1

 

 

 


                                                           
คำถาม-คำตอบ ข้อ 951-1000

1000.
สวัสดีค่ะ อาจารย์

ในวันคล้ายวันเกิด เราควรทำบุญแบบไหนดีนอกจากใส่บาตรพระสงฆ์ในตอนเช้า

เคยได้ยินว่า ใส่บาตรพระสงฆ์ 4 รูป ก็เหมือนกับการทำสังฆทานแล้ว จริงหรือไม่

ชีวิตของหนูมักเจอแต่คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ หนูไม่อยากพบเจอคนประเภทนี้อีก หนูควรจะปฏิบัติตนอย่างไรดีคะ แผ่เมตตาหรือทำอย่างไรดี ถึงจะไม่ต้องเจอคนพวกนี้

บางทีเราก็รู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึก คนที่ทำร้ายเรา แต่เราไม่อยากจองเวรเค้า ควรทำอย่างไรดี ถึงจะไม่มีเวรต่อกัน

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
    คำว่าสังฆทานหมายถึงทานที่ทายก ถวายแก่หมู่สงฆ์โดยไม่เจาะจงสงฆ์องค์ใด ดังนั้นพระสงฆ์เพียงหนึ่งองค์มารับอาหารบิณฑบาตเมื่อกลับไปถึงอาวาสแล้ว จัดอาหารรวมไว้เป็นส่วนกลางของสงฆ์ทั้งอาวาสนำไปบริโภคได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นสังฆทาน

   หากพระสงฆ์จำนวน 4 รูป มารับอาหารบิณฑบาต เมื่อกลับไปถึงอาวาสแล้ว ต่างนำอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตไปขบฉันเป็นการส่วนตัว แม้จะดูเห็นเป็นหมู่สงฆ์ 4 รูป มารับอาหารบิณฑบาตก็ตามที่ อย่างนี้ไม่เรียกว่าสังฆทาน

   ดังนั้นจึงตอบว่าสิ่งที่ได้ยินมา ว่าการใส่บาตรพระสงฆ์ 4 รูป เหมือนกับการทำสังฆทาน จริงหรือไม่จริงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่บอกมาข้างต้น

   ส่วนเรื่องไม่อยากพบเจอคนที่ไม่รับผิดชอบ เป็นความคิดเห็นที่ผิดธรรม เพราะมนุษย์ไม่สามารถหนีใจตัวเองได้พ้น พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้งแก้ปัญหาที่ใจของตัวเอง พัฒนาใจให้เป็นมหาสติ-มหาปัญญา แล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ ดูความไม่รับผิดชอบว่าเป็นสิ่งไม่ดี มันเป็นเรื่องของเขาและเราจะไม่ประพฤติเช่นเขา ผู้ใดมีสติสัมปชัญญะรู้ทันเช่นนี้แล้ว จะรู้ว่าคนที่ไม่รับผิดชอบเป็นครูสอนใจเราเขามีคุณต่อเรา เขาทำให้เราได้พัฒนาจิตตัวเองให้มีปัญญาบารมีมากขึ้น

   สุดท้ายประสงค์ไม่มีเวรกับคนที่ไม่รับผิดชอบ ต้องให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ ด้วยการกำหนดวา “ ช่างมันเถอะๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ แล้วเมตตาก็จะเกิดขึ้นเป็นเมตตาบารมี สั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ให้อภัย
   

999.
เรียน ท่านอาจารย์สนองที่เคารพ

ผมกับเพื่อนๆ ได้ร่วมกันจัดฝึกสติเบื้องต้น ให้กับเด็กๆ ในชุมชนแออัดใกล้ๆ บ้านผม
มีเด็กๆมาร่วมประมาณ สิบกว่าคน อายุตั้งแต่ 5 – 12 ปี
โดยจัดอบรมเฉพาะวันอาทิตย์ช่วงเช้า ประมาณ 2 -3 ชั่วโมง
เริ่มจาก สวดมนต์ไหว้พระ อบรมธรรมะ ในหัวข้อง่ายๆ เช่น ศีลห้า ความกตัญญู
แล้วจึงเริ่มฝึกเดินจงกรม นั่งสมาธิ นานประมาณ ห้านาที ต่อรอบ
ผมมีความรู้สึกว่า เด็กๆมีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติน้อยมาก
เพราะกลับไปบ้าน ก็คงไม่ค่อยได้ฝึก เพราะสภาพแวดล้อมไม่อำนวย

ผมใคร่ขอคำแนะนำว่า ควรจะเข้มงวดในการปฏิบัติหรือไม่ครับ?
เพราะกลัวเด็กๆ จะเบื่อ ไม่อยากมาฝึกต่อไป
หรือว่า จะฝึกไปเรื่อยๆ ก่อน แล้วหาโอกาสส่งเด็กๆ ไปอบรมครั้งละ 7 วัน เป็นรายคนไป

ขอบคุณครับ
เอกชัย

คำตอบ
  อนุโมทนาด้วยกับการทำสิ่งดีงามให้กับเด็กๆ ในสังคมที่ทำนั้นดีแล้ว ควรนำเด็กๆทำกิจกรรมหลัก เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ ต่อด้วยการเจริญสติภาวนาไม่เกิน 10 นาที และต้องรู้ว่า นิสัยเด็กมีสมาธิสั้นไม่ชอบอยู่นิ่งแต่ชอบเล่นสนุก ดังนั้นควรหากิจกรรมที่สุนกมาให้เด็กทำเช่นการเล่านิทานให้เด็กฟัง แล้วเอาธรรมะเข้าเสริมการนำเด็กทำกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ เมื่อทำแล้วเสร็จต้องให้เหตุผลว่าทำแล้วดีอย่างไร ชักนำเด็กให้ประพฤติจริยธรรมของลูกที่มีต่อพ่อแม่ ต่อครู ต่อเพื่อน แล้วบอกให้เด็กทราบประพฤติได้แล้วดีอย่างไร

ฉะนั้นไม่ควรเข้มงวดกับเด็กอย่างยิ่ง แต่ควรหากิจกรรมมาเสริมธรรมะที่สนุกๆ ให้เด็กได้ทำและไม่ควรซ้ำซาก
   

998.
กราบเรียน อาจารย์สนองครับ

   ที่บ้านผมมีอาชีพเป็นตัวแทนจำหน่ายเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง เมื่อก่อนผมเป็นคนรับภาระดูแลกิจการทั้งหมด จนเมื่อต้นปีนี้ที่ผ่านมาผมตัดสินใจเลิกเป็นตัวเทนจำหน่าย แต่ที่บ้านผม(พ่อและแม่) เขายังขายกันอยู่แต่เปลี่ยนสถานะจากตัวแทนเป็นร้านค้าส่งทั่วไปแต่ยังขายเบียร์ขายเหล้าเหมือนเดิม ส่วนตัวผมเริ่มอาช๊พ ใหม่ที่ผมคิดว่าผมชอบมากตอนนี้คือ รับเช่าและให้เช่าพระ(ส่วนมากเป็นพระสายอีสาน กรรมฐาน เพราะว่าเคารพครูบาอาจารย์สายนี้มากครับ บางครั้งผมก็คิดว่าเป็นการขายครูบาอาจารย์กินแต่บางทีก็คิดว่า เราทำเพราะเราเคารพศรัทธาท่าน) ผมได้ให้สัจจะไว้กับหลวงปู่คำพัน วัดธาตุมหาชัย นครพนมว่าเงินที่ได้จากอาชีพขายพระนี้จะนำมาทำบุญทำกุศลตลอด โดยไม่นำเงินนี้ไปใช้ส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว
   ปัจจุบันผมไม่ได้ดูแลกิจการที่บ้านผมก็เลยไม่มีเงินที่จะมาใช้จ่ายพอดีเพื่อนโทรมาชวนให้ไปช่วยขายเครื่องสำอางค์ที่ต่างจังหวัดผมก็เลยตอบรับไปเพราะคิดว่าตอนนี้อยู่ว่างๆ ไปทำงานหารายได้ก่อนดีกว่า ส่วนธุรกิจขายพระก็ยังทำอยู่ด้วยเพราะชอบแต่เงินกำไรที่ได้ผมยังไม่กล้านำไปใช้ ผมเลยอยากขอปรึกษาอาจารย์ดังนี้ครับ

   1) อาชีพที่ผมทำอยู่ตอนนี้(ขายพระ) และที่กำลังจะทำ(ขายเครื่องสำอางค์) จะผิดศีลเป็นบาปอย้างไรบ้างครับ
   2) ถ้าผมจะนำเงินกำไรที่ขายพระมาใช้ส่วนตัวเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ผมคิดว่ามันเป็นการผิดคำพูดที่ให้ไว้กับหลวงปู่ ผมจะทำอย่างไรดีครับ
   3) อยากให้อาจารย์แนะนำเรื่องการทำบุญ จากเงินที่ได้จากการขายพระครับว่าควรทำแบบใด
สุดท้ายผมขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ผมได้อ่านและได้ฟังสิ่งต่างๆที่อาจารย์ได้สอน อบรมตามสถานที่ต่าง ซึ่งปัจจุบันผมก็ได้นำไปปฎิบัติ ซึ่งเป็นประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่นมากครับ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง
วัชระ พรสมบูรณ์ศิริ

คำตอบ
    (1) ทั้งสองอาชีพที่บอกเล่าไปไม่ผิดศีล แต่ทั้งสองอาชีพผิดธรรม ตรงที่เป็นเหตุชักนำให้คนหลง(โมหะ) เกิดกับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ

   (2) ผู้ใดปรารถนาชีวิตที่เจริญ ต้องหยุดความคิด ที่จะนำเงินกำไรจากการขายพระมาใช้เป็นการส่วนตัว

   (3) นำเงินที่ได้กำไรจากการขายพระไปทำบุญตามข้อแรกที่ระบุไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 คือประพฤติทานได้แล้วเป็นบุญ หากประสงค์จะให้ทานมีอานิสงส์มากต้องให้ทานแก่คนหมู่มาก (มหาทาน) ต้องให้ทานกับผู้มีคุณธรรมสูงต้องให้ทานที่มีอานิสงส์สูงสุด (ธรรมทาน) ฯลฯ
   

997.
เรียนอาจารย์ ดร.สนอง

มีโอกาสเปิดlink web site มาเจอหน้ากัลยาณธรรมจึงขออนุโมทนาบุญที่ท่านได้ จัดกิจกรรมการตอบคำถามให้บุคคลต่างๆค่ะ และขอท่านช่วยตอบคำถามดิฉันหน่อยนะคะ
    1. การเลือกที่จะทำงานในชีวิตต่อไปเพื่อเลี้ยงดูบิดามารดา กับการเลือกที่จะไปหาที่สงบเพื่อเร่งความเพียรพัฒนาจิตและสติเพื่อให้หลุดพ้น ด้วยเห็นว่าเวลานาทีทองในการเป็นมนุษย์นั้นสั้นนัก ควรเลือกอย่างไรดีคะ
   (ที่ผ่านมาใช้วิธีระลึกสติรู้ตามการเคลื่อนไหว หรือรู้ตามใจที่วิ่งไปมา ซึ่งจะทำได้เวลาสั้นๆ ในทุกครั้งที่ว่างๆ แต่รู้สึกว่าจิตไม่ได้ทำต่อเนื่องนานพอจะตั้งมั่นเป็นสมาธิขั้นสูงได้ จึงเกิดคำถามข้อนี้น่ะค่ะว่าจะหยุดงานทางโลกดีไหม)

   2.เคยไปทำสังฆทาน เห็นว่าทางวัดใช้วิธีเวียนถังสังฆทานที่เราถวายแล้วไปตั้งขายใหม่ เช่นนี้ผิดหรือถูกตามข้อธรรม หรือพระวินัยอย่างไร และเราควรทำบุญกับวัดแบบนี้หรือไม่คะ

   3.ได้อ่านประวัติพระสาวกเช่นพระสารีบุตร ได้รับการพยากรณ์ล่วงหน้าว่าอีก 1แสนกัปป์จะได้เป็นสาวกของพระสมณโคดม ลักษณะนี้แสดงว่ากาลข้างหน้าของบุคคลใดถูกกำหนดไว้แล้วหรือ ไม่ใช่ถูกกำหนดด้วยกรรมเก่า + กรรมใหม่หรอกหรือคะ

ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำค่ะ
ยุวลักษณ์

คำตอบ
   (1) ผู้ใดเลี้ยงดูพ่อแม่(กตัญญูกตเวที ผู้นั้นมีความเป็นอยู่ราบรื่นมีความสุข และกิจการงานในทางโลกรุ่งเรือง แต่ในทางธรรมผู้ใดพัฒนาจิตตนเองจนเป็นอิสระจากโลกธรรม อิสระจากวัตถุ อิสระจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ฯลฯ ได้ ผู้นั้นมีชีวิตสงบมีชีวิตเป็นอิสระ และหากทำได้อย่างพระพุทธะ คือช่วยผู้อื่นให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ นั่นคือคุณค่าสุดยอดของชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ฉะนั้นผู้ถามปัญหามีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเองผู้รู้รวมถึงผู้ตอบปัญหาเป็นได้เพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น

   (2) ผู้ฉลาดในการบำเพ็ญทาน เมื่อถวายสังฆทานแล้วเสร็จได้บุญเต็มร้อย ผู้ไม่ฉลาดในการบำเพ็ญทานเมื่อถวายสังฆทานแล้วเสร็จถือว่าได้บุญ เมื่อตามดูทานที่ได้ถวายไปแล้วเกิดมีอกุศลจิตขึ้นถือว่าได้บาป ฉะนั้นผู้ไม่ฉลาดในการบำเพ็ญทานจึงได้ทั้งบุญ ได้ทั้งบาป

ด้วยเหตุนี้ ผู้ถามปัญหาต้องดูใจตัวเองให้ออก หากยังมีความเห็นผิดต้องแก้ไขที่ใจตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจว่าจะถวายสังฆทานเป็นแบบไหน

   (3) ผู้ที่จะพยากรณ์ชีวิตของผู้อื่นได้ล่วงหน้ายาวนานเป็นแสนกัป และพยากรณ์ได้ถูกตรง มีแต่ผู้ที่เป็นสัพพัญญูเท่านั้นที่จะพยากรณ์เช่นนี้ได้ เหตุเพราะผู้มีความเป็นสัพพัญญูต้องสร้างและสั่งสมบารมีมาครบทั้งสามระดับคือบารมีธรรม อุปบารมีและปรมัตถบารมีสั่งสมบารมีมามากถึง 30 ทัศ และสั่งสมบารมีมายาวนานอย่างน้อยยี่สิบอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัปเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ได้ เพราะผู้มีความเป็นสัพพัญญูสามารถรู้ถึงกรรมเก่าที่บุคคลผู้ถูกพยากรณ์ได้ทำสั่งสมมาและรู้ความแน่วแน่มั่นคงในการทำกรรมใหญ่ ที่ให้ผลได้ถูกตรงตามคำอธิษฐาน จึงพยากรณ์ได้ถูกตรงเป็นระยะเวลายาวนานล่วงหน้าเช่นนี้

   สรุปแล้ว ผู้ใดได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็ตามผลแห่งการพยากรณ์จะเป็นเช่นนั้นได้ ต้องเนื่องด้วยเหตุแห่งกรรมเก่าที่ทำสั่งสมมายาวนาน และยังเนื่องด้วยเหตุแห่งกรรมใหม่ที่ต้องทำต่ออีกยาวไกล และทำเหตุได้ถูกตรงกับคำพยากรณ์
  

996.
สวัสดีค่ะอาจารย์

เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้า และถูกต้องตามแนวทางของพระพุทธเจ้า จะสังเกตุได้จากอะไร

เคยได้ยินว่า ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมให้บรรลุ จะต้องเคยปฏิบัติมาแล้วหลายภพ หลายชาติ อย่างนี้หากหนูเพิ่งเคยเริ่มปฏิบัติธรรมในชาตินี้เป็นชาติแรก หนูก็คงไม่บรรลุธรรมได้ใช่ไหมคะอาจารย์

การใช้ชีวิตตามปกติ โดยถือศีล 5 อย่างเดียว จะไม่มีโอกาสบรรลุธรรมได้ใช่ไหมคะ

ทุกวันนี้อาจารย์ใช้ชีวิตประจำวันอย่างไรคะ ที่จะควบคู่ไปกับการทำตามหลักคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา

คำตอบ
    ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา ด้วยวิธีการใดก็ตามแล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ หรือมีอารมณ์ปรุงแต่งของจิตระงับลงได้การปฏิบัติสมถภาวนานั้นถูกต้อง และผู้ใดใช้จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือเห็นทุกสิ่งไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็นก็จะเกิดขึ้น อย่างนี้จึงจะถือได้ว่าปฏิบัติธรรมได้ถูกตรงตามแนวของพระพุทธ

   ผู้ถามปัญหาน้อมนำตัวเองมาปฏิบัติธรรม มิได้หมายความว่าตัวเองได้เริ่มปฏิบัติเป็นชาติแรก แท้จริงเคยปฏิบัติมาแล้วหลายชาติที่ผ่านมาในอดีต ฉะนั้นสมมุติฐานที่ตั้งไว้ว่า “ หากเพิ่งเคยปฏิบัติธรรมในชาตินี้เป็นชาติแรก ” จึงเป็นสมมิตฐานที่เกิดขึ้นจากการมีปัญญาเห็นผิด

   การรักษาศีลห้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้จิตเข้าถึงการบรรลุธรรมขั้นมีดวงตาเห็นธรรมได้ คือยังไม่เกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าสรรพสิ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสรรพสิ่งย่อมมีการดับไปเป็นธรรมเช่นกัน

   ผู้ตอบปัญหาใช้สติกับสัมปชัญญะขั้นโลกุตตระส่องนำทางให้กับชีวิตัวเอง ดำเนินไปถูกตรงตามธรรมและวินัยที่พระพุทธโคดมบัญญัติไว้ โดยมีจิตเป็นอิสระจากโลกธรรม เป็นอิสระจากวัตถุและเป็นอิสระจากกิเลสที่จะนำไปสู่การเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ จึงได้นำธรรมที่เข้าถึงแล้วออกเผยแผ่สู่ใจมวลชน
  

995.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร

ดิฉันขอความกรุณาจากท่านโปรดแนะนำวัดในจังหวัดเชียงใหม่ ที่สอนการเจริญสติ แนวสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางที่ถูกต้องด้วยค่ะ ดิฉันคาดว่าจะไปหัดแบบเริ่มต้นอย่างถูกต้องในช่วงปลายปีนี้ ถึงต้นปีหน้า ขอให้ท่านโปรดให้ความอนุเคราะห์ด้วยค่ะ จริงๆ แล้วดิฉันก็อยากที่จะไปวัดอัมพวันของท่านหลวงพ่อจรัล แต่ที่นั่นคนเยอะมากค่ะ ดิฉันอยากได้วัดที่สงบและคนไม่พลุกพล่านค่ะ

ขอขอบพระคุณท่านมากค่ะ
ศิรประภา วราวิทย์

คำตอบ
    แนะนำวัดพันหลัง สำนักปฏิบัติธรรม ตาณัง เลณัง อำเภอ ดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ต้องติดต่อด้วยตัวเองกับอาจารย์พระมหาประจาก
    

994.
เรียน อจ สนอง

ช่วงนี้พยายามทำดี ทำใจให้มีเมตตา พยายามถือศีล ให้ได้ 8 ข้อ แต่จะผิดข้อพูดทุกครั้ง ช่วงก่อนๆ อดทนทำกับครอบครัวดี วันนี้เกือบทำครอบครัวแตก ทะเลาะค่ะ กับพ่อแม่น้อง พ่อก็ให้อภัยมา ท่านบอกว่างี้ค่ะ ส่วนแม่ไม่คุยด้วยเลย ขอโทษทั้ง 3 คนแล้ว หนูจะทำยังไงให้เลิกทำบาปนี่ได้ซะทีค่ะ หนูบาปมากเลยใช่มั๊ยค่ะ

กรุณาตอบด้วยค่ะ

คำตอบ
    ต้องหมั่นให้อภัยบ่อยๆ ให้อภัยกับทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจใหม่ๆ ทำได้ยากไม่เป็นไร แต่เมื่อให้อภัยบ่อยๆ จนมีกำลังของเมตตาเพิ่มขึ้นโทสะก็จะลดลงไปได้เอง และหากเมื่อใดใจเมตตามีเต็มร้อย โทสะก็ไม่สามารถแสดงตัวให้ปรากฏได้อีกต่อไป ... พิสูจน์ดูสิแล้วจะประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง
    

993.
สวัสดีค่ะอาจารย์ ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ

จิตอิสระ มีความแตกต่างกับ จิตว่างอย่างไรคะ ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง คืออะไร และเห็นเป็นอย่างไรจึงเรียกว่าเห็นแจ้ง

ฌาน คือ อะไร

อยากให้อาจารย์ช่วยเรียงลำดับขั้นในการฝึกปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เริ่มขั้นแรก จนถึงขั้นสุดท้ายให้ด้วยค่ะ

หลังจากหนูสวดมนต์สั้น ๆ เสร็จแล้ว แผ่เมตตา แล้วจะทำสมาธิ การทำสมาธิจะต้องบอกหรือกล่าวคำอะไรก่อนหรือไม่ และหลังจากออกสมาธิ ต้องแผ่ส่วนกุศลอีกครั้งไหมคะ เพราะตอนแรกเราแผ่เมตตาไปแล้ว

ถ้าหากหนูเริ่มนั่งสมาธิด้วยการภาวนา พุธโธ ตลอดระยะเวลา 15 นาที แล้วก็พอ ถือว่าเป็นการทำสมาธิที่ถูกต้องไหม จะได้บุญไหมคะ

พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประเทศไทยไหมคะ

การที่พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน ท่านต้องการจากไปเอง หรือเป็นเพราะร่างกายถึงแก่เวลาอันควร จึงจากไป

คำสวดมนต์ต่าง ๆ ใครเป็นผู้คิดค้น

2 - 3 เดือนก่อน หนูออกหัดค่ะ เกือบตายอยู่ 4 - 5 ครั้ง ในช่วงไม่ถึงเดือน เพราะหายใจไม่ได้ ตอนที่หายใจไม่ได้รู้สึกกลัว คิดแต่ว่าจะทำยังไงถึงจะสามารถหายใจให้ได้ ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย เพราะมันตกใจมาก ๆ อยากทราบว่าถ้าเกิดในช่วงเวลานั้นหนูตายขึ้นมาจริง ๆ หนูจะตกนรกใช่ไหมคะอาจารย์ เพราะจิตไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ดี ๆ

คราวต่อไปถ้าหนูเกิดเฉียดตายขึ้นมาอีก หนูควรจะปฏิบัติตนอย่างไรดีคะ

รบกวนด้วยค่ะ

คำตอบ
    จิตอิสระ หมายถึงจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบจิต จิตรู้ทันจึงไม่รับเอาสิ่งกระทบใดๆ เข้าปรุงอารมณ์และจิตอิสระสูงสุดก็คือ จิตที่ปราศจากกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์10) ให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสาร

   จิตว่าง หมายถึงว่างจากการปรุงอารมณ์ เช่นการมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นฌาน สิ่งกระทบภายนอกใดๆ ไม่สามารถทำให้จิตของผู้ทรงฌานเกิดอารมณ์ขึ้นได้ บุคคลประเภทนี้จึงถูกเรียกว่ามีจิตว่าง

   ปัญญาเห็นแจ้งคือเห็นสิ่งต่างๆ ถูกตรงตามที่เป็นจริงแท้ คือเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้น แล้วมีการดับไปเป็นธรรมดา หรือหมายถึงเห็นสรรพสิ่งไม่มีตัวตนแท้จริงเพราะมีการดับสลายในที่สุด หรือเห็นแจ้งว่าความไม่รู้จริง(อวิชชา) หมดไปจากใจได้เมื่อใด การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารจะไม่เกิดขึ้นได้อีกฯลฯ

   ฌานคือ สภาวะของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) หรือคือสภาวะของจิตที่มีความสงบประณีตนั่นเอง

   การปฏิบัติธรรมมีสองอย่างคือ การพัฒนาจิตให้สงบเป็นสมาธิ (สมถภาวนา) และพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) การสวดมนต์เป็นการฝึกจิตให้มีสติ การฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องนำเอากรรมฐานที่เหมาะกับจริตอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน 40 มาเป็นองค์บริกรรมให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วต่อด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งด้วยการพิจารณาสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ให้เห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ การพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งในปัจจุบันนิยมไปปฏิบัติตามสำนักปฏิบัติธรรมที่เหมาะสม

   เรื่องการแผ่เมตตาโปรดดูจากเว็บไซด์ ข้อ 929 (1) ส่วนบุญกุศลที่มีอยู่ในจิตของผู้ใดแล้ว สามารถอุทิศให้กับผู้อื่นได้ทุกเวลาตามจิตปรารถนา

   การทำสมาธิที่ถูกต้องปฏิบัติได้หลายวิธี แต่ทุกวิธีต้องเข้าถึงความมีจิตตั้งมั่นอยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน ถ้าไม่ได้ผลตามนี้เรียกว่าปฏิบัติไม่ถูกต้อง ผู้ใดมีจิตตั้งมั่นได้แล้วเรียกว่าเป็นผู้มีบุญได้

   ที่ถามว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประเทศไทยไหมคะตอบว่าไม่เคยเสด็จมาประเทศไทยเพราะสมัยนั้นยังไม่มีประเทศไทย

   คำว่านิพพาน ตามความรู้แจ้งของพระพุทธโคดม หมายถึงการดับรู้ดับนามจึงไม่มีรูปนามต้องเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารได้อีกส่วนการตายนั้นดับได้แต่รูปเพียงอย่างเดียวไม่ถือว่านิพพาน

   คำสวดมนต์ต่าง ๆ คิดขึ้นโดย พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า เทวดา สงฆ์สาวก ฯลฯ

   เป็นไปได้หากจิตคิดชั่ว ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ ส่วนจะถึงนรกหรือไม่ขึ้นอยู่ประเภทของความชั่วที่จิตระลึกได้ก่อนตาย หากประสงค์ไปเกิดในภพที่ดี ควรพัฒนาจิตให้มีสติอยู่เสมอ แล้วสุคติภพย่อมเป็นที่หวังได้
  

992.
กราบสวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

   หนูขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ที่เมตตาเหล่าญาติธรรม ยอมสละเวลาของท่านอาจารย์ที่จะช่วยให้ความกระจ่างแก่ผู้สนใจปฏิบัติธรรม และหนูยินดีมีความสุขที่ได้อ่านคำถาม-คำตอบ ของญาติธรรมทั้งหลายที่ได้เขียนถามท่านอาจารย์ เพราะยิ่งมากข้อคำถาม ก็หมายความว่ามีผู้สนใจปฏิบัติธรรมมากขึ้น ขออนุโมทนาบุญกับญาติธรรมทุกท่านด้วยค่ะ

หนูมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการของสมาธิ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเข้าใจถูกต้องหรือไม่

   1 เมื่อเดือน มีนาคม 51 หนูไปปฏิบัติธรรมของยุวพุทธ ปทุมธานี คลอง 3 ภาวนายุบหนอ-พองหนอ อยู่ๆ คำบริกรรมหายไป ตัวหายไป ปรากฎดวงกลมสีขาวสว่าง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 นิ้ ประมาณ2-3 วินาที เมื่อรู้ว่าคำบริกรรมหายและตัวหาย จึงได้บริกรรมยุบหนอ-พองหนอ และดวงกลมดังกล่าวก็หายไป

ถาม อาการดังกล่าวเป็นเรื่องของสมาธิที่มากแต่สติตามไม่ทันใช่ไหมคะ หนูจึงไม่รู้ว่าคำบริกรรมหายไปตอนไหน และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเห็นอะไร ตัวหายไป ก็กลับมาบริกรรมยุบหนอ-พองหนอต่อ ถูกต้องหรือไม่ หรือต้องบริกรรมเห็นหนอๆ จนกว่าดวงกลมสีขาวหายไป แล้วค่อยพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นลำดับต่อไปคะ การเห็นดวงกลมสีขาว กำลังอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิหรือเปล่าคะ

   2 ต่อมา 5 สิงหาคม 51 หนูได้พบหลวงตา วัดอโศการาม สมุทรปราการ หนูได้พูดคุยกับท่านเป็นเวลา 1 ชม. ท่านเมตตาเทศน์เกี่ยวกับเรื่องไม่ให้ยึดกับอดีต การวางใจกับปัจจุบัน การวางใจในการปฏิบัติงาน และความคิดไม่ดีที่อยู่ในใจ(ท่านเทศน์ตรงจุดจี้ใจดำ จนหนูสงสัยว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าหลวงตาใช้วิธีแบบที่ท่านอาจารย์ใช้เวลาไปบรรยายธรรม) และได้ถามท่านเกี่ยวกับข้อ 1 ท่านว่า ดวงกลมก็เป็นการบริกรรม หากทำแล้วเกิดขึ้นอีก ท่านให้ถามว่า "ผู้รู้อยู่ไหน" หลังจากที่พูดคุยกับหลวงตาแล้ว หนูมีความสุข และมีอาการซู่ๆซ่าๆในตัว อารมณ์สงบ และทรงอารมณ์นั้นต่อมานานประมาณ 3 วัน

ถาม ที่หลวงตาให้ถามว่า "ผู้รู้อยู่ไหน" หมายความว่าอย่างไรคะ เป็นวิธีการแตกต่างจากที่ท่านอาจารย์ให้ใช้การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างไร และที่เกิดอาการซู่ๆ ซ่าๆ มีความสุข นั่นเป็นอาการของปิติใช่ไหมคะ เหตุใดอาการปิติทรงอยู่ได้นานถึง 3 วัน

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    (1) ตอบว่าใช่ คำบริกรรมหายไปขณะที่จิตขาดสติ จึงไม่สามารถระลึกในคำที่นำมาใช้บริกรรมได้ เมื่อตัวหายไปแล้วทำให้จิตกลับมาสู่การมีสติเหมือนเดิม จึงระลึกได้ในคำบริกรรม พองหนอ-ยุบหนอ ได้อีก นั่นเป็นอีกตัวบ่งชี้จิตยังมีกำลังสติไม่กล้าแข็งนัก ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” ไปจนกว่าสิ่งที่ถูกเห็นหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม และหากจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้เมื่อใดต้องใช้จิตพิจารณาดวงกลมสีขาวที่เกิดขึ้นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อสิ่งที่ถูกเห็นผันเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งในการปรากฏของดวงกลมสีขาวก็จะเกิดขึ้น

   (2) “ ผู้รู้อยู่ไหน ” ตามที่หลวงตาถามนั้น มีจุดประสงค์ให้ใช้จิตตามดูสิ่งที่ปรากฎจนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็นก็จะเกิดขึ้น นั่นคือผู้รู้อยู่ไหน ก็อยู่ที่ปัญญาเห็นแจ้งนั่นเองและไม่ต่างจากที่ผู้ตอบปัญหาเคยชี้แนะไว้

   อนึ่งอาการซู่ซ่ามีความสุข คือปีติที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นวิปัสสนูปกิเลสที่คอยขัดขวางผู้ปฏิบัติมิให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ผู้รู้ฟังแล้วก็ให้สงสารผู้ถามปัญหา ที่รู้ไม่ทันกิเลสมาร จึงเอาจิตไปชื่นชมยินดีกับกิเลสตัวร้ายนานถึงสามวัน
   

991.
เรียนถาม อาจารย์นะครับ.

   กระผมเป็นคนที่ติดสุรา และ บุหรี่ คือดื่มทุกวันสูบทุกวัน จะมาวันนึงกระผมคิดอยากจะเลิก(ด้วยสุขภาพแย่ลงทุกวัน) แต่พยายามยังไงก้อเลิกไม่ได้สักที ครั้งนึงก้อเลยไปจุดธูปสาบานว่า ข้าพเจ้าจะเลิกให้ได้ ถ้าเลิกไม่ได้ ขอให้ข้าพเจ้า มีชีวิตที่แย่ลง..... แล้วกระผมก้อเลิกไปได้ไม่กี่วันเอง ก้อกลับมาสูบมาดื่มใหม่อีก โดยไม่มีสติระลึกนึกถึง ตอนที่ผมได้จุดธูปสาบานไว้เลย ขอสารภาพตามตรงว่ากระผมได้สาบานไว้หลายครั้งอยู่ที่เดียว แต่พอมีปัญหาเข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เงินทอง หรือ อะไรก้อแล้วแต่ กระผมก้อ จะไม่มีสติ แวะไปดื่มสุราอีก เพราะคิดว่าเมาหลับพรุ่งนี้ตื่นมาก้อ เริ่มต้นใหม่ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆมา จนมากระทั้งปัจจุบันนี้ ชีวิตกระผมเริ่มแย่ลงเรื่อยๆๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านฐานะทางด้านเงินทอง คนรอบข้างก้อไม่ค่อยจะยุ่งด้วยมากเท่าไหร่ แล้วอีกหลายๆ อย่าง ...... เดี่ยวนี้มีความเครียดมาก ไม่สามารถอดทนได้แม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ( ที่เคยอดทนได้ ) มีอารมณ์ฉุนเฉียว

    เรียนถาม อาจารย์ครับว่า กระผมจะแก้ปัญหาชีวิตอย่างไรดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผมเคยจุดธูปสาบานเอาไว้ แล้วจะทำอย่างไรให้ชีวิตมาดีได้เหมือนเดิม

   ผมหมดปัญญาจริงๆ เลยครับอาจารย์ กระผมอยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ เพราะว่าผมเชื่อเสมอว่า อาจารย์คือพูดที่รู้จริง .......

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
    จากเรื่องบอกเล่าไป ผู้ถามปัญหามีความประสงค์จะทำจิตให้เป็นอิสระจากเหล้า บุหรี่ และทำตามคำสาบานที่พูดไว้ไม่ได้ ผู้รู้ไม่เคยบอกให้ใครผู้ใดตามที่ตัวเองต้องการผู้รู้ทำได้เพียงแต่ชี้ทาง ส่วนปัญหาจะหมดไปได้ต้องแก้ด้วยตัวเองปัญหาดังกล่าวจะหมดไปได้ ต้องทำใจให้มีศีลห้าคุม แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมโดยมีความเพียรและสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน แล้วปัญหาที่บอกเล่าไปจึงจะหมดไปได้ ดังตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. 2518 ได้มีนักศึกษาอาชีวะท่านหนึ่ง ได้ติดยาเสพติดที่เรียกว่าเฮโรอิน ได้ไปบวชเป็นภิกษุปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดกปฏิบัติได้ไม่นานผลปรากฏว่า ภิกษุองค์นั้นมีจิตเป็นอิสระจากยาเสพติดเฮโรอินได้ แล้วยังมีจิตบรรลุธรรมของพระพุทธะอีกด้วย..สาธุ
   

990.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

ดิฉันมีคำถามจะกราบเรียนถามดังนี้ค่ะ
    1) การที่จะบรรลุธรรมในระดับโสดาบันนั้น ศีล 5 ต้องบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อยเลยใช่หรือไม่คะ

   2) การที่เราใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนโดยซื้อเท่าที่จำเป็นและไม่ได้ยินดีในการซื้อ และมีความรู้สึกว่าศีลไม่บริสุทธิ์เสมอจากการที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนอยู่ เทียบกับผู้อื่นที่ถือศีล 5 แต่ไม่ได้ซีเรียสเท่าโดยถือว่าซื้อเพราะความจำเป็น จากผู้ขายที่ไรท์แผ่นไว้ขายอยู่แล้วไม่ได้ลักขโมยจากผู้ขาย ดังนั้นศีลด่างพร้อยเล็กน้อยเท่านั้น ซื้อแล้วก็แล้วกัน ไม่คิดมาก ว่าศีลยังด่างพร้อยอยู่ ใครจะบาปกว่ากันคะ

   3) กรณีเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทลงซอฟต์แวร์เถื่อนให้พนักงานใช้ พนักงานด่างพร้อยในศีลข้อ 2 หรือไม่คะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากๆ ค่ะ ด้วยความนับถืออย่างสูง

ณพมาศ    

คำตอบ
    (1) ตอบว่าใช่ ศีลห้าด่างพร้อยหมายถึง ศีลที่มีกิเลสเจือปน ตัวอย่างเช่น พระภิกุที่ไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมาโสเภณีสาวงามแห่งแคว้นมคธ เมื่อภิกษุได้เห็นหน้าของสิริมาแล้วตกตะลึงมีจิตเป็นทาสของรูปที่เห็นจนไม่เป็นอันปฏิบัติธรรม อย่างนี้ถือว่ามีศีลด่างพร้อยเพราะกิเลสเข้าครอบงำใจ แม้กาย วาจา จะมิได้ละเมิดศีลก็ตาม

   (2) ผู้ที่ไร้ท์แผ่นซีดีขายประพฤติทุศีลข้ออทินนาทานอันดับแรก ผู้ที่ไปซื้อแผ่นซีดีเถื่อนมาใช้ถือว่าได้ร่วมอกุศลกรรมทุศีล กับผู้ไรท์แผ่นซีดีมาขาย เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผล ผู้ไรท์แผ่นซีดีได้รับผู้ของบาปมากกว่าผู้ไปซื้อแผ่นซีดีมาใช้

   (3) พนักงานผู้ใดใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทฯ ถือว่าได้ร่วมในอกุศลกรรมกับบริษัทฯจึงมีศีลด่างพร้อย แต่ด่างพร้อยน้อยกว่า
   

989.
กราบเรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

   1.ดิฉันอยากทราบว่าการบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สิ่งที่เราปรารถนานั้นสำเร็จ มีอยู่จริงหรือไม่คะ เพราะตัวดิฉันเองก็เคยบนค่ะ แต่ไม่เคยสำเร็จ

   คำบนบานที่ดิฉันเคยขอไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพระพุทธ หรือศาลพระภูมิ ที่ไม่สำเร็จดิฉันเลยไม่ได้นำสิ่งของมาแก้บน แต่รู้สึกไม่สบายใจเลย แต่ก็จำไม่ได้ด้วยว่าบนด้วยอะไร จึงอยากจะขอยกเลิกคำบนบานดังกล่าวต่อพระพุทธ และศาลพระภูมิ ควรจะทำอย่างไรคะ

   2. การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน เวลาที่เรารู้สึกคัน เราก็ต้องคิดว่าคันหนอ คันหนอ จนกระทั่งความรู้สึกคัน นั้นหายไป แต่จะคิดอย่างไรให้การคันเกิดเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายด้วยค่ะ และอยากให้ยกตัวอย่างการพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ใหด้วย เช่น การเดิน , การอดทนต่อความโกรธที่มีคนมาด่าว่า ตำหนิ , ความเจ็ดปวดทรมานจากบาดแผล ,

    ขอรบกวนอาจารย์ด้วยนะคะ เพราะดิฉันฝึกวิปัสสนาฯ จากการอ่านหนังสือค่ะ ไปวัดไม่ได้ เพราะต้องทำงานหนักทุก ๆ วัน ภาระเยอะเหลือเกิน

คำตอบ
    (1) สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผู้ใดพัฒนาใจตัวเองให้มีศีลและมีธรรมคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่นผู้นั้นศักดิ์สิทธิ์มีเทวดาคุ้มรักษาแล้ะถ้าจะให้ตัวเองมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น ต้องพัฒนาใจให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลในพุทธศาสนา แล้วไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกอื่นใดมาบันดาลให้ตัวเองประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา

   (2) ผู้ใดพัฒนาจิตได้เพียงสมาธิขั้นต้น (ขณิกสมาธิ) เมื่อเกิดอาการคัน ต้องกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆ ” จนกว่าอาการคันหายไป แต่หากผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงอุปจารสมาธิได้แล้วต้องใช้จิตตามดูอาการคันตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการคันเข้าสู่ความเป็นอนัตตาคืออาการคันไม่มีตัวตนแท้จริง อาการคันจะหายไปแล้วปัญญาเห็นแจ้งในอาการคันก็จะเกิดขึ้น

   การเดินดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน เมื่อใดจิตเห็นการก้าวเดินของขาหยุดลง (อนัตตา) การเดินจะไม่มีแล้วปัญญาเห็นแจ้งในการเดินจะเกิดขึ้น ส่วนการอดทนต่อความโกรธ เกิดขึ้นได้กับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ ผู้ใดพัฒนาขันติให้มีอยู่กับใจจนมีมากเป็นขันติบารมีได้แล้วจึงจะสามารถอดทนต่อความโกรธได้แต่ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง จิตเห็นความโกรธดับไป (อนัตตา) ตามกฎตของไตรลักษณ์ ความโกรธจึงไม่ใช่ตัวตน จิตปล่อยวางความโกรธ จิตเป็นอิสระต่อความโกรธ แล้วจิตว่างเข้าสู่อุเบกขารมณ์ ผู้มีปัญญาเห็นแจ้งเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ขันติบารมีมาต้านความโกรธอันเป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมติดลบ ส่วนการเจ็บปวดทรมานเป็นทุกขเวทนาก็ดับไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน จิตปล่อยวางทุกขเวทนาเพราะไม่มีตัวตนและว่างเข้าสู่อุเบกขารมณ์ได้เช่นเดียวกัน
  

988.
สวัสดีค่ะ

ดิฉันมีปัญหาสงสัยว่า กรณีดิฉัน ถือว่าบาปหรือไม่
ด้วยดิฉันเคยนำเค้กที่เหลือจากคืนวันเกิด ซึ่งเหลืออยู่ในกล่องเค้ก (ทานไปชิ้นเดียว) นำมาแบ่งได้อีก 4 ชิ้นใส่บาตรในตอนเช้า ถ้าบาปต้องแก้อย่างไร

ขอบคุณมากค่ะ

คำตอบ
    เมื่อใดที่จิตยังระลึกได้ว่า ขนมเค้กที่ตัวเองกินเหลือไว้ แล้วนำไปใส่บาตร ถือการกระทำเช่นนั้นว่าเป็นเดนทานเมื่อใดระลึกถึงบาปก็จะเกิดขึ้น หากปรารถนามิให้บาปนั้นหวนกลับมาสู่จิตสำนึกได้อีก ต้องไปสารภาพผิดและขอขมากรรมต่อหน้าพระรัตนตรัยแล้วต้องไม่ประพฤติเช่นนั้นให้เกิดขึ้นอีก พร้อมทั้งปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาอยู่เสมอ แล้วโอกาสพ้นไปจากบาปที่เคยทำย่อมเกิดขึ้นได้
   

987.
เรียนอาจารย์ที่เคารพเป็นอย่างสูง

กระผมได้ปฏิบัติธรรมโดยการเจริญอานาปานสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ผมไปติดตรงที่นั่งแล้วไปจับอารมณ์ที่ไม่มีตัวตนคือ รู้สึกว่าตัวหายไปและไม่รู้สึกว่าตัวเองหายใจอยู่ ผลคือทำให้นั่งสมาธิได้นานสบายและยังมีความรู้สึกว่านั่งแป๊ปเดียวแต่เวลาผ่านไปนานแล้ว ไม่ทราบว่าจะแก้อย่างไรครับ? ติดปัญหานี้มาหลายปีแล้วครับ..

