่า เขาจะเลิกจองเวรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณของบุญที่อุทิศให้ และยังขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการผูกพยาบาท ผู้ใดอุทิศบุญใหญ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวรจนเขาพอใจ เขาย่อมยกเลิกการจองเวรและผู้ถามปัญหาจะไม่ระลึกถึงเรื่องนี้อีกต่อไป

   (๓) ผู้ใดประพฤติตนมีศีลและมีสัจจะคุมใจได้ทุกขณะตื่น ผู้นั้นมีกายศักดิ์สิทธิ์และมีจิตศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ คิด พูด ทำ สิ่งใดย่อมสำเร็จตามที่ตนปรารถนา ผู้รู้เอาจิตระลึกอยู่กับปัจจุบันขณะ เช่น ลมหายใจเข้า - ออก ปัญหาทั้งหลายย่อมเข้ารบกวนใจไม่ได้

   (๔) หากผู้ถามปัญหาประสงค์มีกำลังใจกล้าแข็งและสามารถต้านทางอำนาจของมารได้ ต้องเจริญพละ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) อยู่เสมอ
   

1697.
กราบสวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ที่เคารพอย่างสูง
    บริษัทของหนู มีพนักงานเกือบ 100 คน มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดี แต่   มีปัญหา เรื่อง คุณธรรมของบุคคลบางคน มีการอบรมแล้ว ไม่ได้ผล หนูเกิดความคิดว่า หนูมีโครงการแจกทุนบัลลังก์คนดี เพื่อคัดคนดีจริง ๆ ให้รางวัลเพื่อเป็นกำลังใจและเป็นแบบอย่างแก่พนักงานคนอื่น ๆ ค่ะ ไม่เกี่ยวกับผลงานที่เป็นตัวเลขทางธุรกิจ แต่คณะกรรมการ เขาอยากได้ตัวชี้วัด ความเป็นคนดี ประเภทวัดกันได้เป็นคะแนน เป็นตัวเลข เป็นรูปธรรม หนูคิดว่า เรื่องคุณธรรม เป็นเรื่องจากภายในใจ เราจะตั้งหลักเกณฑ์ ได้อย่างไรคะ เช่น ถ้าจะวัดกันที่ศีล 5  ก็เป็นเรื่องของ การคิด พูด ทำพฤติกรรม ที่ต่อหน้า ดีหมด แต่ที่เขาทำกันลับหลัง บางครั้งไม่ใช่ของจริงเป็นต้น และทำอย่างไรจึงจะเห็นของจริง และ จะใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดที่มองเห็นได้ และ ให้คะแนนได้คะ เขากลัวว่า ใจเราจะลำเอียง เพราะวัดแบบมองไม่เห็น ได้แต่สืบประวัติ ไม่เหมือน การสร้างผลงานทางธุรกิจ มีตัวเลขวัดได้ เห็นได้ แต่ มีระยะเวลา 1 ปี ค่ะ กว่าจะตัดสิน ว่าจะให้ทุนใครดี

   ยกตัวอย่างว่า เราอยากให้รางวัลแก่คนที่มีทัศนะคติที่ดี ต่อ ตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อ องค์กร มีความซื่อสัตย์ มีน้ำใจ เป็นต้น จะวัดยังไงคะ ว่าใคร ควรจะได้คะแนนเท่าใด เพราะดูจากภายนอก ดีหมด แต่ เบื้องหลังไม่ใช่ก็มีค่ะ หนูอยากจะหาน้ำดี หมายถึงคนดีมาก ๆ มาไล่น้ำเสียออกจากบริษัทน่ะค่ะ เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนจิตคนไม่ดีให้ดีได้ค่ะ ทำยังไงดีคะ

     ขออาราธนา คุณ พระศรีรัตนตรัย ขอบารมีท่านอาจารย์ ประกอบกับความตั้งใจในจิตที่เป็นกุศลของหนู ในการพัฒนาจิตของพนักงานให้เป็นสัมมทิฐินี้ ส่งให้ผลบุญทั้งหลาย จงสำเร็จแก่ อาจารย์ทุกท่านที่ให้แสงสว่างแห่งธรรม ให้มีอายุยืน สุขภาพแข็งแรง เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกตลอดไปจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานเทอญ..และขอให้โครงการดี ๆ ของบริษัทหนูประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองในทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ..

               จากหนู กรรมการคนหนึ่งค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    คุณธรรมของบุคคลมีพฤติกรรม (คิด พูด ทำ) เป็นตัวชี้วัด ผู้ใดมีการแสดงออกทางกาย ทางวาจา ที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม และมีอารมณ์ของใจที่เป็นไปในทางดีงาม หรืออารมณ์ของใจที่เป็นอิสระจากโลกธรรม วัตถุ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ถือว่าผู้นั้น มีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นคุณธรรม

   พฤติกรรมของบุคคล สามารถวัดได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในห้วงเวลาที่บุคคลมาปฏิบัติงาน ย่อมมีพฤติกรรมเกิดขึ้นและสามารถกำหนดเป็นตัวเลขขึ้นใช้ เป็นตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมได้ แต่ผู้ที่หน้าที่ประเมินคุณธรรม ต้องมีพฤติกรรมปกติที่ดีงามให้เป็นตัวอย่างได้ก่อน เช่น ประพฤติตนมีศีล มีธรรม มีวินัย มีพรหมวิหาร มีเมตตา มีขันติ เว้นอคติ ฯลฯ
     

1696.
เรียน ท่าน ดร. สนอง ที่เคารพ
 
     ดิฉันมีข้อสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง ดิฉันเริ่มสวดมนต์ทุกวันช่วงเย็นประมาณเวลา   20.00 น. - 21.00 น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 มาและรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคือ ตอนสวดมนต์เสียงจะเปลี่ยนไปในหลายรูปแบบเสียง เสียงชาย/ หญิง เด็ก และคนแก่ แต่ดิฉันก็ไม่ได้ยึดติดกับเสียงเล่านี้ ซึ่งบางครั้งทำนองสวดก็มีหลายแบบแล้วแต่เสียงที่เปล่งออกมาตอนนั้น บางครั้งจู่ๆก็สวดเร็วขึ้นจนเป็นภาษาอะไรก็ไม่ทราบ แต่ดิฉันก็สวดมนต์ของดิฉันต่อไปโดยพยายามจะสวดให้เป็นภาษาบาลีเหมือนเดิม ถึงแม้เสียงหรือทำนองจะปลี่ยนไปก็ตามและบางครั้งมีอาการระคายคอระงับไม่ได้จนต้องไอออกมา พอมาช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2554 นี้เป็นต้นมา จากที่เคยสวดมนต์เสียงจะเปลี่ยนเฉพาะตอนสวดแต่ตอนนี้ตอนแผ่เมตตาให้ตนเอง แผ่เมตตาทั่วไป เสียงที่กล่าวออกมานั้นมีเสียงที่ไม่ใช่เสียงดิฉัน   มีการแบ่งวรรคแบ่งตอนกันกล่าวจนจบ ตอนนั่งสมาธิเสร็จ (นั่งประมาณ 5-15 นาที)แผ่เมตตาอีกก็เป็นเหมือนตอนสวดมนต์ แถมจู่ๆก็ยิ้มขึ้นมาด้วยค่ะ

สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นคืออะไรค่ะ ดิฉันเก็บความสงสัยไว้ไม่กล้าถามหรือบอกใคร เกรงว่าเค้าจะหาว่าดิฉันบ้าหรือหาว่าโดนผีเข้า ดิฉันควรปฏิบัติอย่างไรค่ะจึงจะถูกต้อง

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    เหตุที่ทำให้เกิดปัญหาตามที่บอกเล่าไป เป็นเพราะผู้สวดมนต์มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง จิตวิญญาณอื่นที่มีพลังของสติมากกว่า จึงมาอาศัยใช้ร่างกายของผู้สวดมนต์ เป็นเครื่องมือทำประโยชน์ให้กับเขา โดยที่ผู้สวดมนต์ตัวจริง ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการสวดมนต์นั้นเลย วิธีแก้ปัญหาคือ ผู้สวดมนต์ต้องมีศีล ๕ และมีสัจจะคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วกายย่อมศักดิ์สิทธิ์ จิตย่อมศักดิ์สิทธิ์ การสวดมนต์จึงจะบรรลุผลสมประสงค์ได้
   

1695.
เรียน อ.สนอง ที่เคารพ

สวัสดีค่ะ พอดีหนูเลี้ยงปลาอยู่ 5 ตัวในอ่างน้ำหน้าบ้าน ตอนนี้มันตายไป 4 ตัว
เหลือเพียงแค่ตัวเดียวเองอะค่ะ อาจารย์คิดว่าหนูควรจะไปซื้อปลามาเพิ่มเพื่อให้เป็นเพื่อนกับมันไหมคะ หรือปล่อยไว้อย่างนั้น เพราะตอนนี้หนูไม่อยากเลี้ยงปลาแล้วอะค่ะ
 
.....................
หนูเรียนอยู่ม. 6 แล้ว จะเอนทรานเข้ามหาลัยแล้วอะค่ะ แต่ตอนนี้หนูรู้สึกไม่มีเพื่อนเลย
(เพราะแต่ก่อนหนูเคยมีปัญหากับเพื่อน เลยไม่มีเพื่อนคบอะค่ะ)

อาจารย์คิดว่าหนูควรที่จะตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสืออย่างเดียว หรือว่า หาเพื่อนสักคนสองคนไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาอะคะ?
 
ขอบคุณมากค่ะ

คำตอบ
     ผู้ใดนำสัตว์มาเลี้ยงโดยไม่กักขัง สัตว์ไม่อดอยาก และจิตของผู้เลี้ยงไม่เป็นทาสของผัสสะที่เกิดทางทวารทั้งห้า การเลี้ยงเช่นนี้ถือว่าได้บุญ แต่หากเป็นตรงกันข้ามหรือมีเจตนาสนองตัณหาของผู้เลี้ยง ถือว่าเป็นบาป ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง

    ปัญหาเรื่องการไม่มีเพื่อน สามารถแก้ไขด้วยการทำเหตุให้ถูกตรงคือ ทำตนเป็นคนไม่ตระหนี่ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ฯลฯ หรือหากพัฒนาตนเองให้เป็นคนมีจิตเมตตา แล้วมนุษย์ เทวดา ตลอดจนสรรพสัตว์ ย่อมเข้าใกล้และเป็นเพื่อน
  

1694.

ขอสอบถามเพื่อเป็นความรู้เกี่ยวกับการกราบไหว้บูชารูปภาพ ของบิดา ที่ล่วงลับไปนานแล้ว โดยจะกราบไหว้บูชาพระรัตนตรัยก่อนแล้วจึงจะมากราบไหว้บูชารูปของบิดา โดยจะจุดธุป พวงมาลัยดอกไม้ และผลไม้ ในทุก ๆวันพระ ข้าพเจ้าอยากทราบว่า ข้าพเจ้าทำถูกต้องหรือไม่ มีผู้ใหญ่บอกว่าไม่ต้องจุดธูปหรือเครื่องไหว้บูชา เพราะจะทำให้เขาไม่สามารถ ไปเกิดใหม่ได้

ข้าพเจ้าเลยไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าได้ทำถูกต้องหรือไม่ แต่ทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกเป็นสุขใจเพราะคิดว่าบิดาของข้าพเจ้า คงจะได้รับอนิสงฆ์ที่ข้าพเจ้าได้ทำไป

รบกวนช่วยตอบเพื่อเป็นความรุ้ด้วยค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ
บุญเรือน

คำตอบ
     คำแนะนำจากญาติผู้ใหญ่ถือว่า เป็นความเห็นถูกของเขา แต่ผู้รู้จริงมิได้เห็นเป็นเช่นนั้น นอกเหนือจากการประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดีแล้ว การกราบไหว้บูชารูปเคารพของผู้ล่วงลับ ผู้มีอุปการคุณแก่ตนมาก่อน เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีที่ผู้อยู่หลังสามารถทำได้ ซึ่งผู้ใดประพฤติได้แล้ว ความเจริญของชีวิตย่อมเกิดขึ้น
     

1693.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

     ผมเพิ่งเริ่มติดตามผลงาน อ.สนองได้ไม่นานครับ ล่าสุดเพิ่งไปฟังบรรยายธรรมที่ ศาลจังหวัดชลบุรี

     ผมแต่งงานแล้วมีลูกสาว 2 คน ( 8,10 ขวบ) ปัจจุบันครอบครัวเราเริ่มเดินในเสันทางธรรมจริงๆจัง ได้ประมาณ 1 ปี คือเราถือศีล 5   สวดมนต์ทำวัตรเช้า - สวดมนต์เย็น นั่งสมาธิ ศึกษาธรรมะ  ทั้งฟังทั้งอ่าน โทรทัศน์ไม่ดู (เอาไว้ดู VCD ธรรมะ) ในวันพระ ผมและภรรยาจะเดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน แต่ถ้าตรงกับเสาร์-อาทิตย์ ก็จะไปนอนวัดและปฏิบัติธรรมกันทุกคน ผมมีความรู้สึกว่าอยากรู้เรื่องพุทธศาสนามาก ไม่รู้ทำไม ผมมีความรู้สึกว่าอยากบรรยายอย่างที่อาจารย์สนองทำอยู่ในปัจจุบัน ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบพระเลยด้วยซ้ำ ชีวิตที่ผ่านมาก็เลยทำผิดศีล 5 ครบเซต  

     ผมไม่รู้การปฏิบัติว่าก้าวหน้าอย่างไร เนื่องจากปฏิบัติแล้วไม่มีใครสอบอารมณ์ให้ ผมคิดว่าผมคง ไม่ได้มีวาสนาอย่างอาจารย์ที่ทำมาในอดีต แต่ผมเบื่อและกลัวที่จะเกิดแม้แต่เป็นเทวดา  ผมเบื่อกาลเวลาที่ยาวไกล และผมเชื่อพระพุทธองค์ ว่าความเพียรจะทำให้เราบรรลุธรรมได้ ผมจึงไม่หยุดความเพียร วิธีที่ผมใช้คือการกำหนดรู้ปัจจุบัน เป็น ขณิกสมาธิ ไม่ได้ฝึกสมถ (ตามความเข้าใจผม) ผลปรากฏว่าฟุ้งกระจาย แต่รู้ว่าคิด ก็คิดหนอ แล้วกลับดูลมหายใจ คำว่าจิตนิ่งผมไม่เคยเห็นหน้าตาสักที

     ปัจจุบันผมเดินจงกรมต่อเนื่องกัน 2 ชม. และต่อด้วยนั่งสมาธิอีก 2 ชม. ก็ยังฟุ้งอยู่ แล้วผมก็เบื่อ  ที่ผมสังเกตุได้อย่างหนึ่ง เวทนาจะเริ่มมาตอนจะหมดเวลา แต่ผมว่ามันเป็นกิเลสผมเอง

ผมขอถามท่านอาจารย์ดังนี้ครับ

1. ผมจะแก้ความเบื่ออย่างไร (อย่าตอบว่าเพียรต่อนะครับ ผมขอเทคนิคน่ะครับ)

2. ลูกสาวผมคนโตทำไมเวลาสวดมนต์จะง่วงนอนมาก ทั้งตอนเช้าและตอนค่ำ
   ( สวดไปบรรทัดสองบรรทัดก็หาวแล้ว) แต่เขาสวดมนต์ได้จบ   ผมไม่รู้จะแก้อย่างไร

3. สิ้นปีผมคิดว่่าจะลองทำอย่างอาจารย์บ้าง คือหาที่บวชสัก 30 วัน นอนวันละ 4 ชม. เพื่อพิสูทในสิ่งที่อาจารย์ได้บรรยายไว้


ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์สนอง ด้วยความจริงใจ

ขอขอบพระคุณสำหรับแสงเทียน นำทางสู่นิพาน

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

จิตตบุณ   มูลอ้อม  

คำตอบ
     เมื่อใดที่บุคคลนำพาชีวิตเข้ามาเดินอยู่ในทางธรรมนั่นเป็นเครื่องแสดงว่า บุญบารมีที่ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ เริ่มส่งผลให้ชีวิตเดินเข้าหาความสวัสดี (เจริญรุ่งเรือง)

     (๑) ความเบื่อที่มีต้นเหตุมาจากกิเลส ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง ตรงกันข้าม เมื่อความเบื่อเกิดขึ้นแล้ว อยากนำพาชีวิตไปให้พ้น ความเบื่อในลักษณะนี้มีคุณ ฉะนั้นจงหาทางออกจากความเบื่อ ด้วยการฝากตัวเป็นศิษย์กับผู้มีประสบการณ์ตรง คือ เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์

     (๒) ผู้ใดคิดทำความดี (สวดมนต์) แล้วถูกมารเข้าขัดขวาง ทำให้ง่วงเหงาหาวนอน สามารถผ่านบททดสอบของมารได้ด้วยประพฤติ ดังนี้

     •  สวดมนต์แล้วง่วง ควรสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ไม่หายง่วง ไม่เลิกสวด
     •  หากยังไม่หายง่วง ให้พิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟังจนขึ้นใจ
     •  หากยังไม่หายง่วง ใช้วัสดุ (Cotton Bud) แยงหูทั้งสองข้างและเอาฝ่ามือลูบตัว
     •  หายยังไม่หายง่วง ลุกขึ้นเดิน แหงนดูดาวบนท้องฟ้า หรืออาบน้ำล้างหน้า
     •  หากยังไม่หายง่วง เดินจงกรมไม่หยุดจนกว่าจะหายง่วง และหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกยาวๆ ประมาณ ๒๐ ครั้ง
     •  นอนแบบสีหไสยา
        ฯลฯ

    (๓) ผู้ปฏิบัติธรรมได้ถูกตรงแล้ว โอกาสเข้าถึงธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
  

1692.
เรียนอ.สนองที่เคารพ

อาจารย์คะหนูได้ติดตามการบรรยายธรรมะของอาจารย์ผ่านทางอินเตอร์เนตมาตลอด กราบขอบพระคุณสำหรับธรรมะที่อาจารย์บรรยายในทุกหัวข้อ จากการที่ได้ฟังทำให้ตัวเองรู้สึกผิดมาก และจะระมัดระวังตัวเองไม่ให้ผิดศีลค่ะ การดูสาระบันเทิงก็ละได้ ไม่ติดละคร ชอบที่จะฟังธรรมมากกว่า ตอนนี้ฟังธรรมนิยายของพระเดชพระคุณหลวงพ่จรัญอยู่ค่ะ มีทั้งหมด 9 แผ่น   อาจารย์คะหนูมีปัญหาตรงที่หนูเป็นคนคิดมาก และก็ขี้ใจน้อย   และน้อยใจมากที่สุด ทุกวันนี้หนูทำงานแบบไม่มีความสุขเลย ต้องคอยระมัดระวังตัวตลอดเวลา งานที่ทำเป็นงานเกี่ยวกับเอกสารที่นั่งโต๊ะ(ธุรการ) แต่โดยเนื้อแท้ หนูชอบที่จะพบปะผู้คน   มีความสุขกับการที่ได้ดูแล   เทคแคร์เค้า ให้ข้อมูลเค้า ทำให้เคามีความสุขในเวลาที่เค้ามีปัญหา  

หนูจะมีความสุขมากที่จะได้ทำอย่างนั้นเหมือนกับพวกเจ้าหน้าที่ของอาจารย์ที่จัดการอบรมน่ะค่ะ ที่แบ่งงานกันทำ ดูแลผู้เข้ามาฟังธรรมให้มีความสุข อย่างนั้นละค่ะคืองานที่หนูชอบ ทุกวันนี้หนูทุกข์ใจกับการทำงานมาก ไม่มีความสุขเลย ทั้งๆๆที่เราก็พยามทำงานของเราให้ดีที่สุด มีข้อบกพร่องก็พัมนาแก้ไข แต่ในมุมมองที่กลับมา ไม่ใช่อย่างนั้น ในที่ประชุมให้เสนอ พอเสนอก็โดนเล่นงาน พอเงียบก็โดนว่า หนูเลยงง ไปหมด   แต่ต้องทนทำเพราะอายุมากแล้ว   ครอบครัวตัวเอง   พ่อ แม่ พี่น้องที่เราต้องรับผิดชอบยังมีอีกมาก หนูเครียดมากค่ะอาจารย์ หนูควรทำอย่างไรคะในการดำเนินชีวิตประจำวันให้มีความสุข หนูฟังธรรมมากก็โดนเหน็บแนม หนูจะจำที่อาจารย์บอกว่า จะไม่เสพในสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีสาระเข้ามา แต่เค้าก็มาบอกว่าถ้าอย่างนี้ไปบวขเถิดมันมากไป อาจารย์คะคำถามของหนูอาจจะวกวนเพราะหนูว้าวุ่น รบกวนอาจารย์ชี้ทางสว่างให้หนูด้วยค่ะ

