1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 2151-2200

2200.
กราบนอบน้อมอาจารย์ที่เคารพ

หนูเกิดมาในครอบครัวที่เป็นมิจฉาทิฐิ แต่หนูมีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นที่คนดีขึ้นจริงๆ หนูขอน้อมรับพระรัตนตรัยเป็นสะระณะสูงสุดของดวงจิตนี้ตลอดไป รบกวนขอความเมตตาอาจารย์ช่วยแนะนำอย่างละเอียดดังนี้ค่ะ

๑. วิธีการฝึกสติ ในชีวิตประจำวัน
๒. วิธีการพัฒนาจิตใจให้เข็มแข็ง
๓. วิธีการลดทิฐิ และอัตตาในตนเอง
๔. วิธีการปราบความอิจฉา ริษยา

กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
  กิ่งกาญจน์

คำตอบ
     ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) คือเอาศีลคุมใจให้ได้ก่อน แล้วจึงปฏิบัติสมถภาวนา จิตจึงจะมีสติแล้วตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เอาจิตที่เป็นสมาธิจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) ไปพัฒนา ( วิปัสสนาภาวนา ) แล้วโอกาสที่จิตจะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง จึงจะเป็นไปได้
     (๑) สวดมนต์ก่อนนอน เจริญจิตภาวนาก่อนนอน หลังจากที่ทำกิจกรรมทั้งสองแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร

     (๒) เอาศีล ๕ ลงคุมให้ถึงใจ เร่งความเพียรพัฒนาจิตอย่างต่อเนื่อง ทำทุกครั้งที่นึกได้ ทำทุกครั้งที่ว่างจากงาน แล้วโอกาสที่จิตจะมีกำลังของสติกล้าแข็ง จึงจะเกิดขึ้นได้

     (๓) วิธีลดทิฏฐิ ( ความเห็นผิด ) ต้องพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูผัสสะว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดที่จิตเห็นผัสสะไม่ใช่ตัวตน ( อนัตตา ) ปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะนั้นย่อมเกิดขึ้น ทุกผัสสะต้องพิจารณาตามแนวทางนี้ แล้วความเห็นผิดไปจากธรรมจึงจะหมดไปได้

     หลังจากนั้นใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ตามดูขันธ์ ๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ) ล้วนต่างดำเนินไปสู่ความเป็นอนัตตา แล้วขันธ์ ๕ จะดับไป อัตตา (ego) ที่อยู่ในขันธ์ ๕ จะดับตามไปด้วย

     (๔) เมื่อใดที่บุคคลได้พัฒนาจิตจนมีความเห็นถูกเกิดขึ้น และอัตตาดับตามขันธ์ ๕ ไปแล้ว ความอิจฉาริษยาจะไม่มีกับผู้นั้น
  

2199.
ผมเป็นคนที่เคยดื่มเหล้าเบียร์แต่ปัจจุบันเลิกขาดมานานแล้ว เพราะผมอยากจะรักษาศีลและไม่ชอบดื่ม มีคำถามนึงที่มีคนชอบถามผมในโต๊ะสังสรรแต่ผมไม่ทราบจะตอบเค้าว่าอย่างไรดีเพื่อให้เค้ายอมรับ

เค้าถามว่า "ทำไมถึงไม่กินการกินเหล้า กินเหล้าไม่เมาไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนไม่ผิดศีล
เรารู้ลิมิตของเราดีกินนิดหน่อยไม่ถึงกับขาดสติหรอก ถ้าไม่ได้ไปสร้างภาระให้ใคร
ยังมีสติดูแลตัวเองได้ก็ไม่น่าจะผิดไม่ใช่หรอ"

ผมก็ตอบไปว่า "ผิดศีลข้อห้าไง" มันเป็นความรู้สึกข้างในว่าที่ทำมันผิดแต่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เพราะผมรู้ว่ามันเป็นการเปิดโอกาสถ้าดื่มแล้วมันต้องมีครั้งต่อไปแน่ๆ เช่นผมดื่มวันนี้พรุ่งนี้ไปกับอีกพวกที่รู้จักกัน ก็คงต้องโดนกล่าวว่า "เมื่อวานได้ยินว่าดื่มนิ วันนี้ดื่มอีกครั้งจะเป็นไร" เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นแน่ โดนเซ้าซี้มากๆเข้าผมจึงตอบไปอีกว่า "ผมไม่ชอบมันไม่อร่อยดื่มแล้วรู้สึกไม่ดี" เพราะนี่เป็นเหตุผลส่วนตัว ที่จะไม่มีข้างอ้างอะไรมาทำให้เค้าเซ้าซี้ต่อได้อีก ประมาณนี้ครับแต่ผมอยากจะตอบให้เป็นเหตุเป็นผลมากกว่านี้ เพื่อให้คนเหล่านั้นเข้าใจและยอมรับศีล เพื่อให้คนเหล่านั้นหยุดทำผิด ควรตอบอย่างไรครับ

ขอบคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
    ผู้ใดมีจิตขาดสติ ผู้นั้นย่อมมีอารมณ์ของจิตเกิดขึ้น การดื่มสุราเป็นต้นเหตุทำให้จิตมีกำลังของสติลดลงความประมาทจึงได้เกิดขึ้น ผู้ใดเว้นดื่มสุราได้แล้ว ย่อมเกิดประโยชน์ ( อานิสงส์ ) ขึ้นกับผู้นั้น อาทิ มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่งุนงง ไม่เซ่อ ไม่หลง ไม่หวาดสะดุ้ง ไม่กล่าวอกุศลวจีกรรม ( เท็จ หยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ) ไม่ขี้เกียจ ไม่อกตัญญู ไม่ตระหนี่ มีความซื่อตรง ละอายชั่วกลัวบาป มีปัญญาดี ฯลฯ

     สมาชิกของสังคมใดเว้นดื่มสุรา สังคมนั้นมีความเจริญ มีความสงบ มีความสุข ตายแล้วจิตวิญญาณไม่โคจรลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ พระพุทธโคดมเป็นผู้รู้จริงแท้ เป็นผู้รู้จริงในทุกสิ่งทุกอย่าง ( สัพพัญญู ) จึงทรงบัญญัติ การเว้นดื่มสุราไว้เป็นวินัยให้ภิกษุปฏิบัติ และบัญญัติสุราเมระยะฯ ไว้เป็นศีลให้ฆราวาสประพฤติ

     ผู้ใดมีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดขึ้นกับจิต ผู้นั้นมีจิตอ่อนด้วยกำลังของสติ ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก ท่านเจ้าคุณฯ ได้พูดว่า “เรียนมาจนจบขั้นปริญญาเอกแล้ว แต่ยังมีสติเพียงนิดเดียว” คำพูดประโยคนี้ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงแท้ ฉะนั้นความเห็นที่ว่า “ดื่มสุราเพียงนิดเดียว มิได้ทำให้จิตขาดสติ” จึงเป็นคำพูดของคนที่ยังมีความเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) เป็นคำพูดของคนที่ยังเข้าไม่ถึงความจริงแท้ ยิ่งไปกว่านั้น หากบุคคลได้พัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมมีจิตเป็นอิสระจากคำพูดที่ออกจากปากคนที่อยู่ในสังคม และไม่เอาจิตเข้าไปก้าวล่วง ( หยุดทำผิด ) กับชีวิตของคนอี่นอีกด้วย
   

2198.
กราบเรียนถามอาจารย์ ดร.สนองค่ะ

คุณแม่เป็นอัลไซเมอร์เมอร์ค่ะ แต่ชอบไปวัดเพื่อสวดมนต์แต่จำบทสวดไม่ได้แม้แต่อ่านบางคำก็อ่านไม่ได้ลืม อยากให้คุณแม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีสติดีขึ้น

ไม่ทราบว่าแนวการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียนที่จะจัดขึ้นที่เชียงใหม่ 13-17 กค นี้จะเหมาะสำหรับคุณแม่หรือเปล่าค่ะ จะได้เตรียมพักร้อนพาท่านไปค่ะ ขอขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ

ลดาวัลย์

คำตอบ
     ผู้ใดเสวยผลของอกุศลวิบากแล้ว ผู้นั้นจำเป็นต้องเสวยผลแห่งกรรมนั้นไปจนกว่าจะหมดสิ้น ผู้รู้ย่อมดูผู้อื่น (คุณแม่) เป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าอย่าประพฤติเช่นเขา (ไม่เจริญสติอยู่เสมอ) แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา การเจริญสติตามแนวของหลวงพ่อเทียน เป็นการเคลื่อนไหวของมือ (อิริยาบทใหญ่) หากอัลไซเมอร์มีกำลังอ่อนโอกาสที่จิตจะมีสติเกิดขึ้นย่อมเป็นไปได้
  

2197.
กราบเรียนถามปัญหา อ.ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพ

     กระผม นาย ทวีศักดิ์ ทองประดิษฐ์ มีปัญหา ขอเรียนถามท่าน อาจารย์ ดังนี้ครับ ครั้งหนึ่งผมได้เคยทำการบนบานไว้กับ องค์พระพุทธรูปหลวงพ่อบ้านแหลมไว้ว่า หากวันใดลูกมีบ้านเดี่ยว เป็นของตัวเอง(สมัยก่อนฐานะการเงินไม่ค่อยดีครับ) จะสร้างห้องพระถวายหลวงพ่อ แต่ปัจจุบันนี้ผมผ่อนบ้านเดี่ยวที่ซื้อไว้ใกล้จะหมดแล้ว แต่อาจจะไม่สามารถสร้างห้องพระได้ ดังที่เคยบนบานไว้ครับ สถานที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าที่ควร ได้แต่สร้างเป็นตู้ไม้ และตั้งพระพุทธรูปหลวงพ่อบ้านแหลมไว้ข้างบน และพยายามกราบไหว้ สวดมนต์บูชาหลวงพ่อก่อนนอน กระผมจึงไม่ค่อยสบายใจนักครับ และกลัวบาป หากไม่ได้ทำการ แก้บน

     ท่านอาจารย์กรุณาช่วยแนะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับกระผมด้วยครับ กลัวบาปและกลัวจะเกิดสิ่งไม่ดีหากไม่ได้แก้บนครับ

      ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     คำว่า “บนบาน” หมายถึง การขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ถ้าสำเร็จแล้วจะให้สิ่งตอบแทน

    พระพุทธโคดมมิได้เคยสอนพุทธศาสนิกให้ประพฤติบนบาน หากปรารถนาเข้าถึงสิ่งใดแล้ว ต้องทำเหตุให้ถูกตรง สิ่งใดที่บุคคลให้สัจจะไว้แล้วไม่ประพฤติตาม เรียกผู้นั้นว่าไม่มีสัจจะ ผู้ไม่มีสัจจะย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ตนปรารถนา

     เพื่อไม่ให้เสียสัจจะ ทำไมผู้ถามปัญหาไม่กันพื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้าน ( เท่าที่ทำได้ ) ไว้ทำเป็นห้องพระล่ะครับ
  

2196.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร

กระผมได้อ่าน/ฟัง การบรรยายของอาจารย์แล้ว ทำให้เกิดความเลื่อมใสในการปฏิบัติสมาธิเป็นอย่างมากครับ ช่วงนี้ผมจึงมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็จะพยายามทำสมาธิบ่อยๆ แต่ผมพบปัญหาดังนี้ครับ
     1. อยากทราบว่า ที่เค้าว่าให้กำหนดลมหายใจที่ปลายจมูกนั้น (หรือที่ท้องก็ตาม) ขณะนั่งสมาธิ ผมได้จินตนาการ (ในความมืด) เห็นปลายจมูกผมตลอดเวลานั้น ผมทำถูกต้องหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ถูก รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะในการกำหนดลมหายใจ ที่ถูกต้องด้วยครับ เพราะผมรู้สึกว่าถ้าไม่กำหนดไว้ที่ไหนสักที่มันจะคิดเรื่องโน่นเรื่องนี่ตลอดเลยครับ

     2. เมื่อผมพยายามนั่งสามาธิ (โดยใช้ขาขวาทับขาซ้าย) ไปเรื่อยๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง ผมจะปวดมากๆ ตั้งแต่ก้นกบ, ต้นขา หรือบริเวณที่มีการพับขาขวาทั้งหมด ผมใช้วิธีคิดว่า "ปวดหนอๆๆๆ" ไปเรื่อยๆ หรือคิดว่า จริงๆ ไม่ได้ปวด หรอก แต่เราคิดไปเองว่ามันปวด สุดท้ายก็ไม่ได้ผลครับ ต้องยอมแพ้ทุกที มันจะชาไปทั้งขา ขอรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

     กราบขอบพระคุณในความเมตตาจากอาจารย์ดร.สนอง มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
        มติ วงศ์ทาเครือ

คำตอบ
     (๑) ต้องเอาจิตจดจ่อ หรือระลึกอยู่กับลมหายใจที่ผ่านเข้า - ออกทางจมูก มิใช่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับปลายจมูกที่เห็นด้วยจิต

     (๒) การคิดที่บอกเล่าไป เป็นการใช้สมองคิด ซึ่งไม่ถูกตรงตามแนวทางของผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อใดเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับองค์บริกรรมว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมล้มเลิก ในที่สุดอาการปวดดังกล่าวจะดับไป ซึ่งจะมีผลทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น
  

2195.
สวัสดีค่ะอาจารย์ที่เคารพ

หนูมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งโต๊ะหมู่บูชา
     1. หนูอยู่แฟลต มีพื้นที่จำกัด มีหิ้งพระก็เล็ก หนูเลยนำพระหน้าตัก 5 นิ้ว 3 นิ้ว รวม 11 องค์ มาวางบนหลังตู้แทนหิ้งพระจะเป็นอะไรไหมคะ?

     2. หิ้ง หรือ โต๊ะหมู่ อาจารย์ว่าควรหัวไปทางทิศใดจึงจะเหมาะสมค่ะ? หรือไม่จำเป็น? เพียงเลือกพื้นที่วางในที่ที่เหมาะสม ..ซึ่งหนูได้ปรึกษาพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ท่านบอกว่าจะวางทิศไหนก็ได้ทั้งนั้น ถือเอาสะดวกวางในที่ที่อันควร

     3. มีคนแสดงตนว่าเป็นผู้ดูจิตแนะนำว่า หากให้ฃีวิตมั่นคง เจ้านายรัก ได้รับความเชื่อถือ ต้องใช้โต๊ะหมู่บูชา แล้วหันไปทางทิศใต้ แล้วเอาแก้วที่ครอบองค์พระออก อาจารย์ว่าคำแนะนำที่ว่านี้ถูกต้องไหมคะ? เพราะตรงข้ามกับข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่า ควรหันหน้าพระไปทางทิศตะวันออก ห้ามหันไปทางทิศใต้และทิศตะวันตก

     4. และไม่ควรมีหิ้งพระหลายหิ้ง จะทำให้ครอบครัวไม่เป็นปึกแผ่น ไปคนละทิศละทางไม่มีความสุข ไม่มั่นคง จะเป็นตัวสำรองตลอด จริงหรือไม่คะ?

     5. โต๊ะหมู่บูชาจะมีโต๊ะใหญ่เป็นฐาน หากหนูใช้โต๊ะที่มีอยู่แล้ว และสูงกว่าแทนโต๊ะใหญ่ที่เป็นฐานรองแทน จัดวางในห้องโถง/ห้องรับแขกได้ไหมคะ? จะได้ไม่เตี้ย กลัวจะเผลอไม่สำรวมเดิน ยืน นั่ง นอน

     6. ปกติก่อนนอนหนูกราบหมอนสวดมนต์หากไม่ดึกจะนั่งสมาธิ หิ้งพระถวายดอกบัวและน้ำอาทิตย์ละัครั้ง และไหว้พระก่อนออกจากบ้าน หนูปฏิบัติตนเช่นนี้เหมาะสมไหมคะ?

     7. หนูพยายามถือศีล 5 ไม่ให้ด่างพร้อย แต่สังเกตตัวเองแล้วรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนไป คือ เงียบขรึม ไม่ค่อยอยากพูดจา อยากจะพูดจะฟังแต่ธรรมะ เพราะในที่ทำงานพูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ ส่อเสียด เหน็บแนม ตำหนิ แซว อำ ล้อเล่นกันเกือบทุกนาที จะเงียบก็ตอนพักกลางวันประมาณ 12.15 น. จะหลับกัน เพราะประหยัดไฟ หนูเปิดธรรมะให้ฟัง ..การที่หนูทำตัวเช่นนี้ มีความรู้สึกแบบนี้ ผิดเพี้ยนหรือไม่คะ?

     8. เมื่อหนูนึกถึงแนวทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ทีไร หนูรู้สึกอึดอัด เพราะจะทำอย่างไรไม่ให้มีการเกิด เหมือนจะเร่งทำความดีทำบุญกุศลเพราะกว่าจะรู้ตัวมีดวงตาเห็นธรรมก็ล่าช้า คิด ๆ แล้วก็คงยาก ก็คิดต่อว่าหากต้องเกิดอีกก็ขอให้เกิดในตระกูลที่ดีมีธรรมะบริสุทธิ์ ...ที่เป็นเช่นนี้ถือว่าหนูฟุ้งซ่านเกิืนไปหรือไม่คะ?

      กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
     (๑) ไม่เป็นไรครับ เพราะเจ้าของมีจิตศรัทธาและเอาไว้ในที่สูง เทวดาที่คุ้มรักษาพระพุทธรูปไม่ตำหนิ

     (๒) อาจารย์สอนกรรมฐานบอกถูกแล้ว และการวางพระพุทธรูปไว้ในที่เหมาะสม ( สะดวก ) นั้น หมายถึงวางไว้ในที่สุดและไม่มีพฤติกรรมลบหลู่

     (๓) ถูกต้องของผู้แนะนำ แต่ไม่ถูกต้องของผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใน ส่วนข้อแนะนำจากอินเตอร์เน็ตนั้น สามารถทำได้เมื่อมีสถานที่เหมาะสม

     คำว่า “ห้าม” หมายถึง ไม่ให้กระทำ ตลอด ๔๕ พรรษาที่ออกเผยแพร่ธรรม พระพุทธองค์มิได้เคยห้ามผู้ใดมิให้ประพฤติ แต่ทรงสอนในทำนองที่ว่า ผู้ใดประพฤติอกุศลธรรมแล้ว ผลไม่ดีย่อมเกิดตามผล และผู้ประพฤติต้องรับผลแห่งอกุศลวิบากนั้น ดังตัวอย่างที่จะเห็นได้ในกรณีของพระเทวทัต พระเจ้าสุปปพุทธะ ฉันนภิกษุ ฯลฯ พระพุทธองค์มิได้ทรงห้ามบุคคลทั้งสาม มิให้ประพฤติไม่ดีตามที่เขาเหล่านั้นปรารถนา

     (๔) จริงตามความเห็นของผู้แนะนำ แต่ไม่จริงตามผู้รู้ที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม

     (๕) ได้ครับ

     (๖) หากปฏิบัติด้วยความศรัทธาในคุณธรรม ( พระปัญญาคุณ พระบริสุทธคุณ และพระมหากรุณาคุณ ) ของพระพุทธองค์ ถือว่าถูกต้องครับ

     (๗) คำว่า “เพี้ยน” ในที่นี้หมายถึง มีพฤติกรรมผิดแปลกไปจากคนอื่น ดังนั้นที่ถามไปจึงถือว่าเพี้ยน แต่เป็นการเพี้ยนที่เกิดประโยชน์กับชีวิต จงเพี้ยนต่อไป

     (๘) ถือว่าฟุ้งซ่านเกินไป เพราะจิตขาดสติระลึกอยู่กับปัจจุบัน อารมณ์ดังกล่าวจึงเกิดขึ้น
  

2194.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ครับ

    เนื่องด้วยพรรษาที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสบวชเป็นพระ และได้จำวัดที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ จะมีห้องคอมพิวเตอร์ที่เก็บรวบรวมเกี่ยวกับเรื่องธรรมะไว้เยอะ แต่เป็นของพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งยกไว้เป็นส่วนกลางเวลา จะเข้าใช้ต้องขอรับกุญแจห้องจากท่านก่อน ผมเข้าใช้และเห็นว่าข้อมูลทั้งหมดน่าสนใจจึง Copy มาโดยไม่ได้ขออนุญาตท่านก่อน และขออนุญาตอีกครั้งเมื่อต้องการข้อมูลเพิ่มเติม จึงขออนุญาตในตรั้งที่สอง สงสัยว่าอาการเช่นนี้เป็นปาราชิกหรือไม่ครับ หากอาจารย์ตอบไม่ได้พอจะแนะนำผู้รู้ ที่ผมจะสามารถสอบถามได้หรือไม่ครับ ความจริงพระปริยัติธรรมมีอยู่เยอะ เพียงแต่คิดว่าท่านจะเห็นเป็นเรื่องของธรรมะที่เผยแพร่ต่อๆกันได้ จึงไม่มั่นใจที่จะปรึกษาครับ

    รบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ

คำตอบ
     คำว่า “ปาราชิก” หมายถึง อาบัติหนัก ๔ อย่าง ที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ คือ เสพเมถุน ลักของเขา ฆ่ามนุษย์ และอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน

     ในกรณีที่บอกเล่าไป ไม่ถือว่าเป็นการลักของเขา เพราะเจ้าของข้อมูลได้อนุญานให้ไว้เป็นส่วนกลาง และยังได้อนุญาตให้นำกุญแจห้องไปเปิดใช้ข้อมูลได้ จึงถือว่าเป็นการอนุญาตแล้ว
   

2193.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ดิฉันมีเรื่องรบกวนเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

     1.ดิฉันได้มีโอกาสฟังวิทยุรายการธรรมะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่นกที่ถูกช้างเกเรฆ่าลูกนกจนตาย ภายหลังแม่นกสามารถเอาชนะช้างเกเรตัวนั้นได้ ด้วยความร่วมมือของเพื่อน ๆ ตอนนั้นขณะที่ฟังจนเกือบจบดิฉันกลับไม่ได้รู้สึกดีใจต่อวีรกรรมของแม่นก กลับรู้สึกว่าเวลาที่เรามีความพยาบาทแล้ว คิดที่จะแก้แค้นเราได้สร้างอกุศลกรรมมากมายเช่น ในกรณีนี้ แม่นกชักชวนเพื่อน ๆ ให้มาร่วมสร้างวิบากอกุศลกรรมด้วย การคิดเช่นนี้ของดิฉันถือว่าผิดปกติหรือไม่คะ

     2.มีโอกาสฟังการแสดงธรรมของอาจารย์ผ่านอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์ได้เมตตาถ่ายทอดธรรมะ ของพระพุทธเจ้าเรื่องห่วงว่า สามีภรรยาเป็นห่วงผูกมือ ทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา ลูกเป็นห่วงผูกคอ อยู่ ๆ วันหนึ่งดิฉันก็เกิดเห็นภาพในความคิดว่า ลูกกำลังขี่คอแม่ชัดเจนมากค่ะ เห็นแล้วรู้สึกสลดว่าขีีี่คอจนตายกันไปข้างหนึ่ง และถ้าลูกของลูกก็ต้องขี่คอซ้อนทับกันไปเรื่อย ๆ อันนี้ยังไม่รวมกับทรัพย์สมบัติและสามีภรรยาที่เป็นห่วงที่มือ และขาอีก สิ่งที่ดิฉันคิดถือว่าฟุ้งซ่านหรือเปล่าคะ

     3.ดิฉันได้เคยดูดวงทางโทรศัพท์ตอนกลางคืน แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมา อยู่ ๆ ประโยคหนึ่งในโอวาทสี่เหลี่ยวฝานก็ลอยมาในความคิด ประโยคที่ว่า โหราศาสตร์หยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่ว ทำให้ดิฉันรู้สึกโง่มากที่ดูดวง เรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเพราะอะไรคะ ที่ทำให้คิดถึงประโยคนี้ขึ้นมาได้เอง

     4.ดิฉันเคยช่วยแม่ไปเก็บต้นไม้ที่ชาวบ้านตัดทิ้ง แล้วเอามาทำฟืน ขณะที่มือขอดิฉันสัมผัสไปกับซากใบไม้เก่า ๆ ก็รู้สึกสังเวชว่าร่างกายของเรานี้ยังมีค่าน้อยกว่าซากไม้เหล่านี้อีก เพราะได้เคยฟังธรรมจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรียนถามอาจารย์ว่า เป็นเพราะะอะไรคะ ที่ทำให้คิดถึงประโยคนี้ขึ้นมาได้เอง

     5.ก่อนการปฏิบัติทธรรมในแต่ละวัน จะต้องอธิษฐานทุกครั้งหรือเปล่าคะ และจะต้องอธิษฐานอย่างไรคะ ดิฉันปฏิบัติธรรมเองที่บ้านค่ะ ฟังครูบาอาจารย์จากอินเตอร์เน็ต ที่ฟังบ่อยก็จะมี ท่านเจ้าคุณโชดก และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จะรู้ได้อย่างไรว่าดิฉันควรจะปฎิบัติตามแนวไหนคะ

     กราบขอบพระคุณในความเมตตาจากอาจารย์ดร.สนอง มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
        ธัญญลักษณ์

คำตอบ
    (๑) ผิดปกติสำหรับคนที่มีสัมมาทิฏฐิ ตรงกันข้าม ไม่ผิดปกติ สำหรับคนที่มีมิจฉาทิฏฐิ

    (๒) ไม่ถือว่าเป็นการคิดฟุ้งซ่าน การเห็นภาพลูกขี่คอแม่ เป็นการเห็นด้วยจิตที่สงบจากอารมณ์ปรุงแต่งทั่วไป แต่เห็นด้วยความถี่คลื่นจิตที่เป็นระเบียบดีแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นการคิดฟุ้งซ่านของคนที่มีจิตเข้าถึงโลกิยญาณ

     (๓) เหตุเกิดจากจิตใต้สำนึก เก็บบันทึกสิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิไว้ภายใน

     (๔) เป็นเพราะจิตได้ระลึกถึง คำที่หลวงพ่อฤษีลิงดำได้เคยพูดไว้ในอดีต ที่ผู้ถามปัญหาได้ยินได้ฟังธรรมของท่านมาก่อน

     (๕) สมถกรรมฐานแนวใดที่ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และวิปัสสนากรรมฐานตามแนวของสติปัฏฐาน ๔ ที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง การปฏิบัติธรรมทั้งสองอย่างนั้น ถือว่าถูกต้อง

     การปฏิบัติธรรมในแต่ละวัน ไม่จำเป็นต้องอธิษฐานทุกครั้ง ขอเพียงแต่มีศีล มัสัจจะคุมใจ และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วเป็นอันใช้ได้
  

2192.
สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉันเคยเข้ามาถามคำถามกับอาจารย์ครั้งหนึ่งค่ะ (2152)

วันนี้ขอรบกวนถามข้อสงสัยเพิ่มเติมจากอาจารย์ดังนี้ค่ะ
     1. เมื่อนำสิ่งของและอาหารไปถวายสังฆทานแล้ว พระ (1 รูป) ท่านอนุญาตให้นำอาหารส่วนที่เหลือไปทานต่อได้ ขอถามอาจารย์ว่าอาหารที่เหลือนั้น เราสามารถนำกลับไปทานต่อที่บ้านได้หรือไม่คะ กรณีที่นำกลับไม่ได้ เราควรทำอย่างไรกับอาหารที่เหลือคะ

     2. การซื้อล็อตเตอรี่ถือเป็นบาปหรือเปล่าคะ แตกต่างกับการเล่นหวยอย่างไรคะ

     3. คนที่ถูกทำคุณไสย์มีกรรมเก่ามาอย่างไรและควรแก้ไขอย่างไรคะ

     4. การเห็นความเดือดร้อน การถูกทำร้ายหรือความวุ่นวายของคนอื่น เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเป็นกรรมของคนคนนั้น ขอเรียนถามอาจารย์ว่าเราควรปฏิบัติอย่างไร ถึงจะเรียกว่าเป็นการวางเฉยหรือมีอุเบกขากับเรื่องดังกล่าว

     5. เพียงการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้จากการสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิให้กับดวงจิตดวงวิญญาณที่ยังวนเวียนเป็นทุกข์อยู่นั้น สามารถช่วยให้พวกเขาไปเกิดได้หรือไม่คะ

     6. เมื่อเราสวดมนต์ตามปกติในห้องพระ ถือเป็นการบูชาพระหรือหลวงพ่อที่มีอยู่ด้วยหรือเปล่าคะ

     กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง และขออนุโมทนากับกุศลจิตของอาจารย์ ในการให้คำตอบเป็นทานแก่ทุกคำถามด้วยค่ะ

      พิมพ์พร

คำตอบ
     (๑) ได้ครับ

     (๒) ไม่แตกต่างกัน เพราะทั้งสองเป็นการกระทำที่ให้ผลเป็นความวิบัติของชีวิต

     (๓) เหตุเป็นเพราะเคยประพฤติเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นมาก่อน ผู้ใดระลึกได้แล้วสามารถป้องกันมิให้เวรเกิดขึ้น ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล และมีสติคุมให้ได้ทุกขณะตื่น

     (๔) ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในทางโลก ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกตรงกับอำนาจที่ตนมี แต่ผู้รู้จริงแท้ย่อมไม่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับอกุศลกรรมของคนอื่น การจะทำได้เช่นนี้ต้องพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ให้มีสติระลึกได้ทันสิ่งที่ตาเห็น และพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วการเข้าถึงอุเบกขารมณ์ จึงจะเกิดขึ้นได้

     (๕) ในครั้งพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารได้ตรัสอุทิศส่วนพระราชกุศลว่า “ขอผลทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระองค์อุทิสผลบุญกุศล หลังจากได้ถวายข้าวยาคู อาหารอย่างอื่น ผ้าเสนาสนะ ฯลฯ ให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ผลปรากฏว่า เปรตญาติ ( ปรทัตตูปชีวี ) มาอนุโมทนาบุญ แล้วเปลี่ยนเพศไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสรวงสวรรค์

     (๖) การสวดมนต์บท อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ … . , หรือการสวดมนต์บท อิติปิโสภควา … . , ถือว่าเป็นการบูชาคุณของพระพุทธเจ้า
  

2191.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ดร.สนอง ที่เคารพรัก

     หลังจากที่มีกัลยาณมิตร ท่านหนึ่งในสถานที่ทำงานได้นำหนังสือของท่านอาจารย์ ดร.สนอง มาให้หนูได้อ่านจึงได้รู้ว่าเราเป็นคนที่ห่างไกลธรรมะมากเหลือเกิน แต่มาวันนี้ได้เริ่มศึกษาธรรมะ ถ้ามีเวลาว่างกัลญานมิตรท่านนี้พยามบอก สอน และเตือนในเรื่องธรรมมะอยู่เสมอหาหนังสือมาให้อ่าน ถ้าหากหนูมีบุญพอ คงจะได้มีโอกาสพูดคุยซักถามปัญหากับท่านอาจารย์ซักครั้ง

      หนูมีครอบครัวแล้วค่ะมีบุตรชายสองคน อยู่บ้านเดียวกันกับพ่อแม่ และน้องชาย แต่บ้านหลังนี้ไม่เคยมีความสงบสุข เท่าที่หนูจำความได้พ่อจะคอยหักหาญน้ำใจแม่ตลอด มีเมียน้อยบ้าง ดื่มเหล้าอาระวาดบ้างบ่นว่าให้แม่สารพัด คนที่ต้องรับกรรมก็เป็นแม่ทุกที หนูสงสารแม่ทุกครั้งที่มีปัญหากัน ถ้าหนูไม่ไปห้ามก็กลัวท่านจะตีกันตาย เพราะหนูเป็นลูกคนโต ถ้าเราไปห้ามก็กลายเป็นเราไปพูดกับท่านแรง ส่วนน้องชายดิดยาบ้าถึงขนาดประสาทหลอน ฉุนเฉียว เมื่ออยากยาจะขอเงินกับแม่ ไม่ได้ก็จะอารมณ์ฉุนเฉียวโมโหร้าย ทำให้พ่อมีข้ออ้างดื่มเหล้า

     ปัญหาทุกอย่างตกลงที่แม่แด่เพียงผู้เดียว ถ้าพ่อไม่กินเหล้าท่านก็จะเป้นที่รัก และเป้นที่ยำเกรงของลูกมากวันหนึ่งพ่อและน้องชายสัญญากันว่าจะเลิกสุราและยาบ้า เมื่อน้องชายเลิกยาพ่อกับแม่จึงให้หนูรับน้องไปทำงานด้วย หนูจึงพาน้องไปทำงานด้วยอยู่มาวันหนึ่ง หนูบอกเตือนเขาบางสิ่งเขาไม่พอใจ เขาทำร้ายร่างกายหนูในสถานที่ทำงาน หนูโกรธเขามากแต่กัลญาณมิตรท่านนี้ คอยบอกคอยเตือนให้เราอภัยให้เขากลับมาทำงานตามเดิม แต่หนูจะไม่ยุ่ง ไม่สอน ไม่เตือนอะไรกับเขาอีกแล้ว ปล่อยให้เขาดำเนินชีวิตของเขาเอง (พ่อกับแม่เลี้ยงดูน้องชายแบบตามใจมาตั้งแต่เล็กอยากได้อะไรก็ต้องได้)

     ทุกวันนี้หนูจะพยายามไม่พูดกับพ่อกับแม่เรื่องน้องชาย ถ้าพูดท่านก็เข้าข้างน้องชาย เพราะให้เงินเยอะแต่เวลาขอกลับคืนไปเท่าไหร่ท่านไม่คิด ก็เลยไม่อยากพูดพูดไปก็ทำให้ท่านไม่สบายใจ เวลาน้องชายมีเงินก็จะกลับไปเสพยา พ่อก็กลับมาดื่มเหล้าหนักกว่าเดิม แต่พ่อแม่ไม่ค่อยจะยอมรับท่านจะพร่ำสอนว่าให้เรารักน้อง แต่น้องไม่เคยนับถือเราเป็นพี่เลยซักครั้ง หนูคิดจะหนีไปให้พ้นกับปัญหาทั้งหมดนี้ แต่ก็หนีไม่เคยได้ต้องกลับมาทุกครั้ง เพราะสงสารและห่วงพ่อกับแม่ แล้วเวรกรรมมันจะตกที่ลูกชายของหนูแบบนี้หรือเปล่าค่ะ

     ทุกวันนี้หนูสวดมนต์ภาวนาทุกวัน แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พวกเขาให้เจ้ากรรมนายเวร พยายามเจริญอาณาปานสติทุกวัน เพื่อจะได้หลุดพ้นปัญหาทั้งปวงค่ะ ขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพและขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่เมตตาและสละเวลาตอบปัญหาให้กับคนที่ด้อยปัญญาเช่นหนูค่ะ

คำตอบ
    ผู้อยู่อาศัยร่วมกับพ่อแม่ แล้วประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีต่อพ่อแม่ ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นลูกกตัญญู ซึ่งส่งผลให้ชีวิตและงานเจริญไพบูลย์

     บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมเผยแพร่ธรรม พระองค์มิเคยตรัสให้ผู้ใด เข้าไปแก้ปัญหาให้กับผู้อื่น แต่ทรงตรัสให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ทั้งนี้เพราะบุคคลมีกรรม ( การกระทำ ) เป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ด้วยเหตุนี้จึงแบ่งมนุษย์ออกเป็นสองฝ่ายตามการกระทำของตน คือ มนุษย์ที่มีจิตใจชั่วช้าเลวทราม และมนุษย์ที่มีจิตใจประณีตดีงาม

     ดังนั้น ผู้ถามปัญหาพึงเลือกปฏิบัติเอาตามที่ชอบเถิด หากประพฤติได้ถูกตรงตามคำสอนของผู้รู้จริงแท้ และรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ( สัพพัญญู ) ความสวัสดีของชีวิตและความหมดไปของปัญหาย่อมเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้ถามปัญหาปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว ย่อมเป็นที่มั่นใจได้ว่า ชีวิตย่อมมีโอกาสพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้
   

2190.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ค่ะ

     ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่รู้จักอาจารย์จากหนังสือที่อาจารย์เขียน ที่ร้านหนังสือค่ะ ปกติเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพิ่งจะมาสนใจทางด้านธรรมะอย่างจริงจัง เมือตอนที่ชีวิตประสบปัญหาผิดหวังในความรัก ประกอบกับได้กัลยาณมิตรที่ดีชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรม จึงให้ความสนใจธรรมะเรื่อยมาจากวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะ 10 ปีแล้ว

     มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นดังนี้ค่ะ
     1. เมื่อเดือน ก.พ. ต้นปี 55 นี้ ดิฉันกับเพื่อนอีก 3 คนได้ไปเข้าคอร์สปฎิบัติธรรมแบบ 3 วัน ของวัดอัมพวัน สิงห์บุรี โดยการกำหนดยุบหนอ พองหนอในการนั่งสมาธิ และการย่างหนอในการเดินจงกรม ระหว่างที่เดินจงกรม จิตสงบ มีความรู้สึอยู่ที่ฝ่าเท้าเวลาที่ก้าวเดิน ย่าง เหยียบ จากเดินเปลี่ยนเป็นนั่งสมาธิ ระหว่างนั่งกำหนดยุบหนอ พองหนอ ได้เกิดอาการตัวโยก หน้าจะทิ่มพื้น โยกไปข้างหน้า และข้างหลังโดยที่ระหว่างนั่งดิฉันไม่ได้หลับ พอเกิดอาการดังกล่าวได้กำหนดโยกหนอๆ ไปเรื่อย จนหมดอาการไปเอง อยากทราบว่า ทำไมดิฉันจึงมีอาการตัวโยกระหว่างนั่งสมาธิทั้งๆ ที่ไม่ได้นั่งหลับ มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอด โดยกำหนดตามสภาวะที่เกิดขึ้น