ด้วยความเคารพอย่างสูง
เนธิวรรธน์ สิงห์ทอง

คำตอบ
    ปรากฏการณ์ที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไปเคยเกิดกับผู้ตอบปัญหาในครั้งที่ไปปฏิบัติธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยท่านเจ้าคุณโชดก ทราบสภาวะจิตของผู้ตอบปัญหาด้วยเจโตปริยญาณท่านบอกให้ถอนจิตออกมาจากการเสวยอารมณ์ฌาน ดังที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไปให้ถอยจิตลงมาตั้งมั่นในระดับอุปจารสมาธิ แล้วใช้จิตพิจารณา สติปัฏฐาน 4 ตามกฎไตรลักษณ์ แล้ววิปัสสนาญาณจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
  

986.
กราบเรียนอ.สนองที่เคารพยิ่ง

คืนหนึ่งตอนกำลังนั่งสมาธิไปครู่ใหญ่ ก็รู้สึกหน้าร้อนวูบ,ศีรษะร้อน,หัวใจเต้นแรงมากๆ เหมือนหายใจไม่ทันเลยค่ะ พอถามพระปฏิบัติรูปหนึ่ง ที่เป็นพระอาจารย์ ท่านบอกว่าเป็นเพราะไม่ได้แผ่บุญ นั่งแล้วบุญกุศลมันเยอะ จะมีอาการอย่างนี้

1. ที่จริงเวลาจะออกจากสมาธิ ก็จะแผ่บุญไปทุกครั้ง แต่ทำไมเป็นอาการขณะยังไม่ได้เลิกนั่งล่ะคะ อาจารย์กรุณาพิจารณาว่าที่พระบอกหนู จริงรึเปล่าคะ
2. ตอนหนูแผ่บุญ ส่วนใหญ่รู้สึกเย็นวูบวาบตามตัวด้วยค่ะ

ขอความกรุณาอาจารย์ตอบข้อสงสัย จะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (1) จริงตามที่พระสงฆ์องค์นั้นบอก แต่ไม่จริงตามที่ผู้รู้บอกกล่าว

    (2) อาการเย็นวูบวาบในขณะอุทิศบุญกุศลมีโอกาสเกิดขึ้นจากอมนุษย์ที่มาอนุโมทนาบุญ อมนุษย์พยายามสื่อให้ผู้อุทิศบุญได้รับทราบว่าเขาได้รับบุญแล้ว ซึ่งอาการเย็นวูบวาบเป็นวิธีหนึ่งของผลแห่งการสื่อของเขา และจากประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหาได้อุทิศบุญให้กับผีตายโหง แล้วเขามาสื่อให้ทราบด้วยการแสดงกลิ่นเหม็นของซากศพมนุษย์ให้เข้ากระทบฆานประสาท ตรงกันข้าม เมื่ออุทิศบุญให้กับเทวดา เขามาสื่อให้ทราบด้วยการแสดงกลิ่นหอมที่ไม่มีในโลกมนุษย์เข้ากระทบฆานประสาทเช่นเดียวกัน
     

985.
สวัสดีค่ะ อาจารย์สนองที่เคารพรัก

ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ บุญ ที่อาจารย์ได้สั่งสมไว้แล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันวันนี้ และธรรมใดที่ท่านอาจารย์ได้พบแล้ว บรรลุแล้ว ขอให้หนูได้พบธรรมนั้น บรรลุธรรมนั้นด้วยค่ะ

ขอกราบเรียนถามดังนี้ค่ะ
    1. เมื่อปิดเปลือกตาเพื่อจะนอน (ไม่ได้ฝันค่ะ) เห็นเป็นแสงสีขาวกระพริบในลูกตา เหมือนเราเห็นดาวกระพริบในท้องฟ้าเต็มไปหมด มีอาการแบบนี้ติดต่อกันหลายครั้ง จนคิดว่าอาจมีปัญหาที่ประสาทตา กำลังคิดจะไปพบจักษุแพทย์ แล้ววันหนึ่งพอหลับตาเลยใช้วิธีจ้องไปที่แสงสีขาวจุดๆ หนึ่ง อยู่ๆ แสงสีขาวนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว และ รู้สึกว่าแสงนั้นสว่างโพลงเต็มตา เต็มหน้า จากนั้นแป๊บเดียวก็ดับมืดทันที เหมือนคนปิดสวิตไฟ หลังจากนั้นก็ไม่พบอีก
   รบกวนสอบถามอาจารย์ค่ะ ปรากฎการณ์นี้คืออะไรคะ สำหรับหนูในใจขณะนั้นคิดว่านี่คือการเกิดดับของอะไรสักอย่างค่ะ

    2. การขายเครื่องสำอาง อาชีพเสริมสวย เป็นอาชีพอันตรายไหมคะ พึ่งจะได้งานใหม่ค่ะ ในใจก็กังวลว่าจะก่อให้เกิดโมหะ แล้วอาจสร้างบาปหรือไม่ค่ะ ตอนนี้ก็ภาวนาขอพรจากพระพุทธเจ้าให้หนูได้มีอาชีพที่ถูกต้องตามธรรม ไม่อยากให้มีบาปติดตัวไป

กราบขอบพระคุณค่ะ
พัฒน์

คำตอบ
    (1) ภาพที่ปรากฏเป็นผลที่เกิดขึ้นจาก จิตมีความตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ ผู้ใดประสงค์พัฒนาจิตให้มีความตั้งมั่นที่สูงขึ้น ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าภาพที่ปรากฏจะหายไป และไม่กลับมาเกิดขึ้นอีก

   (2) ในทางโลกถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมายแต่หากผู้ใดปรารถนา นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ต้องไม่นำตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมมิจฉาอาชีวะ ตามที่ระบุไว้ในมรรค 8 เพราะการประกอบอาชีพดังกล่าว เป็นการส่งเสริมให้จิตมีโมหะเพิ่มมากขึ้น
   

984.
หนูมีปัญหาขอรบกวนถามท่านอ.ดังต่อไปนี้

   1. หนูเกิดและโตที่บ้านยายซึ่งติดริมนำ มีศาลปึงเท้ากง และศาลพระภูมิตั้งไว้ เมื่อยังเล็กเป็นเด็กที่ไม่กลัวอะไรแต่ มักจะเห็นอะไรแปลก ๆ เช่นเห็นดวงวิญญาณพี่ชายที่ตกน้ำเสียชีวิต เป็นดวงไฟลอยมาเข้าในรูปปั้นจำลองรูปพี่ชายซึ่งตั้งไว้ด้วยตาเปล่า เมื่อหนูทำอะไรผิดก็จะมีดวงวิญญาณในรูปของสิ่งต่าง ๆ มาสอน มาคอยให้กำล้งใจ ตอนตู๊กตาที่ตั้งไว้ศาลพระภูมิล้มหนูก็บังเอิญฝันว่าเทวดาในศาลล้มอยู่ในทิศทางเดียวกันและท่านทรมาณอยู่เมื่อตืนขึ้นมาดูต๊กตาก็ล้มเช่นนั้นจริง หนูก็จับตั้งขึ้น ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ได้ย้ายมาอยู่กับมารดา มีคืนหนึ่งฝันถึงปึงเท้ากงว่านำท่วมท่านลำบากอยู่และท่านบอกว่าท่านจะติดตามคอยช่วยหนูไปตลอด หนูเลยโทรศัพท์มาที่บ้านยายปรากฏว่านำท่วมมิดบ้านท่านจริง ๆ ศาลพระภูมิเองรู้สึกหนูก็ฝันเช่นเดียวกัน หนูจึงบอกให้ทางบ้านยายอันเชิญท่านขึ้นไปไว้ในบ้าน แล้วหนูก็ตั้งใจและบอกท่านไปว่าถ้าหนูได้ทำงานแล้วจะมาสร้างให้ท่านใหม่ ต่อมาหนูได้ทำงานแต่เมื่อดูจากสภาพแล้วหนูคงไม่สามารถสร้างบ้านให้ท่านใหม่ตามที่ตั้งใจไว้ได้เนื่องจากบ้านติดริมแม่นำในช่วงที่ถูกนำกัดเซาะมาก แม้บ้านก็ถูกนำกัดแซะจนเห็นเสาเข็มยังไม่รู้จะแก้อย่างไร ถามผู้รู้บอกว่าจะต้องใช้เงินมากประมาณศาลละ 200,000 บาท เพราะต้องลงเสาเข็มและสร้างปูนก่อขึ้นมาแล้วจึงตั้งศาลและก็คงไม่ทนเพราะนำก็ต้องท่วมและกัดเซาะอีก
- หนูคงไม่สามารถสร้างศาลให้ท่านทั้งสองจุดได้หนู่จะทำเช่นไรจึงจะเป็นการชดเชยสัจวาจาที่กล่าวไปแล้วไม่สามารถจะทำได้ ชดเชยให้ท่านอย่างไรได้บ้างคะถึงจะเลิกความรู้สึกติดที่ใจไปได้สักที

    2. ก่อนที่หนูจะได้ทำงานหนูได้บอกกล่าวบนบานไว้แต่ไม่ทราบว่าบนไว้กับผู้ใดบ้าง โดยบนบวชเนกขัมมะเป็นเวลา 90 วัน ต่อมาหนูก็ได้งานจริง ๆ แต่หนูไม่สามารถไปบวชได้พร้อมกันทั้ง 90 วัน และไม่รู้ว่าบนไว้กับผู้ใดบ้าง อีกทั้งก็ไม่รู้ว่าหากนับเวลาที่ไปทยอยบวชแล้วจะเกิน 90 วันหรือยัง และเวลาหนู่ไปบวชบางทีหนูก็บวชกับพระประธานเอาเองมิได้บวชกับพระที่รับบวชเนกขัมะโดยตรงไม่รู้จะใช้ได้หรือไม่
- หนูจะแก้ไขอย่างไรถึงจะไม่รู้สึกติดในใจว่าหนูยังติดการบวชแก้บนไว้ดังกล่าว
- บางทีหนูฝันเห็นจรเข้ แม่บอกว่าหนูบนไว้แล้วเขามาทวง จริงหรือไม่และจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร


   3. เวลาจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ที่รุนแรงหรือป่วยเจ็บของคนใกล้ชิดหรือของตนเองมักจะมีนิมิตเป็นความฝันก่อนล่วงหน้า หนูมักจะรู้ล่วงหน้าเสมอ เป็นเพราะอะไรคะ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอ.อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (1) หากสร้างศาลไว้ที่เดิมไม่ได้ ก็ย้ายไปสร้างในที่แห่งใหม่ที่น้ำท่วมไม่ถึง เมื่อสร้างแล้วเสร็จให้จุดธูปเชิญเจ้าที่เข้าไปอยู่ในศาลใหม่ หากมีปัจจัยไม่พอสร้างศาลใหม่ได้ ให้จุดธูปบอก “ ปึงเท้ากง ” ให้ช่วยหาวิธีหรือชี้ช่องทางให้ได้มาซึ่งทรัพย์บริสุทธิ์เพื่อจะนำมาสร้างศาลใหม่ในที่เหมาะสมให้

   (2) การ “ บนบาน ” ในศาสนาพุทธไม่มี ผู้ใดปรารถนาความสำเร็จในสิ่งใดต้องสร้างมหาทาน อธิษฐานและทำเหตุให้ถูกตรงผู้ใดกล่าววาจาใดออกไปแล้ว ไม่ประพฤติตามที่พูด ถือว่าผู้นั้นไม่มีสัจจะ

   เนกขัมมะ เป็นการประพฤตินำตัวออกห่างจากสิ่งเย้ายวนใจการบวชเนกขัมมะ (ปกตินิยมแต่งชุดขาว) เป็นการประพฤติกายใจให้มีศีล ผู้บวชเนกขัมมะนิยมนำตัวเข้าไปปฏิบัติที่วัดหรือสำนักปฏิบัติธรรม เพราะเป็นสถานที่เหมาะสม (สัปปายะ) กว่าประพฤติอยู่ที่บ้านซึ่งไม่สัปปายะ

   ตั้งใจบวชเนกขัมมะ 90 วัน หมายถึงตั้งใจบวชฯ ต่อเนื่องนาน 90 วัน จึงต้องประพฤติให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ หากมีสัจจะและประพฤติได้ถูกตรงตามที่ตั้งใจ ความรู้สึกผิดในจิตจึงจะหมดไปได้

   อนึ่งการฝันเห็นจระเข้ ทั้งความฝันและจระเข้ที่ถูกเห็นเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ผู้ใดปฏิบัติจิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับสัตว์ที่เห็นปัญหาที่เกิดจากความฝันก็จะหมดไป
   

983.
เรียน อาจารย์ สนอง ที่เคารพ

   ผมเป็นสัตวแพทย์ที่ได้ถามคำถามที่ 970 ผมเปิดคลีนิกรักษาสัตว์ ในวันหนึ่งๆ งานของผมต้องเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัดถึงประมาณ 30% เป็นต้นว่า ฉีดยาป้องกันและกำจัดเห็บหมัดให้ตัวสุนัขที่มาบริการ, การรักษาโรคบางโรคที่มีเห็บเป็นตัวนำโรคต้องกำจัดเห็บซะก่อนจึงทำการรักษา, กำจัดเห็บหมัดภายในคลีนิกและบริเวณที่พักสัตว์ป่วย รวมถึงการจำหน่ายยากำจัดเห็บหมัดให้ลูกค้า แต่ผมมีใจมุ่งหวังที่จะปฏิบัติธรรมให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งต้องมีศีล 5 ครองใจให้ได้ก่อน ดังนั้นผมจึงมีคำถามที่จะถามอาจารย์ดังนี้

   1. ถ้าผมเลิกการกระทำดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัด แต่ยังให้คำปรึกษาลูกค้าเกี่ยวกับวิธีการกำจัดเห็บหมัด และแนะนำสถานที่ที่จะซื้อยากำจัดเห็บหมัดได้ ผมยังมีความบกพร่องเกี่ยวกับการรักษาศีลหรือไม่ครับ

   2. ถ้าผมเลิกการกระทำดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัด ก็คงต้องเสียลูกค้าไปพอสมควร เพราะเขาคงไปใช้บริการกำจัดเห็บหมัดที่คลีนิกอื่น และย้ายไปรักษาโรคอื่นๆ ที่คลีนิกอื่นด้วยตามที่เขาย้ายไปรักษาเห็บ ซึ่งสัตว์ที่เคยมารักษาโรคกับผมเป็นสัตว์ที่เคยมีปัญหาเรื่องเห็บหมัดมากกว่า 50% จึงอยากจะถามความคิดเห็นของอาจารย์ว่า ถ้าผมเลิกการกำจัดเห็บหมัดก็ถือว่าสามารถรักษาศีล5 ได้ ผลบุญตรงนี้พอจะช่วยหนุนให้ผมมีลูกค้าด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเห็บหมัดเพิ่มขึ้นได้ไหมครับ หรือผลบุญตรงนี้จะช่วยประคองไม่ให้กิจการของผมต้องล้มลงเพราะการเสียลูกค้าตรงนี้ไปได้หรือไม่ครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
   ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
    (1) การให้คำปรึกษาหรือแนะนำดังที่บอกเล่าไปถือว่ายังมีส่วนร่วมในกระบวนการทุศีลข้อปาณาติบาต สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่จะนำจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) อันเป็นฐานนำไปสู่การพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งจะยังเกิดขึ้นไม่ได้

   (2) การเลิกอาชีพกำจัดเห็บหมัด รวมถึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำให้จิตวิญญาณของสัตว์อื่นๆ ต้องพรากออกจากร่าง ไม่ถือว่าผิดศีลข้อปาณาติบาต รวมถึงไม่ประพฤติทุศีลอีกสี่ข้อที่เหลือ จึงจะเรียกได้ว่าสามารถรักษาศีล 5 ได้

   ผู้ใดมีศีล 5 อยู่กับใจได้แล้ว ความมีอายุยืนปราศจากโรคความมีทรัพย์ปลอดภัย ความเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ความมีสติตั้งมั่น ฯลฯ ย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ และเช่นเดียวกันผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ให้ทานอยู่เสมอ มีศีล 5 คุมใจอยู่เสมอ และมีการปฏิบัติจิตตภาวนาอยู่เสมอ ทั้งสามนี้เป็นคุณธรรมที่นำสู่การมีชะตาดี (ดวงดี) ผู้มีชะตาดีย่อมมีความเจริญในกิจการงานและการดำเนินชีวิต
  

982.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพรัก

   จากคำตอบข้อ 973 ซึ่งอาจารย์แนะนำให้ไปขอขมากรรมต่อครูผู้อยู่ใกล้ (คือตัวอาจารย์น่ะค่ะ) เป็นเหตุที่ถูกต้องดีงาม ในวันอาทิตย์ที่ 23 พย.51 “ งานแสดงปฏิบัติธรรม ” หนูได้ลงทะเบียนทางไปรษณีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยเหตุนี้ หนูจักต้องปฏิบัติตนอย่างไรในวันนั้น เพื่อจะได้ทำตามคำแนะนำของครูบาอาจารย์ อาทิ เช่น พวงมาลัย เพื่อขอขมากรรม และจะมีบทเอ่ยอย่างไรกับท่านบ้างค่ะ จะได้มีความเจริญงอกงามทางจิตวิญญานยิ่งๆขึ้นไปน่ะค่ะ

ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

คำตอบ
    นำพวงมาลัยดอกมะลิสดไปกราบครูบาอาจารย์ แล้วขอขมาต่อหน้าท่านว่า ด้วยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม ที่หนูเคยมีต่อครูบาอาจารย์ ทั้งที่ตั้งใจและมิได้ตั้งใจ ไม่ว่าตั้งแต่ภพไหนๆ หากเป็นกรรมที่ล่วงเกินลบหลู่ดูหมิ่น อันเป็นเหตุนำมาซึ่งโทษภัยใดๆ ทั้งปวง หนูกราบขอขมาอาจารย์ ได้โปรดยกโทษให้หนูด้วย
      

981.
ขอความเมตตากรุณาจากท่าน อ. อีกสักครั้ง

   ข้าพเจ้าเป็นผู้ส่งคำถามข้อ 958 และได้อ่านคำตอบแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดอธิบายแจ่มชัดในทุกขณะเกิดกับจิตเช่นนี้มาก่อนเลย นอกจากนั้นยังได้ส่งคำถามอีก 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการฟุ่มเฟือยและเป็นภาระแก่ท่านอ.มาก จึงแล้วแต่ความเมตตาของท่านที่จะตอบให้ข้าพเจ้าหรือไม่ก็ได้ ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง แต่เนื่องจากข้าพเจ้ายังมีจุดติดในดวงจิตที่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งให้ไม่อาจก้าวล่วงข้ามผ่านไปได้ขอเรียนถามคำถามท่านอ.กรุณาเมตตาอีกสักครั้งดังนี้

   1. เมื่อจิตก้าวไปจนถึงที่สุดแล้วติดไม่ว่าจะเป็นจากการพิจารณาทุกขเวทนา หรือตามดูจิตกรณีอื่น ๆ ขอท่านอ. ช่วยกรุณาเมตตาให้อุบายที่จะทำให้ข้าพเจ้า หากเมื่อเดินทางถึงจุดที่สุดที่ติดแล้ว สามารถยึดมาเป็นอุบายก้าวล่วงข้ามผ่าน ซึ่งถูกจริตกับข้าพเจ้า (จริตคือไม่โลภ ไม่เชื่อง่าย แต่วิตกจริต) เพื่อให้ได้ธรรมะขั้นต่อไปด้วย (เพราะเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาดูเช่นทุกขเวทนาที่คนปกติทนไม่ได้จนเห็นเปรียบเสมือนเป็นแค่แก่นแกนกลางของต้นไม้หรือเส้นกราฟชีวิตหรือดวงดวงหนึ่งหรือเส้นเส้นหนึ่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปข้ามผ่านไปได้แล้ว สักพักจิตก็สงบแล้วเข้าภวังค์แล้วดับวูบไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตตื่นขึ้นมา ก็จะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งต่อไปอีกแล้วก็เป็นอย่างเดิม วนเวียนเป็นวัฏจักรอย่างเดิมไม่รู้จักจบ ข้าพเจ้าจึงเกิดความเบื่อจิตไม่รู้จะพิจารณาไปทำไม จึงไม่มีแรงใจพิจารณาได้ตลอด ทุกข์เวทนาที่แรงกล้าเกินที่จะทนได้อยู่แล้วจึงได้เข้าครอบงำ ปรุงแต่ง และให้ดวงจิตเข้าไปยึดไว้ ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แม้จะพยายามจนถึงที่สุดต่อสู้แต่ก็ไม่มีอุบายให้ก้าวข้ามผ่านจุดสำคัญที่สุดไปได้ กลับทั้งเป็นสาเหตุให้ไม่อยากปฏิบัติอีก เพราะก็ต้องไปวนวัฏจักรเดิม)

   2. จากข้อ 1 บางครั้งข้าพเจ้าใช้วิธีละวางทั้งทุกข์ทั้งสุขเพราะพิจารณาเห็นเส้นเส้นเดียวเหมือนกันเลย แต่เส้นที่ปรุงแต่งเป็นความสุข นั้นไม่ยึดและดับยากกว่า เพราะเผลอไปปรุงแต่งได้ง่ายแล้วก็เกิดความชอบแล้วยึดไว้ เมื่อกลับเป็นเส้นทุกข์ซึ่งรู้สึกมันอยู่คู่กันหรือติดกันมันจึง ปรุงแต่ง ยึดติด พิจารณาไม่ทัน เส้นท้งสองมันต้องดับทั้งคู่ใช่หรือไม่ ที่พิจารณาเช่นนี้ถูกหรือไม่ อย่างไร

   3. หากข้าพเจ้าผ่านพ้นวาระเห็นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมาแล้ว จนจิตรวมกันแล้วดับให้เห็นอย่างที่เรียนท่านอ.แล้ว ข้าพเจ้าควรพิจารณาอย่างไรต่อไป (พิจารณาเพียงเป็นเส้นแล้วดับลง หรือใช้สติมองดูเฉย ๆ ให้ข้างในทำงานเองแล้วมองดูความดับเอง โดยใช้จิตตามรู้ดูเฉย ๆ ก็พอ ซึ่งข้าพเจ้าจะสามารถเลิกพ้นความวุ่นวายได้จริง ๆ ใช่หรือไม่ )

   4. ข้าพเจ้ารับราชการเป็นนักกฏหมายที่มีอำนาจชี้ขาดคน จะมีผลกับการก้าวไปในธรรมหรือไม่ อย่างไรบ้าง และหากยังคงต้องทำงานด้านนี้ต่อไปโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จะปฏิบัติเช่นไร เนื่องจากข้าพเจ้าอายุยังน้อย ยังขาดเขลาเบาปัญญา หากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่าน อ.ทั้งหมดนั้น หากได้มีสิ่งใดล่วงเกินด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต่อท่านอ.และบุคคลใด ๆก็ตามที่ได้อ่านข้อความของข้าพเจ้าทุกผู้ทุกนามขอท่านอ.และทุกผู้ทุกนามกรุณาให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย

คำตอบ
    (1) การจะก้าวข้ามทุกขเวทนาได้นั้น ผู้มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง เมื่อเกิดทุกขเวทนาขึ้นต้องกำหนดว่า
“ ทุกข์หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่า ทุกขเวทนาจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม ส่วนผู้ที่พัฒนาจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็งถึงระดับที่ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้แล้ว เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น ให้ใช้จิตตามดูทุกขเวทนา ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ และดับสลายในที่สุด ทุกขเวทนาจึงไม่มีตัวตนแท้จริง ตามดูไปเรื่อยๆ จนทุกขเวทนาไม่หวลกลับมาเกิดขึ้นได้อีก ผู้ใดเข้าถึงความจริงเช่นนี้ได้ ปัญญาเห็นแจ้งในทุกขเวทนาจะเกิดขึ้น จะไม่เอาจิตไปยึดอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนที่เรียกว่าทุกขเวทนาอีกต่อไป อนึ่งปัญญาเห็นแจ้งมิได้เกิดขึ้นจากการอ่านหนังสือหรือใช้สมองคิด แต่เกิดขึ้นได้ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น

   (2) ที่บอกเล่าไปเป็นจินตนาการของจิต เป็นการพัฒนาจิตที่ผิดทางจึงสละทิ้งความสุขความทุกข์ไม่ได้ แต่หากจิตเห็นแจ้งว่าความสุขและความทุกข์ต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตจะไม่เอาสิ่งที่ไม่มีตัวตนมายึดไว้กับจิต จิตจะเป็นอิสระจากความสุขความทุกข์ จิตจะปล่อยวางความสุขความทุกข์ และจิตว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับปัญญาเห็นแจ้งในความสุข ความทุกข์เกิดขึ้น

   (3) บุคคลจะพ้นไปจากความวุ่นวายได้ต่อเมื่อ ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง และต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็งแล้วใช้สติสัมปชัญญะ (สติและปัญญาเห็นแจ้ง) ที่พัฒนาได้นี้ ตามระลึกให้ทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตและมีปัญญาเห็นความไม่มีตัวตนของทุกสิ่งกระทบได้แล้ว ความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้มีจิตเป็นเช่นนี้

   (4) อาชีพที่ผู้ถามปัญหาได้ปฏิบัติอยู่ จะเรียกว่าเป็นอาชีพที่ดีในทางโลกได้ต้องมีความเห็นถูก ชีวิตจึงจะดำเนินไปปลอดภัย ในสมัยที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าโชดก (พ.ศ.2518) ท่านได้เล่าให้ฟังว่า มีผู้พิพากษาท่านหนึ่งมาปฏิบัติธรรมอยู่กับท่าน และสามารถพัฒนาจิตเข้าสู่สภาวะนิโรธสมาบัติได้ นั่นหมายความว่า ผู้พิพากษาท่านนั้นมีสภาวะจิตเป็นอริยบุคคลขั้นที่สาม ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหา มีศีลห้าข้อครบถ้วนอยู่ในใจมีบุญบารมีแต่อดีตชาติสั่งสมมามากพอ และมีความเห็นถูกตามธรรมได้แล้วความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมจะสามารถดำเนินไปได้

   หากผู้ถามปัญหายังมีความจำเป็นต้องทำอาชีพนี้ต่อไป โดยไม่ให้เกิดความวิบัติขึ้นกับชีวิตของตัวเอง ต้องทำอย่างเปาบุ้นจิ้น คือท่านมีเทวดาสัมมาทิฏฐิชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นกัลยาณมิตร มีบุญบารมีสั่งสมมามาก และท่านใช้สติสัมปชัญญะในการตัดสินปัญหา ชีวิตมนุษย์ของท่านจึงอยู่รอดและปลอดจากภัยทั้งปวง ตายแล้วยังไปเกิดเป็นเทวดาทำหน้าที่เหมือนที่ยังเป็นมนุษย์
   

980.
ขณะนี้ผมอยู่ ม.3 ครับ ผมสนใจเรื่องการปฎิบัติธรรมอะครับ ผมอยากได้ อภิญญาทำยังไงครับ แล้วพ้นทุกข์ด้วยครับ
ต้องนั่งสมาธิไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ พอผมนั่งสัก 45 นาที มันปวดอะครับปวดขาอะครับ ควรทำยังไงดีครับ
ที่จะผ่านมันไปได้ แล้วผมควรไปงมงายกับอภิญญาไหมครับ ผมยังเด็กอยู่อะครับ ยังอยากได้ญาณโลกีย อยู่
ช่วยตอบคำถามทั้งหมดนี้ด้วยนะครับ ขอบพระคุณ ด.ร.สนองมากเลยครับ

คำตอบ
    อภิญญาหมายถึงความรู้ยิ่งหรือความรู้สูงสุดอภิญญารมีอยู่หกอย่างคือ ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ได้ ทำให้มีหูทิพย์ ทำให้รู้ใจผู้อื่น ทำให้ระลึกชาติหนหลังได้ ทำให้มีตาทิพย์ และสุดท้ายความรู้ที่ทำให้กิเลสที่ครอบงำจิตหมดไป

   การจะพ้นไปจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงอภิญญาตัวที่หก ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาและจะเข้าถึงโลกิยอภิญญา (อภิญญาห้าตัวแรก) ซึ่งไม่ทำให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌาน ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา และบุคคลไม่ควรหลงงมงายอยู่กับความรู้ขั้นสูงระดับนี้

   ขณะนั่งสมาธิแล้วเกิดการปวดที่ขา ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง อาการปวดที่ขาหายไป ให้กำหนดทุกครั้งที่มีอาการปวดเกิดขึ้น

   อนึ่งในการพัฒนาจิตให้มีคุณธรรม มิได้ขึ้นอยู่กับอายุของบุคคลแต่ขึ้นอยู่กับความมีมากหรือมีน้อยของบุญบารมีที่ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ เด็กชายทัพพะ เด็กชายโสปากะ ยังบรรลุอรหัตตผลได้ ขณะยังเป็นฆราวาสที่มีอายุได้เพียง 7 ขวบเท่านั้น
   

979.
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

   1.ก่อนพ่อเสียประมาณ 3-4 ปี พ่อเคยบอกว่าพ่อจะป่วยและตาย ช่วงอายุ 80 ปี แต่ถ้ารอดก็จะอยู่ยาว พออายุ 79 ย่าง80 พ่อก็ป่วย นอนอยู่บนเตียงตลอด ประมาณ 3 เดือนก่อนจะเสีย แม่และหนูแอบดูพ่อตอนนอนบนเตียงคนเดียว จะเห็นพ่อพนมมือและคุยกับใครที่มองไม่เห็นอยู่ปลายเตียง ตอนแรกนึกว่าพ่อคงจะป่วยจนเบลอหรือสับสน แต่เมื่อมีคนมาปรึกษาปัญหากฎหมาย พ่อกลับตอบปัญหาได้เหมือนปกติ และช่วงก่อนพ่อจะเสีย หนูบอกพ่อว่าเรียนจบโทแล้ว พ่อดีใจและบอกว่าอีก 14 วันให้มาพาพ่อกลับบ้าน โดยให้หนูพาไปค่อยๆไป ตอนนั้นหนูไม่ทราบเลยว่าเป็นการบอกล่วงหน้า จากนั้นพ่อค่อยๆdrop ลงและก็จากไปในวันครบ 14 วันที่พ่อบอกพอดี

   ถาม-พ่อรู้วันตายล่วงหน้าได้อย่างไร คนทั่วไปที่ไม่ใช่พระอริยสงฆ์จะรู้วันตายล่วงหน้าได้หรือไม่ อย่างไร และพ่อพนมมือพูดคุยกับใคร

   2.หลังพ่อเสีย วันที่นำกระดูกใส่โกฎเข้าบ้าน ตอนกลางคืนหนูอยู่ในห้องนอนพบว่าห้องที่ไว้กระดูกพ่อมีแสงสีทองสว่างสบายตา แต่ไม่สว่างขนาดไฟนีออน ส่องเข้ามาถึงในห้องนอน และเมื่อนำกระดูกพ่อกลับมายังที่พักในจังหวัดที่ทำงาน หนูฝันเห็นพ่อเดินสำรวจชั้น 3 ที่หนูพักอาศัย เห็นเพียงเสี้ยววินาที ต่อมาฝันเห็นพ่อแบมือและหนูนำน้ำในภาชนะราดบนมือพ่อ เนื้อของพ่อค่อยเต็มขึ้น ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นเพื่อนหนูซึ่งไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ ได้โทรมาบอกว่าอุทิศส่วนกุศลให้พ่อหนู
จากความสงสัยในข้อ 1 ทำให้หนูสนใจปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ วัดอัมพวัน และเรียนสมาธิ ปกติเดินจงกรม วันละครึ่งชม. และนั่งสมาธิ วันละครึ่งชม. บางวันก็มากกว่านั้น และหนูฝันเห็นพ่อได้ถามพ่อว่าได้รับบุญที่อุทิศให้หรือไม่ พ่อบอกว่าได้รับ (แต่ปากพ่อไม่ขยับ) เป็นการรับรู้ หนูตื่นมาได้โทรหาแม่ แม่บอกว่าฝันเห็นพ่อเหมือนกัน แสดงว่าหนูกับแม่ฝันถึงพ่อในช่วงเวลาเดียวกัน

   ถาม-พ่อที่หนูฝันเห็นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องของจิตปรุงแต่ง

   3.หนูจะฝันช่วงก่อนจะตื่นในบางวันเป็นระยะเวลาเพียงวินาที เห็นเป็นภาพแล้วเป็นความนึกคิดขึ้นมา และวันรุ่งขึ้นก็เป็นไปอย่างที่ฝัน กำหนดอยากรู้ไม่ได้ เป็นความฝัน, ความรู้ที่เกิดขึ้นเอง บางครั้งเป็นคำพูดสอนบางเรื่องสั้นๆ

   ถาม-อาจารย์เคยตอบว่าเป็นเพราะคลื่นจิตคงที่ หนูยังไม่ค่อยกระจ่างคำว่าคลื่นจิตคงที่ ช่วยอธิบาย อยากทราบว่าเกิดกับทุกคนที่มีจิตเป็นสมาธิใช่หรือไม่ และความรู้ตัวนี้บ่งบอกความก้าวหน้าหรือถอยหลังของสมาธิหรือไม่ อย่างไร

คำตอบ
    (1) พ่อรู้วันตายล่วงหน้ามีเทวดามาบอก ปุถุชนผู้ใด พัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากฌานแล้วจึงจะสามารถรู้วันตายล่วงหน้าได้ สุดท้ายที่พ่อพนมมือนั้นท่านพูดกับเทวดา

   (2) พ่อที่หนูเห็นนั้นเป็นเรื่องจริง (สภาวะสัจจะ) มิใช่เป็นจินตนาการของจิต

   (3) ผู้ใดพัฒนาจิตจนตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้แล้วคลื่นความถี่ของจิตจะคงที่ ซึ่งเป็นเหตุทำให้เข้าถึงอภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ) ได้

คำว่า “ คลื่นจิตคงที่ ” หมายถึงช่วงความถี่คลื่นของจิตถูกพลังสมาธิปรับให้มาอยู่ในระดับความถี่เดียวกัน ส่วนความถี่คลื่นไม่คงที่ อนุโลมด้วยคล้ายกับคลื่นในทะเล แต่ละลูกมีขนาดใหญเล็กไม่เท่ากัน
  

978.
กราบเรียนถาม อ.ดร. สนอง ที่เคารพ

   แฟนของหนูยืมเงินแม่ของหนูไปใช้เป็นเงินสินสอดของน้องชาย แล้วฝ่ายเจ้าสาวไม่คืนเงินค่าสินสอด ส่วนแฟนหนูเล่นแชร์ผ่านมือหนู แล้วมีปัญหาเรื่องงาน เขาก็เลยไปบวชช่วงเข้าพรรษา ปล่อยให้หนูรับผิดชอบเรื่องเงิน หนูจึงมีปัญหาถามท่านดังนี้
1. หนูโทรไปทวงเงินแฟนที่บวชเป็นพระอยู่ จะบาปหรือไม่
2. แฟนที่บวชเป็นพระเขาโทรไปทวงเงินลูกหนี้ทั้งที่ตัวเขาเป็นพระอยู่ เขาจะบาปไหม
3.เงินส่วนที่เขายืมไปตอนแรก เราต้องทำใจหรือคะ ทั้งที่เงินเป็นของแม่หนูไม่ใช่เงินของหนู (อ่านที่อาจารย์เคยตอบ อาจารย์บอกว่า ''เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร') ถ้าอย่างงั้นถ้าใครมายืมเงินแล้วไม่ยอมคืน เราก็ต้องปล่อยเขาไปหรือคะ
ทุกวันนี้ หนูพยายามมีสติให้มากขึ้น อ่านหนังสือธรรมะค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    (1) คำว่าบาปมีความหมายได้หลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นหมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตเสื่อมลง ทำให้จิตเลวลง

   คนที่บวชในพุทธศาสนาดังที่บอกเล่าไป ไม่ควรเรียกว่าพระ จะถูกต้องมากกว่าหากเรียกว่าเป็นนักบวชในพุทธศาสนา การโทรศัพท์ไปทวงเงินนักบวชหากทำให้จิตของผู้โทรศัพท์เสื่อมลง ทำให้จิตเลวลงถือว่าเป็นบาปได้

   (2) จากที่ถามไป เขามิได้เป็นพระ เขาเป็นได้แค่นักบวชที่ยังมีกิเลสครอบงำจิต ถือว่าเป็นผู้มีบาปอยู่แล้ว และยังได้โทรศัพท์ไปทวงเงินลูกหนึ้ยิ่งทำให้มีบาปเพิ่มมากขึ้น

   (3) เงินที่เขายืมไปเป็นเงินของแม่ มิใช่เป็นเงินของผู้ถามปัญหา ผู้ที่มิได้เป็นเจ้าของเงินรู้เรื่องแล้วเดือดร้อน ถือได้ว่าไปเอาบาปของคนอื่นมาเป็นบาปของตัว ผู้ฉลาดไม่ประพฤติเช่นนั้น ผู้ฉลาดจะเอาเขามาเป็นครูสอนใจตัวเองว่าอย่าทำอย่างเขา

   อนึ่งสติของผู้ถามปัญหายังไม่กล้าแข็งพอ จึงรับเอาสิ่งกระทบเข้ามาปรุงแต่งใจให้เกิดเป็นอารมณ์ติดลบ หากประสงค์จะแก้ปัญหาให้หมดไปต้องแก้ที่ต้นเหตุคือพัฒนาตัวเองให้มีกำลังของสติกล้าแข็งจนไม่รับเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตน
  

977.
เรียนอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

ขอบคุณอาจารย์ที่ตอบคำถามที่ 962 ของผมครั้งก่อนนะครับ และ ผมมีเรื่องขอเรียนถามใหม่ครับ

1. เมื่อนั่งสมาธิจนจิตตั้งมั่นจนสงบไประดับหนึ่งแล้ว กำหนดพุทธานุสติ “ อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ. ” ในการกำหนดครับโดยระลึกถึงคุณของพระองค์ท่าน ระลึกถึงคุณของพระองค์ เมตตา กรุณา และพระบารมีที่ยังแผ่ถึงในปัจจุบันนี้ คำถาม มีบางครั้งจิตคิดไปอยากเป็น พระพุทธเจ้า ตอนนั้นนั่งสมาธิมีสติ กำหนดรู้ตลอด พบจิตที่คิดอย่างนี้ไป ก็ตกใจนะครับ เป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในความคิดมาก่อน และจิตเกิดปิติที่อยากจะอฐิษฐานไปตามนั้น แต่ไม่ได้อฐิษฐานไปตามจิต ควรแก้ไขยังไงครับ

2. ขอทราบวิธีปฏิบัติ ในการนั่งสมาธิ ให้เป็นเวลานานติดต่อกันครับ ให้ถึง 1 วัน 3 วัน 7 วัน ต้องหัดเริ่มจากที่ละน้อย หรือ ต้องมี องค์ประกอบการแน่วแน่ของจิต เช่น การมีสัจจะ การอฐิษฐานจิต สติ สถานที่ ใช่รึไม่ครับ ขออาจารย์แนะนำด้วยครับ

3. การมี ศีล 5 คุมใจทุกขณะตื่น ในการการปฏิบัติต้องรู้ กาย ใจ ทุกขณะ และมีการกำหนดรู้ตลอดเวลาที่เรายังตื่นอยู่ถูกต้องรึไม่ครับ และการที่เราจะให้ใจเรามีศีลโดยอัตโนมัติ เป็น ศีลที่สมบูรณ์ของใจเอง

ในการปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างไรครับ กรุณาแนะนำด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
อัคคี

คำตอบ
    (1) ความอยาก (ตัณหา) เป็นพระพุทธเจ้าเป็นกิเลสควรกำจัดให้หมดไปจากใจ ด้วยการบริกรรมว่า “ อยากหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนความอยากฯหายไป

   ผู้ใดมีจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องสร้างมหาทานแล้วอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า หลังจากอธิษฐานแล้วต้องสร้างเหตุให้ถูกตรง คือดำเนินชีวิตตามแนวของพระโพธิสัตว์ อาทิ บูรณะหรือสร้างศาสนวัตถุ สร้างถนนหนทาง สร้างสะพานให้ประชาชนสัญจรได้สะดวก ช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ฯลฯ ต้องใช้เวลาที่ยาวนานนับหลายสิบอสงไขยกัป ในการบำเพ็ญบารมีให้เต็มและครบถ้วน ทั้งบารมีขั้นต้นอุปบารมี และปรมัตถบารมีโดยไม่ลาพุทธภูมิไปกลางครัน โอกาสที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้าย่อมมีได้เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม

   (2) ปรารถนานั่งสมาธิเป็นเวลายาวนนานติดต่อกันหนึ่งวันสามวันหรือเจ็ดวัน ต้องถามว่าผู้ปรารถนานั่งสมาธิให้ได้ยาวนานเช่นนั่นมีจุดประสงค์ใดเพราะการนั่งบริกรรมให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ) ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) หรือตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานั่งบริกรรมที่ยาวนานเช่นนั้น

ผู้ใดมีสภาวะของจิตเป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ หากปรารถนานั่งสมาธิเพื่อนำจิตเข้าสู่ภาวะนิโรธสมาบัติ (ดับสัญญา ดับเวทนา) สามารถทำได้ด้วยการอธิษฐานจิตว่า จะนำจิตเข้าสู่นิโรธสมาบัตินานกี่วัน หลังจากอธิษฐานแล้วจึงทำจิตตภาวนา จนเข้าถึงสภาวะที่อธิษฐานไว้ ดังตัวอย่างของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า เข้านิโรธสมาบัตินานเจ็ดวันแล้วนำจิตออกมาสู่ภาวะปกติ เพื่อรับทานจากฤาษีสรทะ (อดีตของพระสารีบุตร) หรือพรมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัตินานเจ็ดวันแล้วนำจิตออกมาสู่สภาวะปกติ เพื่อรับทานจากหญิงชรายากจน ทั้งนี้ด้วยมีจุดประสงค์ให้ผู้ถวายทานเป็นคนแรก ได้รับอานิสงส์มากนั่นเอง

   (3) ต้องใช้จิตที่สงบส่องดูใจตัวเอง ว่าศีลทั้งห้าข้อมีอยู่กับใจทุกขณะตื่น มีศีลห้าข้ออยู่ครบถ้วน และเป็นศีลที่บริสุทธิ์ คือไม่มีกิเลสเจอปนให้ศีลเศร้าหมอง หากปรับปรุงแก้ไขจิตให้มีลักษณะเป็นดังเช่นนี้ได้เรียกว่าเป็นศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ เป็นศีลที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต
  

976.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ที่เคารพ

วันนี้ผมได้ขับรถชนสุนัขตายที่ สี่แยกไฟแดง โดยไม่มีเจตนา ผมเองไม่เห็นสุนัขที่วิ่งผ่านตัดหน้ารถผม เพราะสายตาขณะนั้นจับจ้องมองที่สัญญาณไฟที่ลอยอยู่ด้านบนสลับกับมองกระจกหลัง ซึ่งขณะนั้นเป็นไฟเขียวอยู่จึงต้องรีบเหยียบคันเร่ง ผมเองเพิ่งได้เห็นสุนัขนั้มปรากฎอยู่หน้ารถ จึงพยายามเหยียบเบรกแต่ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ทำให้ชนและทับร่างของสุนัขนั้นตาย ผมรู้สึกไม่สบายใจมากเนื่องจาก มีความรู้สึกว่าทำไมผมถึงไม่เห็นสุนัขตัวนั้นที่กำลังวิ่งตัดหน้ารถ

คำถาม
1.ผมควรทำบุญอย่างไร เพื่อช่วยให้ไม่มีกรรรมกับสุนัขตัวนั้น
2.กรรมที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้โดยไม่เจตนา ผมมีความผิดในเรื่องใดบ้าง และต้องรับกรรมนั้น มากน้อยเพียงใด

กราบขอบคุณอาจารย์มากครับ
ปริญญา

คำตอบ
    (1) ต้องทำบุญอยู่เรื่อย ๆ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) แล้วอุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้กับสุนัขที่ตายไป อุทิศไปเรื่อย ๆจนกว่าจิตของผู้ถามปัญหาไม่กลับมาระลึกถึงเรื่องนี้ต่อไป

   (2) กรรมที่ทำด้วยการไม่มีเจตนา ไม่ถือว่าเป็นกรรม แต่เป็นวิบากกรรมของสุนัขเองที่อกุศลกรรมส่งผลให้ต้องมาตายด้วยวิธีการเช่นนี้ ฉะนั้นผู้ขับรถชนสุนัขตายโดยไม่มีเจตนาในการทำกรรม จึงไม่มีความผิดในเรื่องใดเลย แต่หากเมื่อใดจิตระลึกถึงสุนัขที่ถูกชนแล้วทำให้จิตเศร้าหมองถือว่าเป็นบาป
   

975.
สวัสดีค่ะอาจารณ์สนอง

หนูจะมีเซนส์อย่างหนึ่งค่ะ จะเหมือนคนตายเวลาครึ่งหลับครึ่งตื่น บางทีเหมือนถูกเหวี่ยงแรงๆบางทีก็หมุนเคว้ง เหมือนถูกทุ่มบ้าง บางทีก็เห็นแขนตัวเองบ้าง ถ้ามีเรื่องหนักหน่อยก็เป็นนาน ถ้าไม่หนักมีปากเสียงธรรมดาก็แป็ปเดียว พอรู้สึกตัวจะหมดแรงเหนื่อยค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรม สวดมนต์ก็ไม่หายไม่อยากเป็นเลยเป็นครั้งแรกประมาณ10กว่าปี หลังจากบวชชีพรามหมณ์แก้บนให้แม่ มีคนจะเอาปืนมายิงค่ะ พอจะมีเรื่องก็จะเตือนแบบนี้ทุกครั้งไม่รู้จะถามใคร

    พอมาอ่านหนังสืออาจารณ์ดีใจมากค่ะ หนูเคยจุดธูป คนที่จะเอาปืนมายิงค่ะ(หลังเซนส์)มีอันเป็นไปหมดทุกคนเลย พวกนี้เป็นน้องเมียน้าค่ะ เว้นพี่สาวคนโตที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ลูกของน้าขโมยของแม่ก็เลยให้เขาเอามาคืนแต่เด็กไม่ยอมรับน้องเมียน้าก็เลยเขามาทะเลาะกันตีกันพวกเขาอยู่กันหลายคน พอตอนเย็นแฟนเขาเลยจะเอาปืนมายิงอยู่2คนกับแม่กลัวมาก(น้าไม่อยู่)ตอนเช้าเลยย้ายห้อง(เช่า)หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนมีอันเป็นไปหมด ป่วยตาย1 ติดคุก3ป่วย1และจำไม่ได้อีก2รู้สึกไม่มากเลยคะ

   ตอนนั้นคิดว่าบังเอิญเวลานึกไม่ดีกับใคร จะเป็นจริงมีหมอดูเคยทักห้ามแช่งใครปาปค่ะ มาอ่านเจอในหนังสืออาจารณ์กลัวมาก จะถอนคำแช่งอย่างไรค่ะตอนนี้ผิดศีลไป 2 ข้อ 2-3กรรมตามทัน ผู้ชายฐานะดีมาก มีครอบครัวแล้ว(หนูไม่เคยมีครอบครัวหรืออยู่กินกับผู้ชาย) เขาไม่เคยรับผิดชอบ หนูไม่เคยรบกวนเขาเลย เป็นลูกจ้างเขา(มีร้าน12สาขาโรงเรียนด้วย) เป็นคนตะหนี่มากรวมถึงลูกจ้าง ไม่มีมีใครชอบปากจัด ชอบเหน็บแนม ชอบพูดแดกดัน ตอนนี้เขาเป็นความดันปากเบี้ยว(อายุ35) พูดเรื่องเวรกรรมให้ฟังก็ไม่สนใจ ให้ไปปฏิบัติธรรมก็ไม่ไปอยู่ที่ใจ สวัสดิการพนักงานไม่มี ถ้ามีประกันสังคมเขากลัวจ่ายภาษีเยอะ และเดือนหนึงเขาบอกว่าต้องจ่ายเยอะ (หยุดเกินวันหยุดวันละ300 บางที 5 เปอร์เซน ทั้งเดือนช่างซอยไม่มีเงินเดือน ช่างสระไดร์มีเงินเดือน) ตอนนี้เขาเรียนโทจบเขาทิ้งหนูแล้วค่ะ คบปีกว่าหนูต้องทนทำงานในร้านเขาอีกสักพัก ทรมานมากกรรมตามทันเร็วอ่านธรรมะตลอดคิดว่าเขาตามมาทวง

ขอโทษนะคะที่เขียนยาวมาก
1อกุศลวิบากกับ เวรกรรมเหมือนกันไหมคะ
2อาชีพเสริมสวยเป็นสัมมาชีวะหรือเปล่า
3เซนส์ของหนูทำอย่างไรหายคะ แล้วคืออะไร

ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
    (1) คำว่า “ อกุศลวิบาก ” หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากกรรมไม่ดีที่เคยที่ไว้แต่ปางก่อน คำว่า “ เวรกรรม ” หมายถึงการกระทำที่เป็นการปองร้ายกัน ดังนั้นสองคำนี้จึงเป็นคนละอย่างกัน เวรกรรมเป็นเหตุอกุศลวิบากเป็นผล

   (2) เป็นสัมมาอาชีวะในทางโลก เพราะเป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย หากมองในทางธรรม อาชีพเสริมสวย เป็นมิจฉาอาชีวะ เพราะเป็นเหตุทำให้คนหลงผิด มีจิตยึดติดในความงามที่ไม่เที่ยง (อนิจจตา) ของรูปร่าง ร่างกายเป็นสิ่งคงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขตา) เหตุเพราะร่างกายมีเกิด-มีดับ และในที่สุดร่างกายต้องตายไป (อนัตตา) ไม่มีตัวไม่มีตนแท้จริง ผู้ใดหลงยึดติดความสวยงามของรูปร่างต้องทนกับความทุกข์ในที่สุด

   (3) เซนส์ที่บอกเล่าไป คือนิมิตของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับหนึ่งเท่านั้น เซนส์มิได้ทำให้เจ้าของพ้นไปจากความทุกข์ ผู้ใดประสงค์ให้เซนส์หมดไปต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติและกำลังของปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็ง แล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ตามดูเซนส์ที่เกิดขึ้นดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จนกว่าเซนส์จะดับไปและไม่กลับมาเกิดขึ้นได้อีก
  

974.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคราพ

หนูเคยเจอท่านแล้วสองครั้งแต่ไม่กล้าเข้าไปสอบถาม ครั้งแรกที่บ้านท่านอาจรย์ ดร.สนอง
ครั้งที่สอง ที่ดอยเวียงแก้ว จ.เชียงราย
   หนูกับแฟนวางแผนจะแต่งงานกันในปีหน้า แฟนดิฉันเค้าทำร้านแว่นตา และเค้าก็ถือศีล 5
หนูและแฟนที่เราคบกันได้เพราะว่าเราทั้งคู่ศึกษาธรรมมะ เหมือนกัน ในงานแต่งงานดิฉันจึงไม่
อยากเลี้ยง เหล้า แต่ทั้งทางญาติและพ่อ แม่ ของทั้งสองฝ่ายต้องการอยากให้เลี้ยงตามแบบสังคม
ทั่วไป ถ้าหนูและแฟน ไม่จัดงานเลี้ยง แต่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายไม่พอใจ จะเป็นบาปมั้ยค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
    เป็นบาปกับคนที่ไม่พอใจ แต่เพื่อความเข้าใจในเรื่องของกรรมและการให้ผล ผู้ที่ริเริ่มให้มีการเลี้ยงสุราเกิดขึ้น ถือว่าเป็นจำเลยบาปที่หนึ่ง เมื่อกรรมให้ผลจะเป็นผู้ขาดสติสัมปชัญญะรุนแรงกว่าผู้อื่น ผู้มาร่วมงานแล้วดื่มสุราเป็นจำเลยบาปที่สอง ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแต่จำใจต้องทำให้มีการเลี้ยงสุราเกิดขึ้น (กตัตตากรรม) เป็นกรรมที่มีเจตนาอ่อนหรือมิใช่มีเจตนาเช่นนั้นจะให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นใดให้ผล ฉะนั้นต้องเลือกบริหารจัดการชีวิตเอาเองว่าจะรักษาสังคมครอบครัวหรือจะยอมรับบาปเพียงเล็กน้อย ก็เลือกปฏิบัติตามที่เห็นควรเถิด..
  

973.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพรัก

1.  หนูเรียนถามปัญหาของตนเองค่ะ สามีหนูไม่มีงานทำ เพราะพิษเศรษฐกิจ , มีหนี้สินเยอะ , มีเพื่อนหญิงแยะ และเป็นคนมีอัตตาของตนเองสูง (คิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เช่น มองโลกในแง่ร้าย , ไม่เคยไว้วางใจใคร , ชอบตำหนิหนูและลูก (ข้อนี้หนูคงมีความดีไม่พอเขาเลยยังไม่เกิดศรัทธา อาทิเช่น จิตที่เป็นเมตตา , อุเบกขารมณ์ของหนูเอง) โทสะเยอะชอบเพ่งโทษคนอื่น ชอบก่นด่า พูดจาไม่ไพเราะ และที่สำคัญคือ “ ธรรมารมณ์ ” ยังไม่ก่อเกิด

ข้อดี : สามี ไม่กินเหล้า , ไม่สูบบุหรี่ มีศีล คือ ไม่มักได้ ไม่อยากได้ พูดตรงกับใจ กินน้อย พูดน้อย แต่นอนเยอะ การรับผิดชอบช่วยเหลืองานบ้านในครอบครัวผ่านที่เกือบ 80 % (มักน้อย , สันโดษ)

คำถาม จากข้อมูลดังกล่าว หนูต้องสร้างเหตุแบบไหนค่ะ กับอนาคตที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าทางโลก โดยประคับประคอง “ นาวาของครอบครัวตนเอง ; พ่อ-แม่-ลูก ” ให้ถึงฝั่งของ อริยบุคคล ขั้นต้น (ของหนูเองเพราะต้องฝึกตนให้ดีพร้อมก่อนค่ะ) ”

2.  หนูต้องยอมรับกับชะตากรรมตนเอง ถูกต้องใช่ไหมค่ะ จะได้ใช้หนี้กรรมหนี้เวรให้จบกันไปในชาตินี้และเราจะ ขออโหสิกรรมต่อสามี และมีบทเอ่ยอย่างไรค่ะ และสร้างเหตุให้ตรงอย่างไรค่ะ จาก การ “ ปฏิบัติธรรม ” นั่งสมาธิ , เดินจงกลม ทุกๆวันเช้า-เย็น หลังจากว่างเว้นจากธุระการงาน มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง รู้จริง “ พัฒนาจิต ” ตนเองได้ระดับหนึ่ง (คิดไปเองน่ะค่ะ) อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด “ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ” แต่เมื่อเจอครูบาอาจารย์ที่บ้าน (สามี) สติกระเจิงเกือบจะทุกครั้งเลยค่ะ ก็เป็นข้อสรุปว่าสอบไม่ผ่าน เพราะเราไปเพ่งโทษเขา เนื่องจากขาดเมตตา และอื่นๆ สาระสำคัญคือ “ รู้จักตนเอง ” ยังไม่ถ่องแท้ค่ะ เลยต้องแพ้จิตใจของตนเอง เฮ้อ ! เมื่อไรความดีงามของเราจะถึงพร้อม เมื่อนั้นศรัทธาจากตัวสามีและลูกก็คงจะก่อเกิด อธิษฐานไว้ และสร้างเหตุให้ตรง จำไว้ (ปฏิบัติให้ได้น่ะ เตือนตนเองอยู่เนืองๆค่ะ) เมื่อเจอบททดสอบ บางครั้งก็ผ่าน แต่หลากหลายครั้งก็ไม่ผ่าน (กับสามีเจ้าประจำ) อย่าติดสมมุติ เป็นอย่างนั้นใช่ไหมค่ะ ยากจังค่ะ หากรู้ใจตนเองชนะตนเองได้ คงผ่านทุกสิ่งใช่ไหมค่ะ

ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

คำตอบ
    (1) เหตุที่จะทำให้สังคมครอบครัวดำรงอยู่ได้และมีความสุขผู้เป็นสมาชิกของครอบครัว โดยเฉพาะผู้ทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัว ต้องเป็นคนที่มีศีลแล้วครอบครัวถึงจะดำรงอยู่ได้ ส่วนครอบครัวจะสงบสุข สมาชิกของครอบครัวต้องบริโภคใช้สอยมักน้อย บริโภคใช้สอยแต่สิ่งอันเป็นสาระ และมีความสันโดษไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น พัฒนาตัวเองให้มีเมตตา และไม่เป็นทาสของอบายมุข

   อนึ่ง การจะไปให้ถึงฝั่งของการเป็นอริยบุคคลในยุคสมัยนี้ ต้องปฏิบัติจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์สามตัวแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจ การเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นต้นจึงจะเกิดขึ้นได้

   (2) ผู้รู้ยอมรับความจริง ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดไปโดยดุษณี และไม่สร้างหนี้กรรมใหม่ให้เกิดขึ้น การปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นบุญใหญ่สุด ทุกครั้งที่ปฏิบัติแล้วเสร็จต้องอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับเจ้ากรรมนายเวร
เรื่อย ๆ ไป

   อนึ่งผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดี มีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ตัวไม่ต้องเดินทางไปหาครูบาอาจารย์ในที่ห่างไกลให้เสียเวลา ปัญหาที่บอกเล่าไปต้องแก้ด้วยการ เจริญขันติบารมีและพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาจึงจะจมลงได้ เมื่อเจอบททดสอบแล้วบางครั้งผ่านได้นับว่าแก้ปัญหาได้ถูกตรง แต่ต้องทำให้ความถี่ของการสอบผ่านเพิ่มมากขึ้น ด้วยการเจริญคุณธรรมสองข้อดังที่กล่าวมาข้างต้นให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น จนสามารถสอบผ่านได้ทุกครั้งจึงจะเรียกว่าแก้ปัญหาได้สำเร็จ หลังจากนั้น จึงไปขอขมากรรมต่อครูผู้อยู่ใกล้ พร้อมทั้งอุทิศบุญกุศลให้กับครูผู้มีพระคุณที่ทำให้ผู้ถามปัญหามีความเจริญงอกงามในจิตวิญญาณ จนสามารถต้านกระแสของกิเลสได้
  

972.
การเรียนอ.ดร.สนอง
มีคำถามดังนี้ค่ะ
1. การที่เรายึดติดแม่มากเกินไปเป็นอย่างไรคะ เนื่องจากหนูได้มีโอกาสฟังธรรมเทศนา พระท่านได้กล่าวกับผู้มาปฏิบัติธรรมโดยสรุปดังนี้ค่ะ "การปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ต้องละลูก หลาน ผู้ที่เป็นเด็กต้องละความเป็นพ่อ เป็นแม่" คือทุกวันนี้หนูยังไม่มีครอบครัว ทำธุรกิจกับที่บ้าน ก็จะมีปฏิสัมพันธ์เฉพาะกับพ่อแม่ พี่น้องซึ่งมากกว่าเพื่อนมาก โดยเฉพาะคุณแม่ เวลาจะตัดสินใจไปไหน ทำอะไรก็จะนึกถึงแต่คุณแม่ก่อน ซึ่งท่านอายุ 57 ปี สุขภาพท่านแข็งแรงดี แต่พักหลังท่านเริ่มเข้าวัยทอง เหมือนต้องการคนเอาใจ หนูเองก็พยามทำเท่าที่ทำได้ ซึ่งหนูเองก็สนใจในธรรมเป็นพื้นก็พยามให้คุณแม่เข้าใจในธรรมเช่นกัน ซึ่งก็ได้ในระดับหนึ่ง หนูจึงมาคิดถึงตนเองค่ะ ว่าสภาพปัจจุบันหนูมีความยึดติดท่านมากเกินไปหรือไม่ เท่าที่เข้าใจก็คือตอนนี้พยามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่แน่ใจว่าบางครั้งนั้นมากเกินไปหรือไม่

2. หนูได้มีนิมิตในฝันว่าตนเองถูกไล่ยิงโดยคนร้ายที่เราไม่รู้จัก หนูวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต ปกติปฏิบัติธรรม ก็ทำความเข้าใจในธรรมว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา แต่พอระลึกถึงนิมิตในฝันก็รู้สึกว่าตนรักชีวิตตนเองอย่างที่สุด ในฝัน เหมือนจะเข้าใจอีกว่าคุณแม่ก็เป็นฝ่ายบอกทางให้ผู้ร้ายด้วย หนูยังวิ่งหนีคุณแม่และผลักท่านตกบันได เพราะเหมือนท่านจะสามารถเดินตามหลังมาติด ๆ แต่ก็หันกลับมาดูว่าท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ จากในฝัน ยิ่งทำให้หนูเข้าใจว่าหนูรักตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก อาจารย์มีอุบายในการปฏิบัติอย่างไรบ้างคะ เพื่อความก้าวหน้าในธรรม

3. ขณะนี้หนูอายุ 26 ปี มีความหวังถึงพระนิพพานอย่างแน่วแน่ ขณะนี้แม้อายุยังไม่มาก และเป็นหญิง แต่ก็สนใจในธรรม และตั้งเป้าหมายไว้กับการบรรลุธรรมสูงสุดในโลกุตตรธรรม มีข้อสงสัยว่าฆราวาสอย่างหนูจะสามารถเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นในฐานะฆราวาสได้บ้างหรือไม่ ทำไมเท่าที่เคยฟังมาการเป็นอรหันตสาวกจึงไม่มีในฐานะของฆราวาสได้เลย พื้นฐานทางครอบครัวหนูมีอาชีพค้าขาย ทำธุรกิจส่วนตัว การงานภายในบ้านพร้อมสรรพ ถ้าหนูใช้จ่ายอย่างประมาณทรัพย์สินที่มีอยู่ก็อาจเลี้ยงดูตนเองไปจนตลอด และชีวิตไม่คิดจะมีสามี เพียงแต่ถ้ายังต้องอาศัยครอบครัวอยู่ก็จำเป็นจะต้องช่วยภาระกิจการทางครอบครัวไปตามหน้าที่บ้าง อ.มีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ และควรประมาณตนอย่างไรบ้าง

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
   (1) อะไรที่มากเกินไป มีเครื่องชี้วัดคือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขปัญหา ตัวอย่างความผูกพันใกล้ชิดกับผู้เป็นแม่ หากไปทำให้แม่ต้องสูญเสียอิสรภาพ อึดอัดขัดข้อง รำคาญใจ ฯลฯ นั่นคือสิ่งที่ต้องแก้ไข นั่นคือปัญหาที่ผู้เป็นลูกได้ทำให้เกิดขึ้น ตรงกันข้ามหากปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้น ไม่เรียกว่ามากเกินไป ไม่ต้องแก้ไข มีสิ่งที่ไม่ควรละเลยคือจริยธรรมของลูกที่มีต่อแม่ ต้องประพฤติให้เป็นปกติ เมื่อประพฤติแล้วจะเกิดเป็นความกตัญญูที่ผู้มีความจริงในหน้าที่การงานและเจริญในชีวิตเขานิยมประพฤติกัน

  (2) “ รักตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ” เป็นเครื่องหมายบ่งบอกให้เห็นถึงความมีตัวตน (อัตตา) หรือคือความเห็นแก่ตัวนั่นเอง ผู้รู้ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ 5 ดับ (อนัตตา) ความเป็นตัวตนไม่มีตรงกันข้ามความเห็นแก่ผู้อื่นจะเกิดขึ้น ชีวิตจึงเหมือนต้นไม้ใหญ่ดำรงอยู่เพื่อทำประโยชน์ที่เป็นคุณแก่มวลชน คุณค่าของชีวิตเกิดด้วยวิธีการเช่นนี้

  (3) ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย สามารถพัฒนาจิตไปสู่การดับรูป ดับนาม (นิพพาน) ได้ การเข้าสู่พระนิพพาน มิได้เอาร่างกายที่เป็นตัว บ่งชี้ฐานะทางเพศเข้า แต่เอาจิตที่ปราศจากกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ (สังโยชน์ 10)
เข้านิพพาน ดังตัวอย่างของเด็กชายโสปากะ นายพาหิยะ เจ้าหญิงเขมา ฯลฯ นำจิตเข้าสู่พระนิพพานได้ในขณะยังดำรงอยู่ในเพศของฆราวาส

   ส่วนเรื่องที่บอกเล่าและถามไป ผู้ตอบปัญหาเห็นว่า ผู้ใดเกิดมาเป็นสมาชิกของสังคมครอบครัว หรือสังคมอื่นใด มีงานที่ต้องทำอยู่สองงาน คืองานภายนอกได้แก่งานที่ทำให้กับครอบครัว มีความรับผิดชอบในงานที่ทำ ทำงานได้ผลสำเร็จ งานเสร็จทันเวลา ผลงานเข้าตา เป็นที่เรียกหาเรียกใช้ หากทำได้เช่นนี้แล้วสมาชิกของครอบครัวอยู่สุขสบายและมีความสุข ส่วนงานภายในคือ งานพัฒนาจิตวิญญาณให้กับตนเอง พัฒนาจิตให้มีสติมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม มีบุญมีบารมีสั่งสม เพื่อใช้ในการเดินทางสู่ปรโลกได้อย่างปลอดภัย ผู้หวังความสวัสดีในชีวิตหน้า นิยมปฏิบัติเช่นนี้ ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเองฉะนั้นต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ผู้รู้เป็นได้เพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น จะบอกให้
  

971.
สวัสดีค่ะ อาจารย์

   พ่อหนูเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ด้วยโรคมะเร็ง และโรคไตวาย ก่อนจะสิ้นลมซึ่งไม่ทราบเวลาที่แน่นอน ท่านทานข้าวได้ดี พูดคุยด้วยอารมย์ดี และขอนอนพักก่อนที่จะกินยาก่อนนอน เมื่อถึงเวลากินยาไปเรียกท่านปรากฎว่าท่านเสียชีวิตแล้วค่ะ แต่ก็ยังนำไปโรงพยาบาล หมอพยายามปั๊มหัวใจแต่ท่านก็ไม่กลับมาแล้ว หนูมีคำถามถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. การที่หลับแล้วเสียชีวิต บ่งบอกถึงอะไรได้บ้างคะ หมายถึงท่านไปดีไปสบายเหมือนกับที่หลายๆ คนชอบพูกกันหรือเปล่าคะ
2. จนถึงวันนี้ท่านจากไป 1 เดือนกับอีก 16 วันแล้ว ท่านไม่เคยกลับมาหาใครเลย ไม่มีใครฝันถึง ไม่มาปรากฎตัวให้เห็น นี้เป็นสัญญาณว่าท่านไปอยู่ในที่สบายในที่สุคติใช่ไหมคะ
3. หนูได้ไปปฏิบัติธรรมที่คณะ 5 วัดมหาธาตุฯ ตามคำแนะนำในหนังสือของอาจารย์ ได้ประมาณ 10 ครั้งแล้ว แต่หนูก็ไม่สามารถเข้าถึงสมาธิได้สักครั้งเดียว แต่ในด้านของความรู้สึก หนูรู้สึกว่าเบาสบาย มองโลกในแง่ดีขึ้น การปฏิบัติได้ในระดับนี้ หนูจะสามารถอุทิศบุญกุศลนี้ไปให้พ่อหนูได้ไหมคะ
4. หนูควรทำบุญแบบใด จะได้ส่งถึงพ่อหนูโดยตรงคะ
5. ถ้าเกิดพ่อหนูไม่ได้อยู่ในที่สุคติจริง การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน จะทำให้ท่านได้รับและได้ไปอยู่ในที่สุคติไหมคะ
6. มีวิธีไหนไหมคะที่จะทราบว่าตอนนี้พ่อหนูอยู่ที่ไหน หนูอยากทราบว่าท่านเป็นอยู่อย่างไร
7. การลอยอังคารเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องและควรทำไหมคะ ในครอบครัวตกลงกันว่าจะนำกระดูกท่านไปลอยอังคารในวันครบรอบ 100 วันค่ะ และต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างคะ

กราบขอบพระคุณที่อาจารย์สละเวลาตอบคำถามนะคะ
ขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนยาวเป็นที่พึ่งกับพวกเราชาวกัลยาณธรรมตลอดไปนะคะ

คำตอบ
    (1) หลับเพียงเปลือกตา แต่ใจยังไม่หลับ ยังมีการเกิด-ดับอยู่ จึงเคลื่อนออกจากร่างปัจจุบัน ไปหาร่างใหม่อยู่อาศัยได้ในกรณีนี้ใจของท่านทิ้งร่างด้วยมีสติกำกับ สุคติภพจึงเปลี่ยนเป็นที่หมายที่ท่านไม่รู้

   (2) หนึ่งเดือนกับอีกสิบหกวันเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับมนุษย์ผู้รอคอย แต่เป็นเวลาชั่วขณะเดียวในสุคติภพที่สูงกว่ามนุษย์ ฉะนั้นไม่ควรห่วงกังวลที่ท่านหายลับไป ควรห่วงแต่เพียงว่าผู้เป็นลูกได้ทำบุญอุทิศให้ท่านหรือเปล่า เพราะนั่นคือจริยธรรมที่ลูกผู้มีความกตัญญูต้องประพฤติให้เป็นปกติ

   (3) ไม่ควรพะวงถึงการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความรู้สึกว่าเบาสบาย และมองโลกในแง่ดี นั้นเป็นบุญที่ผู้ถาม ปัญญาได้ทำให้เกิดมีขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในใจแล้ว ฉะนั้นพึงอุทิศบุญกุศลที่ลูกมีให้แก่พ่อ เพราะทุกครั้งที่อุทิศ บุญอันเกิดจากการอุทิศส่วนบุญจะเกิดขึ้นเป็นอีกโสดหนึ่งด้วย

   (4) ทำได้ทุกรูปแบบตามที่ระบุไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 เมื่อทำสำเร็จแล้ว บุญจะเกิดขึ้นกับผู้กระทำ ผู้มีบุญอยู่กับใจควรตั้งใจมั่นเอาใจจดจ่ออยู่กับการอุทิศ ด้วยการกล่าวเป็นวาจาว่า “ บุญที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ข้าพเจ้าอุทิศให้แก่พ่อ (เอ่ยชื่อ) ผู้ไปเกิดอยู่ในปรภพ จงเป็นสุขเถิด ” จะกรวดน้ำตามหลังหรือไม่กรวดน้ำทำได้ตามอัธยาศัย

   (5) ความสงสัยเป็นสันดานของมนุษย์ผู้ไม่รู้จริง ฉะนั้นควรเชื่อและประพฤติตามที่ผู้รู้บอกกล่าว ความเห็นถูกในทางโลกก็จะเกิดขึ้น ความสงสัยจะหมดไปชั่วคราว

   (6) ความอยากรู้คือตัณหา เป็นตัวกิเลสปิดบังใจไม่ให้รู้ไม่ให้เห็น ผู้ใดขัดข้องความอยากให้หมดไปจากใจได้ โอกาสไปรู้ไปเห็นย่อมเกิดขึ้นได้ มิน่าเล่า ผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตแล้วไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิก็เนื่องด้วยเหตุแห่งตัณหานั่งเอง

   (7) การลอยอังคารเป็นประเพณีนิยมทางโลกของบางกลุ่มชนถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ผู้รู้จริงไม่ลอยอังคารให้เสียเงินไปกับพิธีกรรมไม่เสียเวลาไปทำสิ่งดีน้อยกว่าให้กับชีวิต ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจะปฏิบัติอย่างไรกับการลอยอังคาร ต้องไปถามวิธีการกับคนที่ยังมีจิตเป็นทาสของพิธีกรรมเช่นนี้
  