กราบของพระคุณค่ะ
กชพร

คำตอบ
     คำว่า “มโน มยา” หมายถึง สำเร็จด้วยใจ ผู้ถามปัญหามีใจที่เห็นผิด ส่องนำทางให้กับชีวิต ปัญหาจึงเกิดขึ้น ฉะนั้นต้องพัฒนาจิตให้มีความเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว ปัญหาอารมณ์ไม่ดีของจิตย่อมหมดไป

การพัฒนาจิตให้เห็นถูกตามความเป็นจริงแท้ ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น จนสามารถระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต ต้องสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก ประมาณครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่า เมื่อทำกิจกรรมทั้งสองแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทุกวันจนกว่าอารมณ์ที่ทำให้ไม่สบายใจหมดไป

    เมื่อใดที่จิตมีอารมณ์สงบ ลองพิจารณาดูสิว่า สิ่งที่ตนเสนอในที่ประชุมแล้วคนอื่นไม่เห็นด้วย หรือถูกตำหนิเมื่อไม่มีข้อเสนอแนะ ต้องคิดในทางบวกว่า คนที่เข้าร่วมประชุมเขามีอุปการคุณให้เราได้สร้างขันติบารมี เมื่อเขาขัดใจ เราต้องให้อภัยเป็นทาน แล้วเมตตาย่อมเกิดขึ้น คนที่มีความเห็นเช่นนี้ย่อมเห็นว่า คนที่ทำเหตุขัดใจ เขามีอุปการคุณให้เราได้สร้างและสั่งสมเมตตาบารมี และมองให้ถูกว่า การทำงานเป็นการเรียนรู้คน – เรียนรู้วิธีทำงาน ซึ่งส่งผลให้เรามีประสบการณ์เรื่องคน – เรื่องงาน เพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นผู้เห็นถูกตามธรรม ย่อมไม่ปฏิเสธสิ่งต่างๆเหล่านี้ แล้วอารมณ์บ่จอย (อารมณ์เสีย) จะไม่เกิดขึ้น
  

1691.
เรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพ

หนูอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับน้องชายของหนูคะ อยากทราบว่าเขาทำกรรมอะไรไว้  

คุณแม่คลอดน้องคนสุดท้องก่อนกำหนดคะ น้องต้องเข้าตู้อบเพราะตัวเหลืองอยู่หลายวัน หลังจากออกจากโรงพยาบาลแรกๆก็ดีขึ้น ร่างกายยังดูปกติดีแต่พออายุ 4-5 เดือนก็ต้องเข้าโรงพยาบาลอีก ครั้งนี้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่ร่วมสองปี ซึ่งภายในระยะเวลาสองปีนี้น้องต้องถ่ายเลือดถึงสองครั้ง พอมารู้ตัวอีกที ก็รู้ว่าน้องไม่ปกติเหมือนเด็กทั่วไปแล้ว แม้จะทำกายภาพบำบัดมาโดยตลอด น้องชายช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย   จะไปไหนมาไหนต้องอุ้มตลอด นั่งรถเขนไม่ได้ ไม่สามารถบังคับร่างกายให้หยิบจับสิ่งของได้   ยิ้มหัวเราะ ร้องไห้ปกติแต่พูดไม่ได้ สมองรับรู้และเข้าใจเวลาที่เราพูดด้วย แต่ที่น่าสงสารที่สุดคือไม่สามารถเคี้ยวอาหารเองได้ คุณแม่ต้องเคี้ยวให้ละเอียดแล้วป้อน แต่น้องก็จะกลืนอาหาร และน้ำลำบากทุกครั้ง ญาติๆและคนรอบข้างมักจะบอกให้คุณแม่พาน้องไปไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กพิการ แต่คุณแม่ยืนยันว่าจะเลี้ยงจนกว่าจะตายจากกัน ผ่านไป 9 ปีน้องก็เสียชีวิตคะ ร่างกายเขาไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เป็นหวัดตลอด มีโรคประจำตัว คือ ปอดบวม และโรคลิ้นหัวใจรั่วที่เพิ่งตรวจพบในภายหลัง ตอนที่เขาเสียชีวิตคุณหมอบอกว่าปอดทะลุคะ

1) ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมค่ะ น้องชายหนูทำกรรมอะไรไว้ เป็นสิ่งที่ครอบครัวของหนูเคยร่วมกระทำเอาไว้ด้วยหรือเปล่า  

2) มนุษย์เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมและสร้างกรรมดีไม่ใช่หรือค่ะ แล้วในกรณีของน้องชายหนู เขาไม่มีโอกาสที่จะสร้างกรรมดีเลย มีวิธีที่พอจะช่วยเขาได้ไหมค่ะ

3) ข้อที่สามนี้ เป็นคำถามส่วนตัวค่ะ หนูสวดมนต์ นั่่งสมาธิ รวมถึงศึกษาธรรมมะอยู่เป็นประจำคะ แต่อาจมีบ้างเป็นบางวันที่ไม่ได้นั่งสมาธิเพราะหนูต้องทำรายงานดึกจนนั่งไม่ไหว แต่พอหลับ มักจะฝันเห็นวิญญาณอยู่เป็นประจำ หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันคะว่าทำไมจิตถึงรับรู้ว่านั่นคือวิญญาณ แต่เมื่อคืนก่อนรู้สึกเหมือนมีใครกอดจากด้านหลัง (นอนตะแคง) อาการเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะพอรู้สึกตัวว่าเห็นอย่างนั้นหนูก็ตื่นขึ้นมาเลย เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะจิตของหนูฟุ้งซ่านเกินไปหรือเปล่าค่ะ

4) ตอนนี้หนูทานมังสวิรัติ เนื่องจากรู้สึกว่าไม่อยากทานเนื้อสัตว์และไม่โหยหา เพราะใจมันบอกว่านั่นคือซากศพ บางครั้งแค่มองก็รู้สึกเหมือนจะอาเจียน ความคิดแบบนี้เป็นเรื่องที่ผิดไหมคะท่านอาจารย์ เรื่องนี้หนูก็แปลกใจ แต่มันก็ทำให้หนูรู้สึกดีมาก ก่อนหน้านี้ระบบการขับถ่ายไม่ดี ตอนนี้ไม่มีความกังวลกับมันเลย

คำตอบ
     (๑) พ่อแม่ รวมถึงลูกที่ตายไป เคยร่วมกันทำร้ายสัตว์จนตาย อกุศลวิบากจึงให้ผลเช่นนี้

     (๒) เมื่อใดที่กรรมไม่ดียังให้ผลรุนแรง ผู้เสวยอกุศลวิบาก ย่อมไม่มีโอกาสสร้างกรรมดีได้

       ถามว่า : จะช่วยน้องชายที่ตายไปได้ไหม ?

       ตอบว่า : ช่วยได้ ด้วยการอุทิศบุญกุศลส่งไปให้ แต่เขาจะได้รับหรือไม่ อยู่ที่วิบากของเขา

     (๓) จิตวิญญาณของอมนุษย์ สามารถสื่อให้มนุษย์ทราบได้ด้วยวิธีการต่างๆ ฉะนั้น ควรทำบุญแล้วอุทิศผลบุญส่งไปให้จิตวิญญาณที่มาปรากฏในความฝันนั้น ที่บอกเล่าไปมิใช่เนื่องด้วยจิตฟุ้งซ่าน

     (๔) ความคิดที่เลิกกินเนื้อสัตว์ โดยหันมารับประทานอาหารมังสวิรัติแทน แล้วทำให้มีสุขภาพดี ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่ผิดสำหรับผู้ถามปัญหา ฉะนั่นจงรับประทานอาหารมังสวิรัติต่อไปเถิด … . สาธุ
  

1690.
กราบเรียนท่าน ดร.สนอง   วรอุไรที่เคารพเป็นอย่างสูงค่ะ

หนูอยากจะรบกวนขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ค่ะ
1. หนูมีปัญหาอยู่ว่าคือหนูเป็นคนขี้อายมากค่ะและขี้กลัวเป็นมาตั้งแต่เด็กจนโตอายุจะ 24 ปีแล้วก็ยังขี้อาย และไม่กล้าแสดงออกเลยเวลาจะรายงานหน้าชั้นก็จะตื่นเต้นมากๆจนมือสั่นข้อมูลที่จำได้ลืมไปเลย นึกไม่ออกเป็นแบบนี้บ่อยครั้งหนูรู้สึกแย่มากหนูไม่อยากเป็นแบบนี้เลยหนูจะพัฒนาตัวเองอย่างไรได้คะ ที่จะทำให้เป็นคนกล้าแสดงออกและไม่ขี้อาย
 
2. หนูมักจะชอบมองคนอื่นที่มีดี คือมีทั้ง สวย หล่อ   ดี และเก่งมีความสามารถ และมักจะปลื้มและชื่นชมคน ๆนั้นอยู่บ่อย ๆ มาก อยากเป็นอย่างเขาบ้างที่หนูคิดอย่างนี้มันดีไหมคะ
 
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (๑) ปัญหาที่ถามไป สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำเหตุให้ถูกตรง และต้องทำอยู่เสมอในสองเรื่อง คือ
       ๑. ให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ
       ๒. ถวายสังฆทานบ่อยๆ

    ทั้งสองเหตุนี้ ผู้ใดประพฤติได้แล้ว เมื่อผลของการประพฤติปรากฏ ผู้นั้นย่อมมีจิตตั้งมั่นเร็ว และมีความแกล้วกล้าในที่ประชุม

    (๒) ผู้ใดเอาจิตไปฝากไว้กับสิ่งที่ตาเห็น ผู้นั้นย่อมมีจิตหวั่นไหวในอารมณ์ของกาม ซึ่งส่งผลให้จิตเข้าถึงความสงบได้ยาก

     - ปรารถนาเกิดมาสวย เกิดมาหล่อ ต้องรักษาใจให้มีศีลคุมอยู่เสมอ

     - ปรารถนาเป็นคนดี ต้องเจริญจิตตภาวนาจนเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ

     - ปรารถนาเป็นคนเก่งและมีความสามารถ ต้องเรียนรู้อยู่เสมอจนเป็นพหูสูต และทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
   

1689.
กราบสวัสดี ท่านอาจารย์ ดร. สนอง
  
ผมมีเรื่องขอกราบเรียนสอบถามครับ
  1. ผมนั่งสมาธิกำหนด พองหนอ-ยุบหนอ จนปวดขา ก็กำหนดปวดหนอ ๆๆ ก็ไม่หายปวดครับ แต่ยังกำหนดไปเรื่อย ๆ จนมีอาการรู้สึกว่าร่างกายหนักมาก และปวดขาด้วย พอนั่งจนเกิดอาการดังกล่าว ผมมักจะทนไม่ไหวครับแล้วก็เลิกครับ อย่างนี้ควรจะกำหนดอย่างไรดีครับ (เพราะเป็นสองอย่างพร้อมกัน)
  2. ผลจากการปฎิบัตินี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ หรือเปล่าครับ ที่สำคัญการปฏิบัติแบบนี้ อยู่ในทางที่ถูกต้องหรือเปล่าครับ
  3. ถ้าที่สิ่งผมกำลังปฏิบัติอยู่ ไม่ถูกทาง ขอความกรุณาท่านอาจารย์ แนะนำด้วยครับ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ  

คำตอบ
     (๑) นั่งภาวนาแล้วเกิดอาการปวดที่ขา จนทนไม่ไหวจึงเลิกนั่ง นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า สติยังมีกำลังไม่กล้าแข็งพอที่จะต้านทานอำนาจของขันธมารได้ ผู้มีประสบการณ์ชี้แนะว่า ควรเปลี่ยนไปสร้างอิริยาบถใหญ่ให้เกิดขึ้น ด้วยการเดินจงกรม แล้วใช้จิตจอจ่ออยู่กับเท้าที่ย่างก้าว อาการปวดที่ขาจึงจะหมดไปได้

     (๒) ผลที่เกิดจากการปฏิบัตินี้ ถือเป็นเรื่องปกติของคนที่จิตมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง แต่คนที่จิตมีกำลังของสติมากกว่ากำลังของขันธมาร อาการเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติธรรม ควรนั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรม แล้วย่อมทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น ปัญหาปวดที่ขาจึงจะไม่เกิดขึ้น

     (๓) ชี้แนะแล้วตามข้อ (๒)
  

1688.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง
        
            ด้วยความไม่สบายใจ และไม่สามารถระงับได้ จึงต้องขอคำปรึกษาอาจารย์ ด้วยภาพที่ส่งแนบมาด้วยกันนี้ เนื่องจากที่บ้านเป็นทาว์นโฮม 3 ห้องนอน ไม่มีห้องพระค่ะ ได้บูชารูปครูบาอาจารย์มาที่บ้าน และหลังจากติดตั้ง ตามรูปที่แนบมา ก็เกิดความไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก    พอนำความไปสอบถามผู้อื่น ข้างบ้าง เพื่อนบ้าง ยิ่งทำให้ไม่สบายใจมากขึ้น .... ห้องนอนไม่ได้ ห้องน้ำไม่ได้ ทางเดินไม่ดี .... ห้องพระดีที่สุด หรือห้องรับแขกก็ได้ แต่ที่บ้านยังไม่มีห้องพระค่ะ ส่วนห้องรับแขกอยู่ชั้น 1 จะควรหรือค่ะ ตอนนี้ หนูกั้นห้องนอนไว้ เป็นพื้นที่สำหรับ สวดมนต์ เดินจงกรม และ จัดเก็บพระประธานและพระพุทธรูปไว้กับ หลังตู้ที่กั้นระหว่างห้องนอนค่ะ
 
            ขอความเมตตาท่านอาจารย์ช่วยชี้แจง แนะนำให้หนูด้วยนะคะ สาธุเจ้าค่ะ

คำตอบ
      ทุกข์ หมายถึง ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ บ้านที่ผู้ถามปัญหาใช้อยู่อาศัย คนอื่นมิได้อยู่ด้วย ผู้มิได้ร่วมอยู่อาศัย ย่อมติติงอะไรก็ได้ ตามอารมณ์ใจของเขา แต่อารมณ์ใจของเราเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า จะเอารูปครูบาอาจารย์ไปติดตั้งอยู่ ณ ที่แห่งใดในบ้าน แล้วทำให้ผู้ถามปัญหาสบายใจ ตำแหน่งนั้นถือว่าดีที่สุด ฉะนั้นจงมีสติสัมปชัญญะ แล้วใช้สติสัมปชัญญะของตัวเองเป็นเครื่องตัดสินใจ
   

1687.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันมีคำถามที่ขอความกรุณาท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1.การดำเนินธุรกิจในบางแห่ง ผู้ขายจำเป็นต้องให้สินบนกับผู้ซื้อมิฉะนั้นจะไม่ได้งาน ในกรณีนี้ผู้ขายผิดศีลในข้อใดและจะได้รับผลของกรรมหนักไหม อย่างไร และควรเลิกอาชีพนี้เลยไหมคะ

2.หากการเกิดเป็นทุกข์แล้ว เมื่อเราแต่งงานแล้วไม่ควรมีลูกดีกว่าไหมค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      (๑) คำว่า “สินบน” หากหมายถึงทรัพย์หรือสิ่งของที่จะให้เป็นเครื่องตอบแทนผู้ที่จะช่วยให้สำเร็จตามประสงค์

     การให้สินบนที่มีเหตุมาจากเจตนาดี คือให้ขายสินค้าที่มีคุณภาพดีกว่าผู้อื่นได้ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้าม หากติดสินบนให้ขายสินค้าด้อยคุณภาพกว่าผู้อื่นได้ การกระทำอย่างนี้ถือว่าเป็นบาป

     ผู้ใดทำตัวให้มีอย่างน้อย เบญจศีล และมี เบญจธรรม (มีเมตตากรุณา มีสัมมาอาชีวะ มีกามสังวร มีสัจจะ และมีสติสัมปชัญญะ) คุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา และผุ้ใดมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ ผู้นั้นย่อมมีความเจริญทั้งในชีวิตและอาชีพการงานแน่นอน

     (๒) ผู้รู้ย่อมไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด ผู้รู้ทำได้เพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น

     ผู้รู้จริงบอกว่า มนุษย์มีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ ฉะนั้นจงเลือกผูกหรือไม่ผูก เอาตามที่ตนชอบเถิด
   

1686.
กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไร

     สวัสดีค่ะอาจารย์ฯ หนูเป็นชาวพุทธอีกหนึ่งคนที่ใคร่จะใฝ่รู้ในธรรมะของพระพุทธเจ้า และหนังสือที่มีชื่อว่า "ทางสายเอก" ของอาจารย์ เป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตหนูจริง ๆ หนูเคยได้มีโอกาสไปฟังอาจารย์บรรยายที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แล้วอาจารย์ก็มีเมตตาไต่ถามหนูว่าหนูทำงานที่ไหน พอหนูบอกว่าหนูทำงานที่สำนักงานอัยการ อาจารย์ก็บอกหนูว่าหนูรู้หรือปล่าวว่าในนรกนะ มีผู้พิพากษาอยู่เหมือนกันนะ เพราะตัดสินคนผิด ต้องไปรับเวรรับกรรม หนูก็ไม่รู้ว่าแรงจิตอธิษฐานของหนูในทุก ๆ ครั้งที่มีปัญหา หนูจะนึกถึงอาจารย์ตลอดค่ะ หนูภาวนาในใจว่าให้ช่วยหนูด้วย หนูเหมือนจะถึงทางตันแล้ว เหมือนกับ ณตอนนี้ ชีวิตมันมีปัญหาเข้ามา หนูเคยคิดนะค่ะ ว่าหนูคงทำเวรทำกรรมเอาไว้ และเคยกล่าววาจาว่า หากหนูได้ทำอะไรกับใครไว้ หนูก็จะยินดีชดใช้ แต่ก็ไม่วายที่ใจมันจะเป็นทุกข์อีกนะค่ะ

     หนูมีโอกาสได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง เค้ามีกิจการส่วนตัวเป็นร้านซุปเปอร์มาเก็ตและขายเสื้อผ้ามือสอง เค้าเป็นคนชอบใส่ชุดขาว แล้วเรียกตัวเองว่าผู้ปฎิบัติ หนูอยู่แรก ๆ หนูก็รู้สึกดี ๆ นะค่ะ เค้าชอบทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ เค้าก็พาหนูไปในทางที่ดี หนูจึงไปช่วยเค้าขายเส้อผ้าหลังจากเลิกงานราชการตอนเย็น ไปช่วยอยู่ระยะนึง หนูก็มีปัญหาครอบครัว ต้องหย่ากับแฟน เค้าเป็นคนพาไปหย่า แล้วหลังจากหย่าหนูมาช่วยเค้าขายของ ก็มีผู้ชายมาชอบพอหนู แล้วเค้าก็จะชอบพูดว่าหนูนะอย่าใฝ่ต่ำนะ ชอบพูดกับคนอื่นว่ากลัวหนูจะใฝ่ต่ำ ณ ตอนนั้นหนูรู้ว่าเจตนาเขาดีว่าเค้าหวังดี ไม่อยากให้หนูยุ่งกับสามีคนอื่น แต่อารมณ์หนูตอนนี้นมันคิดว่าเค้าว่า หนูก็เลยจากเค้ามา ผ่านไป 2 ปี เหมือนมีอะไรให้หนูต้องกลับไปช่วยเค้าอีกนะค่ะ ทีนี้กลับไปในฐานะลูก เพราะเค้าบอกว่าเค้าคือองค์แม่แห่งฟ้า ญาณของเทพต่าง ๆ จะใช้ร่างของเค้าผ่านลงมา เค้าไว้ใจหนูให้หนูดูแลกิจการซุปเปอร์มาเก็ต กับน้องผู้ชายอีก 1 คน ซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่น เหตุการณ์ก็ดำเนินต่อไปอย่างปกติ จนกระทั่ง เค้ามีโอกาสได้รู้จักกับพระองค์หนึ่ง แล้วนิมนต์ท่านมาพักที่บ้าน 2-3 วัน อยู่หลายครั้ง เริ่มคุยโทรศัพท์กันบ่อย ๆ หนูรู้สึกไม่ดี เตือนเค้าบอกว่ามันไม่เหมาะสม แล้วก้อมีอะไรหลายๆ อย่างในตัวเค้าที่ทำให้หนูรู้สึกไม่ดี แต่ระหว่างที่หนูทำงาน หนูได้เงินเดือนนะค่ะ เค้าให้เดือนละ 5,000 บาท แต่หนูยอมรับนะค่ะ ว่าหนูเคยเอาเงินในลิ้นชักไปใช้กินอาหารบ้าง ซื้อของบ้าง แต่ไม่ใช่เงินหลักหมื่นหลักแสน แล้วหนูก็คิดเสมอว่า เมื่อหนูมีหนูจะคืนเค้าทุกบาท ไม่เคยคิดจะเอาแล้วเอาเลย เพราะมันไม่ได้มากมายหนักหนา หนูอาจจะไม่ใช่คนดี เพราะชีวิตหนูเดินทางผิดมาเยอะ แต่หนูก็พยายามแก้ไขให้ทุกอย่างดีขึ้น แล้วหลัง ๆ ก้อมีลูกน้องในร้านมาบอกหนูว่าเค้าว่าหนูเสียๆ หาย ๆ หนูไม่มีปัญญาและเกิดโทสะ ว่าเค้าเสีย ๆ หาย ๆ เหมือนกัน สุดท้ายเค้าก็ให้หนูออก แล้วเค้าก้อมาหาหนูที่บ้านพร้อมกับมือปืน (มารู้ทีหลังค่ะว่าเป็นมือปืนรับจ้าง) มาบอกหนูว่า หนูยักยอกเงินเค้าไป 300,000 บาท เพราะหนูทำงานที่ร้านให้เค้า 9 เดือน เค้าบอกว่าเค้าเคยได้กำไรเดือนละ 50,000 บาท แต่พอหนูอยู่กับน้องผู้ชาย เค้าขาดทุนเกือบทุกเดือน มันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เพียงเพราะหนูปากพล่อย พูดทุกอย่างไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบจริง ๆ จนกระทั่งเมื่อวานนี้ มีคุณตาซึ่งทำงานอยู่กับเค้าที่ร้าน โทรมาบอกหนูว่าให้หนูระวังตัว เพราะเค้าจะจ้างมือปืนมายิงหนู หนูก็บอกแกไปว่าเค้าไม่ทำหรอก แต่ในใจหนูก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่ฉันจะต้องถูกฆ่าตายงั้นรึ" ถามว่ากลัวมั้ย หนูตอบได้เลยว่ากลัว แต่หนูก็ตั้งจิตนะค่ะ ว่าถ้าหนูทำกับเค้ามาเมื่ออดีตชาติ หนูก็ยินดีจะชดใช้ แต่ถ้าหนูสามารถยังทำประโยชน์ให้กับพุทธศาสนาต่อไปได้อีก ก้อขอให้หนูมีชีวิตอยู่ต่อไป