     2. เมือเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน อีกครั้ง คราวนี้ได้เข้าคอร์สแบบนั่งและเดินอย่างล่ะ 1 ชั่วโมง เดินก่อนแล้วนั่งปรากฎว่า ดิฉันนั่งสมาธิ 1 ชั่วโมงกว่า แต่กลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปแป๊บเดียวจริงๆ ไม่ปวดขา แบบที่คนอื่นเค้าปวดกัน แบบที่พระอาจารย์บอกว่า ให้ดูเวทนาแล้วกำหนดปวดหนอ ตามเวทนาแต่ละคน ไม่มีอาการปวดเมื่อย กลับรู้สึกสบาย เหมือนได้ไปพักที่ไหนสักแห่ง หัวว่างเปล่า ไม่มีอาการง่วง หาวแต่ประการใด เป็นแบบนี้ทั้งๆ ที่ดิฉันไม่ได้หลับไปเพราะได้ยินเสียงรอบๆ ข้างด้วยค่ะ ไม่ทราบว่า อาการแบบนี้คืออะไรค่ะ

     3. หลังจากนั้นช่วงหัวค่ำ ได้ทำวัตรเย็นและเดินจงกรม นั่งสมาธิอีกรอบ คราวนี้ แทนที่จะเกิดอาการข้างต้นแบบรอบเช้าและรอบบ่าย กลายเป็นว่า รอบนี้ดิฉันเห็นภาพตัวเองตั้งแต่เด็กๆ วัยประถม มัธยม ภาพเพื่อนเก่าๆ คนเก่า เหตุการณ์ที่ทำให้เราเสียใจ ดีใจ มันฉายให้ดูเหมือนดิฉันกำลังดูหนังชีวิตตัวเองอยู่ ดูเฉยๆ นะค่ะ ไม่ได้คิดปรุงตามสิ่งที่เห็นในระหว่างการนั่งสมาธิ กำหนดคิดหนอๆ แต่พอออกจากสมาธิก็มีอาการเหน็บชาปวดขา และสิ่งที่ได้คิดได้เห็นระหว่างนั่ง มันเกิดจากดิฉันฟุ้งซ่านหรือเปล่าค่ะ และสิ่งกระทำถือว่าปฏิบัติถูกแล้วใช่ไหมค่ะ
มีข้อสงสัยเท่านี้ค่ะ กราบขอบพระคุณที่อาจารย์กรุณาให้ความกระจ่างมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

     ด้วยความเคารพและนับถือ
       กานต์พิชชา

คำตอบ
      (๑) เป็นเพราะจิตมิได้จดจ่อ ( ขาดสติ ) อยู่กับองค์ภาวนา มารจึงสามารถบันดาลให้อาการตัวโยกตัวโคลงเกิดขึ้น

     (๒) เป็นเพราะจิตเข้าถึงสมาธิจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) และหากเมื่อใดจิตตั้งมั่นแน่วแน่ ( ฌาน ) จิตจะไม่รับสิ่งกระทบภายนอกอื่นใดเข้าปรุงอารมณ์ แม้นิวรณ์ ๕ ( กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจะ และอวิชชา ) ก็ไม่อาจทำให้จิตรับเข้าปรุงเป็นอารมณ์ได้

     (๓) ในช่วงหัวค่ำ จิตได้รับการพัฒนาจนเข้าถึงสมาธิสูงสุดที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ หรือ ฌาน แล้วทิพพจักขุ ( โลกิยญาณ ) จึงไปสัมผัสกับอดีตหนหลังของตัวเอง การเห็นเช่นนี้มิได้เป็นเหตุนำจิตสู่ความพ้นทุกข์ จึงถือว่าผิด เพราะปัญญาเห็นแจ้งมิได้เกิดขึ้น
  

2189,
กราบเรียนท่านอ.สนองที่เคารพ

     1. หนูนั่งสมาธิแล้วมันชอบปวดต้นคอมาก หนูไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่ทุกวันนี้ถึงปวดหนูก็พยายามกำหนด ปวดหนอ มันก็หายบ้างไม่หายบ้าง ไม่ทราบจะทำอะไร รบกวนอ.ด้วยค่ะ

     2. การที่หมอนวด ตามร้านทั่วไป ช่วยนวดแก้อาการ ปวดเมื่อยต่างๆ ให้เขาหายเมื่อย แล้วเจ้ากรรมนายเวรเขา จะมาจองเวรหมอนวดไหม

คำตอบ
      (๑) นั่งสมาธิแล้วปวดที่ต้นคอ เป็นเพราะขันธมารมาขัดขวางการทำความดีของผู้ถามปัญหา หากประสงค์จะให้อาการปวดที่ต้นคอหายไป ต้องเร่งความเพียรบริกรรมคำว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ ไม่หายปวดต้นคอไม่เลิกบริกรรม ผู้มีสัจจะประพฤติดับเหตุได้ถูกตรงอย่างนี้ จึงจะสามารถผ่านขันธมารตัวนี้ไปได้

    (๒) ผู้ใดเข้าไปมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมของผู้อื่น ผู้นั้นย่อมได้รับการจองเวรจากฝ่ายตรงข้าม
  

2187,
กราบเรียนถามอาจารย์สนองที่เคารพครับ

กระผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านอาจารย์ดังนี้      1.การเลี้ยงกุมารทองหรือลูกกรอกโดยคอยอุทิศบุญทำกุศลให้ ให้อาหารและที่อาศัย นับว่าเป็นการมีผีเป็นเพื่อนหรือไม่ครับ

     2.การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง จัดว่าเป็นศีลขาดหรือว่าด่างพร้อยครับ

     3.อาจารย์เคยบอกว่าผู้ให้สิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น ผมมีคำถามว่าถ้าเราบริจาคเงินสร้างสื่อธรรมมะเป็นทาน สิ่งที่กลับมาหาเราจะ เป็นเงินหรือธรรมมะครับ หรือสละเงินสร้างวิหาร สร้างพระ เมื่อปัจจัยลงตัวเราจะมีทรัพย์สร้างบ้านยังงั้นหรือครับ?

     4.ระหว่างถวายทานกับผู้มีคุณธรรมสูง กับบริจาคทานกับคนหมู่มากเช่นสร้างโรงทาน อานิสงค์แบบไหนจะมากกว่ากันครับ

     5.หากตั้งใจทำความดีหรือเริ่มลงมือทำดีมากๆเมื่อใด มักจะมีอุปสรรคปัญหามาคอยเล่นงานซะจนย่ำแย่แทบทุกครั้งไป จนไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ สาเหตุเกิดจากอะไร และควรแก้ไขอย่างไรครับ

     6.ศีลที่บริสุทธิ์มีผลทำให้ทานบริสุทธิ์และให้ผลเร็วกว่าคนที่ทุศีล ข้อนี้จริงหรือไม่ครับ

     ขอขอบคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินอาจา่รย์ไป ข้าพเจ้าขอให้อาจารย์อโหสิกรรมให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
     (๑) คำว่า “เพื่อน” หมายถึง ผู้ร่วมธุระ , ผู้ชอบพอรักใคร่กัน , ผู้อยู่ในสภาพเดียวกัน

     คำว่า “คนใช้” หมายถึง คนที่มีหน้าที่คอยรับใช้

     ฉะนั้น การเลี้ยงกุมารทองหรือลูกกรอก เพื่อจุดประสงค์เอาผีเป็นคนรับใช้ จึงไม่เรียกว่า มีผีเป็นเพื่อน

     (๒) ไม่เรียกว่าประพฤติทุศีลข้อ ๓ แต่เรียกว่า มีศีลด่างพร้อย

     (๓) กรรมอยู่เจตนา เจตนาบริจาคทรัพย์สร้างธรรมะเป็นทาน อานิสงส์ที่เกิดขึ้นผู้ให้ได้ปัญญา สละทรัพย์สร้างวิหาร สร้างพระ ผู้ให้ย่อมได้รับอานิสงส์คือได้พบพระพุทธศาสนา มีบริวารมาก มีชื่อเสียง เป็นที่ยกย่อง ฯลฯ

     (๔) ในครั้งพุทธกาล พรรษาที่ ๗ พระพุทธโคดมได้เสด็จไปจำพรรษาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดา ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสถามเทวดาสองตนในทำนองที่ว่า

     พระพุทธโคดม : อังกุรเทพบุตร เหตุใดเธอจึงถอยออกไปนั่งอยู่ห่างไกลจากตถาคตถึง ๑๒ โยชน์

     อังกุรเทพบุตร : ในครั้งที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้ให้ทานเป็นอันมากแก่มหาชน แต่ทานของข้าพเจ้าว่างเปล่าจากทักขิไนยบุคคล

     พระพุทธโคดม : อินทกเทพบุตร เหตุใดเธอจึงยังคงนั่งอยู่หลังพุทธมารดา โดยมิต้องถอยห่างไกลเหมือนอังกุรเทพบุตร

     อินทกเทพบุตร : ในครั้งที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้ถวายข้าวเพียงทัพพีเดียวแก่พระอนุรุทธะ ผู้เป็นทักขิไนยบุคคล

     ดังนั้น ผู้ถามปัญหาพึงพิจารณาด้วยสติปัญญาของตัวเองเถิด

     (๕) บุคคลตั้งใจทำความดี ย่อมมีมารมาขัดขวาง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผู้ใดปรารถนาให้ตัวเองมีกำลังต้านทานอำนาจของมารได้ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังพละ ๕ ( สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ) กล้าแข็งกว่าพลังอำนาจของมาร การทำความดีจึงจะสำเร็จลุล่วงลงได้

     (๖) จริงครับ
  

2186.
กราบอาจารย์สนอง วรอุไรครับ

ผมอยากถามเกี่ยวกับจิตบางครั่งมีการลบหลุ่พระรัตนไตร์ครับ บ้างทีมันขึ้นมาเองครับ ทั่งที่ใจรักเคารพในคุณพระรัตนไตรมากครับ เกิดจากเพราะอะไรครับ และมีวิธีแก้ไขยังไงให้ไม่มีและไม่เกิดจิตเหล่านี้หรือบรรเทาให้น้อยลงได้อย่าไรครับ และ จิตที่เกิดมานี้นอกจากทำให้จิตตก จะเป็นบาปหรือเปล่าครับ ทั่งที่เจตนาไม่อยากคิดเลยครับ ขออาจารย์ชี้แนวทางด้วยครับขอบพระคุณ อาจารย์ที่เคารพมากในที่นี้ด้วยครับ

คำตอบ
     ครั้งใดที่บุคคลมีจิตลบหลู่ในพระรัตนตรัย ครั้งนั้นบุคคลย่อมขาดสติกำกับการทำงานของจิต ซึ่งให้ผลตามมาเป็นบาปเกิดขึ้น แล้วถูกเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิตของผู้ขาดสติ หากปรารถนาให้พ้นไปจากการระลึกในสิ่งที่ไม่ดีเช่นนี้ได้ ต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะใน website ข้อ ๒๑๓๑ (๒)
  

2185.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพค่ะ

ต้องขอรบกวนอาจารย์ในการชี้แนะทางที่ถูกที่ควร และขอขอบพระคุณที่ท่านในความเมตตาที่กรุณาสละเวลาค่ะ

คำถามของหนู คือ

ขณะนี้คุณแม่อายุ 80 กว่า มีความตระหนี่มาก แม่ไม่ศรัทธาในศาสนา ไม่เห็นประโยชน์ของการทำบุญใด ๆ ถ้าจะทำบุญ เราต้องแอบทำ แม่เคยลำบากมาก่อน พยายามที่จะประหยัดเงินที่จะเลี้ยงลูก ๆ ตอนนี้ลูกๆเติบโตและเลี้ยงดูตนเองได้หมด แต่แม่ยังมีนิสัยประหยัดและตระหนี่มาก ลูกๆ มักจะบอกโกหกเธอเพื่อให้เธอมีความสุขกับสิ่งที่เราใช้จ่ายในทุกอย่างและทำบุญ ลูก ๆ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับแม่ ลูก ๆ ไม่ต้องการที่จะโกหกแม่ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
     การกล่าววาจาที่ไม่ถูกตรงกับความเป็นจริง ถือว่าประพฤติทุศีลข้อ ๔ ผู้ปรารถนาพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ต้องเว้นประพฤติดังกล่าว

     ความตระหนี่ ( มัจฉริยะ ) หากยังมีอยู่ในจิตใจของใครผู้ใด ผู้นั้นยังมีจิตเศร้าหมองด้วยกิเลส โอกาสที่จะพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

     หากผู้ถามปัญหาเชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ย่อมประพฤติตามหลักกาลามสูตร ด้วยการพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ให้เข้าถึงโลกิยญาณ ( อภิญญา ๕ ) และพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) ให้เข้าถึงโลกุตตรญาณ ( ญาณ ๑๖ ) ได้เมื่อใดแล้ว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ ได้อย่างถูกตรงว่า แท้จริงแล้วความเป็นแม่ ลูก ญาติ พี่น้อง ฯลฯ เป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่ไม่มีอยู่จริงกับผู้ที่เข้าถึงอริยธรรมในพุทธศาสนา แล้วย่อมทำให้มีใจปล่อยวางเป็นกลาง ด้วยรู้ เห็น เข้าใจ ได้อย่างถูกตรงว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จึงแบ่งสัตว์บุคคลออกเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายชั่วช้าเลวทราม และฝ่าประณีตดีงาม
  

2184.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

     ผมได้ฝึกจิตให้เป็นสมาธินานพอสมควร และได้อ่านหนังสือธรรมะหลายเล่ม ผมสนใจเกี่ยวกับการปิดอบายภูมิ การปิดอบายภูมิต้องปฏิบัติให้ได้โสดาบัน คือต้อง ทำจิตให้ไม่มีกังวล ในสังโยชน์ 3 ข้อแรกคือ
     1. สัคกายทิฏฐิ ที่เห็นว่าอัตภาพร่างกายไม่เป็นของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีเรา
     2. วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า
     3. สีลัพตปรามาส ปฏิบัติศีล 5 อย่างเคร่งครัด
    ผมคิดว่าข้อปฏิบัติ 3 ข้อนี้ไม่ยากนัก แต่การปฏิบัติให้ได้ 3 ข้อนี้ ยากมาก จึงสงสัยว่าคงจะมีอะไรหลายอย่างที่ไม่รู้และลึกซึ้ง ยากแก่การปฏิบัติ จึงอยากทราบว่า มีอะไรบ้าง จึงขอความกรุณา ช่วยแนะนำด้วยครับ

    พัฒนา

คำตอบ
     (๑) ผู้ที่หมดสักกายทิฏฐิ สามารถดูได้จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เช่น จิตเป็นอิสระจากอาการเจ็บปวดใดๆของร่างกาย จิตเป็นอิสระจากเสียงก่นด่าของคนที่อยู่รอบข้าง จิตเป็นอิสระจากความตายที่จะต้องมาถึงตนในวันข้างหน้า ฯลฯ ความปลอดจากอารมณ์ต่างๆเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ความสิ้นไปของสักกายทิฏฐิ

     (๒) คำว่า “วิจิกิจฉา” หมายถึงความสงสัย ผู้มีจิตเป็นอิสระจากวิจิกิจฉา ต้องไม่สงสัย แต่มีจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหวในคุณของพระพุทธเจ้า ในคุณของพระธรรม และในคุณของพระอริยสงฆ์ คนที่จะหมดวิจิกิจฉาได้อย่างแท้จริง ต้องพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึง มรรคญาณ ( ญาณตัวที่ ๑๔ ) ได้แล้ว วิจิกิจฉาสังโยชน์จึงจะหมดไปจากจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นผู้ถามปัญหาต้องดูที่ใจตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกตรง ความสิ้นไปของวิจิกิจฉา จึงจะหมดไปจากจิตของตนได้

     (๓) คำว่า “สีลัพพตปรามาส” เป็นความเห็นผิดว่า บุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์ด้วยศีลและวัตร เช่น จิตเห็นผิดว่า กิน เดิน นอน เหมือนอย่างโค เหมือนอย่างสุนัข เมื่อตายแล้วจะมีความสุข หรือมีจิตเห็นผิดว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างสัตว์ ตลอดจนสร้างสรรพสิ่ง คอยรับบาปจากการกระทำผิดของสาวก หรือกระทำการใดๆให้พระเจ้าพอใจ โดยเชื่อว่าเมื่อตายแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า หรือมีจิตเห็นผิดว่า การบวงสรวงเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา ภูตผี ปีศาจ โดยเชื่อว่า เมื่อตายไปแล้วจะมีความสุข หรือมีจิตเห็นผิดว่า การบูชาเทวดาโดยไม่คำนึงถึงความบกพร่องในศีลที่ตนมี โดยเชื่อว่าตายแล้วจะมีความสุข และสุดท้ายการกระทำใดๆที่หวังความสุขในภพหน้า โดยมิได้ประพฤติตามมรรค ๘ เช่น ยืนขาเดียว ใช้ของแหลมทิ่มแทงตนให้บาดเจ็บ นอนบนหนามแหลมคม ไต่บันไดมีด ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ผู้ใดประพฤติแล้ว ถือว่าเป็นสีลัพพตปรามาส

     ฉะนั้น ผู้หวังความพ้นทุกข์ พึงดูใจตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกตรง แล้วโอกาสที่จิตจะเข้าถึงอริยธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้
  

2183,
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ค่ะ

หนูมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ค่ะ คือ ช่วงนี้หนูรู้สึกว่าตัวเองสามารถสัมผัสและรับคลื่นอารมณ์ของคนรอบข้างได้ โดยที่เขายังไม่ได้แสดงคำพูด ท่าทาง หรือปฏิกิริยาอาการใดๆเลย (คล้ายกับว่าหนูกำลังเป็นตัวของเขาคนนั้นในขณะนั้นเลยค่ะ) ซึ่งหากเป็นอารมณ์ด้านบวก ก็ไม่มีปัญหาเพราะเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อต้องรับอารมณ์ด้านลบ หนูจะรู้สึกเครียด หงุดหงิด และมีอาการต่างๆ เช่นเดียวกับที่เขาคนนั้นกำลังเป็นอยู่เลยค่ะ

หนูเลยต้องการเรียนถามทานอาจารย์ค่ะว่า
     1. อาการที่หนูกำลังเป็นเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมหรือไม่คะ