970.
เรียน อาจารย์ สนอง ที่เคารพ

   ผมทราบมาว่าการทำสมถภาวนาให้สำเร็จนั้นผู้ปฏิบัติจะต้องมีศีล 5 ที่บริสุทธิ์ ผมได้ฝึกทำสมาธิมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่ความเพียรยังไม่มากพอ ได้ทำบ้าง ไม่ได้ทำบ้าง แต่ผมมีศีล 5 ที่ไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากผมเป็นสัตวแพทย์ ผมจึงยังต้องฉีดยาฆ่าเห็บให้สุนัขอยู่เป็นประจำ ส่วนศีลข้ออื่นรักษาได้บริสุทธิ์ ข้อปาณาก็ไม่ได้ฆ่าสัตว์อื่นนอกจากฉีดยาเห็บให้สุนัข
    ผมจึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า ผมรักษาศีล 5 ได้ไม่บริสุทธิ์ในลักษณะอย่างนี้ผมมีโอกาสที่จะฝึกสมาธิจนเกิดฌานได้หรือไม่

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาให้ความกระจ่าง

คำตอบ
    ไม่ได้ครับ เพราะใจมีศีลไม่ครบ
      

969.
สวัสดีค่ะ อาจารย์สนองที่เคารพ

ตอนเด็ก ๆ เคยได้ยินเสียงเปรตร้อง และช่วงสมัยเรียนถูกผีอำบ่อยมาก ๆ บางครั้งตอนอ่านหนังสือ ขณะที่เรารู้สึกสงบ บางครั้งจะรู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่าน อยากทราบว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ขณะนั้นควรปฏิบัติตนอย่างไร และอาการผีอำเป็นผีจริง ๆ หรือไม่ หรือว่าเป็นอาการทางร่างกายที่เราพักผ่อนไม่เพียงพอตามทางหลักวิทยาศาสตร์

ตั้งแต่เล็กจนโต จวบจนเดี๋ยวนี้ มักจะฝันล่วงหน้าบ่อย ๆ แต่เป็นเหตุการณ์ไม่สำคัญอะไร คนในครอบครัวเป็นกันหลายคนค่ะ โดยเฉพาะดิฉันกับน้องชาย เป็นเพราะสาเหตุอะไรคะ และการฝันล่วงหน้ามีกันได้ทุกคนหรือไม่ ดิฉันไม่กล้าเอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง กลัวเค้าหาว่าเพ้อเจ้อ เลยคุยกันแต่ในครอบครัวเท่านั้น

ครอบครัวดิฉันทำธุรกิจค้าขายมานาน ดิฉันรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าครอบครัวเราติดหนี้ธนาคารอยู่เยอะ แต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน จนเรียนจบถึงรู้ตัวเลข เป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท และตอนนี้ก็กำลังจะถูกธนาคารยึดทรัพย์สินแล้ว ตัวดิฉันเองรับได้ค่ะ เพราะอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ห่วงแต่แม่เท่านั้นเพราะท่านเป็นโรคหัวใจ และเป็นคนคิดมาก อยากทราบว่าการที่ดิฉันต้องมารับผลกรรมที่ไม่ได้สร้างหนี้สินเอาไว้ เกิดจากการกระทำกรรมใด และควรจะยุติกรรมนั้นด้วยวิธีไหน เจ้ากรรมนายเวรถึงจะเลิกจองเวรคะ

ดิฉันอยู่ที่ จ.พิษณุโลก ค่ะ อยากไปปฏิบัติธรรม คุณ ฐิติขวัญ (นิตยสารซีเคร็ท) ให้ชื่อเว็บไซด์สถานที่ปฏิบัติธรรม ในพิษณุโลกเป็นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมอาภา ที่นี่อาจารย์มีความเห็นอย่างไรคะ ถ้าดิฉันจะเลือกไปปฏิบัติ เพราะดิฉันไม่เคยปฏิบัติมาก่อนรู้สึกว่าที่นี่จะเคร่งครัดมาก แต่อยากไปเพราะอยู่ในจังหวัดบ้านของดิฉันเอง

ขอความกรุณาช่วยตอบด้วยนะคะอาจารย์
ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ควรปฏิบัติจิตตภาวนา จนเข้าถึงความมีสติสัมปชัญญะสูงสุดได้แล้ว ก็จะสามารถรู้เท่าทันความเป็นจริงของเปรตของการเกิดผีอำ ที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่า เป็นอาการของร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอ นี่เป็นความเห็นถูกของนักวิทยาศาสตร์ แต่มิได้หมายความว่า เป็นความเห็นถูกของผู้รู้ทีเข้าถึงปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) นั่นคือจะบอกว่าผีมีจริง การที่พลังงานจิตของผี (อมนุษย์) เข้ามามีอำนาจเหนือกายหยาบของมนุษย์ แล้วทำให้กายหยาบแสดงอาการที่เรียกว่าผีอำจึงได้เกิดขึ้น

   การฝันล่วงหน้า เป็นเพราะความถี่คลื่นจิตเริ่มคงที่ จึงมีโอกาสไปรับรู้สิ่งที่จะเกิดในกาลข้างหน้าได้

   ครอบครัวเป็นหนี้ธนาคาร เป็นผลมาจากผู้ถามปัญหา เคยร่วมกระบวนการกับพ่อแม่ ที่ไปเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นทรัพย์สินของตนโดยวิธีการที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม ปัจจุบันผู้ถามปัญหามิได้ก่อเหตุตรงด้วยตัวเอง แต่มีส่วนร่วมในกระบวนกรรมของทรัพย์ที่ได้มาดังตัวอย่างเช่น นักเรียนได้รับเงินอุดหนุนทางการศึกษา เป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์เป็นเงินร้อน เช่นเงินรายได้จากการพนัน รายได้จากการขายล๊อตเตอรี่ (อบายมุข) เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผลนักเรียนผู้รับทุนต้องเป็นผู้มีส่วนรับอกุศลวิบากนั้นด้วย

   ขออภัยชื่อของสถานปฏิบัติธรรมดังที่บอกเล่าไป ผู้ตอบปัญหาไม่มีประสบการณ์
      

968.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพรัก

   1) เราจะใช้หลักของข้อธรรมใด ในการที่ภาระทางโลกนั้น อยู่กับมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง ต้องแบกค่าใช้จ่ายทุกอย่างบนบ่าของตนเองเลี้ยงดูพ่อ แม่ สามี ลูก ทุกวันนี้ปฏิบัติโดยการนั่งสมาธิทุกๆวันๆละ 30 นาที (เช้า - เย็น ; เมื่อได้เวลาก็จะถอนออกจากสมาธิเอง) และเดินจงกลมวันละ 30 นาที “ ทำบ้านให้เป็นวัด ” เพราะยังมีภาระอยู่เลยยังไม่มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรม รู้สึกเดินมาถูกทางแล้วที่ได้พบเจอกัลยาณธรรมอย่างอาจารย์ ที่มีความเห็นที่ถูกตรง สุขใจค่ะ

   2) ช่วงปฏิบัติใหม่ๆก่อนนั้นหนูนั่งสมาธิ จะเห็นแสงสว่างจ้า , บางครั้งก็เหมือนกายไม่มี , รู้สึกปลื้มปิติมีความสุข , ตัวลอย , บางครั้งก็เหมือนไม่มีกายเรามันดับวูบลงไป , รับรู้ถึงกลิ่นหอม , เสียงนกร้อง แต่ปัจจุบันนี้อาการเหล่านี้ไม่มี มีแต่จิตนิ่ง สงบเย็น เป็นธรรมดา เมื่อคิดฟุ้งก็กำหนด “ คิดหนอ ๆ ” ไปเรื่อยๆจนหยุดคิด เกิดอะไรก็กำหนดไปตามเหตุ เดินจงกลมก็กำหนดให้มีสติ หากฟุ้ง ก็ตามกำหนดภาวนา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้ว่าทุกข์ ก็ละทุกข์ไป พยายามให้จิตนิ่ง มีแต่ตัวรู้ มีสติ หนูกำลังฝึกมองว่า “ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ” คงจะได้สักวันหนึ่ง

   3) มีสิ่งที่เป็นความดีงามในจิตที่สัมผัสรับรู้ได้ หลังจากปฏิบัติธรรมมานานเนื่องต่อกันทุกๆวัน อุปนิสัยที่เป็นกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ลดลงไปค่อนข้างเยอะ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ มีความเห็นที่ถูกตรง รู้แจ้ง ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ สาธุ สาธุ สาธุ อะไรใช่ อะไรที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเจอบททดสอบ บางครั้งก็ผ่าน แต่หลากหลายครั้งก็ไม่ผ่าน ซึ่งก็ต้องหมั่นฝึกปฏิบัติจิตของตนไปเนืองๆ ตามแนวทางของผู้รู้ ของครูบาอาจารย์ โดยไม่ต้องลังเลสงสัย (ศรัทธาในคุณธรรม จริยธรรม)

ของอาจารย์ที่สุดเลยค่ะ ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ    

คำตอบ
    (1) ผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดีที่เอาภาระของบุคคลอื่นมาเป็นภาระของตัว พระโพธิสัตว์เขาประพฤติกันอย่างนี้เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสให้ตัวเองได้สร้างบารมีอาทิ ทานบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี ฯลฯ ผู้ถามปัญหากำลังดำเนินตามปฏิปทาของพระแม่กวนอิม ดูให้ออกแล้วเจริญอุเบกขามีให้มากยิ่งขึ้น...สาธุ

   (2) แต่ก่อนสภาวะของจิตยังไม่ดี จึงได้ไปเห็น ไปได้ยิน ไปได้กลิ่น ฯลฯ แต่ปัจจุบันจิตได้รับการพัฒนาสูงขึ้น จึงเข้าถึงความสงบและเย็นได้ จงรักษาความดีเช่นนี้ให้ได้ตลอดไป แล้วความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง รวมถึงรูปและนามของตัวเอง ก็จะเข้าสู่ความเป็นอนัตตาได้ในวันข้างหน้า

   (3) ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลดลงไปค่อนข้างเยอะแสดงว่ายังมีกิเลสใหญ่สามตัวนั้นหลงเหลืออยู่ในจิตวิญญาณของผู้ถามปัญหา จงอย่าประมาทเพราะกิเลสเหล่านี้ถ้ามีโอกาสฟื้นคืนมาให้ผลได้อีกเมื่อใด ยังมีอบายภูมิเป็นแดนเกิดได้อยู่ ดังนั้นต้องกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปจากใจ หรือปิดประตูอบายภูมิให้ได้ด้วยการพัฒนาจิตจนบรรลุความเป็นโสดาบันบุคคลได้แล้ว จึงจะถือได้ว่ามีชีวิตปลอดภัย..แน่นอน
     

967.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ผมเคยมีอาการร้องไห้ น้ำตาไหลพราก จนควบคุมไม่ได้ ขณะที่กำลังสวดมนต์ (ทั้งสวดมนต์ทำวัตร หรือ บทอื่นๆ) รวมทั้งในขณะที่ฟังธรรมบรรยาย
แต่ไม่มีอาการดีใจ หรือ เป็นสุขใจ...
รู้ตัวว่าในใจสงบและไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใดๆ
อยากรบกวนสอบถามว่า อาการนี้ เป็นอาการอะไรครับ?
ควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ?

เอกชัย

คำตอบ
    อาการตามที่บอกเล่าไป ผู้รู้เรียกว่า “ ปีติ ” ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้ขัดขวางการพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง ดังนั้นต้องกำจัดปีติให้หมดไปด้วยการบริกรรมคำว่า “ ร้องไห้หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการร้องไห้หมดไป น้ำตาจะหยุดไหลได้เอง
     

966.
เรียนถาม อาจารย์สนองค่ะ

ดิฉันมีคนที่ไม่ชอบดิฉันเอามากๆในที่ทำงาน เคยเอ่ยปากว่าจะเอาดิฉันออกจากงานหากตนเองมีอำนาจ ดิฉันทราบว่าในใจลึกแล้วดิฉันก้ออยากจะเอาชนะเค้า แต่อีกใจบอกตรงๆว่าไม่อยากจองเวรกลัวจะได้เจอกันอีกชาติหน้า ทุกวันนี้พยายามทำบุญอุทิศกุศลผลบุญให้เค้าเพื่อขอให้เค้าอโถสิกรรมเราดิฉัน เพราะเราทุกข์ใจทุกครั้งที่มีเรื่องกัน

ดิฉันขอคำแนะนำจากอาจารย์หากจำเป็นดิฉันคงต้องลาออกจากงาน

คำตอบ
   พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้หมดไป ไม่มีใครผู้ใดหนีใจตนเองได้พ้น หนีคนไม่ดีจากที่นี่ก็ไปเจอคนไม่ดีในที่ใหม่ ให้เป็นปัญหาเกิดขึ้นได้อีก คิดจะลาออกจากงานเดิมไปหางานใหม่ทำ ก็หนีใจตัวเองไม่พ้น ฉะนั้น “ อยู่แล้วสู้สิ ” อยู่กับที่ทำงานเดิม อยู่กับคู่เวรคู่กรรมตนเดิมด้วยการพัฒนาจิตตนเอง ให้มีสติปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริง แล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ มากำจัดปัญหาที่เกิดขึ้นให้หมดไป ด้วยการดูให้เห็นถูกตรงว่าปากของคนมีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี ที่เขาพูดไม่ดีเพราะใจของเขามีความคิดเป็นอกุศล(บาป) เก็บสั่งสมไว้เมื่ออกุศลสั่งให้ปากพูด จึงพูดออกมาไม่ดีและเช่นเดียวกัน หากผู้ถามยังไปต่อปากต่อคำโต้เถียงโต้แย้งกับคนบาป ตัวเองก็จะบาปมากยิ่งขึ้นผู้รู้จัดการกับปัญหาเช่นนี้ ด้วยการใช้ความเห็นถูกต้องว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เมื่อใดหนี้เวรกรรมตามทันจะยอมรับความจริงโดยดุษณี แล้วยอมชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดสิ้นกันไป และปัญญาเห็นถูกยังเห็นว่า ตัวเองเป็นผู้มีโชคดีที่หนี้เวรกรรมตามมาให้ผลทันในชาตินี้ จะได้ชดใช้กันให้หมดสิ้นไปและหากผู้ถามปัญหามีความเห็นถูกแจ้งชัดยิ่งขึ้น ก็จะเห็นว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้มีพระคุณ ที่ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี และทำให้เราได้เจริญพรหมวิหาร 4 ... มีครูดีอยู่ใกล้อย่างนี้แล้วยังจะคิดหนีครูด้วยการลาออกจากงานอยู่อีกหรือ
    

965.
เรียน อาจารย์สนอง วรอุไร

   ดิฉันทำงานที่รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง มีผลตอบแทนสูงพอสมควร แต่กิจการกำลังแย่ลงทุกวัน มีเพื่อนร่วมงานที่รับผิดชอบงานบ้าง ไม่รับผิดชอบบ้างคละเคล้ากันไป แต่มีเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ติดการพนันอย่างหนัก มีหนี้สินจนศาลสั่งอายัดเงินเดือนบางส่วนให้เจ้าหนี้ที่ฟ้องร้อง แต่ใครทำอะไร ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่จรรยาบรรณของหน่วยงานก็ห้ามเล่นการพนัน เพื่อน ๆ ที่ค้ำประกันบางคนก็ถูกฟ้องอายัดเงินเดือน เพื่อนคนนี้ ปกติก็ไม่ค่อยรับผิดชอบงานที่หัวหน้ามอบหมายอยู่แล้ว ยิ่งมีหนี้สินมาก ๆ เจ้าหนี้ตามทวงไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งไม่ทำงานไปใหญ่ บางครั้งยืมรถจักรยานยนต์ของเพื่อนไปจำนำเล่นการพนัน ทุกคนไม่อยากเกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังอยู่รับเงินเดือนขององค์กร โดยใครทำอะไร ไม่ได้ ตามลักษณะคนไทย

   ล่าสุดนี้เพื่อนคนนี้เปรย ๆ ออกมาว่าจะขอย้ายไปที่จังหวัดอื่น ส่วนหนึ่งเพื่อน ๆ เข้าใจว่า คงหนีเจ้าหนี้ แต่ดิฉันเห็นแล้ว สงสารองค์กร สงสารหน่วยงานปลายทางที่ต้องพบปัญหาที่คนนี้สร้างอีก เช่นพื้นที่ที่เขารับผิดชอบ ลูกค้าร้องเรียนบ่อยเรื่องการไม่ร้บผิดชอบในบริการ  ที่แรกดิฉันคิดจะส่งจดหมายเตือนเขาเรื่องบาป บุญ ให้เขาได้สำนึก แต่ดิฉัน ไม่มีความรู้พอที่จะสั่งสอนเขาให้ถูกต้อง ถ้าจะพูดแนะนำ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะขนาดหัวหน้าโดยตรงเขาก็ยังเอาไม่อยู่ ดิฉันเสนอให้หัวหน้าเขาพูดแนะนำตักเตือน แต่หัวหน้าเขากลับตอบว่า เป็นบัวชนิดอยู่ในโคลนตม แต่หัวหน้าเขายินดีให้เขาย้ายไปจังหวัดอื่น ดิฉันเห็นด้วย เพราะจะได้ไปให้พ้น ๆ ปัญหาที่เราจะได้ลดลง แต่ดิฉันว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ที่ส่งไปสร้างปัญหาให้คนอื่นต่อ ถ้าย้ายได้ก็ดี แต่ใจหนึ่งอย่างแก้ปัญหาถาวร ให้เขาได้พ้นจากบาปที่จะก่อขึ้นใหม่เรื่อย ๆ แต่ดิฉันไม่ทราบจะสอนเขาอย่างไร (ทางจดหมาย) ดิฉันไม่ได้สนิทมากแค่เป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่คนละแผนก สงสารครอบครัว สงสารลูกเขา

   ทีแรกจะพิมพ์จดหมายว่า " ที่คุณได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ แสดงว่าคุณเคยทำดีถึงระดับหนึ่งมาแล้ว แต่พฤติกรรมที่คุณกำลังทำ การไม่ซื่อสัตย์กับองค์กร รับเงินเดือน แต่ไม่ทำงาน มีแต่ตักตวงผลประโยชน์จากองค์กร องค์กรของเราให้ค่าตอบแทนสูง สวัสดิการดีมาก คุณทำให้เพื่อน ๆ เดือดร้อนเพราะคุณก่อหนี้แล้วไม่รับผิดชอบยังไม่สายที่จะเปลี่ยนไปทำดี ดูสิ แม้แต่องคุลิมาล ที่ร้ายกาจ ยังเปลี่ยนเป็นคนดีได้เลย จนถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ได้เลย ตัวคุณเองบาปน้อยกว่าองคุลิมาลเยอะ ขอให้ชนะใจตัวร้ายในตัวคุณ หันกลับมาทำดี ก่อนที่จะสายเกินไป ด้วยความปรารถนาดี" ลักษณะนี้ไม่ทราบจะได้มั้ยคะ ขอรบกวนท่านอาจารย์สนองแนะนำหน่อยค่ะ

   ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอบุญกุศลที่ท่านอาจารย์สร้างสมมาจงส่งให้ท่านอาจารย์บรรลุถึงซึ่งนิพพานโดยเร็ว
     พร

คำตอบ
    ที่บอกเล่าไป และตั้งใจจะพิมพ์จดหมายไปตักเตือนเพื่อนร่วมงานคนที่สร้างปัญหา เป็นความคิดของคนที่ใจมีเมตตากรุณาเป็นพื้นฐาน แต่ยังเป็นความเห็นไม่ถูกคือ ในทางโลกผู้ถามปัญหามิได้เป็นผู้บังคับบัญชาของเขา จึงไม่มีสิทธิ์ไปตักเตือนเขา ส่วนในทางธรรมเขายังไม่ศรัทธา และยังไม่เปิดใจขอคำชี้นำจากผู้ถามปัญหา ดังนั้นจึงเสนอแนะให้เอาเขาเป็นครูไม่ดีสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นเขาแล้วเราก็จะไม่เป็นคนไม่ดีเช่นเขา ผู้ใดเห็นถูกเช่นนี้บุญกุศลจะเกิดกับผู้ดูนั่นเอง

ส่วนจดหมายที่พิมพ์ไว้แล้ว เอาเข้ากรอบไว้เป็นเครื่องเตือนสติให้กับตนเอง ดีนะครับจะบอกให้
  

964.
เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

   ดิฉันอยากเริ่มต้นสวดมนต์ แต่ไม่อยากกดดันตนเองโดยสวดมาก ๆ อยากเริ่มแบบง่าย ๆ ค่ะ พอจะแนะนำได้ไหมสำหรับบดสวดมนต์ที่จำเป็นที่สามารถสวดได้ทุกวัน และจำได้ง่าย ๆ

การสวดมนต์จำเป็นต้องสวดบทแปลด้วยหรือไม่ สวดเฉพาะภาษาบาลีอย่างเดียวได้ไหมคะ

ดิฉันอยากเริ่มต้นวิปัสสนาค่ะ ควรเริ่มต้นปฏิบัติอย่างไร สามารถเริ่มได้ด้วยตนเองไหมคะ คงไม่สามารถทิ้งภาระไปปฏิบัติได้ธรรมได้ รบกวนอาจารย์แนะนำอย่างละเอียดด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ผู้ถามปัญหาเริ่มมีบุญส่งผล ให้เกิดความคิดที่ถูกต้องคือเริ่มอยากสวดมนต์ การสวดมนต์เป็นการพัฒนาจิตขั้นต้น เพื่อไม่ไห้การสวดมนต์เป็นการกดดัน จึงแนะนำวาให้สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยที่ขึ้นต้นด้วย
   
  1.  นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ 3 จบ แล้วต่อด้วย
     2.  อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ...
     3.  สวากขาโต ภะคะวาตา ธัมโมฯ...
     4.  สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวกะสังโฆฯ..