     หนูมองไม่เห็นใคร ที่จะชี้แนะทางสว่างโดยอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าให้หนูได้แก้ปัญหากับความทุกข์ตรงนี้ได้ หนูจึงส่งคำถามมาหาอาจารย์ หนูพยายามนิ่งเฉย ต้อนรับทุกอย่างด้วยความสงบ หนูแผ่เมตตา กรวดน้ำให้เขา ขอให้เขาอโหสิ ขอให้ศัตรูกลับกลายมาเป็นมิตร แต่หนูไม่รู้ว่าทุกอย่างจะลงเอยอย่างไร หนูขอความกรุณาอาจารย์ได้โปรดชี้แนะหนูด้วยนะค่ะ

ด้วยความเคารพ
ณฤดี

คำตอบ
      คำว่า “แผ่เมตตา” หมายถึง ตั้งความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ปัญหามีอยู่ว่าผู้ถามปัญหามีเมตตาอยู่ในดวงจิตไหม ? เมตตาจะเกิดขึ้นได้กับผู้ใด ผู้นั้นต้องให้อภัยเป็นทานกับทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ คนมีเมตตาอยู่ในดวงจิต เป็นคนมีอารมณ์สงบและเย็น ตรงกันข้าม คนที่มีโทสะและว่าคนอื่นในทางเสียหาย เป็นคนที่ไม่มีเมตตา แล้วจะเอาเมตตาที่ไหนไปแผ่ให้คนอื่น ผู้ไม่มีเมตตา แล้วยังกระจายออก ( แผ่ ) สิ่งที่ตนไม่มีให้คนอื่น คนอื่นย่อมไม่ได้รับอานิสงส์แห่งการแผ่นนั้น หากเป็นดังนี้ อกุศลวิบากยังมีโอกาสเกิดขึ้น

     ถามไปว่า : ขอความกรุณาอาจารย์ได้โปรดชี้แนะ

     ตอบมาว่า : หากผู้ถามจะทำตนให้เป็นประโยชน์กับพุทธศาสนา ต้องสร้างมหาทาน แล้วอธิษฐานว่า ขอให้ตนได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำประโยชน์อย่างสุดๆให้กับพุทธศาสนาก่อน แล้วจึงค่อยตาย ผู้ใดอธิษฐานเช่นนี้แล้วผู้นั้นต้องมีสัจจะ คือทำให้ถูกตรงตามที่อธิษฐานไว้ แล้วความสมปรารถนาในสิ่งที่อธิษฐาน ย่อมเกิดขึ้น     
   

1685.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

     หนูอยากเรียนถามท่านอาจารย์ฯในเรื่องของการปฏิบัติธรรมค่ะ หนูเริ่มปฏิบัติธรรมตั้งแต่เข้าพรรษา เดือนกรกฏาคม 2553 ที่ผ่านมา ตอนเริ่มปฏิบัติใหม่ๆ หนูได้เข้าไปอยู่ในสำนักปฏิบัติธรรม 3 เดือน ตั้งแต่เข้าพรรษา จนกระทั่งออกพรรษา ต่อจากนั้นหนูก็ปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ แต่การที่เราอยู่ในวัดมีสภาพมีสังคมแคบมากกว่าเราจึงปฏิบัติได้ดี แต่พอออกมาเจอกับกิเลสหลายๆอย่างทำให้บางครั้งก็ท้อต่อการปฏิบัติ หนูเริ่มปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ แต่หนูไม่ทิ้ง และไม่ลืมในสิ่งที่พระอาจารย์ท่านสั่งสอน จนมาวันหนึ่งเมื่อไม่นาน หนูได้มีโอกาสฟังธรรมที่ท่านอาจารย์ฯ บรรยาย จาก เว็บยูทูฟ

     หนูรู้สึกว่าแนวทางที่หนูปฏิบัติมาตรงกับที่ท่านพระอาจารย์ฯได้ปฏิบัติมาก่อน และหนูก็มั่นใจและมีกำลังใจปฏิบัติมากยิ่งขึ้น คือหนูเชื่อในเรื่องของนิมิต แต่ไม่ยึดติด เชื่อในเรื่องของภพภูมิต่างๆ ท่านพระอาจารย์ที่วัดท่านสอนเรื่อง วิปัสนาญาณ ที่หนูเข้าใจคือ การพิจารณาความเป็นจริงของสิ่งไม่เที่ยงฯลฯ ประกอบด้วย อนุญาณสมาบัติ นิมิตญาณสมาบัติ นิโรธญาณสมาบัติ และอรหันต์ญาณสมาบัติ หรือเรียกง่ายๆว่าสายละ ละวางกิเลสทุกอย่างที่เป็นกิเลสที่อยู่ในใจฯลฯ

     หลักปฏิบัติที่ท่านสอนคือ ท่านให้เพ่งออกตามแสง ไม่ต้องไปยึดติดกับคำบริกรรม แล้วตั้งจิตให้จิตออกไปในสถานที่ต่างๆ บางครั้งเมื่อหนูปล่อยจิตให้ว่าง ก็จะนิมิต เป็นผี หรือเป็นสถานที่ต่างๆ ท่านบอกว่าให้ปล่อยออกไปเลย แล้วให้ย้อนกลับมาพิจารณาดูตัวเราเอง ดูกระดูก ดูความไม่เที่ยงแท้ ดูอสุภะในร่างกาย ให้เกิดความเบื่อหน่าย หรือดูภพ ภูมิต่างๆ เพื่อที่จะให้เรารู้สึกละอายต่อบาปกรรมว่าบาปกรรมมีจริงและผลของบาปกรรมนั้นเป็นอย่างไรเพราะวาถ้าเราไม่รู้เองเห็นเอง เราจะไม่มีความยับยั่งชั่งใจ และการปล่อยวางต่อสิ่งต่างๆก็ใช้ในชีวิตประจำวันเราได้

   ท่านอาจารย์ค่ะ หนูอยากเรียนถามท่านว่า
     1. ท่านอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่หนูรู้และปฏิบัติมา หนูมาถูกทางพ้นทุกข์หรือยังค่ะ

     2. หนูอธิฐานมาตลอดว่าเมื่อสังขารหยาบหนูพังแล้ว หนูขอให้หนูได้ปฏิบัติธรรมอยู่บนสวรรค์ ไม่นิพพานได้สวรรค์ก็ยังดี แล้วปฏิบัติขึ้นไปเรื่อยๆ หนูเบื่อความเสื่อมของคนในโลกเหลือเกิน บางครั้งหนูอยากอยู่คนเดียวในที่ที่สงบแต่หนูยังทำไม่ได้เพราะหนูยังมีกรรม หนูต้องทำและปฏิบัติจิตอย่างไรถึงจะสมความปราถนาค่ะ

     3. หนูเป็นคนที่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าง่าย เช่น คำพูดของคนก็เก็บเอามาคิด คิดเล็กคิดน้อย ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวจนตอนนี้หนูป่วยเป็นไมเกรนแล้วค่ะ และเป็นคนใจร้อนค่ะ เวลามีปัญหาอะไรหนูไม่อยากนั่งเลยค่ะ มันท้อๆ หนูอยากขอความเมตตามท่านอาจารย์แนะนำกุศโลบายในการลด ละ เลิก อารมณ์เหล่านี้เพิ่มเติมค่ะ

     4. หนูเป็นคนจิตอ่อน เวลานั่งวิปัสนาญาณ เมื่อมีนิมิตเห็นผี หนูจะตกใจวูบ และสมาธิจะหายหนูต้องทำอย่างไรค่ะหนูถึงจะนั่งต่อได้ค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์นะค่ะ และขอให้บุญกุศลแห่งความดีเหล่านี้จงดลบันดาลให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
และขอให้ท่านสมความมุ่งหวังทุกสิ่งอย่างค่ะ

คำตอบ
    (๑) ผู้ถามปัญหาข้อปฏิบัติไม่ถูกทาง จึงยังไม่ทำให้พ้นไปจากความทุกข์

    (๒) ปรารถนาไปเกิดเป็นเทวดา (ชาวสวรรค์ทั้งเพศชายและเพศหญิง) ควรทำเป็นสามขั้นตอนดังนี้
      ก . สร้างมหาทานเช่นเลี้ยงพระเจ็ดวัน พิมพ์หนังสือธรรมะเผยแพร่ สร้างโรงทานให้คนหมู่มากได้ใช้ประโยชน์ ฯลฯ
     ข . อธิษฐานเกิดในสวรรค์และได้ปฏิบัติธรรม
     ค . ทำเหตุให้ตรง คือ บำเพ็ญทานพร้อมทั้งรักษาศีล หรือประพฤติกุศลกรรมบท ๑๐ ตลอดชีพ เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาย่อมเกิดขึ้น

   (๓) การที่จิตเกิดอารมณ์หวั่นไหว นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า จิตมีกำลังของสติอ่อน

     การป่วยเป็นไมเกรน หากเป็นด้วยเหตุแห่งกรรม คืออดีตได้เคยประพฤติเบียดเบียนสัตว์ (รูปนาม) เช่น ทุบตีที่ศีรษะ หรือทำให้ศีรษะได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุกข์ทรมาน

     การมีอารมณ์ร้อน (โทสะ) เกิดขึ้นจากสามเหตุใหญ่ คือ
      ก . จิตมีอัตตา
     ข . มีสิ่งขัดใจเข้ากระทบจิต
     ค . จิตมีกำลังของสติอ่อน จึงรับสิ่งขัดใจเข้าปรุงเป็นอารมณ์ร้อน หรือที่เรียกว่า โทสะ

     หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไขปัญหานี้ต้อง
      ก . ทุกครั้งที่มีสิ่งขัดใจเข้ากระทบจิต ต้องให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ จนกระทั่งเกิดคุณธรรมที่เรียกว่า เมตตา ขึ้นในดวงจิตแล้ว ย่อมทำให้เป็นคนมีอารมณ์สงบและเย็น
     ข . เจริญวิปัสสนกรรมฐาน จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) จนเห็นว่าดับไปตามกฎไตรลักษณ์ และจะทำให้อัตตาคือตัวตน หรือความเห็นแก่ตัว ดับตามไปด้วย แล้วจะทำให้อารมณ์ร้อน (โทสะ) หมดไปอย่างสิ้นเชิง

   (๔) ต้องหาครูผู้มีประสบการณ์ตรงและเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ คอยช่วยชี้แนะวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้ท่านเจ้าคุณโชดก เคยพูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “ถ้าเห็นนิมิตไม่ดี แล้วทำให้ตกใจกลัว ต้องเปิดไฟให้สว่าง แล้วลืมตาดูให้ชัด” จึงจะรู้ว่า นิมิตนั้นไม่ใช่มีอยู่จริง คือรู้จริงในเรื่องใดแล้ว จะไม่กลัวในเรื่องนั่นเอง
  

1684.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

     ในวันที่ 10 กรกฏาคม 2554 เป็นวันงานบรรยายธรรมของทางชมรมกัลยาณธรรม และเป็นวันเกิดของลูกสาวด้วย ถ้าดิฉันไปร่วมฟังธรรมะ แต่อยากให้ลูกได้ทำบุญในวันเกิดด้วยจะต้องทำอย่างไรบ้างคะ (ลูกสาวไม่ได้ไปฟังธรรมะด้วยน่ะค่ะ)

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
      การทำบุญมิได้เกิดจากการฟังธรรมเพียงอย่างเดียว แต่การประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น อุทิศความดีให้คนอื่น เห็นคนอื่นทำความดีแล้วอนุโมทนา ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง ที่บอกมาทั้งหมดนี้ ผู้ใดประพฤติแล้วได้บุญ ฉะนั้น ควรบอกลูกสาวให้มีจิตระลึกอยู่กับบุญกิริยาวัตถุทุกเวลานาที ว่าเมื่อประพฤติได้แล้ว บุญย่อมเกิดขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันเกิด
      

1683.
เรียน อาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ

     นานแล้วไม่ได้เขียนมาปรึกษาอาจารย์ ขอเล่าถึงความคืบหน้าในการฝึกปฏิบัติ
คือช่วงนี้รู้สึกว่าสามารถประคองจิตที่มีความ คิดดี มีเมตตา หวังดีกับผู้อื่น ด้วยความจริงใจ
แต่อยู่ในช่วงพัฒนา ยังไม่อยู่แบบนี้ได้ตลอดเวลาคะ คล้ายๆจิตรับรู้ว่าจะต้องชดใช้กรรม
ที่เคยทำไว้ทุกอย่าง เมื่อทราบด้วยจิตอย่างนี้รู้สึกว่า จิตสงบและน้อมรับประกอบกับรู้สึก
รักผู้อื่นได้อย่างจริงใจ และมีจิตใจอ่อนโยนขึ้น มีความสุขที่ละเอียดมากขึ้น ไม่ทราบว่า
ดิฉันฝึกมาถูกทางไม่คะ และต้องทำอย่างไรต่อไปบ้างคะ ขอรบกวนอาจารย์แค่นี้ค่ะ

   ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
      ฝึกได้ถูกทางแล้ว ผู้ไม่ประมาทควรรักษาความเห็นถูกตามธรรมเช่นนี้ให้คงอยู่ ด้วยการเจริญพละ ๕ อยู่เสมอ จนใจมีกำลังต้านทานอำนาจของมารได้ทุกขณะตื่น นี่คือสิ่งที่แนะนำให้ประพฤติให้ได้แล้ว ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม จึงจะเป็นความจริงได้
   

1682.
เรียน ดร. สนอง

     ดิฉันขอปรึกษาหน่อยค่ะ ตอนนี้เครียดมากเครียดมา 3 ปี แล้วค่ะ ดิฉันขอเล่าเรื่องของดิฉันนิดหน่อยนะคะว่าดิฉันทำงานใน กทม. มีลูกด้วยกัน 2 คนค่ะ (4 ขวบ กับ 2 ขวบค่ะ) แต่สามีอยู่เชียงใหม่ โดยปกติก็เจอกันไม่บ่อยอยู่แล้วค่ะ ดิฉันก็พยายามทำตามคำแนะนำของทั้งหลวงพ่อหลายองค์ ที่ให้นั่งกรรมฐาน และคนอื่นๆ ที่ว่าต้องยิ้มเสมอค่ะ แล้วเค้าจะกลับมาเองค่ะ ดิฉันก็ยิ้มแล้วนะคะ แต่ว่าเวลาที่เราเจอกันมันก็แค่ 2-3 วัน ต่อครั้ง (เคยจะมาแค่ประมาณ 1-2 หรือ 3 อาทิตย์/ครั้ง) ก็เลยทำให้ยิ้ม (เป็นปีเลยนะคะ) นั้นไม่ช่วยอะไร เพราะ เค้าเจอกับเมียน้อยบ่อยกว่าค่ะ แค่ไม่ทะเลาะกันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ค่ะ เพราะเมียน้อยมาทำงานที่ กทม. เค้าก็ชัดเจนมากว่าไปอยู่กับมันมากกว่าค่ะ แทบไม่มาบ้านเลยค่ะ จะมาทีก็ทะเลาะขู่กันเกือบแย่ค่ะ เหนื่อยใจมากๆเลยค่ะ

     ดิฉันก็อ่นเจออีกคำแนะนำของหลวงพ่อพระฤาษีลิงดำและหลวงพ่อสนอง วัดสังฆทานค่ะ ที่ว่า "ยกสามีให้เมียน้อย ไปเลยจะได้ทานบารมี ด้วย" ดิฉันก็พยายามทำใจเช่นนี้นะคะ เมื่อรู้ว่าสามีไปอยู่กับเมียน้อย แต่ก็อดโทรไปต่อว่าสามีไม่ได้ค่ะ ว่าทำไมไม่มาหาลูกเลย สงสารลูกมากค่ะ เหนื่อยใจมากค่ะ ทุกวันนี้ก็นั่งกรรมฐานและแผ่เมตตาทุกวันนะคะ ทำมาเป็นปีๆแล้วค่ะ เมื่อไหร่จะใช้หนี้กรรมหมดซะทีคะ ความอดทนมันน้อยลงทุกที เพราะสามีก็ยิ่งแข็งกร้าวขึ้นทุกทีเลยค่ะ ตอนนี้ก็ไม่มาบ้านหาลูกแล้วค่ะ ดิฉันพยายามตัดใจนะคะแต่ก็ทำยากเหลือเกินค่ะ ขอคำแนะนำว่าจะตัดใจและปล่อยวางอย่างไรดีคะ
     ดิฉันพยายามจะไม่มองว่าเค้าเลวนะคะ แต่ในบางครั้งก็อดไม่ได้ค่ะ

     ขอบคุณมากค่ะ
       วันวิสาข์

คำตอบ
     หลวงพ่อฤษีลิงดำ และหลวงพ่อสนอง แห่งวัดสังฆทาน แนะนำได้ถูกตรงแล้ว แต่ผู้ถามปัญหายังประพฤติไม่ถูกตรง ตามที่ท่านทั้งสองแนะนำ ปัญหาจึงยังคงมิได้รับการแก้ไข เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหามี กาย วาจา ใจ ตรงกับคำแนะนำ ปัญหาย่อมหมดไปแน่นอน
   

1681.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ค่ะ

     ปกตินั่งสมาธิภาวนาพุทโธค่ะ แต่ขณะนั่งสมาธิมีแต่สงบกับคิด (แบบยังรู้ตัวค่ะ) ไม่ได้สมาธิขั้นไหนเลย คราวหนึ่ง เริ่มนั่งได้ไม่นานค่ะ ประมาณ 10 นาที เห็นว่ามีจิตของตัวเองเกาะอยู่ช่วงกลางกระดูกสันหลัง แล้วรักโครงกระดูกนี้มากๆ สักพักโครงกระดูกนี้ก็ป่นเป็นผงลงไปกองกับพื้นต่อหน้าต่อตาเลย แล้วจิตร้องไห้สะอึกสะอื้น เหมือนกับของรักที่สุดในชีวิต (รักมากกว่าลูกอีกค่ะ) สลายไปคามือเลย ตอนนั้นเหมือนกับว่าเราไม่มีทึยึดเหนี่ยว เราจะไปเกาะกับอะไร จำได้ว่าที่เราสวดมนต์ "ที่พึ่งอื่นของลูกไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของลูก" จึงน้อมใจไปหาพระพุทธเจ้า ขณะนั้นสะอื้นมากจนต้องออกจากสมาธิ (ยังสะอื้นต่ออีกพักใหญ่) จากนั้นทั้งวัน มองร่างกายตัวเอง เหมือนมองสามีนอกใจ ใจมันด้านๆ ไม่เหมือนเดิมค่ะ ไม่แต่งตัว ไม่อยากสวย แค่ดูแลความสะอาดเรียบร้อยก็พอแล้ว ผ่านมาเกือบปีแล้วก็ยังเป็นแบบนี้ค่ะ