     2. เมื่อเกิดอาการขึ้น หนูควรจะทำอย่างไรต่อไป

     3. การเปิดรับคลื่นอารมณ์ในลักษณะนี้ สามารถกำหนดเพื่อเปิดรับหรือปิดรับคลื่นอารมณ์ได้หรือไม่

      จึงเรียนมาเพื่อท่านอาจารย์โปรดพิจารณาให้ข้อแนะนำให้ด้วยนะคะ เพราะตอนนี้หนูไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปแล้วค่ะ
     ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

    ชไมพร

คำตอบ
     (๑) อาการที่บอกเล่าไป เป็นผลเกิดจากการปฏิบัติธรรมที่ผิดทาง คือปฏิบัติธรรมแล้วยังเข้าไม่ถึงธรรม ปัญหา ( อารมณ์ติดลบ ) จึงได้เกิดขึ้น

     (๒) วิธีแก้ปัญหาในข้อ ( ๑ ) ต้องเอาจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ไปพิจารณาอารมณ์ติดลบที่เกิดขึ้น ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) เมื่อใดจิตเห็นอารมณ์ติดลบเป็นอนัตตา อารมณ์ติดลบย่อมไม่ใช่ตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางแล้วว่างจากอารมณ์ดังกล่าวนั้น ปัญหาก็จะหมดไป นี่คือปัญญาเห็นถูกตามธรรมที่ผู้รู้นิยมพัฒนาให้เข้าถึง

     (๓) เปิดรับคลื่นอารมณ์ได้ แต่จิตยังไม่มีกำลังปิดรับคลื่นอารมณ์ที่เห็นผิดได้ หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะปิดรับคลื่นอารมณ์ที่เห็นให้ได้ ต้องพัฒนาจิตตามข้อ (๒)
  

2182.
กราบเรียนท่่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

     หากต้องใช้ชีวิตคู่ร่่วมกับสามีที่มีอุปนิสัย เป็นคนมีอัตตาสูง ลำพอง ไม่นอบน้อมดูหมิ่นดูแคลน ไม่ให้เกรียติยกย่อง ไม่ไว้วางใจเรา ทั้งยังหลบหลู่และก้าวร้าวต่อบุพการี ของเราไม่ยินดีพร้อมทั้งตำหนิเมื่อเราสงเคราะห์ญาติหรือตอบแทนพระคุณบุพการี (ส่วนทรัพย์ที่นำไปสงเคราะห์ญาตินั้นหนูหามาได้เองค่ะไม่เคยเบียดเบียนเขาเพราะเห็นว่าไม่ควร และก้อได้แบ่งเป็นสัดส่วนตามสมควรแล้ว) เขาจะเอาแต่ญาติฝ่ายตน แต่หนูไม่ทำอย่างเขาปฎิบัติเท่าเทียมกันหมดค่ะ หนูต้องปฏิบัติตัวอย่างไรคะอาจารย์ แล้วในจิตหนูคิดจะเลิกราอยู่เสมอเสมอ จะเป็นการหนีกรรมที่ต้องชดใช้ต่อเค้าหรือป่าวคะ หนูควรทำอย่างไร โปรดเมตตาชี้แนะ ด้วยเถิดค่ะ

    ขอขอบพระคุณอย่างสูง ค่ะ

คำตอบ
     อายุขัยร่างกายของมนุษย์สั้นมาก เมื่อเทียบกับอายุขัยร่างกายของเทวดาหรือพรหม เขามิได้ประพฤติการเป็นสามีที่ดี พึงเอาเขาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าเราจะไม่ประพฤติอกตัญญูเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เสื่อมจากความเป็นมนุษย์เหมือนเขา วันใดที่จิตปฏิเสธจะอยู่ในร่างกายของสามี พลังของบาปย่อมผลักดันจิตวิญญาณของเขา ให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์ในทุคติภพแน่นอน ผู้ที่มีชีวิตเจริญรุ่งเรืองในชาตินี้ เขามีขันติ มีเมตตา มีสติ มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม และประพฤติตนเป็นผู้ให้ ฉะนั้นพึงดูให้ออก แล้วเลือกเอาเองว่า เราจะประพฤติตนอย่างไรต่อกรณีที่เกิดขึ้นนี้
  

2181.
ท่าน อาจารย์สนองครับ

ผมอยากเรียนถามว่า การไหว้เชงเม้ง นำอาหารไปเซ่นไหว้ เผากระดาษเงินกระดาษทอง + เสื้อผ้าข้าวของกระดาษ
ไปให้บรรพบุรุษ ตามธรรมเนียมคนไทยเชื้อสายจีน
1.บรรพบุรุษจะได้รับหรือไม่
2.มีข้อคิดจากธรรมเนียมปฏิบัตินี้อย่างไร เนื่องจากเด็กสมัยใหม่ไม่อยากไปครับ

โปรดเมตตาให้ความกระจ่างด้วยครับ

ขอบพระคุณครับ
  ผิง

คำตอบ
     คำว่า “ธรรมเนียม” หมายถึง ประเพณี แบบแผน หรือแบบอย่างที่ถือปฏิบัติสืบต่อๆกันมา

   หากผู้ถามปัญหาศรัทธาในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธโคดมแล้ว ต้องประพฤติตามหลักกาลามสูตร ๑๐ ข้อ เพราะสิ่งที่บุคคลได้สัมผัสนั้น มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องไม่จริง คือไม่มีเหตุผลรองรับ ทั้งนี้เป็นเพราะพระพุทธะมีพระเมตตาป้องกันมิให้ชาวกาลามะถูกหลอกให้เชื่อ (อ่านเพิ่มเติมใน ข้อ ๒๐๐๓ (๓))

     (๑) บุญกุศลมิได้เกิดขึ้นจากการเผาวัตถุ แต่เกิดจากการประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ข้อ (ดูข้อ ๑๙๙๗) และผู้ล่วงลับจะได้รับบุญหรือไม่ ต้องมีปัจจัย ๓ อย่างถึงพร้อม คือ
      ก. มีผู้อุทิศบุญ
      ข. มีบุญที่อุทิศ
      ค. มีผู้มาอนุโมทนาบุญ

     (๒) จะรู้ว่าธรรมเนียมปฏิบัติเป็นความจริงหรือเป็นความไม่จริงต้องพิสูจน์ ด้วยการประพฤติตามที่ได้แนะนำไว้ใน ข้อ ๒๐๐๒ (๓)
  

2180.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ดร.สนอง

     หนูรู้ว่าในใจลึกๆหนูรู้สึกเป็นทุกข์มาก ไม่รู้ทุกข์อะไร เห็นแต่ทุกข์ หนูร้องไห้เยอะมาก หนูเห็นจิตใจตัวเอง บ่อยครั้งหนูก็เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน แปลกที่ว่าเวลาหนูได้ฟังหรืออ่านเกี่ยวกับธรรมะแล้วมันก็น้ำตาไหล มันสะท้อนใจ
หลายครั้งที่หนูรู้สึกเหมือนจะตายจริงๆ ทั้งที่พอไปตรวจหาหมอก็ไม่ได้เป็นอะไร

     หนูทราบว่าหนูคงมีกรรมเยอะ ตอนนี้ในใจหนูก็อยากสั่งสมความดีไว้มากๆ และตั้งจิตอยากบรรลุธรรมอย่างน้อยก็ในระดับต้น

     หนูเคยอ่านหนังสือของท่านเจ้าคุณโชดก เกี่ยวกับลำดับของญาณ หนูไม่ทราบว่านี่อาจเป็นเพราะหนูติดในภาวะไหนหรือไม่ สิ่งที่เกิดกับหนูเป็นเพราะอะไร หนูควรจะแก้ไขอย่างไร และควรทำอย่างไรให้อยู่ในโลกได้โดยปกติ

     หนูเป็นผู้หญิง หนูอยากหาครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์มาชี้แนะทางให้ปฏิบัติ ขอท่านอาจารย์กรุณาแนะนำด้วยค่ะ

     ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     สิ่งที่เกิดขึ้นมีต้นเหตุมาจากจิตขาดสติ และมีปัญญาเห็นผิดไปจากความจริงแท้ ความรู้สึกว่าจะตาย แท้จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะให้พ้นไปจากอารมณ์ที่เกิดขึ้น ต้องพัฒนาจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ด้วยการสร้างมหาทาน แล้วอธิษฐานให้ตนได้พบครูบาอาจารย์ที่เข้าถึงธรรม จากนั้นต้องประพฤติเหตุให้ตรง ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จให้เจริญจิตตภาวนา เมื่อสองกิจกรรมแล้วเสร็จต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ผู้ถามปัญหาจึงจะได้พบครูบาอาจารย์ มาชี้แนะแนวทางที่ถูกตรงให้
  

2179.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

     ดิฉันเป็นคนที่อ่อนไหวง่ายมาก หากใครทักหรือพูดอะไรนิดหน่อบทำให้เคืองหู ก็มักจะเก็บไปคิดมาก และก็โกรธ จึงมักหลีกเลี่ยงพบปะสังสรรค์กัยคนๆนั้น คือจะพยายามไม่ให้เห็นเค้าในระยะสายตา รวมไปถึงเวลาดิฉันเลิกกับแฟน ดิฉันก็จะพยายามไม่ไปในที่ๆคนเยอะ เพราะกลัวเจอเค้า ซึ่งเมื่อเจอแล้วจิตใจดิฉันมันเหมือนถูกทำร้าย หดหู่ รู้สึกไร้ค่าทุกครั้ง ดิฉันทำได้แค่เก้บตัวอยู่แต่ในห้อง เวลาจะออกไปไหนมาไหนก็ต้องคอยระวังตัวว่าจะเจอแฟนคนเก่า รวมถึงเพื่อนของเขาและคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย ซึ่งดิฉันรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเลย และไม่มีความสุขด้วย เวลาที่เจอกัน ใจดิฉันมันเจ็บแบบบอกไม่ถูก ดิฉันพยายามพิจารณาดูจิตว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป แต่มันก้ยังรู้สึกไม่ดี ไม่หายเลย ทุกวันนี้ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี รบกวนอาจารย์ช่วยเมตตาด้วยนะคะ ดิฉันหมดปัญญาจริงๆคะ

คำตอบ
     พระพุทธโคดม มิได้สอนให้พุทธบริษัท ประพฤติตนเป็นคนหนีปัญหา แต่ทรงสอนให้อยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรมกับที่ต้นเหตุ ปัญหาจึงจะดับไปได้

     ดังนั้นพฤติกรรมที่บอกเล่าไปเป็นการหนีปัญหา จะหนีไปในที่แห่งใดๆในโลก ย่อมหนีใจตัวเองไม่พ้น จงอยู่แล้วสู้สิ วิธีสู้กับปัญหาที่ดีที่สุด คือพัฒนาจิตตนเอง (สมถภาวนา) ให้มีกำลังสติกล้าแข็ง และพัฒนาจิตตนเอง (วิปัสสนาภาวนา) ให้มีปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็ง เมื่อใดสิ่งที่ตาเห็น (ภาพ) ดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ จิตจะเป็นอิสระจากสิ่งที่ตาเห็น ปัญหาจึงจะไม่เกิดขึ้นกับผู้มีปัญญาเห็นแจ้งเช่นนี้ นี่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกตรงที่ผู้รู้จริงนิยมประพฤติ
  

2178.
กราบเรียน อ.สนอง วรอุไร

การยึดทรัพย์สินเพื่อใช้หนี้ตามคำพิพากษาของศาลเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยนั้น จะเป็นการผิดศืลผิดธรรมและเป็นบาปกับตัวเราหรือไม่ครับ หากมีคนมีจ้างเราทำในเรื่องเหล่านี้และจะมีวิธีแก้อย่างไรไม่ให้เป็นบาปกับตัวเรา เพราะชีวิตทางโลกต้องดำเนินต่อไป ต้องกินต้องใช้

ขอแสดงความนับถือ
ผู้ศรัทธาในพระรัตนตรัย

คำตอบ
     ไม่ผิดศีล แต่ผิดธรรม การเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนอกุศลกรรมของคนอื่น ให้ผลเป็นบาป

     หากผู้ถามปัญหามีความจำเป็นที่ต้องทำงานประเภทนี้ต่อไป เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ผู้ไม่ประมาทนิยมพัฒนาจิต ( ทาน ศีล ภาวนา ) ให้เกิดเป็นบุญใหญ่อยู่เสมอ แล้วบาปย่อมตามให้ผลไม่ทัน ชีวิตจึงจะดำเนินไปได้ปกติ
  

2177.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ผมเป็นคนสนใจธรรมะและติดตามผลงานของอาจารย์มาพอสมควร ก็เลยลองส่งคำถามมาบ้าง ครั้งแรกผม ขอรบกวนถามดังนี้

1. การที่เราทวงหนี้จากลูกหนี้ทางไสยศาตร์ จะเป็นบาปไหมครับ เช่นเอารูปลูกหนี้มาไว้ใต้ฐานพระพุทธรูป แล้วอธิฐานให้เขามาใช้หนี้แก่เรา

2. ลูกสาวผมเป็นโรคซึมเศร้า ผมไม่รู้จะเริ่มต้นธรรมะบทไหนกับลูกก่อน

ผมขอรบกวนแค่นี้นะครับ ถ้าได้รับคำตอบมาครั้งต่อไปผมจะหาคำถามมาอีก

จาก ผู้สนใจธรรมะมือใหม่

คำตอบ
     (๑) เป็นบาปครับ

     (๒) สวดมนต์ก่อนนอน เมื่อแล้วเสร็จตามด้วยกำหนดลมหายใจเข้า - ออก ( อานาปานสติ ) อยู่เสมอ เมื่อใดที่กรรมดีให้ผล อารมณ์ซึมเศร้าหมดไปจากใจแน่นอน ผู้ใดมีศีล ๕ คุมใจและมีสัจจะ ( กาย วาจา ใจตรงกัน ) อารมณ์ซึมเศร้าย่อมอันตรธานรวดเร็ว
  

2176.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพค่ะ

หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างท้วมท้นนะคะ ที่อาจารย์ได้กรุณาไขปัญหาข้องใจหนูมาโดยตลอด ตอนนี้หนูสอบเข้ามหาัลัยได้แล้วค่ะ แต่หนูรู้สึกกลัวค่ะ กลัวการไม่มีเพื่อน กลัวการโดนเพื่อนแบน เหมือนครั้งที่เคยเป็นเมื่อสมัย ม.4-6

มีคนมาทักหนูว่า "หนูจะต้องโดนเพื่อนแกล้ง หนักกว่า ครั้งที่เคยโดนมาอ่ะค่ะ"

ตอนนี้หนูรู้สึกแย่ไปหมดเลยค่ะ กลัวไม่มีเพื่อน กลัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้ หนูพยายามทำตัวเป็นคนดี มีน้ำใจ ไม่ขี้เหนียว ไม่ขี้โกรธ แล้วนะคะ พยายามทำจิตมีเมตตา อย่างที่อาจารย์เคยบอกหนู บางครั้งหนูอาจจะทำผิดพลาดไปบ้าง แต่ก้พยายามทำดีที่สุดนะคะ หรือเป็นเพราะเวรกรรมที่หนูเคย ทำไว้ ส่งผลคะ .. ทำยังไงให้หมดไปเร็วๆดีคะ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
 
   ความกลัวเกิดจากความไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว หากผู้ถามประสงค์เป็นคนมีเพื่อนแวดล้อม ต้องทำให้เหตุถูกตรงอย่างน้อย

     ๑. พัฒนาจิตให้มีอารมณ์สงบและเย็น ด้วยการให้อภัยเป็นทานทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจ แล้วความมีเมตตาย่อมเกิดขึ้น อานิสงส์อย่างหนึ่งของเมตตาคือ มนุษย์และอมนุษย์ย่อมนำตัวเข้าใกล้

     ๒. พัฒนาจิตให้เป็นผู้ให้สิ่งดีที่ตนมีแก่ผู้อื่นสัตว์อื่น ให้แล้วต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่เบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่น อานิสงส์ของการให้สิ่งดีงาม คือ การได้เพื่อนอยู่ใกล้ชิด

     คนมีปากเอาไว้พูด มีปากเอาไว้กิน คนไม่รู้ย่อมพูดได้ทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี ( นินทา ) ด้วยเหตุนี้พระพุทธโคดมได้ตรัสไว้ในทำนองที่ว่า “ใครพูดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แต่การกระทำของตัวเองเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม” ดังนั้นหากผู้ถาม คิด พูด ทำ แต่สิ่งดีๆ คือ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม เมื่อใดที่การกระทำ ( เหตุ ) ให้ผล ผู้นั้นย่อมได้รับผลดีแน่นอน

     เพื่อนทักด้วยคำพูดก็เป็นเรื่องของเพื่อน ผู้ใดไม่เอาคำพูดของคนอื่น มามีอำนาจเหนือใจตนเอง เรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้รู้จริง หากเป็นไปในทางตรงข้าม ขออภัยเรียกผู้นั้นว่า ไม่รู้จริง ( โง่ )

     คนที่ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง หากมีขันติ และมีเมตตาคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมไม่มีอารมณ์หวั่นไหว ยิ่งกว่านั้น ยังทำให้มีกำลังของคุณธรรมทั้งสองกล้าแข็งขึ้นอีกด้วย

     สุดท้าย ใครผู้ใดเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้วในอดีต ย่อมแก้ไขไม่ได้ และเอาจิตไปจดจ่อกับเรื่องของอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น เรียกผู้นั้นว่ามีความเห็นผิด ตรงกันข้าม หากเอาจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน สร้างเหตุดีให้เกิดเป็นปัจจุบัน ผู้มีความเห็นเช่นนี้เรียกว่า เป็นผู้รู้จริง ( เห็นถูก )
  

2175.
เรียน ถาม ดร.สนองค่ะ

     คือหนูพยายามรักษาศีล 5 นะค่ะ ความจิงอยากรักษาศีล 8 ด้วยซ้ำนะค่ะ แต่กะว่าจะค่อยๆเพิ่มเอา แต่จะมีปัญหากับศีลข้อที่ 1นะค่ะ ซึ่งตัวสำัคัญที่ทำให้ผิดศีลคือมดค่ะ มดตัวเล็ก ๆ ไม่ทราบว่ามาจากไหนมากมายนัก เวลาจะต้มน้ำ เค้าก้อไปอยู่ในกา สร้างความรำคาญใจและกระอักกระอ่วนมากเลยค่ะ ขนาดในเตาแก็สเค้ายังไม่เว้น ส่วนเราก้อจะใช้ทีเราก้อต้องทำร้ายเค้า แต่ก็ไม่ไ้ตั้งใจเลยค่ะ ก็นึกเสียใจอยู่แต่สัตว์ชนิดอื่นก็ไม่ฆ่านะค่ะ ยุงมากินเลือดอย่างดีก็เอามือปัดออก ยิ่งสัตว์ที่เป็นอาหารก้อม่ได้ฆ่าเลย ส่วนมดนี่หลีกเลี่ยงไม่ได้จิงค่ะ ไม่ทราบว่าถ้าเราทำร้ายเค้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เค้ามารบกวนเราเอง เราจะผิดศีลมั้ยค่ะ (หลีกเลี่ยงไม่ได้จิงๆค่ะ)