เมื่อสวดแล้วเสร็จให้อุทิศบุญกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวร หากไม่รู้คำสวดมนต์ และไม่รู้วิธีอุทิศบุญกุศล แนะนำให้หาหนังสือสวดมนต์จากร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์มาอ่านแล้วสวดมนต์ด้วยการเปล่งเสียง เริ่มต้นวิปัสสนาภาวนาด้วยการสวดมนต์แล้วเจริญอานาปานสติที่บ้าน
  

963.
กราบเรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

   เคยอ่านหนังสือคนที่วิปัสสนามานาน ๆ จะสามารถทำวิปัสสนาได้แม้กระทั่งกำลังใช้ชีวิตประจำวันอยู่ และดิฉันได้อ่านย้อนไปในคำถามเก่า ๆ ทีอาจารย์ได้ตอบเอาไว้ วิปัสสนากรรมฐาน คือ การที่จิตรู้แจ้งเห็นจริง ดิฉันไม่กระจ่างกับคำว่ารู้แจ้งเห็นจริง ในทางปฏิบัติถ้าเราใช้ชีวิตประจำวันและปฏิบัติวิปัสสนาไปด้วย ก็เท่ากับว่าเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เท่านั้นเองหรือคะที่เรียกว่าวิปัสสนา ถ้าอย่างนั้นคนทุก ๆ คนก็ทำวิปัสสนากันได้หมดหรือคะ ไม่เข้าใจจริง ๆ ค่ะ

คำตอบ
    ขณะทำงานแล้วรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ การรู้ในลักษณะนั้น เป็นการระลึกได้ของสติเพียงส่วนเดียว ส่วนปัญญาเห็นแจ้งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อระลึกรู้แล้ว ยังต้องเห็นว่าสิ่งที่ถูกระลึกรู้นั้นดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือมิใช่ตัวมิใช่ตน (อนัตตา) คือไม่มีตัวตนแท้จริง การเห็นในลักษณะเช่นนี้จึงจะเรียกว่าเห็นด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องของจิตเท่านั้น มิได้เกี่ยวกับสมองแต่อย่างใด ที่เขียนบอกเล่ามาทั้งหมด จะอ่านซ้ำกี่ครั้งกี่หนก็ไม่สามารถเข้าใจได้ หากเลิกอ่าน แล้วหันไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยตัวเองเมื่อใดที่ปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้นแล้ว ..... บางอ้อก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมที่จะไปให้ถึง
   

962.
เรียนอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

ผมมีเรื่องขอเรียนถามดังนี้นะครับ
1.เวลานั่งสมาธิจนจิตตั้งมั่นระดับหนึ่ง รู้สึกว่ามีการทรงตัวของอารมณ์ที่จิตจดจ่ออยู่นะครับจะนิ่งจะว่างอยู่อย่างนั้นนานอารมณ์ไม่เคลื่อนไปไหน พิจารณากำหนดรู้อารมณ์ ก็แล้ว พิจารณาดูอารมณ์แบบ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปก็แล้วนะครับ แต่ผ่านอารมณ์ ปิติ สุขมาแล้ว ผมเองรู้สึกระดับสมาธิ ว่าไม่ก้าวหน้าเลยครับ ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี จึงจะสามารถที่จะพัฒนาให้ระดับสมาธิให้สูงสุดได้ และละเอียดกว่านี้ได้ครับ แต่ผลของการปฏิบัติ ผมจะรู้จิตรู้อารมณ์รู้ความคิด และรู้กาย ในชีวิตปกติดีขึ้นนะครับ

2. ช่วงก่อนที่จะเดินจงกลมมีอาการง่วง ฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ แต่เมื่อได้ย่างหนอ ก้าวแรก อาการที่ง่วง ฟุ้งซ่านได้หายไปทันที่ จนตัวเองรู้สึกแปลกใจ ทำไมอาการที่กล่าวมาหายไปครับเพราะเหตุใดครับ

3. การที่จิตเรามีพลังมากขึ้น และบางครั้งก็รู้วาระจิต หรือเหตุการณ์ในอนาคตบางอย่างได้ อาจารย์ครับ มีการแก้ไขให้จิตเราไม่ยึดติดกับของอย่างนี้อย่างไรครับ
และรูปนามนี้เป็นสิ่งสมมุติที่เราเข้าไปยึดติดเองใช้มั้ยครับ เลยทำให้จิตเรามัวหมอง ทั้งหมดนี้เป็นอวิชาที่เราไม่รู้จริงและเราต้องพัฒนาปัญญาทำให้รู้แจ้งใช่มั้ยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
อัคคี

คำตอบ
    (1) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเกิดอารมณ์ภายในที่เรียกว่า ปีติและสุขได้สภาวะของจิตในขณะนั้นจะไม่รับสิ่งกระทบภายนอกใด ๆ มาปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นได้ สภาวะของจิตที่มีลักษณะแบบนี้เรียกว่าอัปปนาสมาธิ หรือคือความมีจิตตั้งมั่นเป็นฌานนั่นเองเป็นสมาธิระดับสูงสุดขั้นที่จิตทรงอยู่ในรูปฌาน หากผู้ปฏิบัติปรารถนาให้จิตมีกำลังของสมาธิสูงขึ้นได้อีก ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีกแล้วจิตจะเข้าสู่สภาวะของอรูปฌานได้

   (2) เพราะกำลังของสติที่มีอยู่ในจิต ระลึกได้ว่าอาการง่วงอาการฟุ้งซ่าน เข้าสู่อนัตตาตามกฎไตรลักษณ์ อาการง่วง อาการฟุ้งซ่านจึงหายไปพร้อมกับการเกิดของปัญญาเห็นแจ้งในเรื่องของความง่วง ความฟุ้งซ่าน ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนแท้จริง

   (3) แก้ไขได้ด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนา จนจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว จึงใช้ปัญญาเห็นแจ้งมาพิจารณาโลกิยอภิญญาเช่นรู้ภาวะจิตผู้อื่น รู้เหตการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน เมื่อโลกิยอภิญญาที่ปรากฏหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจึงจะปล่อยวางโลกิยอภิญญานั้นได้
   

961.
เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

ดิฉันอยากทราบว่าการออกกรรมเป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ เพราะดิฉันเคยไปออกกรรมกับเพื่อน ๆ อยู่ 3 ครั้ง ปรากฎว่าไม่เคยออกเลยสักครั้งเดียว แค่รู้สึกตัวมันชา ๆ และเกร็งเท่านั้น ทั้งที่คนอื่น ๆ มีอาการแตกตกต่างกันออกไป บางคนเหมือนกับจะมีใครมาเอาตัวไป บางคนก็เลื้อยเป็นงู บางคนก็รำ (ดิฉันดูทางเทปที่เค้าอัดเอาไว้ค่ะ) ดิฉันเลยคิดว่าการออกกรรมเป็นอุปทานหรือเปล่า อยากทราบว่าอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร

คนเราทุก ๆ คนมีกรรมเป็นของตนเอง และ การทำบุญไม่สามารถลบล้างกรรมไม่ดีที่เราเคยทำมาให้หายไปได้ แต่สามารถทำความดีเพื่อให้กรรมในส่วนไม่ดีตามเราช้าลง แต่ดิฉันอยากทราบว่า เวลาที่คนเราเจอกับอุปสรรค ทั้งเรื่องงาน เงิน สุขภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ดี คือการที่เจ้ากรรมนายเวรของตัวเราตามมาทวง การที่เราปล่อยให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเรา เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรเค้ามาตามทวงไปเรื่อย ๆ (จนเค้าพอใจ) เพราะเราคิดว่าเรายังสามารถรับสภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อยู่นั้น จะเป็นการชดใช้หนี้เวรกรรมที่เราได้ทำไว้ให้หมดไปได้หรือไม่คะเพราะมันจะได้จบ ๆ กันไปเลย หรือว่ามันคนละส่วนกัน

การทำสมาธิ กับ การนั่งวิปัสสนา คืออย่างเดียวกันหรือไม่

อยากทราบว่าการนั่งวิปัสสนา คือ การที่เรานั่งเฉย ๆ ในสมองไม่ต้องคิดอะไรเลย ปล่อยให้มันว่างเปล่าใช่หรือไม่คะ และ ที่เค้าว่ากันว่าให้นั่งพิจารณาถึงกฎไตรลักษณ์ หมายถึง ต้องให้เราใช้สมองคิดทบทวนถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เราเจอในทุก ๆ เรื่องว่ามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด และมันจะต้องสิ้นสุดลงอย่างนั้นหรือคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะไม่เป็นการคิดมากหรือคะ

ขอรบกวนให้อาจารย์ช่วยชี้ทางสว่างด้วยค่ะ

คำตอบ
    คำว่า “ กรรม ” หมายถึงการกระทำ คำว่า “ ออก ” หมายถึง พ้นภาวะ ทำให้ปรากฏ หลุดไปได้ฯลฯ ผู้ตอบปัญหาไม่เคยได้ยินคำว่า “ ออกกรรม ” มาก่อน แต่สิ่งที่บอกไปให้ฟังว่าเมื่อไปออกกรรมแล้ว บางคนแสดงพฤติกรรมเลี้อยเหมือนงูบางคนแสดงพฤติกรรมร่ายรำ ซึ่งคนมีพฤติกรรมปกติเขาไม่แสดงเช่นนี้ดังนั้นการแสดงออกจึงมิใช่อุปาทาน แต่เป็นการทำงานของจิตที่ขาดสติ สั่งให้ร่างกายแสดงออก

   อนึ่งการที่เจ้ากรรมนายเวรตามทวงหนี้เวรกรรมที่เคยผูกพันกันไว้ ผู้ถูกทวงหนี้ยอมรับความจริง และยินดีชดใช้หนี้เวรกรรมจนหมดสิ้นไปได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้รู้นิยมประพฤติกัน เรื่องทั้งหมดที่บอกเล่าไปจึงเป็นเรื่องเดียวกัน

   การฝึกจิตให้มีสติ ผลที่เกิดตามมาคือจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเรียกวิธีการเช่นนี้ว่าสมถภาวนา ส่วนการฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งเรียกว่า วิปัสสนาภาวนา ดังนั้นการทำสมาธิกับการนั่งวิปัสสนาจึงมิใช่สิ่งเดียวกัน

   การนั่งวิปัสสนาเป็นการใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)ตามพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นว่าเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงเกิดขึ้นได้ เรื่องทั้งหมดนี้มิได้เกี่ยวกับการใช้สมองคิด แต่เป็นเรื่องการทำงานของจิต (จิตตภาวนา) โดยเฉพาะ
  

960.
ก่อนอื่นหนูขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่มีส่วนชักจูงให้หนูสนใจและเริ่มหันปฏิบัติธรรม
หนูมีข้อสงสัยบางประการค่ะ

1. เมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา หนูก็จะมีการกำหนดจิตไว้กับลมหายใจในตลอดวันบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่ก็พยายามเกาะจิตไว้กับลมหายใจ และพยายามระลึกรู้เกี่ยวกับเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆด้วย พร้อมกับมีการฟังธรรมบรรยาย และสวดมนต์ ทำสมาธิควบคู่ไปด้วย แต่ว่าหนูมีสับสนบางอย่างค่ะ คือว่า หนูมีครอบครัวแล้ว และมีลูกสาวหนึ่งคน หลังจากหนูหันมาศึกษาธรรมะในช่วง 2-3เดือนที่ผ่านมา หนูไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกามกับสามีเลย และสามีก็ไม่กล้าที่จะแตะต้องหนูเท่าไหร่เพราะเห็นหนูตั้งใจจะปฏิบัติธรรม ถือศีล อะไรประมาณนี้ แต่หนูกลัวว่ามันจะก่อเป็นปัญหาครอบครัวภายหลัง หนูหมายถึงความต้องการของคนสองคนไม่ตรงกัน แล้วหนูเองก็ต้องมีภาระหน้าที่ของแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีที่สุด ไม่อยากสร้างปัญหาให้ลูก เค้าว่าเค้ายังเป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง (ตอนนี้ปัญหานั้นยังไม่เกิดขึ้นแต่หลังจากได้คุยกับสามีบ้างแล้วเหมือนว่าจะ เป็นปัญหาในอนาคตค่ะ เค้าเตือนสติหนูให้ระวังปัญหาไว้ด้วย) แล้วโดยส่วนตัวหนูแล้วก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นด้วย อาจาร์ยมีข้อประนีประนอมให้ทางโลกและทางธรรมของหนูไปด้วยกันได้มั้ยค่ะ หนูอยากขอคำแนะนำของอาจารย์ด้วยนะค่ะ

2.มีคนในศาสนาอื่นอยู่บนสวรรค์หรือเปล่าค่ะ ชาวคริสต์ อิสลาม สามารถบรรลุ โสดาบันได้หรือเปล่าค่ะ ศาสนาอื่นเค้ามีการสอนสมาธิ และวิปัสสนาหรือเปล่า มีคนฝากถามค่ะ

ขอบพระคุณอาจาร์ยนะค่ะที่ช่วยไขข้อสงสัยให้หนู

คำตอบ
    (1) ชีวิตมีงานให้ทำอยู่สองอย่างคืองานภายนอกที่ทำให้กับหน่วยงานทำให้กับสังคมทำให้กับครอบครัว กับงานภายในที่ทำให้กับตัวเอง เด็กหญิงวิสาขาบรรลุโสดาบันตั้งแต่มีอายุได้ 7 ขวบ พอโตเป็นสาวได้แต่งงานมีลูกได้ถึง 20 คน เพราะวิสาขารับผิดชอบทำงานภายนอกและงานภายในได้สมบูรณ์ ฉะนั้นผู้ใดประสงค์จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ต้องทำให้ได้อย่างนางวิสาขา

   (2) ผู้ใดให้ทานและรักษาศีลอยู่เสมอ เมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว โอกาสไปเกิดเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์ย่อมเกิดขึ้นได้

พระโสดาบันและอริยบุคคลระดับอื่น เป็นความมหัศจรรย์ที่มีอยู่ในพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นมีการฝึกจิตให้เป็นสมาธิแต่มิได้สอนฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
  

959.
ขอเรียนถามดร.สนอง

หนูขอถามว่าหนูได้ไปรับกรรมฐานแบบยุบหนอพองหนอมา แต่ปฎิบัติมาแล้วรู้สึกอีกอัดมากไม่สบายเลย หลังจากนั้นลองเปลี่ยนพุธโธกับสบาย อย่างนิ้จะเปลี่ยนบริกรรมได้หรือเปล่า แล้วจะผิดต่อครูบาอาจารย์ที่ขอกรรมฐานหรือเปล่าค่ะแล้วจะเสียสัจจะหรือเปล่าค่ะเพราะเคยคิดว่าจะไม่เปลี่ยนองค์บริกรรม เพราะถ้าเสียสัจจะจะได้ไม่เปลี่ยนนะค่ะ

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
    เปลี่ยนได้ครับ หากจิตยังระลึกได้ว่า การเปลี่ยนไปใช้วิธีบริกรรมอย่างอื่น เป็นความผิดต่อครูบาอาจารย์ผู้ให้กรรมฐาน ให้ไปขอขมาต่อหน้าพระรัตนตรัย ขอยกเลิกหรือบอกลาวิธีการภาวนาเดิมที่ไม่ถูกกับจริต แล้วขอรับวิธีการภาวนาแบบใหม่ที่ถูกกับจริตมาปฏิบัติแทนอย่างนี้ไม่เรียกว่าเสียสัจจะ
   

958.
รบกวนท่านช่วยกรุณาอธิบายว่าคืออะไรช่วยชี้แนะแนวทางอย่างละเอียด และช่วยส่งกลับมาให้ด้วย อาจจะยาวมากแต่สำคัญกับชีวิตที่เหลืออยู่ที่สุดแล้ว

1. ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจกับการปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นคนขี้เกียจทางธรรมและไม่มีความรู้ ครั้งแรกได้ไปวัดทำสมาธิและจงกรมโดยมองแค่จิตตัวเองเฉย ๆเพราะสบายดีที่สุด เดินจงกรมได้วันที่ 7 เหมือนตัวลอยเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างอยู่ในตัว ให้ไม่ต้องเดินเอง แค่กำหนดจิตกายก็จะเดินเองให้อย่างสวยงามและจิตรับรู้ได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน นอกจากนั้นกินดื่มทำพูดคิดแค่กำหนดจิตก็จะเหมือนมีคน(กาย)ทำให้เองทุกขั้นตอนและมีสติรู้อิริยาบทกายใจทุกขณะ และจะบังคับให้ข้ามขั้นตอนอย่างรวดเร็วไม่ได ้บังคับไม่ได้ เมื่อกำหนดจิตแล้วกายวาจาใจก็จะต้องค่อย ๆ เป็นไปทุกขั้นตอนโดยมีจิตคอยรู้เอง แม้กินอาหารก็ยังเคี้ยวให้อย่างสวยงามและไม่มีรสชาตรู้สึกรสชาดเป็นเส้นเดียวเหมือนกันหมด ไม่อร่อยเลย มีพลังตลอดเวลาแม้นั่งก็เห็นเหมือนดวงอาทิตย์สีขาวมาส่องตรงหน้าจนรำคาญ นึกว่าตนเองบ้าจึงไปถามหลวงพ่อบอกว่าสมาธิเกิด จากนั้นจึงค่อย ๆ หายไปเอง แต่จะกลับมาเวลาที่ทำอะไรซำ ๆ กันจะรู้สึกมีพลังในตัวสามารถสั่งให้เขาทำแทนได้ รู้สึกเบื่อรำคาญและไม่สนใจ มันคืออะไรกัน

2.ช่วงที่ 2 ได้ไปกับวัดประมาณ 5 วันแยกตัวไปนั่งสมาธิเดินจงกรมมองจิตเฉย ๆ รู้สึกข้างในตีกันมากไม่มีทางออก หลวงปู่สังวาลย์ซึ่งมานอนป่วยอยู่ใกล้ ๆ ฝากคำพูดลอย ๆ ว่าตามดูจิตกับพระมา เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวข้างในหมุนเป็นลูกข่างเลยสักพักก็หยุดรู้สึกเหมือนก้าวหน้าไปหนึ่งขั้น แต่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่

3.ไปวัดช่วงที่ 3 เดินจงกรมเห็นจิตตัวเองเวลามองหรือกายสัมผัสก่อนมาถึงใจที่สร้างให้ยึดถือไว้ซ้อนเป็นชั้น ๆ ประมาณ 5 ชั้น โดยแสดงให้เห็นเหตุตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนมาถึงใจที่ไปปรุงแต่งยึดเอาไว้เองย้อนไปย้อนมา แต่ก็จะเห็นอีกดวงหนึ่งแยกไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครและนิ่งสงบตลอด จากนั้นก็สังเกตุไปเรื่อย ๆ ก็เห็นมันดับเอง ดูไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเห็นดับชัดทันมั่งไม่ทันมั่งอย่างหยาบ ๆ ต่อมาก็เห็นตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นอย่างเดียวกันอย่างอยาบ ๆ ไม่มีสมมุติบัญญัติหรือการปรุงแต่งแต่ไม่ค่อยทันเห็นตอนเกิด สักพักก็เบื่อเลยเลิก

4.ป่วยกระเซาะกระแซะแต่รู้สึกไม่อยากขาดทุนจากการป่วยจึงพิจาณายิ่งเห็นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไม่มีสมมุติบัญญัติหรือการปรุงแต่ง และมีพลังปวดเล็กน้อยถึงปานกลางมองแล้วค่อย ๆ ดับลงได้ แต่เนื่องจากทุกขเวทนาแรงกล้าจึงต้องหาหมอ เมื่อหายแล้วก็เลิกพิจารณาเพราะเบื่อไม่รู้จะเห็นไปทำอะไรได้

5ป่วยกระเซาะกระเซาะอย่างมากทุกขเวทนาสูงมากเกินกว่าคนปกติจะทนได้และเป็นเวลานาน ไม่ยอมไปหาหมอ จึงพิจาณาเต็มทีให้มันตายไปเลย เห็นเป็นเส้นหรือดวงๆไม่มีสมมุติบัญญัติหรือการปรุงแต่งเห็นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเหมือนเดิมแต่เร็วทัน จึงไม่เจ็บไม่ปวด สัดพักใหญ่จิตสงบเหมือนเดินออกจากบ้านที่คนในบ้านทะเลาะกันอยู่ สบายดี มันคืออะไรกัน

6.รู้สึกว่าอะไรข้างในเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมันรวมตัวกันครั้งใหญ่ขณะกำลังเดินอยู่บนถนนแล้วรวมลงประมาณเรียกว่าพับลงราบเป็นหน้ากลอง ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง ใจรู้สึกบอกไม่ถูก ไม่มีอะไรเลย ทั้งที่ตายังเห็นถนนตึกรามบ้านช่องอยู่ปกติ จากนั้นรู้สึกเหมือนข้างในทำงานเองจับกิเลสหยาบ ๆ ดับลงฟับทันที ไม่เหลือเลย แต่ก็รู้สึกยังมีอีกมากมายข้างใน ยังมีงานต้องทำอีกเยอะ มันคืออะไรกัน

7.กายสบายดีแล้วแต่ข้างในเป็นหนักข้อขึ้นเรื่อยจนสังเกตุได้ว่าข้างในโทสะตัดเร็ว ดับแล้วไม่เหลือ ข้างในความผูกเวรอาฆาตพยาบาทน้อยมากแทบไม่ให้ผล ความยึดถือตัวตนน้อยลง ปัญหาอยากยึดก็ยึดไม่อยากยึดก็พิจารณาแล้วดับยกเว้นตอนตามกิเลสไม่ทันถึงฟุ้งมาก แต่พบข้อเสียไม่มีสติไม่ได้ทำสติไว้ในการทำการงานความจำ ผ่านแล้วมันดับให้เลย เหมือนคนขี้ลืมมาก จะแก้อย่างไรคะ

8.ช่วงที่เพิ่งผ่านมาเห็นข้างในเกิดดับ ๆ มากจนน่าเบื่อและรำคาญสุด ๆ ไม่รู่ทำอย่างไรถึงจะพ้น ทรมาณจนแทบจะร้องกรีด ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยดูแต่ผิว ๆ จนนอนไป รุ่งเช้าสบาบดีมันไม่มายุ่งกับชีวิตมากจนถึงปัจจุบัน จะทำอย่างไรต่อไปดีคะ

9.สิ่งที่ข้าพเจ้าประสบมาดังกล่าวนั้นเป็นสัมมาหรือมิฉาทิฐิใช่หรือไม่ตรงไหนอย่างไรบ้าง แล้วจะเดินไปอีกอย่างไร นอกจากนั้นหากข้าพเจ้านึกสนุกอยากเพ่งกสิณ อ่านจิตใจผู้อื่น มีฤทธิ์ จะได้หรือไม่ ทำอย่างไร

10 ทำไม่เหมือนรู้สึกข้างในอยากที่จะช่วยคน ที่ยิ่งใหญ่ ให้ได้มาก ๆ ตลอดตั้งแต่เล็ก แม้ทั้งที่ตนเองก็ประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากและหนักพอสมควร

คำตอบ
    (1) ที่บอกเล่าไปทั้งหมดเป็นผลงานของจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิที่ยังไม่นำไปสู่การเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ความเบื่อความรำคาญความไม่สนใจ (โมหะ) ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น

   (2) ที่หลวงปู่สังวาลพูดนั้นถูกแล้ว อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดับจิตจะตีกันยุ่งตุงนังอย่างไร ในที่สุดหนีไม่พ้นกฎไตรลักษณ์ คือเข้าสู่ความเป็นอนัตตา เหมือนกับการหยุดลงของลูกข่างนั่นแหละ สรรพสิ่งที่อุบัติขึ้นกับจิตดับไปทุกเรื่อง ผู้ใดเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) เป็นไปเช่นนี้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ปัญญาเห็นแจ้งในสรรพสิ่ง

   (3) ผลของปฏิปทาที่เกิดขึ้นในช่วงที่สามนี้ มาถูกทางแล้วให้ดำเนินต่อไป ด้วยการเอาจิตความเพียรและสัจจะ มาเป็นเครื่องสนับสนุนใจ เพื่อให้ผ่าแรงต้านของกิเลสสมาร (เบื่อและเลิก) ให้ได้ แล้วความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมก็จะดำเนินต่อไปได้