1. กราบเรียนถามแนวการปฏิบัติและการพิจารณาต่อไปค่ะ
2. อาศัยอยู่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาค่ะ ขอท่านอาจารย์โปรดแนะนำอาจารย์ที่เข้าพบได้และให้แนวทางปฏิบัติได้ค่ะ

     ขอบุญที่ข้าพเจ้าสร้างมา (แม้จะไม่มากนัก) จงช่วยบำรุงสุขภาพกายและใจของท่านอาจารย์ อายุยืนยาวนาน แข็งแรงตลอดอายุขัย และด้วยเมตตาบารมีของท่านอาจารย์ ขอข้าพเจ้าได้เห็นธรรมที่ท่านอาจารย์เห็นแล้วด้วยเทอญ สาธุ

ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
เกษกาญจน์ ชุณหวิริยะกุล

คำตอบ
      (๑) รักษาสภาพความเห็นที่ถูกตรงกับความเป็นจริงว่า “ที่พึ่งอื่นใดในโลก ไม่มีอยู่จริง ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐนั้นแน่แท้” ระลึกถึงประโยคนี้อยู่เสมอที่นึกได้ ระลึกทุกครั้งที่ว่างจากงาน โดยมีความเพียรและมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน นี่คือทางปฏิบัติที่ควรดำเนินต่อไป

     (๒) แนะนำให้ไปกราบและสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเอี้ยน สำนักปฏิบัติธรรมวังสันติบรรพต อ. เมือง จ. พัทลุง
  

1680.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ

     หนูมีคำถามเกี่ยวกับความเห็นที่ถูกหรือผิดมารบกวนให้อาจารย์ช่วยชี้แจงนะคะ เรื่องมีอยู่ว่าตัวหนูกับแฟนคบกันมาได้ประมาณปีกว่าๆ เราสองคนสนใจธรรมะทั้งคู่ หนูเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมที่ว่ามันทำให้หนูมีสติเร็วขึ้น ไม่ติดอยู่กับอารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบเป็นเวลานาน พูดอย่างมีสติมากขึ้น อย่างเช่นเวลาจะพูดเพ้อเจ้อสติก็จะมากำกับเลยว่าไม่มีประโยชน์ หนูคิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาตัวเองในขั้นต่อๆไป

      ส่วนแฟนหนูมีเป้าหมายในการเป็นพระโสดาบันในชาตินี้ เขาบอกหนูว่าเขาอยากจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่กับคนที่ช่วยให้เค้ามีพัฒนาการ (คบบัณฑิต ไม่คบคนพาล) เขาจึงเริ่มพยายามขอให้หนูเปลี่ยนแปลงเช่น ไม่ให้ใส่น้ำหอม ไม่ให้แต่งหน้าเวลาไปบ้านเขา หลายครั้งที่หนูถูกว่าโง่และบ้าที่ยังยึดติดกับเรื่องพวกนี้ เขาอยากเห็นหนูมีปัญญาปล่อยวางเรื่องพวกนี้ได้ เขาบอกด้วยว่าถ้าหนูไม่ทำตามที่เขาบอกแล้วช่องว่าง (ทางปัญญา) ระหว่างหนูกับเขามีมากเกินไปเราก็คงต้องเลิกกัน

     หนูเองเข้าใจว่าเขาปรารถนาดี และจริงๆหนูเองก็ทำตามที่เขาขอได้ ถึงแม้จะไม่เต็มใจเท่าใดนักเพราะในใจก็คิดว่า เขาค่อนข้างจะล้ำเส้นเรื่องส่วนตัวของหนู และโดยพื้นฐานนิสัยที่เขาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง เรียกง่ายๆว่าหวังดีแต่ต้องได้ตามที่ต้องการ ไม่เช่นนั้นก็จะเกรี่ยวกราด การทำตามที่เขาขออาจจะเป็นการทำร้ายเขาโดยทางอ้อม ถ้าหนูยอมทำตามในครั้งนี้ ในอนาคตเขาก็ต้องมีเรื่องมาขอให้หนูเปลี่ยนอีก ไม่จบไม่สิ้นดูจากแนวโน้มที่ผ่านมา

     หนูคิดว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องคือ การมีสติอยู่กับตัวเอง ดูกาย ดูใจตัวเอง เวลามีสิ่งสัมผัสจากภายนอก หรือแม้กระทั่งภายในใจมากระทบ ก็ไม่ยินดียินร้ายไปกับมัน ในกรณีแฟนหนู หนูจึงมองว่าเขามีแนวคิดที่ไม่ถูกต้องเท่าใดนัก เพราะเขาต้องการจะหาสภาพแวดล้อมที่ได้ดั่งใจเขา หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง เขาไม่สามารถอยู่กับสิ่งรอบตัว ที่มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นได้ สำหรับหนูสภาพแวดล้อมนั้น มันคงไม่มีอยู่จริงเพราะไม่มีใคร หรือสิ่งใดจะดีได้ตามที่เราต้องการ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังขัดแย้งในตัวเอง นับประสาอะไรกับคนอื่น

     ทั้งนี้ทั้งนั้นหนูอาจจะมีความเห็นที่ผิด จึงรบกวนอาจารย์ช่วยตอบคำถามดังนี้นะคะ

       - จำเป็นหรือไม่ที่หนูควรจะเปลี่ยนตัวเองตามที่แฟนขอ จำเป็น / ไม่จำเป็นเพราะอะไรคะ

       - ความคิดของแฟนหนู ที่จะหาปัจจัยภายนอกที่ดี หรือเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีตามที่เขาต้องการ ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ออกมาจากสิ่งนั้น/คนนั้นเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะอะไรคะ

       - เราจะมีวิธีในการอยู่ร่วมกับคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งโดยเป็นกัลยาณมิตรอย่างไรคะ

        กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามค่ะ

คำตอบ
      - ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความเห็นถูกของตัวเอง ให้กลับไปมีความเห็นผิดเหมือนเขา

      - เป็นความคิดที่ผิดไปจากธรรม เพราะพระพุทธะสอนพุทธบริษัทให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น

      - หากคิดจะอยู่ร่วม ผู้ถามปัญหาต้องให้อภัยเป็นทานกับทุกสิ่งที่เขาทำเหตุขัดใจ และดูให้ออกว่าเขาเป็นครูที่มีความเห็นผิด ซึ่งเราจะไม่ประพฤติเช่นเขา
      

1679.
สงสัยค่ะ

อยากเรียนหนังสือเก่ง ไม่ทราบว่าต้องนั่งสมาธิแบบวิปัสสนากรรมฐาน(พองหนอ ยุบหนอ) หรือ
สมถกรรมฐาน(เพ่งที่หน้าผาก) คะ
ขอบคุณมากค่ะ

คำตอบ
      พองหนอ – ยุบหนอ เป็นอุบายฝึกจิตให้เกิดสติ แล้วผลที่เกิดตามมาคือ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฉะนั้น ควรนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ ที่ถูกกับจริต มาเป็นองค์บริกรรม โอกาสที่จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วส่งผลให้คลื่นสมองเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ มีผลถึงทำให้เรียนหนังสือเก่ง ย่อมเกิดขึ้นได้

    แนวทางที่ฝึกได้ในปัจจุบัน คือ ก่อนนอนสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วสวดมนต์แล้วเสร็จ กำหนดลมหายใจเข้าออกนาน ๑๕ – ๓๐ นาที ทุกวัน และทำต่อเนื่องยาวนาน ๓ เดือน แล้วโอกาสทำให้เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ย่อมเกิดขึ้นได้
   

1678.  
เรียน อาจารย์ดร.สนอง...ที่เคารพ

     หนูอยากทำใจให้ไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ ทั้งปวงในโลกนี้ อยากบรรลุธรรมเร็วๆ อาจารย์เคยบอกว่าให้มีสติตลอดทั้งวัน หนูพยายามเกาะติดกับลมหายใจ แต่ก็ทำไม่ได้นานๆ จิตมันจะไม่จับอยู่นาน และหนูก็ไม่ถนัดกับยุบหนอ-พองหนอ พยายามระลึกรู้อิริยาบถต่างๆ ให้ต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย ตอนนี้หนูไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับภารกิจทางโลกแล้ว อยากจะมีเวลาปฏิบัติธรรม และอยากอยู่คนเดียวไม่อยากพูดคุย ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากทำกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น บางทีมองว่าการพูดคุย การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระ บางทีต้องพูดเพื่อมารยาท เพื่อสื่อสาร ทำงาน จนบางคนคิดว่าหนูหยิ่ง เพราะเป็นคนพูดน้อย ไม่มีการพูดเพื่อสนุกสนาน เฮฮา และชอบปลีกตัวอยู่เงียบๆ คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งการปฏิบัติธรรมก็ทำให้เหงา และขาดความเบิกบาน ร่าเริงไปบ้าง หนูขอ รบกวนอาจารย์ดร.สนอง...ช่วยแนะนำให้หนูมีความก้าวหน้าในธรรม และมีความสุขอยู่ในขณะปัจจุบัน แม้จะต้องอยู่คนเดียวด้วยนะคะ หนูอยากปฏิบัติธรรมจนจิตถึงฌานและหลุดพ้นในที่สุดค่ะ

ด้วยความเคารพ
   เหมียว   

คำตอบ
     ผู้ใดปฏิบัติผิดทาง ผู้นั้นยังมีอารมณ์เหงาเกิดขึ้นได้

    ผู้ใดยังเอาจิตไปผูกติดเป็นทาสของคำพูดคนอื่น ผู้นั้นยังเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ หรือยังมีความเห็นผิดนั่นเอง

    ผู้ใดยังมีความอยาก – ความไม่อยาก ผู้นั้นยังมีจิตเป็นทาสของตัณหา หากนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม ย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ เพราะยังมีกิเลสมาร (ตัณหา) เป็นตัวขวางกั้น

    ดังนั้นผู้ถามปัญหา ต้องทำใจให้เป็นอิสระจากกิเลสที่กล่าวถึง แล้วเอาศีลที่บริสุทธิ์ลงคุมใจ มีสัจจะ มีความเพียร แล้วโอกาสเข้าถึงธรรมย่อมมีได้เป็นได้
  

1677.
สวัสดีครับ อ.สนอง ผมขอเรียก อาจาร์ยนะครับ เพราะ จุดหักเหที่ผมศรัทธาในพุทธศาสนามากขึ้นและเริ่มปฎิบัติธรรมมะจริงๆจัง เพราะได้ฟังไฟล์ธรรมของอาจาร์ย เมื่อ ประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา
คือ
   1.ผมทำมาค้าไม่ขึ้น ทั้งๆ ที่พยายามเลือกแล้วว่าไม่ให้ผิดศีล เช่น ขายข้าวสาร รับสักผ้า ทำน้ำผลไม้ ขับรถ (ขาดทุนตั้งแต่เดือนแรก-10 กว่าปี )
   2.ไปบวชที่วัดป่า ประมาณ 3 เดือน จนได้ยินเสียงน่าจะเป็นเสียงเทวดา ระหว่างนั้นทำบุญเยอะมากครับ ทุกอย่างๆ เท่าที่ทำได้
   3.แผ่ส่วนกุศลทุกวัน รักษาศีล 5 แทบจะไม่ขาด บางครั้งก็ศีล 8
   4.พระห้อยคอ มีพระธาุตุเสด็จหลายองค์

ทำไมชีวิตผมถึงไม่ดีขึ้นเลยครับ กลับแย่ลงๆแล้วจะเป็นอย่างนี้อีกนานไหมครับ

คือ
   1 หลังจากสึกมา ก็ต้องปิดร้าน เพราะเป็นหนี้ ขายของในร้านใช้หนี้ ยังใช้ไม่หมด ยังเป็นหนี้อยู่
   2. แยกกันอยู่กันแฟน
   3. หลังจากปิดร้าน ก็มาขับรถแท็กซี่ เกือบ 3 เดือน ขัับรถเยอะมากเต็มเวลา แต่พอได้เงินค่าเช่า ก็จะไม่มีคนเรียกอีก จนหมดเวลาเช่า ทำจนเงินประกันและเงินเก็บจ่ายค่าเช่ารถหมดแล้วครับ
ผมต้องทำอย่างไรครับ ถึงชีวิตถึงจะดีขึ้นกว่านี้ ผมเพียงแค่ อยากได้เงินจากงานดีๆไม่ผิดศีล ผิดธรรม ไม่อยากรบกวน พ่อแม่พี่น้องแล้ว จะได้สร้างตัวเลี้ยงครอบครัวได้เหมือนคนอื่นๆ
ตอนนี้ผมอายุ 40 แล้ว พ่อแม่ก็แก่มากแล้ว ถ้ายังสร้างตัวไม่ได้ พ่อแม่ก็ทุกข์ใจ มีวิธีไหนจะให้ผลเห็นผลเร็วที่สุดครับ

ขอความกรุณา อาจาร์ยแนะนำผมด้วยครับ

ขอบขอพระคุณอาจาร์ยเป็นอย่างสูง ขอผลบุญที่อาจาร์ยช่วยแนะนำผม และคนอื่น ขอให้อาจาร์ยสมปรารถนาทุกอย่างดีๆยิ่งๆขึ้นไปครับ

คำตอบ
    (๑) ผู้ใดมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ กัลยาณมิตร แผ่นดินเกิด ลูกค้าที่มาใช้บริการ ฯลฯ เมื่อกรรมให้ผลเป็นกุศลวิบาก ผู้ทำกรรมย่อมเสวยผลดีในอาชีพการงาน และผลดีในการดำรงชีวิต

    (๒) การได้ยินเสียง (น่าจะเป็นเทวดา) มิได้เป็นเหตุทำให้พ้นทุกข์ และคำว่า “ทำบุญเยอะมาก” ถ้าเยอะแบบการทำบุญตลอดชีวิตของมนุษย์ก่อนที่จะไปเกิดเป็น อังกุรเทพบุตร ในดาวดึงส์ ก็ยังถือว่าได้อานิสงส์น้อย เพราะไม่เลือกปฏิคาหก (ผู้มารับทาน) ซึ่งต่างจาก อินทกเทพบุตร ในสมัยเป็นมนุษย์ได้เอาข้าวเพียงทัพพีเดียว ใส่บาตรพระอนุรุทธเถระ ยังได้อานิสงส์มากกว่า

    (๓) แผ่ส่วนกุศลทุกวัน ถือว่าเป็นสิ่งดีที่บุคคลควรทำ … . สาธุ ผู้มีกุศลมากเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น โดยไม่ต้องรักษาศีล แต่มีศีลบริสุทธิ์ มีศีลอยู่ครบเป็นอัตโนมัติ

    (๔) พระอริยบุคคล มีจิตเป็นอิสระจากพระห้อยคอ และมีจิตเป็นอิสระจากพระธาตุ ผู้ใดทำกรรมดีจนให้ผลเป็นกุศลวิบากได้แล้ว ผู้นั้นย่อมพบกับสิ่งดีๆแน่นอน เพียงแต่ทำตัวให้มีศีล ๕ คุมใจ ย่อมมีทรัพย์ปลอดภัย ครอบครัวเป็นสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา เป็นที่อบอุ่นของสัตว์โลก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงที่อยู่เหนือกาลเวลา … . พิสูจน์ดูสิครับ
  

1676.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร. สนอง ครับ

ผมมีความสงสัย เรื่องการ ยึดเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ นี้เป็นอย่างไรครับ ต้องทำอย่างไรครับ
กรุณายกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจด้วยครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร. สนอง ครับ

คำตอบ
     ต้องทำกาย วาจา ใจ ให้หนักแน่นมั่นคง อยู่กับคุณของพระพุทธเจ้า (พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ) ทำกาย วาจา ใจ ให้หนักแน่นมั่นคง อยู่กับคุณของพระอริยสงฆ์ (เนื้อนาบุญของโลก) และทำกาย วาจา ใจ ให้หนักแน่น มั่นคง ถูกตรงตามธรรมวินัยที่ระบุไว้ในพุทธศาสนา เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว ย่อมไม่เอากาย วาจา ใจ ไปศรัทธาเลื่อมในในโชคชะตา เครื่องลางของขลัง ปลุกเสกวัตถุ หมอทำนายทายทัก ตลอดจนพิธีกรรมทั้งปวง อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ฝึกเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ดังที่พระอริยบุคคลได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ของการเป็นพุทธสาวกที่ถูกตรงตามธรรมวินัย
  

1675.
กราบเรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

   ผมเป็นศิษย์เก่ามอชอครับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปัจจุบันอายุ 35 ปีทำงานเป็นวิศวกรอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่งในนิคมลำพูนผมเพิ่งได้มีโอกาสอ่าน “ ทางสายเอก ” รวมทั้ง download file เสียงมาฟังเมื่อไม่นานมานี้ รู้สึกสนใจมากครับส่วนหนึ่งคือ อยากจะพิสูจน์ (ความรู้สึกนี้ คงไม่ต่างไปจากความรู้สึกของอาจารย์ที่เขียนบรรยายไว้ในหนังสือ ว่าสมัยที่กลับจากอเมริกาใหม่ๆก็ต้องการพิสูจน์สัจธรรมทั้งหลาย) เพราะบอกตรงๆ ว่าผมอยู่มาจนบัดนี้ ยังไม่เคยเห็นของจริงเลยครับในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ คนหนึ่ง ผมก็ต้องการพิสูจน์ด้วยตนเองด้วยเหตุและผล ว่าสรุปแล้วมันเป็นจริงและมีจริงหรือเปล่า

คำถามคือ ผมควรจะเริ่มยังไงดีครับ ต้องออกบวช 30 วันเหมือนอาจารย์หรือเปล่า ต้องมีครูดีด้วยไหม แล้วต้องไปฝึกที่ไหนไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ใคร หรือฝึกเองก็ได้ แล้วใครจะสอนผม ใครจะสอบอารมณ์ผม เพื่อที่จะรู้ว่าไปถูกทางหรือเปล่า แล้วผมต้องฝึกวันละอย่างน้อยกี่นาที กี่ชั่วโมง

รบกวนตอบคำถามด้วยครับ ก้าวแรกจะเริ่มยังไงดี

ด้วยความเคารพอย่างสูง
    คณาพร เพชรวิสัย

คำตอบ
     ขอแก้ความเข้าใจผิดของผู้ถามปัญหาก่อนว่า สมัยที่ผู้ตอบปัญหากลับจากประเทศอังกฤษ ไม่ใช่ประเทศอเมริกาครับ

     ผู้ใดไม่เชื่อว่า สิ่งที่เขียนบอกไว้ในหนังสือทางสายเอกเป็นความจริง หากนำตัวเองไปพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติธรรมให้ถูกตรงตามธรรม โอกาสที่ผู้นั้นจะหายโง่ แล้วเข้าถึงความจริงที่บอกไว้ ย่อมมีได้เป็นได้ ขออภัยที่พูดตรง

(๑) ถามว่า : ต้องบวช ๓๐ วัน เหมือนอาจารย์หรือเปล่า ?
     ตอบว่า : หากบวชเป็นภิกษุได้ย่อมมีโอกาสมากกว่า เพราะการทำทุกสิ่งให้เหมาะสม ( สัปปายะ ) ย่อมเกื้อกูลแก่การภาวนา และประคับประคองจิต ให้เกิดสมาธิได้เร็วและยาวนาน

(๒) ถามว่า : ต้องมีครูฯ ดีด้วยไหม ?
     ตอบว่า : ครูที่สอนกรรมฐาน หากมีประสบการณ์และเข้าถึงธรรมด้วยยิ่งดี เมื่อครูฯ บอกอย่างไร ศิษย์ต้องปฏิบัติให้ถูกตรงตามคำสอน คือไม่ทำตนเป็นน้ำชาล้นถ้วย ทำตามทุกสิ่งที่ครูฯ บอกให้ได้ผล แล้วศิษย์ต้องตัดความอยาก ( ตัณหา ) ให้หมดไปจากใจ มีศีลบริสุทธิ์คุมใจ มีสัจจะ เร่งความเพียร และมีบุญบารมีเก่าส่งผล ฯลฯ โอกาสที่จะเข้าถึงธรรม จึงมีได้เป็นได้

(๓) ถามว่า : ต้องไปฝึกที่ไหน ? ฝากตัวเป็นศิษย์ของใคร ?
     ตอบว่า : ไปฝึกที่วัดป่าหมู่ใหม่ อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่ โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อประสิทธิ์

(๔) ถามว่า : ต้องฝึกวันละอย่างน้อยกี่นาที กี่ชั่วโมง ?
     ตอบว่า : ต้องฝึกให้มาก วันละไม่น้อยกว่า ๒๐ ชั่วโมง ต้องนอนน้อย ต้องกินน้อย กินเท่าที่ชีวิตดำรงอยู่ได้ พูดเท่าที่ครูฯ ถาม ไม่ฟังข่าวสาร ไม่อ่านหนังสือ ไม่มองไกลเกิน ๔ ก้าว ต้องตัดขาดจากญาติ มิตร เพื่อนฝูง บริวาร ฯลฯ … . สู้ไหมครับ

1674.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

อยากเรียนถามเกี่ยวกับการนั่งกรรมฐาน เนื่องจากผมมีปัญหาเกี่ยวกับเข่า มีอาการปวดเข่าบ้าง อยากเรียนถามว่าถ้าจะนั่งบนเก้าอี้ แทนการนั่งแบบขัดสมาธิที่พื้นจะได้ผลเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไรครับ และการนั่งบนเก้าอี้จะทำให้เข้าถึงระดับฌาณได้หรือไม่ครับ

ขอขอบพระคุณครับ

คำตอบ
    ที่ถามไปให้ผลไม่เหมือนกัน ผู้ที่มีอาการปวดเข่า หากปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งขัดสมาธิบนพื้น ย่อมถูกขันธมารรบกวน แล้วทำให้จิตเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่หากเปลี่ยนมานั่งบนเก้าอี้ ย่อมไม่ถูกขันธมารมารบกวน เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว โอกาสที่จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ และหากพัฒนาจิตจนมีกำลังของสมาธิสูงสุด ย่อมเข้าถึงสมาธิระดับฌานได้
  

1673.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

     ดิฉันก็เป็นอีกคนนึงที่ติดตามผลงานทางธรรมของท่านอาจารย์ทั้งงานเขียนหนังสือธรรมะ และการบรรยายธรรมเป็นคนที่ชอบฟังธรรม ฟังได้ทั้งวันรู้สึกว่าฟังแล้วได้ปัญญาเพิ่มพูนนับจากวันที่ได้เริ่มศึกษาธรรม และประพฤติธรรม วิถีชีวิตของดิฉันเปลี่ยนไปมาก ด้วยเพียงระยะเวลาเกือบปีโลภะ โทสะ โมหะ เบาบางลงไปอย่างเห็นได้ชัด ความเห็นผิดว่าตัวเราเป็นของเรา ก็ลดน้อยถอยลงมีความมั่นคงในคุณของพระรัตนตรัยแนบแน่น เรียกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนความเห็นของเราได้ และหมดความลังเลสงสัยในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดิฉันรู้แล้วว่าบัดนี้ ดิฉันถึงแล้วซึ่งคุณของพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัยอย่างแท้จริง...

ดิฉันมีคำถามจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1. ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรม ดิฉันได้ฟังการบรรยายธรรมของท่าน ว.วชริเมธี แล้วพิจารณา ธรรมนั้นแล้วรู้ถึงเหตุแห่งทุกข์ของดิฉัน จนเกิดเป็นปิติน้ำตาไหลพราก แล้วหลังจากนั้นมันมีความสุขแบบประหลาด เป็นสุขที่ชีวิตนี้ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นสุขที่เกิดขึ้นในตัวเอง ซึ่งความทุกข์ที่เกิดจากปัญหาที่เราต้องเผชิญในชีวิต ประจำวันไม่อาจเข้าถึงใจเลยก็ว่าได้ ใจมันไม่ปรุงแต่งสิ่งที่เข้ามากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลย อาการ อย่างนี้เป็นอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์หลังจากนั้นก็เข้าสู่สภาวะปกติ ดิฉันอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่าสภาวะแบบนี้ คืออะไรคะ

   2.  ดิฉันจะสวดมนต์ก่อนนอนทุกวันหลังจากสวดมนต์เสร็จ จะนั่งสมาธิเจริญสมถะเป็นหลักเนื่องจากระหว่างวันจะเจริญวิปัสสนา  พอนั่งได้ประมาณ 5-10 นาทีจิตก็จะเริ่มเป็นสมาธิ (โดยปกติเป็นคนมีสมาธิค่อนข้างดีอยู่แล้ว  เพราะหน้าที่การงานต้องใช้สมาธิมากทำงานด้านบัญชีการเงิน) จะมีนิมิตเป็นลักษณะเมฆหมอก  บางทีก็เป็นเมฆก้อนใหญ่สีขาวขุ่นจนกระทั่ง สว่างเหมือนท้องฟ้าสีขาว แล้วว่างอยู่เฉย ๆ   ก็มาหยุดอยู่ตรงนี้สักพักสมาธิก็จะถอยลงทำอย่างไรถึงจะผ่านนิมิตที่เป็นเมฆหมอกไปได้คะ   บางทีรู้สึกเหมือนจะมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นเหมือนมันแว้บ ๆ แต่ก็เข้าไม่ถึง ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร  ในสัญญาของดิฉันมักบอกตัวเองว่าเคยทำสมาธิมาก่อนและเคยได้ฌานมาก่อนและก็จะได้ฌานอีก   ทำอย่างไรดิฉันจะเพิกถอนความเห็นผิดนี้ไปได้คะ

ขออภัยที่ต้องรบกวนเวลาของท่านอาจารย์และสุดท้ายนี้ขอให้ท่านอาจารย์มีร่างกายแข็งแรงค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
    จาก ..ผู้ประพฤติธรรม

คำตอบ
     (๑). เรียกสภาวะแบบนี้ว่า จิตเป็นอิสระจากสิ่งกระทบภายนอกที่เข้าทางทวาร ๖ หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นแจ้งมากกว่านี้ จนเห็นว่า สรรพสิ่งเป็นของที่มิใช่ตัวตนได้แล้ว นั่นแหละคือดวงตาเห็นธรรม

    (๒). นิมิตที่ปรากฏเป็นเมฆหมอกสีขาว มิได้ทำให้จิตพ้นไปจากความทุกข์ หากปรารถนาจะผ่านพ้นนิมิตดังกล่าว ผู้ถามปัญหาต้องบริกรรม “เห็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนนิมิตเมฆหมอกหายไป (นิมิตไม่หาย ไม่เลิกบริกรรม) แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ทำอยู่

    ประสงค์เพิกถอนความเห็นผิด ต้องใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ตามดู กาย เวทนา จิต และธรรม ที่ปรากฏขึ้นกับดวงจิตว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งจะเกิดขึ้น แล้วความเห็นผิดย่อมหมดไปโดยปริยาย
  

1672.
กราบเรียนครูบาอาจารย์ ดร สนอง ครับ

     ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า ผมควรจะแนะนำพ่อผมอย่างไรดีครับ พ่อผมเป็นโรคไตกำลังจะผ่าตัดเปลี่ยนไตเร็วๆนี้ ไตข้างนึงของท่านเสื่อม หมอบอกว่าใช้งานได้แค่สิบเปอร์เซนต์เท่านั้น ถ้าผมจำไม่ผิด ผมได้เคยพาพ่อไปหาหมอแผนโบราณที่เพื่อนผมที่มีปัญหาโรคไตเคยรักษาด้วยแล้วได้ผล แต่พอไปถึงร้านไม่เจอหมอเพราะไม่ได้นัดไว้ พอพ่อผมเห็นสภาพร้านที่เก่าพ่อก็เลยเปลี่ยนใจไม่อยากพบหมอแผนโบราณผนวกปัจจุบันท่านนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงต่อเมื่อพ่อตัดสินใจแล้ว แต่ผู้หวังดีหลายคนก็บอกผมว่า ตราบใดที่พ่อผมยังไม่ได้ทำการฟอกไตหรือเปลี่ยนไตก็ยังมีโอกาศที่จะรักษาให้หายได้ด้วยการรักษาด้วยยาและการแพทย์แผนโบราณ

    ผมจึงอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่าผมควรพยายามเปลี่ยนใจพ่ออีกครั้งหรือเปล่าครับในการทำหน้าที่ลูก และ อาจารย์พอจะรู้จักแพทย์แผนโบราณที่เก่งๆที่สามารถรักษาโรคไตของพ่อผมโดยไม่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนไตหรือฟอกไตบ้างหรือเปล่าครับ หรือว่าผมควรจะวางเฉย อีกอย่างผมเองไม่ได้ดีพอที่จะชักจูงให้พ่อไปปฏิบัติธรรมเพราะอาจารย์เคยบอกว่าลูกไม่มีสิทธิ์สอนพ่อแม่ ยกเว้นว่าพ่อแม่จะศรัทธาในความดีของลูกและเห็นด้วยและยอมตามลูก

     ผมขออภัยด้วยที่คำถามนี้ไม่ค่อยตรงเจตนาของเว็บไซด์นี้ที่ให้คนเข้ามาถามปัญหาทางธรรม
        กราบเท้าครูบาอาจารย์ ดร สนอง

คำตอบ
     บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องเลือกทางชีวิตให้กับตนเอง ตราบใดที่พ่อยังไม่ศรัทธารักษาโรคกับแพทย์แผนโบราณ ก็เป็นเรื่องของท่าน ผู้ถามปัญหาควรดูท่านเป็นตัวอย่างว่า ความสำเร็จในเรื่องใดๆได้ ต้องมีศรัทธาเป็นต้นเหตุ การเป็นลูกที่ดี มิได้อยู่ที่ทำให้พ่อเปลี่ยนใจ แต่อยู่ที่ ท่านเลี้ยงมา เลี้ยงท่านตอบ ช่วยทำธุรกิจการงานของท่าน ดำรงวงศ์สกุลมิให้เสื่อมเสีย ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท และเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ต้องทำบุญอุทิศให้ท่าน

ถามว่า : ผู้ตอบปัญหาพอจะรู้ว่า แพทย์แผนโบราณ ที่เก่งในทางนี้บ้างหรือเปล่าครับ
ตอบว่า : ไม่มีประสบการณ์ครับ
  

1671.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

     ผมมีคำถามจะเรียนถามอาจารย์ 2 ข้อครับ
    1. อีกครั้งครับกับคำถามเกี่ยวกับอาชีพสัตวแพทย์ ก่อนหน้านี้ได้คำตอบมาแล้วเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัด การทำหมันสัตว์เป็นบาปครับ ครั้งนี้ผมมีข้อสงสัยว่า การที่มีสัตว์ป่วยแล้วเจ้าของนำมาให้สัตวแพทย์รักษา สัตว์ส่วนใหญ่ดูแล้วมันคงไม่ได้อยากมารักษาสักเท่าไร เพราะเวลาหมอจะตรวจ จะเจาะเลือด จะฉีดยา จะฉีดยาสลบเพื่อผ่าตัด มันจะดิ้นรนขัดขืนไม่ยอมให้ทำแต่โดยดี ผมจึงมีคำถามว่าการที่เรามีความประสงค์ดีที่จะรักษาให้เขาหายจากการป่วย แต่เจ้าตัวเขาไม่ยอมแล้วเราไปบังคับเพื่อรักษาเขานั้นเป็นบาปหรือไม่ แล้วการกระทำดังกล่าวมีผลทำให้ทำให้ปฏิบัติธรรมไม่เป็นผลหรือไม่

   2. ผมเคยฝึกกรรมฐานโดยภาวนา เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ กลับไปกลับมาโดยไม่สนใจลมหายใจก็เกิดผลทำให้จิตนิ่งได้ ปัจจุบันผมเปลี่ยนมาดูลมหายใจแล้วภาวนา พุทธ โธ แต่ยังไม่เคยเกิดจิตนิ่งเลย (อาจจะไม่เหมาะกับจริตก็ได้) ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า ถ้าผมตั้งใจทำต่อไป ไม่ละความเพียร มีโอกาสที่ทำให้เกิดจิตนิ่งได้หรือไม่ (ที่ต้องการเปลี่ยนเพราะต้องการสั่งสมไว้หลายวิธีเพื่อไปใช้ในภพต่อๆ ไป)

      ขอขอบพระคุณอาจารย์มากที่เมตตา ด้วยความเคารพ

คำตอบ
     (๑). ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ถือว่าเป็นบาป สัตว์มีสุขภาพไม่ดีและเจ้าของนำสัตว์มาให้สัตวแพทย์รักษา แม้ผู้รักษามีความปรารถนาดีให้สัตว์พ้นจากอาการเจ็บป่วย ซึ่งถือว่าเป็นบุญ แต่หากสัตว์ดิ้นรน ขัดขืน ไม่ยอมให้ทำ ถือว่าเป็นบาป งานนี้จึงได้ทั้งบุญและได้ทั้งบาป ด้วยเหตุนี้พระพุทธโคดม จึงห้ามภิกษุมิให้ทำตนเป็นหมอรักษาโรค หากประพฤติแล้วเป็นเหตุให้การปฏิบัติธรรมย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์

    (๒). องค์บริกรรมใด เมื่อนำมาปฏิบัติแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ องค์บริกรรมนั้นเหมาะกับผู้ปฏิบัติ จึงไม่จำเป็นต้องไปใช้กรรมฐานอื่นมาบริกรรมอีก เพราะกรรมฐานทุกบทมีเป้าหมายตรงกัน คือจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้ตอบปัญหาบอกว่า การใช้อย่างใดอย่างหนึ่งในอรูป ๔ (ดูข้อ ๑๖๗๐) มาบริกรรมนั้น เข้าได้กับทุกจริต
  

1670.
ขอถามนะคะ

การควบคุมอายตนะ โดการกำหนด เห็นหนอ เสียงหนอ เป็นต้น ดิฉันพบว่า การกำหนดนั้นโดยเฉพาะ กลิ่นหนอนั้น ใจยังคงปรุงแต่งอยู่เพราะเรายังได้กลิ่นนั้นอยู่กลิ่นหอมเราก็ชอบ กลิ่นเหม็นเราก็อยากจะหลบไปไกลๆๆทั้งที่กำหนด กลิ่นหนอ แล้วเหมือน สติกำหนด แต่อาจยั้งกิเลสที่เค้าไปปรุงแต่งต่อได้เช่นนี้ เราควรทำอย่างไรคะ

ถ้าอยากฝึกสติอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน อาจารย์พอมีวิธีแนะนำไหมคะ โดยเฉพาะตอนที่เราสนทนา เราเรียน เราทำงาน เป็นต้น

การใช้ชีวิตอยู่อย่างฆาราวาสที่ไม่มีเวลานั่งสมาธิอย่างเต็มที่ เช่นนี้ จะมีหนทางไหนท่จะก้าวหน้าในธรรมบ้างคะ

คำตอบ
     สตรีหลายคนที่มีชีวิตอยู่ในครั้งพุทธกาล มีจริตเป็นเช่นผู้ถามปัญหา เธอเหล่านั้นได้ใช้กายคตาสติมาบริกรรม แล้วสามารถพัฒนาจิตไปสู่ดวงตาเห็นธรรมได้ ทำไมผู้ถามปัญหาไม่ใช่วิธีดังกล่าวดูบ้างล่ะครับ ปัญหามีอยู่ว่า ศีล ๕ ต้องไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เช่น ไม่ยินดีกับการสัพยอกกับเพศตรงข้าม ต้องไม่ฟังเสียงขับร้อง ไม่ระลึกถึงเรื่องเก่าๆที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน ฯลฯ หากมีสภาวธรรมในใจเป็นเช่นนี้แล้ว เร่งความเพียรโดยมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน โอกาสพัฒนาจิตให้เป็นอิสระจากกลิ่นหอม ย่อมเกิดขึ้นได้

    การฝึกจิตให้มีสติในขณะยังเป็นฆราวาสอยู่ที่บ้าน สามารถทำได้ด้วยสวดมนต์ก่อนนอน เอาอย่างใดอย่างหนึ่งในอรูป ๔ ( กำหนดช่องว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ และกำหนดภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่เป็นอารมณ์ ) มาบริกรรมอยู่เสมอ โอกาสที่จิตจะมีสติและตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมเกิดขึ้นได้เมื่อปฏิบัติยาวนานและต่อเนื่อง
   

1669.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ที่เคารพ

     ผมเองเริ่มสนใจในธรรมมะจริงๆจังๆมาได้สักระยะหนึ่ง ถ้านับย้อนไปก็คงประมาณ 3 ปี จากพื้นฐานเดิมตั้งแต่เด็กๆ ก็ชอบสวดมนต์ไหว้พระเหมือน คนอื่นๆ ที่นับถือศาสนาพุทธทั่วไป ที่ไม่รู้คำสอนที่เป็นแก่นแท้ๆ สักเท่าไร รู้เพียง จริยธรรมสากล ในเรื่องดีชั่ว บุญบาป บ้างเท่านั้น พอโตขึ้นมาก็ทำการทำงาน วุ่นวายอยู่กับชีวิตเหมือนกับหลายๆ ท่าน จนผ่านมาถึงวัยกลางคน

     สาเหตุที่หันเข้าหา ธรรมมะ ก็เพราะมีปัญหาทางโลก มีความทุกข์ ที่มีสาเหตุมาจาก โลภ โกรธ หลง มองหาใครที่คิดว่าพอจะเป็นที่พึ่งก็ไม่มี และอีกอย่างคิดว่าไม่มีใครให้คำปรึกษากับเราได้ ในขณะนั้นจะด้วยความบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบ (ตอนหลังทราบว่าไม่ใช้เพราะความบังเอิญ) มีอยู่วันหนึ่งผมเห็นหนังสือธรรมมะวางอยู่ที่ๆทำงาน เป็นหนังสือของเพื่อนคนหนึ่ง ก็เลยหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาพลิกอ่าน พออ่านแล้ววางไม่ลง เกิดมีคำถาม ขึ้น ภายในใจมากมาย อีกทั้งในหนังสือก็ มีคำศัพท์ต่างๆ ที่ผู้เขียนนำมากล่าวอ้างที่ผมไม่รู้ความหมายเต็มไปหมด สิ่งนี้เป็นเหมือนการกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเข้าในในตัวคำสอนจริงๆของพระพุทธเจ้า จากนั้นผมจึงขวนขวายหาคำอธิบาย เจาะลึกเข้าไปเรื่อยๆ จากข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ และจาก หนังสือธรรมมะ ในทุกหัวข้อธรรม ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันไปหมด ด้วยปัญญา ( อันน้อยนิด) ผมเห็นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก ผมเกิดความ เลื่อมใสศรัทธา อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มุ่งมั่นที่จะศึกษาอ่านจากตำราซึ่งมีมากมายจากท่านผู้รู้ ที่มีหลายแง่มุม แล้วแต่ระดับความสนใจของผู้ที่จะศึกษา หนังสือ “ พุทธธรรม ” และ “ พระไตรปิฎกฉบับประชาชน ” เป็นหนังสือที่ผมมักหยิบขึ้นมาอ่าน บ่อยๆ เมื่อเกิดความสงสัย แล้วก็นำมาพิจารณาเสมอๆ ในระยะแรกๆ เป็นการศึกษาโดยการอ่านล้วนๆ แล้วพิจารณาตามไปกับตัวหนังสือที่ปรากฏ หลายครั้งที่อ่านจบแล้วก็กลับมาอ่านซ้ำอีก เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องของนามธรรม ลึกซึ้งมาก และหลายครั้งอีกเหมือนกันที่ต้องใช้จินตนาการประกอบไปด้วย

     แล้วหลังจากนั้น ก็ลอง ลงมือปฏิบัติ โดยเริ่มจากการรักษาศีล ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่เคยตั้งใจรักษาศีลเลย รู้แต่เพียงว่าถ้าทำแบบนี้จะผิดศีลข้อใดเท่านั้น แต่ไม่เคยตั้งใจสมาทานศีล จากนั้นก็ ลองนั่งสมาธิโดย เริ่มจากระยะสั้นๆ แล้วก็เพิ่มเป็นนานขึ้น พร้อมกับนำข้อธรรมต่างๆ เข้ามาพิจารณาขณะอยู่ในสมาธิ ตามที่ท่านผู้รู้แนะนำ ในขณะนั้นผมต้องทำงานประจำควบคู่ไปด้วย ทราบว่าศีลที่ตนเองสมาทานไม่บริสุทธิ์เพราะเกี่ยวข้องอยู่กับภาระการงานต่างๆ มากมาย อาจมีพลั้งเผลอ แต่ก็ตระหนักในความตั้งใจของตนเองครับ