คำตอบ
     คำว่า “พยายาม” หมายถึง ทำด้วยความมานะบุกบั่น ซึ่งมีความหมายไปในทำนองเดียวกับคำว่า “ความเพียรพยายาม” คือ พยายามทำจนกว่าจะสำเร็จ

     การประพฤติทุศีลข้อที่ ๑ เรื่องฆ่ามด หากผู้ถามมีสติระลึกได้ทันสิ่งที่ตาเห็น ( มด ) แล้วให้อภัยเป็นทานได้ทุกครั้ง ความมีเมตตาย่อมเกิดขึ้น และถูกเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิตเป็นเมตตาบารมี ผลที่เกิดตามมาคือ ไม่เกิดอารมณ์โทสะ แล้วความคิดที่จะกำจัดมดจะหมดไปจากใจ เมื่ออารมณ์สงบและเย็นได้ ผู้นั้นย่อมมีจิตเมตตา อุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้กับมด คำชี้แนะนี้ต้องทำให้ได้ทุกครั้งที่ตาเห็นมด แล้วการประพฤติปาณาติบาตเรื่องมดย่อมหมดไป

     คนโบราณไม่ฆ่ามดรวมถึงแมลงสาป แต่คิดป้องกันด้วยการใช้พิมเสนผสมกับการบูร แล้วบรรจุใส่ในถุงผ้า วางไว้ตามทางเดินหรือซอกมุมที่มีมดและแมลงสาป ผลปรากฏว่าไม่มีสัตว์ดังกล่าวมาเดินเพ่นพ่านให้เป็นที่ขัดใจ
  

2174.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

     ผมอยากจะรบกวนเรียนถามอาจารย์ในเรื่องการเมืองและเรื่องธรรมะดังนี้ครับ ผมเคยได้ยินได้อ่านสิ่งที่อาจารย์ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมืองมาบ้างแล้ว ว่าไม่ควรเอาตัวเข้าไปเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่ดีทั้งหลาย ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง แต่อย่างปัญหาในบ้านเมืองต่างๆ ถ้าฝ่ายอธรรมมีอำนาจ มีบริวารมาก แล้วทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นในบ้านเมือง ใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำลายหลัการที่ดีของบ้านเมือง ทำสิ่งที่ขัดต่อจริยธรรมที่ดี ก่อให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่หลวงต่อบ้านเมือง แล้วคนดีๆ ของบ้านเมืองจะต้องทำอย่างไร ถ้ารวมตัวกันขัดขวางคนไม่ดีก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น ถ้าดูเฉยๆ ก็เป็นห่วงบ้านเมือง หรือต้องปล่อยให้คนไม่ดีทำไปแล้วสุดท้ายกรรมก็ตามทันเอง

     อาจารย์กรุณาชี้แนะหรือให้ข้อคิดด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
      ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
      พระพุทธโคดมได้ตรัสไว้ในทำนองที่ว่า “ธรรมย่อมชนะอธรรม” หากคนในสังคมบ้านเมืองร่วมกันพัฒนาจิตตนเอง ให้มีธรรมะคุ้มครองใจ คนในสังคมย่อมอยู่กันอย่างสงบสุข หากคนในสังคมมิได้ศรัทธา ประพฤติธรรมให้ถูกตรงตามที่กล่าวมา บุคคลจึงต้องพัฒนาจิตตนเอง ( ทาน ศีล ภาวนา ) ให้มีดวงดีได้เมื่อใดแล้ว ความวิบัติของชีวิตย่อมไม่เกิดขึ้นกับผู้นั้น
    

2173.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร . สนอง ที่เคารพดิฉัน

เคยถามคำุถามไป 1651 รบกวนถามอีกครั้งเพราะมีเหตุใหม่ค่ะ

     1. ดิฉันมีเหตุการณ์ประหลาดคือฝันว่าได้ไปที่สูงสูงสวยงาม มีสิงห์โตโบราณแบบภาพวาดแต่มีชีวิตเข้ามาสู้กับดิฉัน มีผู้หญิงเห็นเหตุการณ์แต่ไม่ช่วย ต่อมา แฟนบอกว่าจะพาไปเที่ยว Hearst Castle ก็เลยถามไปว่าที่นั่นมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิงห์โตใหม แฟนไม่ทราบค่ะ ปรากฏว่าพอไปถึงที่นั่น มีวีดีโอสมัยก่อนที่เจ้าของปราสาทยังอยู่ มีคนมอบสิงโตรูปปั้น โบราณให้กับเจ้าของปราสาท ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับที่ฉันเห็นในฝัน ปราสาทนี้มีสัญลักษ์ณ์เป็นรูปสิงห์โตค่ะ สถานที่จริงตรงกับความฝันทุกประการ คืออยู่บนเขาข้างล่างมีทะเล ฝันก่อนไปสองวันค่ะ
      คำถามคือ ใครมาขอส่วนบุญ คะ

     2.ได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีกครั้ง ขณะนั่งสมาธิมีอาการปวดขา ซึ่งเป็นปกติ แต่ครั้งนี้ พอกำหนดต่อว่า ปวดหนอๆ ก็ไม่ปวดอีกแต่มีอาการคือ เหมือนเราเป็นหิน รูปไม่ใช่ตัวตน คือชาไปเรื่อยๆแต่ไม่เจ็บใดๆ แต่เราไม่สามารถขยับขา มือได้อีกต่อไป เหมือนมีตัวเบาๆอีกตัวกำลังวิ่งไปข้างบน เกือบจะถึงหัวใจ ก็เลยถอนกำหนด เพราะ กลัวเป็นอัมพาต ขณะถอนกำหนดยังคงขยับขาไม่ได้ทันที แต่ไม่ได้เจ็บปวด

     การปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันครั้งก่อนหนัานี้ัเห็นภาพทหาร มีปักชื่อนามสกุลด้วย จำได้แม่น แต่พอถอนสมาธิออก เดินไปสามก้าว ลืมค่ะ ครั้งนี้เอากระดาษปากกาไปจดด้วย แต่ไม่มีภาพใดๆค่ะ กลับเป็นอาการนี้แทน
      คำถามคือ ดิฉันจะเป็นอัมพาตใหมคะ หากครั้งต่อไปพร้อมที่จะยอมสละกายนี้ ดิฉันไม่กล้าพอที่จะให้ชาเลยไปถึงศรีษะ ทหารท่านนั้นคือใครคะ ดูรูปงามมากค่ะ (ปกติทำสมาธิที่บ้านไม่มีอะไรค่ะแค่เหมือนเราไม่หายใจเฉยๆ)

     3. ดิฉันเคยไปดูนิทรรศการพระบรมสารีริกธาตุที่เซ็นทรัลเวริด์ แล้วก็ชื่นชมจึงนำแผ่นโบรชัวร์ที่เขาแจกในงานมากราบไหว้ทุกวัน และแอบคิดเล็กๆว่าอยากได้พระธาตุมาสักการะบ้างก็คงจะดี จากนั้นมาประมาณหนึ่งอาทิตย์ วันนั้น ได้เลิกเร็ว ดิฉันเป็นผู้จัดการไม่ค่อยได้มีโอกาสเลิกเร็วค่ะ ก็เลยได้ไปสวดมนต์ที่วัดยานนาวา บังเอิญได้นั่งข้างหน้า ก็มีพระสงฆ์นำพระธาตมาแจกแต่ไม่ได้ทุกคนค่ะ ท่านมิได้เป็นพระประจำที่วัดยานนาวานะคะ วันนั้นท่านมาสวดมนต์พิเศษค่ะ
      คำถามคือ เหตุที่เกิดขึ้นนี้ึคือธรรมะจัดสรรใช่ใหมคะ มิใช่บังเอิญใช่ใหมคะ

     4. ตอนเป็นเด็กอายุสิบขวบ ไปดูการเกิดแก่เจ็บตาย แต่งงาน มีบุตร กับซากศพ เกิดอาการไม่อยากอยู่ในวงจรนี้ แล้วก็ฝังใจกับเรื่องของพระเวสสันดร ตั้งใจว่าจะยกทุกอย่าง ทำบุญ ดิฉันชอบเดินก้มหน้าจนโดนว่า ว่าเสียบุคลิก จึงต้องเลิกไป และพอดิฉันโตขึ้นมาก็มีคนชอบอิจฉาเนื่องจากดิฉันเป็นคนหน้าตาดี ชอบว่าดิฉัน แต่ดิฉันไม่รู้สึกอะไรเลย กลับเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นคนน่าสงสาร จนเพื่อนสนิททนไม่ได้ต้องออกว่ากล่าวแทน แต่ปัจจุบันโตขึ้นมาทำงานแล้วเจอคนมีกิเลสเยอะจิตดิฉันจึงไม่สะอาดเหมือนที่ผ่านมา ใครมาว่าเราว่าตอบ จนได้มาพบกับหลวงพ่อจรัล ดิฉันจึงได้กลับมาสู่การมีสติอีกครั้ง แต่ก็ไม่ดีเท่าตอนสิบขวบ

     ดิฉันได้แต่งงานกับชาวต่างชาติที่ไม่ต้องการมีบุตร ซึ่งดิฉันรู้สึกแปลกใจมาก

     คำถาม ดิฉันจะได้มีโอกาสจิตประภัสสรเหมือนตอนสิบขวบใหมคะ

     5. คุณพ่อดิฉัน เสียชีวิตกะทันหัน ดิฉันอยู่ที่อเมริกาหาวัดยากมากเพราะไกลดิฉันก็ขับรถไม่เป็น นั่งรถไฟไปหาเพื่อน พอดีร้านที่จะไปซื้อของปิด จึงไปอีกร้าน ปรากฏว่าร้านนั้นมีพระมาพอดี ดิฉันดีใจมากที่ได้ทำสังฆทานให้พ่อ เจ้าของร้านบอกว่าปกติ หลวงพ่อจะไม่มาเอง หลวงพ่อบอกว่าวันนี้มีกิจด่วนจึงต้องมา
      คำถามคือ ธรรมะจัดสรรใช่ใหมคะ

     ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
       Pom

คำตอบ
      (๑) อดีตเป็นเจ้าของปราสาท แต่มีจิตเป็นทาส ( หลง ) ของสิ่งก่อสร้าง ตายไปด้วยความหลง จึงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ( สิงโต ) มาปรากฏให้เห็นเพื่อของส่วนบุญ … . ขออภัยมิใช่วิถีแห่งความพ้นทุกข์

     (๒) คนที่กลัวตายเพราะไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว เป็นเพียงปัญญาที่เกิดจากจิตตั้งมั่นแน่วแน่เท่านั้น

     ผู้ใดยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับธรรมะของพระพุทธโคดม จิตย่อมเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ การที่จิตเกิดปรุงแต่ง แล้วกลัวว่าจะเป็นอัมพาต แท้จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น เหตุที่กลัวเพราะถูกอภิสังขารมารขัดขวาง มิให้เกิดความก้าวหน้าในการพัฒนาจิต

     เมื่อใดเห็นรูปทหารในขณะมีการพัฒนาจิต ต้องกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่ารูปทหารจะดับไป แล้วจิตจะมีกำลังของสติมากขึ้น

     (๓) ใช่ครับ เกิดขึ้นเพราะมีบุญสั่งสมในดวงจิต ความบังเอิญไม่มีในผู้รู้จริงทางพุทธศาสนา มีแต่เหตุและผลเท่านั้นที่เกิดขึ้น เหตุเพราะมีบุญสั่งสมอยู่ในดวงจิต หนึ่งในอานิสงส์ของบุญคือ ปรารถนาสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น

     (๔) มีโอกาสเป็นไปได้ หากพัฒนาจิตให้มีกิเลสลดลง

     (๕) ใช่ครับ คนมีบุญย่อมประสบกับความสำเร็จในสิ่งที่ตนได้ตั้งใจได้
   

2172.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร

     ก่อนอื่นต้องการกราบขอบพระคุณดร.สนอง มากๆค่ะ
หนูได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจาก ดร.แล้วเกิดศรัทธา
จนพยายมปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง
ปัญหาที่หนูจะถามอาจดูโง่ๆ ถามเพื่อตามใจกิเลสในตัวเอง
หนูเคยเจอหมอดูท่านนึง ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ท่านทำนายว่า
หนูมีเนื้อคู่กับผู้ชายอ้วนใส่แว่น และหนูก็ถามว่า คือคนนี้ที่หนูชอบอยู๋หรือเปล่า
โดยเอารูปให้เค้าดู เค้าบอกว่าใช่ แต่หนูก็ไม่แน่ใจ
เค้าจึงให้หนูไปเสี่ยงทายต่อหน้าพระพุทธรูป ณ โรงพยาบาลแห่งนั้น
และหมอดูก็บอกว่า เราเป็นเนื้อคู่กัน

     หนูรู้สึกดีใจ แต่ในใจลึกๆ ก็มีความไม่แน่ใจอยู่
แต่หลังจากนั้นเราก็ได้เริ่มคบกัน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ
เค้าบอกว่า คนที่เค้าจะแต่งงานด้วยคือผู้หญิงที่
เค้าคบมาตั้งแต่ อายุ 15 ปี
และแฟนเก่าของเค้า ที่เค้าบอกหนูว่า เป็นเพื่อนกัน
แสดงตัวและอาละวาดกับหนู บอกว่าเธอเป็นเมียเค้า
หนูเสียใจมาก และต่อว่าหมอดูว่าไม่แม่น หนูเสียใจมาก

     หลังจากนั้นหนูก็ไปปฏิบัติธรรม และกลับมาสวดมนต์ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฏก
เป็นเวลา ติดกัน 1 เดือน

     หลังจากนั้น หมอดูคนนั้นติดต่อมา บอกว่าผู้ชายคนนั้นโดนของ จากผู้หญิง
ให้ช่วยเหลือเค้า โดยเค้าจะทำน้ำมนต์จำนวน 3 ครั้ง เพื่อให้มนต์ดำออกจากตัวผู้ชาย
โดยหนูต้องนำไปให้เค้ากินเอง หนูก็ตัดสินใจไป หลังจากที่คิดจะตัดใจแล้ว
โดยใจคือคิดที่จะช่วยเค้า

     หลังจากนั้น หนูก็ฟังหมอดูมาตลอด คอยถามตลอดเวลาว่าเค้าคิดอย่างไรกับหนู
เป็นอย่างไรบ้าง (หมอดูยังยืนยันว่า คนนั้นยังเป็นเนื้อคู่หนูอยู่ แต่มีวิบากกรรม)

     ไม่นานผู้ชายตกลงแต่งงานกับผู้หญิงคือแฟนที่เค้าคบมาตั้งแต่อายุ 15 ปี

     หมอดูก็บอกว่าเดี๋ยวก็เลิกกัน และเค้าก็เลิกกันจริงๆ
แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาหมอดูบอกว่าที่ช่วยเพราะว่า หนูเป็นเนื้อคู่กับเค้า
และผู้ชายก็จิตคิดหวังเงินกับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งมันไม่ดี
แต่หนูก็ต้องเสียค่าครูด้วยนะคะ 1พันกว่าบาททุกครั้ง
และหมอดูบอกว่าผู้หญิงที่เป็นแฟนเค้านั้น ทำของใส่มาโดยตลอด
เพราะผู้หญิงรวยมาก

     จวบจนวันนี้ เค้าก็เปลี่ยนไป เราไม่ได้เจอกันตั้งแต่เค้าประกาศแต่งงาน
จนเค้าประกาศยกเลิกแต่งงาน

     หนูก็ยังคงเฝ้าถามหมอดู ทั้งๆที่ในใจก็บอกว่าไม่อยากเชื่อ
แต่หมอดูเดานิสัยผู้ชายคนนั้นถูกเป๊ะ
และหมอดูก็บอกว่าสามารถสื่อกับ ร.5 ได้ด้วย ท่านเป็นคนแนะนำ
ให้หมอดูทราบ

คำถามคือ
1. การทำเสน่ห์ หรือเล่นของใส่ทางเหนือ มีจริงหรือ

2. หนูรู้ว่าหนูกำลังหลง ทั้งๆ ที่ผู้ชายก็ไม่ได้เป็นคนดีมาก หรือรักหนูเท่าไหร่
แต่หนูยังยึดติดกับเค้าเพราะคำของหมอดูว่าหนูเป็นเนื้อคู่เค้าด้วย
และใจหนูด้วยที่ยังรักเค้าอยู่
และหนูก็ยังคิดว่า ถ้าไม่ได้แต่งงานกับคนนี้หนูก็จะไม่แต่งงานกับใครอีก

*** หนูสับสนค่ะ หนูควรทำอย่างไรดีค่ะ ช่วยชี้ทางสว่างให้หนูด้วยค่ะ ***

     ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
    พระพุทธโคดมเป็นผู้ที่ตรัสรู้แล้วและรู้แจ้งในทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู) ได้ตรัสไว้ในทำนองที่ว่า ผู้ใดปรารถนาความพ้นทุกข์ ผู้นั้นต้องไม่เอาจิตไปเป็นทาสคำพูดของคนอื่น และต้องไม่ข้องแวะกับดิรัจฉานวิชา คือความรู้ที่ขวางต่อทางพระนิพพาน ผู้ถามปัญหาปฏิบัติสวนทางกับคำชี้แนะของผู้รู้จริง จึงเป็นทุกข์และเสียค่าโง่ (ขออภัยที่พูดตรง) ใช้ความหลง (โมหะ) หรือความเห็นผิดส่องนำทางให้กับชีวิต โอกาสนำพาชีวิตไปพบกับความวิบัติจึงมีได้ ตรงกันข้าม ผู้ใดปรารถนามีชีวิตสะดวกราบรื่นและมีความสุข ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วความสวัสดีของชีวิตจึงจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นพึงเลือกเอาตามที่ชอบเถิด
  

2171.
เรียนอ.ดร.สนอง

หนูขออนุญาติรบกวนท่านช่วยชี้แนวทางการปฏิบัติด้วยนะคะ คือเมื่อเวลาใดนึกถึงว่าจะปฏิบัติ ปรากฎว่าตัวเองมีความรู้สึกตึงเครียดเกิดขึ้น สังเกตว่าจิตกลับไม่ชอบ ไม่อยากนั่งสมาธิหรือว่าเดินจงกลม แต่พอในเวลานั่งสมาธิ ความรู้สึกนี้ค่อยๆหายไป เมื่อเลิกจากสมาธิก็เข้านอน ปรากฎว่าจะมีอาการเครียด โดยสังเกตจากการกัดฟัน หรือ การปวดกล้ามเนื่อหน้า คอ และไหล่ เมื่อตื่นนอน จึงอยากทราบว่า ตนเองปฏิบัติผิดหรือควรแก้ไขอย่างไร