   (4) ทุกขเวทนาจะแรงกล้าอย่างไร ก็ยังแรงไม่เท่าพลังจิต ของผู้มีสติและมีปัญญาเห็นแจ้งไปได้ จิตที่มีสติสัมปชัญญะกล้าแข็งไม่สะดุ้งสะเทือนหรือหวั่นไหวต่อทุกขเวทนาใด ๆ ทำไมไม่เดินหน้าต่อไป หรือว่าจะยอมต่อขันธมารเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เอาใจไปสยบเป็นทาสของมารไปตลอดชีวิต

   (5) สิ่งนั้นคือปัญญาเห็นแจ้งในทุกขเวทนา คนที่มีความดีเกิดขึ้นกับจิตของตนเองแล้ว ไม่รักษาความดีให้คงอยู่ตลอดไป เขาเรียกว่าคนโง่ ขออภัยพูดตรง

   (6) นั่นคือปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็น

   (7) ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการพัฒนาจิตให้มีสติคุมใจ ให้ได้ทุกขณะตื่น

   (8) รักษาใจดีกว่ารักษากาย เพราะจะรักษากายให้ดีเลิศอย่างไรก็หนีไม่พ้น สักวันหนึ่งจิตต้องทิ้งร่างกายอย่างแน่นอน ดังนั้นรักษาใจให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะตื่น นั่นแหละดีที่สุด

   (9) สิ่งที่เกิดขึ้นมีทั้งสัมมาทิฏฐิ และมิจฉาทิฏฐิ เมื่อใดที่ใช้มิจฉาทิฏฐิส่องนำชีวิต ทุกขเวทนา ความเบื่อ ความรำคาญ ฯลฯ จะเกิดขึ้นให้ตนเองได้รับ และยิ่งปรารถนาอ่านใจคนอื่น หรือปรารถนามีฤทธิ์จะยิ่งเป็นการเพิ่มมิจฉาทิฏฐิให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น

   ในทางตรงกันข้าม เมื่อใดใช้สัมมาทิฏฐิส่องนำชีวิต ความเบา ความสบาย ความเป็นอิสระ ฯลฯ จะเกิดขึ้นให้ตนเองได้รับ ฉะนั้นชีวิตเป็นของตัวเอง จะบริหารจัดการหรือเลือกทางเดินของชีวิตเป็นแบบไหนเจ้าของชีวิตต้องเป็นผู้เลือก...เลือกเอาตามที่ชอบ ๆ

   (10) ก่อนไปช่วยคนอื่น ต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน ดูจากตัวอย่าง ของพระสมณโคดม ออกป่าพัฒนาตัวเองจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วจึงมาสั่งสอนคน ดูจากตัวอย่างพระวิมลโกณทัญญะ ช่วยแม่อัมพปาลีผู้มีอาชีพโสเภณีให้บรรลุอรหัตตผล ดูจากตัวอย่างของปฏาจารา (เสียสติไม่นุ่งผ้า) ช่วยตัวเองจนบรรลุอรหัตตผล จึงได้เป็นพระอุปัชฌาย์และสอนภิกษุณีอีกหลายรูป ฯลฯ
 

957.
กราบเรียน ดร.สนอง ค่ะ

ต้องขอโทษที่จะต้องรบกวนให้อาจารย์มาสละเวลาเพื่อตอบคำถามน่ะค่ะ
เนื่องด้วยหนูได้มีโอกาสไปฟังธรรมของอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เลยได้มีโอกาสรู้จักอาจารย์
คือ หนูมีเรื่องจะสอบถามดังนี้น่ะค่ะ

ทำไมหนูเป็นคนชอบร้องไห้
เศร้าก็ร้อง สงสาร ฟังเรื่องต่างๆ ดูหนัง ยินดี ซาบซึ้งหรือปิติเมื่อได้ฟังธรรมก็น้ำตาซึม
ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่อยากร้องไห้หรือน้ำตาซึม
คนอื่นที่ไม่เข้าใจ ก็จะคิดว่าเหมือนแกล้งทำ แต่จริงๆ แค่นั่งฟังธรรม พอถึงตอนที่โดนใจ
น้ำตาก็จะซึมออกมาไม่รู้ตัว

ไม่ทราบว่าจะมีวิธีการยังไงไม่ให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ค่ะ
รวมถึงหนูทำอะไร ทำไมต้องร้องไห้ตลอดด้วย
เคยถามพระอาจารย์ปราโมทย์
ท่านบอกว่าเป็นจริตของเรา ไม่ต้องแก้ และก็ไม่ต้องบังคับ
แต่หนูไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าอ่อนแอค่ะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงล่วงหน้าน่ะค่ะที่ช่วยตอบคำถามที่ไร้สาระนี้
สุภาวดี ช่วยออก

คำตอบ
    เหตุที่ยังร้องไห้ เป็นเพราะจิตมีเบญจธรรมข้อแรก (เมตตากรุณา) เป็นพื้นฐานของใจและมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง เมื่อมีสิ่งภายนอกที่เหมาะสมเข้ากระทบ จิตจะรับเอาสิ่งกระทบเข้าปรุงเป็นอารมณ์ให้จิตเกิดหวั่นไหวดังที่บอกเล่าไป ผู้ใดประสงค์จะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปต้องพัฒนาจิตให้มีสติรับทันสิ่งกระทบ และพัฒนาจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้ง จึงจะเห็นว่าสิ่งที่เข้ากระทบจิตไม่มีตัวตน จิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบ ไม่รับเข้าปรุงอารมณ์ให้จิตหวั่นไหวได้อีกต่อไป
  

  
956.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพ

   หนูมีเรื่องน่ายินดีค่ะ มีอานิสงส์เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมค่ะ หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะมาจากเหตุ-ปัจจัย
แต่ก็เป็นเรื่อง “ ธรรมรักษา ” อีกประการหนึ่ง (ในใจหนูคิดว่าเป็นอย่างนั้น) คือ ธุรกิจบ้านที่ทำขาย นับแต่ปลายปี 2549 เมื่อวานทางธนาคารเจรจายึดส่วนที่เหลือและให้ครอบครัวหนูได้มีบ้านทาวน์เฮ้าส์อาศัยอยู่ 1 หลัง (25.5ตรว.) และมีที่เหลืออีกประมาณ 144 ตรว.จากเนื้อที่เดิม 1 ไร่ เท่ากับตอนนี้หนูมีความสุข มีบ้านอยู่ มีงานทำ มีข้าวกิน และไม่เป็นหนี้ นี่คือตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต (ทางธรรม) สาธุ สาธุ สาธุ อานิสงส์นี้เกิดจากได้พบกัลยาณธรรม ได้มีความคิดเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นับแต่นี้หนูตั้งเป้าหมายไว้ว่า “ สุขของมนุษย์เกิดจากการพบธรรมะ ” เป็นปัจจัตตังจริงๆ ค่ะ

    หนูตั้งใจจะขอขมากรรม , อโหสิกรรมกับคุณพ่อ-แม่ มีขั้นตอนอย่างไรค่ะ และต้องมีบทกล่าวหรือเอ่ยอย่างไรค่ะ เพราะเมย.ปี 2552 หนูจะกลับต่างจังหวัดซึ่งปกติจะกลับไปสงกรานต์ที่บ้านทุกปี เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งหากเราปฏิบัติโดยการขอขมาต่อพ่อ-แม่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นกุศลทั้งต่อพ่อ-แม่ หรือลูกที่ปฏิบัติใช่หรือไม่ค่ะ

   พร้อมนี้หนูขออนุญาติ ไลท์แผ่น "ตามรอยพ่อ" และอื่นๆให้คุณพ่อ-คุณแม่ฟังในยามชราน่ะค่ะ

   สุดท้ายนี้ขออารารธนาคุณพระศรีรัตนตรัย คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอจงอำนวยพรให้ครอบครัวของอาจารย์ จงประสบแต่ความสุขสงบร่มเย็น ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน นึกคิดอะไรก็ขอให้สมปรารถนาด้วยเทอญ

  ด้วยความรักและเคารพเป็นอย่างสูง
    ผู้ใฝ่ธรรม

คำตอบ
   การมีบ้านอยู่มีงานทำ มีข้าวกิน และไม่เป็นหนี้ เป็นความสำเร็จเพียงเสี้ยวเดียวของชีวิตที่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์ชีวิตยังต้องเดินทางอีกยาวไกล และยังมีโอกาสผิดพลาดได้ หากเมื่อใดผู้ถามปัญหา พัฒนาจิตวิญญาณตัวเองให้เข้าถึงอย่างน้อยเป็นอริยบุคคลขั้นต้นได้แล้วจึงสามารถปิดประตูสู่อบายภูมิได้ จึงสามารถมั่นใจได้ว่าสามารถนำพาชีวิตไปสู่ความปลอดจากภัยทั้งปวงได้ในอนาคตอันไม่ยาวไกลนัก

   เรื่องขอขมากรรมต่อบุพการี ควรประพฤติอย่างยิ่ง สามารถทำได้ทุกโอกาสที่ลูกกับพ่อแม่โคจรมาพบกัน ด้วยการนำดวงมาลัยดอกมะลิสดไปกราบพ่อแม่พร้อมกับพูดว่า
“ ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมใดที่ลูกได้กระทำต่อพ่อแม่ อันเป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์โทษ ขอพ่อแม่กล่าววาจายกโทษให้ลูกด้วย ” เมื่อพ่อแม่กล่าววาจายกโทษ ให้ผู้เป็นลูกกราบที่เท้าท่านสามครั้งก็เป็นอันว่าอกุศลกรรมที่ลูกเคยล่วงเกินพ่อแม่หมดไป จากนั้นต้องรักษาใจอย่าให้อกุศลกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

   ส่วนเรื่องที่ขออนุญาตไป อนุญาตให้แล้ว และควรขออนุญาตกับชมรมกัลยาณธรรมในฐานะผู้ผลิตสื่อธรรมะและเผยแผ่ธรรมะด้วย
  

955.
เรียน อ.ดร.สนองอที่เคารพ

ดิฉัน ปฏิบัติธรรมสาย พุทโธ ค่ะ ขณะนี้ดิฉันมีปัญหา คือ
1. เมื่อลงนั่งสมาธิได้สักครู่ จะมีน้ำลายเต็มปาก ดิฉันเกาะติดพุทโธ ต่อไป แต่น้ำลายก็ยังไหลมาเรื่อยๆ ดิฉันควรทำอย่างไรคะให้น้ำลายหยุดไหล เพราะทำให้เสียสมาธิมากค่ะ

2. ปํญหาต่อมาคือ มีความง่วงจะเกิดขึ้นหลังจากนั่งสมาธิได้สักครู่อีกเช่นกันค่ะ ทั้งที่หลังจากออกจากสมาธิ ไม่มีความง่วงเหลืออยู่เลย ดิฉันควรทำอย่างไร จึงจะทำให้สมาธิก้าวหน้าได้คะ

ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (1) ควรเปลี่ยนไปใช้บทกรรมฐานอย่างอื่น (ดูจากกรรมฐาน 40) มาใช้เป็นองค์บริกรรมแล้วไม่ทำให้น้ำลายไหล

   (2) ลองใช้วิธีแก้ง่วงอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่พระพุทธะแนะนำให้พระมหาโมคคัลลานะปฏิบัติดังนี้
     1. ให้พิจารณาลมหายใจเข้า-ออกให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
     2. หากยังไม่หายง่วงให้คิดพิจารณาถึงธรรมที่ได้ฟังหรือได้ศึกษามาจนขึ้นใจ
     3. หากยังไม่หายง่วงให้ท่องบ่นธรรมที่ฟังมาแล้วโดยพิสดาร
     4. หากยังไม่หายง่วงให้แยบหูทั้งสองข้างและเอาฝ่ามือลูบตามตัว
     5. หากยังไม่หายง่วงให้ยืนขึ้นแล้วเอาน้ำล้างหน้าและแหงนดูดาวในท้องฟ้าที่อยู่ในทิศต่าง ๆ
     6. หากยังไม่หายง่วง ควรนึกถึงแสงสว่างในตอนกลางวันอยู่เสมอ
     7. หากยังไม่หายง่วง ควรเดินจงกรมโดยเอาใจจดจ่ออยู่กับเท้าที่ก้าวย่าง
     8. หากยังไม่หายห่วง ให้นอนตะแคงขวาแล้วบริกรรมจนกว่าจะหลับไป

หมายเหตุ ผู้ตอบปัญหาแก้ง่วงด้วยการอาบน้ำ เอาน้ำล้างหน้า เอาน้ำราดศีรษะ และเดินจงกรมไม่หยุด ผลปรากฏว่าความง่วงหายไปการปฏิบัติธรรมได้ผลก้าวหน้า
  

954.
ขอเรียนถามอาจารย์สนองครับ

1.อยากทราบว่าถ้าเรามีจิตอกุศลคิดปรามาสพระสงฆ์ แล้วฉุกคิดได้ จำเป็นต้องไปขอขมาท่านถึงตัวหรือไม่ หรือแค่ระลึกถึงท่านและขอขมาท่านที่หัวนอนได้หรือไม่ (ท่านอยู่ไกล)

2.อย่างกรณีถ้าอยู่ที่บ้านแล้วมีความคิดอกุศลโผล่เข้ามา คิดไม่ดีต่อพระ แล้วฉุกคิดได้ แบบนี้ต้องนั่งรถไปขอขมาท่านทุกครั้งที่คิดหรือเปล่าครับหรือ ขอขมาที่ใดก็ได้และฝึกสติให้มากให้รู้เท่าทันความคิด (เนืองจากปุถุชนยังมีสติไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถห้ามความคิดอกุศลได้100%)

ขอบคุณที่เมตตาตอบคำถามครับ
   สุรเชษฐ์

คำตอบ
   (1) ขอขมากรรมต่อหน้าพระรัตนตรัยดีกว่าขอขมากรรมที่หัวนอนเหตุเพราะความตั้งใจในการขอขมาต่อหน้าพระรัตนตรัยมีมากกว่าความตั้งใจขอขมาที่หัวนอน

   (2) จะขอขมากรรมที่ใดก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้ขอขมา แบบไหนมีความตั้งใจมากกว่าให้ใช้วิธีการขอขมาแบบนั้น สำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อขอขมาแล้วต้องพยายามรักษาใจไม่ให้ความคิดปรามาสพระสงฆ์เกิดขึ้นซ้ำอีก
  

953.
กราบเรียนอาจารย์สนองค่ะ

ดิฉันมีใจชื่นชอบธรรมมะ นั่งสมาธิบ้าง สวดมนต์บ้างแต่ไม่ได้จริงจังนัก พื้นฐานจิตใจเป็นคนฟุ้งซ่าน คิดมาก จมทุกข์จนบางทีซึมเศร้า แต่ก็ได้หนังสือธรรมมะกับการสวดมนต์ทำให้ดีขึ้นบ้าง ก่อนหน้านี้มีทุกข์หนักเข้ามาในชีวิต ปัจจุบันทุกข์นั้นก็ยังดำเนินอยู่ ดิฉันได้รับการแนะนำว่าถ้ามีปัญหา สิ่งที่เราต้องแก้คือใจของเราเอง ดิฉันจึงเริ่มหันมาปฏิบัติธรรมจริงจังขึ้นค่ะ แต่ขณะนี้มีปัญหา ดิฉันขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

1 แต่ก่อนดิฉันสามารถกำหนดลมหายใจโดยรู้สึกสงบดี แต่เดี๋ยวนี้พอกำหนดลมหายใจทีไรก็ปวดหัว ครั้งล่าสุดที่ลองดูลมหายใจแล้วสลับกาย(เผื่อวิธีนี้จะไม่เพ่งลมหายใจมากเกินไป) ก็ปวดหัว เนื่องจากปวดหัวมาหลายทีเลยลองทำต่อและสังเกตไปเรื่อยๆก็กลายเป็นปวดมากขึ้นๆ และกลายเป็นว่าพอกำหนดลมหายใจ หรือเพ่งกายก็กลายเป็นปวดขึ้นมา กระทั่งยอมแพ้เลิกทำแล้ว(หลังจากทำมาประมาณอาทิตย์กว่าๆ)ก็ยังปวดหัวอยู่ค่ะ

2 แม้มีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น ดิฉันยังสามารถตั้งต้นฝึกใหม่ได้ใช่ไหมคะ อาการปวดหัวถือเป็นการฆ่าตัวตายทางวิปัสสนาเลยหรือเปล่า(กลัวจะกลายเป็นนิสัยปวดหัวติดตัวไปน่ะค่ะ) ยังฝึกได้ใช่ไหมคะ
ปล.ดิฉันพยายามหาสาเหตุเหมือนกันว่าอาการปวดหัวเกิดจากอะไร บางทีคงเป็นความเครียด แต่ปกติแต่ก่อนกำหนดลมหายใจก็ไม่ยักเป็นอะไรเลยค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

นารา

คำตอบ
    (1) สวดมนต์บ้าง นั่งสมาธิบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง จึงได้ผลบ้างเล็กน้อย เพราะปฏิบัติไม่จริงจัง ทำให้จิตมีกำลังของสติอ่อนไม่สามารถรับทันสิ่งกระทบที่ทำให้เกิดอารมณ์ปวดหัวได้

ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหา ประสงค์จะให้ฝึกจิตได้ผลก้าวหน้าและปัญหาเรื่องปวดหัวหมดไป ให้เปลี่ยนองค์บริกรรมจากอาณาปานสติไปเป็นการบริกรรมแบบที่หลวงพ่อเทียนนำออกเผยแพร่

  (2) เมื่อฝึกปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ตั้งต้นฝึกใหม่ได้โดยเลือกวิธีฝึกที่เหมาะสมกับจริตของตน ก่อนฝึกจิตตภาวนาต้องทำใจให้มีศีลทั้งห้าข้อคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยาวนานแล้วมรรคผลแห่งการปฏิบัติธรรม จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ที่มีพฤติกรรมเช่นนี้
   

952.
เรียน อ.สนอง ที่เคารพ ครับ

ผมสนใจการฝึกสมาธิมานานแล้วครับ แต่มีข้อสงสัยในการปฏิบัติครับ คือ ผมสงสัย ว่า
1. การฝึกสมาธินั้น ถ้าเราฟังเพลง พวกเพลงที่วัยรุ่นชอบฟังทุกวันนี้อะครับ แล้ว ก็ ดูละคร อย่างนี้ จะเหมาะสมไหมครับ แล้วจะมีผมต่อการฝึกสมาธิ มากน้อยเพียงใดครับ
2. ผมเคยได้ยินว่าการฝึกสมาธิ ควรจะงดเว้นจากการพูดคุยให้มากที่สุด เพราะอะไรครับ

คำตอบ
  (1) การปล่อยจิตให้ตกเป็นทาสของ เพลงที่ได้ยินด้วยหูและปล่อยจิตให้เป็นทาสของละครที่ดูด้วยตา การประพฤติทั้งสองอย่างนี้เป็นการเปิดโอกาสให้กิเลสเข้ามามีอำนาจเหนือใจทำให้จิตสั่งสมบาปมากขึ้น (โอ่งรั่ว) การปฏิบัติธรรมเป็นการเอากิเลสออกจากใจจึงทำได้ยากขึ้น

  (2) ผู้ถามปัญหาได้ยินไม่ถูกตรง ผู้ที่ได้ถูกตรงได้ยินว่าให้เว้นการพูดคุยด้วยถ้อยคำอันขวางต่อทางพระนิพพาน (ติรัจฉานกถา) เช่น เว้นการพูดคุยในเรื่องของพระราชา เรื่องของโคจร เรื่องของบ้านเมือง เรื่องของลักษณะชาย-หญิง ฯลฯ เพราะการพูดคุยอยู่แต่ในเรื่องเหล่านี้ทำให้จิตฟุ้งซ่าน และผู้รู้ได้ยินว่า ถ้อยคำที่นำมาพูดคุยแล้วทำให้จิตสงบ (กถาวัตถุ) เช่น พูดคุยเรื่องชักนำให้เกิดความมักน้อย พูดคุยเรื่องที่ชักนำให้จิตเป็นสันโดษ พูดคุยเรื่องที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ พูดคุยเรื่องที่ชักนำให้เกิดความเพียรฯลฯ เหล่านี้ควรที่นักปฏิบัติธรรมจะนำมาพุดคุยกัน
  

951.
เรียนถามอาจารย์ครับ

คือผมตั้งใจจะฝึกสติปัฐาน4อย่างจริงจัง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร อยากถามว่า หนังสือมหาสติปัฐาน4 ที่คุณดังตฤณเขียนไว้ สามารถเอามาเป็นแนวทางในการปฎิบัติด้วยตนเองจะได้ไหมครับ (คิดว่าท่านอาจารย์คงเคยอ่าน) หรืออาจารย์มีวิธีปฎิบัติด้วยตนเองช่วยแนนำวิธีให้ผมหน่อยนะครับ ข้อมูลเผื่ออาจารย์จะใช้ในการพิจารณา ว่าผมควรปฎิบัติตามแนวทางไหน ผมเกิดวันที่21สิงหาคน 2527 เวลาเกิดตี4.50 ปีหนู สนใจในธรรมะ และเคยไปเข้าคอร์สปฎิบัติธรรมของหลวงพ่อจรัญมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งละ7วัน

ขอบพระคุณอาจารย์มากนะครับ

คำตอบ
    ผู้ตอบปัญหามิได้เคยอ่านเรื่องสติปัฏฐาน 4 ของพุทธบริษัทท่านใด แต่ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์ที่ได้นำตัวเข้าปฏิบัติกรรมฐานกับท่านเจ้าคุณโชดกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงรู้เห็นเข้าใจและเข้าถึง (สนฺทิฏฐิโก) ธรรมที่นำจิตเข้าสู่ปัญญาเห็นแจ้งด้วยตนเอง

   ฉะนั้น หากผู้ถามปัญหาประสงค์ นำจิตตัวเองให้เข้าถึงความมีดวงตาเห็นธรรมต้องหยุดอ่านหนังสือ แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ให้ได้ก่อนแล้วใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ไปพิจารณาร่างกาย จนเห็นสัจจธรรมว่าร่างกายประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มารวมตัวกันชั่วคราว มีแต่ส่งที่สกปรกไหลเข้าไหลออก และในที่สุดเมื่อดับสลายตามกฎไตรลักษณ์แล้วจะไม่เหลือร่างกายปรากฏให้เห็นร่างกายจึงเป็นของว่างเปล่า ที่จิตเข้าอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว ผู้รู้เห็นสัจจธรรมของร่างกายว่าเป็นเช่นนี้ จึงไม่ยึดไม่จับเอาร่างกายมาเป็นของตน ปัญญาเห็นแจ้งในกายานุปัสสนากรรมฐานก็จะเกิดขึ้น ผู้ใดนำจิตไปพิจารณาร่างกายแล้วยังไม่เข้าถึงดวงตาเห็นธรรม ต้องนำเอาจิตหรือธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นองค์พิจารณา โอกาสมีดวงตาเห็นธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้ ดังเช่นพระสารีบุตร ต้องพิจารณาทั้งกาย และเวทนาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) จิตจึงบรรลุอรหัตตผลขณะอยู่ในถ้ำสุกรขาตะ เชิงเขาคิชฌกูฏ ซึ่งอยู่ต่ำกว่ากุฏีของพระพุทธะลงมาเพียงเล็กน้อย
  

 

 

 

browser stats