     หลังจากเวลาผ่านไป รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีมุมมองหลายอย่างที่เกี่ยวกับชีวิต (ของตนเองและที่เกี่ยวข้องกับคนอื่น) ต่างไปจากเดิม ทั้งในเรื่องงาน หรือ เรื่องปัญหาต่างๆที่ผ่านเข้ามา ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ กลัดกลุ้ม เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ปัจจุบัน พอจะ รู้ว่ามันเป็นเหตุและปัจจัยของกันและกัน มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันจะเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไปไม่ได้ และมันก็ไม่มีอะไรจริงๆ เพราะเราเข้าไปร่วมผสมโรงกับมันเองเราจึงเป็นอย่างนั้น เพื่อนๆในที่ทำงาน ที่ใกล้ชิดกันก็บอกเหมือนกันว่าเราเปลี่ยนไป ซึ่งผมก็ยอมรับว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับผมจริงๆ การที่แนวคิดเปลี่ยน การแสดงออกด้านคำพูด รวมไปถึงการการแสดงออกทางกาย ของเราที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนรอบข้างโดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน นั้นย่อมเปลี่ยนไป

     ปัจจุบันผมออกมาทำอะไรเล็กๆ น้อยที่บ้าน เพื่อเลี้ยงดูตนเอง พร้อมกับศึกษาและปฏิบัติธรรมไปด้วย การออกจากงานประจำที่มั่นคง(ตำแหน่งและรายได้สูง) นั้นก็พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าจะไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน และอีกอย่างก็เห็นว่าตัวเราไม่เหมาะกับงานที่เคยทำอีกต่อไปแล้ว เพราะลักษณะงานที่ทำตั้งอยู่บนความอยากอย่างแรง มีผลประโยชน์เป็นตัวล่อ ซึ่งหลายๆ องค์กรในปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้กันเกือบทั้งหมด ผมเข้าใจในระบบงานแบบนี้ดี และประการสุดท้ายที่ใช้เป็นเหตุในการตัดสินใจลาออกคือความต้องการ ความอยาก (อย่างที่คนอื่นๆเขาอยากกัน)ของผมมันน้อยลงไปทุกวันๆ อันนี้พิจารณาเห็นแล้วว่าไม่เป็นผลดีต่อองค์กรที่เข้าจ้างเราเลย เพราะองค์กรนั้นต้องการให้เรามีความอยากมากๆ จะได้กระตือรือร้นที่จะได้ในสิ่งที่กำหนดไว้เป็นเหยื่อ ที่มีชื่อเรียกว่า ผลตอบแทน

     ใน ส่วนของ ข้อธรรมต่างๆ บางครั้งผมก็ต้องการที่จะพูดคุยแรกเปลี่ยนกับคนอื่นบ้าง(ต้องการคำแนะนำ) เพื่อเสริมสร้างปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่บุคคลแวดล้อมที่จะมาคุยกันได้ในเรื่องนี้หายากจริงๆ จะไปสนทนาธรรมกับพระ(ปฏิบัติ)บ่อยๆ ก็เกรงเป็นการไปรบกวนท่าน ผมอยู่จังหวัดเชียงใหม่ ก็พอที่จะหาพระสุปฏิปันโนได้ครับ การได้เข้าไปได้พูดคุยกับท่านเหล่านี้ก็เหมือนเป็นการสร้างกำลังใจในการปฏิบัติ ผมทราบดีว่าหลักการของพุทธศาสนาอยู่ที่การใช้ปัญญาของตนเองพิจารณาสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง แต่ผมตอนนี้เหมือนกับเด็กที่เริ่มหัดอ่านหนังสือ ยังต้องการ คำชี้แนะจากครูบาอาจารย์หรือผู้รู้เพื่อการอ่านจะได้ถูกต้องแม่นยำ และจนสุดท้ายอ่านออกทั้งหมดได้ด้วยตนเอง

     ที่ผมเขียนมาหาอาจารย์ ตั้งยืดยาวไม่ได้มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เขียนมาเล่าสู่กันฟัง อาจมีบางคนที่มีประสบการณ์คล้ายกันกับผมก็ได้ โลกเราทุกวันนี้ตั้งอยู่บนความยุ่งเหยิง มนุษย์วิ่งตามความเจริญทางด้านวัตถุ จนลืมเสริมสร้างความเจริญทางด้านจิตใจ แต่ก็ไม่ใช้จะเลวร้ายเสียทั้งหมดเพราะอย่างที่ทราบกันว่าขณะนี้มีหลายๆ คนที่เริ่มหันเข้ามาให้ความสนใจในตัวคำสอนของพุทธศาสนา คนเหล่านี้เข้ามาด้วยสาเหตุและจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป ผู้รู้ที่คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำจึงต้องหากลวิธีในการสอน(ชี้แนวทาง) เพื่อท้ายที่สุดแล้วจะนำพาเขาเหล่านี้เข้าสู่เนื้อแท้ของพุทธศาสนา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางด้านปัญญาของคนเหล่านั้นซึ่งมีไม่เท่าเทียมกัน

     ท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า ผมโชคดีมากที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา ต้องการให้ทุกคนโชคดีเหมือนกันกับผม มนุษย์เรานั้นกำลังล่องลอยอยู่ในกระแสของเหตุและปัจจัย อยากให้ผู้ที่หันเข้าหาพุทธศาสนาไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ลองนำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปพิจารณาด้วยปัญญาอย่างรอบคอบทุกแง่ทุกมุมแล้วจะพบว่า “ การเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเข้าถึงแก่นแท้ของ พระ พุทธศาสนา นั้น ไม่เสียโอกาสที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ ”

     ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง
         สัมมาทิฏฐิ

คำตอบ
     เขียนบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ที่พบสาระของพระพุทธศาสนา แล้วใช้คำสอนในพระพุทธศาสนา มาส่องนำทางให้กับชีวิต สาธุที่บัวในใจเริ่มแย้มบานกลีบ และยังปรารถนาให้ทุกคน โชคดีเหมือนกับท่านนั้น เป็นความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้ … ครับผม เพราะแต่ละคนมีบุญบารมีสั่งสมมาแต่อดีตชาติไม่เท่าเทียมกัน
   

1668.
กราบ อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

กระผมขอรบกวนขอคำแนะนำจากอาจารย์ครับ ขอเรียนตามตรงนะครับผมไม่เคยได้ไปฟังธรรมะที่จัดตามที่ต่าง ๆ แต่ผมฟังธรรมะของอาจารย์ตามเว็บไซด์ของชมรมกัลลยาณธรรม และที่อื่น ๆ ผมเห็นจริงกับอาจารย์ที่ว่า วิชาทางโลกต่าง ๆ นั้นตั้งแต่ระดับต่ำสุดถึงขั้นสูงสุดนั้น ล้วนเป็นอวิชา ไม่สามารถนำพาให้เราหลุดพ้นได้ แต่ขณะนี้ผมกำลังศึกษาในระดับสูงสุดทางโลก และจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องศึกษาให้สำเร็จ เพื่อเป็นปัญญาเลี้ยงชีพ ผมจึงใคร่ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ว่า ผมควรตั้งใจไว้อย่างไร เพื่อให้เห็นตรงตามธรรม และศึกษาทางโลกให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
    มนุษย์มีงานใหญ่ที่ต้องทำอยู่สองงาน คือ งานภายนอก ที่ต้องทำให้กับสังคมส่วนรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ให้สูงสุด เพื่อนำความรู้มาใช้แก้ปัญหาให้กับสังคม และได้มาซึ่งปัจจัยหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ต้องไม่ลืมว่า มนุษย์ยังมีงานภายในที่ต้องทำให้กับตัวเอง ต้องทำงานสั่งสมบุญเพื่อให้ชีวิตปัจจุบันมีความสุข และเพื่อใช้บุญเป็นอริยทรัพย์นำพาชีวิตไปเกิดใหม่ ในภพภูมิที่ดีในชีวิตข้างหน้า

   ผู้ใดมีจิตระลึกอยู่กับงานทั้งสองอย่างนี้ แล้วทำเหตุให้ตรง ผู้นั้นย่อมมีชีวิตปัจจุบันสะดวก ราบรื่นและมีความสุข พร้อมกับมีชีวิตหน้าสวัสดีในสุคติภพ
   

1667.
กราบเรียนครูบาอาจาร์ย ดร สนอง ที่เคารพและมีพระคุณต่อผมอย่างสูง เพราะคำสอนของท่าน เตือนสติผมไม่ให้หลงระเริงไปในทางโลกหลายครั้ง ครั้งนี้ก็อีกเช่นกัน

ท่านได้ทำให้ผมคิดว่าความสุขที่แท้จริงที่เหนือกว่าความสุขทางโลก หรือกามสุขนั้นมีอยู่ และเหมือนกับทุกครั้งที่ท่านจะท้าให้ทุกคนเข้ามาพิสูจน์ ผมติดใจมากกับคำว่า
โคตรโง่ถ้าไม่เชื่อแล้วก็ไม่ยอมพิสูจน์ด้วย

   ผมขอสารภาพเรื่องน่าอาย ว่าหลายครั้งแล้ว ที่ผมตั้งใจจะเลิกเที่ยวผู้หญิง เลิกเจ้าชู้และตั้งใจจะปฏิบัติธรรมโดยการมีสติใน ชีวิตประจำวัน และฝึกสมาธิ ทั้งสมถะและวิปัสสนาแต่ทุกครั้งก็พ่ายแพ้ต่อกิเลส และลืมจนหลงไปกับอบายมุขไปนาน ลืมความตั้งใจที่จะลดละเลิก เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งมาก ทุกครั้งที่แพ้ต่อกิเลสสิ่งยั่วยุผมก็จะหมดกำลังใจ และความเชื่อมั่นในตัวเองจนไม่อยากจะตั้งสัจจะว่า จะเลิกเที่ยวโสเภณีอีกเพราะกลัวจะทำผิดคำพูดตัวเองอีก

     ๑ ครั้งนี้ผมจึงขอความกรุณาจากท่านให้ช่วยชี้แนะวิธี ที่จะทำให้ผมไม่พ่ายแพ้ต่อกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุดอ่อนของผมก็คือ ผู้หญิง ตอนนี้เท่าที่ทำอยู่ผมก็จะพยายาม กำหนด มีสติระลึกรู้เมื่อตาเห็นรูป แต่มันมักจะไม่หยุดอยู่แค่ที่ตาเห็นรูป แต่จะเลยไปถึงใจ คิดปรุงแต่ง เกิดความอยากได้มาครอบครอง คิดไปต่างๆนานา และก็อุบายวิธีที่จะ ทำให้กำลังใจคงอยู่และไม่เลิกความตั้งใจที่จะมีสติตลอดเวลา นั่งสมาธิสวดมนตร์ก่อนนอนเป็นประจำ ผมควรจะใช้ธรรมะข้อไหนมายึดเหนี่ยวจิตใจครับเพื่อที่ผมจะไม่ย่อท้อไม่เลิกการปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ และไม่หลงระเริงไปกับโลก ในวิถีเดิมอีก วิถีสู่อบาย

    ๒ การที่พ่อแม่ผมเคยเปิดร้านที่มีการบริการทางเพศ มันจะเป็นผลของกรรมที่ส่งมาถึงผมหรือเปล่าครับ ที่ทำให้ผมใช้เงินของพ่อแม่ไปเที่ยวโสเภณี อันนี้ผมรู้สึกละอาย ตัวเองมากที่พูดแบบนี้ เพราะมันเป็นเหมือนการโทษพ่อโทษแม่ไม่พิจารณาตัวเอง แต่ก็อยากจะเรียนถามท่านให้ความกระจ่างด้วย พร้อมจะยอมรับคำติเตียนของท่านครับ

    ๓ ผมเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านก่อนหน้านี้ กับคนที่มีปัญหาคล้ายกับผม ที่ท่านแนะนำให้เค้าไปเจริญอสุภกรรมฐาน โดยไปดูศพที่เน่าเปื่อยจริงๆ ผมควรทำ แบบเดียวกันใช่ไหมครับ แล้วจะไปหาศพที่ไหนได้ครับ ท่านบอกควรเอาให้ได้กลิ่นด้วย ผมต้องทำขนาดนั้นเลยหรือเปล่าครับ แค่เห็นรูปผมยังไม่รู้ว่าจะกล้าเลย หรือเปล่า แต่ถ้าถึงขนาดต้องเอาแบบให้ได้กลิ่นด้วยคงจะยากครับ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ ดร สนอง บอกว่าจำเป็นผมก็จะทำครับ แล้วจะไปหาที่ไหนได้ครับ

    ๔ ที่ฝรั่งเค้ามีคำพูดที่ว่า Cleanliness is next to Godliness นั้นจริงหรือเปล่าครับ คือผมหมายความว่า การรักษาความสะอาดบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติที่อยู่อาศัยของเราให้สะอาดมีระเบียบ จำเป็นต่อการปฎิบัติธรรมมากน้อยแค่ไหนครับ มีตัวอย่างในครั้งพุทธกาลหรือเปล่าครับ

     ๕ การชื่นชมธรรมชาติ ต้นไม้ป่าไม้ ภูเขาลำธาร แล้วเกิดความเพลิดเพลินสบายใจ ถือเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ

    สุดท้ายนี้ผมขอให้ผลบุญของผมที่มีตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ และผลบุญที่เกิดจากการปฎิบัติในอนาคตนับแต่นี้ไป จงมีจงเกิดแก่ครูบาอาจาร์ย ดร สนอง ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงอยู่กับพวกเราไปอีกนานๆ สะสมบารมีไปอีกนานๆนะครับ

คำตอบ
     วิธีพิสูจน์ความจริง (เหตุผล) ที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (ฌาน) นำจิตออกจากฌาน แล้วอธิษฐานพบเห็นสิ่งที่ตนปรารถนา เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจได้

   (๑). ประสงค์พัฒนาจิตให้เป็นอิสระ จากรูปลักษณ์ของเพศหญิง ต้องทำเหตุให้ตรงคือ คลุกคลีหรือสัมผัสศพเพศหญิงบ่อยๆ โดยเฉพาะซากที่เน่าพอง ขึ้นอืด ส่งกลิ่นเหม็น มีน้ำเหลืองไหลออกทางปาก ทางจมูก มีหนอนไต่ยั้วเยี้ย ฯลฯ ซากศพเหล่านี้หาดูได้จากโรงบรรจุศพที่ทิ้งไว้ในป่าช้า ของหมู่บ้านชนบทหรือในวัดชนบท

   (๒). ผู้ใดเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจที่เป็นบาป ผู้นั้นต้องร่วมรับผลแห่งบาปนั้นด้วย

   (๓). หากไม่สามารถสัมผัสกับซากศพตามข้อ (๑). ได้ ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยปลดจิตให้เป็นอิสระ จากสรีระของเพศหญิงได้ แต่ไม่ฉกาจฉกรรจ์เท่ากับวิธีแรก คือนำตัวเองไปดูซากศพที่ท่านเจ้าคุณอลงกต แขวนไว้ให้ดู (Life Museum) ที่วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี แทนก็ได้ครับ

   (๔). คำกล่าวที่เขียนเป็นภาษาต่างประเทศนั้น เป็นความจริง แต่ความหมายมิได้เป็นดังที่ผู้ถามปัญหาเข้าใจ ผู้ใดพัฒนาจิตให้สะอาด ไม่มีมลทิน (กิเลส) ปนเปื้อน โอกาสเข้าใกล้พระเจ้าจึงจะเป็นไปได้

   (๕). เป็นกิเลสละเอียด ที่ทำให้จิตมัวหมองด้วยสิ่งที่ตาเห็น สิ่งที่ร่างกายสัมผัส
  

1666.
สวัสดีค่ะท่าน ดร.สนอง

     หนูไม่มีโอกาสได้เข้ารับฟังการบรรยายธรรมโดยตรง แต่ก็ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังจากไฟล์เสียงของท่านทางอินเตอร์เน็ต
    ตอนนี้ดาวโหลดมาฟังหลายไฟล์แล้วค่ะ ยิ่งฟังยิ่งศรัทธาเพราะสิ่งที่ท่านพูดมา คือ สัจจะของพุทธศาสนาโดยแท้ ยินดีอย่างมากค่ะที่ได้มีโอกาสได้พบท่านแม้จะเป็นแค่การได้ฟังก็ถือว่าหนูกับท่านมีวาสนาได้เจอกันแล้ว หนูเป็นนักปฏิบัติ ถือว่ามือสมัครเล่นก็ได้ค่ะ เข้ารับการฝึกกรรมฐานจากหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน 2 ครั้งเองค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีเชื่อในพระพุทธ มาตลอด ยิ่งฝึก ยิ่งเรียนรู้ยิ่งเข้าใจสัจธรรมและที่สำคัญได้ชดใช้กรรมมาโชกโชนเช่นกันค่ะ ที่เขียนจดหมายมาครั้งนี้ เพื่อขอความกรุณาจากท่านในเรื่องของการเป็นผู้สอบถามบางเรื่องที่ยังไม่เข้าใจโดยจะขอความกรุณา จากท่านตอบข้อข้องใจของหนูด้วยน่ะค่ะ

คำถามแรก หลังจากที่กลับมาจากปฏิบัติธรรมครั้งแรก หนูมีความรู้สึกว่าไม่อยากแตะต้องสุรา หรือเที่ยวกลางคืนอีกเลย ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะกลัวหรืออะไรนะค่ะ
แต่ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาเองที่ว่าไม่อยากไปดื่มไม่อยากไปเที่ยวเตร่อีกแล้ว ขอเรียนถามว่านี้เป็นอานิสงค์ของการฝึกปฏิบัติหรือเปล่าค่ะ

คำถามที่ 2 ทำไมเวลาหลังจากเดินจงกรมและนั่งสมาธิเสร็จมีอาการเหมือนจะร้องไห้ และยิ่งกว่านั้นเวลาแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลถึงได้ขนลุกและร้องไห้ค่ะ

คำถามที่ 3 ถ้าทุกอย่างมีเหตุและผล หนูอยากทราบว่ามีเหตุอะไรบ้างค่ะถึงทำให้หนูฝันได้แม่นยำเหมือนตาเห็น เหตุการณ์ที่ฝันมักจะเกิดตามมาภายใน 1 อาทิตย์ บางทีฝันล่วงหน้าถึง 1 เดือน และเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงแม้แต่คำพูดก็ตรงกับฝันหมดเลยค่ะ แบบนี้เกิดจากอะไรค่ะ

หนูขอเรียนถามท่าน ดร.สนอง เพียงเท่านี้ก่อนค่ะ กรุณาตอบปัญหาไขข้อข้องใจให้หนูด้วยจักขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

หนูส้ม

คำตอบ
     คำถามแรกตอบว่า : เป็นอานิสงส์ที่จิตของผู้ถามปัญหา ได้เข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ

     คำถามที่ ๒ ตอบว่า : เพราะมีความอิ่มใจ (ปีติ) เกิดขึ้นกับจิตของผู้ถามปัญหา

     คำถามที่ ๓ ตอบว่า : เกิดจากผู้ถามปัญหามีความสัตย์ (จริงกาย จริงวาจา และจริงใจ)

        ทั้งสามข้อ … . สาธุ
   

1665.
เรียน ดร. สนอง วรอุไร

   ดิฉันเพิ่งจะได้ฟังและอ่านผลงานของอาจารย์ จากสื่อต่าง ๆ จึงมีความตั้งใจที่จะ ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตาม CD ที่บ้าน (ไม่สะดวกจะไปตามสถานที่ฝึกต่าง ๆ ที่มีครูฝึก แต่ไม่อยากรอให้สะดวก) แต่ยังเป็นกังวลเรื่อง จิตปรุงแต่งแล้วทำให้เป็นคนสติไม่ดี หรืออาจจะเป็นบ้า เพราะเจอกับคนใกล้ตัว ที่เขาฝึกตาม CD อยู่ที่บ้าน แล้วเกิดอาการจิตปรุ่งแต่ง (น่ากลัวมากเขาเล่าให้ฟัง) ตอนนั้นเขาเกือบตาย เขาบอกว่าถ้าเขาไม่มีบุญเก่าอยู่บ้างเขาคงจะเป็นบ้าหรือตายไปแล้ว ปัจจุบันเขาก็ยังต้องกินยา เกี่ยวกับโรคประสาท เพราะหมอแผนปัจจุบันเขาวินัยฉัยอย่างนั้น อาจารย์มีความเห็นเป็นอย่างไรค่ะ ถ้าจะปฎิบัติที่บ้าน เมือมีโอกาศจึงไปตามสำนักที่เราต้องการ

ขอขอบพระคุณท่านล่วงหน้าเป็นอย่างสูง สำหรับคำชี้แนะ

จากผู้รู้น้อย

คำตอบ
      มนุษย์ที่เกิดมาในยุคปัจจุบัน มีบุญบารมีสั่งสมมาแต่อดีตชาติไม่มาก การพัฒนาจิตจึงต้องอาศัยครูเป็นผู้ชี้แนะ หากผู้ถามปัญหามั่นใจว่า ตัวเองมีบุญบารมีสั่งสมมามากพอ การปฏิบัติธรรมที่บ้านย่อมทำได้ ด้วยการเอาธรรมวินัย ( หลักตัดสินธรรมวินัย ๘ ) ที่พระพุทธโคดมมอบให้พระมหาปชาบดีภิกษุณี มาเป็นครูสอนใจตัวเองได้