ขอขอบพระคุณอาจารย์ มา ณ ที่นี้ด้วย ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     อยากทำความดี (นั่งสมาธิ) ย่อมมีมารมาขัดขวางมิให้ความดีเกิดขึ้น ความรู้สึกตึงเครียดเป็นขันธมาร ความไม่ชอบ ไม่อยากนั่งสมาธิ หรือไม่อยากเดินจงกรม เป็นกิเลสมาร ผู้ใดมีจิตปรารถนาทำความดี และได้พัฒนาจิตให้มีกำลัง คือ พละ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) เข้มแข็งกว่ากำลังของมารได้แล้ว ผู้นั้นจึงจะสามารถทำความดีให้เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นพึงเร่งความเพียรพัฒนาจิตให้มีกำลังตามที่ชี้แนะ และเมื่อปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในรอบวัน ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง จนกว่าอาการปวดเมื่อยที่หน้า คอ ไหล่ หายไปจากใจ จึงจะเอาชนะขันธมารได้
 

2170.
รบกวนสอบถามท่านอ.ดร.สนอง

ขอรบกวนสอบถามท่านอ.ดร.สนองดังนี้ค่ะ
1.อาชีพปล่อยเงินกู้ ถือว่าเป็นอาชีพที่ผิดศีลธรรมหรือไม่อย่างไรคะ

2.ถ้าหนูมีอาชีพปล่อยกู้ แต่ได้เขียนรายละเอียดด้านอัตราดอกเบี้ย ให้ผู้กู้รับทราบอย่างชัดเจนในเวปไซด์ก่อนกู้จะถือว่า โอเคทางด้านศีลธรรมหรือไม่อย่างไรคะ

3.อาชีพขายประกัน ทั้งประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันบ้าน ประกันรถ ประกันรายได้ ถือว่าเป็นอาชีพที่ผิดศีลธรรมหรือไม่อย่างไรคะ

4.ถ้าหนูมีอาชีพขายประกันหลายประเภทตามข้อ 3 แต่ได้เขียนรายละเอียดการประกัน ให้ผู้สนใจรับทราบอย่างชัดเจนในเวปไซด์ก่อนทำประกันจะถือว่า โอเคทางด้านศีลธรรมหรือไม่อย่างไรคะ

5.ปัจจุบันชีวิตตกต่ำ ตกงานและพอพยายามทำงานใหม่คือขายของ แต่ก็ขายได้น้อยมากๆ คือ 3 วันขายได้ 1ชิ้น 30 บาทถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เงินเก็บก็จะหมดแล้วรายได้ก็ไม่พอกับรายจ่าย และที่ผ่านมา หนูจะเจออุปสรรคในหลายๆขั้นตอนในการทำงาน ส่วนสภาพจิตใจทุกข์มากๆ หดหู่ เศร้า เครียด ระทมเหมือนคนโดนซ้อมหนักมา 2-3ปีแล้วคะ ทั้งๆที่ได้ทำทานบ้าง รักษาศีล (ตอนนี้ครบด้านกายแต่ยังไม่คุมใจ เช่นคิดร้ายต่อผู้ที่มาทำไม่ดีกับหนู) และภาวนาบ้างเล็กน้อย ที่ชีวิตตกต่ำ เจอแต่อุปสรรคปัญหาในการทำงาน และสภาพจิตเศร้าหมองอย่างนี้น่าจะเป็นเพราะกรรมเก่าหรือไม่อย่างไรคะ และควรประพฤติอย่างไรชีวิตถึงจะดีขึ้นคะ

กราบขอบคุณและอนุโมทนาต่อท่านอ.ที่เมตตาค่ะ

คำตอบ
     (๑) หากอาชีพดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเบียดเบียนกับผู้กู้เงิน ถือว่าผู้ออกเงินให้กู้ประพฤติผิดธรรม

     (๒) หากผู้กู้เงินมีความจำเป็น ต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะทางเว็บไซท์ แล้วเขายังมากู้เงิน โดยที่ผู้ให้กู้ปฏิบัติถูกตรงตามคำชี้แจง ไม่ถือว่าผิดธรรมโดยตรง แต่ผิดธรรมทางอ้อมด้วยเป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียน

     (๓) หากปฏิบัติได้ถูกตรงตามคำชี้แจงที่ให้ไว้กับลูกค้าที่มาทำประกัน ถือว่าไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม ตรงกันข้าม หากไม่ปฏิบัติให้ถูกตรงตามคำชี้แจง หรือลาออกไปโดยไม่รับผิดชอบ ถือว่าผิดศีลและผิดธรรม

     (๔) คำว่า “ถ้า” ไม่มีในพุทธศาสนา เพราะทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีเหตุที่ทำให้เกิด

     เมื่อเขียนรายละเอียดคำชี้แจงให้ลูกค้าที่เอาประกันรับทราบ และปฏิบัติได้ถูกตรงตามคำชี้แจงนั้น ไม่ถือว่าผิดศีลธรรม

     (๕) ผู้ใดปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองในธุรกิจการงาน ผู้นั้นต้องมีความซื่อสัตย์ และมีความกตัญญูกตเวทีต่อลูกค้า นอกจากนี้ยังต้องบริหารการงานโดยมีอิทธิบาท ๔ ( ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ) เป็นเครื่องสนับสนุน
  

2169.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

ผมมีเรื่องรบกานถานอาจารย์ดังนี้

ผมมีหลานชายคนหนึ่งอายุตอนนี้ 4 ขวบ เขาสามารถมองเห็นดวงจิตที่อยู่ต่างภูมิกับตนเอง พ่อกับแม่เป็นคุณหมอ ชอบพาลูกไปโรงพยาบาล และเขาก็จะเห็นดวงจิตนั้นในหลายรูปแบบ ถ้าเห็นแบบธรรมดาเขาจะไม่กลัว (เห็นในลักษณะปกติเหมือนคนทั่วไป) แต่ถ้าไม่ธรรมดา เช่น มีเลือดเต็มตัวเขาก็จะบอกว่ากลัวน้าคนนั้นมีเลือดด้วย เมื่อเดือนที่แล้ว ลุงพาขับรถไปเที่ยวในเมือง เขาบอกลุงว่าเห็นท่านขุนโผล่ขึ้นมาจากกระถางดอกบัว

ขอถามครับ

1. เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กทั่วไปหรือไม่

2. ควรแนะนำพ่อกับแม่ของหลานอย่างไร

3 .ถ้าเป็นของเก่าของหลานเราควรทำอย่างไร

4. ผมควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อแนะนำพ่อกับแม่ของเขา ผมเป็นคนปฏิบัติธรรมมาพอสมควรแต่ไม่เคย มีประสบการณ์แบบนี้เลย พ่อกับแม่ก็มีใจใฝ่ธรรมพอสมควร

ผมแนะนำพ่อกับแม่ให้สวดมนต์แผ่เมตตา ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้ดวงจิตที่หลานได้พบเห็นอย่างนี้พอใช้ได้ไหมครับ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง
  
เพชรมณี
 (หลานเห็นมาตั้งแต่ อายุ 1-4 ขวบ )

คำตอบ
      (๑) เปรียบเทียบกับเด็กทั่วไปแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ เพราะเด็กคนที่กล่าวถึง มีโลกิยญาณ ที่เรียกว่า ตาทิพย์ ( ทิพพจักขุ )

     (๒) หากพ่อแม่ไม่สนใจในพฤติกรรมของลูก ก็ควรปล่อยวาง เพราะเป็นเรื่องของเขา แต่หากพ่อแม่ประสงค์ที่จะรู้ถึงพฤติกรรมดังกล่าว ก็ตอบเหมือนข้อ ( ๑ ) เมื่อเด็กโตขึ้น พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมหมดไปเอง เมื่อจิตมีความเศร้าหมอง ( กิเลส ) มากยิ่งขึ้น ย่อมบดบังทิพพจักขุมิให้ทำงานได้

     (๓) หากหลานประสงค์อยากรู้ สิ่งที่เขาสัมผัสได้ ควรบอกให้หลานทราบ ถึงวิธีการเกิดขึ้นของตาทิพย์ และต้องปล่อยให้เป็นไปตามความปรารถนาของเขา

     (๔) หากพ่อแม่ของหลานเกิดความศรัทธา อยากรู้เรื่องการเกิดของตาทิพย์ ควรบอกเขาว่า ผู้ใดพัฒนาจิตจนตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ ( ฌาน ) ได้แล้ว เมื่อถอนจิตออกจากความทรงฌาน อภิญญา ๕ ( อิทธิวิธิ ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ และทิพพจักขุ ) ย่อมเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ โลกิยญาณเช่นนี้ รู้ เห็น เข้าใจ ด้วยการทำงานของพลังงานจิต ที่พัฒนาจนมีความถี่คลื่นเป็นระเบียบได้แล้ว หากพ่อแม่เด็กสนใจ จึงค่อยแนะนำให้เขาไปปฏิบัติธรรม ( สมถภาวนา ) แล้วโอกาสเข้าถึงความรู้เช่นนี้ ย่อมมีได้เป็นได้
  

2168.
กราบเท้าอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพค่ะ

วันนี้หนูมีเรื่องขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายเรื่อง เบญจศีลกับเบญจธรรมค่ะ เช่น คนมักง่ายทิ้งขยะ , คนที่เล่นหวย, คนที่ไม่ทำตามกฎระเบียบสังคม ขับรถฝ่าไฟแดง เป็นต้น จัดว่าเขาไม่ผิดศีลแต่เขาผิดธรรมใช่หรือไม่ค่ะ แต่หนูไม่สามารถอธิบายให้เพื่อนเข้าใจความต่างของ เบญจศีลกับเบญจธรรม หนูบอกว่าเบญจศีลเป็นข้อห้าม เบญจธรรมเป็นข้อพึ่งปฏิบัติ แต่เพื่อนสงสัยว่า คนมักง่ายทิ้งขยะ , คนที่ไม่ทำตามกฎระเบียบสังคม ขับรถฝ่าไฟแดง เล่นหวย ผิดธรรมในข้อไหนค่ะ

รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
ปิติพร

คำตอบ
     บุคคลผู้มีเบญจศีล ( ศีล ๕ ) คุ้มครองใจย่อมเว้นฆ่าสัตว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดกาม เว้นพูดเท็จ และเว้นสุราเมรัย ส่วนบุคคลผู้มีเบญจธรรมสถิตอยู่กับใจ ย่อมมีความเมตตากรุณา มีสัมมาอาชีวะ มีกามสังวร มีสัจจะ และมีสติสัมปชัญญะ

     ดังนั้นคนมักง่ายทิ้งขยะผิดที่ เป็นผู้ประพฤติผิดธรรมหรือไม่มีธรรม
        - คนที่ขับรถฝ่าไฟแดง เป็นผู้ประพฤติผิดธรรมฯ

        - คนที่เล่นหวย เป็นผู้ประพฤติผิดธรรมฯ
  

2167.
กราบเรียนถาม ท่าน ดร.สนอง ค่ะ

คำถามค่ะ

    ดิฉันและสามีเราเลี้ยงม้าไว้ ด้วยความรัก และม้าตัวนี้ก็ป่วย ตอนนี้เมื่อเทียบกับคน ก็อายุประมาณ 70 ปี สัตว์แพทย์ ลงความเห็นว่าควรฆ่าได้แล้ว เพราะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีแต่จะเจ็บปวดทรมาน ถ้าถามใจของเราทั้งคู่เราไม่อยากทำเช่นนั้นเลย แต่ถ้าไม่ทำม้าก็จะเจ็บปวดทรมานจากอาการป่วย ที่ไม่สามารถรักษาได้ อยากถามว่า ถ้าเราจำเป็นต้องตามที่หมอลงความเห็น เรารับรู้ เราร่วมในบาปด้วยไหมใช่ไหมคะ ส่วนตัวแล้ว ดิฉันพยายามจะถือศีล 5 ให้ครบ มาเกิดเหตุการแบบนี้แล้ว รู้สึกไม่สบายใจเลยค่ะ อยากให้ม้าไปเกิดในภพภูมิที่ดีและได้พบพระพุทธศาสนาด้วย เราควรทำอย่างไรให้แก่สัตว์เลี้ยงของเราค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณท่าน ดร.สนอง ค่ะ

ด้วยความเคารพและนับถือ
เพ็ญวิภา

คำตอบ
      ผู้ใดเห็นดีด้วย และประพฤติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ผู้นั้นย่อมมีอานิสงส์เป็นบาปเกิดขึ้น

     อนึ่ง มนุษย์และสัตว์ ย่อมมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ด้วยเหตุนี้ ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม พระองค์มิได้ชี้นำให้ใครผู้ใด เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น สัตว์อื่น เพราะสัตว์มีกรรมเป็นของตน แต่ทรงสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการดับที่ต้นเหตุ ดังนั้น ความอยาก ( ตัณหา ) ที่จะให้ม้าไปเกิดในภพภูมิที่ดีและได้พบพระพุทธศาสนา จึงเป็นความเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) ของผู้เป็นเจ้าของม้า
  

2166.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร . สนอง วรอุไร ด้วยความเคารพอย่างสูง

กระผมได้ฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรมะในตอนหนึ่ง ใจความประมาณว่า "ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ดีควรที่จะมีครูบาอาจารย์ ที่สำเร็จแล้วอบรมสั่งสอน จึงจะดี"
กระผมจับใจความได้ประมาณนี้ครับ ผิดพลาดประการใดขอกราบขออภัยด้วยครับ

กระผมได้ฝึกปฏิบัติตนอยู่ที่บ้าน ได้ความรู้มาจาก หนังสือบ้าง วีดีโอบ้าง
ฟังธรรมะบรรยายของพระอาจารย์หลายๆองค์บ้าง และของท่านอาจารย์ ด้วยครับ อาจเป็นเพราะด้วยสาเหตุอื่นใดก็ไม่ทราบ หรืออาจเป็นเพราะ ไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนก็เป็นไปได้ จึงทำให้การฝึกปฏิบัติของผมจึงไม่เกิดผลใดๆ (หมายถึง แม้กระทั่งขณิกสมาธิ กระผมก็ยังฝึกไม่ได้เลยครับ) และที่ทำไปจะถูกหรือผิด ประการใดก็ไม่ทราบ
ดังนั้นตามใจความข้างต้น
1. การประพฤติปฏิบัติธรรม (หมายถึงฝึกสติ นั่งสมาธิให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป) เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีครูบาอาจารย์ ใช่ไหมครับ

2. กรณีของกระผมควรฝึกต่อที่บ้าน ไปเรื่อยๆหรือควรมีครูบาอาจารย์ดีครับ

3. ครูบาอาจารย์ที่กล่าวถึงจะไปหาท่านได้ที่ไหน บ้างครับ กระผมอยู่เชียงใหม่ครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
      (๑) ในยุคสมัยนี้ คนที่มาเกิดเป็นมนุษย์มีบุญบารมีสั่งสมมา ไม่มากเท่ากับคนที่มาเกิดอยู่ในครั้งพุทธกาล ดังนั้นหากมีความประสงค์จะให้เข้าถึงธรรมได้เร็ว ต้องมีครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์มาชี้แนะทางให้ปฏิบัติ

     (๒) หากสามารถปรับความสัปปายะ ( เหมาะสม ) ที่บ้านให้เหมือนกับที่วัด ไม่จำเป็นต้องไปปฏิบัติธรรมที่ไหน เป็นเพียงปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) โดยมีหัวใจแห่งความสำเร็จ ( อิทธิบาท ๔ ) และมีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน เมื่อปฏิบัติสมถกรรมฐาน จิตย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ และเมื่อเอาจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) ไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น

     (๓) แนะนำ หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดป่าหมู่ใหม่ อำเภอแม่แตง , พระอาจารย์เปลี่ยน วัดอรัญญวิเวก อำเภอแม่แตง , หลวงพ่อทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ฯลฯ
  

2165.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

หนูมีคำถามอยากจะเรียนถามอาจารย์ดังต่อไปนี้ค่ะ

๑ เวลาหนูนั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ พุทโธ อยู่ไม่กี่ครั้ง ก็มีเวทนาปรากฏ มีอาการคันแล้ว อะไรเป็นสาเหตุทีทำให้เกิดเวทนาเร็วคะ

๒ ถ้าหากว่าระหว่างการปฏิบัติธรรม เราต้องช่วยที่วัดทำงานต่างๆ เช่น ล้างจาน ปอกผลไม้ งานเหล่านี้จะรบกวนการปฏิบัติธรรมของเราหรือเปล่าคะ

๓ ถ้าหากบางคนซื้อหุ้นเพื่อผลกำไรในระยะยาว เช่น ห้าปีหรือสิบปี นั่นจะเป็นการผิดธรรมหรือเปล่าคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
เด็กไกลบ้าน

คำตอบ
     (๑) เป็นผลที่เกิดมาจากเหตุ เหตุเป็นเพราะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว

     (๒) ผู้ใดเอาจิตจดจ่อ ( สติ ) อยู่กับงานที่ทำ ( ปอกผลไม้ ) ถือว่าผู้นั้นได้ปฏิบัติธรรมแล้ว

     (๓) หากไม่เอาจิตไประลึกอยู่กับจำนวนหุ้นที่ซื้อ หรือไม่ระลึกอยู่กับราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นที่ตกลง ไม่ถือว่าผิดธรรม
  

2164.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร . สนอง วรอุไร ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

     เมื่อประมาณเดือนตุลามปีที่แล้วโยมไปภาวนาสายลพ เทียนค่ะ วันที่ 6 เตรียมเข้านอนค่ะ แต่ทำยังไงก้อนอนไม่หลับ เพราะเกิดสภาวะเหมือนเราเปิดปิดไฟ ตรงบริเวณกลางลำตัว เปิด ปิด ๆๆๆๆๆๆ เกิด ดับ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยนอนดูที่ลมหายใจเพราะปกติเวลานอนไม่หลับจะทำแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าไปรู้สึกถึงชีพจรที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม และเห็นถึงการทำงานของชีพจร ลมหายใจ ท้องพองเข้ายุบออก เกิด ดับ ๆๆ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของเค้าไปพร้อม ๆกัน คืนนั้นทั้งคืนจิตตื่นไม่ยอมนอนแทน นอนพลิกไปพลิกมา มาเผลอหลับตอนไหนไม่รู้ สรุปสภาวะเกิดดับ เกิดขึ้น 2 วัน 1 คืน พอออกจากครอส์มา ไม่ได้ทำต่อเนื่องสภาวะนี้หายไป ...

    อยากขอคำแนะนำเรื่องสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นค่ะ
     กราบขอบพระคุณค่ะ
     เบญญาภา

คำตอบ
     สภาวธรรมที่เกิดขึ้น เป็นผลจากมีสมาธิเป็นต้นเหตุ จึงทำให้นอนไม่หลับ และปัญญาที่เห็น การเต้นของชีพจรลมหายใจที่เข้า - ออก และท้องพองยุบ ฯลฯ เป็นการเห็นด้วย ปัญญาโลกิยะ หากผู้ถามปัญหาปรารถนาให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ต้องเอาอาการดังกล่าวมาพิจารณาดูว่า ดำเนินไปตามกฏไตรลักษณ์ เมื่อใดที่อาการเหล่านั้นเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญหาเห็นแจ้งในอาการของกาย (กายคตสติ) ย่อมเกิดขึ้น
  

2163.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ดร. สนอง วรอุไค่ะ

     1. หนูเคยอ่านที่มีคนถามท่านอาจารย์เรื่องการทำงานที่ต้องเสริฟเหล้า พอดีงานที่อเมริกาตอนนี้หายากค่ะ ร้านที่ไม่มีเหล้าเสริฟขายจะหาได้น้อยมาก ๆ ค่ะ หนูอยากทราบว่า ทำไมเราถึงได้มีส่วนร่วมในวิบากกรรมด้วยคะ ถ้าเราจะตั้งจิตว่า เราขอทำตามหน้าที่พนักงานเสริฟ ไม่ได้ยินดีหรือไปเชียร์ให้เค้าทานเหล้าเลยอะค่ะ

     2. พอดีเพื่อนในกลุ่มที่รุ้จักกัน (สมมติชื่อค่ะ) คือน้องเอ ทำบุญแต่เขียนในใบเสร็จรับเงิน เป็นชื่อของน้องบี เพื่อให้น้องบี นำใบเสร็จรับเงินไปไว้หักลดหย่อนภาษี เพื่อที่ว่าจะได้รับเงินภาษ๊คืนกลับมานำไปทำบุญ ขอคำแนะนำว่าเป็นการกระทำที่สมควรมั้ยคะ คนในกลุ่มยินดีเขียนชื่อน้องบีด้วยความเต็มใจนะคะ เพราะคิดว่าจะได้นำเงินที่ได้คืนมาไปทำบุญอ่ะคะ่

      กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ดร. สนอง วรอุไร มา ณ โอกาสนี้นะคะ
       ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะคะ

คำตอบ
     (๑) การเสริฟเหล้า โดยมีจิตไม่ยินดี ถือว่ายังมีส่วนร่วมในกระบวนอกุศลกรรม ( ทุศีล ) นั้นอยู่ เมื่อใดที่กรรมไม่ดีให้ผล ผู้มีส่วนร่วมย่อมได้รับผลอันเป็นบาปนั้นด้วย

     (๒) การเขียนใบเสร็จที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ถือว่าเป็นการประพฤติทุศีล มีอานิสงส์เป็นบาป เมื่อนำเงินบาปที่ได้ไปทำบุญ จึงได้บุญที่ไม่บริสุทธิ์
   

2162.
กราบเรียนท่าน อ.สนอง วรอุไร

ปัจจุบันนี้ผมจะถวายน้ำใส่แก้ว และ ขนม ใส่ถ้วยและเอาไปไว้ที่โต๊ะบูชาพระ ในบ้านเป็นประจำ
เพราะว่าผมตื่นมาก็ต้องอาบน้ำแต่งตัวรีบไปทำงาน เลยไม่ได้ไปใส่บาตรพระสงฆ์

คำถาม
     1. ผมทำแบบนี้ได้บุญมากกว่า หรือ น้อยกว่า กับถวายพระที่มาเดินบิณฑบาต หรือ ไม่อย่างไรครับ

     2. เวลาผมใส่บาตรข้ามวันไปแล้ว ผมจะเอาขนมออกมาจากโต๊ะบูชาพระ และ ถ้าผมเอาขนมมากิน จะเป็นอะไรหรือไม่อย่างไร หรือ กินไม่ได้ครับ ให้ทิ้งไปเลย ช่วยตอบข้อสงสัยให้ด้วยครับ ผมจะได้ทำให้ถูกต้อง

     3. เวลาผมใส่บาตรผมก็จะชอบอธิฐานว่า "ข้าพเจ้าขอถายน้ำและขนมนี้แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย"
ผมทำแบบนี้ได้หรือเปล่าครับ หรือจะถวายแค่พระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะขนมมีแค่ 1 ห่อเท่านั้น

คำตอบ
     (๑) บุญทำให้เกิดความสบายกาย ประพฤติอย่างไหนแล้วมีความสบายกาย เกิดความสบายใจมากกว่า การประพฤติอย่างนั้นได้บุญมากกว่า

     (๒) ก่อนเอาขนมมากิน ต้องขออนุญาต ( ลาการบูชา ) ก่อน

     (๓) คำว่า “ อธิษฐาน” หมายถึงตั้งจิตปรารถนาในสิ่งที่ดีงาม ดังนั้นการประพฤติที่มีจิตปรารถนาบูชาคุณของพระพุทธเจ้า จึงสามารถทำได้
  

2161.
วันนี้อยากขอความรู้อาจารย์สั้นๆ ดังนี้ครับ

     1. การภาวนา เท่าที่เห็น หรือ ทราบ คือ เดินภาวนา (จงกรม) และนั่งภาวนา ขัดสมาธิ (นั่ง) ขอเรียน ถามว่า บางทีผม นั่งระหว่างพักงาน ไม่ตั้งใจ แต่ใจมันภาวนาโดยไม่รู้ตัว เช่นภาวนาในใจ พุทธ โธ , พุทธ โธ จะถือว่าเป็นการภาวนาหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่า เราไม่ได้มีเจตนา ตั้งต้นที่จะภาวนาครับ

     2. จิตมันภาวนาไปเอง ใน ข้อ ๑ ถือเป็นเรื่องดี หรือ ต้องปรับปรุง อย่างไรครับ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์คัรับ

คำตอบ
     (๑) ถือว่าการเป็นการภาวนาได้

     (๒) ดีครับ เป็นการภาวนาที่เกิดจากความเคยชิน
  

2160.
กราบเรียน ท่าน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ครับผม
คือผมมีข้อสงสัย และ ไม่สบายใจ ที่อยากจะถามครับ

     1. ผมเคยบวชเป็นพระตอนเมื่ออายุ 21 บวชอยู่จำพรรษา ประมาณ 4 เดือนได้
แต่ผมก็เผลอสติ โดยเจตนาทำได้ทำ อาบัติสังฆาทิเสฐ ไปแล้วด้วยกัน 2 ครั้ง ด้วยความที่ยัง มีจิตใจ ที่เป็นราคะ กับเรื่อง กามตัณหาอยู่ จึงได้ทำลงไป เพราะความกำหนัดอย่างมาก ๆๆ สุดจะทน (ช่วยเหลือตัวเอง) แต่พอทำไปแล้ว ก็รู้สึกไม่ค่อยดีรู้สึกผิดในขณะนั้น และก็ไมได้ไปปาริวาสกรรม เพื่อปลงอาบัติ และก็สึกออกมา

     2. ปัจจุบันผมอายุ 29 ปีแล้ว อยากทราบว่า ผมบาปมากไหมครับ ตายไปจะตกนรกหรือเปล่า และตอนนี้ผมอยากจะแก้ไขสิ่งทีทำลงไป จะต้องแก้อย่างไร เพราะตอนนี้ผมแต่งงานแล้ว และ มีจิตศรัทธาในพุทธศาสนามาก และ สวดมนต์ และ เจริญกรรมฐานอยู่เสมอ แต่ในใจก็ยังคิดอยู่ว่า
ตอนบวชเคยมีอาบัติไม่ได้แก้ไข จะเป็นบาปมากไหม และ ถ้าผมไปบวชอีก จะต้องไปแก้อาบัตินี้อีกใช่หรือเปล่าครับ

     3. อาบัตินี้ถ้าผมไม่ได้แก้แล้ว มันจะติดไปกับผม ข้ามภพ ข้ามชาติหรือเปล่าครับ และถ้ายังมีอาบัติ ติดตัวอยู่แบบนี้ จะมีโอกาส เข้าถึงธรรมแบบฆารวาสได้หรือเปล่าครับ เพราะปัจจุบันนี้ผมสติดี กว่าแต่ก่อนอยู่ครับ และ และมีความศรัทธาเป็นอย่างยิ่งในพุทธศาสนา
และ ชอบปฏิบัติกรรมฐาน

     4. ถ้าผมจะแก้ไขในเรื่องที่ทำอาบัติสังฆาทิเสฐนี้ ในขณะที่เป็นฆารวาสอยู่จะทำได้ไหมครับ ช่วยตอบปัญหา ที่คาใจผมมานาน ให้ด้วยครับ
สรุปคือ ผมอยากจะทราบว่า แก้ไขได้หรือไม่ ถ้าแก้ได้จะต้องแก้อย่างไร หรือ ถ้าแก้ไม่ได้ผมจะมีโทษประการใด ในชาติปัจจุบัน และตายไปจะตกนรกหรือไม่

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ มาก ๆ ครับ

คำตอบ
     (๑) เป็นเพียงคำบอกเล่า มิได้ถามปัญหา

     (๒) ต้องขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพฤติกรรมที่ทำผิดพลาดมาแล้ว

     ส่วนคำว่า “บาป” หมายถึงความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ครั้งใดที่จิตระลึกถึงอดีตที่ผิดพลาด แล้วทำให้ไม่สบายกายไม่สบายใจ ยังชื่อว่าบาปยังมีอยู่ และใช่ หากบวชเป็นภิกษุอีก ต้องไปแก้อาบัติให้หมดไป

     (๓) บาปยังคงมีอยู่ในดวงจิต เมื่อจิตยังระลึกได้อยู่ และสามารถติดตามข้ามภพชาติได้

     (๔) แก้ได้ด้วยการไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ( ดูข้อ ๒๑๓๑ (๒))
   

2159.
กราบเรียนพระอาจารย์สนองที่เคารพ

วันนี้หนูมีคำถามที่สำคัญ คือ ตอนนี้หนูเป็นนักศึกษาอยู่ กำลังมีความสนใจในเรื่องการดำเนินชีวิต ในทางที่มีคุณค่า รวมถึงสนใจเรื่องธรรมะ ปรารถนาเป็นบัณฑิตทั้งทางโลกและทางธรรม

คำถามมีอยู่ว่า
     ๑.เราควรทำตนอย่างไร ให้เจริญในทางโลก

     ๒. ขณะเดียวกันควรทำอย่างไร ถึงจะเป็นผู้ที่มีแต่เจริญ ไม่มีเสื่อม ในทางธรรม

นอกจากนี้หนูยังมีข้อสงสัยที่จะขอความเมตตาจากพระอาจารย์สนอง คือ
     ๓. ฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ จริงหรือไม่

     ๔. การปฏิบัติธรรมนั้น ทำเพื่อละความชั่วและกิเลสทั้งปวง ไม่ใช่ทำให้ได้เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ แต่ทำเพื่อให้ปล่อยวาง และทำให้สิ้นอาสวะกิเลส ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากหรือหวัง เมื่อไหร่ที่ทำเต็มแล้ว เมื่อนั้นผลของการกระทำย่อมให้เห็นแจ้ง รู้ได้ด้วยตนเอง จริงหรือไม่

     ๕. การปฏิบัตินั้นให้กำหนดเรื่อยๆแม้แต่ความคิดก็ต้องกำหนด แต่บางครั้งต้องพิจารณาคิดให้เกิดปัญญาด้วย ไม่ฉะนั้นปฏิบัติไปก็ไม่เกิดปัญญา จริงหรือไม่

คำตอบ
     
(๑) ผู้ปรารถนาความเจริญในทางโลก ต้องพัฒนาตนให้เป็นคนเก่ง ( สุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา ) และพัฒนาตนให้เป็นคนดีมีคุณธรรม คุ้มครองใจอยู่ขณะตื่น

     (๒) ผู้หวังความเจริญในทางธรรมและไม่เสื่อมถอย ต้องพัฒนาอีกจนสามารถปิดอบายภูมิให้ได้ คืออย่างน้อยต้องมีสภาวธรรมในดวงจิต เป็นพระโสดาบัน ชีวิตย่อมมีความเจริญถ่ายเดียว ตาย - เกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ย่อมนำพาชีวิตพ้นไปจากวัฏสงสาร

     (๓) จริงครับ พระจ้าสุทโธทนะ พระนางเขมา พาหิยะ ฯลฯ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว

     (๔) จริงครับ

     (๕) หากหมายถึงปัญญาเห็นแจ้ง ต้องปฎิบัติธรรมให้เข้าถึงด้วยการเจริญวิปัสสนา ภา วนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ แต่หากพัฒนาสมถภาวนา จนเกิดปัญญาสูงสุด ( โลกิยญาณ ) ย่อมเห็นไม่แจ้ง ปัญญาเช่นนี้ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
  

2158.
สวัสดีครับท่านอาจารย์

ฆราวาสผู้บรรลุธรรมแต่ไม่ออกบวช
ควรจะต้องวางอารมณ์อย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไปในสังคมครับ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
     ผู้บรรลุธรรม หมายถึง ผู้เข้าถึงอริยธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ในครั้งพุทธกาล อนาถบิณฑิกศรษฐีและลูกชาย วิสาขา โฆสกะเศรษฐี ปุณณเศรษฐี รวมถึงภรรยาและลูกสาว บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน วิสิทัตทะคนเลี้ยงช้าง ของพระเจ้าปาเสทิบรรลุธรรมเป็นพระ สกทาคามี บุคคลเหล่านี้มิได้บวช แต่ยังสามารถอยู่ในเพศของฆราวาสได้

     ผู้ที่บรรลุธรรม เป็นพระโสดาบัน ย่อมมีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ส่วนพระสกทาคามี นอกจากมีคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ยังมีกามราคะ และปฏิฆะ อย่างอ่อนอยู่ในดวงจิต แต่เป็นปิปผลิมาณพและภัททา กาปิลานี ทั้งสองเป็นฆราวาสอนาคามี แต่มีจิตเป็นอิสระจากกาม ไม่มีเพศสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และผู้มีจิตบรรลุอรหัตตผล แล้วต้องถือเพศเป็นนักบวช เช่น พระนางเขมา ทัพพปัลลบุตร พระมหากิจายะ ฯลฯ บุคคลเหล่านี้บรรลุธรรม ขณะยังอยู่ในเพศฆราวาส
  

2157.
สวัสดีค่ะคุณลุงสนอง ที่เคารพอย่างสูง

หนูมีเรื่องสงสัยค่ะว่า หนูควรจะทำหรือวางใจยังไงดี เนื่องจากหนูรู้สึกเป็นห่วงหลวงพ่อองค์หนึ่งที่หนูเคารพมาก

เรื่องมีอยู่ว่า ในวัดจะมีกลุ่มคนอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

     1.กลุ่มที่ช่วยงานวัดในระดับบน
เป็นคนมีการศึกษา อยู่วัดช่วยงานมานาน มีผลงานชัดเจน ทำงานดี ทำงานบริหารจัดการต่าง ๆ ที่สำคัญของวัด คนกลุ่มนี้เป็นที่ไว้วางใจของหลวงพ่ออย่างมาก เพราะช่วยงานหลวงพ่อมานาน ภาพของคนกลุ่มนี้(บางคน) ในสายตาบุคคลทั่วไปจะสวยงาม แต่กับคนในวัดและนอกวัดบางคนที่เค้าไม่ชอบ เค้าจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เป็นกุศลเลย และยังชอบใช้อภิสิทธ์ต่าง ๆ เช่น หาความสบายจากวัดใส่ตัว สร้างอภิสิทธิ์ที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ เล่นพรรคเล่นพวก และใช้อำนาจที่มี กดขี่ข่มเหง คนในวัดที่อ่อนแอกว่า (ซึ่งก็จริงอยู่ที่คนกลุ่มนี้มีศักยภาพมากในการช่วยทำให้วัดพัฒนาและเติบโตได้มากอย่างปฎิเสธไม่ได้)

     2. กลุ่มที่ช่วยงานในระดับล่าง
ทำงานทั่วไป ไม่ค่อยสำคัญนัก ทำงานตามที่เห็นว่าเป็นงาน ได้ช่วยงานวัด ไม่จำเป็นที่ต้องให้หลวงพ่อทราบว่าตนทำงาน คนกลุ่มนี้ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ในวัด บางทีมักจะถูกคนกลุ่มที่ 1 ใช้ให้ทำงานเหมือนกันเป็นคนใช้ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนี้ ก็ยอม เพราะอยากอยู่ที่วัดอย่างไม่มีปัญหา และไม่ได้คิดอะไรมากถือว่าได้ช่วยงานวัด

     หนูเป็นห่วงหลวงพ่อจังค่ะ อยากให้หลวงพ่อได้รู้ความจริงของคนกลุ่มที่ช่วยงานวัดในระดับบน (บางคน) ที่หลวงพ่อไว้ใจมากนั้น ว่าที่แท้แล้วกลุ่มคนที่หลวงพ่อไว้ใจเค้าก็มีบางมุมที่ไม่ดี ชอบใช้อำนาจที่หลวงพ่อให้เพื่อทำงานให้วัดเบียดเบียนคนอื่นอย่างไม่ชอบธรรม หลวงพ่อควรจะระวังไว้บ้าง เพราะบางครั้งเวลามีเรื่องทะเลาะกันระหว่างคนสองกลุ่มนี้ คนกลุ่มที่ช่วยงานวัดในระดับบน มักจะใช้อำนาจชี้นำให้การตัดสินไปในทาง
ที่ทำให้คนระดับล่างเหมือนกลายเป็นคนที่มีความผิดผิดมากมาย ทำให้ดูเหมือนว่าหลวงพ่อตัดสินคนอย่างไม่ยุติธรรม

     ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว พวกคนกลุ่มบนก็มีเรื่องที่ไม่ดีมีการกระทำที่น่าละอายเหมือนกัน แต่ไม่มีใครนำมาเปิดเผย คนพวกนี้ยังสามารถเอยู่ในวัดได้ต่อไปอย่างสง่างาม

     หนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่หนูเข้าใจเกี่ยวกับคนสองกลุ่มนี้ จะถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือเปล่า จึงอยากจะถามคำถามคุณลุงดังนี้ค่ะ

คำถาม
     1. ถ้าหากหลวงพ่อตัดสินคนผิดไป ( จากเหตุปัจจัยที่ไม่เพียงพอ ) โดยที่หลวงพ่อไม่มีเจตนาที่ไม่ดี หลวงพ่อจะบาปมั้ยคะ

     2. ถ้าคนบางคนในวัดใช้อำนาจที่หลวงพ่อมอบหมายให้ไปเบียดเบียนคนอื่น ๆ โดยที่หลวงพ่อไม่ทราบ หลวงพ่อจะมีส่วนแห่งบาปนั้นมั้ยคะ

     3. บางทีหนูก็คิดได้ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งกรรม จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ควรจะไปยุ่งกับขยะของคนอื่นอย่างที่คุณลุงเคยสอน
แต่จิตใจหนูก็ยังไม่หนักแน่นพอ หนูยอมรับ

     * บางทีก็มีอีกความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมาว่า ถ้าหากเราไม่บอกให้หลวงพ่อทราบทั้ง ๆ ที่รู้ ก็เท่ากับว่าเราเป็นคนไม่กตัญญู เพราะทั้ง ๆ ที่รู้ว่า มีสิ่งไม่ดีอยู่รอบ ๆ หลวงพ่อ แต่ไม่เตือนให้หลวงพ่อทราบ ก็เหมือนกับเรายืนมองท่านทำกรรมไม่ดีไม่โดยที่ท่านไม่ได้เจตนา และไม่รู้ตัว

     * บางครั้งหนูก็คิดว่าปล่อยหลวงพ่อและคนพวกนั้นไปเถอะ จะก่อเวรก่อกรรมก็เรื่องของท่าน วิบากของท่านกับคนเหล่านั้น มาทำตัวเราให้ดีจะดีกว่า

     หนูสับสนตลอดเวลาเลยค่ะ ขอความเมตตาคุณลุงสนอง ช่วยชี้ทางที่เป็นสัมมาทิฐทิให้หนูด้วยนะคะ หนูควรจะวางใจอย่างไรดี

     ...ขอให้คุณลุงมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ ขอบพระคุณค่ะ...