     หลักตัดสินธรรมวินัย ๘ : ธรรมวินัยเหล่าใดเป็นไปเพื่อ
     ๑. ความคลายกำหนัด
     ๒. ความหมดเครื่องผูกรัด
     ๓. ไม่เพิ่มกิเลส
     ๔. ความมักน้อย
     ๕. ความสันโดษ
     ๖. ความสงัด
     ๗. ความเพียร
     ๘. เลี้ยงดูง่าย

   หากนำไปปฏิบัติแล้วได้ผลดังนี้ พึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสอนของพระศาสดา

   ตรงกันข้าม หากปฏิบัติแล้วให้ผลไม่ตรงตามนี้ ต้องแก้ไข หากผู้ถามปัญาแก้ไขด้วยตัวเองได้ ก็สามารถปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านได้

   คำวินิจฉัยของแพทย์แผนปัจจุบัน เขาวินิจฉัยตามความรู้ (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) ที่ได้เล่าเรียนมา จึงแก้ปัญหาด้วยการดับเหตุที่ไม่จริงแท้ แต่ผู้ที่เข้าถึงปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) แก้ปัญหาด้วยการใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรมดับเหตุที่แท้จริงได้ แล้วปัญหาจึงจบสิ้น
  

1664.
รบกวนอาจารย์ด้วยนะค่ะ

   1.คือหนูกับเพื่อนๆ สงสัยกันว่า เด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาที่ยังไม่ได้คลอดออกมามีจิตวิญญาณหรือยัง เพราะเคยอ่านเรื่องคนที่ระลึกชาติเล่าว่า วิญญาณเค้าเข้าร่างเด็กทารกที่เป็นหลานตอนที่หลานเกิดมาแล้ว

   2. หนูถูกนายจ้างให้ทำเอกสารเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี หนูรู้ว่าเป็นบาปแต่ไม่ทำก็ไม่ได้เพราะเป็นลูกจ้าง หางานใหม่ก็ยังไม่ได้ ทำยังไงดีค่ะ หนูต้องรับวิบากร่วมกับนายจ้างด้วยหรือเปล่า

   3. หนูทำกรรมอะไรไว้กับนายจ้างจึงถูกเค้าเอาเปรียบตลอดเวลา นายจ้างหนูไม่มีคุณธรรม พยายามหางานใหม่มานานแต่ก็ไม่ได้จึงต้องทนให้นายจ้าง กดขี่ต่อไป บางครั้งโกรธแต่พอรู้ตัว ก็อโหสิกรรมให้เพราะคิดว่าคงติดค้างเค้าไว้แต่ชาติก่อนถ้าหมดกรรมคงได้ไป ถ้าหนูไม่ได้ติดค้างเค้าแล้วเค้าเอารัดเอาเปรียบ พนักงาน (เค้าเอาเปรียบพนักงานทุกคนไม่ใช่หนูคนเดียว) เค้าจะติดค้างต้องชดใข้ให้พวกหนูหรือเปล่าค่ะ หนูควรวางใจอย่างไรดีขณะที่ทำงานให้เค้า เพราะบางเรื่องเค้าใช้ให้เราทำเรื่องผิดๆ เช่นทำเอกสารโกงภาษี,เป็นพยานเท็จเพื่อไล่พนักงานออก แต่ขัดเค้าไม่ได้เพราะไม่ทำก็โดนไล่ออก

ขอบคุณค่ะสำหรับความกรุณา

คำตอบ
     (๑). เมื่อใดที่ตัวอ่อน (Embryo) ในครรภ์ แสดงอาการเคลื่อนไหวให้ปรากฏ นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ตัวอ่อนมีจิตวิญญาณเข้าอยู่อาศัยแล้ว จิตที่มีบุญบารมีน้อยต้องเข้าอยู่อาศัยเร็ว แต่จิตที่มีบุญบารมีมากเข้าอยู่อาศัยช้า

     (๒). ที่บอกเล่าไปถือว่า เป็นกรรมร่วม เมื่อใดที่กรรมให้ผล ผู้ทำกรรมไม่ดี ย่อมต้องรับอกุศลวิบากนั้น

     ถามว่า : ทำยังไงดีคะ

     ตอบว่า : หากจำเป็นต้องทำกรรมไม่ดีต่อไป ต้องป้องกันตัวเองด้วยการทำกรรมดีให้มากกว่ากรรมที่ทำไม่ดี แล้วอกุศลวิบากย่อมตามให้ผลไม่ทัน

    (๓). นายจ้างเอาเปรียบลูกจ้าง แสดงว่าลูกจ้างมีบุญมากกว่านายจ้าง ลูกจ้างจึงถูกนายจ้างเอาเปรียบ ผู้รู้ยอมให้ผู้อื่นเอาเปรียบและผู้รู้ย่อมไม่เอาเปรียบผู้ใด แล้วความสวัสดีของชีวิต ย่อมเกิดตามมาในวันข้างหน้า

    ถามว่า : หนูควรวางใจอย่างไรดี

    ตอบว่า : บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเองว่า จะอยู่ทำชั่วต่อไป หรือหยุดทำชั่วมิให้บาปมีกำลังมากขึ้น แล้วหันไปทำความดีให้กับชีวิต และต้องไม่ลืมว่า เกิดมามีแต่ตัวเปล่า ตายไปก็ไปแต่ตัว เอาสมบัติทางโลกติดตัวไปไม่ได้ ฉะนั้นพึงเลือกทางชีวิตด้วยตัวเองว่า จะเอาบาป หรือเอาบุญติดตัวไปเกิดใหม่ จงเลือกเอาตามที่ชอบเถิด
  

1663.
ขอคำแนะนำก่อนเข้าปฏิบัติธรรม

ผมเจ้าของคำถามที่ 1655 ผมโชคดีที่ชวนภรรยา,พ่อตา,น้องแม่ รวมทั้งผม เป็นสี่เข้าปฏิบัติธรรมที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่วันที่ 4-11 มิถุนายน 54 นี้ครับ ผมกราบขอโอกาสช่วยแน่นำชี้แนะเพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยครับ เป็นการไปปฏิบัตินอกบ้านของผมครั้งแรก ผมจะทำให้ดีที่สุดเพื่อบูชาพระรัตนไตรครับ

กราบเท้าขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     ผู้ใดปรารถนาพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรม ผู้นั้นต้องเอาศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ (มีครบ) ไม่ด่าง ไม่พร้อย (ไม่มีมลทินปนเปื้อน) ลงคุมให้ถึงใจ แล้วจึงนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม โดยมีสัจจะ มีความเพียรสนับสนุน ย่อมเข้าถึงธรรมได้ในวันข้างหน้า
   

1662.
ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
มีบัวเหล่าใดบ้างที่สามารถเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ได้
บัวเหล่าที่ 4 สามารถพัฒนาตนให้มาเป็นบัวเหล่า ที่ 3 ได้หรือไม่ครับ

ด้วยความเคารพอย่่างสูง

คำตอบ
     บุคคล ๔ ประเภท (บัว ๔ เหล่า) มีดังนี้

     บัวเหล่าที่ ๑ : ผู้ที่รู้และเข้าใจธรรมของพระพุทธะได้ฉับพลัน

     บัวเหล่าที่ ๒ : ผู้ที่รู้และเข้าใจธรรมะเมื่อขยายความ

     บัวเหล่าที่ ๓ : ผู้ที่พอจะแนะนำให้รู้และเข้าใจธรรมฯได้

     บัวเหล่าที่ ๔ : ผู้ที่ไม่อาจเข้าใจความหมายของธรรมฯได้

    บุคคลที่เปรียบได้กับบัวเหล่าที่ ๑ - ๓ สามารถบรรลุธรรมในพุทธศาสนาได้ แต่บุคคลผู้เปรียบเหมือนบัวเหล่าที่ ๔ สามารถพัฒนาจนให้เป็นบัวเหล่าที่ ๓ ได้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และใช้เวลาในการอบรมสั่งสมบารมียาวนานนับกัป จึงจะเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้


1661.
กราบเรียน อาจารย์ด.ร.สนอง ครับ

   ผมมีปัญหาดังนี้คือตอนฝึกเดินจงกรม ผมฟุ้นซ่านมาก มีแต่ความคิดไม่ดีมาจะทำอย่างไรดีครับ
แต่เคยฟังหลวงพ่อจรัญสอนให้หยุดเดินแล้วกำหนด คิดหนอไปเรื่อยๆจนหายแต่ผมทำแล้วไม่หาย แต่ผมใช้วิธีเดินเร็วๆแล้วก็บริกรรมเดินหนอ เร็ว ๆผมจะสงบกว่าไม่รู้จะถูกต้องไหมครับ อาจารย์บางรูปสอนให้เดินช้าๆ อาจารย์บางรูปสอนให้เดินไว้ อันนี้แล้วแต่เราใช่ไหมครับทำอันไหนแล้วสงบ ก็ทำอันนั้น

   คนที่ทำผิดศีลแล้วจะ( อธิฐานแบบไม่จำกัดการ)เป็น พุทธะ ได้ไหมครับ แต่เขาก็ไม่ท้อแม้จะยาวนานเท่าไรก็ได้ หรือคนที่จะเป็นพุทธะต้องมีศีลครบทุกๆชาติ แล้วถ้าเกิดชาติไหนจิตตก เป็นบ้า หรือพลาดลงนรก จะมีสิทธิ เป็นพระพุทธได้ไหม

    อยากรู้จักชือยักษ์ที่กล่าว คำว่านะโมเป็นครั้งแรกและความหมายของคำว่านะโม
ความหายของคำว่า ตัสสะ ความหมายของคำว่าอรหโต ความหมายของคำว่าสำมาสำพุทธะสะ (อันนี้เป็นชือพระพุทธเจ้าถูกไหมครับ)

กราบขอบพระคุณอาจารย์ด้วยนะครับที่ได้ให้แสงสว่างกับผม
   นครินทร์ ไชยวงศ์

คำตอบ
     เดินจงกรมแล้วจิตฟุ้ง เหตุเป็นเพราะไม่เอาศีลมาคุมจิต จะกำหนดคิดหนอไปเรื่อยๆ ย่อมหยุดคิดได้ไม่นาน แต่หากเอาศีลที่บริสุทธิ์และมีอยู่ครบ ลงคุมให้ถึงใจ จิตย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย

    ส่วนเรื่องการเดินจงกรมช้าหรือเดินจงกรมเร็ว ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน บางคนมีอุปนิสัยช้า ต้องเหมาะกับการเดินจงกรมช้า บางคนมีอุปนิสัยเดินเร็ว ต้องเดินจงกรมเร็ว ผลสัมฤทธิ์จึงจะเกิดขึ้น

    ผู้ใดประพฤติทุศีล ผู้นั้นหมดโอกาสเป็นพุทธะ แต่ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ยังมีโอกาสประพฤติทุศีลได้

     ผู้ที่กล่าวคำว่า “นะโม” คือ สาตาคิริยักษ์และเหมวตายักษ์

     ผู้ที่กล่าวคำว่า “ตสฺสะ” คือ อุปราชแห่งอสูรพิภพ (อสุรินทราหู)

     ผู้ที่กล่าวคำว่า “อรหโต” คือ ท้าวสักกเทวราช

     ผู้ที่กล่าวคำว่ “สมฺมา สมฺพุทธสฺสะ” คือ ท้าวพกาพรหม

   เหล่านี้เป็นคำกล่าวที่แสดงความเคารพ (นมัสการ) พระพุทธเจ้า ของบรรดาอมนุษย์ที่เอ่ยชื่อ แต่มนุษย์ผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์ ไม่ควรเอาจิตไปผูกติดกับคำเหล่านี้
   

1660.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

   เมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว หนูพบเห็นตัวเอง ว่ายังหลง ยังยึดติดกับ ความดี ทำอะไรผิดพลาดไป ก็จะเสียใจเป็นเวลานาน แม้เพียงเล็กน้อยก็ เสียใจมาก หนูยึดติดกับการช่วยเหลือคน ทั้งพี่น้อง ญาติและเพื่อนสนิท ไม่สนิทก็ช่วยค่ะ บางครั้งจนตัวเองลำบาก พอจะตัดใจไม่ช่วยก็รู้สึกว่า มันบาป เราใจดำ เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า รู้สึกว่า ต้องช่วย ไม่ช่วยก็ไม่สบายใจอีก มีหลายครั้งที่ท้อใจ เหมือนทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำไมเขามาทำอย่างนี้กับเรา เช่น ให้ยืมเงิน ก็ไม่คืนตามนัด หรือ เราว่างช่วยเขาทุกครั้ง แต่ พอเราต้องการการช่วยเหลือบ้าง ก็กลับไม่ว่าง ยุ่ง ไม่มีงานทำก็ ช่วยหางานให้ กับว่าเราไปยุ่งเรื่องของเขา งานจะหาเอง ฯลฯ ก็ปล่อยวางหลายครั้งก็ทำไม่ได้ เป็นห่วงว่า ถ้ายิ่งไม่มี กัลยาณมิตรมาคอยช่วยเตือน จะยิ่งแย่ไปกว่านี้ พยายามนิ่ง หาให้เจอตัวการใหญ่ ก็พบว่า เราอยาก เราอยากดีเพราะมีเหตุผล ไม่ได้ทำดีเพื่อความดี หนูจะเริ่ม จะไหนก่อนดีค่ะ ฟุ้งมาก ระยะนี้ ฝันทุกวันเลยค่ะ

   กราบขอบพระคุณค่ะ
      ปิติพร

คำตอบ
    ผู้รู้จริงในพุทธศาสนา ช่วยเหลือผู้ใดแล้ว ย่อมไม่หวังผลตอบกลับคืนมา ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ไม่รู้จริง เมื่อช่วยเหลือใครแล้ว ย่อมหวังผลตอบกลับคืนมา หากเขาไม่ทำในสิ่งที่เราคาดหวัง จิตย่อมเป็นทุกข์

   เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ คือการใช้ปัญญาไม่รู้จริง (อวิชชา) ส่องนำทางให้กับชีวิต ผู้ใดไม่อยากฟุ้ง ไม่อยากฝันร้าย ไม่อยากทุกข์ ผู้นั้นต้องหาตัวเองให้พบ ด้วยการพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความทุกข์ย่อมลดน้อยลง และหมดไปในที่สุดได้
   

1659.
ผมมีปัญหาจะเรียนถามอาจารย์เป็นข้อๆ ดังนี้ครับ

1.ผมมีโอกาสได้ฟังอาจารย์บรรยายเรื่อง "ชีวิตหลังความตาย" ทางอินเตอร์เน็ต แล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างมาก จึงยากจะนำเอาเรื่องนี้ไปเผยแผ่ให้กับญาติพี่น้องได้รับฟังเพราะน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก จึงยากจะขออนุญาติอาจารย์สนองด้วยครับ(ผมจะ copy ใส่ vcd ประมาณ 6 แผ่น)

2.การนั่งสมาธิภาวนา "พุท-โธ" กับ การเพ่งกสิณ อย่างไหนจะทำให้เข้าถึงสมาธิสูงสุดได้เร็วกว่ากันครับ ผมมีความรู้สึกว่าการเพ่งกสิณจะทำได้ยากกว่า

3.สัมภเวสี ถือว่าเป็นโอปาฏิกะหรือไม่ครับ แล้วทำไมยังต้องรอเกิดอีกครับ แล้วสมมุติว่า นาย ก.มีอายุขัย 80 ปี แต่เจออุบัติเหตุตายตอนอายุ 50 ปี แล้วต้องเป็นสัมภเวสีต่ออีก 30 ปีใช่หรือไม่ครับ
ต้องขอกราบขอบพระคุณอาจารย์สนอง วรอุไร ล่วงหน้าด้วยนะครับที่กรุณามาตอบข้อสงสัยให้กระจ่าง ขอบคุณครับ

คำตอบ
    (๑). อนุญาตให้เผยแพร่ได้ หากมิได้ทำเพื่อการค้า

    (๒). จะบริกรรมให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุด ขึ้นอยู่กับจริตที่เหมาะกับองค์บริกรรม ความเพียรในการบริกรรม และการบริกรรมที่ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ

   (๓). คำว่า “โอปปาติกะ” หมายถึง การเกิดของสัตว์ (รูปนาม) โดยผุดขึ้นทันทีทันใด มีร่างกายเป็นทิพย์ แต่รูปลักษณะยังคงเหมือนเดิมก่อนตาย ซึ่งสัมภเวสีเกิดโดยวิธีนี้ สัมภเวสีต้องรอเกิดเป็นสัตว์ในภพใดภพหนึ่งในวัฏฏะ เหตุเพราะมีกฎธรรมชาติเป็นตัวกำหนด และที่ยกตัวอย่างมาให้ดูนั้น ถูกต้องแล้ว
    

1658.
ผมอยากถามท่านอาจารย์ สักหน่อยคับ

   1. ผมอยากจะถามว่า ถ้าเราขอตั้งสัจจะต่อหน้าพระพุทธรูป เราควรจะตั้งสัจจะว่ายังไงหรือคับ เพราะว่าตอนนี้ผมตั้งสัจจะว่าข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะว่าข้าพเจ้าจะสวดมนต์ให้เป็นประจำทุกวัน ไม่ว่างเว้น ถ้าข้าพเจ้ามีกิจธุระส่วนตัวใดๆข้าพเจ้าจะสวดมนต์อย่างไม่เต็มที่ก็คือบท อะระหัง สัมมา แต่ถ้าข้าพเจ้ามีเวลาว่างมากหนักข้าพเจ้าจะสวดมนต์อย่างเต็มที่ คือจะสวดมนต์ บทสวดมหาเมตตาใหญ่เพิ่มเข้าไปด้วยคับ ซึ่งปกติอยู่แล้วผมจะสวดมนต์ บทบูชาพระรัตนตรัย บทสวดนมัสการนอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า ไตรสรณคมน์ บทสวดพุทธานุสสติ บทสวดธัมมานุสสติ บทสวดสังฆานุสสติ บทพาหุงมหากา อิติปิโสอายุบวก 1 คาถาชินบัญชร บทแผ่เมตตาให้ตนเอง คำอธิษฐานอโหสิกรรม บทแผ่เมตตา บทอุทิศส่วนกุศล ดังนี้คับถ้าผมสวดอย่างเต็มที่คับ และข้าพเจ้าจะปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานทุกๆวัน ขอให้การตั้งสัจจะของข้าพเจ้านี้ขอให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆด้วยเทอญ สาธุ
   ผมอยากถามว่าถ้าเราตั้งสัจจะแบบนี้ถูกหรือเปล่าคับและได้รับอานิสงส์จากการตั้งสัจจะหรือเปล่าคับ

   2. ถ้าสวดมนต์บทพุทธคุณเท่าอายุเกิน+1ถ้าสวดไม่ครบบวก 1 และถ้าสวดเกินบวก 1 นั้นดีหรือเปล่าคับ

   3. หลังจากการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน ในการตั้งจิตอธิษฐานนั้นให้เราพูดในใจ แบบว่าปากขยับแต่ไม่มีเสียงออกคับถูกหรือเปล่าคับ และในการไปไหว้พระขอพรพระนั้น ต้องพูดยังไงหรือคับหรือว่าพูดในใจปากขยับแต่ไม่มีเสียงคับ
ช่วยตอบคำถามให้ผมที่คับท่านอาจารย์คับ

คำตอบ
   (๑). คำว่า สัจจะ หมายถึง ความจริง ความแน่แท้ หรือความซื่อตรง ( จริงกาย จริงวาจา และจริงใจ )

    บอกไปว่าจะสวดมนต์ทุกวัน และจะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทุกวัน สามารถตั้งสัจจะได้ แต่การประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจ ต้องตรงกัน จึงจะเรียกว่า มีสัจจะ ผู้ใดประพฤติได้ถูกตรงเช่นนี้ ผู้นั้นสามารถอ้างเอาสัจจะมาอธิษฐานให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ส่วนจะหายได้หรือไม่ อยู่ที่กำลังของสัจจะ หากสัจจะมีกำลังมากกว่ากำลังของการเจ็บป่วย การอธิษฐานให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ย่อมเกิดขึ้นได้

   (๒). ผู้ใดสวดมนต์เท่าอายุ +๑ สวดมนต์เกินอายุ +๑ ผู้นั้นย่อมมีกำลังของความเพียร มากกว่าสวดไม่ครบ +๑ แต่อานิสงส์ของการสวดมนต์ยังขึ้นอยู่กับ การมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่กับบทมนต์ที่สวด สวดมนต์ได้ถูกต้องตามอักขระ การรู้ความหมายของบทมนต์ที่สวด และการมีจิตเบิกบานหลังการสวดมนต์นั้นอีกด้วย