คำตอบ
     (๑) ใครผู้ใด ( รวมถึงหลวงพ่อ ) หากใช้อำนาจไปตัดสินคนอื่น ก็ถือว่า ยังมีปัญญาเห็นผิดไปจากธรรม ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม พระองค์ไม่เคยใช้อำนาจไปตัดสินใครผู้ใดว่าผิดหรือถูก แต่ทรงชี้เหตุที่ทำแล้วเกิดเป็นผลดี แล้วเหตุที่ทำเกิดเป็นผลไม่ดีขึ้นกับตัวเอง ซึ่งเจ้าของชีวิตต้องนำไปแก้ที่ตัวเอง

    (๒) บาปในฐานะซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการเบียดเบียน

    (๓) ดูคนอื่นเป็นครูสอนใจว่า หากเขาทำไม่ดี เราก็จะไม่ทำเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นคนไม่ดีเช่นเขา ดังนั้นต้องแก้ปัญหาที่ตัวเองด้วยการพัฒนาจิตใจให้มีสติ และพัฒนาจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับความเห็นแก่ตัว ( อัตตา ) ที่มีอยู่กับใจให้หมดไป แล้วเราก็จะเป็นคนที่มองคนอื่นเป็นครูสอนใจได้

     สรุป มองความไม่ดีของตัวเอง แล้วพัฒนาตัวเองให้ดี ปัญหาจึงจะหมดไปจากใจของผู้มอง นี่คือสัมมาทิฎธิในทางธรรม
  

2156.
กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ

     ดิฉันรับราชการเป็นพนักงานอัยการมีหน้าที่ในการสั่งฟ้องผู้กระทำความผิด และว่าความในฐานะเป็นทนายของแผ่นดิน มีเรื่องเรียนสอบถามท่านอาจารย์สนอง ดังนี้คะ

     ๑. การที่เราสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามพยานหลักฐานที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากมีบางกรณีที่ผู้ต้องหาไม่ได้ทำผิดตามที่เราสั่งฟ้อง แต่เราทำหน้าที่โดยสุจริต เช่นนี้เราจะเป็นบาปหรือได้รับผลกรรมใดหรือไม่ , หากเป็นบาป จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร

     ๒. การสืบพยานหรือว่าความในศาล มักมีบรรยากาศของการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ต้องใช้วิวาทะในทางจิตวิทยาเพื่อความได้เปรียบในผลของคดี ซึ่งโดยนิสัยส่วนตัวดิฉันไม่ชอบการวิวาทะเช่นนี้เลย เพราะเป็นคนชอบฟังมากกว่าพูดและไม่ชอบการโต้เถียง แต่อย่างไรก็ดี ดิฉันมีความจำเป็นไม่สามารถเปลี่ยนงานที่ต้องทำ ณ ขณะนี้ได้ จึงอยากขอคำแนะนำว่าจะมีวิธีการฝึกจิตอย่างไรที่จะสามารถทำงานดังกล่าวนี้ได้ และทำงานนี้ได้โดยไม่เป็นบาป (เพราะเคยได้ยินมาว่า การทำหน้าที่ดังกล่าวเหมือนเป็นการแทรกแซงกฎแห่งกรรมของผู้อื่น)

     ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ   

คำตอบ
    (๑) โปรดอ่านเรื่องของคุณหมออาจินต์ บุณเกตุ แล้วจะเข้าใจในสิ่งที่ถามได้ดี

วิธีแก้อกุศลวิบาก ( บาป ) ที่ตนกำลังเสวยอยู่ต้องทำตังนี้
      - ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น

      - ทำบุญใหญ่ ( ปฏิบัติธรรม ) แล้วอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้

      - หนีหนี้เวรกรรมให้ตามไม่ทัน ด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา

      - หนีเข้านิพพาน ด้วยการปฏิบัติธรรม จนสามารถกำจัดสังโยชน์ ๑๐ ได้ หนี้เวรกรรมที่ยังมีค้างอยู่ในดวงจิต จะเป็นอโหสิกรรม

     (๒) ต้องทำตนให้มีเทวดาสัมมาทิฏฐิคุ้มรักษา แล้วการเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งของผู้อื่น ย่อมมีผลให้เวรกรรมตามไม่ทัน
  

2155.
เรียนถามอาจารย์ถึงข้อสงสัยครับ

     ๑. ต้นไม้จัดเป็นสิ่งมีชีวิตในทางโลก ในทางธรรมต้นไม้มีชีวิตหรือไม่ ต้นไม่มีจิตใจหรือไม่
และถ้าใช่ต้นไม้อยู่ในภพภูมิใดใน ๓๑ ภูมิ ผมคิดว่าต้นไม้ไม่มีความรู้สึกทางกาย เพราะไม่มีระบบประสาทถ้าเราตัดหรือถอนก็ไม่น่าจะรู้สึกเจ็บ แต่ต้นไม้น่าจะมีความรู้สึกทางจิตใจ จึงสงสัยว่า เมื่อเราตัดแต่งต้นไม่เราบาปหรือไม่ เมื่อเราผสมเกสรดอกไม้ถือว่าเราผิดศีลหรือไม่ เหมือนจับสิ่งมีชีวิตมาผสมพันธุ์ควรผิดข้อ๓

     ๒. เรามีวิธีอย่างไรในการตรวจสอบจริตแบบอื่นไหมนอกจากสังเกตุ
ผมพบว่าบางครั้งเรามีมากกว่า๑จริตในจริตทั้ง๖ ผมจะนำความรู้นี้ไปใช้กับคนในครอบครัว เพื่อจะเลือกกองกรรมฐานที่ปฏิบัติ

     ๓. ผมเคยถามอาจารย์เมื่อนานมาแล้ว เรื่องผมควรปฏิบัติกรรมฐานกองใดอาจารย์บอกผมมา ๔ กอง ซึ่งอยู่ในหมวดพุทธจริต ผมเรียนถามว่าอาจารย์ทราบจากการตั้งถามของผมหรืออย่างไร

     ๔. อาจารย์ช่วยแนะนำวิธีฝึกปฏิบัติตามแนว พุทธจริตให้ผมด้วย หมายถึงกรรมฐานแต่ละกองมีวิธีอย่างไรบ้าง ถ้าคำอธบายยาวไปไม่สามารถตอบในบอร์ดนี้ได้ ช่วยแนะนำผมผ่านอีเมล์นี้ก็ได้ครัย

     ๕. อิทธิบาท๔ สำคัญต่อการทำทุกอย่างให้สำเร็จรวมถึงการปฏบัติธรรม การอบรมให้ลูกหลานมีอิทธิบาท๔ ครบถ้วน จะทำอย่างไรครับ

     ๖. ตัวผมรู้ว่าผมยังอ่อนในเรื่องอิทธิบาท๔นัก โดยเฉพาะข้อฉันทะ ซึ่งถือว่าแย่มาก
การทำใจให้ชอบที่จะทำการใดๆซึ่งการนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตนชอบหรือพอใจที่จะทำอย่างแท้จริงไม่ได้
ส่งผลให้การนั้นไม่สำเร็จในที่นี้หมายถึงงานภายนอกที่จำเป็น ควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ
แต่ผมมีฉันทะในบางเรื่องเช่นการปฏิบัติธรรม หรือผมตีความอิทธิบาท๔ผิดไปชี้แนะด้วยครับ

     ขอบคุณอาจารย์มากครับ อาจารย์เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมากๆเลย

คำตอบ
    (๑) ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิต แต่ไม่มีจิตวิญญาณครอง ต้นไม้จึงมิใช่สัตว์ ความรู้ในพุทธศาสนา มิได้จัดต้นไม้ให้อยู่ในภพภูมิใดของวัฏสงสาร

    อนึ่ง ผู้มีเพศเป็นฆราวาส มีศีล ๕ เป็นวินัยที่ต้องประพฤติคือ เว้นฆ่าสัตว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดในกาม เว้นพูดเท็จ และเว้นจากการเสวยของมึนเมา ด้วยเหตุนี้ การตัดแต่งต้นไม้และการผสมเกสร จึงมิได้ถือว่าเป็นบาปกับฆราวาสผู้กระทำเช่นนั้น

     (๒) บุคคลมีจริตอยู่ในดวงจิตครบทั้งหกอย่าง แต่จิตใดมีพื้นนิสัยเด่นกว่าจริตอย่างอื่น จึงเรียกผู้มีพื้นนิสัยเด่นว่าเป็นจริตเช่นนั้น อาทิ มีนิสัยหนักไปทางรักสวยรักงาม เรียกว่ามีราคจริต มีนิสัยหนักไปในทางจับจดฟุ้งซ่าน เรียกว่ามีวิตกจริต มีนิสัยหนักไปในทางใจร้อนหงุดหงิด เรียกว่ามีโทสจริต ฯลฯ จะมีจริตเด่นไปในทางใดก็ตาม หนึ่งในอรูปกรรมฐาน ๔ เหมาะที่จะนำมาบริกรรม แล้วจะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย

     (๓) ใครผู้ใดพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ ( ฌาน ) ได้แล้ว เมื่อถอนจิตออกจากความทรงฌาน ผู้นั้นย่อมมีเจโตปริยญาณ ซึ่งทำให้หยั่งรู้วาระจิตของผู้อื่นได้

     (๔) ผู้มีพุทธิจริต ควรนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว แสงสว่าง ที่ว่าง และความตายว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเกิดขึ้นกับทุกคน ระลึกถึงอาหารที่ตนบริโภค ว่าเป็นสิ่งสกปรก ( ปฏิกูล ) ระลึกถึงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่มาประกอบกันขึ้นเป็นรูปร่างกาย ให้จิตเข้าอยู่อาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น และระลึกเอาอย่างหนึ่งในอรูป ๔ มาบริกรรม คือ ระลึกว่าช่องว่างเป็นสิ่งที่หาที่สิ้นสุดมิได้ วิญญาณเป็นสิ่งที่หาที่สิ้นสุดมิได้ ความไม่มีอะไรเลย ( ว่างเปล่า ) หาที่สิ้นสุดมิได้ และภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ผู้มีพุทธิจริตเหมาะกับการนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐานที่กล่าวมานี้ มาเป็นองค์บริกรรม แล้วย่อมทำให้จิต เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย

     (๕) คำว่า “อิทธิบาท ๔” หมายถึง คุณธรรมสี่อย่างที่ผู้ปรารถนาความสำเร็จในกิจที่ทำ ต้องพัฒนาให้มี ( มิใช่เพื่อรู้ ) อยู่กับใจของตัวเอง คุณธรรมทั้งสี่อย่างนั้นได้แก่ ความพอใจในกิจที่ทำ ( ฉันทะ ) มีความเพียรในกิจที่ทำ ( วิริยะ ) มีใจจดจ่อในกิจที่ทำ ( จิตตะ ) และใช้ปัญญาไต่สวนในกิจที่ทำ ( วิมังสา )

     (๖) ต้องนำตัวเข้าใกล้และพูดคุยไต่ถามกับผู้ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ ปัญหาที่ถามไปจึงจะมีโอกาสหมดไปได้
  

2154.
รบกวนสอบถามท่านอ.ดร.สนองค่ะ

     1.จากคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ อันนี้ สอดคล้องกับที่ฝรั่งเอาไปประยุกต์ออกเป็นหนังสือ the secret ที่สรุปออกมาแนวๆ ว่า อยากได้อะไรให้คิด และเชื่อว่าจะต้องได้ ก็จะได้จริง อย่างนี้ถ้าเราหลักนี้มาใช้ กับทางโลกแนวที่ยังมีกิเลส เช่นคิดว่า ฉันจะต้องรวยภายในปีนี้แน่นอน จะได้ผลจริงไหมคะ กรณีที่ไม่มีผลบุญเก่าด้านทำทานมาก่อนเลย

     2. หนูเคยได้ยินท่านอ.พูดในวีดีโอว่า ความคิดก็เหมือนเป็นวัตถุอย่างหนึ่งในจักรวาล แปลว่า ความคิดมีผลจริง ดังนั้น ถ้าคิดบวกไว้ทุกเรื่อง ชีวิตก็จะมีแต่ด้านดีๆ ใช่หรือไม่อย่างไรคะ

      กราบขอบคุณท่านอ.มากค่ะ   

คำตอบ
     (๑) ประโยคที่ว่า “จิตเป็นนาย ร่างกายเป็นบ่าวรับใช้จิต” เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นคนที่คิดว่าฉันจะต้องรวยในปีนี้แน่นอน เมื่อคิดแล้วต้องทำเหตุให้ถูกตรง ผลถูกตรงจึงจะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นผู้ที่อยากรวยทรัพย์ ต้องหมั่นให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ แม้มิได้มีบุญเก่าส่งผล แต่หากทำเหตุปัจจุบันให้ถูกตรงจนกระทั่งกรรมให้ผล ผู้ให้ทรัพย์เป็นทานย่อมรวยทรัพย์แน่นอน

     (๒) ผู้รู้นิยม คิด พูด ทำในสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม อย่างนี้จิตจะเรียกว่า คิดดี พูดดี ทำดี แล้วผลดี ( กุศลวิบาก ) ย่อมเกิดขึ้นให้ผู้มีพฤติกรรมดีได้เสวย ดังนั้นผู้หวังความสวัสดีของชีวิต ต้องคิดบวกให้ได้ทุกเรื่อง
  

2153.
เรียนอ.ดร.สนอง วรอุไร

ผมอยากทราบว่าคนที่นับถือศาสนาอื่นเมื่อตายแล้วจะเจอคนที่ถือพุทธใหม หรือเขาตายเขาจะไปอยู่ภพภูมฺของเขาครับ

ขอบพระคุณดร. มากครับ
กิตติศักดิ์

คำตอบ
    คนที่จะมีโอกาสพบกันอีกในปรโลก มิได้เนื่องมาจากการนับถือศาสนาที่ต่างกัน แต่เนื่องมาจากการทำกรรมในปัจจุบันเป็นต้นเหตุ อาทิ ปัจจุบันฆ่าสัตว์อยู่เสมอ ตายแล้วไปเกิดในภพนรก ประพฤติคอร์รัปชั่นอยู่เสมอ ตายแล้วไปเกิดในภพเปรต บำเพ็ญทานรักษาศีลอยู่เสมอ ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ ฯลฯ
  

2152.
สวัสดีค่ะอาจารย์

     ดิฉันขอถามอาจารย์เพื่อคลายความสงสัยหน่อยค่ะ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ดิฉันได้ยินเสียงสวดมนต์แว่วในหูบ่อย ๆ ค่ะ เป็นเสียงพระสวดมนต์แต่ไม่ทราบว่าสวดบทอะไร แรก ๆ ดิฉันคิดว่าเป็นเสียงข้างบ้านเปิดซีดีธรรมะ แต่พอลองเปิดหน้าต่างไปดูก็ไม่ได้ยินเสียงจากข้างบ้านเลยค่ะ ดิฉันเคยคิดว่าคงคิดไปเอง แต่พอได้ยินหลายครั้งเข้าก็สงสัยค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น บางครั้งได้ยินตอนอาบน้ำ ตอนเข้านอน ตอนสวดมนต์ พอรู้สึกตัวว่าได้ยินก็ลองตั้งใจฟังค่ะว่าคิดไปเองหรือเปล่า พอตั้งใจฟังก็ปรากฎว่ายังได้ยินเสียงนั้นอยู่ค่ะ ขอให้อาจารย์ช่วยคลายข้อสังสัยนี้ให้หน่อยนะคะ

     อีกข้อหนึ่งคือเวลานั่งสมาธิรู้สึกว่าตัวเอนไปมาค่ะ เคยรู้สึกว่าตัวเองหมุนแต่รู้ตัวค่ะเลยตามดูก็ยังหมุนอยู่แบบนั้น และบางครั้งก็รู้สึกง่วงนอน หาวจนน้ำตาไหล เวลาที่สวดมนต์และนั่งสมาธิค่ะ มีวิธิตั้งสติอย่างไรบ้างคะ ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

     ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
      พิมพ์พร

คำตอบ
    จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว ( ฌาน ) สามารถสัมผัสกับเสียงที่อยู่เหนือการรับรู้ของโสตประสาทได้

     อนึ่ง เมื่อระลึกได้ว่าตัวเอนไปมา ต้องกำหนดว่า “เอนหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการดังกล่าวจะหายไป และเมื่อรู้สึกว่าตัวหมุน ต้องกำหนดว่า “หมุนหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการตัวหมุนจะหมดไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ทำอยู่ การกำหนดเช่นนี้เป็นการเรียกสติคืนมาสู่การภาวนาแต่แรกที่ทำอยู่ เช่นเดียวกัน เมื่อนั่งสมาธิหรือสวดมนต์แล้วเกิดอาการง่วงนอน ควรเปลี่ยนอิริยาบถจากท่านั่งไปเป็นเดินจงกรม หรือยืนหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ จนกว่าอาการง่วงนอนจะหมดไป
  

2151.
เรียน ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

การอโหสิกรรมกับการแผ่เมตตาให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ควรทำสิ่งใดก่อน ขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
    ควรแผ่เมตตาก่อน เพราะจะทำให้ไม่มีเวรกับสัตว์บุคคลที่เข้ามาสัมพันธ์ด้วย
  

 

 

 

 

 

 

 

browser stats