   (๓). มนุษย์ทำกรรมได้สามทาง (กาย วาจา และใจ) ผู้ใดทำกรรมครบทั้งสามทาง ผู้นั้นย่อมได้รับอานิสงส์มากกว่าผู้ที่ทำกรรมไม่ครบ

   การขอพร จะขออย่างไรก็ได้ แต่ผลสัมฤทธิ์ในพร จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำเหตุได้ถูกตรง อาทิ
     - ผู้ใดขอพรให้ตัวเองรวยทรัพย์ ผู้นั้นต้องหมั่นให้ทรัพย์เป็นทาน และไม่หวังสิ่งใดตอบกลับคืนมา
     - ผู้ใดขอพรให้ตัวเองเป็นคนดี ผู้นั้นต้องบำเพ็ญจิตตภาวนาจนเข้าถึงธรรมได้แล้ว ย่อมดีแน่นอน
     - ผู้ใดขอพรให้ตัวเองมีอารมณ์เย็น ผู้นั้นต้องให้อภัยเป็นทานในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ        เมื่อทำได้แล้วย่อมมีอารมณ์สงบเย็นแน่นอน
          ฯลฯ   
   

1657.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง วรอุไร

   ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่สนใจในธรรมะ และไม่เคยส่งคำถามมาถามท่านอาจารย์เลย นี่เป็นครั้งแรกค่ะ ดิฉันขอเข้าคำถามเลยนะคะ คุณแม่ของดิฉันเป็นคนชอบปฏิบัติธรรมมาก เมื่อปี พศ.2540 ท่านเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ท่านได้อธิฐานจิตไม่กิน ไม่นอนเป็นเวลา 9 วัน เมื่อปฏิบัติไปท่านเกิดอาการที่เขาเรียกว่า "วิปลาส" ตอนนั้นดิฉันยังไม่เข้าใจในธรรมะเท่าไร แต่ก็ชอบเข้าวัดตามท่าน ท่านเป็นอย่างนั้นมากกว่าครึ่งปีจนเป็นปกติ และไม่เคยเป็นอีก แต่เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา ท่านได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งใกล้บ้านท่าน ได้กลับมาเป็นอีกครั้ง และเป็นทุกครั้งที่ท่านกลับมาจากวัดแห่งนี้

    ญาติพี่น้องได้พาไปพบกับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเรียนด้านไสยศาสตร์และดูดวง ท่านบอกกับญาติๆของดิฉันว่า ท่านเป็นคนจิตอ่อนไม่มารถปฏิบัติได้ ถ้ายังปฏิบัติอยู่ก็จะเป็นอย่างนี้ไม่หาย และตอนที่เป็นนั้น เหมือนกับไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเองได้ ทำให้อะไรก็สามารถมาแฝงใช้สังขารของท่านได้ ดิฉันก็เชื่อเป็นบางอย่างไม่ได้เชื่อทั้งหมด ล่าสุดที่เป็นเมื่อปีที่แล้ว ญาติก็ได้พาไปพบท่านอีกได้คำตอบใหม่ที่ว่า เป็นเพราะบรรพบุรุษที่เคยเป็นผีฟ้อนผีรำ เขาทำให้ไม่สบาย (ดิฉันไม่เคยทราบมาก่อนว่าบรรพบุรุษเป็นผีฟ้อนผีรำ และแม่ก็ไม่เคยพูดถึง) และที่ดิฉันค้านมากที่สุดก็คือ พูดไปพูดมาเหมือนกับท่านบอกว่ายาย คือคุณแม่ของดิฉันท่านเป็นผีปอบ เวลาไม่สบายท่านจะมาใช้ร่างนี้ แต่เรื่องนี้มีแต่ญาติดิฉันที่พูดให้ดิฉันฟังแม้แต่คุณพ่อก็ไม่ทราบ และดิฉันก็ไม่ทราบว่าถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด คุณแม่ของดิฉันท่านจะทราบมาก่อนหรือไม่ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำไมดิฉันไม่เคยทราบมาก่อน และดิฉันก็ไม่เชื่อด้วย ทุกวันนี้คุณแม่ท่านได้แต่คิดว่าท่านทำบาปกรรมอะไรมา ถึงต้องมาทำให้ท่านเป็นเช่นนี้ อยากไปปฏิบัติธรรมแต่ก็ป่วยทุกครั้ง

   ดิฉันขอคำตอบจากท่านอาจารย์ด้วยค่ะ ว่าจะทำอย่างไรให้แม่หายกลับเป็นปกติ แล้วเป็นเพราะอะไรที่คุณแม่ต้องเป็นอย่างนี้ ใจจริงแล้วอยากพาท่านไปพบท่านอาจารย์ที่เดอะมอลล์ นครราชสีมาค่ะ ที่ท่านอาจารย์จะไปบรรยายธรรมในวันที่ 15 พค. 54 นี้แต่ว่ากลัวจะเข้าไม่ถึง ขอท่านช่วยตอบคำถามให้ด้วยค่ะ

  ขอกราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     คำว่า “วิปลาส” ตามพจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติและฉบับมติชน หมายถึง คลาดเคลื่อน ผันแปร หรือผิดเพี้ยน หลังจากที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมเมื่อปี พ.ศ.2518 ผู้ตอบปัญหามีพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยน ไปจากพฤติกรรมของคนปรกติในสังคม แต่เป็นความผิดเพี้ยนไปในทางที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์ ผู้ตอบปัญหาจึงดำรงความผิดเพี้ยนเรื่อยมาจนทุกวันนี้ ตรงกันข้าม ผู้ใดไปปฏิบัติธรรมเมื่อกลับมาแล้ว มีพฤติกรรม ผิดเพี้ยนไปในทางที่เป็นโทษ อย่างนี้ต้องรีบแก้ไข ด้วยการพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีสติเกิดขึ้น และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้น แล้วปัญหาในการมีพฤติกรรมผิดเพี้ยนที่ไม่ดี หรือพฤติกรรมที่เป็นโทษ ย่อมหมดไป

    ผู้ใดเอาจิตไประลึกรู้อยู่กับเรื่องที่ตนเคยทำบาปมาก่อน ผู้นั้นย่อมไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ตรงกันข้าม ผู้ใดเอาจิตจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรม ที่กำลังประพฤติอยู่เป็นปัจจุบัน โดยมีศีล มีสัจจะ คุมใจ เมื่อเร่งความเพียรในการปฏิบัติให้มากขึ้นแล้ว อุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์ที่ผูกเวรอยู่เสมอ โอกาสที่จะพ้นไปจากความเจ็บป่วย เมื่อคิดจะไปปฏิบัติธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อมารเลิกจองเวร
   

1656.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ดิฉันอยากเรียนถามว่า พ่อแม่เปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก ดิฉันควรจะปฏิบัติตนอย่างไรกับท่านดี เพราะแม่ดิฉันได้ติดการพนัน มีหนี้สินมาก ทุกวันนี้ลูกๆ ได้ให้เงินเดือนแม่รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท แต่ก็ไม่พอ ดิฉันเคยอ่านหนังสือของแม่ชีท่านหนึ่งท่านบอกว่าเงินเมื่อให้ท่านแล้วท่านจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของท่าน แต่ดิฉันกลัวว่าจะเป็นการสนับสนุนให้ท่านเอาไปเล่น ดิฉันคิดผิดหรือเปล่าค่ะ บางครั้งแม่โทรมาร้องไห้มากเพื่อที่จะเอาเงินแต่ดิฉันไม่ให้ และได้พูดกับแม่ไปแรงบ้าง ดิฉันบาปไหมคะ ปัจจุบันแม่บอกว่าเลิกแล้วแต่เงินก็ไม่เคยพอคะ แต่ลูกๆไม่เชื่อคะเพราะแม่บอกแบบนี้มาหลายสิบครั้งแล้ว

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
    สิ่งดีที่ลูกต้องประพฤติต่อ แม่ผู้มีอุปการคุณ คือ ท่านเลี้ยงมา เลี้ยงดูท่านตอบแทน ช่วยทำธุรกิจการงานของท่าน ดำรงวงศ์สกุลมิให้เสื่อมเสีย ประพฤติตนเป็นทายาทที่ดี และเมื่อท่านล่วงลับ ต้องทำบุญอุทิศให้ บุตรธิดาใดประพฤติได้ตามนี้ เรียกบุตรธิดานั้นว่า มีความกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นคุณธรรมที่มีพลังผลักดันชีวิตและงาน ไปสู่ความรุ่งเรืองไพบูลย์ ตรงกันข้าม บุตรธิดาใดไม่ตอบแทนอุปการคุณของแม่ เรียกบุตรธิดานั้นว่า อกตัญญูฯ

   การส่งเงินให้แม่ใช้เป็นรายเดือน เป็นสิ่งดีที่ควรทำ เพราะทำแล้วได้บุญ ตรงกันข้าม เมื่อรู้ว่าเงินที่ส่งให้แม่นำไปใช้เล่นพนัน (อบายมุข) แล้วบุตรธิดาผู้ส่งเงินให้ต่อไป ถือว่าผู้ส่งเงินให้ เป็นผู้ร่วมกระทำบาป ไม่ส่งเงินให้ไม่เป็นบาป และการต่อว่าแม่อย่างแรงหรือต่อว่าแม่อย่างอ่อน ถือว่าเป็นบาป บุตรธิดาที่เจริญเขาไม่ประพฤติ
  

1655.
ผมเริ่มปฏิบัติมา 4-5 ปีแล้วช่วง 3 ปีแรกได้ผลดีมาก ปัจจุบันถึงแม้จะแย่ลงแต่ก็เกิดจิตผู้รู้เห็นสภาวะบ้าง ไม่ถึงกับหลงเผลอไปทั้งวันครับ ปัญหาก็คือในอดีต 15 ปีที่แล้วผมเคยเป็นโรคซึมเศร้า ฟุ้งซ่านรักษากับจิตแพทย์นาน 5 ปี ถึงแม้ปัจจุบันนี้จะหายแล้ว แต่ผลที่ตามมาก็คือ จิตผมรับผัสสะเล็กน้อยทุกอย่างที่มากระทบถี่มากเรียกได้ว่าทุกๆอย่างเลยจริงๆ โดยเฉพาะปรุงเรื่องผีเวลาที่นั่งสมาธิ ปรกตินั่งได้ 30 นาที บางทีก็ 1 ชม. แต่ก็ยังโชคดีจิตผมยังเหลือตัวรู้ทำให้พิจรณาได้

ทำอย่างไรดีครับที่จะทำให้จิตละอภิสังขารมารได้ครับ ทำใจสู้กำหนดกลัวหนอตามที่ อจ.เคยแน่นำ (ผมเคยคุยกับอจ.ระหว่างที่บรรยายเสร็จเดินลงมาจากชั้น 2 แล้วมานั่งรอรถกลับเชียงใหม่ที่โรงอาหาร พิษณุโลก)

กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
    หากผู้ถามปัญหาปรารถนาเป็นผู้มีโชคดีต่อไป ต้องประพฤติสมถภาวนา จนจิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น จนสามารถรับทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต แล้วอภิสังขารมารย่อมทำอะไรไม่ได้

   ส่วนเรื่องกลัวผีจะหมดไป ต่อเมื่อผู้ถามปัญหารู้จริงเรื่องผี ทำไมไม่ลองอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าจะยอมตายให้กับผี แต่มีข้อแม้ว่า ขอให้ได้ธรรมะของพระพุทธองค์” นี่คือเหตุตรงที่จะทำให้ไม่กลัวผี … . พิสูจน์ไหมครับ


1654.
อยากรบกวนถามท่าน ดร.สนอง ว่าเวลาผมทำบุญหรือให้ทานก็จะมีความหวังที่จะไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ หรือหวังว่าจะได้รับสิ่งดีต่าง ๆ อย่างนี้ถือว่าเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ จะมีผลเสียหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะทำอย่างไรดีครับ

คำตอบ
    ถือว่าเป็นกิเลสครับ เรียกกิเลสตัวนี้ว่า ตัณหา ผู้ใดถูกตัณหาเข้าครอบงำจิต ผู้นั้นมีความทุกข์แน่นอน และตัณหามิได้พาจิตวิญญาณให้พ้นไปจากอบายภูมิ

   ความคาดหวังจะได้รับสิ่งดีๆ มิได้มีเหตุผลมาจากตัณหา แต่มาจากผลของบุญ ในข้อที่ว่า ปรารถนาสิ่งใด ได้สิ่งนั้นก็เพราะบุญ ( ยํ ยํ เทวาภิปตฺเถนฺติ )

   ถามว่า : แล้วจะทำอย่างไรดีครับ

   ตอบว่า : ให้สิ่งดีงามใดๆกับใครแล้ว ต้องไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทนกลับคืนสู่ตน และต้องประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ
  

1653.
เรียน ท่านอาจารย์ สนอง ค่ะ

ดิฉันมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการตั้งชื่อ สกุล ของแต่ละบุคคลค่ะ เพราะว่าเห็นบางคนไปดูหมอแล้วเขาได้ทักว่าชื่อ สกุลนั้นไม่ดีต้องมีการเปลี่ยนเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่าค่ะ โดยส่วนตัวแล้วดิฉันไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร เลยอยากรบกวนจะสอบถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้คะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
    จริงของผู้มีความเห็นผิด แต่ผู้เห็นถูกเห็นว่า ชื่อไม่มีผล คนจะดีจะเลวอยู่ที่การกระทำของตัวเอง

   คำว่า อชาตศัตรู มีความหมายที่ดีว่า ไม่เกิดมาเป็นศัตรู แม้ชื่อจะดีแต่ยังคิดกบฏจับพระเจ้าพิมพิสาร ( พระราชบิดา ) ขังคุก แล้วสั่งให้ทหารลงโทษทรมานจนตาย เมื่อกรรมหนักฝ่ายให้ผล ตนเองจึงต้องลงไปเกิดอยู่ในโลหกุมภีนรก

   ฤาษีโมฆราช มีความหมายว่า จอมฤาษีผู้ไม่มีสิ่งใด ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วโยนิโสมนสิการ จนจิตของฤาษีโมฆราชบรรลุอรหัตผล


1652.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ดิฉันอยากเรียนถามว่า ดิฉันเป็นแม่บ้านไม่ได้ทำงาน อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว เมื่อเวลาสามีทำบุญซื้อของทำสังฆทานหรือทำบุญอื่นๆ ดิฉันจะได้บุญด้วยหรือเปล่าค่ะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ได้แก่ การประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ( ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ขวนขวายรับใช้ เฉลี่ยความดีให้ผู้อื่น อนุโมทนาบุญ ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง )

   เมื่อสามีซื้อของเพื่อไปทำบุญ หากผู้ถามปัญหาประพฤติอย่างใดอย่างหนึ่งตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ย่อมได้บุญ ประพฤติได้หลายอย่างก็ได้บุญเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นจงดูใจตัวเองแล้วทำเหตุให้ตรง บุญย่อมเกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสียทรัพย์ ไม่ต้องเสียเวลา และไม่ต้องเสียแรงงานเช่นเขา
  

1651.
เรียน ท่าน ดร สนอง ที่เคารพ

     ดิฉันได้พบกับความมหัศจรรย์จากการนั่งสมาธิ ภาวนา แต่ไม่ได้นั่งนานนะคะ แค่นั่งห้านาทีเองค่ะ ทำบ้างไม่ทำบ้าง สวดมนต์พาหุงมหากา ฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า เกิดขึ้นจริงเกินสิบครั้ง บางทีมีเสียงมาเตือนเหตุร้าย ถ้าเป็นเสียงจะพูดได้แค่คำเดียว ไม่ทราบว่าเป็นเสียงใครคะ มีชายนุ่งกางเกงแดงแบบยมบาลมาขอเป็นทาสค่ะ ตอบรับไปแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรรึเปล่า มันเป็นความฝันน่ะค่ะ ในความเป็นจริงไม่ให้ใครมาเป็นทาสหรอกค่ะ
     จากนั้นก็ฝันเห็นชายนุ่งกางเกงแดงอีกบอกว่าประตูนรกเปิดลักษณะเป็นบ้านโบราณสีดำๆ จะไปดูใหม ควรเข้าไปใหมคะ กลัวไม่ได้กลับมาค่ะ ไม่รู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรรึเปล่า แล้วมีบาทหลวงศาสนาคริสต์มาเข้าฝันด้วยค่ะ และพิสูจน์ได้ว่ามีสถานที่นั้น จริง มีหน้าบาทหลวงคนนั้นจริงตามที่ฝัน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคริสต์ ฝันถึงตอนไปทำสมาธิที่ Sedona ประเทศอเมริกาค่ะ ท่านคือ จอนห เดอเป็บทิส ค่ะ

     เคยไปที่เกาะพงันมีแม่ชีตาบอดท่านเข้ามาจับมือแล้วเข้ามาทักว่า หนูทำบุญมาเยอะในอดีต อย่ามีคู่นะสงสารลูกชายเขาอาจทำให้ลูกเขาตาย ถ้าอยากมีคู่ให้ไปขอแม่พระธรณี ไม่เข้าใจเลยค่ะ

      ครังหนึ่งวิญญาณมันออกจากร่างมาครึ่งหนึ่ง ไม่กล้าหันกลับมาดูหน้าตัวเองเพื่อพิสูจน์ค่ะ กลัว สักพัก ค่อยๆกระดิก มันก็กลับมาค่ะ เป็นอะไรคะอาการนี้ ดิฉันมีดวงตาเห็นธรรมเพราะหลวงพ่อจรัญ ดิฉันไปถามท่านในใจให้ตอบคำถามค่ะ ท่านตอบสองข้อติดกันเลย น้ำตาไหล เลยเริ่มปฏิบัติธรรมจากวันนั้นค่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือพลังจิตหรืออะไรคะ

     รบกวนเมตตาอธิบายด้วยค่ะ บางทีไปทักใครโดยบังเอิญ เขาก็เป็นจริงๆค่ะ มันพูดไปเองเพราะอยากพูดค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
    Pom

คำตอบ
   ความฝันที่บอกเล่าไป เป็นเรื่องของสัญญาที่จิตเก็บบันทึกข้อมูลในอดีตได้ เมื่อใดข้อมูลถูกส่งเข้ากระทบจิต ขณะที่ยังหลับไม่สนิท คือจิตยังเกิด - ดับ ย่อมรับเอาสิ่งกระทบปรุงเป็นอารมณ์ฝันหรือนิมิตได้ และจะไม่ให้ผลเป็นจริงกับชาติปัจจุบัน ที่จิตวิญญาณทั้งสองยังไม่โคจรมาพบกัน และยิ่งผู้ถามปัญหาพัฒนาจิต ให้พ้นไปจากอำนาจของกามได้แล้ว โอกาสที่วิญญาณทั้งสองจะพบกัน ย่อมอยู่ห่างไกลนานนับกัป

   เรื่องฝันเห็นชายนุ่งกางเกงแดงฯ เป็นเรื่องของความฝัน ไม่ควรเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ปัจจุบันไม่มีอยู่จริง

   เรื่องแม่ชีตาบอดที่เกาะพงัน พูดอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้พูด แต่การกระทำตัวเองเป็นเหตุ ที่จะต้องมีผลเกิดตามมาแน่นอน ฉะนั้นจงเลือกทำแต่กรรมดีอยู่ทุกเมื่อ แล้วผลดี (กุศลวิบาก) ย่อมเกิดขึ้นให้ผู้ประพฤติกรรมได้เสวย

   เรื่องความกลัว เหตุเป็นเพราะจิตไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว

   คำว่า “ดวงตาเห็นธรรม” หมายถึง จิตเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป และมีผลทำให้จิตเป็นอิสระ ไม่ยึดจับเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มาเป็นของตัว อย่างนี้จึงจะเรียกว่า มีดวงตาเห็นธรรม

   ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (ฌาน) ได้แล้ว เมื่อถอนจิตออกจากความทรงฌาน เจโตปริยญาณย่อมเกิดขึ้นกับผู้นั้นเป็นอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อฯ ตอบคำถามได้ โดยไม่ต้องเอ่ยปากถามด้วยวาจา เพราะหลวงพ่อฯ มีเจโตปริยญาณ เกิดขึ้นนั่นเอง

   สุดท้าย คำว่า “บังเอิญ” ไม่มีในผู้รู้จริง ที่เป็นพุทธศาสนิกทุกปรากฎการณ์ เกิดขึ้นต้องมีเหตุที่ทำให้เกิด หรือพูดได้ในอีกทางหนึ่งว่า พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เป็นความจริงมีเหตุผลกำกับ พระพุทธโคดมจึงได้ตรัสกาลามสูตรไว้เป็นเครื่องมือพิสูจน์ความจริง
  

 

 

 

 

 

 

 

browser stats